คู่กรรม ตอนที่ 10
บริเวณลานวัดเช้าวันนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยริ้วธงหลากสี เสียงเครื่องดนตรีกลองโทน รำมะนา ฉิ่งฉาบ และระนาดเอก ผสานกันอย่างสนุกสนาน ด้วยฝีมือของหนุ่มๆ ชาวบ้าน และตาแกละ ที่ช่วยกันบรรเลงและร้องเพลงอย่างสนุกสนาน
ชาวคณะวงรำโทนที่มีตาแกละเป็นหัวหน้า แต่งชุดสีสันสดใส ใบหน้าประแป้ง ทัดดอกไม้ที่หู ชาวบ้านปากคลองธนบุรียิ้มแย้มแจ่มใส อยู่ในเทศกาลรื่นเริง
“วันสงกรานต์ ๑๓ เมษายน ๒๔๘๖”
เสียงร้องเพลง “งามแสงเดือน มาเยือนส่องหล้า งามใบหน้า เมื่ออยู่วงรำ งามแสงเดือน มาเยือนส่องหล้า งามใบหน้าเมื่ออยู่วงรำ เราเล่นเพื่อสนุก เปลื้องทุกข์วายระกำ ขอให้เล่นฟ้อนรำ เพื่อสามัคคีเอย...”
ดังไปทั่วลานรำวง ที่ปักด้วยเสา สี่ต้น สี่มุม ประดับติดพวกใบกล้วย ก้านมะพร้าว ดอกไม้ สีสดใสๆ ทั้งพุทธรักษา เฟื่องฟ้า เล็บมือนาง ตามแต่จะหาได้
ยายเมี้ยน แมว แม่วัน แต่งตัวสวยงาม รำไปกับพวกหนุ่มๆ มีข้าราชการบ้าง และเคสุเกะแต่งเครื่องแบบทหาร แต่ประแป้งทัดดอกไม้ มารำป้อคู่กับแมว
“โห..แม่วัน...จะรำสวยเกินหน้าเกินตาไปหน่อยแล้ว” ยายเมี้ยนชม
“ไหนๆ กรมศิลป์เขาคิดท่าใหม่มาให้สวยงามทั้งที เราก็ต้องรำไปตามแบบแผนหน่อย” แม่วันว่ายิ้มๆ
“เขาถึงเรียกว่ารำวงมาตรฐานไงแม่ สมัยนี้ไม่มีใครเขารำตามมีตามเกิดแบบแม่หรอก... เชยแล้ว” แมวบอก
ยายเมี้ยนฮึดฮัด ค้อนปะหลักปะเหลือก “หนอย...แม่ลูกคนนี้”
อีกด้านหนึ่ง มีการก่อเจดีย์ทราย โดยพวกเด็กๆ หนุ่มๆ สาวๆ ช่วยก่อกัน ประกวดประขัน หลายๆ แบบ อย่างสนุกสนาน
พระพุทธรูปประจำวันปางวันเกิด วันต่างๆ ตั้งเรียงรายอยู่บนศาลาการเปรียญ แม่อร ยายศร กำลังสรงน้ำพระพุทธรูปกัน
หลวงพ่อ เดินนำตาบัว ตาผล ที่ยกหม้อใบใหญ่ ใส่ถั่วเขียวต้มน้ำตาลมา มีเด็กวัด 4 คน ยกถาดใส่ถ้วยช้อน และหม้อน้ำดื่ม และแก้วสังกะสีตามมา กำนันนุ่มมาช่วยจัดแจง
หลวงพ่อเอ่ยกับชาวบ้านในศาลา “เอ้า...เดี๋ยวพอเหนื่อยกัน หิวกัน ก็มีนี่นะ ถั่วเขียวต้ม แล้วก็น้ำมะตูม กำนันบอกทุกคนบริการตัวเองได้เลย”
กำนันนุ่มถามไถ่สองเกลอ “หายไปนานเลยนะ ตาบัว ตาผล...ตำรวจเขาปล่อยตัวออกมาแล้วเหรอ”
“โอ๊ย..มือชั้นนี้” ตาผลคุยฟุ้ง
“จุ๊ๆๆๆ” ตาบัวทำหน้ามีลับลมคมนัย
“เอ้อ..ก็..นั่นแหละ ใช่ๆ ปล่อยตัวแล้ว” ตาผลยิ้มเรี่ยราดให้กำนัน มีพิรุธเต็มๆ
กำนันนุ่มมอง งงๆ
“ไม่มีอะไรร้อก..เราไม่ผิดนี่ ญี่ปุ่นมันผิด” ตาบัวพูดพลางทำหน้าแอ๊คติ้งแต่ไม่เนียน
ด้านโกโบริ หมอทาเคดะ และทหารญี่ปุ่น 4 คน เดินดูสิ่งต่างๆ มาตามบริเวณลานวัด อย่างตื่นตาตื่นใจ ด้วยใม่เคยเห็น มีสาวชาวบ้านมารุมสาดน้ำ ด้วยขันเล็กๆ เอาดอกไม้จุ่ม มาพรมๆ บ้าง พวกทหารญี่ปุ่นโค้งๆ ขอบคุณ ส่วนสาวๆ หัวเราะกันคิกคัก
หมอทาเคดะมองไปรอบๆ แล้วสะกิดโกโบริยิกๆ โกโบริงง หมอบุ้ยใบ้พยักพเยิดไปทางหนึ่ง
ตรงลานนั้น มีเด็กๆ และหนุ่มสาว และคนแก่ด้วยจำนวนหนึ่ง ละเล่นกันอยู่ ซึ่งมีอังศุมาลิอยู่ในกลุ่มนั้น และแต่งตัวที่ดูเป็นไทยมากกว่าปกติ อังศุมาลินกำลังถือผ้าขาวม้าที่ขมวดบิดเป็นเกลียว เอาซ่อนไว้ข้างหลังตัวเอง แล้วเดินวนรอบวง เพื่อเตรียมจะซ่อนผ้า
คนในวงนั้นร้องขึ้นพร้อมกัน “มอญซ่อนผ้าตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไว้โน่น ไว้นี้ ฉันจะตีก้นเธอ”
โกโบริกับทาเคดะและพวกทหารเดินมาเรื่อยๆ ดูอย่างสนใจ
อังศุมาลินมัวแต่จดจ่อใส่ใจการเล่น มองแต่คนในวง ไม่ได้หันไปเห็นโกโบริ
จังหวะนั้นอังศุมาลินทิ้งผ้าลงหยอดอย่างแนบเนียน ที่หลังเด็กคนหนึ่ง เด็กไม่รู้ตัว ร้องต่อไป
“มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง...”
ทุกคนหัวเราะคิกคักๆ ขำๆ เพราะอังศุมาลินกำลังจะเดินมาครบรอบที่หลังเด็กคนนั้นแล้ว และจะได้ตีเด็ก โดยที่เด็กคนนั้นไม่รู้ตัว นั่งตบมือร้องไปเหมือนคนอื่นๆ และงงๆ ว่าเขาหัวเราะอะไรกัน
โกโบริหัวเราะออกมา แล้วดันชี้บอกเด็ก “ข้างหลังๆ”
เด็กรู้ตัวหันไปดูจึงเห็นผ้า รีบลุก คว้าผ้า คนในวงหัวเราะฮากัน
อังศุมาลินหันไปเห็นโกโบริ อ้าปากค้าง ฉุนขาด “อะไร.. ขี้โกงนี่”
เด็กคนนั้นคว้าผ้าได้ วิ่งไล่ตีอังศุมาลินอย่างสนุกสนาน
อังศุมาลินชี้หน้าคาดโทษโกโบริ แล้ววิ่งหนีเด็กรอบวง
ทุกคนขำฮาถ้วนทั่ว โกโบริสนุกกว่าใคร
ในที่สุด อังศุมาลินต้องยอมให้เด็กตีก้น
ระหว่างนั้นกำนันนุ่มเดินตรวจตรา มาถึงบริเวณวงมอญซ่อนผ้านี้พอดี เห็นโกโบริกับพวกญี่ปุ่นยืนดูอยู่ ยิ้มขำๆ จึงร้องทัก ชวนเล่นด้วย
“เอ้าๆ นายช่าง คุณหมอ ลองมาเล่นดูสิ เอ้าๆ พวกเราขยายวงหน่อย”
โกโบริ และทาเคดะ กับพวก เข้ามานั่งรวมในวง
“เมื่อกี้โกโบริโกง ให้โกโบริเป็นมอญเลยค่ะ” อังศุมาลินบอก
“เออ...ดีเหมือนกัน ให้ญี่ปุ่นเป็นมอญนะ” กำนันเห็นด้วยเอาผ้าจากเด็ก ส่งให้โกโบริถือ
ทุกคนเฮ ขำกัน
อังศุมาลินร้องมอญซ่อนผ้าขึ้นอีกที ทุกคนร้องตาม
โกโบริลุกขึ้น เดินรอบวง แกล้งทำท่าเหมือนวางผ้าหลังคนนั้นคนนี้ ก้มๆ แต่ไม่วางจริง พอถึงอังศุมาลิน ก็วางผ้าทันที
ทุกคนขำ ซึ่งอังศุมาลินก็เดาได้เลย หันไปคว้าผ้าแล้ววิ่งไล่ตีเอาจริงมากๆ โกโบริวิ่งหนีไปรอบๆ แต่ไม่ทัน อังศุมาลินวิ่งถลัน เข้าไปตีๆๆ ฟาดๆๆ โกโบริหันมา หัวเราะให้ตีอย่างมีความสุข
อังศุมาลินตีๆๆ แล้วมองโกโบริ ท่าทางโมโหปนขำ สองคนหัวเราะกัน
กำนันนุ่มมองภาพนั้น แล้วชะงัก สังสัยตงิดๆ ในใจ ชักจะยังไงซะแล้วสองคนนี้
ตกกลางคืนที่ท้องทะเลกลางมหาสมุทรอันมืดมิด เห็นเรือกลไฟใหญ่แล่นมา ท่ามกลางคลื่นแรง
“การเดินไปอินเดียของเสรีไทยสายอังกฤษ กำหนดถึงอินเดียวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๖”
พิชัยกำลังอ้วกโอ้กอ้ากอย่างแรง วนัสซึ่งอยู่ในชุดเสื้อกล้าม และกางเกงขาสั้น ช่วยลูบหลังให้
ท่านชาย ที่กำลังนอนเงยหน้ามาดู
“อะไรกันนี่...พรุ่งนี้ก็จะขึ้นฝั่งอยู่แล้ว พิชัยยังไม่หายเมาเรืออีก”
พิชัยเงยหน้า ดื่มน้ำ บ้วนปาก หันมาหา “กระหม่อมคงเครียดด้วยกระมัง พรุ่งนี้เราคงต้องแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ แล้วใช่ไหม”
“ใช่.. อรุณจะไปเดลลี่ ไปปฏิบัติงานด้านวิทยุกระจายเสียงที่นั่น ส่วนผมกับท่านชายจะไปอยู่ “กลุ่มช้างเผือก” กับพวกของป๋วย ไปฝึกการรบแบบกองโจรที่นอกเมืองปูนา” วนัสว่า
“นั่นแปลว่าผมต้องไปที่การาจีคนเดียวไง” พูดจบพิชัยก็ก้มลงไปอาเจียนต่อ
“เอาน่า...อีกไม่นานเราคงได้เจอกันที่เมืองไทยอยู่ดี” อรุณบอก
“ภาวนาให้แผนใช้เรือดำน้ำเข้าไปทางจังหวัดพังงาสำเร็จทีเถอะ” ท่านชายเอ่ยขึ้น
“ต้องสำเร็จแน่ๆ ท่าน” อรุณว่า
“พรุ่งนี้พอถึงบอมเบย์ปุ๊ป.. ผมจะขอกินข้าวกับแกงกะหรี่ให้หายอยากเลย เบื่อซุปเอียนๆเต็มทีแล้ว” พิชัย พูดๆ แล้วทำคอขย้อนจะอ้วกอีก
“อะไรกันคุณพิชัย...อาเจียนไป คิดถึงอาหารไป ใครเคยเห็นมั่ง คนบ้าอะไรแบบนี้”
วนัสแซว ทุกคนหันมา รุมขว้างของใส่พิชัยกันพัลวัน
“เดี๋ยวก่อนๆ เรายังไม่มีชื่อปลอมใช้เป็นรหัสลับกันเลยไม่ใช่เหรอ”
วนัสท้วง ท่านชายลุกขึ้นมา ทุกคนเข้ามารวมกัน สนใจ สุมหัวคิด
เช้านั้นพวกเชลยฝรั่งโดนต้อนให้เดินไปตามทางในป่าของบ้านโป่ง
“การเดินเท้าจากสถานีรถไฟบ้านโป่ง ไปค่ายเชลย กาญจนบุรี”
อาจารย์โทมัสเป็นลม ล้มลง ไมเคิ่ลเข้ามาประคอง ทหารญี่ปุ่นที่คุมอยู่เข้ามาดุๆ ให้ลุกเดิน
“อดทนหน่อยครับ อาจารย์” ไมเคิลบอก
“ผมคงตายที่นี่..ผมไม่รอดแน่ ไมเคิ่ล” โทมัสหน้าตาไม่ดีเลย
“อาจารย์ต้องไม่ตายครับ กัดฟันสู้ สงครามจะต้องจบเร็วๆ นี้ ฝ่ายเราต้องชนะ” ไมเคิลปลอบ
“ผมคงไม่ไหว..มิสเตอร์ไมเคิ่ล..ถ้ายังไง..ฝาก..ส่งข่าวถึงครอบครัวผมด้วย” โทมัสล้วงกระเป๋า หยิบกระเป๋าสตางค์มาเปิด พร้อมกับหยิบภาพที่เขียนที่อยู่ “นี่คือ..ที่อยู่ของ...”
โทมัสพูดไม่ทันจบทหารญี่ปุ่นกระชากกระเป๋าไปจากมือทันที
“โน” โทมัสกระโดดแย่งคืน
เลยถูกพวกทหารญี่ปุ่นเข้ามารุมยำ ตุ้บๆ ตั้บๆ ไมเคิลจะช่วย แต่โดนญี่ปุ่นอีกกลุ่มมาล็อก และลากตัวไป
ตอนกลางวัน
ตัวละครโกโบริ นากามูระ หลวงชลาฯ ข้าราชการไทย 5 คน ทหารญี่ปุ่น 5 คน
ตอนกลางวัน ที่บ้านพิษณุโลก ซึ่งเป็นทั้งบ้านพักนายกรัฐมนตรี และสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง วันนั้นตรงกับ
“วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๔๘๖ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น พลเอก ฮิเดกิ โตโจ เดินทางมาเยือนประเทศไทย และเข้าพักที่บ้านพิษณุโลกในฐานะแขกของรัฐบาล”
มีทหารญี่ปุ่น ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายไทย จับกลุ่มอยู่หน้าตึกในบ้านพิษณุโลก กำลังเดินทางกลับ มีรถของหลวงชลาสินธุราช จอดอยู่ และรถทหารอีก 2 คัน
หลวงชลาสินธุราช เดินออกมาจากตึก กับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ 3 นาย
“ผมว่าที่ญี่ปุ่นยกรัฐเชียงตุง เมืองพาน และ ไทรบุรี ปลิส กลันตัน ตรังกานู คืนกลับให้เรานั้นมันต้องมีเงื่อนไขที่ไม่ธรรมดา”
“หลายคนก็คิดแบบนั้น” ข้าราชการคนหนึ่งบอก
ข้าราชการอีกคนเสริม “ท่านเห็นไหม ขนาดนายกเรายังไม่ดีใจเลย”
“ถ้าอย่างนั้นที่นายพลโตโจมาชวนนายกฯท่านไปเข้าร่วมการประชุมมหาเอเชียบูรพาที่ญี่ปุ่นปลายปีนี้” คุณหลวงปรารภขึ้น
“ผมว่าท่านคงไม่ไป” เพื่อนข้าราชการออกความเห็น
ระหว่างนั้นโกโบริเดินตามนายพลนากามูระมาที่รถ หลวงชลาสินธุราชหันไป มองตาม
“ที่ผ่านมาคุณทำได้ดีมาก ท่านนายพลโตโจฝากคำชมมาด้วย” นากามูระชื่นชมโกโบริ
“ขอบคุณครับ”
ทส. เปิดประตูรถรอ นากามูระก้าวขึ้นไปนั่งในรถ ทส.ปิดประตูให้ แล้วขับออกไป
โกโบริมองตามจนรถออกประตูไป หลวงชลาสินธุราช มองโกโบริไม่วางตา โกโบริหันไปเห็น โค้งคำนับให้อย่างมีมารยาท
แต่คุณหลวง แกล้งทำเป็นไม่เห็น เข้าไปนั่งในรถเนียนๆ และขับผ่านโกโบริไป โกโบริมองตาม งงๆ
กลางดึกคืนนั้นบ้านอังศุมาลินตอนตกอยู่ในความมืด มีเพียงแสงไฟสลัวๆ ลอดออกมาจากหน้าต่าง
มองขึ้นไปบนท้องฟ้า คืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย แต่มีเมฆบัง สักพัก เมฆลอยเลื่อนผ่านไป เผยเห็นพระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนฟ้า
เงายอดต้นกล้วยในสวนใกล้บ้านเอนลู่ไปตามสายลมอ่อนๆ เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม
ภายในห้อง อังศุมาลินนอนหลับพริ้มอยู่ในมุ้ง
“ปลายเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๘๖”
ทันใดนั้นก็มีเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังกระชั้นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัด
อังศุมาลินตกใจลืมตาตื่น รีบตลบชายมุ้งขึ้น พลิกตัวลงจากเตียง ไวเท่าความคิดอังศุมาลินรีบไปคว้าเสื้อแขนยาวที่แขวนอยู่บนไม้แขวนตรงประตูตู้เสื้อผ้าขึ้นมาสวม
แม่อรออกมาเคาะประตูหน้าห้องอังศุมาลิน รัวเร็ว ด้วยความตกใจ
“ยายอังๆๆ เสียงหวอลูก เร็วเข้า ยายอังๆ”
อังศุมาลินเปิดประตูห้องออกมา เห็นแม่อรหิ้วกระเป๋าเสื้อพะรุงพะรัง อีกมือหนึ่งกำลังประคองคุณยายศรที่กำลังหวาดกลัวอยู่
“ทำไมจู่ๆ มันมาทิ้งระเบิดกันอีกแล้วล่ะ เงียบไปตั้งเกือบปีแล้ว โอ๊ย..คุณพระคุณเจ้า” แม่อรบ่นอุบ
“แม่คะ...ใจเย็นๆ ก่อน เรารีบออกไปที่สวนเถอะค่ะ”
อังศุมาลินหันไปมองคุณยายที่กำลังหลบหลังแม่อร กลัวจนตัวสั่น
“แม่ไปหยิบเสื้อหนาๆ มาให้คุณยายใส่ก่อนดีกว่า หรือเอาผ้าห่มมาด้วยก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูจูงคุณยายลงไปรอข้างล่างก่อน”
“จ้ะๆ เดี๋ยวแม่ปิดบ้านเสร็จแล้วจะรีบตามลงไปนะ”
แม่อรหอบกระเป๋าพะรุงพะรังรีบวิ่งเข้าไปเอาเสื้อในห้องยายศร อังศุมาลินค่อยๆ จูงคุณยายไปที่ชานบันได
“เดี๋ยวยายอัง.. ไม่เอากระเป๋าเสื้อผ้าไปด้วยหรือลูก” ยายท้วง
“ไม่ละค่ะ หนูไม่มีของสำคัญอะไร” อังศุมาลินว่า
“ก็เอาไปเผื่อไว้.. ให้มันพอมีเหลือบ้างก็ยังดีนะ” ยายย้ำ
จังหวะนั้นนั้นก็มีเสียงเครื่องบินกระหึ่มเต็มท้องฟ้า แสงไฟเริ่มฉายกราดเป็นลำตัดกันไปมา
มีเสียงปืนต่อสู้อากาศยานดังขึ้นแต่ไกล
ยายศรสะดุ้ง อกสั่นขวัญแขวน อังศุมาลินสงสารนักค่อยๆ ปลอบ และประคองยายลงบันไดไปช้าๆ
“ค่อยๆ ก็ได้ค่ะคุณยาย ระวังพลาด ก้าวขั้นนี้ก่อนนะคะ ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบค่ะ หลังจากได้ยินเสียงหวอแล้วเรายังพอมีเวลาอีกประมาณ 5 ถึง10 นาทีเพื่อหาที่ หลบภัย”
ยายศรมองหน้าอังศุมาลิน ยิ้ม เริ่มอุ่นใจขึ้น ครู่ต่อมาอังศุมาลินค่อยๆ พายายลงมายืนรออยู่ที่หัวบันไดข้างล่าง
“แม่อรล่ะ มัวทำอะไรอยู่ ทำไมยังไม่รีบลงมาอีก”
“เดี๋ยวหนูขึ้นไปตาม แม่คะ แม่” อังศุมาลินเรียกขณะรีบวิ่งขึ้นบันไดไป
แม่อรกำลังที่หอบข้าวของพะรุงพะรังกำลังใส่กุญแจประตูห้องต่างๆ อย่างทุลักทุเล
“ยายอัง เร็ว.. มาช่วยแม่ลงกลอนประตูหน้าต่าง และใส่กุญแจที”
“โธ่..แม่ จะมัวเสียเวลาทำไม ใครเขาจะขึ้นมา มีแต่จะหนีเอาตัวรอดกันทั้งนั้น เราหนีกันก่อนดีกว่า ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้”
อังศุมาลินรีบจูงมือแม่ออกไป
“เดี๋ยวสิ ยายอัง เดี๋ยว...”
แต่แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงเครื่องบินดังอยู่เหนือศรีษะ มีเสียงระเบิดกลางอากาศอยู่หลายครั้ง
สักพักก็มีแสงสว่างวาบขึ้นราวกับเป็นกลางวัน แม่อรและอังศุมาลินหยุดชะงัก
“อะไร.. นี่มันแสงอะไร”
อังศุมาลินนึกออก “เรือบินทิ้งพลุ”
“พลุอะไร ทำไมมันสว่างอย่างกับกลางวัน” แม่อรว่า
ยายศรแหงนมองอย่างตกตะลึงอยู่เชิงบันได อุทานอย่างตกใจ
“แม่อร...ยายอัง!”
“แม่...รีบลงมาเร็วๆ เถอะค่ะ เร็วเข้า”
แม่อรรีบร้อนวิ่งตามอังศุมาลิน ปิดประตูนอกชานดังปัง แล้วลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
อังศุมาลินประคองยายที่มีผ้าห่มคลุมหัวกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่สวน แม่อรที่หอบของพะรุงพะรังรีบเดินตามมาอย่างรวดเร็ว
“คุณยายไหวนะคะ”
“ไหวจ้ะ.. ไหว”
แสงสว่างจากพลุยังคงส่องทางเดินให้เห็นเหมือนตอนกลางวัน เสียงเครื่องบินดังไกลออกไป
“คุณพระคุณเจ้า.. จะมาทิ้งระเบิดในไร่ในสวนทำไมก็ไม่รู้”
แม่อรพึมพำ ยายศรชักเหนื่อย หยุดเดินเอาดื้อๆ
“ทำไมสวนเรามันกว้างใหญ่แบบนี้.. จะถึงหรือยังน่ะแม่อัง”
“จะถึงแล้วค่ะ ตรงนั้นเอง”
ทั้งสามคนพากันออกวิ่งอีกครั้ง แม่อรช่วยประคองคุณยายศรอยู่ด้านหลัง ครู่หนึ่งทั้งหมดมาหยุดตรงท้องร่องที่เคยขุดเป็นขั้นบันได้ไว้
“ระวังหน่อยนะคะ มันชันนิดหน่อย”
อังศุมาลินส่งมือไปรับคุณยาย ยายศรค่อยๆ ย่อตัวลงต่ำ มีแม่อรช่วยประคองอยู่
จู่ๆ มีเสียงระเบิดดังขึ้นตูมใหญ่
ทั้งสามคนร้องเสียงหลง ตกใจ และไม่ได้ระวังตัวจึงลื่นไถลพรืดลงไปในคู ทั้งหมดกอดกันกลม ยายศรเอาสร้อยพระออกมาจากคอ กำไว้ในมือ สวดมนต์พึมพำ
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ ช่วยลูกช้างด้วย”
นับจากนั้น มีเสียงระเบิดดังกึกก้องเป็นระยะ ติดต่อกันไป อังศุมาลินกับแม่อรแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นเครื่องบินสามลำบินผ่านหัวไป
“ตรงนี้จะปลอดภัยแน่หรือลูก เครื่องบินอยู่บนหัวแบบนี้” แม่อรกังวล
“ถ้าเครื่องบินอยู่ตรงกลางหัวเราแบบนี้รับรองว่าเราไม่เป็นไรแน่ค่ะ หนูรู้มาว่าลูกระเบิดที่ถูกทิ้งลงมาจะวิ่งไปข้างหน้าเครื่องบินเสมอ”
สักพักมีเครื่องบินสามลำบินย้อนกลับมาทางเดิม โดยร่อนต่ำลงเฉียดยอดไม้
“ยายอังๆๆ มันบินกลับมาแล้ว คราวนี้เราเสร็จแน่”
ยายศรก้มหน้างุด สวดมนต์พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์
“หมอบค่ะแม่”
สิ้นเสียงบอกของอังศุมาลิน ปืนกลจากเครื่องบินก็กราดใส่อู่ต่อเรือ เห็นเปลวไฟลุกเป็นสีแดงฉาน
แม่อรและยายศรหลับตาปี๋กอดกันกลม ก้มหน้าก้มตาพนมมือไหว้พระ
“อย่าเงยขึ้นมานะคะ อย่าเงยหน้า”
อังศุมาลินรีบก้มศีรษะลง ทั้งสามคนก้มหน้านิ่งอยู่ภายในร่องสวน
เสียงปืนและเสียงระเบิดดังต่อเนื่องไปเรื่อยๆ สะท้านสะเทือนเลื่อนลั่น
ทั้งสามคน ยังคงก้มหัวหลบภัยอยู่ในท้องร่อง มีเศษดินเศษทรายร่วงเกาะอยู่เต็มแผ่นหลัง
เสียงปืนและระเบิดดังต่อเนื่องอยู่สักพักแล้วค่อยๆ เงียบหายไป แสงสว่างค่อยๆ ลดลง
แม่อรค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ถอนหายใจเบาๆ
“ท่าทางจะไปหมดแล้ว”
ยายศรค่อยลืมตาขึ้นมามอง มือยังคงพนมอยู่ อังศุมาลินค่อยๆ ยืดคอขึ้นมาดูสถานการณ์
“จะแน่ใจได้หรือ ถ้ามันย้อนกลับมาอีกล่ะ...เจ้าประคุณเอ๊ย เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนเล้ย”
ยายศรพูดจบ ทันใดก็เสียงสัญญาณเตือนว่าปลอดภัย เป็นสัญญาณดังยาว ก้องกังวานไปทั่ว
อังศุมาลินถอนหายใจอย่างโล่งอก
ทั้งสามคนค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นจากหลุม
“ไอ้เสียงหวอนี่มันก็พิลึกนะ อีตอนเรือบินมาเสียงมันโหยหวนจนใจสั่น แต่ตอนปลอดภัยนี่ฟังดูเสียงมันแจ่มใสพิกล”
อังศุมาลินหัวเราะขำๆ กับคำพูดแม่
“กลับบ้านกันเสียทีนะ”
ยายศรเดินไป แต่ชะงัก พยายามจะปีนขึ้น
“ขาขึ้นคงยากหน่อยนะคะ สู้ขาลงไม่ได้ กลิ้งลงมาแป๊บเดียว”
อังศุมาลินหัวเราะ แม่อรกับยายยิ้ม
“เดี๋ยวนะคะคุณยาย เดี๋ยวหนูปีนขึ้นไปก่อน”
อังศุมาลินพูดพลางกระโดดปีนคันดินขึ้นไป
“เลือกคันคูอื่นไม่ได้หรือลูก ตรงนี้ชันแล้วก็ลึกด้วย คูแห้งๆ ยังมีอีกตั้งหลายแห่ง” แม่อรว่า
“แต่ตรงนี้โกโบริเขาว่าปลอดภัยดีกว่าที่อื่นค่ะแม่”
แม่อรกับคุณยายศร หันมาสบตากัน แล้วก็นิ่งไป ไม่พูดอะไร
อังศุมาลินบอกต่ออีก “เขาว่าที่นี่มันลึกและก็ไกลจากอู่อยู่พอสมควร กันสะเก็ดหรือกระสุนได้ดี ถ้าไม่โดนตรงๆ ล่ะก็ปลอดภัยแน่”
แม่อรพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยในที
ครู่ต่อมาแม่อรตักน้ำล้างเท้าที่หัวกระได แล้วเดินหิ้วกระเป๋านำขึ้นบันไดบ้านไปก่อน
พอถึงที่ประตูนอกชาน แม่อรเอามือแตะ ก็พบว่าประตูแง้มออก ไม่ได้ปิดแน่น จึงชะงัก
“อ้าว.. ทำไมประตูเปิด ก่อนจะไปก็ปิดดีแล้วนี่นา”
อังศุมาลินตักน้ำราดเท้าให้คุณยาย แล้วค่อยๆ พาคุณยายขึ้นบันไดมาทีละขั้น อังศุมาลินพลางตอบไปที่แม่ถามอย่างไม่สนใจนัก
“แม่ใส่กุญแจหรือเปล่าล่ะคะ
“เปล่าจ้ะ ก็มัวตกใจกับพลุไฟ แล้วเราก็มาเร่ง..แต่แม่ก็งับไว้สนิทดีแล้วนะ” แม่อรจำแม่น
“คงงับไว้ไม่แน่นน่ะค่ะ หรือไม่ก็โดนลม หรือโดนแรงสะเทือนเข้าก็เลย”
แม่อรผลักบานประตูออกกว้าง อังศุมาลินและคุณยายเดินขึ้นเรือนมาหมดแล้ว แม่อรจึงหันไปลงกลอนอย่างแน่นหนา
“คุณยายนั่งตรงนี้นะคะ หนูไปจุดตะเกียงก่อน”
“จุดได้แล้วเหรอ ไม่ต้องพรางไฟแล้วใช่ไหม” ยายศรถาม
“คงได้แล้วล่ะมั้งแม่.. เฮ้อ.. ไม่รู้ว่าคืนนี้ใครโดนระเบิดเข้าไปบ้าง” แม่อรบอก
“เมื่อไหร่จะเลิกกันเสียทีก็ไม่รู้ ลำบากลำบนกันไปหมด”
ยายศรบ่นขณะลุกเดินกระย่องกระแย่งไปหยิบเชี่ยนหมาก อังศุมาลินถือตะเกียงเข้ามา ไฟสว่างวาบ
อังศุมาลินชูตะเกียงขึ้นเพื่อให้คุณยายมองเห็นเชี่ยนหมากได้ถนัด
แสงไฟส่องสว่างให้เห็นพื้นชานที่ระเบียงมีรอยน้ำเปียกเป็นหย่อมๆ อังศุมาลินแปลกใจ
“เอ๊ะ.. แม่คะ เมื่อกี้แม่มาเดินแถวระเบียงตรงโน้นหรือเปล่า”
“เปล่านี่ลูก ทำไม?”
อังศุมาลินแขวนตะเกียงไว้ที่เสาแล้วเดินเข้าไปดูรอยกองน้ำจากประตูชานหน้า เรื่อยไปจนถึงระเบียงทางไปห้องครัว
แต่ทางเข้าห้องครัวค่อนข้างมืด แสงจากตะเกียงส่องไปไม่ถึง อังศุมาลินยังไม่กล้าเข้าไป พยายามมอง แต่ไม่เห็นอะไร
อังศุมาลินครุ่นคิด ขมวดคิ้วเล็กน้อย แม่อรเห็นอาการผิดปรกติจึงเดินเข้ามาสมทบ
อังศุมาลินชี้ให้ดูรอยน้ำเป็นทางจากประตูนอกชานไปยังห้องครัว
“น้ำอะไรก็ไม่รู้ค่ะแม่ ไม่รู้ใครมาทำหกไว้เป็นทาง”
“รอยน้ำหยดใหม่ๆ นี่ พวกเรายังไม่มีใครเดินเข้าไปในครัวเลยใช่ไหม”
แม่อรบอก อังศุมาลินแตะแขนแม่อรเบาๆ เป็นเชิงให้ลดเสียงลง รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และมีบางคนอยู่ในครัว
“ค่อยๆ นะคะแม่”
แม่อรมองอังศุมาลินนิ่ง สายตาเหมือนจะถามว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“หนูว่า…”
อังศุมาลินเข้าไปกระซิบที่ข้างหูแม่ แม่อรมีสีหน้าตกใจ พูดตอบกลับไปด้วยเสียงเบาๆ
“ยังอยู่ในนี้เหรอลูก”
“หนู..คิดว่า..ค่ะ...”
“แล้วจะทำยังไงกันดี เราไม่มีใคร.. มีแต่ผู้หญิง..แม่ไปตามใครมาช่วยไหม”
ยายศรเห็นอาการของแม่อรและอังศุมาลิน จึงชะงักจากการเจียนหมาก
“มีอะไรกัน”
แม่อรเหลือบมองอังศุมาลินอย่างลังเล อังศุมาลินจึงรีบตัดบท
“ดึกมากแล้ว..คุณยาย เข้านอนดีกว่านะคะ”
“อ้าว.. ยายเพิ่งเจียนหมากเสร็จ ขอกินคำหนึ่งก่อน”
“คุณยายเอาใส่ครกไปตำในมุ้งดีกว่า เดี๋ยวทางการมาเห็นเข้าจะโดนจับไปนะคะ” อังศุมาลินอ้าง
“ดึกป่านนี้ไม่มีใครมาจับหรอก” ยายบ่นทำท่าจะไม่ยอม
อังศุมาลินมองจ้องหน้าประมาณว่าแน่ใจหรือ คุณยายศรเริ่มกลัวๆ หันซ้ายหันขวา
“อือ.. ก็ดี ข้างนอกยุงมันชุมด้วย เข้าไปอยู่ในมุ้งดีกว่า อ้าว...แล้วขวดกานพลูมันหายไปไหนล่ะนี่”
“นี่ค่ะ หนูจะใส่ครกให้”
อังศุมาลินรีบรวบของต่างๆ ใส่เชี่ยนหมากอย่างรวดเร็ว แล้วประคองคุณยายให้ลุกไป แม่อรกำลังไขกุญแจเปิดห้องคุณยายให้อยู่
อังศุมาลินเดินพาคุณยายไปส่งหน้าประตูห้อง แล้วส่งต่อให้แม่อรพาเข้าไป จังหวะต่อมาอังศุมาลินกระซิบข้างหูแม่อรที่หน้าประตู
“แม่กักคุณยายไว้ในห้องเลยนะคะ อย่าให้ออกมา”
“แล้วหนูคนเดียวจะทำไง”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ถ้าหนูสู้ไม่ได้ก็วิ่งเท่านั้นเอง ระวังอย่าให้คุณยายตกใจนะคะแม่” อังศุมาลินกำชับ
แม่อรพาคุณยายเข้าห้องไป ปิดประตู
อังศุมาลินเดินไปหยิบตะเกียงมาถือมือนึง แล้วค่อยๆ ย่องไปที่ฝาบ้านตรงทางเข้าครัว อังศุมาลินฉวยเอามีดดายหญ้าขึ้นมาถือกระชับแน่นในอีกมือ อังศุมาลินเดินพยายามระวังให้ฝีเท้าเบาๆ เลียบฝาไป
อังศุมาลินถือมีดดายหญ้าอยู่ที่หน้าประตูครัว กดเสียงดุ ต่ำ กลัวยายได้ยิน
“ใครน่ะ ฉันถามว่าใคร ออกมาเดี๋ยวนี้”
อังศุมาลินค่อยๆ ชะโงกหน้าไปมอง แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา
สักพักภายในมุมมืดมีเสียงกุกๆ กักๆ แล้วก็มีเสียงเหมือนหม้อหรือกระทะตกลงพื้น
อังศุมาลินสะดุ้งเล็กน้อย ถอยตั้งหลัก
“ฉันรู้นะว่าแกอยู่ตรงนั้น ออกมา”
แม่อรค่อยๆ โผล่ออกมาสมทบ ในมือถือไม้คานไว้มั่น อังศุมาลินหันไปมองแม่ ส่งสัญญาณว่าให้อยู่นิ่งๆ แล้วส่งให้แม่อรถือตะเกียงให้ อังศุมาลินใช้สันมีดดายหญ้าในมือเคาะฝาเข้าปังใหญ่
มีเสียงกุกกักและเสียงอุทานจากด้านในครัว
“เอ๊ย”
แม่อรค่อยๆ ชูตะเกียงขึ้นสูง แสงตะเกียงสาดส่องให้เห็นร่างผู้ชาย ผอมสูง เคลื่อนออกมาจากเงามืดช้าๆ โดยประสานมือกันไว้บนศีรษะ
อังศุมาลินกลัว ทำให้ท่าทางดูก้าวร้าวมากขึ้น “ใครน่ะ”
ในแสงตะเกียงนั้น เห็นผู้ชายฝรั่ง รูปร่างผอม เก้งก้าง ท่าทางอิดโรย กางเกงและเสื้อผ้าที่ใส่อยู่เปียกปอนและขาดรุ่งริ่งค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาเต็มๆ ด้วยอาการสั่นๆ หวาดกลัว เดินโผเผ ทั้งหิวโว มีอาการป่วย แทบไม่มีแรง
แม่อรตกตะลึง
“ขอ-ร้อง-เถอะ.. ผม-หนี-เขา-มา” ไมเคิ่ลบอก
“ใครเหรอยายอัง” แม่อรสงสัย
“ผม-ขึ้น-มา-ซ่อน-ที่นี่ เมื่อ-กี้ อย่า-ส่ง-ผม-กลับไป-เลย.. please”
ไมเคิลยกมือไหว้ปลกๆ น่าเวทนา
“เชลยฝรั่ง หนีมาค่ะแม่” อังศุมาลินบอก
แม่อรตาค้าง ร้อง “หา”
คู่กรรม ตอนที่ 10 (ต่อ)
เวลาเดียวกันที่อู่ต่อเรือญี่ปุ่น เสียงเรือเร็วแล่นดังไปมา ทหารญี่ปุ่น 8 - 10 นาย พร้อมอาวุธประจำกายพรึบพรับขึ้นจากเรือเร็วที่ทยอยมาจอดท่าหลังอู่ 2-3 ลำ
ฮิชิดะที่วิ่งนำลูกหมู่ที่ทยอยขึ้นฝั่งอยู่ หันมา โกโบริ เคสุเกะ และนายสิบอีก 2 นาย เดินมาถึง
“ร้อยโทฮิชิดะ” โกโบริทักทาย
ฮิชิดะทำความเคารพแข็งขัน ก่อนจะรายงาน
“มีเชลยชาวอังกฤษนายหนึ่งว่ายน้ำหลบหนีมาขึ้นฝั่งแถบนี้ ครับ”
“ได้ ทางผมจะรับผิดชอบพื้นที่โดยรอบอู่เอง” โกโบริหันไปสั่งเคสุเกะทันที “เคสุเกะ กระจายทหารทุกหมู่ออกตรวจค้นทุกพื้นที่โดยรอบ ขอเข้าตรวจค้นบ้านทุกบ้าน ทันที”
“ไฮ้”
เคสุเกะรับคำสั่งแล้วรีบพานายสิบที่เหลือออกวิ่งไป โกโบริมองตาม
เวลาเดียวกันอังศุมาลินถือมีดดายหญ้ากำไว้แน่น คุมเชิงให้เชลยฝรั่งเดินออกมาที่ชานบ้าน ตะเกียงที่แขวนไว้ตรงที่ประจำแล้ว แม่อรยืนถือไม้คานด้วย 2 มือ อย่างทะมัดทะแมง จ้องเขม็ง ท่าทางเอาเรื่องอยู่ด้านหนึ่ง
“อย่า-ทำ-ผม-เลย ผมไม่มีประสงค์ร้าย ผมหนีพวกญี่ปุ่นมาช่วย-ผม-ที” ไมเคิ่ลบอก
“เขาว่าอะไร” แม่อรถาม
ไมเคิลอ้อนวอน “ได้โปรดเถิด...”
แม่อรดึงแขนอังศุมาลินไว้ พลางถาม
“เชลยฝรั่งหรือ”
อังศุมาลินไม่ตอบ หันไปพูดกับไมเคิล
“เอามือลงได้แล้ว คุณไม่ใช่เชลยในบ้านนี้ เชิญนั่ง” อังศุมาลินว่า
ไมเคิลเอามือลง ยกมือขึ้นไหว้แม่อรและอังศุมาลิน และทรุดนั่งลงบนยกพื้นใกล้ๆ
ไมเคิลชม “ภาษาอังกฤษคุณดีมาก”
“คุณก็พูดไทยได้เก่งเหมือนกัน”
“ยายอังๆ ไปดูประตูก่อนลูก ขัดกลอนแน่นหรือเปล่า เดี๋ยวเกิดใครมาเห็นเข้าจะยุ่ง”
อังศุมาลินรีบเดินไปดูที่ประตูขึ้นเรือน
ไมเคิลนั่งก้มหน้า กอดอก ตัวสั่นเพราะความหนาว เนื่องจากเสื้อผ้าเปียกชื้น แม่อรเริ่มสงสาร วางไม้คานลงข้างตัว กล้าๆ กลัวๆ ค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ เข้าไปคุย
“นี่ไปยังไงมายังไงกันล่ะพ่อ...ฟังออกไหมล่ะนี่”
ไมเคิลเงยหน้าขึ้นมามอง อังศุมาลินมีสีหน้าครุ่นคิด กังวลใจ
แกงจืดราดข้าวอยู่ในจานตรงหน้า มือของไมเคิล ซึ่งผอมๆ สั่นๆ กำลังตักเข้าปากอย่างหิวโหย ตัวไมเคิลมีผ้าห่มเก่าๆ คลุม กำลังนั่งพิงเสา ห้อยขาลงตรงที่ขอบยกพื้น เพราะไม่ถนัดนั่งขัดสมาธิ
ไมเคิลเงยหน้ามองทั้งคู่ด้วยดวงตาที่รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ แล้วก้มลงกวาดข้าวและแกงจืดเข้าปากคำสุดท้าย ทั้งข้าวทั้งแกงเกลี้ยงชาม
“เอาอีกไหมจ๊ะพ่อ” แม่อรถาม
“ขอบคุณครับ-ผม-อิ่ม-แล้ว” ไมเคิลพนมมือ
อังศุมาลินเลื่อนขันใส่น้ำให้ดื่ม ไมเคิลรับมายกขึ้นดื่มอั้กๆ แล้ววางขันลงใกล้ตัว
“ทำไมคุณถึงมาถึงนี่ได้ล่ะคะ”
อังศุมาลินถาม ไมเคิลนิ่งไปพักหนึ่ง ถอนหายใจ ตอบเป็นคำอังกฤษ
“ผม-หนีมา-เดินมา-จากในป่า มาตามทางรถไฟ จากกาญจนบุรี จะมาพระนคร แต่มา-โดนจับที่นครปฐม พวกมันทรมานผมอย่างโหดร้าย และกำลังจะพาตัวผมกับเพื่อนอีกหลายคน ไปไหนไม่รู้จนตอนข้ามสะพาน..-ก็มี-เครื่องบิน-มาทิ้ง-ระเบิด.. พวกทหารญี่ปุ่นวิ่งหนี ทิ้งรถไป ผมกับคนอื่นๆ เลยช่วยกันแหวกตาข่ายหนีออกมา แต่พวกมันมาเจอ คนอื่นๆหนีไม่ทันก็เลยโดนจับได้”
แม่อรมองหน้าอังศุมาลิน เหมือนอยากให้แปล
“ผม-กระโดด-ลงน้ำ หนีพวกเรือยาม จน-ขึ้นมาบน-บ้านคุณ ขอ-โทษ-ด้วย กรุณาอย่า-ส่ง-ตัว-ผม-กลับไป-ให้-ทหารญี่ปุ่น-เลยนะ ได้-โปรด” ไมเคิลพนมมือน่าสงสาร
“ถ้าคุณหนีได้.. คุณตั้งใจจะไปที่ไหน” อังศุมาลินซัก
ไมเคิลมองหน้าอังศุมาลินด้วยสายตามีความหวัง
“ผมรู้ว่า-ในพระนคร-มี-พวก-ใต้ดิน-ต่อต้านญี่ปุ่น-อยู่มาก พวกเขากำลังติดต่อกับประเทศบ้านเกิดผม และจะช่วยผมได้”
อังศุมาลินอึ้งไปนิด แววตากระตือรือร้น เพราะตนก็อยากติดต่อคนที่เมืองนอกเหมือนกัน “จริงหรือคะ..แล้ว..คุณติดต่อกับพวก..ใต้ดินได้ยังไง..แล้ว‘คนที่ต่างประเทศ’ เค้าก็ส่งข่าวกับพวกคุณเสมอเหรอคะ”
ไมเคิลมองอังศุมาลินนิ่ง แล้วก้มหน้า ไม่ยอมตอบ
“คุณรู้ข่าวเรื่องพวกใต้ดินมาจากไหน”
ไมเคิลไม่ตอบ
อังศุมาลินตัดสินใจถาม “คุณติดต่อกับพวกเสรีไทยใช่ไหม”
ทั้งคู่มองจ้องกันวัดใจ ว่าอีกฝ่ายไว้ใจได้แค่ไหน แม่อรมองทั้งสองสลับไปมา อยากรู้เรื่องให้มากกว่านี้
กลางดึกวันเดียวกัน หลวงชลาสินธุราช สารวัตรองอาจ และตำรวจผู้ติดตามยืนระเกะระกะ อยู่ตรงบริเวณหน้าตึกบ้านคุณหลวง พูดคุยกันอยู่ เหมือนจะเป็นธุระสำคัญ คุณหลวงสวมใส่ชุดนอน
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวผมจะรีบโทร.ไปสั่งการให้ลูกน้องที่กรมอู่ทหารเรืออำนวยความสะดวกให้สารวัตรกับทางญี่ปุ่นได้เข้าไปค้นในกรมได้”
“รบกวนท่านด้วย ทางญี่ปุ่นแค่อยากดูให้สบายใจ เพราะเชลยคนนี้เคยหนีออกมาจากค่ายช่องไก่ ที่กาญจนบุรีได้ครั้งหนึ่งแล้ว” สารวัตรองอาจบอก
“ผมเข้าใจดี”
“ขอบคุณที่ท่านให้ความร่วมมือกับสันติบาล”
“ผมยินดีเสมอ ถ้าสิ่งที่ทำ...ทำเพื่อชาติบ้านเมือง” คุณหลวงว่า
สารวัตรองอาจสะดุดในน้ำเสียงสุดท้ายที่ได้ยินเล็กน้อย มองเหล่ๆ แล้วหันไปสั่งพวกลูกน้อง
“พวกเรา ไป”
พวกตำรวจติดตามตะเบ๊ะหลวงชลาสินธุราช แล้วพากันวิ่งขึ้นรถ ขับออกไป
คุณหลวงมองตาม แววตาเกลียดชังมาก
ฝ่ายอังศุมาลินสีหน้าเคร่งขรึม แม่อรมีแวววิตกกังวล
“ถ้า-คุณ-จะ-กรุณา...ผม-ขอ-ค้าง-ที่นี่-สัก-สอง-สาม-วัน-ก่อน” ไมเคิลเอ่ยขึ้น
แม่อรมองหน้าอังศุมาลินอย่างหนักใจ ไมเคิลมองทั้งคู่ แล้วหันไปมองแม่อรอย่างอ้อนวอน
“บ้านเราก็อยู่ใกล้กองทหารญี่ปุ่นเสียด้วย...ถ้าหากเขามาพบเข้าก็คง...” อังศุมาลินกังวล
“คงยิ่งกว่าตอนตาบัวตาผลแน่ เฮ้อ…”
แม่อรและอังศุมาลินมองหน้ากัน แม่อรถอนใจ
“แต่ถ้าเราไม่ช่วย...เขาก็คงไม่รอดแน่ ขืนเดินเทิ่งๆ หน้าตาผิดชาวบ้านออกไปแบบนี้ เขาคงไม่เอาไว้...ชีวิตคนทั้งคนจะปล่อยให้ตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร.. แม่อัง...”
“แล้วแต่แม่เถอะค่ะ”
อังศุมาลินว่า พลางพยายามคิดหาทางออกต่างๆ ไมเคิลเงียบนิ่งรอฟัง สีหน้าเว้าวอน
สองคนแม่ลูกมองหน้ากัน เป็นเชิงหารือกันและกัน
ครู่ต่อมา อังศุมาลินกำลังลากหีบเหล็กออกมาจากข้างตู้ ดึงสายยูแล้วดันฝาให้เปิดออก
เห็นด้านในเป็นเสื้อผ้าและข้าวของต่างๆ ของหลวงชลาสินธุราชผู้เป็นพ่อ เช่นหนังสือ หมวก และเสื้อผ้าเก่าๆ อังศุมาลินลูบไล้เสื้อสีน้ำตาลตัวที่บนสุด หยุดคิดถึงพ่อด้วยความสลด หน้าเศร้า
สักพักก็หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาชุดหนึ่ง พลางปิดหีบโดยเร็ว แต่ยังไม่ทันดันหีบเก็บให้เรียบร้อย อังศุลินรีบลุกและรีบออกจากห้องไป
ด้านแม่อรเปิดประตูห้องเก็บของออก แล้วพาไมเคิลหลังอาบน้ำเสร็จ ที่อยู่ในชุดใหม่ของพ่อ เสื้อและกางเกงดูสั้นเต่อ แต่ก็ใส่ได้พอดี เข้าไปในห้อง
“นี่...ห้องเก็บของ ทึบหน่อย มีหน้าต่างอยู่บานเดียว ตอนกลางวันพ่อต้องอยู่แต่ในนี้นะ ฉันจะใส่กุญแจห้องไว้ กลางคืนถึงจะเปิดให้ออกมา...อยู่ได้ไหมนี่” แม่อรบอก
“ได้ ครับ ได้ ขอบ-พระ-คุณ-มาก-ครับ”
ระหว่างนั้นอังศุมาลินหอบเอาเสื่อ หมอน มุ้ง และผ้าห่มเข้ามาให้
ไมเคิลรับมาวางลงที่พื้นแล้วยกมือไหว้
“ขอบ-คุณ-ครับ”
“ไม่ต้องไหว้ฉันหรอก” อังศุมาลินยิ้มให้
“คุณ-สองคน-เป็น-บุญคุณ-กับผม-มากๆ ผมจะไม่ลืมตลอดชีวิต” ไมเคิลซึ้งใจ
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” แม่อรเยื้อนยิ้ม
ไมเคิลพนมมือไหว้อีกน้ำตาคลอๆ
“พรุ่งนี้ สว่างแล้ว..คุณอย่าออกมาจากห้องเด็ดขาด เดี๋ยวจะมีคนเห็นเข้า” อังศุมาลินกำชับ
“เออ.. ยังไม่รู้เลยวาพ่อน่ะชื่ออะไร” แม่อรถาม
“ไมเคิลครับ.. ร้อยโท ไมเคิลวอลเด็น แต่-เรียก-ผม-ว่า-ไมค์-เฉยๆ ก็-ได้” ไมเคิลแนะนำตัว
แม่อรเลยเรียก “พ่อไม้”
อังศุมาลินสงสัย “คุณเป็นทหารหรือ”
ไมเคิลพยักหน้า อังศุมาลินมองอึ้งๆ ไป
เช้าตรู่ เห็นเงาตาผลตรงคูน้ำในคลอง กำลังเดินกระโดดไปมา ในยามเช้าและยินเสียงร้องเพลงรำวงตามมา
“แปดนาฬิกา ได้เวลาชักธง เราจะต้องยืนตรงเคารพธงของชาติไทย
เราสนับสนุน ป. พิบูลสงคราม เราจะต้องทำตาม ตามผู้นำของชาติไทย
ใกล้เข้ามาอีกนิดชิดชิดเข้าไปอีกหน่อย สวรรค์น้อยน้อย อยู่ในวงฟ้อนรำ...”
ตาผลแอ่นระแน้ปล่อยทุกข์เบาๆ ลงร่องสวนสบายอุรา พลันเหลือบไปเห็นทหารญี่ปุ่น 3-4 คน ถือปืนประจำกายกำลังเดินลิ่วจะผ่านไป
ตาผลทัก แซวเล่น “ไฮ้..ไปรบไหนกันแต่เช้าโว้ย”
ตาผลแทบเก็บของหวงเข้ากางเกงไม่ทัน ตกใจไม่คิดว่าพวกญี่ปุ่นจะหันมา
เคสุเกะหันขวับ หยุดมองมาทางตาผล ทหารลูกหมู่ที่เหลือก็หยุดตาม แต่ตาผลก็ฝืนยิ้มให้ไปหนึ่งดอก ก่อนจะกลายเป็นยิ้มไม่ออก
เคสุเกะและพวกพากันเดินลิ่วมาทางตาผลอยู่ ตาผลหน้าทอดสียกมือไหว้ปลกๆ
เคสุเกะเดินมาหยุดตรงหน้า จ้องตาผลเขม็ง
ตาผลขาสั่นอ่อนระทวย กับสีหน้าที่จริงจังและอาวุธพร้อมมือของทุกคน
“ปะเปล่า ฉันไม่ได้มีอะไรด้วย” ตาผลปฏิเสธไว้ก่อน
“ขอดูบ้าน-หน่อย”
เคสุเกะพูดไทย และพวกเดินลิ่วผ่านตาผลที่หลับตาปี๋ไป
มุมหนึ่งไม่ไกลจากกระท่อม ตาบัวเดินมาอย่างอารมณ์ดี ในมือถือเข็มขัดและเสื้อทหารอเมริกัน ดูไปมาอย่างพอใจจนได้ยินเสียงตาผลโวยวาย เลยชะงักหยุด
มองไปเห็นเคสุเกะและพวกกำลังตรวจค้นหาอะไรบางอย่างที่กระท่อมและรอบๆ โดยเคสุเกะหยิบกางเกงและรองเท้าทหารอังกฤษขึ้นมา ตาผลที่ร้องปฏิเสธโวยวาย และถูกพวกทหารพาตัวไป
ตาบัวรีบผลุบต่ำหลบเข้าหลังดงกล้วย หน้าซีด
ตาบัวหอบแฮ่ก ค่อยๆ คลานมานั่งข้างอังศุมาลินที่นั่งจัดแจงพื้นที่วงข้าวเช้าอยู่
“เกิดอะไรขึ้นอีกหรือลุง”
“มะ..เมื่อกี้.. เมื่อกี้ ฉัน.. ไม่ใช่ ไอ้ยุ่น พวกไอ้ยุ่นมันมาค้นบ้านฉันที่ท้ายสวน” ตาบัวระล่ำระลัก
อังศุมาลินใจหายวาบขึ้นมาทันที ตกใจมาก
“อะไรนะลุง...” อังศุมาลินพยายามตั้งสติ ทำน้ำเสียงกลับมาปกติ “แล้วเขามาหาอะไรกัน”
“มะ ไม่รู้เลย ฉันเห็นพวกมันเสียก่อน แต่ไอ้ผลนะสิ มันโดนไอ้ยุ่นเอาตัวไปด้วย”
อังศุมาลินร้อง “หา”
แม่อรยกสำรับกับข้าวออกมาจากห้องครัวพอดี
“อะไร...จะชวนกันไปไหนแต่เช้า”
แม่อรวางถาดข้าวลงตรงหน้า แล้วฟังตาบัวเล่าอย่างตั้งใจ
“ใช่ มันเอากางเกงกะรองเท้าที่พวกเชลยฝรั่งขายให้ฉันมา ไปด้วย บ้าฉิบ..เพิ่งจะได้มา จากธรรมศาสตร์ แต่ไม่รู้มันหาอะไรกัน หลังลูกเหล็กลงเมื่อคืน ก็เห็นมันเอาเรือส่องไฟหากันให้วุ่นทั้งคืน น่ากลัวจะมีใครไปขโมยอะไรมันอีกแต่ไม่ใช่ฉันสองคนแน่”
อังศุมาลินกังวล แต่ทำทีเป็นไม่สนใจ
“ทานข้าวกันดีกว่าค่ะแม่”
ตาบัวงง “อาว แม่อัง”
“เดี๋ยวรอให้แกงจืดร้อนขึ้นอีกนิดนะ เออ...แม่ไปเอาจานมาให้ตาบัวด้วยดีกว่า คุณยายล่ะลูก”
“หนูจะเข้าไปดูเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
แม่อรและอังศุมาลินแยกย้ายกันไป ทิ้งให้ตาบัวนั่งอยู่กลางชานคนเดียว
ตาบัวหันไปหันมา งงๆ
อังศุมาลินกับแม่อรช่วยกันปูผ้าขาวทับกลางเสื่อ และช่วยกันจัดวางสำรับกับข้าว
“อาวพ่อบัว มีอะไรกันอีกละ” คุณยายถาม
แม่อรเอาขันน้ำออกมาวาง
“มาเร็วตาบัวกินข้าวกันก่อน”
“งั้น..ฉันขอไปล้างมือ แล้วมาเล่ายาวๆ ดีกว่านะนายแม่”
ตาบัวลุกไป จะเดินไปที่โอ่งที่อยู่ตรงมุมระเบียงติดกับห้องครัว
“เออ.. แม่อรเมื่อคืนนี้อะไรกันเหรอ แม่เหมือนได้ยินเสียงคนคุยกันทั้งคืน”
แม่อรมองหน้าอังศุมาลิน ตาบัวเดินผ่านประตูรั้วไป เห็น ชะงัก ตาเหลือก
“ตะตายละหวา.. ไอ้ยุ่นมัน มะมากันแล้ว”
อังศุมาลินและแม่อรมองหน้ากันด้วยความตกใจ หน้าซีด ยายศรมองงงๆ
ระหว่างนั้นกลุ่มทหารญี่ปุ่นเห็นอยู่ไกลๆ มีโกโบริและทหารอีก 2 นายเดินมาตามทางเข้าบ้าน
โกโบริมองขึ้นมาบนบ้าน สบตากับตาบัว ตาบัวรีบหลบสายตา เหงื่อกาฬแตกซิก รีบเดินเข้าไปนั่งที่วงข้าว
“แย่แล้ว...” แม่อรตกใจ
“แม่คดข้าวเร็วๆ ค่ะ ลงมือกินกันเลย ทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
ยายศรยิ่งงง “มีอะไรกัน ยัยอัง”
อังศุมาลินส่งจานข้าวให้ตาบัว
อังศุมาลินพูดเสียงโหด “ลุงบัวกินข้าวเลยนะ ถ้าลุงเห็นอะไรแล้วพูดมากไป ฉันสาบานได้เลยว่าจะจัดการกับลุงให้สาสม”
อังศุมาลินจ้องตาบัวด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมสำทับ
ตาบัวกลัวจนอ้าปากค้าง
“อะ..อะไรกันแม่อัง”
“ลุงไม่ต้องพูดมาก กินข้าวไปเร็วๆ แม่คดข้าวต่อค่ะ ไม่ต้องตกใจ คุณยายอยู่เฉยๆ นะคะ”
แม่อรคดข้าวมือสั่น ตาบัวงงอ้าปากค้าง ฟากยายศรมองคนโน้นคนนี้ไปมา งงๆ
อังศุมาลินวิ่งไปที่ห้องเก็บของ ไขกุญแจออกอย่างรวดเร็ว
“มิสเตอร์วอลเด็น”
ไมเคิลก้าวออกมาจากห้อง อังศุมาลินรีบอธิบายแล้วพาไปที่ห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ทหารญี่ปุ่นกำลังจะมาค้นที่นี่คุณรีบไปซ่อนที่ห้องฉันก่อนเร็ว”
ตาบัวมองไมเคิลตาค้าง ยายศรตกใจ ตะลึง
“อะไรกัน นั่นใคร... ใครหรือแม่อร ยายอังเขาจะทำอะไรน่ะ”
“เชลยฝรั่งค่ะ เขาหนีมาอาศัยเราเมื่อคืนนี้” แม่อรบอก
ยายศรตกใจ “คุณพระ”
ตาบัวตาเหลือก “ตายโหง”
โกโบริ เดินย่ำรองเท้าบู้ธ ก้าวนำคนอื่นๆ มาที่เรือนของอังศุมาลิน ทหารคนอื่นๆ ตามติด
เมื่อมาถึงสีหน้าโกโบริดูสดใส สบายๆ ขณะที่มือของโกโบริกำลังแตะประตูเรือนให้เปิดกว้างออก
พอประตูถูกผลักเปิดออก โกโบริก้าวเข้ามา
“สวัสดีครับ”
โกโบริหันมายิ้ม แล้วก้มศีรษะทักทายด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
โกโบริโค้ง แล้วยืนยิ้มสดใสอยู่หน้าประตู ก้าวเข้ามาโค้งทักทายพร้อมกับทหารอีก 2 นาย ทุกคนชะงักอยู่ในท่าต่างๆ กัน
อังศุมาลินมือสั่นน้อยๆ จนน้ำแกงกระฉอก แต่เพียงชั่วครู่ก็ตั้งสติได้
“ขอโทษครับที่มารบกวน”
แม่อรใจสั่น รีบทัก “อ้อ.. ทะ.. ทานข้าวไหมพ่อดอกมะลิ”
ฟากตาบัวแกล้งซดน้ำแกงดังโฮกใหญ่ เคี้ยวเสียงดังทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่หันไปมอง
อังศุมาลินหันไปยิ้มด้วยนิดๆ
“เชิญค่ะ”
โกโบริยิ้มตอบ มองกลับมาด้วยแววตาแจ่มใส
“มี..มีอะไรหรือเปล่า มาแต่เช้าเลย แหม…” แม่อรยิ้มแย้ม แซวนิดๆ
ยายศรก้มหน้างุด
“เมื่อคืน-มีทิ้งระเบิด ผมเป็นห่วง-ตั้งแต่-เมื่อคืน ไม่เป็นอะไรกัน-ใช่ไหม”
“อ๋อ ไม่มีอะไรนี่คะ” อังศุมาลินตอบ
โกโบริมองยิ้มๆ
“แต่ เมื่อคืน-ก็มี-เชลย-หนีมา มีคน-ยืนยันว่า-หลบอยู่แถวนี้ ผมเลย จำเป็น..ต้องมาค้นทุกบ้าน”
แม่อรพยักหน้า “อะ..อ๋อ.. อย่างงั้นเอง”
“เชลยอะไรคะ ไม่น่าเลยนะคะ...ไม่น่าที่เชลยจะหนีมาได้”
โกโบริชะงัก
“ผมก็ไม่รู้อะไรมากกว่านั้น แต่เมื่อมีคำสั่ง ผมก็ต้องทำ”
อังศุมาลินมองอย่างท้าทาย “แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าเชลย “คนนั้น” ถึงหลบมาอยู่ที่นี่”
“ผมไม่รู้ แต่มีคำสั่งให้ค้นจนทั่ว ผมก็ต้องทำตาม.. แต่...คุณพูดว่า..เชลยคนนั้น..รู้ได้ยังไงครับ ว่าเชลยหลบมาได้แค่คนเดียว”
โกโบริจ้องมองไปที่อังศุมาลินตรงๆ อังศุมาลินยังคงยิ้มนิดๆ
“ก็นั่นน่ะสิคะ ชั้นจะไปรู้ได้ยังไง...เชิญเลยค่ะ ถ้าอยากค้นที่นี่ก็เชิญ”
“ต้องขอโทษอีกครั้ง” โกโบริ ออกอาการเกรงอกเกรงใจ ก้มศีรษะให้อีกครั้ง
อังศุมาลินลุกขึ้นยืนช้าๆ เดินไปที่โอ่งเพื่อล้างมืออย่างใจเย็น แม่อรกับยายนั่งตัวแข็ง ไม่กล้าแตะต้องข้าว ตาบัวก้มหน้าก้มตากินอย่างอร่อยเว่อร์เกินจริง
โกโบริเดินมาหาแม่อรและคุณยาย
“ผมขอ-อนุ-ญาต”
“ชะ..เชิญเถอะจ้ะ” แม่อรเริ่มติดอ่าง
“ทานข้าว-กันต่อเถอะครับ พวกผมขอตรวจดูสักพัก ไม่นานก็คง-เรียบ-ร้อย”
ทหารญี่ปุ่น 2 คน เดินตรวจดูรอบๆ โกโบริหันไปทางห้องเก็บของ
“ห้องโน้น ห้องอะไรครับ”
“ห้องเก็บของ...กุญแจนั่นคล้องไว้เฉยๆ ไม่ได้เปิด ถ้าคุณอยากเข้าไปตรวจก็ได้”
โกโบริหันไปสั่งทหารเป็นภาษาญี่ปุ่น 2-3 คำ 2 ทหารรีบชิดเท้า และรีบทำตาม เปิดเข้าไปในห้องนั้นโดยเร็ว แม่อรและคุณยายมองหน้ากันเลิกลั่ก
โกโบริเดินไป หน้าห้องยาย แล้วหันกลับ เดินไปหน้าห้องอังศุมาลิน แล้วหยุดมอง ท่าทีสนใจ ทุกคนนั่งตัวแข็งทื่อ
อังศุมาลินรีบเดินเข้าไปขวาง “ห้องนอนของฉัน ต้องค้นด้วยไหม”
ทุกคนลุ้นตัวโก่ง
โกโบริลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วค่อยๆ ก้มศีรษะลงน้อยๆ
“ผมจะดูเอง”
ช้อนแกงตกจากมือแม่อรลงพื้นเสียงดังเคล้ง อังศุมาลินหันมามองแม่ ยายศรเงยหน้ามองหลานสาว
“ยายอัง...”
อังศุมาลินรีบบอก “ทานกันต่อเถอะค่ะ”
มือข้างที่สัมผัสประตูของอังศุมาลินสั่นเล็กน้อย โกโบริตามไปติดๆ
“ถ้าคุณไม่เต็มใจ ผมก็จะไม่ตรวจ”
อังศุมาลินชะงักเล็กน้อย แล้วเปิดประตูออกโดยแรง หันกลับมาบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เชิญ”
โกโบริชะงัก แล้วก้มศีรษะให้อังศุมาลิน
“เชิญคุณก่อน ผมเข้าไปคนเดียว-มัน-จะ-ไม่-เหมาะ”
อังศุมาลินเดินนำเข้าไปยืนกลางห้อง พลางหมุนตัวไปรอบๆ
“เชิญตรวจได้”
โกโบริมองไปรอบๆ ห้องอย่างมีความสุข แต่พยายามฝืนยิ้มไว้
โกโบริเห็นห้องของอังศุมาลินสว่างไสว ม่านบังตาสีขาวปักฉลุ ลวดลายยูงรำแพนอย่างสวยงามปลิวสะบัด
โกโบริพึมพำ “นกยูง”
ตรงหน้าต่างห้อวมีลูกมะพร้าวตัดครึ่งลูกทำเป็นกระถาง ปลูกไม้เลื้อยทิ้งก้านอยู่แกว่งไปมาตามสายลม
โกโบริเดินไปจับดู “สวย..ความคิดดีมากๆ” ยิ้มแฉ่งเอาใจ
อังศุมาลินเมินหน้า กัดริมฝีปาก
โกโบริก้มมองโต๊ะหนังสือตัวใหญ่มีหนังสือจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ มีพจนานุกรมภาษาญี่ปุ่นวางอยู่ด้วยโกโบริอมยิ้ม ก่อนจะหยิบมาดู
อังศุมาลินมองมา ท่าทีไม่ชอบใจ โกโบริรีบทำหน้ารู้สึกผิด วางลง แล้วก้มหัวขอโทษ
โกโบริเดินมาดูที่เตียงนอน มีผ้าแพรสีชมพูคลุมตลอด แล้วก้มลงดูใต้เตียง
โกโบริเห็นโต๊ะเครื่องแป้งโบราณมีกิ่งแก้วเล็กๆที่เสียบดอกมะลิเป็นมาลัยรูปตัวกระแต ค่อนข้างเหี่ยวแห้งวางทิ้งอยู่บนผ้าลูกไม้
โกโบริเดินเข้าไปหยิบกิ่งกระแตนั้นขึ้นมาดูอย่างฉงน ยกขึ้นดม
“สวยมากอันนี้ใช่ไหมที่คุณบอกว่าจะสอนให้ผมทำ”
อังศุมาลินฉุนนิดๆ ขมวดคิ้ว
“คุณไม่ได้จะเข้ามาตรวจหามาลัย..ไม่ใช่เหรอ”
โกโบริรีบวางกิ่งกระแตนั้นกลับเข้าที่โดยเร็ว
“คุณจะตรวจดูอะไรก็รีบดูเสีย”
โกโบริหันไปเห็นหีบที่อยู่ข้างตู้ซึ่งถูกเลื่อนออกมาเล็กน้อย
“ในนี้มีอะไร”
อังศุมาลินมีท่าทีตกใจเล็กน้อย
“ของ...ของคุณพ่อฉัน”
“จะรังเกียจไหมถ้าผม...”
อังศุมาลินไม่รอให้โกโบริพูดจบก็นั่งลงเปิดหีบออกมาให้ดูทันที โกโบริตามลงไปนั่งข้างๆ
โกโบริ เห็นเสื้อผ้า และข้าวของต่างๆ รวมถึงรูปถ่ายอังศุมาลินสมัยเด็กอยู่ในกรอบรูป โกโบริพยายามดูข้าวของข้างในอย่างไม่จงใจเกินไปนัก แล้วมองหน้าอังศุมาลิน
“กำลังเอาของออกมาจัดหรือ”
อังศุมาลินมองดูรอยฝุ่น ก็รู้ว่าหีบเพิ่งถูกลากออกมาไม่ได้อยู่ในที่เดิมของมัน
“ใช่”
“ตอนเด็กๆ คุณน่ารักดี” โกโบริบอกยิ้มๆ
อังศุมาลินปิดหีบลงทันที แล้วดันหีบเข้าไป ยันตัวลุกขึ้นยืน
ขณะที่โกโบริกำลังจะลุกขึ้น ก็เหลือบไปเห็นไม้แขวนเสื้อที่ตกลงอยู่หน้าประตูเสื้อผ้า โกโบริหยิบขึ้นมาส่งให้อังศุมาลินมองนิ่ง
“ขอผมดูในตู้หน่อยได้ไหม”
โกโบริบอกด้วยท่าทีสบายๆ ขณะที่อังศุมาลินหน้าซีดเผือด
คู่กรรม ตอนที่ 10 (ต่อ)
พวกวงข้าวตรงชานเรือน นั่งกันเงียบกริบไม่กระดิกกระเดี้ย ทหารญี่ปุ่น 2 คน ที่ค้นห้องเก็บของหันมามองวงข้าว แล้วคุยกัน กระซิบกระซาบ
ทางห้องอังศุมาลินก็เงียบกริบ คุณยายศรพนมมือ ไหว้พระ แม่อรน้ำตาจะไหล ตาบัวกำหมัดแน่น
อังศุมาลินหน้าถอดสีทันที พยายามข่มความรู้สึกไว้เต็มที่ โกโบริจ้องหน้าอังศุมาลินเพื่อรอการอนุญาต แต่รู้สึกถึงบางอย่างในสีหน้านั้น
อังศุมาลินข่มความหวาดหวั่นทั้งหมดเอาไว้แล้วฝืนยิ้ม สบตาทื่อๆ พยักหน้าเชิงอนุญาต โกโบริสังเกตหน้าอังศุมาลินไม่วางตา ก่อนจะหันกลับไปที่ตู้เสื้อผ้าใบใหญ่
อังศุมาลินแทบหยุดหายใจ มองลุ้นตามไป มือของโกโบริจับบานตู้เสื้อผ้าเปิดออกกว้างโดยเร็ว
อังศุมาลินกำมือแน่นเหงื่อชุ่ม และก้าวถอยห่างไปโดยไม่รู้ตัว โกโบริกวาดตามองทั่วตู้อย่างรวดเร็ว
ภายในมีชุดเสื้อผ้าแขวนเรียงรายเป็นระเบียบ แต่ในมุมลึกสุด เห็นได้ถึงชุดสีน้ำตาลที่โดดเด่นอยู่ภายใน อังศุมาลินเองก็มองผ่านสังเกตเห็น ลุ้นว่าโกโบริจะสังเกตหรือไม่
โกโบริหันไปหยุดจ้องนิ่งที่มุมตู้นั้น จนครู่หนึ่งจึงยกอีกมือเอื้อมตรงเข้าไป ราวกับจะแหวกผ้าหลบไปทางหนึ่ง
อังศุมาลินใจหายวาบ ลุ้นระทึก
แต่แล้วโกโบริกลับลดมือลง แล้วค่อยๆ เอียงตัวหันหน้ามามองสบตาอังศุมาลินอย่างผู้มีชัย อังศุมาลินกลับหลบตาโกโบริแทบจะทันทีอย่างไม่รู้ตัว
โกโบริกล่าวเสียงดังอย่างจงใจให้คนในตู้ได้ยิน “มีคำกล่าวไว้..การอยู่หรือตายของทหารหนึ่งคน ไม่ใช่สิ่งชี้ขาดการแพ้หรือชนะของกองทัพ”
โกโบริยิ้มอย่างผู้มีชัย มองอังศุมาลินไม่วางตา พร้อมกับดึงปิดบานตู้เสื้อผ้าลงดังเดิม แล้วหันตัวกลับมาที่อังศุมาลิน
“คุณคงอยากเห็นผมเป็นไอ้งั่งสินะ นี่ไง ผมเป็นให้ดูแล้ว คุณคงพอใจมาก ผมไม่รู้จริงๆ ว่าคุณมองเห็นผมเป็นตัวอะไรกันแน่”
พูดจบโกโบริมีสีหน้าขมขื่นทันที
อังศุมาลินเงียบกริบ เหมือนอยากจะอธิบายตอบโต้อะไรออกไป แต่ไม่มีเสียง
“แต่ผม ก็ยังมีเรื่องน่าดีใจ” หันไปมองที่ตู้เสื้อผ้า “ที่ได้เห็นพวกที่เรียกตัวว่าศิวิไลซ์ มีอารยะ ต้องมาใช้กระโปรงผู้หญิงบังหน้า แต่สำหรับคนญี่ปุ่น...คนที่ไร้ศักดิ์ศรี คือคนที่ตายแล้ว และการฆ่าคนที่ตายแล้วมันก็ไร้ประโยชน์”
โกโบริหันมองอังศุมาลินอีกครั้งก่อนเดินเชิดออกไป
อังศุมาลินยืนค้างนิ่ง เหมือนถูกสะกด ส่วนสีหน้าไมเคิล ในมุมตู้ ซีดเหมือนคนตาย
ตรงชานเรือนบ้านอังศุมาลิน วงอาหารเช้าจำเป็นของ แม่อร ยายศร และตาบัว ที่ต่างนั่งกินกันอยู่เงียบๆ ถึงกับสะดุ้ง
โกโบริออกมาจากห้องอังศุมาลินอย่างสงบ เยือกเย็น มาหยุดยืนนิ่ง สีหน้าบึ้งตึง
ตาบัว ดื่มน้ำ สำลัก ไอๆๆ ขณะเหลือบมองไปเห็นโกโบริ
โกโบริหันมาสบตากับตาบัวพอดี ตาบัวก้มหลบขวับ ไอต่อ ปิดปาก
แม่อร และยายศร ทำอะไรไม่ถูก พยายามกลืนข้าวให้ลงเป็นปกติต่อไปเงียบๆ
โกโบริผละเดินไปทางห้องเก็บของ
ตาบัวพูดเบาๆ “หน้าอย่างนี้ สงสัย”
แม่อรงง ’’อะไรหรือ”
ตาบัวลดเสียงพูดเบาที่สุด “ได้เรื่อง”
แม่อร และยายศรตกใจ ถึงกับเผลอไปโดนจานข้าวเสียงดัง
ทหารคนหนึ่งออกมาจากห้องเก็บของพร้อมหมอนมุ้งและผ้าห่มในมือแล้วยกให้โกโบริดู โกโบริเดินเข้าไปจับดูใกล้ๆ แล้วหันขวับมาทางวงข้าว
“นี่ของใคร”
ทุกคนในวงข้าวเงียบสนิท
ตาบัวมือสั่นระริก จนต้องกดแอบไว้ข้างตัว แม่อร เห็นทุกคนเงียบไม่สู้ดี
“จะ จ๊ะ..ว่าไง”
ตาบัวมือสั่น เสียงสั่น “อ๋อ นะ นั่น ของฉัน” ชี้ที่ตัวเอง
โกโบริหันขวับจ้องตาตาบัวนัยน์ตาวาววับ ตาบัวสั่นหนักจนจานข้าวในมือหล่น
“มานอนนี่เอง..มะ เมื่อคืน”
ตาบัวพูดแล้วรีบก้มหน้าหลบงุด โกโบริปรับสีหน้าให้นิ่ง ไม่มองใคร
โกโบริสั่งลูกน้อง “เอาเข้าไปเก็บ”
“ไฮ้!” ทหารเดินเอาของเข้าไปเก็บ
“เร็ว เรียบร้อยหรือยัง” โกโบริถามเสียงแข็ง
ทหารสองคนวิ่งออกมาจากห้องเก็บของยืนตรง ร้องรับพร้อมเพรียง
“ไฮ้”
โกโบริหันมาชิดเท้าแล้วค้อมศีรษะเล็กน้อยให้ทางเจ้าของบ้าน แล้วก้มหน้าเดินลงเรือนไปโดยเร็ว ทหารทั้งสองรีบเดินตาม
แม่อร ยายศร และตาบัวได้แต่เหลียวตามองตามไป ตัวแข็งกับที่ไม่ขยับ
อังศุมาลินค่อยๆ ก้าวออกมาหยุดยืนที่ประตูห้อง สีหน้าอังศุมาลินเหม่อมองไปทางบันไดลงเรือน
เสียงตาบัวดังเข้ามา “โอ้ย โอย...เกือบแล้วๆ นึกว่ามันจะเล่นเข้าให้แล้ว คุณพระมาโปรดจริงจริ๊งที่มันไปเสียได้ โอย...”
แม่อรหันไปเห็นอังศุมาลินพอดี ส่วนตาบัวที่บ่นก็นั่งลูบอกโล่งใจไปมา
“อัง เป็นยังไงลูก”
ตาบัวหันไปเห็น ยิ้มร่า “แม่อัง..แหม เด็ดสะระตี่จริงเชียวเอาไอ้หรั่งตัวเบ้อเริ่มไปซ่อนจนไอ้ยุ่นหน้าโง่หาไม่เจอ หะ หะ” ตาบัวหัวเราะชอบใจ
อังศุมาลินเหลือบมามองตาบัวอย่างเฉยเมย
ตาบัวพล่ามต่อ “เป็นถึงแม่ทัพนายกอง อยู่ใต้จมูกยังตาถั่วถุย..เซ่อพิลึก ดีนะ เมื่อกี้ลุงรับสมอ้างว่าหมอนมุ้งในห้องนั่นเป็นของลุง ให้ตายชัก มันก็เชื่อดิบดีเทียว”
อังศุมาลินกัดริมฝีปากขมวดคิ้ว ตอบเสียงเย็นๆ อย่างเหลืออด
“ลุงคิดว่าเขาจะไม่รู้หรือ”
แม่อรชะงัก “อะไรนะลูก”
“มะแม่อัง มะ หมายความว่า…”
แม่อรถึงกับหน้าถอดสี ตาบัวอ้าปากค้าง
ขณะเดียวกันตรงทางเดินในสวน รองเท้าทหารของโกโบริกำลังจ้ำอ้าว พรวดๆๆ พลทหารทั้งสองนายรีบจ้ำเดินตาม เห็นหลังโกโบริเดินห่างนำไปหลายช่วงตัว
โกโบริที่ครุ่นคิดหนัก แล้วจู่ๆ ก็หยุดเดินกึก 2 พลทหารที่จ้ำตามแทบหยุดไม่ทัน จนเกือบชนหลังโกโบริ ตรงบริเวณทางแยกของทางเดินท้องร่องในสวนพอดี
โกโบรินิ่งไปครู่ ดวงตาเขม็งครุ่นคิด
2 พลทหารมองหน้าโกโบริ แล้วหันมามองหน้ากัน รับรู้ถึงบรรยากาศมาคุบางอย่าง
โกโบริเหลียวมองทางแยกซ้ายขวา ถามตัวเองว่าจะไปทางไหนดี แล้วเหมือนหมดแรง ไม่มีประโยชน์ ที่จะแกล้งทำเป็นไปค้นที่ไหนอีก จึงสั่งการเสียงแข็ง
“กลับ”
แล้วโกโบริหันเลี้ยวไปทางหนึ่งกลับไปอู่ต่อเรือทันที
ทหารทั้งสองคนมองหน้ากัน เอ๋อๆ แล้วออกเลี้ยวตามโกโบริไปงงๆ
ตาบัวที่ออกอาการลนลานเดินพล่าน
“เอาไงดีๆ คราวนี้ตายแน่ๆ”
แม่อร และยายต่างมองมาที่อังศุมาลิน
ไเขาน่าจะเห็นไมเคิ่ลซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าหนูแล้ว แต่...ไม่เห็นว่าอะไร”
อังศุมาลินยังเล่าไปด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง ไม่มองหน้าผู้ใด
แม่อรยกมือทาบอก ตกใจ “ตายๆๆ พุทโธๆ ยังไงกันละนี่”
ฟากยายศรยกมือไหว้ท่วมหัวปลกๆ
“เห็นหน้าพ่อมะลิก็รู้แล้วว่ารู้แน่ๆ ก็คงอยู่ที่ว่าเขาจะเอาเรื่องเราหรือเปล่านี่สิ เรื่องออกใหญ่โตเสียด้วย”
แม่อรหน้าถอดสี
“มันไม่ปล่อยเราไว้ทำญาติหรอก เดี๋ยวมันต้องไปยกพวกพาทหารมาที่นี่แน่ ตายๆ เปิดกันเร็วๆเข้าเถอะ” ตาบัวบอก
“เห้อ..เรามันก็ตกเก้าอี้ลำบาก ไอ้ที่หนีมาซ่อนนั่นก็กำลังเดือดร้อน ปล่อยให้เขาจับไปก็คงโดนฆ่าโดนแกง อีกฝ่ายก็เป็นคนดีมีบุญคุณช่วยเหลือกันมา เห้อ...ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมเถอะ” คุณยายครวญลำบากใจเต็มทน
แม่อรเงียบ พลางส่ายหน้าปลงตามยาย ตาบัวเห็นไม่มีใครสนใจ เลยคว้าชามข้าวขึ้นมาจ้วงทานต่อ
“แล้วพ่อฝรั่งที่ยายอังซ่อนไว้ เขากินข้าวปลาหรือยังละ” ยายศรถาม
“กินไปเมื่อเช้าแล้วค่ะคุณยาย” อังศุมาลินพูดไปใช้ความคิดไป “ตอนนี้เราคงให้เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว...คงต้องหาที่อยู่ให้ใหม่”
“แล้วลูกจะพาเขาไปไว้ไหน” แม่อรปรารภ
“หนูว่า...”
อังศุมาลินพูดพลางหันหน้าไปทางตาบัว
ตาบัวที่หันไปคดข้าวใส่จานกลับมา เห็นสายตาอังศุมาลินที่มองมา ถึงกับจานกระฉอก
ตรงมุมชานเรือนรับแขกบ้านกำนันนุ่มตอนสายๆ แม่วันยกขันน้ำมาวางให้สารวัตรองอาจ และนายตำรวจติดตาม ที่เพิ่งมาถึง
“ดูจะมีเรื่องอีกแล้วนะสิจ๊ะท่านสารวัตร” กำนันทัก
สารวัตรองอาจวางขันน้ำที่ยกขึ้นดื่มแก้กระหายลง
“เมื่อคืนมีเชลยอังกฤษหลบหนีมาที่ละแวกพื้นที่นี้”
“อ๋อ ถึงว่า..เห็นทหารญี่ปุ่นเดินกันให้พรึบแต่เช้า”
“นี่ละ ทางสันติบาลจึงอยากจะขอความร่วมมือกำนันช่วยอีกแรง ทางญี่ปุ่นกำลังจับตาดูทางการไทยอยู่ เพราะเหมือนไม่ให้ความร่วมมือนัก ถ้าเราแข็งขันให้พวกเขาเห็นเสียหน่อย งานอย่างอื่นมันจะได้ไม่เป็นเป้า”
“ได้สิท่านสารวัตร ตกลงว่าถ้าทางผมได้เรื่องนี้ยังไง จะรีบแจ้งทางสารวัตรทันที”
สารวัตรองอาจยิ้มออกมาท่าทีพอใจ
อังศุมาลินนั่งล้างจานอยู่ พลางครุ่นคิดหาทางออกอย่างรอบคอบ ใจเย็น ตาบัวเดินวนไปมารอบๆ
“อย่าเลย..ไม่ดีมั้ง แม่อัง”
อังศุมาลินลุกมาจากตั่งเล็กรองนั่ง วางจานคว่ำเรียง “ทำไมจะไม่ดี คราวนี้ล่ะ ที่ลุงจะได้ทำงานให้กับพวกเสรีไทยอย่างเต็มตัวไง จะเอาหรือไม่เอา ถ้าไม่เอาหนูก็จะไปขอคนอื่นเขาช่วย เผื่อจะมีใครที่อยากเป็นเสรีไทยจริงๆ บ้าง”
ตาบัวเต้นผาง
“เอ๊ย ไม่ต้อง ไม่ต้อง..เรื่องพวกนี้ ใครที่ไหนในละแวกนี้จะมารักชาติไปกว่าไอ้บัวเล่า คนมันเคยทำงานใหญ่งานโต ไอ้ชาวสวนพวกนั้นเหรอ ขนาดเอาถังน้ำมันที่ขโมยมาไปฝาก มันยั้ง..ไม่กล้า ขืนให้ไอ้พวกนั้นไปเป็นเสรีไทย มีแต่วิ่งหางชี้เอาสิ”
“งั้น ลุงตกลงแล้วนะ” อังศุมาลินย้อนถาม
“หะ หา” ตาบัวตาค้าง
แม่อร และยายศรต่างมองมาที่ตาบัวอย่างรอคำตอบ
ตาบัวทำหน้าเริดเชิด “โอย แค่นี้..เอาซี้”
“ดี” อังศุมาลินบอกหน้าตาเด็ดเดี่ยว
ตาบัวถึงกับทำหน้าไม่ถูก
สองแม่ลูกอยู่ในห้อง อังศุมาลินจัดเสื้อแขนยาวตัวที่เพิ่งสวมเปลี่ยนใหม่ให้เข้าที่อยู่หน้ากระจกแล้วรวบมัดผม
“มันจะดีหรือลูก”
“แม่ไม่ต้องห่วงคะ หนูจะรีบไปรีบกลับ”
“แม่ว่า อย่าเพิ่งเข้าไป...” แม่อรห้ามอีก
“หนูไม่เป็นไรหรอก หนูแค่อยากไปบอกให้เขารู้ว่า ที่หนูทำไปมันไม่ใช่เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องของสงคราม...”
อังศุมาลินหันมาหาแม่อร
“แต่มันคือ หน้าที่ของเพื่อนมนุษย์ค่ะ”
แม่อรอึ้ง
อังศุมาลินเดินเข้ามาตรงทางเข้าหน้าอู่ มีทหารยามนายเดิมยืนตัวตรงนิ่งอยู่ ทหารยามหันมามองทางอังศุมาลิน ที่มีตาบัวโผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อนเกาะข้างหลังแจ ตาบัวหัวหดเบี่ยงตัวแอบไปข้างหลังอังศุมาลินอย่างเดิม กระซิบเบาๆ
“ไหมละแม่อัง ดูท่าว่าจะไม่ดี กลับกัน..ดีไหม”
“ลุง ไอ้ที่ลุงทำลับล่ออยู่นี่ละ เขาจะจับเอา”
ตาบัวค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อนอยู่ข้างหลังอังศุมาลินอีกที
ทหารยามจำอังศุมาลินได้แล้ว ยิ้มให้ ชิดเท้าตัวตรงทำความเคารพ แล้วเปิดทางเข้าให้
อังศุมาลินยิ้มตอบขอบคุณ แล้วก้าวเดินเข้าไป มีตาบัวรีบก้าวตาม
อังศุมาลินเดินเข้าไปภายในอู่ต่อเรืออย่างคุ้นเคย เห็นมีทหารญี่ปุ่นอยู่บางตาตามจุดต่างๆ ที่หันมามองคนทั้งสองเมื่อผ่านไป ตาบัวรีบก้าวตามอังศุมาลินไป
อังศุมาลินที่ก้าวเดินกระฉับกระเฉงมาตลอดทาง พอเดินผ่านเห็นห้องทำงานของโกโบริที่เงียบเชียบและถูกปิดไว้ ก็ก้าวช้าลงไปทันที อังศุมาลินถอนใจยาว
“มีอะไร แม่อัง”
อังศุมาลินชะงักเล็กน้อย ไม่ตอบและก้าวเดินต่อไป
“แม่อัง ว่าไอ้ผลมันจะเป็นอะไรไหม”
เสียงตาผลร้องโอดโอยดังลั่นแว่วมา
ตาบัวชะงัก
“เสียงไอ้ผล”
ตรงลานหลังอู่ต่อเรือ ตาผลแหกปากร้องจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด
“จะบอกไหม
เคสุเกะยื่นหน้าใกล้เข้ามา”
ตาผลแหกปากร้องลั่น “โอย อ๊าก..ไอ้บ้า บอกว่าไม่รู้ๆ เชลย ชะลอมอะไร”
“แล้วมันเป็น-ของใคร”
เคสุเกะยก กางเกงกับรองเท้าทหารอังกฤษขึ้นมาแล้วพยักหน้าให้สัญญาณลูกน้อง
ตาผลกำลังถูกมัดมือมัดเท้า เอาตัววางพาดบนถังน้ำมันลิตร มีทหารสองคน กำลังยืนบังที่หัว อีกคนยืนบังที่เท้า กำลังทรมานตาผล โดยเอาขนไก่ มาเขี่ยซอกคอกับฝ่าเท้า เคสะเกะยืนดูอยู่ใกล้ๆ ตาผลดิ้นรน เกร็งตัวกลัวตกจากถังไปเจอหมามุ่ยที่วางอยู่รอบ อังศุมาลินเดินนำตาบัวมาเห็น
“นี่ทำอะไรกันนะ”
“แย่แล้ว ไอ้ผล” ตาบัวตาเหลือก
ทุกคนที่กลางลานหันมาทางอังศุมาลินและตาบัว
ตาผลร้องลั่น “มะ แม่อัง ช่วยลูกด้วย...อ๊ากอ๊ายย โอ๊ย ไอ้บ้า..ดูสิ รอบๆ นี่หมามุ่ยทั้งนั้น..ไอ้พวกนี้มันวิตถารสิ้นดี ช่วยด้วย”
ทหารทั้งสองยังคงทำโทษต่อไปไม่หยุด
อังศุมาลินเสียงดัง “นี่ พอเถอะ เขาไม่รู้อะไรด้วยหรอก”
ตาบัวใจหาย ห่วงเกลอ “ตาย...ไอ้ผลตายแน่”
เสียงโกโบริดังเข้ามา “ออ..คุณรู้หรือ ว่าเขา-ไม่รู้-อะไรด้วย”
อังศุมาลินหันขวับไปทางเสียงที่มาจากด้านหลัง
เวลานั้นตรงลานหลังอู่ โกโบริมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย แววตาเป็นประกายเมื่อแรกสบตาอังศุมาลิน แล้วพลันเปลี่ยนเป็นหมางเมิน ก้าวมาหยุดอยู่ข้างๆ อังศุมาลินถอยห่างๆ หลบตาก้มมองต่ำ ตาบัวรีบผลุบหัวไม่กล้ามอง
โกโบริพูดโดยไม่ยอมมองหน้าอังศุมาลิน “ดูเหมือน-คุณจะรู้-อะไรๆ ดีมาก”
อังศุมาลินเงียบไม่ตอบ
“แสดงว่า-ถ้าผม-อยากรู้อะไร-ต้องถามคุณ-สินะ” โกโบริตะโกนสั่งเคสุเกะ “เคสุเกะ พอ หยุด แล้วปล่อยไว้อย่างนั้นก่อน”
เคสุเกะและทหารทั้งสองนายหยุด และรู้ว่าต้องเดินออกไปจากตรงนั้น ปล่อยให้ตาผลค้างอยู่บนถังน้ำมัน
“เฮ้ย ไอ้ผล ไหวไหมวะเพื่อนยาก”
ตาบัวเห็นทางโล่ง และไม่อยากยืนใกล้บรรยากาศมาคุ จึงรีบเผ่นไปหาตาผล
อังศุมาลิน หันไปทางโกโบริ แล้วค่อยๆ เหลือบมองสบตา เรียกเสียงแผ่ว
“โกโบริ...”
“ผมเป็นไอ้งั่ง” โกโบริบอกเป็นคำญี่ปุ่น
อังศุมาลินมีสีหน้าเศร้าทันที
โกโบริพยายามพูดให้ได้ยินเพียงสองคน “ผมเลือกเป็นได้สองอย่างเท่านั้น คือเป็นทหารที่เลว แต่ยังพอมีความเป็นคนในสายตาคุณบ้าง หรือเป็นทหารที่ดี แต่เป็นตัวอะไรสักอย่างที่น่ารังเกียจในสายตาคุณ สำหรับผม...”
อังศุมาลินใจหาย เสียงอ่อยๆ “โกโบริ...”
“ผมทำอย่างดีที่สุดแล้ว...เพื่อคุณ แต่มันคือการกระทำที่เลวต่อกองทัพ ผมให้ชีวิตเขากับคุณ แต่นั่น-อาจเป็นการ-แลกชีวิตผม-เพื่อเขาด้วย คุณรู้ไหมว่ากฎของกองทัพมีว่าอย่างไร”
อังศุมาลินรู้สึกผิดแปลบขึ้นมาทันที โกโบริจ้องตาสาวไทยไม่วางตา
“คนทรยศ...โทษมีสถานเดียวคือ ยิงเป้า แต่คุณไม่สนใจอยู่แล้วว่าผมจะอยู่หรือตายไม่ใช่หรือ เพราะในสายตาคุณผมมันไม่มีค่าอะไรเลย”
อังศุมาลินตกใจ พยายามอธิบาย “ไม่ใช่อย่างนั้น...”
“ค่าของผมมันน้อยกว่า...เขา เสียอีก ทั้งๆ ที่เขาก็ฆ่าคนมาไม่น้อยกว่าผม”
โกโบริเงยหน้ามองตรง แววตาสุดแสนขมขื่น
“ดูเขาไว้ให้ดี ผมให้โอกาสเขากับคุณแล้ว อย่าต้องให้ใช้ชีวิตคนทั้งบ้านคุณ เพื่อแลกกับเขาเพียงคนเดียว”
โกโบริชิดเท้าตัวตรง ก้มศีรษะลงต่ำ แล้วหันตัวกลับเดินลิ่วไปทันที
“เดี๋ยวคะ คือดิฉัน...”
อังศุมาลินถอนใจยาว แววตาหม่นหมองอัดอั้น
คู่กรรม ตอนที่ 10 (ต่อ)
สองคนอยู่ตรงทางเดินจากอู่ไปท้ายสวน แสงแดดร้อนแรงตอนกลางวัน แผดจ้าส่องผ่านยอดไม้ทึบหนาในทางเดินกลับท้ายสวน ตาบัวสีหน้าเป็นทุกข์ เดินบ่นงึมงำ
“โธ่..ไอ้ผลของมันวางอยู่หัวนอนทนโท่ บอกว่าไม่รู้ไม่ใช่ หมาที่ไหนจะไปเชื่อ ทำไมไม่บอกพวกมันไปว่าเป็นของพ่อของปู่ให้มา หัวขี้เท่ออย่างนี้ละหนา เห้อ..แม่อังก็ดูเอาละกัน ใครเขาจะให้ไปทำงานใหญ่งานช้าง” หันมามองข้างไม่เจออังศุมาลิน “อะ อ้าว”
ตาบัวหันมองไปข้างหลัง เห็นอังศุมาลินเดินเนือยๆ ตามมาห่างๆ เลยเดินกลับไปหา
“ไอ้ผล หัวมันไม่ไว ไหวพริบอะไรก็ไม่มีไม่เหมือนกะฉันนี่หรอก งานไหนงานนั้น” เห็นอังศุมาลินเงียบ “นี่แม่อัง ฟังอยู่หรือเปล่า”
อังศุมาลินเดินผ่านหน้าไปเฉย
“อาว แม่อังนี่เป็นอะไรละน่ะ”
“เปล่าลุง” อังศุมาลินบอก
“หรือว่าไอ้หน้าจืดนั่นมันขู่อะไรแม่อังมา”
“เอาเถอะลุง ไม่มีอะไร”
ตาบัวเซ้าซี้ “มีอะไรรีบบอกลุงมาเลย เดี๋ยวลุง...”
อังศุมาลินตัดบท “รีบเดินเถอะ”
พร้อมกันนั้นอังศุมาลินออกเร่งเดินนำตาบัวไป ตาบัวเหวอกิน
สภาพผุพังของฝากระท่อม ผนังข้างเป็นรูโหว่มองเห็นเข้าไปได้โล่งตา
“สภาพกระต๊อบของลุงนี่ถ้าเอาใครมาซ่อน ก็คงเห็นได้แต่ไกล”
“แหม ก็ว่าจะซ่อมอยู่ละ แม่อัง มั้น..ไม่ค่อยมีเวลา”
“เอางี้นะลุง ลุงก็ลงมือซ่อมเสียเดี๋ยวนี้เลย”
อังศุมาลินเดินนำมาหน้ากระต๊อบ
“แล้วก็ ข้างหน้านี่ก็กั้นเป็นประตูหน้าต่างเอาไว้ด้วย”
อังศุมาลินเห็นตาบัวเงียบไม่ตอบจึงหันไปมอง ตาบัวทำหน้าเสียไม่ได้
“นะลุง”
ตาบัวพึมพำกับตัวเอง “แล้วไหมละไอ้บัว”
“แล้วคืนนี้ เราจะได้เดินตามแผน” อังศุมาลินสรุป
มองจากตรงลานสนามหญ้าริมแม่น้ำ เรือนไม้รับรองสองชั้นริมเจ้าพระยาพระนคร เวลาตอนกลางวัน เห็นเรือขนส่งแล่นไปมากลางเจ้าพระยา เรือเร็วรับจ้างลำหนึ่งรีบมุ่งมาจอดเทียบท่าของเรือนไม้ริมน้ำ
หลวงชลาสินธุราชในชุดลำลองจ่ายเงินค่าจ้างแล้วรีบขึ้นจากเรือ รีบเดินขึ้นบันไดมาถึงชานเรือน
เสรีไทยระดับสูง 4-5 คนที่นั่งบ้าง ยืนบ้าง อิริยาบถต่างๆ กัน ทุกคนรอคุณหลวงอยู่ และต่างหันขวับมามองที่เขา
“นี่ไง ขุนทองมาพอดี” เสรีไทยคนที่ 1 ร้องทัก
หลวงชลาสินธุราชมีทีท่างงและตกใจเล็กน้อย
“เรื่องด่วนอะไรหรือ รู้ธมีอะไร”
คุณหลวงร้อนใจ ทุกคนเงียบไปครู่ ทำหน้านิ่ง กึ่งหนักใจ ที่แท้ฟอร์ม แกล้งทำกันทุกคน
หลวงชลาสินธุราชหันมองทุกคนไปมาหันไปจ้องที่เสรีไทย 2 ที่นั่งก้มหน้านิ่ง ชักใจไม่ดี
“นี่ทองคูณ เกิดอะไรขึ้น”
พลางคุณหลวง เดินไปหาเสรีไทย 3 ที่นั่งเงียบอยู่ใกล้ๆ
“คืออย่างนี้…” เสรีไทยคนแรกเปิดเรื่อง
เสรีไทยคนที่ 2 เผยความตื่นเต้นดีใจ “มังกรรับสงวนกับแดงไว้แล้ว”
เสรีไทยคนที่ 3 กำมือชูขึ้นแล้วร้องเยส “ใช่...แล้วรู้ธบอกว่ามังกรกำลังส่งสองคนนั่นไปอเมริกา”
“สงวนกับแดง คือ สงวน ตุลารักษ์ และแดง คุณะดิลก เป็นคณะฑูตของเสรีไทยในประเทศที่ถูกส่งไปเมืองจีน เพื่อติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตร”
หลวงชลาสิธุราชประหลาดใจ ดีใจ “เราสำเร็จแล้วสิต่อไปนี้โลกจะได้รู้เสียทีว่ามีขบวนการต่อต้านพวกอาทิตย์อุทัยอยู่ในประเทศนี้
เสรีไทยทุกคนร้องขึ้นพร้อมๆ กัน“สำเร็จแล้วๆๆ”
ทุกคนเฮฮา ตบบ่า หลังไหล่ กอดกัน บรรยากาศชื่นมื่น
ที่แคมป์ฝึก เมืองเดลฮี ประเทศอินเดีย ตอนสายๆ แก้วกว่าสิบใบชนกันเก๊งกั๊ง พร้อมเสียงเฮฮาของเหล่าทหารเสรีไทย
“เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๘๖ หน่วยบริหารงานพิเศษ (Special Operations Executive-S.O.E) แผนกไทยเมืองเดลฮี ประเทศอินเดีย”
วนัส พิชัย อรุณ และท่านชายวิชญา และคนไทยอื่นๆ ในชุดทหารบกอังกฤษหลังได้รับการประดับยศร้อยตรี กำลังยกแก้วเครื่องดื่มซดกันอย่างฉ่ำอุรา
ป๋วยในชุดร้อยตรีกองทัพบกอังกฤษเช่นกัน กำลังดื่มและลดแก้วในมือลงยืนอยู่ต่อหน้าร้อยตรีใหม่ทุกคน
“ผมร้อยตรีเข้ม เย็นยิ่ง ในฐานะตัวแทนของทั้งกองทัพอังกฤษและเสรีไทย ขอชมเชยความกล้าหาญ มุ่งมั่นบากบั่น และเสียสละของพี่น้องเสรีไทยในที่นี้ทุกคนจนทำให้พวกเราเดินกันมาถึงวันนี้ได้ วันที่เราพร้อมจะออกไปกู้บ้านกู้เมืองของเรา”
“นายเข้ม เย็นยิ่งคือชื่อรหัสลับ หรือชื่อฉายาสงคราม ของ ป๋วย อึ้งภากรณ์”
เสียงเฮรับจากเหล่าร้อยตรีใหม่
“และผมก็อยากจะแสดงความยินดีกับพงศ์ และเรเว่นที่ได้รับเลือกให้เป็นหน่วยปฏิบัติการชุดแรกที่จะเข้าประเทศไทย”
เสียงเฮรับจากเหล่าร้อยตรีใหม่อีกระลอก พร้อมกับหันไปเล่นหัว ตบบ่า กับพงศ์ และเรเว่น
“พงศ์และเรเว่น คือชื่อรหัสลับของ จุ้นเคง รินทกุล และสวัสดิ์ ศรีสุข ตามลำดับ”
“แล้วนับจากวันนี้ไป พี่น้องเสรีไทย..ไม่ใช่สิ ต้องร้อยตรีใหม่เสรีไทยทุกท่าน ก็จะไม่ต้องบ่นต้องเบื่อกันอีกแล้ว มันถึงเวลากันเสียที ที่พวกเราจะเอาเลือดไทยทุกหยดกลับไปคืนผืนแผ่นดินแม่และขอยอมตายถวายชีวิตให้ประเทศไทยได้กลับคืนมาเหมือนเดิม” ป๋วยบอก
ป๋วยยกแก้วขึ้นสูงขึ้นนำให้กับทุกคน
“เสรีไทย” ทุกคนร้องพร้อมกัน (*ตีความว่าปลดปล่อยไทยให้เป็นเสรี เสรี=คำกริยา=free)
ร้อยตรีใหม่ทุกคนชนแก้วพร้อมกันอีกครั้ง
สีหน้าวนัสเปี่ยมสุขล้นปรี่ และมีความหวัง
ตรงนอกชานบนเรือนอังศุมาลินเวลานั้น กล้วยที่หั่นแล้วสำหรับฉาบเรียงตัวกันตากแดดอยู่ในกระด้งที่วางอยู่กลางชานเรือน อังศุมาลินเดินขึ้นบันไดเรือนมา แม่อรหันไปเห็นพอดี ถามอาการร้อนใจ
“ว่าไงลูก เจอพ่อดอกมะลิหรือเปล่า”
อังศุมาลินหน้าเหนื่อย เครียด ยายศรวางมือจากกล้วยที่หั่นอยู่ หันมามองอังศุมาลินอย่างสนใจ
อังศุมาลินถอนใจยาว “เจอค่ะ”
“แล้ว เป็นอะไรหรือลูก เขาว่ายังไง”
“ไม่..ไม่มีอะไรค่ะ แต่...หากมีใครจับได้เรื่องนี้ ไม่เพียงแต่เราที่จะลำบาก แต่เขา...ก็จะโดนด้วย”
“นั่นซิ มันก็เหมือนแกมารู้เห็นไปกับเรา เพราะแกเป็นคนมาตรวจที่บ้านนี่เอง เวรกรรม...อย่างนี้โทษหนักกว่าเราแน่ มันเท่ากับคนในเป็นเสียเอง เฮ้อ”
แม่อรถอนใจ ด้วยความหนักใจ
อังศุมาลินยิ่งรู้สึกไม่ดีไปใหญ่ คิดซักพัก แล้วตัดใจเดินหน้าต่อ
“แม่คะ แล้วเชลย...”
“อ๋อ...”
แม่อรพยักพเยิดไปทางห้องเก็บของ อังศุมาลินมองไป พยายามทำใจให้มั่นคง ไม่หวั่นไหว
ภายในห้องเก็บของมืดอับ หน้าต่างถูกปิดไว้ทุกบาน มีแสงลอดเข้ามาตามรูช่องไม้เท่านั้น
ไมเคิลที่นั่งพิงผนัง เหม่อคิดเศร้า งอเหยียดขาพิงผนังอยู่ หันมามอง สะดุ้ง รีบลุกเตรียมพร้อม คว้าไม้คานที่กองอยู่มุมห้องมาถือ อังศุมาลินแง้มประตูปิดเข้ามา และมองดูอย่างเข้าใจ เห็นใจ
ไมเคิลลดไม้ลง มองหน้าอย่างวิตก สงสัย “ทหารญี่ปุ่นคนนั้น เขาเห็นผมแล้วแน่ๆ เพราะเขาพูดเหมือนจะบอกให้ผมรู้ว่าเขาเห็น แต่ทำไมเขาไม่เอาตัวผมไป”
“ฉันไม่รู้” อังศุมาลินบอก
“ผมรู้จักพวกทหารญี่ปุ่นดี เพราะทุกครั้งที่จับเชลยหนีกลับมาได้ พวกเขาจะลงโทษ ด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมและประหลาด แล้วพวกผมเคยถูกต้อนให้เข้าแถวไปดู”
ไมเคิลเล่าด้วยความขมขื่น ระคนชิงชัง
“เพื่อนผม...เขาถูกบังคับให้ขุดหลุม เสร็จแล้ว ก็ถูกมัดมือไปยืนที่ปากหลุมนั้น..เป็นเป้าให้พวกซามูไรยังไม่สิ้นใจ...ก็ถูกถีบลงหลุมที่ตัวเองขุด แล้วโดนกลบฝัง...ทั้งเป็น”
อังศุมาลินฟังนิ่ง ด้วยความหดหู่ และหวาดหวั่นในใจ
“แต่...ทหารญี่ปุ่นคนนั้น.. ดูเขายังเด็ก”
“เขาเป็นเรือเอก ไม่เด็กแล้ว”
“เขารักคุณอยู่หรือ” ไมเคิลยิงตรง
อังศุมาลินสะดุ้ง หน้าร้อนวูบขึ้นมาทันที อึ้ง พูดไม่ออก
ไมเคิลมองอย่างเกรงใจ “ขอโทษที่ผมพูดตรงไปหน่อย แต่ผมรู้สึกได้อย่างนั้นจริงๆ”
อังศุมาลินพยายามพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เราเป็นคนไทย..ขนบธรรมเนียมของเรา คือจะไม่ยอมให้เลือดของเราปะปนกับคนต่างชาติ”
“ขอโทษนะ อย่าโกรธผม ผมคิดว่าคุณเป็นเอเชียด้วยกัน ไม่น่าถือในเรื่องนี้ พวกผมเป็นยุโรป มักมีเลือดปะปนกันเสมอ ไม่มีแบ่งแยก”
“แต่พวกคุณเคยถือไม่ใช่หรือ ตะวันตกสำหรับคนตะวันตก และตะวันออกสำหรับ คนตะวันออกและนี่เราคนไทย สำหรับคนไทย”
อังศุมาลินจริงจัง หนักแน่น ไมเคิลอึ้งๆ
ภายบในห้องทำงานโกโบริ หมอทาเคดะพยายามเบี่ยงตัวหนี ในมือถือแผ่นกระดาษจดหมาย ขณะที่โกโบริร่างค้างคาไว้ มีโกโบริพยายามแย่งคืน
“ทาเคดะซัง ขอร้องล่ะ”
“คุณเขียนอะไรของคุณ” หมอชูจม.มาตรงหน้า “คุณจะขอย้ายหรือ!!”
โกโบริอึ้ง “ใช่”
“เพราะอะไร”
“ผม..ไม่เหมาะสมจะทำงานที่นี่อีกแล้ว ผมควรจะไปรบในแนวหน้ามากกว่า”
“ไม่เหมาะคืออะไร คุณคือทหารญี่ปุ่นตัวอย่าง ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในท้องถิ่นไม่ใช่เหรอ เกิดอะไรขึ้น”
“ผมแค่..อยากไปจากที่นี่ ให้เร็วที่สุด” โกโบริบอก
“เกิดอะไรขึ้น คุณรักที่นี่ รักคนที่นี่ไม่ใช่เหรอ” หมอว่า
“ไม่เกิดอะไรขึ้น ผม แค่อยากไป”
“มันต้องมีเหตุผลสิ ทำไม”
“ไม่มีเหตุผล ผม..แค่อยากไป”
โกโบริหน้าตาเก็บกด หมอทาเคดะงงเป็นไก่ตาแตก
ภายในห้องเก็บของ อังศุมาลินลงมือเก็บข้าวของ จัดของจำเป็นให้ไมเคิล หน้าตาไม่พอใจ
“คุณเป็นคนอนุรักษ์นิยมนะ ทั้งบ้าน การแต่งตัว ความเป็นอยู่ และนิสัย.. แต่ผมอยากเตือนอะไรคุณบางอย่าง อย่าคิดว่าผมสั่งสอนคุณเล”
ไมเคิลขยับตัว เปลี่ยนน้ำเสียงราวกับคุณครูสอนเด็ก
“คุณเป็นคนกล้า หัวแข็ง ตัดสินใจเด็ดขาดแบบผู้ชาย จนบางที..แม้ผิด คุณก็จะยังดันทุรังไปเหมือนพวกผู้ชายที่ห้าว..บ้าบิ่น แต่คุณเป็นผู้หญิง อย่าใช้หัวใจเพียงอย่างเดียว พยายามใช้เหตุผลให้มาก แล้วชีวิตต่อไปของคุณจะมีความสุข แต่ถ้าคุณ..ดันทุรังเหมือนที่เคย สักวันหนึ่ง คุณก็จะพบว่า สิ่งที่คุณต้องการได้เลือนหายไป เพราะตัวคุณเอง”
“นี่คุณเป็นหมอดูหรือ” อังศุมาลินขำเหมือนเยาะนิดๆ
ไมเคิลหัวเราะเบาๆ พยายามอธิบาย
“คุณเป็นผู้หญิง อยู่ท่ามกลางข้าศึกต่างชาติ แต่กลับได้รับความเกรงใจ คุณไม่กลัวผม ไม่มีแม้แต่เสียงร้องเมื่อเจอผม เมื่อถูกค้นบ้าน คุณก็ยังใจเย็นอยู่ได้”
อังศุมาลินมองนิ่ง แววตายังคงดื้อ ไม่เชื่อฟัง “ขอบคุณค่ะ ฉันจะจำคำของคุณไว้”
เย็นนั้น แลเห็นเงาพระอาทิตย์ยามเย็นในน้ำ อังศุมาลินที่อาบน้ำเสร็จแล้ว ใส่ผ้ากระโจมอก มีผ้าเช็ดตัวพาดบ่า มือหนึ่ง ใช้ปลายผ้าซับๆ ตามหน้าเบาๆ ถอนใจ แววตาเหม่อ
เสียงคำถามของไมเคิลดังขึ้นในใจ
“เขารักคุณอยู่หรือ”
แล้วภาพอีกเหตุการณ์ก็ผุดขึ้นแทนที่
“ผมเป็นไอ้งั่ง”
อังศุมาลินมีสีหน้าเศร้าทันที
โกโบริพยายามพูดให้ได้ยินเพียงสองคน “ผมเลือกเป็นได้สองอย่างเท่านั้น คือเป็นทหารที่เลว แต่ยังพอมีความเป็นคนในสายตาคุณบ้าง หรือเป็นทหารที่ดี แต่เป็นตัวอะไรสักอย่างที่น่ารังเกียจในสายตาคุณ”
ยิ่งคิดอังศุมาลินยิ่งสับสน พยายามปฏิเสธความคิดที่พลุ่งพล่านหลับตาข่มความสับสนในใจ
อังศุมาลินบอกกับตัวเองอย่างพยายามเตือนตน “ไม่..นัส เขารักนัส..เขารักนัสคนเดียว”
แต่แล้ว กลับชะงัก ดวงตาไหวระริก ความคิดบางอย่างวาบเข้ามา ในวันนั้นที่ฝั่งธนถูกระเบิดบอมบ์
โกโบริมองอย่างตัดใจไปอย่างยากเย็น “ฮิเดโกะ อยู่นี่นะ อย่าไปไหน”
อังศุมาลินเงยมามองหน้า แววตาหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนพยักหน้ารับคำโดยอัตโนมัติ
อังศุมาลินขัดใจตัวเอง เอาผ้าเช็ดหน้าแรงๆ เหมือนจะพยายามลบบางอย่างออกไป อังศุมาลินหวาดกลัว เสียขวัญ ไม่อยากจะเป็นแบบนั้น ร้องขอความช่วยเหลือ
“นัส..นัส เมื่อไรตัวจะกลับมา...”
สีหน้าอังศุมาลินอ่อนล้า ทั้งสิ้นหวัง และพ่ายแพ้ใจตัวเองอย่างยับเยิน
คืนนี้เป็นคืนเดือนแรม ประตูกระท่อมใหม่เอี่ยมถูกเปิดกว้างออก ตาบัวทิ้งตัวนอนแผ่หลาพาดเท้าเข้าไปในกระต๊อบ
“โอย กว่าจะเสร็จ”
ตาบัวกวาดตามองฝา หน้าต่าง ประตูใหม่ อย่างภูมิใจ
“แหม มันน่าอยู่น่านอนขึ้นโข ไอ้ผลมาคงตกใจแย่”
เสียงใบไม้ถูกเหยียบกร๊อบ ตาบัวรู้ทันทีว่ามีคนมาอยู่หน้ากระต๊อบ คิดว่าเป็นอังศุมาลิน
“ทำไมมาเร็วจังละแม่...”
ตาบัวลุกขึ้นดู โดยยังไม่ทันพูดจบ ก็ถึงกับหน้าถอดสี
“นะ นะนาย...”
โกโบริยืนกอดอกอยู่ในเงามืด ดวงตาที่มองมาวาววับ
ทิวไม้ในสวนเห็นเป็นเงาตะคุ่ม เสียงหรีดหริ่งเรไรดังระงม ตรงทางเดินแคบคดเคี้ยวค่อนข้างมืด ฝีเท้าที่เดินคล่องทาง เดินนำผ่านไป แล้วตามมาด้วยฝีเท้าที่ก้าวเก้ๆ กังๆ ไม่ชำนาญทาง
อังศุมาลินหันไปข้างหลัง พูดเสียงกระซิบ “มองเห็นไหม ตามฉันมาแล้วกัน”
ไมเคิลพยักหน้า แล้วส่งสัญญาณ ยกนิ้วโป้ให้
อังศุมาลินในชุดเสื้อแขนยาวผ้านุ่งผืนยาวสีเข้ม เห็นว่าเรียบร้อยจึงเดินนำไปต่อ
ส่วนโกโบริกวาดตามองสภาพกระท่อมที่ดูดีแปลกตา ด้วยความสนใจ แล้วมองผ่านไปข้างในกระท่อม ตาบัวเริ่มสั่นกลัวขึ้นมาทันที รีบลุกพรวดออกไปยืนหน้ากระท่อม
“ชะ เชิญชม ได้เลย มะ..ไม่มีใคร ฉันอยู่คนเดียว”
“อืม…”
“ก็ ไอ้ผล มัน..อยู่ที่อู่นายช่างแล้วไง ฉันก็อยู่..คนเดียว”
โกโบริพยักหน้ารับ “ที่นี่...มีอะไรใหม่ๆ และสะอาดเรียบร้อยดีนะ”
“ใช่ๆ..ละ แล้ว ทำไมนายช่างมามืดค่ำ ให้ฉันช่วยอะไร ก็รีบบอกมา จะได้เสร็จธุระ”
โกโบริยิ้มสบายใจ “ไม่มีอะไร แวะมาเยี่ยมคุยเล่นกัน เล่นๆ”
“คุยเล่นๆ”
ตาบัวใจคอไม่ค่อยดี
อังศุมาลินเดินนำทางมาอย่างคล่องแคล่ว ไมเคิลที่ก้มมองทางตลอดพยายามเดินตามให้ทัน จังหวะต่อมายินเสียงคนคุยกันดังแว่วมา อังศุมาลินรีบหยุด แล้วยกมือทำนองห้ามเดิน
ไมเคิลหยุดเดิน แต่ห่างอังศุมาลินอยู่สองสามก้าว อังศุมาลินยกนิ้วจุ๊ปากหันไปทางไมเคิล ไมเคิลพยักหน้า
สองคนเห็นแสงไฟจากตะเกียงของชาวบ้านสองคนใกล้เข้ามา และเหมือนจะมุ่งเดินผ่านไปอีกทางหนึ่ง
ไมเคิลค่อยๆ ย่องเดินเข้ามาให้ใกล้อังศุมาลิน แต่ดันไปเหยียบพื้นพลาดลื่นล้ม โดนกิ่งไม้หัก อังศุมาลินตกใจ หันไปมอง ไมเคิลพยายามทำตัวหมอบต่ำที่สุด เสียงชาวบ้านหยุดคุยกันทันที
อังศุมาลินมองลุ้นที่แสงตะเกียงของชาวบ้านที่หยุดนิ่ง จนแสงตะเกียงและชาวบ้านทั้งสองเดินคุยกันต่อไป
อังศุมาลินถอนหายใจโล่งอก
ฝ่ายตาบัวทำหน้าบอกบุญไม่รับ เมื่อเห็นโกโบริเดินเข้ามานั่งในกระต๊อบ ตาบัวจึงหันไปแล้วคว้าเทียนขึ้นมาจุด
“นายช่าง..ไม่รีบกลับไปดูอู่ ละ..หรือไง”
“ฉันเมื่อย ขอนั่งพักสักหน่อย...” โกโบริบอก
ตาบัวฉงน “อะ อา…”
โกโบริบอกอีกเป็นเชิงขอร้อง “จะได้ไหม”
ตาบัวขัดไม่ลง “คะ คือ..ดะ ได้ ก็ได้”
ตรงทางเดินหน้ากระท่อมหลังสวน ไมเคิลยังเดินตามมาท่าทีเก้งก้าง ตามอังศุมาลินไม่ลดละ อังศุมาลินหันมาหา พูดเบาๆ
“ถึงแล้ว”
อังศุมาลินหันกลับแล้วเดินตรงเข้าไปที่กระต๊อบ
ไมเคิลกำลังจะก้าวเดินตามไป เหลือบไปเห็นแสงไฟในกระท่อม จึงรีบหลบหายไปกับเงามืดข้างทาง
อังศุมาลินเดินจนเกือบถึงหน้ากระท่อม มองเห็นแสงเทียนไขและเสียงผิวปากเพลงซากุระเบาๆอย่างสบายใจ จึงหยุดเพ่งมอง เห็นร่างของคนสองคนที่ไม่รู้ว่าใครชะงัก ผงะทันที
โกโบรินั่งผิงฝาประตูกระต๊อบอยู่ มีตาบัวนั่งห่างๆ ตัวเกร็ง
“เชิญครับ เข้ามากันก่อนสิ”
อังศุมาลินตกใจกับน้ำเสียงที่ได้ยินจากร่างในเงามืด
อังศุมาลินยืนนิ่งทำอะไรแทบไม่ถูก พยายามปรับสีหน้าให้ปกติ โกโบริที่ยังนั่งอยู่ในเงามืดของกระท่อมทักทายต่อ
“มาเสียค่ำมืดเลยนะครับ”
“คุณมาทำอะไรที่นี่” อังศุมาลินถามกลับ
“ผม...มาคุยกับตาบัว แล้วคุณละ มาทำอะไร”
โกโบริค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืน ทำให้ร่างต้องแสงเทียนที่ส่องมองเห็นใบหน้า ดวงตาที่มองมาเยือกเย็น เย้ยหยัน
อังศุมาลินเงียบ
โกโบริบอกต่อ “ที่จริง..ผมก็ไม่คิดว่า...จะได้มาเจอคุณ”
“ฉันสิ กลับไม่แปลกใจที่มาเจอคุณ”
อังศุมาลินสวนทันควันอารมณ์วึดวือ
“ผมได้พักสามวัน เลยแวะมาบอกตาบัวว่า...พรุ่งนี้ไปพาตาผลกลับได้ เพราะผมจะต้องไปอยู่ที่ฝั่งโน้นหลังจากวันนี้”
อังศุมาลินทำทีเฉยเมยไม่รับรู้
“ผมขอพักพิจารณาตัวเอง ว่าสมควรอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไหม”
อังศุมาลินหน้าร้อนผ่าว อึดอัดขึ้นมาในบัดดล
โกโบริบอกต่อ “และหลังจากนี้ ผมอาจไปประจำการบนเรือ ไปออกรบเสียที ใครต่อใครจะได้โล่งอก”
ตาบัวกลอกตามองลอกแลกไปมาดูทั้งสองฝ่าย ทำอะไรไม่ถูก
“ลุงบัว แม่ให้มาถาม ว่าพรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า” อังศุมาลินเอ่ยขึ้น
ตาบัวมองงงๆ พยักหน้ารับช้าๆ เหงื่อแตกแล้วตอนนั้น เพราะทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน
“แม่ให้ไปช่วยดูลอกท้องร่องให้หน่อย ไปแต่เช้านะะลุง เพราะสายๆ จะไม่อยู่”
ตาบัวพยักหน้า “ได้ซิ”
“หนูแวะมาบอกแค่นี้ละ”
จบคำอังศุมาลินหันขวับจะออกเดินกลับทันที
“เดี๋ยวซิ ผมกลับด้วย”
อังศุมาลิน หันมาสบตากับตาบัวแวบหนึ่ง แล้วต่างคนต่างอึ้ง
ครู่ต่อมา อังศุมาลินเดินดุ่มๆ ตรงไปตามทางเดินที่มืดทึม อย่างชำนาญ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
โกโบริรีบสืบเท้าก้าวตามไม่ห่างจนไล่เข้ามาใกล้
“ผมแปลกใจ”
อังศุมาลินหูทวนลม
“ทำไมตาบัวไปนอนบ้านคุณทั้งคืน แต่ไม่มีใครบอกเรื่องลอกท้องร่อง”
อังศุมาลินฉุนกึก หันขวับกลับมาเผชิญหน้า
“คุณหมายความว่ายังไง”
โกโบริผงะ ไม่ทันตั้งตัว
“ผมไม่ว่าอย่างไร นอกจากว่า...ค่ำมืดอย่างนี้คุณมาที่นี่คนเดียว เพราะเรื่องแค่นี้...มันไม่ปลอดภัย” ที่แท้โกโบริเป็นห่วงสาวเจ้า
“ที่นี่คือแผ่นดินไทย คนที่นี่ก็เป็นคนไทย แต่ถ้าจะมีเรื่องไม่ปลอดภัยเกิดขึ้น คงไม่ใช่เพราะคนไทยที่นี่แน่”
อังศุมาลินสวนกลับอย่างเย้ยหยันและท้าทาย
โกโบริเดินตรงพรวดเข้ามาใกล้อังศุมาลิน แล้วคว้าต้นแขนกระชากเข้ามาเต็มแรง ด้วยเหลืออดแล้ว
“ใช่ ที่นี่เป็นแผ่นดินไทย ผมไม่ใช่คนไทย เป็นศัตรู เป็นคนเลว โหดร้ายแต่ผมไม่เคยทำร้ายผู้หญิง...”
โกโบริจ้องมองอังศุมาลิน แววตาตรงหน้าปวดร้าวเหลือประมาณ อังศุมาลินนึกไม่ถึง ตัวเกร็ง
“และผมก็เดาไม่ผิด ว่าคุณจะต้องมาที่นี่ คุณอย่านึกว่าที่นี่จะปลอดภัยต่อไป ผมเองก็จะอยู่ที่นี่อีกไม่นาน แล้วเมื่อมีคนอื่นเข้ามาแทนผม คุณก็จะได้รู้รสชาติของสงครามและการยึดครองที่แท้จริง ผมพยายามเป็นมิตรกับทุกคนที่นี่ ทำให้พวกเขาเข้าใจว่าสงครามเป็นเรื่องการเมือง และทหารผลัดถิ่นอย่างผมก็มีเลือดเนื้อ จิตใจ เป็นคนเหมือนกับทุกคน เคยเหงาเคยกลัวตาย มีความรัก มีความชัง มีดีและเลว เหมือนที่ทุกคนมี แต่สำหรับคุณ…”
พูดถึงตรงนี้โกโบริดึงรั้งร่างอังศุมาลิเข้ามาใกล้จนใบหน้าเกือบจะชนกัน
“ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณต้องคอยหวาดระแวงผู้อื่นอยู่เรื่อยไป คุณระแวงต่อทุกคนที่เข้ามาใกล้ คุณไม่ไว้ใจในมิตรภาพ คุณไม่มีหัวใจรัก”
“ไม่ ฉันเคย...” อังศุมาลินยั้งปากไม่พูดต่อ
“คุณอาจจะเคยมีคนรัก แต่คุณไม่เคยรู้จักความรักจริงๆ คุณรักคนของคุณเพียงเพื่อลบความหวั่นระแวงแคลงใจในมนุษย์ และลบร่องรอยความสูญเสียที่คุณเคยได้รับ แต่คุณไม่เคยรู้จักความรักที่อ่อนโยนดื่มด่ำ” น้ำเสียงโกโบริอ่อนเบาลง สัมผัสได้ถึงความเศร้าหมอง “และยอมเสียทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนที่รัก”
อังศุมาลินเงียบงันไป
“ถ้าคุณเคยรู้จักรักที่แท้จริงมาแล้ว..บางทีหัวใจคุณอาจไม่กระด้างเย็นชาเท่านี้ เพราะคุณจะรู้จักหัวใจโดดเดี่ยวอ้างว้างที่รู้ตัวว่ากำลังจะสูญเสียความรักไป มันเป็นอย่างไร”
อังศุมาลิใจเต้นไม่เป็นส่ำ ใบหน้าร้อนผ่าว ทันใดนั้นมีแสงไฟพุ่งวาบมากระทบใบหน้า จนอังศุมาลินผงะหงายเงิบ โกโบริรีบคว้าตัวโอบประคองอังศุมาลินเอาไว้
เสียงตาแกละดังขึ้น “เฮ้ย ใครมายืนทำอะไรกันมืดๆ โว้ย”
แสงไฟฉายส่องกวาดไปทั่วร่างคนทั้งสองที่ยืนโอบประคองกัน
ตาแกละตาโต อังศุมาลินตกใจหน้าซีดเผือด
ติดตาม "คู่กรรม" ตอนที่ 11