คู่กรรม ตอนที่ 13
ตอนกลางวันบนชานบ้านอังศุมาลิน แลเห็นริ้วธงไทยและธงญี่ปุ่นถูกนำขึ้นปักที่ตรงเชิงบันไดหน้าเรือน กระถางดอกไม้สีสวยสดใส ถูกยกมาวางประดับที่ตามแนวบันได
ทหารเรือฝ่ายไทย และทหารเรือญี่ปุ่นที่มีเคสุเกะเป็นคนคุมมา ต่างช่วยกันตั้งเก้าอี้ตามใต้ถุนหรือเต๊นท์ขาวหน้าเรือน
ยายศรและแม่อรช่วยกันตักน้ำมะตูมในหม้อ ใส่แก้วที่เรียงในถาด
“อ้าว พ่อทหาร มายกไปแจกกันเร้ว..น้ำมะตูม อร่อยหวานชื่นใจจ้ะ” ยายร้องบอก
แม่อรเดินไปเรียกที่หัวบันได “หยุดพักกันเดี๋ยวสิจ๊ะ ขยันขันแข็งจริงๆ เลย”
เคสุเกะพาพวกทหารมาเอาน้ำไปดื่ม
แม่อรเดินผ่านหน้าต่าง มองลงไป เห็นสารวัตรองอาจคอยยืนดูนั่นนี่อยู่ตรงท่าน้ำ ตำรวจสันติบาลชั้นประทวน 2 คนเดินคุมเชิง สอดส่องรอบๆ ท่าน้ำกันไปมา แล้วตรงมา กระซิบกระซาบองอาจ หูตาระวังระไว
แม่อรอึ้ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นขรึมลง
สารวัตรองอาจเงยหน้ามา มองมาเห็นแม่อรมองอยู่ที่หน้าต่างชะงัก แล้วก้มหัวให้อย่างกวนๆ นิดๆแม่อรมองหาหลวงชลาสินธุราช
ตรงยกพื้น บนชานบ้านคุณหลวงกำลังนั่งคุยลำดับงานพรุ่งนี้ดูตารางอยู่กับหมอโยชิ คุณหลวง เหลือบมามองทางแม่อรพอดี
แม่อรพยายามส่งสายตาที่มีความหมายบางอย่าง หลวงชลาสินธุราชจึงขอตัวจากหมอโยชิ แล้วลุกมาที่หน้าต่าง แม่อรพยักให้คุณหลวงมองออกไปดูที่ท่าน้ำ
คุณหลวงมองออกไป เห็นสารวัตรองอาจ กับพวกสันติบาล คุณหลวงลดเสียงเบา
“พวกนั้น..คือตำรวจสันติบาล ที่ไล่ล่าพวกเราอยู่ทั้งนั้น”
แม่อรหน้าซีด บอกเบาๆ “ไม่รู้ว่าพวกเขาระแคะระคายอะไรกันหรือเปล่า”
“ลูกบอกว่า...โกโบริ..เขาก็รู้เรื่อง ไม่ใช่หรือ เขาอาจเอาไปบอกใคร...”
“อิฉัน...คิดว่า...ไม่...” แม่อรบอกหน้าซีดๆ อยู่อย่างเก่า
หมอโยชิมองมา ท่าทีสงสัย แม่อร และคุณหลวงรีบยิ้มให้ กลบเกลื่อน หมอโยชิยิ้มตอบ ก้มหัวให้
เวลาเดียวกันที่กระต๊อบ ไมเคิล ยืนแอบๆ อยู่กะอังศุมาลิน ส่วนตาบัว ตาผล ยืนอยู่ยามคนละมุม ทำท่ารักษาความปลอดภัยเว่อร์สุดๆ
ไมเคิลลูบท้ายทอยตัวเอง ที่ผมถูกกร้อนออกไปจนสั้น “ขอบคุณ..สำหรับกรรไกรที่คุณฝากมา ไอ้หอยสองคนช่วยตัดผมให้ผม ผมรู้สึกดีขึ้นจริงๆ”
“อะไรนะ” ตาบัวงง
“นาย..ไอ้หอยบัว” ไมเคิลเรียกตามที่ตาบัวสอน
“เอาล่ะสิ” ตาผลเซ็ง
“นายด้วย ไอ้หอยผล”
ตาผลร้อง “เฮ้ย”
“ผมรู้...” ไมเคิลเข้าไปกอดทีละคน “มันเป็นคำภาษาไทย ที่เขาจะใช้เรียกคนที่รักกันมากๆ สนิทกันมากๆ คุณคงซาบซึ้งมากสินะ ที่ผมเอามาใช้เรียกพวกนายเป็นการตอบแทน”
“นี่ล่ะ ไอ้ผล..ที่เขาเรียกว่า กรรมตามสนอง” ตาบัวว่า
อังศุมาลินขำ กลั้นหัวเราะ “เอาล่ะ..เป็นอันว่า...พรุ่งนี้...เราจะไม่พบกันแล้วนะคะ ขอให้ทุกคนทำตามแผนนี้ อย่าผิดพลาดเด็ดขาด ขอให้โชคดี ฉันไปก่อนล่ะ” อังศุมาลินหันตัวจะกลับ
ไมเคิลเรียกไว้ “เวท..อะมินิต..พลีส, มิส”
อังศุมาลินหันมา
“สักวันหนึ่ง...ถ้าผมได้กลับมา ผมจะขอทดแทนพระคุณให้ได้รวมทั้งไอ้หอยสองคนนั่นด้วย เขาดีกับผมมากๆ...เอ้อ...ไอ้หอยสองคนนั้นบอกว่าคุณจะแต่งงานกับญี่ปุ่นคนนั้น...ผมเคยบอกคุณแล้วว่าเขารักคุณ ผมดีใจด้วย ที่คุณเข้าใจกับเขาได้”
อังศุมาลินหน้าแดง เสียฟอร์มอย่างแรง เถียงเสียงหลง “ชั้นไม่ได้เข้าใจอะไรกับเขา”
อังศุมาลินมองไมเคิล โกรธที่โดนพูดแทงใจดำ
ขณะเดียวกันสารวัตรองอาจเดินลิ่วๆ นำไปในสวน พวกสันติบาลเดินตาม แม่อรวิ่งตามไป
“สารวัตรคะ..สารวัตรจะไปไหน”
สารวัตรองอาจหันมา “อ้าว...ไปช่วยคุณอังศุมาลินในสวนไงครับ เผื่อเธอจะต้องการแรงงานไปช่วยยกผักผลไม้อะไร”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็...อังศุมาลิน...มีคนช่วยแล้ว”
“ใครกันครับ”
“ก็..มีพวกชาวบ้านชาวสวนเรานี่แหละค่ะ ช่วยๆ กัน”
พอดีกับที่กำนันนุ่มและแม่วัน ช่วยกันยกฟักทองลูกใหญ่ๆ กันมา4ลูก
“นั่นไงๆ...มาแล้ว..นั่นไงๆ กำนัน กับแม่วัน...ยกมาแล้วพอดี”
“อะไรกันหรือ” กำนันงง
แม่อรรีบส่งเสียงกลบเกลื่อน “ขอบใจกำนัน..มาๆ ถ้าสารวัตรอยากช่วย...ก็มาช่วยกำนันยกฟักทองสิคะ หนักออก”
“อ๋อ เล็กน้อยๆ ไม่เป็นไรๆ”
แม่วันอวดใหญ่ “แม่อร...ฟักทองนี่ ฉันปลูกเองหลังบ้านเลยนะ รดด้วยน้ำล้างชาม ดูสิ ว่าลูกโตเบ่อเร่อเบ่อร่าเอามาให้แกงเลี้ยงแขกพรุ่งนี้ไง”
สารวัตรองอาจฉงน “อ้าว..ก็ไม่ใช่ฟักทองของในสวนนี้..ที่คุณอังศุมาลินจะเข้าไปเอาน่ะสิครับ”
แม่อรหน้าซีดขาวราวกระดาษ
ด้านตาบัวกะตาผลมองหน้ากันท่าทีอึดอัดใจ ตาบัวอยากไปแยกไมเคิลออกมา แต่ตาผลดึงไว้ ให้อยู่เฉยๆ อังศุมาลินหน้าตึงมองไมเคิล อย่างไม่พอใจที่ถูกอบรม
ไมเคิลหันไปทางสองเกลอ แล้วขยับมาใกล้อังศุมาลิน ลดเสียงลง ไม่ต้องการให้สองคนนั้นมาร่วมวงสนทนาด้วย “ขอโทษ...ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมคุณช่วยผม ทั้งๆ ที่คุณมีสัมพันธไมตรีอันดี...กับทางญี่ปุ่น”
อังศุมาลินหน้าตึง “เรามีเหตุผล...ที่ต้องทำอย่างนั้น”
“ถ้าเหตุผลคือ...คุณต้องแต่งเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องของคุณพ่อคุณ..ผมก็เสียใจด้วย แต่...ถึงยังไง ผมก็รู้สึกว่า เขาเป็นลูกผู้ชายแท้ๆ คนหนึ่ง เชื่อผมเถอะ...ว่าเขาเป็นคนดี” ไมเคิลย้ำ
อังศุมาลินย้อนถาม “ทั้งๆ ที่เขาเป็นศัตรูของคุณ”
“ด้วยหน้าที่...เราเป็นศัตรูกันจริง แต่ถ้าเป็นความเห็นส่วนตัว...เป็นอีกอย่าง วันนั้น...เขามีโอกาสจับผมได้ แต่เขาไม่ทำ”
อังศุมาลินประชด “อ้อ ความดีของเขาอยู่ตรงนี้นี่เอง”
“ความดีของเขา ไม่ได้อยู่ที่เขาปล่อยผมมา แต่อยู่ที่เขาแสดงให้ผมเห็นว่าผู้ชนะที่ดีนั้น...เขาเป็นกันอย่างไร”
อังศุมาลินอึ้ง ยอมจำนน พูดไม่ออก
ไมเคิลเข้ามาใกล้ พูดเน้น จริงจัง “คุณเป็นผู้หญิงใจแข็ง หัวแข็ง...ปักใจมั่น ดันทุรัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิด”อังศุมาลินฉุนกึก “เอ๊ะ”
“อย่าเพิ่งโกรธผม ลักษณะคุณเป็นแบบนั้นจริงๆ คุณลองถามใจตัวเองซะใหม่ ก่อนที่จะสายเกินไป เชื่อผมเถอะ...บางที คุณอาจจะค้นพบว่า ความสุขนั้น อยู่ใกล้แค่มือเอื้อมนี่เอง”
อังศุมาลินเชิดหน้า “ขอบคุณ แต่ดิฉันรู้ตัวเองดีว่า ต้องการอะไรในชีวิตแน่ มนุษย์เรา ถ้าหากว่าปราศจากเกียรติศักดิ์เสียอย่างเดียว ถึงอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์” พร้อมกับสะบัดหน้า เดินจากไปแบบดื้อรั้น
ไมเคิลมองตามไป เหนื่อยใจ ไม่เห็นด้วย
อังศุมาลินเดินเร็วๆมา แล้วชะงักรีบแอบ เห็นข้างหน้า คือแม่อร กำนันนุ่ม แม่วัน กำลังคุยกับสารวัตรองอาจมา
“อ้าว แล้วนี่สารวัตรองอาจจะมาจับใครกันอีกล่ะ นี่บ้านคู่หมั้นนายทหารญี่ปุ่นนะ จะมีพวกใต้ดินที่ไหนมาให้จับหรือจ๊ะ”
สารวัตรอึกอัก แม่อรใจหายวาบ
“ไม่ใช่...ผมกับลูกน้อง...จะมาดู...ว่าเผื่อคุณอังศุมาลินมีอะไรจะให้ผมช่วยหรือเปล่าน่ะครับ”
อังศุมาลินถอยเป็นการใหญ่
พอดี ตาบัว กะตาผลตามมา อังศุมาลินหันไปเห็น แล้วทำสัญญาณบอกใบ้ ให้ตามมาอีกทางทั้งสองตามอังศุมาลินไป
แม่อรกับกำนันนุ่มรุมองอาจ
“โอ๊ย..ไม่ต้องรบกวนสารวัตรหรอก แม่อังเขาลูกน้องเยอะ”
“แปลกจังนะครับ ทำไม...ทุกคนถึงไม่อยากให้ผมเข้าไปในสวน มันมีอะไรหรือครับ”
“แล้วทำไมสารวัตรถึงอยากจะเข้าไปล่ะ ในเมื่อเจ้าของที่เขาไม่ได้เชิญ ถ้าไม่มีหมายค้น...เขาเรียกว่าบุกรุกหรือเปล่า กำนัน” แม่วันว่า
แม่อรรีบบอกกลัวจะไปกันใหญ่ “เอ่อ..มันก็ไม่ถึงกับอย่างนั้นหรอกจ้ะ แม่วัน สารวัตรเขาก็ไม่ได้จะไปค้นหาอะไร”
ทันใดนั้น อังศุมาลินเดินนำเข้ามา มีตาบัวกะตาผล ช่วยกันยกเข่งใหญ่ตามมา
“อ้าว แม่..ลุงกำนัน ป้าวัน” อังศุมาลินไหว้ “มาคุยอะไรกันตรงนี้คะ” อังศุมาลินมององอาจ ซึ่งทำหน้าซีด มีพิรุธ “สารวัตรองอาจ..มีอะไรเหรอคะ”
“ผม..ยังไม่ได้แสดงความยินดีกับคุณเลย” องอาจเฉไฉ
“ขอบคุณค่ะ ขอโทษจริงๆ ไม่มีเวลาต้อนรับคุณสารวัตรเลย..มัวแต่ยุ่งๆ”
“อะไร...ในเข่งน่ะครับ”
อังศุมาลินอึกอัก “เอ้อ..อ้า”
สองสันติบาลลูกน้องถือวิสาสะ เปิดใบตองทิ่ปิดเข่งออก เห็นในนั้น คือหมากมากมาย และพลูเขียวขจีเป็นตับ
แม่อร กำนันนุ่ม แม่วัน สบตากันถอนใจโล่ง
อังศุมาลินจ๋อยๆ ยิ้มแหะๆ “พวกเรายังลักลอบขายหมากพลูกัน ให้พวกคนแก่ๆ ที่อดหมากไม่ได้ ถ้าสารวัตรจะจับ...พวกเราก็คง..ต้องขอความกรุณา...ให้ช่วยงดเว้นพวกเราสักครั้งเถอะนะคะ แล้วทีหลัง พวกเราจะไม่ทำอีกแล้ว”
สารวัตรอึ้ง
แม่วันเดินขรึมๆ มากับกำนันนุ่ม
“นี่ขนาดกำลังจะหมั้นกันอยู่วันนี้พรุ่งนี้ ทางตำรวจสันติบาลไทย ก็ยังตามจับผิดไปทุกฝีก้าวเลยหรือ แสดงว่า..เรื่องที่ลือกันว่า” ลดเสียงเบา มองรอบๆ เลิ่กลั่ก “คุณหลวงชลาสินธุราช เป็นเสรีไทยตัวยง ที่ทางรัฐบาลกำลังตามล่า ก็คือเรื่องจริงน่ะสิ”
“พวกนั้นถือโอกาส เอาเรื่องอื้อฉาวของหนูอังกะนายช่าง มาเป็นเครื่องมือจริงๆ” กำนันว่า
แม่วันงง “เงื่อนไขอะไร”
“นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของฉันนะ ผิดถูก...แม่วันก็ต้องตรองเอาเอง พวกญี่ปุ่น กะตำรวจไทย ตั้งใจจะให้เรื่องที่ลูกสาวหลวงชลาสินธุราชแต่งงานกะทหารญี่ปุ่น เป็นสาเหตุ ที่จะเสี้ยม..ให้พวกเสรีไทยในต่างประเทศ และพวกสัมพันธมิตร ไม่ไว้วางใจหลวงชลาฯ และเห็นหลวงชลาฯ เป็นคนทรยศ นกสองหัวไงล่ะ”
“โอ้โห แล้วแบบนี้ คุณหลวงกะพวกแม่อังเขารู้ตัวหรือเปล่า”
“ก็คงรู้ แต่ก็ต้องเล่นไปตามเพลง”
“อ้าว แบบนี้ แม่อังมิตกอยู่ในอันตรายหรือ”
“อยู่กลางเขาวัวเขาควายเชียวล่ะ ต่อไปนี้ ความลับอะไรของญี่ปุ่น ที่หลวงชลาฯ เกิดรู้เข้า แล้วเอาไปบอกพวกเสรีไทย นายช่าง กะแม่อังก็ต้องโดนสงสัย หรือถ้าความลับของเสรีไทย ดันหลุดไปถึงหูญี่ปุ่น แม่อังกะคุณพ่อก็คงแย่”
แม่วันถอนใจ “เสียดายเหลือเกิน ไอ้เราหรือ...อุตส่าห์หมายมั่นปั้นมือมาแต่เล็กแต่น้อย นี่ถ้าวนัสไม่ไปเมืองนอก..หรือถ้าไม่มีสงคราม..ทุกอย่าง..ก็คงเป็นไปตามที่เรา”
กำนันถอนใจตาม “อย่าคิดเลย แม่วัน...ไม่มีประโยชน์ ยังไงๆ ทุกอย่างมันคงไม่มีวันกลับมาเป็นอย่างเดิมอีกแล้ว”
“ยังดี ที่นายช่างเขาเป็นคนใช้ได้”
“อือ..นายช่างเขาคงรักคนของเราจริงๆนั่นแหละ แต่…คนของเรานี่สิ”
แม่วันสงสัยอีก “ทำไม หนูอังทำไม”
“ฉันสงสัย...” กำนันนุ่มกระซิบเมียเสียงซีเรียส “ว่าหนูอัง...กำลังช่วยพ่อทำงานใต้ดินเพื่อชาติไทยอยู่ ไอ้บัวไอ้ผันนั่นก็ด้วย”
แม่วันตกใจ “ตาเถน..หนูอัง อยู่ดีๆ ทำไมหาเรื่องใส่ตัวแบบนั้น”
“มันคงจะไม่อยู่ดีๆ น่ะสิ ถ้าวนัสอยู่ สงสัยมันก็จะทำแบบเดียวกัน เราถึงต้องช่วยไง...จะทอดทิ้งกันไปได้ยังไง..ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่...”
สองผัวเมียสบตากันพร้อมกับถอนใจ ไม่พูดอะไรออกมาอีก
คู่กรรม ตอนที่ 13 (ต่อ)
คืนเดือนแรม มองไปบนท้องฟ้าแลเห็นพระจันทร์เสี้ยวลอยอยู่เหนือเจดีย์วัด ก่อนจะเห็นตาบัวโผล่หน้าออกมาที่มุมหนึ่งในวัด
และเมื่อมองไปมาจนแน่ว่าทางสะดวก ตาบัวจึงค่อยย่องออกไป โบกมือกวักให้สัญญาณให้คนอื่นที่ตามมา เห็นตาผล และชาย 2 คนโผล่มา
เสียงตาบัวดังขึ้นในความมืด “มีโลงศพใบนึง..อยู่บนหอฉัน ไปขอท่านพระครูแล้วกัน”
เงาตะคุ่มๆของตาบัว กะตาผล ไปโผล่ขึ้นมาที่หอฉัน พร้อมกับชายอีกสองคนร่างผอมทั้งคู่ อยู่ในเงามืด
ครู่นั้นเสียงอังศุมาลินดังเข้ามา “อ้าว แล้วโลงนั่น...ของใครหรือลุง”
ตาบัวกะตาผลตรงไปที่โลงที่ตั้งอยู่ เหลียวมองรอบๆ แล้วช่วยกับชายทั้งสองหยิบจับของที่วางบนโลงออก
“โลงใหม่ เห็นคว่ำอยู่ชานหอฉันอยู่พักละ พระครูว่าเพิ่งได้มา เจ้าของซื้อไปไม่ได้ใช้เลยมาถวาย ตอนนี้เลยวางข้าววางของต่างโต๊ะไปแล้ว” ตาบัวบอก
โลงใบนั้นถูกหงายวางลง ตาบัวโบกพยักหน้าให้สัญญาณ
เสียงอังศุมาลินดังขึ้นอีก “งั้นลุงไปจัดการแล้วกัน แต่ไม่ต้องห่วง...จะมีคนไปช่วยลุงอีก 2 คน”
ชายผู้ช่วยทั้งสองประจำอยู่คนละปลายโลง พยักรับ ออกแรงยกโลง ตาบัวหันมองซ้ายขวาลู่ทางสะดวก ส่งสัญญาณมือ
“เอ้อ..ฉลาดนี่หว่า แล้วเราก็ค่อยเอาไปใส่มิกกะเต้อไม้เกิน เช้าๆ ก็ค่อยหามไปลงเรือ” ตาผลบอก
จากนั้นตาผลก็เดินนำหน้า ชายผู้ช่วยทั้งสองช่วยกันหามโลงดุ่มๆ ไป มีตาบัวเดินระวังท้ายเฉยๆ เสียงหมาวัดเริ่มเห่าระงมขึ้นเรื่อยๆ
ตาบัวชักหน้าไม่ดีเหลียวหันระแวง พลันมีมือใครคนหนึ่งมาตบหมับเข้าที่ไหล่
ตาบัวหันขวับมาเห็นตกใจโหยง เห็นเป็นหลวงพ่อเจ้าอาวาส
โกโบริอยู่ในห้องนอน แต่นอนไม่หลับ ยืนมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นพระจันทร์เสี้ยว แล้วเดินกลับไปกลับมา หน้าตาตื่นเต้น มีความสุข ในที่สุด ทนไม่ไหว รื้อซามิเซ็งออกมาเล่นเป็นเพลงรัก หน้าตาอิ่มใจ
ส่วนในห้องอังศุมาลินเวลาเดียวกัน อังศุมาลินนั่งกอดเข่าบนเตียง หน้าเครียด นึกถึงตอนที่ไมเคิลสั่งสอน ตักเตือน
“อย่าเพิ่งโกรธผม ลักษณะคุณเป็นแบบนั้นจริงๆ คุณลองถามใจตัวเองซะใหม่ ก่อนที่จะสายเกินไป เชื่อผมเถอะ..บางที คุณอาจจะค้นพบว่า ความสุขนั้น.อยู่ใกล้แค่มือเอื้อมนี่เอง”
อังศุมาลินเชิดหน้า “ขอบคุณ แต่ดิฉันรู้ตัวเองดีว่า ต้องการอะไรในชีวิตแน่ มนุษย์เรา ถ้าหากว่าปราศจากเกียรติศักดิ์เสียอย่างเดียว ถึงอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์”
คิดขึ้นมาสีหน้าอังศุมาลิน ร้อนรน ลุกมา มองไปทางหน้าต่าง
ที่กระต๊อบในสวน ชายสองคนกำกับให้ไมเคิลซ้อม ลงไปนอนในโลง ลองปิดฝา ในโลงมืดๆ ไมเคิลกลัวที่แคบ ตาเหลือก เหงื่อแตก หายใจไม่ออก ดิ้นๆๆ ทุบๆๆ ฝาโลงกระเด็น
ไมเคิลลุกพรวดพราดออกมา หอบๆๆ ปิดหน้า ตาบัว กะตาผล มองหน้ากัน ส่ายหัว
อังศุมาลินนอนกระสับกระส่ายไปมาอยู่บนเตียงนึกถึงคำเตือนของพ่อ
“หนูรู้ไหมว่าสิ่งที่หนูทำ..มันอันตรายมาก”
อังศุมาลินลืมตาโพลง
ฟากโกโบก็กระสับกระส่าย พลิกไปมา นัยน์ตาแววาวเป็นประกายสดใส
ส่วนอังศุมาลินก่ายหน้าผาก เครียดจัด
“ถ้าพลาดพลั้งไป...พวกญี่ปุ่นมาเห็นเข้า...พวกหนูจะเดือดร้อนกันทั้งบ้าน”
อังศุมาลิน ตัดสินใจเด็ดขาด
ด้านโกโบรินอนกลิ้งไปมา ไม่หลับ ในที่สุด ลุกมา เปิดออกไปจากมุ้ง แล้วเดินไปกินน้ำ หน้าตาตื่นเต้น กระวนกระวาย ดูนาฬิกา เมื่อ่ไหร่จะเช้า
โกโบรินั่งริมหน้าต่างเหม่อลอยไป
เห็นพระอาทิตย์ขึ้น เวลาเช้าตรู่
ฟ้าสว่าง แสงยามเช้าฉายส่องเข้ามาทางหน้าต่างตรงหน้าโกโบริ ที่นั่งมองฟ้ายามเช้า ดวงตาเป็นประกายอบอุ่นเปี่ยมพลัง ลุกยืน บิดแขน บิดตัวไปมา ฟิตจัด
ขณะเดียวกันที่บ้านอังศุมาลินสายลมยามเช้าพัด มุ้งปลิว อังศุมาลินยังนอนลืมตาโพลง หน้าซีด เครียด ในแสงยามเช้า นึกถึงคำพูดของพ่อ
คุณหลวงมองอย่างทึ่ง แล้วกลับซีด เศร้า “ลูก..พ่อเสียใจจริงๆ..ที่หนู..ต้องมา..เดือดร้อน..เพราะพ่อ”
อังศุมาลินตัดสินใจลุกมา เก็บมุ้ง ยินเสียงไก่ขัน สีหน้าอังศุมาลินเศร้าๆ
โกโบริอยู่ในชุดทหารเรือเต็มยศ ดูนาฬิกา สำรวจตัวเองในกระจก หวีผมอีกที แล้วเดินไปโผล่ดูที่ห้องหมอทาเคดะ
เห็นทาเคดะยังหลับอยู่ในมุ้ง
โกโบริทำหน้าขำตัวเองที่จะตื่นเต้นจนเว่อร์ เดินไปมาๆ นิดนึง แล้วเดินออกไปอย่างกระฉับกระเฉง
เวลาต่อมาที่ประตูด้านหลังอู่ๆ ที่มีสะพานต้นมะพร้ามข้ามมาในสวน โกโบริในชุดเต็มยศ เดินมาตามลำพัง เดินเรื่อยๆ ออกมา โกโบริเดินผ่านประตูออกไป ทหารยามทำความเคารพพึ่บพั่บ
“ผู้กองครับ ตื่นแต่เช้าจังเลยนะครับ ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ”
โกโบริตะเบ๊ะตอบ ยิ้มหน้าบานแก้มแทบแตก “ขอบใจๆ”
ครู่ต่อมาโกโบริเดินอยู่ในสวน อากาศสดชื่น มองไปที่มุมไหนก็เห็นแต่ความสวยงามสดใส ดอกไม้ชูช่อออกดอกเบ่งบานตามธรรมชาติ
ปลาในท้องร่องฮุบโผง โกโบริเดินมอง หน้าตายิ้มแย้ม เห็นบ้านชาวบ้านมีไก่ตัวผู้โก่งคอขัน และไก่ตัวเมียพาลูกเจี๊ยบเดินกันหาเหยื่อ ร้องกุ๊กๆๆๆ
โกโบริเดินผ่าน ยิ้มให้ดอกไม้ใบหญ้าอย่างสุขใจ
ส่วนอีกฟาก โลงศพถูกนำมาวางลงตึงที่ท่าน้ำหน้าวัด ส่วนในโลง ไมเคิลร้องโอ๊ย กระเทือนแทบตาย
ตาบัวกะตาผลทิ้งตัวลงนั่งที่ม้านั่งยาวท่าน้ำ
“โอยๆ หลังจะพังวางก่อน” ตาผลบ่น
“แม่เจ้าโว้ย หนักยังกะช้างล้มดีไม่เสือกหามจากกระท่อมมาตามแกว่าทีแรกไม่งั้นข้าคงตายก่อน”
ไมเคิลตะโกนออกมาจากโลง
“เปิดฝาให้หายใจหน่อยไอ้ไหม ไอ้หอยๆ”
ชายผู้ช่วยทั้งสอง รีบเข้ามา กระทุ้งข้างโลงแรงๆ
“ชัทอัพ!”
อีกคนบอก “เงียบๆ อันตราย!”
นั่นละ ไมเคิลจึงรีบหุบปาก
ตาผลบิดขี้เกียจ ตาบัวเข้ามาช่วยนวดบ่า
ชายที่มาช่วยทั้งสองก้าวยืนหันมองออกไปที่ท่า มองเรือรับจ้างลำหนึ่งกำลังแจวเข้ามา เห็นด้ามปืนพกเหน็บโผล่ที่ขอบกางเกงบั้นท้ายชายผู้ช่วยออกมา ตาบัวกะตาผล มองปืน แล้วมองหน้ากัน เสียวๆ เรือแจวเข้ามาเทียบ
ชายผู้ช่วยคนแรกหันขวับมา “รีบเถอะ ไป” ตรงเข้ามาจะยกโลงกันต่อ
ตาบัวกะตาผลสะดุ้ง
“เร็วเว้ยไอ้บัว อย่าโอ้เอ้” ตาผลขยับตัว
ตาบัวขยับตาม
เสียงโกโบริดังเข้ามา “ขนอะไรกันหรือ”
ทั้งสี่คนหันมองเสียง ถึงกับผงะ โกโบริเดินมาหยุดมองยิ้มสดใส ส่วนในโลง ไมเคิลได้ยิน ตาลุกโพลงเหงื่อแตก
ชายผู้ช่วยสองคนสบตากัน เตรียมพร้อม ตาบัวกะตาผล มองหางตากับปฏิกิริยาของทั้งสอง
“อ้าว..นายช่าง มาทำอะไรถึงนี่ ไม่ไปงานหมั้นตัวเองเหรอ” ตาบัวถาม
ตาผลผสมโรง “เอ้อ..นั่นสิ”
สองเกลอมองหน้ากันแล้วอยู่ๆ เครียดจนหัวเราะออกมา โกโบริมองไปที่โลง เห็นโลงนั้นวางตระหง่าน ชายอีกสองคนมองมา หน้าตาพร้อมลุย
สีหน้าโกโบริ พลันความคิดวาบขึ้นในหัว รู้ทันที ว่าคืออะไร รอยยิ้มหายไปเหมือนแดดหุบ
ตาบัวกะตาผลรู้สึกทันที เสียงหัวเราะค่อยๆ จางหาย แล้วกลายเป็นเงียบกริบ เหงื่อแตก
โกโบริบอกเสียงเย็นยะเยือก “ยังไม่ถึงเวลา...ก็เลย...มาเดินเล่นหน่อย”
โกโบริสีหน้าเย็นชา มองหน้าสองเกลอ
ส่วนในโลง ไมเคิลนอนตัวแข็ง ตาเขม็งเกร็ง โกโบริเดิน ใกล้เข้าไปๆ
ชายสองคนเริ่มค่อยๆวกมือไปที่ปืนที่เหน็บหลังเอว ตาบัวตาผล ถอยกรูด
โกโบริเดินมาหยุด ใกล้โลงนิดเดียว แววตาพลัน เศร้า สมเพช อนาถ
อีกด้านหนึ่ง หลวงพ่อ เดินออกมา มองดูอยู่ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“เอ้อ...หมู่นี้..มันไม่มีงานอะไรให้ทำ ใช่ไหมวะไอ้บัว” ตาผลเอ่ยขึ้น
“อะไรนะ...อ๋อ ใช่ๆ เลยต้องมารับจ้างเขาหามโลงผีนี่แหละ” ตาบัวบอก
ตาผลเสริมอีก “สงสารไอ้ทิดมันนะ ผูกคอตายในป่าช้า ลิ้นออกมาจุกปาก ตาถลนเชียว ไม่น่าคิดสั้นเล้ย
ด้านในโลง ไมเคิลลุ้นสุดตัว หลวงพ่อมองมา พลางสวดมนต์ในใจ
โกโบริมองไปรอบๆ เห็นหลวงพ่อ อึ้งๆ แล้วก้มหน้า หันกลับมา
“ขอให้ไปสู่สุคติ” โกโบริยิ้มพลางมองที่โลง มองตาบัวกะตาผลอย่างเยือกเย็น แล้วหันกลับ เดินจากไป
สองเกลอถอนใจเฮือก ชายสองคนพยักหน้า
ตาบัว กะตาผล และสองชายนั้น รีบช่วยกันแบกโลงไปลงเรือ
ไมเคิลดีใจ ถอนใจยาว ทำมือขอบคุณพระเจ้า
หลวงพ่อมองตามพล่างเอ่ยคำ สาธุๆๆ โกโบริเดินไกลออกไป หน้าซีด ตัวสั่นเทา แววตาปวดร้าวเหลือแสน
เช้าวันใหม่ ดวงอาทิตย์รุ่งอรุณแรงกล้าเหนือพระปรางค์วัดอรุณ บริเวณริมเจ้าพระยา ฝีเท้าแขกเหรื่อทหารไทย ข้าราชการทูต เดินก้าวขึ้นบันไดเรือนส่งเสียงคุยกันดังมา
ส่วนบนเรือน หลวงชลาสินธุราช ที่มีนายทหารติดตามตั้งกลุ่มคุยกันห่างๆ บนชานเรือนถูกประดับตกแต่งสวยงามผิดหูผิดตา
คุณยายศร แม่วัน อยู่ในชุดดูสวยเป็นพิเศษและกำนันนุ่มแต่ชุดเต็มยศ อยู่ที่ประตูเรือน ยกมือไหว้เชื้อเชิญแขกเหรื่อพวกตำรวจและทหารไทยในชุดเต็มยศทั้งหลาย และพวกทีมข่าวทั้งฝ่ายไทย ฝ่ายญี่ปุ่นพวกทหารเรือฝ่ายไทยชั้นผู้น้อย ทำหน้าที่เสิร์ฟน้ำชากาแฟในงาน
ด้านแม่อรเปิดประตูห้องเข้ามาในห้องอังศุมาลิน
“พร้อมหรือยังลูก”
อังศุมาลินอยู่ในชุดไทยเสื้อแขนกระบอกผ้าซิ่นอย่างดีสวยงาม ผมปล่อยสยายนั่งหันหลังนิ่งอยู่หน้ากระจกใบหน้าซีดเซียว
ส่วนที่เรือนพักโกโบริในอู่ต่อเรือ เห็นโทโมยูกิ หมอโยชิ ฮิชิดะ หมอทาเคดะต่างอยู่ในชุดเต็มยศยืนงงๆ มองหน้ากันไปมา เห็นที่เตียงโกโบริว่างเปล่า
“เสื้อผ้าเครื่องแบบไม่มี สงสัย จะแต่งตัวแล้วแอบไปที่บ้านเจ้าสาวก่อนแล้ว” โทโมยูกิว่า
“ใจร้อนจริงๆ” หมอโยชิบอก
“รู้สึกจะนอนไม่หลับทั้งคืนนะครับ” หมอทาเคดะเสริม
ระหว่างนั้นเคสุเกะวิ่งเข้ามา แล้วรีบทำความเคารพพึ่บพั่บ
“ทหารยามบอกว่า ผู้กองโกโบริเดินออกไปที่งานตั้งนานแล้ว ครับผม!”
ทุกคนต่างขำกัน
ที่บริเวณชานเรือน บ้านอังศุมาลิน เช้านั้น เห็นแขกเหรื่อฝ่ายญี่ปุ่น ซึ่งมีพลโทโทโมยูกิ ฮิชิดะ ทูตวัฒนธรรม และนายทหารติดตาม 3-4 นาย โผล่หน้าผ่านประตูเรือนเข้ามา พร้อมของหมั้น เป็นกล่องไม้ห่อผ้าลายสวยหลายๆ ใบ
สีหน้าอังศุมาลินนิ่ง ออกซีดๆ ใบหน้าไม่แต่ง ทอดสายตามองต่ำ กล่องไม้ห่อผ้าลายสวยพวกนั้น ถูกนำมาวาง
ผู้หลักผู้ใหญ่จากทั้งสองฝ่ายกำลังนั่งคุยไปมา สีหน้ายิ้มแย้มชื่นมื่น และเห็นผืนธงไทยและธงอาทิตย์อุทัยปักเด่นอยู่ที่ผนังเบื้องหลัง ฝั่งฝ่ายหญิงมีอังศุมาลินนั่งเงียบนิ่งอยู่เบื้องหน้า หลวงชลาสินธุราชและแม่อร ที่กำลังพูดคุยท่าทีสุภาพ อยู่กับหมอโยชิ มีโทโมยูกินั่งติดอยู่ด้วย พร้อมกล่องไม้ของหมั้นวางตรงหน้า
อังศุมาลินมองหาไปรอบๆ ไม่มีโกโบริ
คุณหลวง หันมาสบตาอังศุมาลิน แววตาลุ้นๆ ครุ่นคิดมีแววกังวล อังศุมาลินก้มลง พยายามระงับความกระวนกระวายในใจ
ยายศรกระซิบถาม “ทำไมพ่อดอกมะลิยังไม่มานะ”
กำนันนุ่มกระซิบตอบ “หรือพิธีประเทศเขา...แปลกๆ แตกต่างออกไป”
แม่วันออกความเห็น อย่างแปลกใจ “นั่นสิ สงสัย..เขามีแต่ผู้ใหญ่มามอบของหมั้นก็พอตัวผู้ชายไม่ต้องมา”
อีกด้านหนึ่งหมอโยชิมองรอบๆ แล้วกระซิบกันเบาๆ ด้วยท่าทางที่ปกติ สง่างาม นิ่งๆ ยิ้มๆ
“โกโบริไปไหน”
หมอทาเคดะก็สงสัย “นั่นสิครับ”
“หรือว่า..มีอะไรด่วน?” นายพลโมโมยูกิตั้งข้อสังเกต
“เอ..นั่นสิครับ หรือจะมีภารกิจด่วน ที่ทำให้ผู้กองต้องรีบไปทำ” ฮิชิดะว่า
“ไม่เป็นไร งั้นเริ่มพิธีเลย” โทโมยูกิบอก
หมอโยชิกระแอมพลางบอก “เอ่อ..กระผมจะขอเริ่มพิธีเลยนะครับ”
อังศุมาลินก้มหน้านิ่ง แม่อรมองลูก ห่วงมากๆ
ดอกบัวในคูคลองเบ่งบานรับแดดยามเช้า แมงปอบินโฉบตอมดอกผักบุ้งริมตลิ่ง
ในความสวยงามสดใสของธรรมชาติโกโบริยืนนิ่งงัน หัวใจสลายอยู่ตรงนั้น
ส่วนในงานบนชานเรือน พิธีการดำเนินต่อไป ตากล้องนักข่าวไทยนายหนึ่ง ซึ่งอยู่ท่ามกลางนักข่าวนับสิบๆ คน ตะโกนบอกอังศุมาลิน
“เดี๋ยวจ้ะ...เอาละ รินได้”
ใบหน้าอังศุมาลินนิ่งๆ ก้มมองของบางอย่างในมือ แสงแฟลชวูบวาบลงที่หน้าไปมา เห็นอังศุมาลินกำลังก้มรินน้ำชาญี่ปุ่นให้กับฝ่ายชาย ที่ยังไม่ปรากฏร่างโกโบริแต่อย่างใด มีเพียงหมอโยชิ นายพลโทโมยูกิ และฑูตวัฒนธรรม
โดยมีหลวงชลาสินธุราช และแม่อรนั่งอยู่ด้วย ทุกคนมองกล้อง ยกเว้นแม่อร ที่ปรายตามองอังศุมาลินนึกสะท้อนใจ
ตากล้องญี่ปุ่นเอ่ยขึ้นเป็นคำญี่ปุ่น “คู่หมั้นสาวเขยิบมาตรงกลางครับ”
อังศุมาลินนั่งคุกเข่าพับขาตามธรรมเนียมญี่ปุ่น ลุกขยับเล็กน้อยมาตรงกลางหมู่แขกเหรื่อสักขีพยานฝ่ายญี่ปุ่นทั้งทหารและคณะฑูต ที่มาร่วมถ่ายภาพ มีธงทั้งสองชาติเด่นอยู่ทางข้างหลัง อังศุมาลินก้มหน้านิดๆ
ตากล้องญี่ปุ่นบอกอีก “คู่หมั้นสาวเงยหน้ายิ้มหน่อยครับ”
อังศุมาลินนิ่งใบหน้าเรียบเฉย เหลียวขวับตาเขียวไปทางต้นเสียงทันที
หลวงชลาสินธุราชที่ยืนมองดูอยู่ด้านข้าง แววตาบังคับให้อังศุมาลินทำตัวดีๆ บรรดาแขกเหรื่อฝ่ายไทย มองจ้องเขม็งทันที
อังศุมาลินเห็นสีหน้าหลวงชลาสินธุราช เลยเปลี่ยนสีหน้าจำต้องยิ้มนิดๆ
อังศุมาลินท่ามกลางฝ่ายญี่ปุ่น ถูกแสงแฟลชกระทบวูบวาบ
โทโมยูกิ โยชิ ทาเคดะ ฮิชิดะ ยิ้มกันสง่างาม
ยายศร แม่อร และคุณหลวง ดูซีดๆ เป็นกังวล
ตอนสายๆ กล่องของหมั้นมากมายวางเกลื่อนอยู่ในห้อง ขณะที่อังศุมาลินนั่งนิ่งหันหลังมองทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง
อังศุมาลินเม้มปากแน่น โกรธขึ้ง อัดอั้น สงสัย และกังวล แม่อรเดินเดินมาจะเปิดประตูอังศุมาลินเปิดประตูออกมาพอดี
“จะไปไหนลูก”
“หนูอยากรู้ว่าเรื่องนั้นเรียบร้อยดีไหม”
แม่อรปราม “แม่ว่าไม่ดีนะลูก ใครเห็นจะผิดสังเกตเอาได้”
“หนูจะระวังตัว คงไม่มีอะไรหรอกค่ะ กลับกันไปหมดแล้วนี่นา”
อังศุมาลินผลุนผลันเดินไป แม่อรมองตามด้วยสายตาเป็นกังวลปนห่วง
อังศุมาลินเดินลงบันไดมา แล้วเดินเลี้ยวทางสวนหลังบ้าน แต่ต้องชะงัก ยินเสียงโหวกเหวก ของเครื่องยนต์ เสียงอ๊อกเหล็ก ตีโลหะ ที่ดุวุ่นวาย ดังแว่วลอยมาจากทางอู่ แล้วรีบเดินต่อ
อังศุมาลินในชุดไทยตอนทำพิธีเร่งฝีเท้าเดินมา ท่าทีเก้กังกับผ้าถุงที่รุ่มร่าม ใช้มือคอยดึงรั้งผ้าขึ้นให้เดินถนัด จนมารับที่หน้าเดินมาหยุดมอง
เห็นกระท่อมที่ดูมิดชิด แต่เงียบผิดปกติ จึงเดินเข้าไปดูใกล้ที่กระท่อม แต่ยังไม่มีใครเลย
อังศุมาลินงงๆ ลองเรียกดู “ลุง...ลุง เป็นยังไงกันบ้าง”
พลันเสียงโกโบริดังขึ้น “ไม่มีใครอยู่”
อังศุมาลินสะดุ้ง หันมาข้างหลัง
โกโบริเดินจ้องหน้า แววตากวนๆ เข้ามา “เขาไปกันหมดแล้ว”
“คุณ...” อังศุมาลินผงะ ชักใจไม่ดี “หมายความว่ายังไง”
โกโบริกวาดตามองชุดสวยที่อังศุมาลินใส่
“คุณทำได้ไม่เลวนะ..” โกโบริเดินเข้ามาประจันหน้า ยิ้มขื่นๆ
“และคุณก็ได้หัวเราะสะใจไอ้งั่งคนนี้ได้ตามเคย คุณเคยว่าผมใช้อำนาจของผู้ชนะ แต่คุณเอง กลับไม่เคยบอกว่า คุณใช้ผู้ชนะเป็นเครื่องบังหน้าได้อย่างไร”
อังศุมาลินหน้าแดงที่ถูกจับได้ เม้มปากแน่น
“คุณ..ไม่ได้เกลียดผมเพราะคุณเป็นผู้ถูกฝ่ายชนะอย่างผมมารุกราน แต่คุณ เกลียดผม เพราะคุณเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเต็มตัวต่างหาก ทีแรกผมเผลอเข้าใจว่า คุณช่วยเชลยคนนั้นเพราะความเห็นใจ และอย่างมากคุณคงทำได้แค่ซ่อนเขาไว้เฉยๆ แต่ผมโง่ที่หลงคิดไปเอง เพราะการที่คุณช่วยให้เขาเล็ดลอดหนีต่อไปได้ แสดงว่าคุณมีแผนงานและเครือข่ายที่ติดต่อไว้เป็นอย่างดี และทหารคนเดียวนี่ละ ที่ผมเคยบอกไว้ว่าจะไม่ทำให้สงครามแพ้หรือชนะได้ จะเป็นผู้ที่ทำให้โฉมหน้าของสงครามเปลี่ยนไป เพราะเขาไม่ได้มีชีวิตรอดไปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขาได้พาเอาความสำคัญของจุดยุทธศาสตร์ที่เขารู้เห็นกลับไปด้วย...และผมขอแสดงยินดีกับผลงานนี้ของคุณ”
โกโบริระบดระบาย อังศุมาลินยืนนิ่ง โกโบริพูดต่อ
“แต่ผมเสียใจอย่างเดียวเท่านั้น...” โกโบริหันมามองหน้าเศร้า “คุณไม่น่าเลือกวันนี้ เพราะมันเป็นวันสำคัญ...” พูดได้เท่านี้โกโบริก็ชะงัก ไม่พูดต่อ “ช่างเถอะ เพราะสำหรับคุณมันคงไม่ได้สำคัญ อีกอย่างคนคงไม่ทันสังเกตงานนี้ของคุณ”
อังศุมาลินอยากแย้ง แต่พูดไม่ออก โกโบริมองสบตา แล้วทนมองไม่ได้ หันเบือนหน้าหนี
“คุณกลับไปเถอะ แล้วก็สบายใจได้..เพราะงานชิ้นนี้ของคุณสำเร็จแล้ว...นอกจากผม...คงไม่มีใครรู้อีก” โกโบริทอดถอนใจ “หากผมยังอยู่ คุณจะปลอดภัยเสมอ” แล้วนึกบางอย่างได้ “ออ กิโมโนที่ส่งไปวันนี้ แม่ผมส่งมาให้เป็นชุดเจ้าสาวตามธรรมเนียมของญี่ปุ่น ไม่ทราบว่าพอดีตัวคุณไหม...แล้วสร้อยคอไข่มุกนั่นเป็นของพ่อผมที่เคยให้แม่ แม่ให้บอกคุณว่ามันคือเครื่องหมายของความโชคดี แล้วก็เขียนจดหมายอวยพรมายาวเหยียดแต่คุณคงไม่ได้สนใจ”
อังศุมาลินยืนกำมือแน่น ใบหน้าร้อนผ่าว อยากร้องไห้เต็มที แต่ก็ร้องไม่ได้
“พ่อบอกมาว่า สักวันหนึ่งให้ผมได้พาคุณไปหาท่าน แต่ผมก็รู้แล้วว่าวันนั้นคงไม่มี และผมก็คงบอกท่านไม่ได้”
อังศุมาลินหันตัวเดินหนี อยากจะไปให้พ้นๆ ก่อนจะร้องไห้ออกมา โกโบริยังยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม ไม่หันมองตาม แต่ส่งเสียงดังตามมา
“อย่างเก่ง ผมก็คงได้แต่พูดโกหกเอาเองว่า คุณสั่งอะไรมาถึงท่านบ้าง ความจริงท่านอยากให้คุณได้ไปดูดอกซากุระบาน แล้วลองเล่นดนตรีไทยให้ท่านฟัง ว่าจะเหมือนเพลงพื้นเมืองที่ผมชอบเล่นไหม ส่วนแม่...ท่านจะเล่นเพลง ซาโดะอาเกซะ ให้คุณฟัง และทั้งหมดนี้คงไม่มีวันได้มาถึง เหมือนกับวันของผมที่คงไม่มี...เช่นกัน”
อังศุมาลินหันหลังกลับอย่างช้าๆ ก้าวเดินออกมา น้ำตาไหลพราก แล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพื่อจะหนีไปให้ไกลเสียจากตรงนั้น
เหลือเพียงโกโบริยืนหันหลังอย่างปวดร้าว และนิ่งงันอยู่เพียงลำพัง
เช้าวันต่อมา บริเวณหน้าร้านอาโก ตลาดชุมชนปากคลอง ธนบุรี ชาวตลาดตั้งใจฟังยายเมี้ยนขยายข่าวกันหน้าสลอน
ชาวตลาดตั้งใจฟังยายเมี้ยนขยายข่าวกันหน้าสลอน
“โอ้โห นี่ๆ” ยายเมี้ยนชี้หน้าตัวเอง “ฟังมากะหู ดูมากะตา พูดแล้วจะหาว่าเล่า ญี่ปุ่นน่ะมันยกข้าวยกของมาเต็มบ้านแม่อังเชียวละ ทั้งหีบเพชรหีบทอง หีบเงิน เงินกงเต๊กอีกเป็นฟ่อนๆ โอยสารพัด เป็นกุรุส”
ชาวตลาดหูหาตาลุกวาวตาม ตาแกละเสริม
“คนใหญ่คนโตมากันให้พรึบพรับ นายพลนายพันเดินกันเกร่อ พวกหนังสือพิมพ์ก็ขนกันมาเป็นโขยง”
“อังเค้าเลยสบายไปเลยนะเตี่ย”
วิภาหันมาทางเตี่ย เฮียเม้งเห็นด้วย “ช่ายๆ แหม ชื่นใจแทนอาหนูอัง เป็นหน้าเป็นตาให้ชาวบางเราอาหนูอังนี่วาสนาดีจริงๆ”
ชาวตลาดข้างๆ พยักพเยิดเห็นงามตามกันไป
“นี่พวกลื้อได้ไปงานหนูอังเมื่อวานมาด้วยหรือ” อาโกว่า
ระหว่างนั้นตาบัว กะตาผล โผล่แทรกขึ้นมากลางวงมุดมาฟัง
“ฟามจริง เรื่องที่สำมะคันๆ เมื่อวานก็ไม่ได้มีเรื่องแม่อังเรื่องเดียวร้อก” ตาบัวบอก
ตาผลผสมโรง “เยส ต่อให้กี่เมี้ยนกี่แมวก็ไม่มีทางรู้”
ยายเมี้ยนกับแมวหมั่นไส้ไปมา
“มีเรื่องอะไรอีกวะไอ้บัวไอ้ผล” อาโกถาม
สองเกลอลุกขึ้นมาทำท่ากระแอมอย่างภาคภูมิ ทุกคนมองสงสัยใคร่รู้
“แหม ดีใจจริงๆ ที่อยากรู้ แต่..ก็เสียใจยิ่งกว่า ที่มันยังบอกอะไรตอนนี้ไม่ได้” ตาผลว่า
“ใช่ ยังบอกไม่ได้” ตาบัวเสริม
อาโกเซ็ง “อ้าว”
จากนั้นตาบัวกะตาผล ก็เดินสวนผ่าวงยายเมี้ยน แมว และตาแกละ แหวกออกไปอีกทาง ทุกคนมองตามเป็นตาเดียว
ตาผลหันกลับมาบอกอีกเม็ดให้ได้กระหายยิ่งขึ้น “แต่ในไม่ช้าทุกคนก็จะได้รู้” พลางขำได้ใจดังๆ “ฮ้าๆๆๆ”
ตาบัวร้องเพลงขึ้นมา “รัก เมืองไทย ชู..ชาติไทย ทำนุ บำรุงให้รุ่งเรือง สมเป็นเมือง ของไทย”
สองเกลอร้องประสานเสียง ขณะเดินยืดอาดๆ ออกไป “เราชาวไทย เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย ไม่เคยอ่อนน้อม เราไม่ยอมแพ้ใคร ศัตรู...ใจกล้า มาแต่ทิศใด ถ้าข่มเหงไทย คงจะได้เห็นดี”
“อะไรของพวกมัน” อาโกเง็ง
ที่บ้านเก่าร้างแห่งหนึ่ง ยามสาย
เห็นฝีเท้าใครคนหนึ่ง มาเดินหยุดกึก ชายคนนั้นสวมหมวก มองไปที่บ้านร้างเก่าแห่งหนึ่ง แล้วมุ่งเดินต่อไปทางหลังบ้าน ฝีเท้าคู่นั้น เดินมาตามทางหญ้ารกๆ ผ่านฝาหลุมหลบภัยเก่าๆ ไป ก่อนจะเห็นฝีเท้าคู่นั้นเดินมาหยุดกึก พลันมีฝีเท้าอีกคู่ เดินเข้ามาประชิดแล้วเดินนำมาที่ปากหลุม มือชายคนที่นำจับฝาหลุมยกเปิด
ที่แท้เป็นหลวงชลาสินธุราชซึ่งสวมหมวกพรางหน้า หันไปมองพยักหน้าให้ชายคนที่เปิดฝาให้เล็กน้อยก่อนเดินก้าวลงหลุม
ชายคนนั้นปิดฝาลง แล้วยืนเหลียวมองอย่างจับสังเกตรายรอบซ้าย ขวา
ตะเกียงเก่าๆ แขวนห้อยอยู่มุมหนึ่งของหลุมหลบภัยซึ่งกว้างขวางพอประมาณ แลเห็นในแสงวับแวมนั้น เป็นเชลยชาวยุโรป 2-3 คน ผุดลุกขึ้นนั่งมองมาอย่างสนใจ
ไมเคิลนั่งอยู่มุมหนึ่ง คุยกับหลวงชลาสินธุราชที่ถอดหมวกนั่งยองอยู่ใกล้ๆ
“มิสเตอร์ขุนทอง ผมต้องขอบคุณการช่วยเหลือครั้งนี้ของพวกคุณอย่างมาก”
“ไม่เป็นไร มันเป็นภารกิจของพวกผม ผมดีใจที่คุณปลอดภัย ตอนนี้พวกผมกำลังหาทางติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่ง” สีหน้าคุณหลวงหนักใจ “พวกคุณอาจได้กลับออกไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และผมหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” พลางยื่นมือมาตบบ่าไมเคิล
ไมเคิลมีความหวัง ขณะที่หลวงชลาสินธิราชมุ่งมั่นมาก
ที่อู่ต่อเรือระหว่างนั้น ภาพข่าวการสู้รบ ทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ล้วนเป็นภาพกองทัพญี่ปุ่นเป็นฝ่ายตั้งรับ และถอยร่นในหลายสมรภูมิ นอกจากนี้ยังเห็นกองทัพญี่ปุ่นเสริมกำลังในหลายสมรภูมิ
ภายในห้องทำงาน โกโบริ ฮิชิดะ ทาเคดะ เคสุเกะ และทหารญี่ปุ่นอื่นๆ ในชุดเต็มยศ ยืนปรึกษา กันอยู่หน้าเครียด บนโต๊ะกางแผนที่โลก ฮิชิดะใช้ไม้จิ้มชี้จุดต่างๆ บนแผนที่ การประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด ทุกคนรับฟังการแถลงของฮิชิดะรอบโต๊ะ
“ขอให้พวกเรารับรู้กันไว้ ว่าเวลานี้ กองทัพญี่ปุ่นเป็นฝ่ายตั้งรับ และถอยร่นในหลายสมรภูมิ”
ขณะเดียวกันกองทหารญี่ปุ่นบนรถลำเลียงพลนับสิบคันวิ่งผ่านไป ข้างกระทรวงกลาโหม กรุงเทพฯ ประชาชนมองๆ
อีกฟาก ทหารญี่ปุ่น หน้าเครียด นำโปสเตอร์ชวนเชื่อ “เอเชียเพื่อเอเชีย” ออกตระเวนติดหลายสถานที่ทั่วพระนคร
ชาวบ้านได้รับแจกโปสเตอร์ต่างมองงุนงง
ด้านเคสุเกะ และทหารญี่ปุ่น และพวกคนงานไทย อยู่ในชุดทำงาน กลางแดดร้อนเปรี้ยง หลายคนไม่สวมเสื้อ ใส่แต่กางเกงขาสั้น
โกโบริเหงื่อโทรมกาย โหมงานเหมือนคนบ้า หมอทาเคดะผ่านมา แอบมอง สีหน้าข้องใจ
ตกตอนกลางคืน พระจันทร์ดวงกลมโต ส่องสว่างอยู่บนฟ้า สาดแสงส่องทั่วสวนท่ามกลางต้นมะพร้าว หมาก
อู่ยามดึก สงัดเงียบ ไม่มีคนแล้ว เหมือนสัตว์กำลังหลับใหล
หมอทาเคดะอยู่ในชุดยูกาตะ เตรียมเข้านอนแล้ว แต่ออกมาเดินตามหา มองหา ท่าทีห่วงๆ เดินมาใกล้ลำคลอง ยินเสียงน้ำในคลองดังจ๋อมๆๆ หมอทาเคดะยิ้มดีใจขึ้นมา
เห็นพื้นผิวน้ำที่กระเพื่อมดัง แสงจันทร์สะท้อนในน้ำ หมอรีบเดินไป
ที่ท่าน้ำ โกโบริอาบน้ำอยู่ ท่อนล่างยืนในน้ำ เหมือนเท้าอยู่ที่บันไดขั้นลึกๆ ท่อนบนโผล่มา กำลังถูสบู่หลับหูหลับตา วักน้ำมาล้างแรงๆ
หมอทาเคดะยืนมองอยู่บนฝั่ง ใจชื้น ที่เห็นโกโบริสบายดี
โกโบริล้างหน้าพรืดๆ เสร็จ จุ่มตัวที่ถูสบู่ลงในน้ำ ล้างตัว 2-3 รอบ จึงโผล่พรวดมา แล้วชะงัก เห็นหมอทาเคดะยืนมองอยู่
“อ้า หมอ ทำไมยังไม่นอน”
“อากาศร้อนมาก”
“ใช่”
โกโบริยืนแช่อยู่ในน้ำ คุยกันไป
“ตั้งแต่วันที่คุณหมั้น เรายังไม่ได้คุยกัน” หมอทาเคดะเข้าเรื่อง
“เราทุกคน ทำงานยุ่งมาก” โกโบริเฉไฉ
“ผมเห็นคุณทำงานทุกวัน แต่ไม่เห็นคุณ...ไปหาอังศุมาลินซังบ้างเลย”
โกโบริเบือนหน้าไป ไม่ยอมสบตา
“วันงาน...คุณก็หายไป มีอะไรหรือเปล่า”
โกโบริรีบตอบเร็วๆ “ไม่มี!”
หมอทาเคดะอึ้ง ยิ่งกังวลมากขึ้น
คู่กรรม ตอนที่ 13 (ต่อ)
ไม่นานหลังจากนั้น โกโบริใส่เสื้อยูกาตะ ปล่อยด้านหน้าเปิดทิ้งไว้ ยังไม่ได้ผูกสาย ถือผ้าเช็ดตัว และขันใส่สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน เดินมาเรื่อยๆ หมอยังคงเดินตามมา
“โกโบริ มีอะไร...พูดกับผมได้นะ”
โกโบริเงียบ หน้าตาดื้อๆ
“ทะเลาะกันหรือ…”
“เปล่า”
“คุณไม่เหมือนคนที่กำลังจะแต่งงานเลยนะ”
โกโบริไม่อยากคุย ไล่อยู่ในที “หมอ..สวัสดีตอนกลางคืนนะ ไปนอนเถอะ”
“ถ้าคุณเหนื่อยมากเกินไป...หาเวลา...ไปพบหน้าคนที่รักบ้าง...อะไรๆ อาจจะดีขึ้น” หมอทาเคดะแนะ
โกโบริหงุดกึก หลุดทันที “คนที่รักเหรอ...หึๆ ผมไม่มีคนที่รักผมหรอก มีแต่คนที่เกลียด เกลียดอย่างที่...ใครๆ ก็ไม่มีทางจะนึกภาพออกแน่”
ทาเคดะตกใจปนงง “อะไรนะ”
โกโบริอึ้งไป รู้สึกตัว
“เข้าใจละ” หมอทาเคดะเดินเข้ามาใกล้ๆ
โกโบริเซ็งตัวเอง ที่ไม่น่าหลุดปาก
หมอทาเคดะตบบ่า ปลอบใจ “อีกหน่อย แต่งงานกัน ทุกๆ อย่างก็จะดีขึ้นเอง”
“ผมไม่ต้องการแต่งงาน ถ้าอังศุมาลินต้องจำยอม เพราะถูกบังคับแบบนี้” โกโบริว่า
“แต่คุณรักเธอไม่ใช่หรือ”
“รัก แล้วมีประโยชน์อะไร แบบนี้ ให้แนวรบเปลี่ยน อู่เรือนี้ถูกยุบเลิกไป พวกเราถูกเรียกตัวไปที่อื่น การแต่งงานยกเลิก...ผมหายไปจากที่นี่ตลอดกาล ยังจะดีกว่า”
“ถึงอังศุมาลินซังจะไม่ชอบคนญี่ปุ่น แต่ผมเชื่อว่าคุณจะใช้ความดีของคุณ เอาชนะใจเธอได้” หมอปลอบด้วยความหวังดี
“ไม่มีหวังหรอก หมอทาเคดะ ไม่มีหวัง” โกโบริก้มหน้า “ราตรีสวัสดิ์”
หมอทาเคดะอึ้งๆ ที่โดนไล่อีกรอบ ก้มตอบ “ราตรีสวัสดิ์ โกโบริ เชื่อผมนะ ว่าความรัก จะชนะทุกอย่าง”
จากนั้นหมอเดินไปทางห้องพักตัวเอง
โกโบริพึมพำตามไป “ความรัก...ไม่ชนะทุกอย่างหรอก...ทาเคดะซัง...อย่างน้อย ก็ไม่ชนะใจ...คนที่พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่าง...ให้ทหารของกองทัพพระจักรพรรดิต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างที่สุด”
สีหน้าและน้ำเสียงของโกโบริเต็มไปด้วยแววเยาะหยัน
ตอนสายวันต่อมาผ้าปูที่นอนเปียกโชกถูกฟาดลงที่แผ่นไม้
เห็นอังศุมาลินกำลังซักผ้าอยู่ที่ท่า แม่อรเดินถือกะละมังเปล่ามา แล้วก้มเก็บผ้าที่บิดหมาดที่กองอยู่ข้างๆ อังศุมาลินลงตระกร้า
เสียงเรือยนต์เร็วแล่นใกล้เข้ามา อังศุมาลินเงยขึ้นมอง เห็นเรือยนต์ทหารญี่ปุ่น 2-3 ลำ แล่นผ่านไปทางอู่ แม่อรมองตาม พลางเห็นอังศุมาลินมองตามเรือไม่วางตา
“นี่ทำไมสองสามวันนี้ ที่อู่ดูวุ่นๆ ทำงานเสียงดังกันทั้งวันทั้งคืนเลยนะ”
อังศุมาลินไม่ตอบแม่ ก้มหน้าซักผ้าต่อ
“ไม่รู้พ่อโกโบริเป็นยังไงบ้าง ไม่เห็นหน้าเลย”
“ก็คงยุ่งมั้งคะ”
อังศุมาลินบอก พลางบิดผ้าผืนสุดท้ายอย่างแรงระบายอารมณ์บางอย่าง แม่อรมอง ห่วงระคนสงสัย
ตะวันคล้อยต่ำ ความมืดโรยตัวคลุมทั่วบริเวณอู่ต่อเรือในอีกไม่นาน ภายในห้องทำงาน ดวงไฟต่อห้อยระโยงต่ำลงมาจากเพดาน เพื่อให้แสงบนโต๊ะทำงานมากเป็นพิเศษ มือที่จับดินสอของโกโบริบรรจงขีดเส้นแก้แบบระโยงระยาง แล้วก็ลบ
โกโบริที่สภาพดูผ่ายผอมหน้าตาทรุดโทรม หนวดเคราเขียวครึ้ม มีผ้าคาดหน้าผาก ใส่เสื้อยูกาตะ ที่ไม่ผูก ปล่อยด้านหน้าเปิดตลอด สวมกางเกงขาสั้น หน้าคร่ำเคร่งอยู่กับแบบเรือที่กางอยู่บนโต๊ะทำงาน และมีม้วนแบบพิมพ์เขียววางกองอยู่เต็มรอบ โดยเขียนลบแก้ไปมาอยู่หลายที จดจ้องจะเขียนต่อ นิ่งมองจนวางดินสอลง ยกมือลูบหน้าผาก
เสียงหมอโยชิดังขึ้น “เสร็จแล้วหรือ”
โกโบริสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองทางต้นเสียง หรี่ตามองผ่านหลบดวงไฟ เห็นเป็นหมอโยชิมายืนอยู่ใกล้หน้าโต๊ะ
“อ้อ โยชิซัง วันนี้ข้ามมาจากฝั่งนู้นเชียวหรือ”
หมอโยชิยิ้มให้เล็กน้อย “นี่งานยุ่งหรือ”
“ก็ไม่มาก” โกโบริยิ้ม ท่าทีเหนื่อยๆ
“ดูคุณผอมไปหน่อยนะ”
หมอโยชิทัก แล้วจ้องมองอย่างจับสังเกตโกโบริ ด้วยแววตาของผู้ที่อาวุโสกว่า
“ท่านโทโมยูกิให้มาเตือน ว่าคุณยังไม่ได้ไปพบทูตวัฒนธรรมเกี่ยวกับเรื่องงานแต่ง”
“ผมเบื่อที่จะฟังพวกเขาพูดกัน พูดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“แต่เป็นหน้าที่ที่คุณต้องรับทราบไว้”
โกโบริถอนใจ ละสายตามาที่แบบบนโต๊ะ “งั้นพรุ่งนี้ผมจะไป”
“ทำไม..คุณทำท่าเหมือนไม่อยากแต่งงานแล้ว”
โกโบริอึ้งนิ่งงันไป
หมอโยชิถามต่อ “หรือว่า...ที่จริง...คุณไม่ได้รักอังศุมาลิน”
โกโบริสะดุ้ง เจ็บปวดในใจ
เวลาต่อมพวกคนงานในอู่เริ่มวางมือจากงาน ไปเข้าแถวกินข้าว บ้างไปอาบน้ำ
โกโบริที่แต่งยูกาตะที่ผูกเรียบร้อยแล้ว รินชาให้หมอโยชิ หน้าขรึม ทั้งสองนั่งคนละด้านของโต๊ะนั่งกับพื้น บรรยากาศเงียบงัน สองคนนิ่งๆ ต่างก้มหน้า อยู่กับถ้วยชาในมือ
“ผมรักเธอครับหมอ ถึงเธอจะเป็นยังไงผมก็ยังรักเธออู่ดี ชื่อของเธอคือดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ที่พวกเราใช้เป็นเครื่องหมายนำทาง เป็นความอบอุ่น และบางทีก็แผดเผาเราด้วย แต่เราก็ยังรักอยู่นั่นเอง” โกโบริเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“ความรักไม่เคยแผดเผาใครหรอก”
“ไม่จริงครับหมอ ก่อนที่ผมจะออกสงคราม แม่อยากให้ผมแต่งงานกับผู้หญิงที่ท่านเลือกไว้ให้เสียก่อน จะได้มีหลานเป็นตัวแทนอย่างที่ใครๆ เขาทำกัน แต่...ผมทำไม่ได้ เพราะผมไม่ได้รัก ผมบอกกับท่านว่าผมคงไม่มีความสุข ถ้าต้องอยู่กับคนที่ผมไม่ได้รัก แต่ตอนนี้...ผมเพิ่งรู้ว่า เมื่อเรามีคนที่เรารัก รักมาก บางทีก็มีความสุขไม่ได้เหมือนกัน”
โกโบริระบดระบาย นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ผมไม่ทราบว่า ทำไมผมรักคนนี้ หรือจะถามว่ารักเพราะอะไร ก็ตอบไม่ได้ แต่ผมรักทุกอย่างที่ประกอบเป็นตัวเธอขึ้นมา เมื่อรักแล้ว...ก็ต้องยอมรับความทุกข์ความเจ็บปวดนั้นด้วย บางที่ความรักก็แผดเผาเรา ให้มอดไหม้ทรมานร้อนรุ่ม...จนกว่าจะตาย”
โยชิมองโกโบริอย่างเมตตา “โกโบริซัง...ความรัก...อาจจะทรมานเราในตอนแรก แต่เมื่อเราเข้าใจมันดี ความรักจะเป็นความอบอุ่น ความหวัง...หล่อเลี้ยงหัวใจเราได้ตลอดไป”
หมอโยชิพูดเช่นนี้ เพราะเมียหมอตายไปตั้งแต่สาวๆ และหมอก็ครองตัวเป็นโสดมาตลอดเพราะรักเดียวใจเดียว
“แล้วถ้าอย่างนั้น...ความเกลียดละหมอ” น้ำเสียงเยาะหยันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “อธิบายความเกลียดให้ผมฟังหน่อยสิ”
หมอโยชินิ่งไปครู่หนึ่ง มองหน้าโกโบริ
ลมโชยพัดต้นลำพูข้างเรือนอังศุมาลิน พลิ้วไหว ส่วนบนเรือนบริเวณชานบ้าน ไม้ตีขิมถูกยกขึ้นมา อังศุมาลิน ยกไม้ตีขิมขึ้นในมือจรดจะตีที่ขิม แต่ชะงักนิ่ง แม่อร และยายศร ที่พับผ้ากันอยู่ หันมาสบตากัน
อังศุมาลินเก็บขิม ปิดลง นั่งนิ่งไป แม่อรขยับปากจะถาม ยายศรจับแขนให้หยุด ส่ายหน้า ว่าอย่าพูด แม่อึ้ง
อังศุมาลินหน้าเศร้ามากๆ ลุกเดินไปยืนเหม่อ มองออกไปทางหน้าต่าง
ส่วนที่อู่ต่อเรือ ถ้วยชาในมือโกโบริถือเฉยอยู่ โกโบริมองเหม่อ หมอโยชิมองหน้าโกโบริ ถอนใจ
“ในความเกลียด ไม่มีคำว่ารัก” หมอโยชิเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาอีก
“นั่นซินะ”
โกโบริพึมพำกับตัวเองขึ้นมาเบาๆ อย่างขมขื่น
“แต่ผู้หญิงคนนี้...ไม่ได้เกลียดคุณ เพราะมีพ่อเป็นเสรีไทยแน่”
หมอโยชิพูดอย่างรู้จริง โกโบริเหลียวมามองขวับ
โกโบริเสียงเครียด “หมอพูดถึงอะไร”
หมอโยชิส่ายหน้า “คุณไม่ใช่คนโง่ โกโบริซัง”
โกโบริหน้าร้อนวูบขึ้นมา พยายามนิ่ง
“คุณไม่สงสัยเลยหรือ ว่าทำไมทางกองทัพอนุมัติให้คุณแต่งงานในระหว่างสงครามง่ายดายนัก และยังมีคณะทูตวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องอีก”
โกโบริก้มหน้า นิ่งฟังเงียบกริบ
“ทางเรากำลังจับตาดูพ่อของอังศุมาลิน ที่เรารู้มาว่าเขาเป็นเสรีไทยแน่ แต่ยังจับได้ไม่มั่นเสียที หน่วยสืบราชการลับ ต้องการให้ความเชื่อถือในตัวบุคคลลดน้อยลง จึงให้ลูกสาวเขาได้แต่งงานกับคุณ”
โกโบริกำมือแน่น
“นี่กระมัง ที่ทำให้คุณกับอังศุมาลิน มีความรู้สึกสวนทางกันตลอดเวลา...แต่ผมก็อยากบอกให้คุณคิดดูเสียใหม่ พยายามทำความเข้าใจกันให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
โกโบริโค้ง แล้วเงยหน้าขึ้น “เธอไม่ได้เกลียดผม...เพราะคิดว่าผมหวังผลทางการเมืองจากการแต่งงานนี้หรอกครับ และผมก็ไม่ได้เข้าใจผิดว่าเธอเกลียดผมแต่...เธอรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เธอเกลียดผมจริงๆ” โกโบริเน้นคำ “ซึ่ง..หมอคงไม่เข้าใจ”
โกโบริโค้งขอบคุณหมออีกที
ด้านหลวงชลาสินธุราช อยู่ในชุดลำลองเดินลงบันไดบ้านมา เห็นสารวัตรองอาจนั่งดื่มน้ำรออยู่โดยมีทหารรับใช้ยืนเฝ้า
“สารวัตรองอาจ คุณ..มีอะไรกับผม”
“ผมมีเรื่องด่วน”
คุณหลวงหันไปทางลูกน้อง “จ่าแผ้ว..ไปดูข้างนอกไป”
“ครับผม” จ่าแผ้วรีบไป
“สารวัตรมานั่งเล่นบ้านผมเวลาเข้าไต้เข้าไฟแบบนี้..มันคือการบุกรุกเคหะสถาน...” คุณหลวงพูดเป็นนัย
“ในยามวิกาลหรือครับ..หึๆๆๆ” สารวัตรหัวเราะกวนๆ “กลัวอะไร ตั้งแต่ลูกสาวคุณหมั้นกับหลานแม่ทัพฯคนนั้น พวกสันติบาลมันก็ไม่มาป้วนเปี้ยนแล้วนี่นา”
“อะไรนะ”
“ผมเป็นคนมาหาคุณหลวงด้วยตัวเองนี่ล่ะ ดีแล้ว...คนมันจะได้เห็น ว่าเรายังไม่ไว้ใจกัน...จนแล้วจนรอด”
“ผมไม่เข้าใจ”
สารวัตรองอาจลุก เดินเข้ามาหาจนใกล้ ลดเสียงลง “คุณหลวง...เคยได้ยิน ชื่อรหัสเสรีไทย...ว่าไม้ขีดไฟไทย..ไหม” พูดพลางล้วงกระเป๋าหยิบกลักไม้ขีดไฟตราพญานาค ออกมาพลิกโชว์ “โรงงานสยามแมตช์แฟคตอรี่ เปิดตั้งแต่ปี 2473 เพิ่งมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทไม้ขีดไฟไทยจำกัด เมื่อ 2-3 ปี มานี่เอง...คุณหลวงรู้ไหม ทำไมเขาใช้ตราพญานาค...เพราะพญานาคเป็นสัตว์น้ำที่มีฤทธิ์อำนาจมาก สามารถจะแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ นาค...เป็นเจ้าแห่งงูทั้งหลาย มีร่างเป็นงูและมีหัวของจระเข้อาศัยอยู่ในบาดาลใต้ทะเลและใต้พื้นดิน”
คุณหลวงมองหน้าสารวัตรองอาจ ในอาการช็อก “คุณ..เป็นไปไม่ได้!”
“ในหมู่ตำรวจ...ที่ตามล่าพวกใต้ดินอย่างโหดที่สุด ก็มีพวกใต้ดินปะปนอยู่...คุณหลวงน่าจะเข้าใจสิครับ ผมต้องมา..คืนนี้...เพราะมีข่าวลับสุดยอดมาบอก...เชลยตาน้ำข้าวของเราเห็นทีจะยังไม่ได้กลับไปง่ายๆ เสียแล้ว เพราะเรือดำน้ำจากลังกาชุดแรกที่จะมา กำหนดเวลานัดผ่านไปแล้ว และยังไม่มีวี่แววข่าวคราวจากที่ไหนเข้ามาแจ้งอะไรเลย พิกัดตำบลก็ไม่มี...มืดแปดด้าน คุณหลวงควรรีบประสานไปทางพลพรรคหัวเมืองชายฝั่งอันดามันทั้งหมดไว้ก่อน ด่วนที่สุด เพราะ...หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ทางผม...ก็คงช่วยอะไรไม่ได้”
สีหน้าแววตาของคุณหลวง สับสน ว้าวุ่น หนักใจมาก
หิ่งห้อยตัวน้อยบินมาจับคู่ พลันลมพัดโชยมา ทำให้หิ่งห้อยทั้งสองบินแยกกันไป เสียงหริ่งหรีดเรไรดังระงมระคนเสียงแว่วของเครื่องจักรจากอู่ต่อเรือ
ดวงดาวพร่างพราย ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า
อังศุมาลินยืนพิงอยู่ใต้ลำพู เหม่อมองไปไร้จุดหมายอยู่เงียบๆ
ระหว่างนั้นยินเสียงฝีเท้าชายคนหนึ่ง ก้าวเดินใกล้เข้ามา
“ใคร”
“หมอเอง อังศุมาลิน หมอเจอโกโบริมา...เขาบอกว่า...ยังไม่ได้มาที่นี่เลย เพราะงานเร่งมือ”
“ค่ะ ไม่จำเป็นต้องบอกดิฉันหรอก” อังศุมาลินรู้สึกปวดใจ
หมอโยชิหัวเราะเบาๆ “โกโบริเป็นคนสองธาตุที่ตรงกันข้ามอยู่ในตัวเอง ทั้งความเข้มแข็งและความอ่อนโยน ทั้งความรักและความทระนง เหมือนเธอ อังศุมาลิน”
อังศุมาลินฉุนนิดๆ “หมออย่าเอาดิฉันเข้าไปเทียบดีกว่า”
“เธออ่อนหวาน และมีอารมณ์อ่อนไหวสะเทือนง่าย แต่ชีวิตที่ต้องต่อสู้มาตลอด เธอเลยใช้ทิฐิมานะมาเป็นสิ่งกำบังความอ่อนแอในตัวเธอ”
อังศุมาลินตัดบท “พอเถอะค่ะ หมอ”
“ความใจแข็งเป็นสิ่งดี แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้านำมันมาใช้กับคนที่เรารัก”
“หมอหมายถึงอะไรไม่ทราบคะ” อังศุมาลินย้อนถามท่าทีดื้อรั้น
“ชีวิตคนเรามันไม่ยืนยาวนักหรอก โดยเฉพาะเวลากับคนที่เรารัก มักจะผ่านไปเร็วเสมอ หมอเคยผ่านมันมาแล้ว อังศุมาลิน...ไม่ว่าสิ่งรอบตัวจะหมุนเปลี่ยนไปแค่ไหนอย่างไร แต่หัวใจก็ยังอบอุ่นเปี่ยมความหวัง ถึงวันเวลาจะเลยผ่านไม่ย้อนกลับคืน หมอก็ยังมีความสุข จำไว้อังศุมาลิน...หากเราเปิดใจยอมเข้าใจในรัก ดวงไฟแห่งรักนั้นจะลุกโชนหล่อเลี้ยงเราไว้ตลอดไป”
“ขอบคุณนะคะหมอ ดิฉันยังไม่ได้ต้องการดวงไฟจากใครที่ไหน” อังศุมาลินยิ้มเยือกเย็น
หมอโยชิถอนหายใจ พลางแหงนมองฟ้า เห็นดาวพราวระยับเต็มท้องฟ้า
“ท้องฟ้าสวย เหมาะกับการที่จะมายืนนึกถึงใครสักคน”
คำพูดของหมอโยชิ ทำเอาอังศุมาลินหน้าร้อนผ่าว
“หมอจำวนัสได้ไหม วันที่เขาลาไป เขาก็มายืนลาดิฉันที่ตรงนี้ ถ้าหากจะเป็นใครสักคนที่ควรคิดถึงก็ควรเป็นเขา” อังศุมาลินว่า
“นั่นก็สุดแล้วแต่ ว่าใครสักคนที่ควรให้เธอคิดถึง...ใคร...จะสำคัญกว่าใคร มันเป็นสิทธิของเธอ”
อังศุมาลินตอบอย่างถือดี “ไม่มีคนอื่นอีก สำหรับดิฉันแน่ค่ะ”
ระหว่างนั้นเสียงซามิเซ็งแว่วดังลอยมากับลม
“ซาโดะอาเกซะ” หมอบอก
อังศุมาลินกำมือแน่นทันที
“เพลงพื้นเมืองของเขา..หมอไปละ”
โยชิหันหลังเดินกลับ อังศุมาลินมองตาม
ผิวน้ำเป็นประกายระยับ ยินเสียงซามิเซ็งแสนเศร้าที่ยังดังแว่วกล่อมไปทั่วบริเวณ
ส่วนโกโบริที่เล่นซามิเซ็ง อยู่อย่างเศร้าๆ เหงาๆ แล้วชะงัก หยุดเล่น อังศุมาลินเดินมาที่ท่าน้ำ ทอดสายตามองนิ่ง ดูเงาจันทร์ ที่ผิวน้ำเหงาๆ
สีหน้าของโกโบริ เหมือนตัดสินใจเด็ดขาด ว่าจะเศร้าไปไย ไม่มีประโยชน์เลย
ขณะที่อังศุมาลินมองเหม่อ พลันเสียงดนตรีขาดหายไปกะทันหัน อังศุมาลินชะงัก อึ้งไป
ฝ่ายโกโบริหยุดเล่น วางซามิเซ็งลง เดินไปมา คิดหนัก แล้วสีหน้าเปลี่ยน ตัดสินใจ เป็นไงเป็นกัน
ครู่ต่อมา อังศุมาลินมีท่าทีสับสนใจ เดินไปนั่งลงที่ม้านั่งตรงสะพาน หิ่งห้อยน้อยบินมาเกาะกลุ่มกันที่ต้นลำพูอีกครั้ง ตัวหนึ่งบินมาเกาะที่หลังมือบนตัก อังศุมาลินยกมือมาดู แล้วยื่นมือไปข้างหน้า แล้วสะบัดเบาๆ ให้หิ่งห้อยบินไป อังศุมาลินมองตามหิ่งห้อย ที่บินไปกลางลำน้ำ
ขณะที่โกโบริเร่งฝีเท้าก้าวผ่านสุมทุมพุ่มไม้อย่างเร่งร้อน เท้าคู่นั้นเดินมาก้าวหยุดยืน หันมองผ่านต้นลำพู เห็นเสี้ยวหลังอังศุมาลินที่นั่งอยู่ที่ท่าเรือ
อังศุมาลินได้ยินเสียงฝีเท้า ชะงัก นั่งตัวตรงขึ้น
อังศุมาลินหันมาครึ่งๆ เอ่ยขึ้น “ดิฉันนึกว่าหมอจะกลับไปแล้วเสียอีก”
เสียงโกโบริดังขึ้น “ผมเอง”
สีหน้าอังศุมาลินวูบหนึ่งนั้นดีใจอย่างประหลาด รีบหันหน้ากลับไป บีบมือตัวเอง ระงับความรู้สึก
โกโบริเดินเข้ามาอีกสองสามก้าว “หมอโยชิแวะมาหาคุณหรือ”
อังศุมาลินพยายามกดข่มความดีใจ ไม่ยอมหันมา ก้มหน้าลง ซ่อนความรู้สึก
“ค่ะ หมอว่างเลยแวะมาคุย..เท่านั้น”
โกโบริตอบเสียงอ่อนโยน “ยังดีที่หมอมีเวลา ผมสิ...ไม่ว่างเอาเลย”
อังศุมาลินเงียบไปพักหนึ่ง “ค่ะ ทราบแล้ว”
โกโบริมองแต่ข้างหลัง ที่ไม่ยอมหันมา “แต่ถึงผมจะมีเวลา คุณก็คงไม่อยากคุยด้วย”
อังศุมาลินยืนนิ่ง
โกโบริอดขำตัวเองไม่ได้ “แล้วเราจะยืนคุยกันแบบนี้ละหรือ”
พลางโกโบริสาวเท้าก้าวลงไปที่ท่า ซึ่งแคบและเนื้อที่จำกัด แล้วหันมายืนประจันหน้าอังศุมาลิน
“คิดถึงคุณมาก แต่งานยุ่งวุ่นวายเหลือเกิน...ผมเล่นซาโดะอาเกซะแล้วคิดถึงคุณ จนอดไม่ไหว…”
อังศุมาลินมองหน้าอีกฝ่าย รีบปรับสีหน้าเป็นเย็นชา ไม่ยินดียินร้าย
“ซึ่งคุณก็ไม่ได้สนใจอะไร”
ถ้อยคำตัดพ้อนั้น ทำให้อังศุมาลินรู้สึกหวั่นไหวมาก รีบหันเดินหนีขึ้นจากท่าเรือ
โกโบริ เสียใจ น้อยใจ หน้าซีด หันตามมา ถามเสียงกระด้างเย็นชา “คุณทราบกำหนดการหรือยัง”
อังศุมาลินหยุดเท้า ทำเสียงเย็นชาขณะตอบ “ทราบแล้ว”
อังศุมาลินเดินต่อไปอย่างแน่วแน่ ช้าๆ อย่างไร้เยื่อใย
โกโบริมองตาม รีบก้าวจากท่าน้ำ ตามไป หน้าตาดื้อ ไม่ยอมแพ้
อังศุมาลินเดินหนีมาได้ไม่กี่ก้าว โกโบริรีบตามมา
โกโบริรีบยิงไม้เด็ด เพื่อยื้อ หวังเอาหมอมาอ้างบังหน้า “คือ...คุณหมอโยชิ...ท่านมาคุยกับผม...ท่านขอร้อง..ว่า เราควรคุยกัน ก่อนที่อะไรมันจะ..สายไป”
ได้ผลอังศุมาลินหยุดเท้ากึก แต่ตีความหมายไปอีกอย่าง ตรงกันข้าม หันขวับไป ทำหน้าเยาะ
“งั้นเหรอคะ...แต่ฉันว่าตอนนี้ทุกอย่างมันสายไปหมดแล้ว งานใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ถ้าเราสองคนตกลงกันได้แล้วงานมันจะล้มเลิกหรือคะ”
โกโบริผงะ ผิดคาด นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วชักพาลขึ้นมาบ้าง เดินมาเผชิญหน้า
“คุณก็รู้เท่าๆ กับที่ผมรู้ ว่าไม่มีทางแก้ไข ทุกอย่างผมก็พยายามทำให้มันดีที่สุด แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องบานปลายมาขนาดนี้...” ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจ “ไม่เป็นไรหรอก คุณ...อาจไม่ต้องทนผมนานหรอก”
ถ้อยคำน้ำเสียงของโกโบริน้อยใจสุดๆ
“ตอนนี้สงครามกำลังคุกรุ่น เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน บางทีผมอาจจะถูกย้ายไปไกลๆ จริงๆ จนไม่ได้กลับมา ถ้าคุณเบื่อหน้าผมเต็มทน ผมก็จะรีบขอย้ายลงไปประจำในเรือซะ แล้วถ้าคุณหากคุณโชคดี ผมก็คงจะโชคร้ายเร็วขึ้น”
อังศุมาลินปรี๊ดขึ้นมา พูดแดกดัน “ตามใจคุณเถอะ คุณจะจัดการยังไงก็ได้ ขอให้เร็วๆ ก็แล้วกัน”
โกโบริขุ่นมั่วในใจ เริ่มเหวี่ยง “ผมนึกอยู่แล้วว่าจะได้ฟังคำตอบอย่างนี้...วันไหนที่ผมขาดใจตายไปต่อหน้า คงเป็นวันที่คุณมีความสุขที่สุดสินะ”
“ใช่ซี้ ใช่ ฉันจะรอวันนั้น!”
พอพูดไปแล้ว อังศุมาลินรู้สึกตัวว่า ใจร้ายเกินไป ก็ใจหายวาบ แต่แล้ว พอเห็นว่าโกโบริมองอยู่ ก็รีบทำหน้าเอาชนะต่อ ทั้งสองประสานตากันอย่างดุเดือด
“คุณตั้งใจภาวนาเข้าเถิด วันที่คุณหวังจะได้มาถึงเร็วๆ สมใจคุณ”
“ฉันทำแน่ ไม่ต้องกลัวหรอก”
“ผมไม่กลัวความตาย เคยคิดด้วย ว่า...ความตายจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทำให้ผมมีความสุขอย่างแท้จริง” น้ำเสียงโกโบริฟังออกว่าขมขื่นมาก
อังศุมาลินเงียบกริบ ยืนนิ่ง
โกโบริมองหน้าอังศุมาลิน แล้วยิ่งน้อยใจ หันไป มองฟ้า แล้วไม่วายพูดแดกดัน
“คืนนี้ฟ้าสวย คุณคงอยากใช้เวลาสำหรับระลึกถึงคนที่คุณรัก หรือบนบานศาลกล่าว..แช่งคนที่คุณเกลียดก็ได้ ผมคงต้องกลับเสียที”
โกโบริขยับชิดเท้าก่อนจะหันตัวกลับ อังศุมาลินมองตามไป รู้สึกเสียใจ
แรงลมโชยพัดกิ่งลำพู พลันหิ่งห้อยน้อยบินแตกตัวแพรวพราว โกโบริเดินผ่านดงหิ่งห้อย
ยินเสียงอังศุมาลินดังตามมา “คุณมีงานมากนักหรือ”
โกโบริชะงัก นึกว่าหูฝาด หยุดยืน หันกลับไป
อังศุมาลินชักเก้อเขิน ทำเสียงเหมือนใส่ใจมากนัก “ได้ยินเสียง...ทำงานกัน...ทั้งวันทั้งคืน”
โกโบริมองมา พูดกวนๆ “ก็...มาก ต้องเร่งต่อเรือ...สำหรับขนของ”
พอดีหิ่งห้อยบินล้อมหน้าล้อมหลัง โกโบริเอื้อมมือคว้าหิ่งห้อยไว้ในมือตัวหนึ่ง มาส่องดูใกล้ๆ
“ภาษาไทยเรียกว่าอะไร” โกโบริถาม
“หิ่งห้อย” อังศุมาลินบอก
โกโบริพูดตาม “หิ่ง-ห้อย”
อังศุมาลินอธิบาย “เราถือกันว่ามันคือดวงวิญญาณของผู้ชายที่จุดโคมตามหาภรรยาที่จมน้ำตาย เธอชื่อลำพู เหมือนชื่อต้นไม้ต้นนี้ มันเลยชอบมาเกาะ...ที่ต้นลำพู”
อังศุมาลินพูดไป ก็นึกถึงวนัสขึ้นมา เลยเงียบไป
“ญี่ปุ่น เราก็มี นิทานคล้ายๆ อย่างนี้ เรื่องเจ้าหญิงทอหูกกับคนเลี้ยงแกะ สองคนนี้รักกัน แต่ถูกพ่อแม่ขัดขวาง พรากทั้งสองไปจนไม่ได้เห็นหน้ากันอีก ท้ายสุดเทวดาสงสาร จึงบันดาลให้ทั้งสองกลายเป็นดวงดาวอยู่บนฟ้า...คนละฟากของทางช้างเผือก แล้วจะได้โคจรมาพบกันปีละครั้ง ในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด พอถึงเทศกาลทานาบามัตซุริ เราก็จะตกแต่งโคมกระดาษรูปดอกไม้ปักโค้งเข้าหากัน แทนดวงดาวทั้งสอง…”
โกโบริถอนใจ พลางแบมือปล่อยหิ่งห้อยน้อยในมือให้บินกลับกลุ่มตามเดิม มองตามไปไม่ละสายตา
“ความรักก็มักมีแต่เรื่องเศร้าเสมอ เจ้าตัวนี่มันยังต้องคอยตามหาคนรักตลอดชีวิต...คุณมีคนที่คอยคุณอยู่บ้างไหม” โกโบริหันมา
ทีแรกอังศุมาลินก็ตั้งใจฟัง แต่พอโกโบริหันมา ก็รีบทำหน้าเนือยใส่ ทำเสียงเย็นชาตอบห้วนๆ
“มี”
โกโบริก้มหน้ารับ ปลงๆ
“คุณถึงเกลียดผมนัก” โกโบริโค้ง “ขอโทษ...ที่...เป็นต้นเหตุ ของปัญหาทั้งหมด”
อังศุมาลินรู้สึกผิด “ไม่...ไม่ใช่ขนาดนั้นหรอก...เขา” อยากอธิบายมากกว่านี้ แต่ก็กลัวเสียฟอร์ม “เอ้อ...แค่...ขอให้คอย...ก็...เท่านั้น”
“และคุณก็คิดว่า...จะคอยเขา...ใช่ไหม”
อังศุมาลินเงียบไม่ยอมตอบ มองหิ่งห้อยไป เพื่อไม่หันมาให้เห็นหน้า
โกโบริพูดท่าทีมึนชา “เข้าใจแล้ว...ถ้า...คุณบอกผมให้เข้าใจก่อนหน้านี้ก็จะดี”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่...”
โกโบริตอบเอง “คุณหวังจะรักษาคำมั่นสัญญาให้ได้” พลางหัวเราะเยาะตัวเองเบาๆ “ดีแล้วที่เราได้คุยกัน...ผมจะลองหาทางดูว่าจะทำอะไรได้อีกบ้าง พรุ่งนี้ผมจะลองเข้าไปคุยกับลุงผมและทางนู้นดู อาจจะแก้ไขอะไรได้บ้างกระมัง...แต่อย่าเพิ่งหวังอะไรไปมากนัก เพราะเรา...ถูกมัด ให้กระดิกตัวไม่ได้ทั้งคู่”
ทั้งสองมองหน้ากัน อังศุมาลินอยากรู้ ว่าโกโบริคิดอะไรแน่
โกโบริยิ้มตอบ แววตาเหนื่อยๆ หมดอาลัยตายอยาก
อังศุมาลินใจหายแปลกๆ
แสงไฟจากตะเกียงที่แขวนเหนือบันได แพนเฉียงลงมาช้าๆ รับทั้งสองคนที่เดินมาด้วยกันตามทางเดินมืดๆ สู่รัศมีของแสงที่แผ่ออกมา สองคนอยู่ห่างจากตัวเรือนพอควร เหมือนมาส่งกลายๆ
อังศุมาลินหยุด หันไป
โกโบริหยุดตาม ยืนสงบอยู่ข้างหลัง
อังศุมาลินสงสัยขึ้นมาบ้าง “แล้วคุณ...มีใครคอยอยู่บ้างไหม”
โกโบริมองตอบ แววตาสงบ “มี”
อังศุมาลินหน้าร้อนวูบ
โกโบริสีหน้าอ่อนโยน พูดสุ้มเสียงนุ่มนวล
“มีผู้หญิงคนหนึ่ง..คอยผมอยู่เสมอ คงเป็นผู้หญิงคนเดียว..ที่รักผมอย่างจริงใจ และอาจเป็นผู้หญิงคนเดียว ที่สวดมนตร์ให้ผมทุกคืน ในขณะที่ผู้หญิงคนอื่น...” คิดขึ้นมาแล้วท้อใจ อ่อนล้า “ช่างเถอะ สำหรับตัวผมมีแค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว ไม่เคยได้มีอะไรเป็นของตัวเองจริงๆ เลย..ชีวิตเป็นของพระจักรพรรดิ หัวใจเป็นของคนอื่น ร่างกายก็คงต้องฝากไว้กับพระแม่ธรณี...แต่จะที่ไหนก็ยังไม่ทราบ” โกโบริยิ้มออกมาขำๆ ปลงๆ “ตลกดีนะครับ ที่คนเราเกิดในที่นึง แต่ตอนตาย...ต้องไปนอนอ้างว้างโดดเดี่ยว..อยู่ในที่อีกแห่งนึง”
อังศุมาลินอึ้ง แต่ก็ฝืนปลอบใจอย่างหดหู่ “สักวัน...คุณก็จะได้กลับไปหาเธอ”
โกโบริมองหน้าอังศุมาลิน ยิ้มสะใจ “ไม่ใช่เธอ แต่เป็นท่าน...เพราะผู้หญิงคนนั้น คือแม่ของผมเอง...ดึกแล้ว คุณเสียเวลาคุยกับผมนานเทียว ผมคงต้องขอลาเสียที” ก้มโค้งลา แล้วหันกลับ เดินจากไป
อังศุมาลินน้ำตารื้น เรียกไว้โดยไม่ทันตั้งตัว “โกโบริ”
โกโบริหยุดยืนนิ่งรอฟัง
อังศุมาลินบอกอย่างจริงใจ “คืนนี้..ฉันจะสวดมนตร์ให้คุณ”
โกโบริยิ้มขมขื่นขณะหันมา “ขอบคุณ...แต่อย่าเลย คุณควรสวดให้คนที่คุณรอดีกว่า เพราะชีวิตเขามีความหมายกว่าผม” โค้งอีกที ต่ำกว่าเดิม แล้วหันกลับ เดินหายไปในความมืด
อังศุมาลินมองตามไป ใจหาย น้ำตาไหลริน
ทันใดนั้น มีสายลมเย็นกระโชกมาพัดใบไม้แห้งที่พื้น ปลิวขึ้นมา
อังศุมาลินกอดตัวเอง มองรอบๆ ลมพัดโชยใบหน้าเสื้อผ้าผมปลิวสยาย แหงนมองสูงผ่านต้นไม้ ที่ไหวแกว่งในสายลมไปสู่ท้องฟ้าสีเทาเบื้องบน
อังศุมาลินกระซิบไปในสายลม
“วนัสกลับมา...เอาคำสั่นสัญญาของคุณคืนไป วนัส เอาคืนไป...ๆ”
ปลายเสียงของอังศุมาลินสะท้อนกลับมาเบาๆ
อังศุมาลินกอดตัวเองยืนเดียวดายเพียงลำพังในสายลมแรงนั้น
ติดตาม "คู่กรรม" ตอนที่ 14