xs
xsm
sm
md
lg

คู่กรรม ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คู่กรรม ตอนที่ 9

ที่ร้านกาแฟ ตลาดชุมชนปากคลองธนบุรี เช้าวันใหม่ เห็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยคนหนึ่งกำลังปีนขึ้นไปติดโทรโข่งกระจายเสียงที่เสาไฟใกล้ร้านอาโก

โดยมีกำนันนุ่ม อาโก ตาแกละ กลุ่มชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่อีกคนคอยแหงนหน้ายืนดูอยู่ข้างล่าง
“ติดเพิ่มตรงนี้อีกตัวก็พอแล้ว.. เอ้า.. ระวังๆ” กำนันนุ่มคอยบอก
“นี่กำนัง.. มังคงไม่มีประกากเสียงดังตอนอั๊วกำลังหลับกำลังนอนอยู่นะ ไอ๋หยา..เอาทอระโข่งมาติดใกล้ๆ บ้านอั๊วแบบนี้” อาโกสงสัย
“ดีแล้ว.. จะได้ไม่ตกข่าว” ตาแกละว่า
“เวลาหวอดังขึ้นมา โกก็จะได้ยินก่อนใครเลยไง” กำนันบอก
“หูอั๊วจะแตกก่อนใครน่ะสิ” อาโกบ่น
ส่วนที่กำแพงสังกะสีข้างๆ ร้านกาแฟ มีป้ายประกาศเก่าๆ ติดอยู่ แม่อรที่เพิ่งจ่ายตลาดเสร็จ เอาตะกร้าคล้องแขนยืนอ่านอยู่สักพักใหญ่
ยายเมี้ยนนั่งเม้าท์อยู่กับชาวบ้านที่ร้านกาแฟ สายตาสอดส่ายไปเห็น พอเห็นแม่อรรีบลุกไปหา
“อ้าวว.. แม่อร.. มีอะไรรึ อ่านอะไรอยู่”
“อ๋อ.. เปล่าหรอกจ้ะ ก็ดูประกาศอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
ยายเมี้ยนมองไปที่โปสเตอร์อันหนึ่ง มีรูปทหารชี้นิ้วสะดุดตา
“เงียบ.. ไว้..ปะ..ลอด”
แม่อรอ่านให้ “เงียบไว้ปลอดภัยดีกว่า ศัตรูของชาติไทยกำลังเงี่ยหูฟังอยู่ทุกแห่ง”
-ยายเมี้ยนมองนิ่ง งง สงสัย กำนันนุ่มเดินเข้ามาทักทายแม่อร
“แม่อร.. ฉันนึกออกแล้ว.. เรื่องหลุมภัย.. แม่อรลองวานตาบัวตาผลไปช่วยดีไหม”
ยายเมี้ยนสงสัย “กำนันๆ ไอ้นี่มันหมายความว่าไง ให้เงียบอะไร ทำไมต้องเงียบ...แล้วศัตรูของชาติไทยที่มันใครล่ะ พวกญี่ปุ่นหรือพวกไหน”
แม่อรมองกำนันนุ่ม กำนันอึกๆ อักๆ ตอบไม่ถูก

ส่วนที่ห้องพยาบาลในอู่ ตอนบ่ายๆ ตาผลกำลังเดินสำรวจอะไรไปเรื่อยเปื่อยในห้องพยาบาลด้วยความเบื่อหน่าย เดินไปดูทหารบาดเจ็บที่นอนหลับอยู่เตียงอื่นๆ บางคนขาขาด บางคนถูกพันหน้าเป็นมัมมี่
ตาผลกลัว ถอยห่างออกมา หันไปแอบรื้อค้นข้าวของแถวโต๊ะหมอ
ตาผลพลิกๆ ดูตั้งกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ เห็นเป็นภาษาญี่ปุ่นเป็นพรืดไปหมด
“ว้า ไม่มีความลับของพวกมันที่เป็นภาษาไทยมั่งหรือไงวะ”
ตาผลวางลง สายตาสอดส่ายจนเหลือบไปเห็นวิทยุเครื่องเล็กๆ เก่าๆ บนชั้นวางของด้านหลัง ตาผลรีบเข้าไปหยิบ ลองบิดปุ่มโน้นปุ่มนี้ พยายามเปิดฟัง
วิทยุเปิด ได้ยินเสียงคลื่นแทรกดังซ่า ตาผลตกใจรีบเบาเสียงลง และค่อยๆ หมุนหาคลื่นอื่นๆ มี
เสียงเพลงบ้าง เสียงโฆษณาบ้างฟังไม่ค่อยชัด ตาผลเอาหูเข้าไปแนบใกล้ๆ เป็นเหมือนรายการข่าว
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บ้านโป่งและกาญจนบุรี ซึ่งเป็นฐาน สร้างทางรถไฟ สถานการณ์ฝ่ายญี่ปุ่นเลวร้ายลงเรื่อยๆ ไม่มีคนไทยยอมไปเป็นกรรมกร สร้างทางรถไฟ ภายหลังที่มีเหตุการณ์ทหารญี่ปุ่นตบพระ”
ตาผลตกใจ “เฮ้ยยย! ตบพระ.. ไอ้พวกนี้ มันไม่กลัวนรกจะกินกบาลหรือไง กับพระกับเจ้าก็ไม่เว้น”
คลื่นวิทยุขาดๆ หายๆ ตาผลพยายามหมุนจูนๆๆ ปรับเสาอากาศ และเงี่ยหูฟัง ลุ้น
“ปั๊ดโธ่เว้ย.. อย่าเพิ่งหายไปสิ กำลังจะรู้เรื่อง”
วิทยุดังอีก “นอกจากนี้...น็อตบังคับหัวรางรถไฟถูกขโมยหายไปจำนวน 800 ดอก”
ตาผลชอบใจ “เออดี.. สมน้ำหน้ามัน... โอ๊ย”
เสียงร้องตอนท้าย เพราะนายสิบทหารหมอเดินกลับเข้ามาในห้อง ตบหัวตาผลอย่างแรง
“เอาไปเก็บเดี๋ยวนี้”
นายสิบชี้นิ้วแทนคำสั่ง ตาผลกุมหัวด้วยความเจ็บ รีบลนลาน คลานเอาวิทยุไปเก็บที่เดิม
“ไม่มีมารยาท ขี้ขโมย!” หมอทหารด่าเป็นญี่ปุ่น
“โอ๊ย.. โบ้-เบ้อ อะไรไม่รู้เรื่อง แค่นี้พูดดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องมาตบหัวเลย” ตาผลโวย
นายสิบเงื้อมือทำท่าจะฟาดลงไปอีกที ตาผลกลัว ทำตัวหงอ
ทันใดนั้นเคสุเกะก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง
“ท่านนายพลมา เร็วเข้า มีประชุมด่วน”
หมอนายสิบพยักหน้า หันมาชี้หน้า ทำตาดุใส่ตาผล แล้วรีบวิ่งตามเคสุเกะออกไป
ตาผลโล่งอก ลุกขึ้นยืนท้าทาย
“โธ่เอ๊ย.. แน่จริงอย่าหนีสิวะ”
ตาผลทำท่าต่อสู้ ชก-ลม แล้ง ตามเรื่อง แล้วก็เอามือลง สงสัย
“มันจะรีบไปไหนของมันวะ”
ตาผลครุ่นคิด รีบตามไปชะเง้อดูที่ประตู
ที่ลานกว้างหลังอู่ โทโมยูกิยืนอยู่บนรถทหาร ข้างล่างซ้ายขวา เป็นโกโบริ และมาซาโอะ
ทหารทั้งอู่อยู่ในท่าตามระเบียบพัก กำลังฟังมาซาโอะ
“สถานการณ์การสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่าของกองพลทหารรถไฟที่ 9 คนไทย ไม่ยอมมาทำงานให้เรา”
ตาผลค่อยโผล่ออกมาตามเสาต่างๆ พยายามเข้าไปดูใกล้ๆ
โทโมยูกิว่าต่อ “ทางรถไฟนี้ถูกประมาณการว่าต้องใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 5 ปี แต่ทางโตเกียวเร่งมาว่าจะต้องเร่งสร้างให้เสร็จภายในเวลา 8 เดือน! แต่นี่ก็ผ่านมานานมากแล้ว”
โกโบริหันไปมองโทโมยูกิ ทหารคนอื่นๆ เลิ่กลั่ก
ตาผลหลบอยู่หลังถังน้ำมัน โผล่หัวขึ้นมาดูอีกที
“มันพูดอะไรกันวะ.. ท่าทางจะเรื่องใหญ่”
โกโบริหันไปทางตาผล เห็นแว้บๆ ตาผลรีบก้มตัวหลบ ก้มลงคลานศอกไปกับพื้นกลับไปที่ห้อง
ตาผลทนเจ็บ เพราะแผลยังไม่หายดี โกโบริ เห็นตาผลตอนคลานผ่านระหว่างถังน้ำมัน ส่ายหน้า เอือมระอา

ด้านอังศุมาลินกำลังลงจอบ ฟันท้องร่องให้เป็นขั้นบันได เหงื่อผุดเต็มใบหน้า สักพักก็หยุด พักเหนื่อย เอาแขนเสื้อขึ้นมาซับเหงื่อที่หน้าผาก แล้วกัดฟันลงจอบต่อ
แม่อรนั่งใช้เสียมอันเล็กๆ ช่วยขุด ส่วนยายศรคอยกอบเอาเก็บเศษดิน-เศษใบไม้ออกใส่บุ้งกี๋เอาไปทิ้ง
“เหนื่อยก็พักก่อนได้นะยายอัง.. ค่อยๆ ทำไป”
3 คน กำลังช่วยกันทำหลุมหลบภัย อังศุมาลินหงายมือขึ้นมาดู เห็นรอยแดงช้ำตามง่ามนิ้ว แล้วจับจอบลงฟันดินต่อ
“เดี๋ยวเสร็จตรงนี้ก็คงพอแล้วคะแม่”
“ตาบัวนี่เหลวไหลจริงๆ รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาช่วย ป่านนี้ไม่รู้ไปอยู่ไหน” ยายศรบ่น
“เราทำเองได้ก็ทำไปก่อนดีกว่าค่ะแม่.. อย่าเพิ่งหวังไปพึ่งใคร” อังศุมาลินบอก
“นี่ถ้ามีสตางค์สักหน่อย ไปจ้างคนเขามาขุดให้ ก็คงไม่ต้องมาลำบากขนาดนี้” แม่อรว่า
“ไม่ต้องขุดเป็นหลุมหลบภัยหรอกแม่ แค่นี้ก็ใช้หลบระเบิดได้แล้ว ทำเป็นขั้นบันได้สักหน่อย ขึ้นลงจะได้สะดวก คุณยายจะได้เดินลงมาได้ด้วย”
“แล้วถ้าระเบิดมันลงมาตรงๆ ล่ะ แค่นี้มันจะพอกันได้เหรอ” ยายวิตก
“ถ้ามันลงมาตรงๆ ต่อให้อยู่ในหลุมหลบภัยแบบถาวรอย่างดี ก็คงตายอยู่ดีนั่นแหละ”
แม่อรเอ็ด “ยายอัง! พูดอะไรไม่เป็นมงคลเลย”
“ก็จริงนี่แม่”

อังศุมาลินว่า ยิ้มสดใสให้แม่ และยาย แล้วก็ก้มหน้าก้มตาขุดดินต่อไป

ด้านตาผลก้มตัวต่ำ คลาน ลับๆ ล่อๆ กลับเข้ามาในห้องพยาบาลอีกครั้ง รีบเดินตรงไปที่วิทยุ แล้วหยิบออกมา แล้วเอาไปเปิดที่หน้าประตู เพื่อคอยดูลาดเลาไปด้วย

“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”
ตาผลพยายามจูนวิทยุ ให้ได้ยินอีกครั้ง แล้วหรี่เสียงเบาๆ ยกขึ้นแนบหู
“ก่อนที่นายพลนากามูระจะเดินทางมาประจำการในประเทศไทย ก็เข้าพบและได้รับคำตักเตือนจาก ฯพณฯ ดิเรก ชัยนาม ทูตไทยประจำกรุงโตเกียวว่า กรณีที่บ้านโป่ง การตบหน้าพระของทหารญี่ปุ่นครั้งนั้น เป็นจุดบอดสำคัญของความสัมพันธ์”
“โอ๊ย.. ไม่ต้องไปสัมพันธ์กับมันแล้ว ไอ้ยุ่นพวกนี้” ตาผลมีอารมณ์ร่วม
“เพราะคนไทยถือว่าการถูกตบหน้าเป็นการลบหลู่เกียรติอย่างมาก เป็นเรื่องน่าอัปยศ และป่าเถื่อน...” วิทยุรายงาน
“จริง...ตบหน้ายอมไม่ได้ ตบหัวก็ยอมไม่ได้ เราคนไทยสู้ตาย”
ตาผลเผลอตะโกนเสียงดัง ทหารบาดเจ็บที่นอนอยู่บนเตียง พลิกตัวตื่น ตาผลค่อยๆ ก้มตัวหลบ

ฟากโทโมยูกิกำลังยืนพูดอยู่บนรถทหาร
“ตอนนี้เราต้องการอาสาสมัครไปพม่าอย่างเร่งด่วน ใครพร้อมจะไปก้าวออกมา”
มาซาโอะหันชำเลืองมองโกโบริ สักพักมีทหารสองสามคนก้าวเท้าออกมาข้างหน้า
“โกโบริไปช่วยที่พม่าได้ไหม” แม่ทัพใหญ่ถาม
สีหน้าโกโบริ อึ้ง ผงะ

แม่อรและอังศุมาลิน นั่งอยู่บนคันดิน ถอดหมวกออกมาพัดให้หายเหนื่อย ยายส่งน้ำในตะกร้าให้กินกัน ตาบัวแบกมุ้งกระหืดกระหอบแหกปากมาจากไกล
“แม่อรรรร.. แม่อังงง.. เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“โน่นไง.. มาโน่นแล้ว” อังศุมาลินมองไปเห็น
“มาได้จังหวะจริงๆ จวนจะเสร็จพอดี” ยายศรว่า
ตาบัวรีบวิ่งเข้ามาหาใกล้ๆ โยนมุ้งทิ้งลงข้างตัว ทรุดนั่งหอบแฮ่กๆ
“มีเรื่องอะไรเหรอลุง.. ไปไหนมา” อังศุมาลินถาม
“ไปหาหลวงพ่อ.. ยืมมุ้ง.. ที่วัด”
“เอ้า.. พักก่อน ใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่า” แม่อรบอก
“มีพระ...เอาบุหรี่ให้เชลยฝรั่ง...แล้วโดนทหารญี่ปุ่นตบหน้า…ล้มคว่ำ” ตาบัวรายงานข่าว
ยายศรตกใจ “หา”
“จริงหรือลุงบัว” อังศุมาลินซัก
“คนไทยไม่ยอม...สู้กัน...คนไทยมีแต่ไม้เป็นอาวุธ...สุดท้ายพวกญี่ปุ่นพาทหารมาสิบกว่าคน
... พอมาถึงศาลาวัดก็ยิงปืนกราด”
“คุณพระ” ยายศรตกใจมาก
“คนไทยตายไปสี่คน” ตาบัวรายงานต่อ
แม่อรถามรัวเร็ว “แล้วหลวงพ่อล่ะ”
“หลวงพ่อ.. หลวงพ่อจำวัดแล้ว” ตาบัวว่า
“แม่.. รีบไปดูที่วัดกันเถอะ” อังศุมาลินบอก
“เดี๋ยวๆ จะรีบไปไหนล่ะ”
“อ้าว...ก็รีบไปดูสิว่ามีใครเป็นอะไรบ้าง”
อังศุมาลินลุกขึ้น รีบส่งมือฉุดให้แม่อรลุกขึ้นมา ทำท่าจะเดินไป
“ไม่ใช่ๆๆ ไปกันใหญ่แล้ว...ไม่ใช่ที่นี่...ที่วัดดอนตูม บ้านโป่งโน่น” ตาบัวบอก
อังศุมาลินอึ้ง “อ้าว”
ยายศรบ่น “เล่าซะตกอกตกใจ ฉันก็นึกว่าที่นี่”
อังศุมาลินแปลกใจ “แล้วลุงไปรู้มาได้ยังไง”
ตาบัวล้วงเอาหนังสือพิมพ์ที่เหน็บไว้ที่เอวส่งให้อังศุมาลินดู
“เอ้านี่...เด็กวัดมันอ่านให้ฟัง”
“หนังสือพิมพ์มหาชน... ฉบับใต้ดินนี่... ลุงไปเอามาจากไหน”
อังศุมาลินรีบรับมาเปิด พลิกดู
“ของเมื่อเดือนธันวา ปีที่แล้ว”
“ใช่...เรื่องมันเกิดเมื่อปีกลาย แต่มันยังไม่จบ...ท่าทางจะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว” ตาบัวบอกอีก
อังศุมาลินลองอ่านดู
“ข่าวเขาว่าไงบ้างแม่อัง...” แม่อรอยากรู้

ที่โถงใหญ่ของบ้านนรสิงห์ หรือ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ตอนกลางวัน มีข้าราชการหลายคนกำลังนั่งคุยกันบ้าง เตรียมตัวรอเข้าประชุม หลวงชลาสินธุราชกำลังยืนคุยกับข้าราชการผู้ใหญ่อีกสองคน
“ตอนนี้พวกญี่ปุ่นก็ปฏิเสธการรับเชิญไปงานสโมสรสันนิบาตทั้งหมดแล้ว”
ข้าราชการคนหนึ่งเอ่ยขึ้น อีกคนเสริม “ความสัมพันธ์ของเรากับญี่ปุ่นแย่ลงเรื่อยๆ นะท่านว่าไหม”
“จริงๆ ก็ตั้งแต่ที่รัฐบาลญี่ปุ่นมาตั้งกระทรวงมหาเอเชียบูรพาขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกานั่นแล้ว” คุณหลวงบอก
“ใช่...เรื่องทุกที่เกี่ยวกับประเทศไทยก็ต้องเข้าไปอยู่ในความดูแลของไอ้กระทรวงนั่น” คนหนึ่งว่า
“ไม่ต่างอะไรกับแมนจูก๊กและจีนที่มีรัฐบาลหุ่นของญี่ปุ่นปกครอง” อีกคนเสริม
“ใครจะยอมให้ประเทศตกอยู่ในการควบคุมของญี่ปุ่นกัน”
หลวงชลาสินธุราชพูดเสร็จก็เดินเข้าไปในห้องประชุมทันที
ข้าราชการ สองคนมองตามงงๆ

โทโมยูกินั่งอยู่ที่โต๊ะประชุมในห้องประชุม ของอู่ต่อเรือ มีโกโบริ และมาซาโอะนั่งอยู่ด้วย
“ถ้าคุณลุงเห็นว่าผมควรไป.. ผมก็จะไป” โกโบริบอก
เคสุเกะเดินเข้ามายืนอยู่หน้าประตู คำนับขออนุญาต
โทโมยูกิพยักหน้าให้เข้ามา เคสุเกะเดินไปข้างโกโบริ
“ขอโทษครับ...” บอกกับโกโบริ “คนที่ชื่อผล หนีไปแล้วครับ”
โกโบริตกใจ แต่เก็บอาการไว้อยู่

นายพลโทโมยูกิมองอยู่ จึงถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”

ที่ร้านกาแฟโกตอนบ่ายๆ  ยายเมี้ยน นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่กลางร้าน มีตาผลยืนประกบ ในฐานะเจ้าของหนังสือพิมพ์

“เมื่อนายอำเภอกับหัวหน้าสถานีตำรวจบ้านโป่ง และหัวหน้าสารวัตรทหารไทยทราบเหตุก็
พากันไปห้ามปราม ก็กลับถูกทหารญี่ปุ่นใช้ปืนยิงเข้าใส่
“เลว ระยำหมา!” ตาแกละด่า
ยายเมี้ยนอ่านต่อ “ต่อมากองทหารญี่ปุ่นที่ประจำอยู่ในค่ายที่จังหวัดกาญจนบุรี ทราบข่าวก็เคลื่อนกำลัง 3 คันรถ ไปล้อมสถานีตำรวจอำเภอบ้านโป่ง จึงเกิดการยิงต่อสู้กันขึ้น ทหารญี่ปุ่นใช้ปืนกลยิงกราดเข้าใส่อย่างดุเดือดอีกที เป็นเหตุให้ตำรวจและชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายกว่าร้อยคน..โธ่” ยายเมี้ยนร้องไห้ “แบบนี้มันมากเกินไปแล้ว”
ตาแกละบ่นด่า “ป่าเถื่อนที่สุด”
“ทำกันขนาดนี้จริงๆ เลยเหรอ” วิภางง
“ข่าวเขาจะเขียนยังไงก็ได้...เราไม่เห็นกับตา จะเชื่อทั้งหมดได้ยังไง” อาเม้งถาม
แม่อรอยากรู้หยิบมาอ่านต่อ
“ฝ่ายญี่ปุ่นตายและบาดเจ็บ 4 คน เมื่อเหตุการณ์สงบลง ทางการญี่ปุ่นได้กล่าวร้ายป้ายสีว่า กรณีนี้เกิดจากการยุแหย่ของชาวจีนที่เกลียดชังญี่ปุ่น”
“เห็นไหม คนจีนที่ไหนๆ ก็เกียดญี่ปุ่นทั้งนั้น เว้น..” อาโกเหล่ อาเม้งกะวิภา
ตาผลร้องเรียก “ไอ้บัวๆๆ วู้ๆ”
ตาบัวหันไป มองหา “ไอ้ผลๆ ข้าอยู่นี่ ทางนี้เว้ย ทางนี้”
ตาบัวกระโดดลุกขึ้นยืนโบกไม้โบกมือ ตาผลรีบวิ่งเข้ามา ทั้งคู่โผเข้ากอดกัน แต่แล้วตาผลก็ผลักตาบัวออก
“เรื่องอะไรข้าต้องกอดกะเอ็งด้วย เอ็งทิ้งข้าไปเฉย ปล่อยให้ข้านอนอยู่ในค่ายทหารคนเดียว”
“แล้วนี่หายดีแล้วเหรอพ่อ” แม่อรถาม
อังศุมาลินสงสัย “จริงด้วย...ลุงออกมาได้ยังไง แล้วบอกใครหรือเปล่า”
“ทำไมต้องบอก...ข้ามีขา อยากออกมาเมื่อไหร่ก็เดินออกมา ใครจะมาห้ามข้าได้ ข้าไม่ขออยู่ใกล้กับไอ้พวกยุ่นใจอำมหิตแบบนั้นอีกแล้ว ข้าได้ฟังวิทยุมา เขาว่า ตามต่างจังหวัด มีคนไทยเราลุกขึ้นมาแข็งข้อกับพวกมันหลายที่เหมือนกัน แล้วเราจะขี้ขลาดกันไปทำไม เราก็ลุกผู้ชายไทยคนนึงนะเว้ย”
ฟังตาผลว่า พวกผู้ชายสบตา ฮึกเหิมๆ กัน ส่วนอังศุมาลินกะแม่อร อึ้งๆ

เช้าวันต่อมา บรรดาชาวตลาดพายเรือมา เอาของขื้นท่ากัน ตาผลเดินเตร็ดเตร่อยู่ แล้วพอพ่อค้าชายคนนึงเดินผ่าน ก็เข้าไปกระซิบ
“เฮ้ย พวกเอ็งรู้ไหม ว่าชาวบ้านอย่างเราๆ ก็ช่วยกันไล่ศัตรูไปจากแผ่นดินเกิดได้”
ชาวบ้านสนใจ ตาผลตามกระซิบ พวกคนที่ท่าเรือมาจับกลุ่มกัน ซุบซิบๆ หน้าตาดุเดือดคั่งแค้น
อีกด้านหนึ่งในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังตั้งแผงหน้าร้านอาโก ตาบัวกำลังกระซิบกระซาบออกรสชาติ หน้ารูปโปสเตอร์แผ่นนั้นพอดี
“พ่อตาบรู้อะไรไหม ข่าวเขายังบอกว่า ตอนนี้ทุกอำเภอในราชบุรี และก็ที่เมืองกาญจน์ ถูกประกาศให้เป็นเขตทหารหมดแล้ว และพวกไอ้ยุ่นมันก็บังคับให้พวกคนจีนย้ายออกไปด้วย ถ้าใครฝ่าฝืนนะก็จะโดนจับเข้าคุก”
อาโกมามุงด้วย “แล้ววันไหนมันจะกล้ามาไล่อั๊วออกจากตลาดนี้ ก็ให้มากันเล้ย”
“แน่ะๆๆ มาแล้วๆๆ”
ตาผลพยักพเยิด ไปทางทหารญี่ปุ่นที่เดินมาร้านอาโก ทุกคนเงียบเสียง หันไปมอง
“ขอ-กาแฟดำ-4 แก้ว” ทหารญี่ปุ่นร้องสั่ง
อาโกหันไป “กาแฟหมด”
“ไหนหมด นั่นไง” ทหารชี้ที่โต๊ะที่พวกพ่อค้ากิน
“อั๊วบอกว่าหมด ก็หมดสิ ปิดร้าน ไม่ขายแล้วเว้ย” อาโกว่า
พวกญี่ปุ่นมองหน้ากัน คนหนึ่งถาม ไม่พอใจนัก
“แปลว่าอะไร ปิดร้าน”
“แปลว่าร้านไม่เปิดต้อนรับพวกลื้อไง ไป ไปกินที่อื่น ไอ้เตี้ยหมาตื่นเอ๊ย” อาโกหัวเราะ
ทุกคนหัวเราะตาม
“ไอ้โก..มึงว่าใคร เตี้ยหมาตื่น” ทหารชี้หน้า
“ว่ามึง..ไอ้เตี้ยๆๆๆๆ” อาโก ด่าใส่หน้าแบบเผาขน
ทันใดนั้น ญี่ปุ่น 1 ในนั้น ตบอาโกคว่ำลงไป
คนที่เหลือฮือมา กระชากญี่ปุ่น พวกญี่ปุ่นสู้ เกิดการตะลุมบอนขึ้น
แม่อร กับอังศุมาลินเพิ่งช่วยกันยกเข่งมาถึงเห็น แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกันขึ้น
“ยัยอัง...นั่นอะไรกันน่ะ”
พวกผู้ชายวิ่งกรูไปรุมสู้กัน ต่อยตีกันนัวที่ร้าน
หมอโยชิผ่านมาพอดี ตกใจ วิ่งเข้าไปห้าม
“หยุดๆๆอะไรกัน อาโก ตาบัว ตาผล หยุดๆๆ ขอร้องล่ะ” หมอหันมาพูดกับทหารญี่ปุ่น “หยุด ทุกคน หยุดเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้น มีพอค้าชายคนหนึ่ง ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ยกเก้าอี้ ตีหัวหมอโยชิ ล้มลงไป
อังศุมาลินตะลึง “หมอโยชิ”
แม่อรตกใจ “ตายแล้ว”
ทุกคนเข้าไปรุมตื้บๆๆ หมอโยชิอย่างโกรธแค้น
อังศุมาลินร้องลั่น “อย่านะ อย่า พอแล้วๆ อย่าทำหมอนะ อย่า...”
แม่อรรีบกระโดดกอดลูกไว้แน่น เพราะรู้นิสัยลูกดี “อย่า ลูก เขาตีกัน..อย่าเข้าไป เวลาแบบนี้ไม่มีใครฟังใครหรอก”
พวกผู้ชายเข้าไปตีกันเพิ่ม พวกญี่ปุ่นก็ไม่ยอม สู้แบบหน้ามืดตามัว
ทันใด มีเสียงปืนปังๆๆ สิ้นเสียงคำราม ร่างคนไทย 2-3 คน ร่วงลงไป โดนยิงจังๆ
พวกผู้หญิงกรี๊ด ทุกคนหยุด หันไป
เห็นพันโทมาซาโอะถือปืนที่เพิ่งยิ่งออกไป เดินเข้ามา มีทหารญี่ปุ่น 5 คน วิ่งตามมา พากันเอาปืนประทับพร้อม พึ่บๆๆ
ชาวบ้านหน้าซีด ถอยกรูด พวกที่ร่วมตี หลบ หด ถอยไม่เป็นขบวน ส่วนตาบัว ตาผล อาศัยช่วงชุลมุน มุดหายไปตามกองเข่งผักผลไม้แล้วหายแว่บ
“เอาสิ ใครกล้ากับทหารญี่ปุ่น มันต้องตาย!”
มาซาโอะประกาศกร้าว แล้วเดินนำเข้ามา เอาปืนจ่ออาโก ที่อยู่วงในสุด
บนพื้นหมอโยชินอนจมเลือด และมีคนไทย 2-3 คนที่โดนยิง นอนบาดเจ็บอยู่

อังศุมาลิน แม่อร ยืนหน้าซีดอยู่ท่ามกลางพวกผู้หญิงแม่ค้าชาวตลาด

คู่กรรม ตอนที่ 9 (ต่อ)

อังศุมาลินมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตะลึงงัน พวกแม่ค้าหญิงต่างมองลุ้นด้วยความหวาดผวา ต่างถดตัวถอย กลัวภัยถึงตัว

แนวประทับปืนนายทหารญี่ปุ่นทั้ง 5 เล็งเขม็งเกลียวไปยังพวกผู้ชายไทยที่เหลือ ที่ไม่โดนยิงล้ม ทุกคนหยุดนิ่ง เข่าอ่อน มองระหว่างเพื่อนที่ล้ม และปืนที่จ้องเล็งตรงมายังตน
ปืนสั้นของมาซาโอะ กำลังง้างขึ้นไก สีหน้ามาซาโอะยามนี้โหด เดือดดาลสุดขีด อาโกหน้าซีดตาค้าง โดนเล็งปืน
“ไอ้เจ๊กขี้ครอก อยากตายนักใช่ไหม”
อังศุมาลินตะโกนสุดเสียง “ไม่.....”
มาซาโอะหันขวับไป
แม่อรเอาตัวมาบังอังศุมาลิน แล้วพยายามกอดผสมผลักสุดชีวิต จะให้ออกไปจากวงไทยมุง
อังศุมาลินไม่วายดิ้นและตะโกนพลางชี้หน้า ทั้งๆ ที่แม่พยายามรวบตึงสุดแรง “คุณทำเกินไปแล้ว ยิงพลเรือนมือเปล่า นี่เหรอ ชายชาติทหาร”
มาซาโอะฉุนกึก
“เฮ้ย”
มาซาโอะเหวี่ยงด้ามปืนใส่หน้าอาโก จนหน้าหงายปากแตกด้วยความฉุนเฉียว มาซาโอะหันปากกระบอกปืนขวับมาที่อังศุมาลินทันที
แม่อร และพวกแม่ค้าที่ยืนลุ้นอยู่ต่างร้องวี้ดว้ายกัน บ้างวงแตกหนีทางปืนกันจ้าละหวั่น

ตาบัวเร่งฝีเท้าโกยตีนหมามาที่หลังตลาด ตาบัววิ่งลิ้นห้อย หอบแฮ่กๆ ฝีเท้าวิ่งขาขวิดของใครอีกคน (ตาผล)
ตาบัววิ่งลิ้นห้อยแห่ก แล้วหันมองกลับมาข้างหลัง แล้วหน้าเหวอ รีบหันกลับโกยต่อ
ตาบัววิ่งผ่านจุดหนึ่ง หันหลังดูอีก โกยต่อ แล้วมีใครอีกคน (ตาผล) ที่ยังไม่เห็นหน้าโกยตามติด
กว้างครึ่งตัวเห็นใครบางคน(ตาผล)โกยแซงหน้าตาบัวขึ้นมา
รับหน้าตาผลสูดอากาศเข้าแทบไม่ทัน วิ่งแซงตาบัวได้แล้วหันไปมอง (วิ่งกันแบบจริงจังสุดตีน)
ตาบัวฮึดโกยไล่ตามจนมาคู่คี่กัน ตาผลไม่ยอม อึดออกแซงหน้า

ด้านมาซาโอะเดินแหวกผู้คนที่ขวาง จ้องปืนตรงมาที่อังศุมาลิน แม่อรสั่นไปหมด แทบจะเป็นลมตาย ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เชื่อว่าอังศุมาลินต้องโดนแน่ๆ
มาซาโอะมาหยุด ถือปืนจ่ออังศุมาลิน
อังศุมาลินยืนเผชิญหน้ามาซาโอะ นิ่งไม่ไหวติง
“นี่หรือทหารเลือดอาทิตย์อุทัยของพระจักรพรรดิ” อังศุมาลินเน้นคำ “ยิงชาวบ้านที่ไม่มีอาวุธแล้วยังจะยิงผู้หญิงด้วยหรือ”
“นังนี่ปากดีนัก” มาซาโอะกระชากแขนอังศุมาลินออกมา แม่อรกรี๊ด
เสียงหมอโยชิดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้..ท่านผู้พันมาซาโอะ”
หมอโยชิที่พยายามยันตัวในสภาพเลือดเปรอะทรงตัวลุกขึ้น มาซาโอะหันไป
“ผมขอ อย่าทำร้ายเธอ”
“โยชิซัง!”
หมอโยชิเดินมาจนถึงตัว
“เธอเป็นลูกศิษย์ผม”
มาซาโอะพูดไทยช้าๆ “มิน่า...พูดญี่ปุ่นได้..เธอ..สามแม่ลูก ที่อยู่บ้านสวนติดอู่เรือ”
อังศุมาลินจ้องเขม็ง แม่อรใจจะขาดเข้ามาบีบแขนอังศุมาลิน ว่าให้พอๆๆ
มาซาโอะตะคอก “ใช่ไหม ทำไมไม่ตอบ พูดออกมาสิ”
แม่อร และแม่ค้าชาวตลาดช็อกกัน อังศุมาลินยังนิ่ง สีหน้าเรียบเฉยไม่หวาดหวั่น
พวกผู้ชายเริ่มฮึดฮัด
“ผู้พันมาซาโอะ ผมขอร้อง”
“ขอร้องรึ ได้”
มาซาโอะคำราม ยกปืนขึ้นมาอีก

ที่หลังสวนตาบัวลิ้นห้อยหอบแฮ่กๆ มีหน้าตาผลโผล่มาข้างๆ
เสียงตาบัวแทบฟังไม่ได้ความ “อะ เอ็งวิ่งแซงข้า”
ตาผลสูดลมเข้าออกฟืดฟาด ฟังไม่ได้ความเช่นกัน “ก็เอ็ง กะ โกย ตามข้า”
ตาบัวสูดลมหายใจไปด้วย ยังพูดแทบไม่ได้ความ “อะ เอ็ง โกยก่อน”
“กะ ก็ ข้าเห็นเอ็งจะโกย” ตาผลบอก
ตาบัวหยุด หน้าซีด รีบอ้าปากสูดหายใจพะงาบๆ
พูดยังฟังแทบไม่ได้ความ “อย่าคุย”
“หะ ฮะ” ตาผลบอก
ตาบัวพูดเบาลง “อย่าคุย ข้าเหนื่อย”
ตาผลเบาลงด้วย “อา ราย”
ระหว่างนั้นเสียงโกโบริดังขึ้น “หายแล้วหรือ”
ตาผลพูดได้เบาๆ เพราะตอนนี้เหนื่อยจนไส้แทบปลิ้น “ถาม ทามมาย”
เสียงโกโบริถามอีก “หนีออกมา หายไข้แล้วหรือ”
ตาผลเริ่มคุ้นเสียง แต่ไม่ทันได้หันไป มีมือมาคว้าหมับที่ไหล่
ทั้งสองต่างอยู่ในท่าหอบสี่ขาเป็นหมาอยู่ด้วยกัน หันไปเห็นพร้อมกัน มีทหารญี่ปุ่นสามนายมาคว้าที่ไหล่คนทั้งสอง มีโกโบริยืนอยู่หลังถัดไปกับเคสุเกะ
ตาบัวตกใจ “หยา..ปะป่าว จ๊า ฉันไม่เกี่ยว อะ ไอ้ผลมันยุพวกตลาดจ๊ะ”
“เจี๊ยก ไอ้เวร..ฉันก็ป่าว ก็ญี่ปุ่นหน้าโหดนั่นมะ มันควักปืนยิง ฉันก็หนีสิ” ตาผลบอก
โกโบริสงสัยพิรุธในท่าที และถ้อยคำ
“อะไร ใครยิงอะไร”

เสียงปืนดังลั่นหนึ่งนัดห่างไปไกลๆ โกโบริหันขวับ

ขณะเดียวกันปลายกระบอกปืนสั้นที่ยิงขึ้นฟ้าด้วยฝีมือมาซาโอะ ควันเขม่ายังไม่ทันจาง อังศุมาลินยืนทื่อ เสียงปืนก้องเต็มหู

พวกคนไทยกลัวแทบตาย เพราะนึกว่าอังศุมาลินจะโดนยิง
หมอโยชิมองตาแทบปะทุ โกรธมาซาโอะมาก แม่อรน้ำตาไหล สะอื้นจนตัวสั่น
มาซาโอะหัวเราะอาการคลั่งสติแตก
“ชั้นไม่ยิงผู้หญิงหรอก..เสียศักดิ์ศรี!”
มาซาโอะเหวี่ยงอังศุมาลินเซไป แม่อรผวารับอังศุมาลินไปกอด ร้องไห้ไม่หยุด เพราะนึกว่าลูกจะตายซะแล้ว
อาโกค่อยๆ ตะกาย ลุกขึ้น มาซาโอะมายืนขวาง
“แต่ไอ้เจ๊กนี่ ทำร้ายทหารของสมเด็จพระจักพรรดิ”
มาซาโอะยกปืนขึ้นเล็งหัวอาโก ขึ้นไกอีกครั้ง
“อย่า อย่า”
อาโกยกมือป้อง ร้องขอ กลัวสุดชีวิต
“มาซาโอะ!” หมอโยชิทั้งโกรธทั้งโมโห
“อย่า...” อังศุมาลินร้องห้ามลั่น แต่แม่อรก็รั้งตัวไว้ พวกแม่ค้าชาวตลาดร้องวี๊ด แทบไม่อยากเห็น
เสียงปืนดังสนั่นขึ้นอีกครั้งสองนัดซ้อน ก่อนจะเห็นมาซาโอะเก็บปืนสั้นเข้าซองเอว
มาซาโอะประกาศก้องดัง “ฉัน พันโท โมริยะ มาซาโอะ ขอประกาศให้รู้ว่า หากมันผู้ใดทำร้ายพี่น้องร่วมชาติของฉันเช่นนี้อีก มันจะต้องรับผลกลับไปเท่ากัน และขอบอกชาวไทยที่ยังคิดร้ายต่อญี่ปุ่นไว้เลยว่า กองทัพแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิ จะได้รับชัยชนะในทุกสนามรบ อีกไม่ช้าแน่นอน” หันไปสั่งนายทหาร “พาตัวโยชิ และเพื่อนทหารที่เจ็บกลับ”
นายทหารรับ “ไฮ้” พร้อมกัน
มาซาโอะตรงไปขึ้นรถจี๊บ โยชิหมดแรง และโดนพวกทหารหิ้วปีกขึ้นมาด้วยจนหมด มีพลขับ ขับออกไป

อังศุมาลินได้สติก่อนใคร รีบวิ่งออกมาดูอาโกที่นอนขดตัวงอนิ่งอยู่กับพื้น แม่อร และแม่ค้าชาวตลาด ค่อยๆ ตามเข้ามาลุ้นมุงๆห่างๆ
อังศุมาลินวิ่งเข้าไปถึง ทรุดตัวลงไปดูตัวอาโก เขย่าๆ ตัวเรียก มองหาบาดแผล ร้องเรียก
“อาโก อาโก”
“อาโก เป็นยังไงบ้าง” แม่อรถาม
อาโกนอน นิ่งไม่ไหวติง ครอบครัวยายเมี้ยนโผล่มา เที่ยวสอดส่ายสายตา สนใจ
“อะไรๆๆกัน”
ยายเมี้ยนร้องลั่น “ว้าย ตาย..อาโกตายแล้ว”
“โธ่ อาโก...ไม่น่าเลย..ฮือๆๆ” แมวร้องตาม
ทุกคนนิ่งอึ้งไปหมด

ที่ริมท่าน้ำตลาด เรือของโกโบริ และเคสุเกะที่เพิ่งมาถึง พร้อมนายทหารอีกคน ต่างรีบพากันกระโดดขึ้นจากเรือ
แม่ค้าชาวตลาดที่มุงกันอยู่ หันมาเห็นโกโบริ และพวกที่เดินพรวดเข้ามาจากด้านหลัง จึงรีบแหวกทางกันฮือออกทันที
โกโบริ เดินผ่านสายตากลุ่มคนที่มองพวกเขา ทีแรกตกใจปนหวาดๆ มองกันเงียบๆ แต่จากนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีหน้า แววตาและอารมณ์ที่เคียดแค้น โกรธเคือง และรังเกียจ
ตาแกละร้องบอกทุกคน “นั่นๆๆ พวกมันมากันอีกแล้ว”
ยายเมี้ยนด่า “ไอ้พวกเลว”
แมวด่าตาม “ป่าเถื่อน”
โกโบริ โดนกำผักบุ้งเขวี้ยงมาโดนอย่างจังตรงอก ชะงักกึก เคสุเกะที่ตามหลังก็โดนผักอย่างอื่นขว้างใส่ไปด้วย แม่ค้าด่ากันขรม
“เห็นคนเป็นผักเป็นปลา ฆ่ากันง่ายๆ ใช่ไหม”
“เอามันเลยดีมั้ยพวกเรา”
“เลว” แม่ค้าอีกคนเขวี้ยงผักใส่
โกโบริ และพวกถูกรุมเขวี้ยงใส่ทั่วสารทิศ จนเดินต่อไปไหนไม่ไหว
“เดี๋ยวครับๆ..ผมจะมาช่วยพวกคนไทยที่ถูกทำร้ายนะครับ” โกโบริบอกกับทุกคน
แม่ค้าอีกคน ตรงรี่มาด้วยความเคียดแค้น แหวกทางคนอื่นๆ เอาฝรั่ง มาเขวี้ยงใส่หน้าโกโบริเต็มแรง โกโบริหน้าเป็นรอยแดงทันที
“มาช่วยเหรอ พวกแกยิงผัวฉันปางตายนี่นะ ชั่ว”
“ไป ออกไป ไอ้พวกเลวไป”
พวกแม่ค้าเปลี่ยนมารุมล้อมโห่ไล่ ขว้างปาโกโบริ และพวก
อังศุมาลินเห็นรอยกระสุนที่เหนือหัวอาโก ตรงผนังร้านกาแฟสองรู ก็นึกออก
“แม่คะ..อาโกไม่ได้โดนปืนนะคะ”
“อัง..ลูก.. พ่อดอกมะลิ”
อังศุมาลินหันไปดูพวกกลุ่มแม่ค้าข้างหลังว่าโวยวาย เสียงดังอะไร ปล่อยอาโกไว้ แล้วรีบลุกไป อังศุมาลินเห็นโกโบริ เคสุเกะ และนายทหารอีกคน กำลังเอามือปัดป้องข้าวของที่เขวี้ยงเข้าใส่ แต่ละคนสะบักสะบอม
อังศุมาลินรีบแหวกพวกแม่ค้าที่กำลังรุมประชาทัณฑ์เข้าไป
“พอคะ พอได้แล้ว หยุด หนูขอเถอะ”
แม่ค้าไม่ยอม “หลบไปอีหนู ไปช่วยมันทำไม”
อังศุมาลินบอกอีก “พอเถอะ ทำเขาทำไมคะ เขาไม่เกี่ยว”
“มันก็พวกเดียวกันนั่นละ” คนหนึ่งว่า
อีกคนบอก “ใช่ ต้องให้มันสาสม”
ว่าแล้วพวกแม่ค้าก็รุมเขวี้ยงต่อไม่ยัง จนไปโดนอังศุมาลินด้วย
อังศุมาลินโดนของกระแทกหน้าร้อง “โอ้ย”
“ฮิเดโกะ ออกไปก่อน”
โกโบริ เห็นอังศุมาลินโดนขว้างไปด้วย รีบพุ่งเข้ามาใช้ตัวบังแทนจนหมวกของโกโบริหลุดไป ท่อนไม้อันหนึ่งขว้างมาโดนเข้าที่กลางหัวโกโบริอย่างจัง
โกโบริเจ็บมา ร้องเสียงดัง “โอ๊ะ”
แม่อรพยายามแหวกกลุ่มแม่ค้าเข้ามา
“ยัยอัง ออกมา” แม่อรบอกกับพวกแม่ค้า “นี่หยุดได้แล้ว หยุดเถอะ”
เลือดจากหัวโกโบริหยดลงมาที่แขนอังศุมาลินหลายหยด อังศุมาลินเห็นตกใจ หันไปดูหน้าโกโบริ ร้องด้วยความตกใจ
“โกโบริ”
โกโบริยิ้มให้ มีเลือดไหลจากกลางศีรษะลงมาเป็นหยด ติ๋งๆๆ
อังศุมาลินหน้าซีดเผือด

ทันใดเสียงปืนดังสนั่นขึ้นอีกนัด พวกแม่ค้าที่กลุ้มรุม ตกใจสะดุ้งโหยง
เป็นสารวัตรองอาจตะโกนก้อง “หยุดเดี๋ยวนี้ นี่ตำรวจ”
พวกแม่ค้าผวา หยุดปากันทันที พากันแตกฮือ เห็นสารวัตรองอาจยกปืนยิงขึ้นฟ้า และกำนันนุ่ม โผล่มาถึง
“ทุกคน อยู่ในความสงบ ห้ามใครหนีไปไหนทั้งนั้น”
อังศุมาลินยังมองตะลึง เหมือนจะเป็นลม เพราะเห็นเลือดที่ไหลเป็นน้ำ
“โกโบริ คุณเลือดไหล”
โกโบริยังยิ้มให้ เลือดไหลแดงหยดติ๋งๆไม่หยุด
“ฮิเดโกะซัง คุณไม่เป็นอะไรนะ”
รอบๆ คนทั้งสอง พวกแม่ค้าที่กลุ้มรุมล้อมทั้งสองกำลังแตกหือหนีจ้าละหวั่น อังศุมาลินรีบดึงเอาผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บชายพกอยู่ออกมาซับเลือดที่หน้าโกโบริ
“คุณเลือดออกมาก”
“ไม่เป็นไร...นิดเดียว”
“นิดเดียวอะไร” อังศุมาลินดุ “ไม่ดูสภาพตัวเองเลย ก้มหัวลงมาให้ฉันดูสิ”
โกโบริทำตามโดยดี อังศุมาลินใช้ผ้าเช็ดหน้ากดที่แผลบนศีรษะโกโบริไว้
“เอา คุณจับผ้าไว้อย่างนี้ เลือดจะได้หยุด”
โกโบริเอื้อมมือขึ้นมาจับที่มือของอังศุมาลินพอดี อังศุมาลินสะท้าน รีบดึงมือออก โกโบริรู้สึกตัวรีบปล่อย
“ขอโทษผมไม่ได้ตั้งใจ..ขอบคุณมากครับ ฮิเดโกะ”
กำนันนุ่ม สารวัตรองอาจ และพวกแหวกคนเข้ามา
“กำนั้น..กำนัน มานี่ ญี่ปุ่นมันยิงคนตายๆๆ ไอ้โกก็ตาย ตายกันเป็นใบไม้ร่วงเลย”
ยายเมี้ยนฟ้องใหญ่ กำนันรีบไปดู
“ชั้นเป็นพยานได้ กำนัน คนไทยไม่ผิด ไอ้พวกนั้นน่ะ ผิด” ตาแกละชี้ไปที่พวกโกโบริ
“พวกแกเห็นเหตุการณ์แต่แรกหรือเปล่า”
“ค่ะๆๆ เห็นแต่แรกเลย นะพ่อ แม่..นะๆๆ” แมวพยักพเยิด
“ทุกคน ถอยไป ผู้กองโกโบริ เป็นไงมั่งครับ”
องอาจเข้าดูแลโกโบริ
อังศุมาลินถดตัวออก มาหาแม่อร จับมือกัน อังศัมลินไม่วายหันไปมองโกโบริอย่างห่วงใย

โกโบริเอามือกดแผล สายตาไม่วายมองตามดูอังศุมาลิน

แดดยามบ่ายสาดส่องบนผืนธงอาทิตย์อุทัยที่ปลิวไสวเหนือลานอู่ต่อเรือ ยินเสียงเคสุเกะดังมาจากห้องพยาบาล ร้องโอดโอยดังขึ้นทันทีที่สำลีชุบทิงเจอร์ ถูกคีบและยกออกจากแผลบนใบหน้าเคสุเกะ

“บะ..เบาหมอ อ๊า”
นายสิบผู้ช่วยหมอยิ้ม เอาผ้าปิดแผลปิดทับให้
“ไม่ต้องร้อง เสร็จแล้ว”
“โอยแสบ เสร็จแน่นะ..อาาา”
เคสุเกะลุกจากเตียงพยาบาล เห็นที่ใบหน้ามีแต่ผ้าปิดแผลปิดทั่วหน้า ดูแล้วตลกๆ ที่เปลือกตาบ้าง ที่ปลายจมูก ปากเจ่อ ตาเขียวเป็นหมีแพนด้า
ส่วนโกโบริซึ่งมีผ้าปิดที่ศีรษะ ตามรอยขีดข่วนหลายจุดเดินเข้ามา พร้อมสารวัตรองอาจ และกำนันนุ่ม
หมอทาเคดะที่เพิ่งเสร็จจากเตียงข้างใน มือยังถือถาดใส่หัวกระสุน เดินออกมาพอดี
โกโบริร้องถาม “เป็นอย่างไรบ้างหมอ”
“ผ่าเอาหัวกระสุนออกให้หมดทั้งสามคนแล้ว ไม่มีใครน่าห่วงอะไร เหลือทำแผลให้อีกนิดหน่อย” หมอทาเคดะเอียงถาดให้ดูกระสุน มีเลือดเปื้อนเปรอะ
“จุ๊ๆๆ ผ่าได้เก่งจริงๆ ถ้างั้น ให้ทางผมเอาตัวกลับได้เลยหรือเปล่าหมอ” สารวัตรว่า
“จะให้ดี ก็ให้นอนพักที่นี่ไปสักคืนก่อน” หมอบอก
“ผมเห็นด้วย...ว่าควรตกลงก็ให้ทั้งสามนอนอยู่ที่นี่คืนนี้ ไว้วันพรุ่งนี้พาออกไปรักษาต่อที่โอสถสภาใกล้ๆ ขืนรีบย้ายไปย้ายมาเดี๋ยวจะบอบช้ำไปใหญ่” กำนันนุ่มว่า
“อย่างนั้นกำนันรีบออกไปบอกชาวบ้านกับพวกญาติๆ ที่มารอกันอยู่หน้าอู่เสียก่อนดีกว่า”
“ครับผม”
กำนันรับคำแล้วรีบเดินกลับออกไป

ครู่ต่อมาสารวัตรองอาจ เดินคุยมากับโกโบริที่หลังอู่
“เท่าที่ผมฟังๆ ดู เหมือนจะเป็นการทะเลาะวิวาท แล้วอาจจะเข้าใจผิดกัน ทั้งสองฝ่าย…แต่ถึงยังไง ทางการไทยก็ต้องขอบคุณผู้กองโกโบริมาก ที่เอื้อเฟื้อ...ช่วยพาคนเจ็บมารักษาที่นี่”
“ไม่เป็นไร เราเป็นเพื่อนมนุษย์เหมือนกัน”
องอาจอึ้งไปนิด มองหน้าโกโบริ
“คุณตำรวจ” โกโบริก้มตัวลงโค้ง “ผมรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้มาก มันเป็นความรับผิดชอบของกองทัพญี่ปุ่น ที่มีการวิวาทกัน ทำให้คนไทยบาดเจ็บรุนแรง”
องอาจท้วง “แต่ผู้กองก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย”
โกโบริหัวเราะเบาๆ
“เล็กน้อยครับ ไม่เป็นไร”
องอาจมองโกโบริอย่างพินิจ ว่าจริงใจหรือไงกันแน่ กำนันนุ่มเดินเข้ามาสมทบพอดี
กำนันส่ายหัวขณะบอก “พวกชาวบ้านเขาไม่อยากให้คนป่วยอยู่กะพวกญี่ปุ่น”
องอาจร้อง “อ้าว...”
“เขาไม่ไว้ใจพวกทหารญี่ปุ่นกัน” กำนันมองโกโบริอย่างเกรงใจ “จะขอเข้ามาดูให้เห็นกับตา แต่ผมว่าคงไม่เหมาะ ดูท่าจะวุ่นวาย ผมเลยเจรจากับชาวบ้านไป ว่าผมเป็นคนรับประกันความปลอดภัย และจะเข้ามาดูแลให้ ก็เลยยอมทยอยกันกลับไปเมื่อครู่”
ทันใดนั้น ตำรวจไทย 4 นาย ควบคุมตัวตาบัวตาผล ที่ดิ้นรน ขัดขืนเข้ามา
“กำนัน ช่วยด้วยๆๆ” ตาบัวร้อง
“ชั้นเปล่า ชั้นไม่เกี่ยว” ตาผลโวยวาย
โกโบริร้องถาม “อะไรกันน่ะ”
“นายช่าง นายทรยศนี่ ไหนว่าเราพวกเดียวกันไง ให้ไอ้พวกนี้ไปจับเรามาทำไม” ตาบัวร้องโวยวาย
“2 คนนี้ ยุยงคนไทยให้เกลียดญี่ปุ่นครับ” ตำรวจคนหนึ่งรายงาน
อีกคนเสริม “มีสายของเราในตลาด เป็นพยาน ว่า 2 คนนี้ เที่ยวปลุกใจคนไทย ให้รักชาติครับน่าจะเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์เมื่อเช้า”
“นายบัว นายผล” กำนันนุ่มอึ้ง เครียด พูดเสียงขรึม “คุณตำรวจไปพาตัวมาจากไหน”
ตำรวจคนที่สามบอก “พอดีเราเห็นมาปะปนซอกแซกอยู่ในหมู่ญาติผู้ถูกยิง แต่ท่าทางมีพิรุธ ไม่น่าไว้ใจ สงสัยจะเป็นสายพวกใต้ดินครับ”
โกโบริส่ายหน้าระอากับสองเกลอ “แบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงแล้วนะ”
“ไม่ต้องมาทำพูดดีหรอก จำเอาไว้เลย ผู้กองโกโบริ!” ตาผลพูดอย่างอาฆาต
“ดูมัน..อาฆาตมาดร้ายแบบนี้ ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่ๆ ถ้ากำนันไม่ขัดข้องอะไร ผมขอนำตัวสองคนนี้ไปสอบสวนเองแล้วกัน” องอาจบอก
กำนันอึ้ง ตาบัวกะตาผลซีดหนัก

ผ้าขาวบางมัดลูกประคบ ถูกยกขึ้นมา แม่อรกำลังประคบเย็นรอยแผลฟกช้ำตามหน้าตามแขนให้อังศุมาลิน
“ตาบัว ตาผลนี่แหละ ตัวดี ปลุกปั่นผู้คนจนเรื่องราวลุกลาม แล้วพอเกิดเรื่องก็หายตัว”
“หา สองคนนี้อีกแล้วหรือ” ยายศรร้องเสียงหลง
“แต่ยังไง นายทหารญี่ปุ่นคนนั้นก็ทำเกินกว่าเหตุ สมควรโดนข้อหาเจตนาฆ่า ยังไงเราต้องเอาเรื่องมันให้ได้คะแม่ อยู่ดีๆ จะมาใช้กฎป่าเถื่อนยิงคนอย่างนี้ไม่ได้ หรือว่ามันเห็นพวกเราไม่ใช่คน เป็นแค่ประเทศบริวารที่ถูกยึด นึกจะทำอะไรยังไงก็ได้ ไอ้พวกเลว” อังศุมาลินยังแค้นไม่หาย
แม่อรเครียด เอ็ดเสียงดัง “อังศุมาลิน! พอเถอะ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจเขาไป จนเจอเรื่องใหญ่โตขนาดนี้..ยังไม่เข็ดอีก!”
“ใช่ ยายเห็นด้วยกับแม่เค้า หนูเป็นสาวเป็นนางอย่าผลีผลาม คิดอะไร ทำอะไรแบบคนหัวรุนแรงให้มากนักเลย ยายขอร้อง..วันหลังอย่าไปยุ่งกับเขาอีก” ยายศรเห็นด้วย
“นี่ดีนะ ที่พ่อโกโบริเขาช่วยเอาไว้ ไม่งั้นคงได้หัวร้างข้างแตกแน่”
อังศุมาลินเงียบไป
ยายศรแปลกใจ คาดไม่ถึง“อะไรนะ พ่อมะลิเรานี่เหรอ”
“ค่ะแม่ พ่อมะลิเขาเห็นยัยอังโดนลูกหลงเข้าไปด้วย รีบเขามาบังไว้ จนหัวแตกเสียเอง”
“หนูตังหากนะคะแม่..ที่เข้าไปช่วยตานั่น...” อังศุมาลินท้วง
“โถ โถ อะไรกันนักน้อ” ยายครวญคร่ำ
“เอาละ เรียบร้อยแล้ว รอเอายาในครกคุณยายมาแต้ม”
แม่อรละมือลง อังศุมาลินเลยแตะรอยฟกช้ำตัวเองไปมา
“เดี๋ยวเย็นๆ แม่ว่าจะเดินไปดูพวกคนเจ็บที่โดนยิง กับพ่อโกโบริที่อู่เสียหน่อย หนูจะไปด้วยไหม”
อังศุมาลินหยุดแตะแผลกึกทันที พูดโดยไม่มองหน้า
“แล้วทำไมหนูจะต้องไปด้วยละ”

คุณยายศรมองหลานสาวจอมรั้น แล้วถอนใจอย่างระอา

คู่กรรม ตอนที่ 9 (ต่อ)

เวลาตอนแดดร่มลมตก แสงยามเย็นสาดลอดยอดไม้ในสวน ทหารยามที่ป้อมทางเข้าอู่มองมา เห็นแม่อรที่ถือกระจาดส้มโอ และอังศุมาลินที่เปลี่ยนชุดใหม่ในมือประคองถือกล้วยทั้งเครือที่เริ่มสุกนวลๆ เดินข้ามสะพานต้นมะพร้าวมาหยุด

ทหารยามจำได้รีบตรงทำความเคารพ แล้วเปิดไม้กั้นให้เข้า
“หนูแน่ใจนะว่าไม่เข้าไปด้วย”
“แล้วแม่จะถือของหมดนี่ไหวหรือคะ”
อังศุมาลินพูดพลางทำหน้าตัดพ้อ แม่อรยิ้มๆ

แม่อรเดินมาหน้าห้องพยาบาล วางกระจาดส้มลง มองผ่านหลังแม่อรที่หยุดอยู่หน้าหน่วยพยาบาล มีทหารเดินเข้าออกมองมา เสียงอังศุมาลินบอกแม่
“นี่ละค่ะ ห้องพยาบาล”
อังศุมาลินวางเครือกล้วยลงพิงเสาไว้
“คราวนี้หนูไม่เข้าไปด้วยจริงๆ แล้วนะ เดี๋ยวให้ใครมายกไปก็แล้วกัน”
แม่อรยิ้ม
“ขอบใจจ้ะ ที่ยังห่วงแม่ แล้วนี่พ่อโกโบริเขาอยู่ที่นี่หรือ”
อังศุมาลินอึ้งไปนิด กลบเกลื่อนไปจะหาว่ารู้ “อันนี้หนูก็ไม่รู้หรอกคะ เดี๋ยวลองถามดูก็ได้”
จังหวะนั้น อั.สุมาลินเห็นหลังหมอทาเคดะเดินผ่านมากำลังจะเข้าไปในห้องพยาบาล
“ขอโทษค่ะ เอาของมาให้คนไทยที่ถูกยิงค่ะ”
หมอทาเคดะหันมา นึกไม่ถึง “อา คุณแม่ คุณอังซูมาลิน” รีบโค้งให้อย่างสวยงาม
แม่อรและอังศุมาลินไหว้ตอบแบบไทย
“อ้าว คุณหมอนี่เอง ไม่เจอตั้งนาน”
“ดูเหมือน โกโบริ เพิ่งออกไป” หมอบอก
อังศุมาลินมีแววตาผิดหวังไม่รู้ตัว หมอทาเคดะเหลือบไปเห็น
“แต่คงจะกลับมาเร็วๆ นั่งรอก่อนไหม”
อังศุมาลินตอบเรียบๆ “คงไม่ล่ะค่ะ เราต้องไปทำอย่างอื่นกันต่อ”
แม่อรมองอังศุมาลิน
“คุณช่วยรับผลไม้พวกนี้ไว้ด้วย ส่วนนึง ช่วยให้คนไทยที่ถูกยิง ส่วนนึง ให้โกโบริ..กับคุณหมอนั่นแหละค่ะ..ขอบคุณ”
อังศุมาลินยกเครือกล้วยยื่นส่งไปให้ หมอทาเคดะรับกล้วยทั้งหวีไปอุ้มไว้ ยิ้มเอ๋อ

“สถานีรถไฟบางกอกน้อย กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๖”

โกโบริอยู่ที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย กำลังยืนรับรายงานจากนายสิบคนหนึ่งที่เป็นผู้ดูแลการส่งยุทธปัจจัยที่มาถึง อยู่หน้าตู้ขบวนสัมภาระที่จอดนิ่งอยู่ มีนายทหาร และกรรมกรหลายคนที่กำลังแบกหาม ลำเลียง สัมภาระไปมาวุ่นวาย
ใบหน้าโกโบริมีเหงื่อหยด เพราะอยู่กลางแดดเปรี้ยง เห็นผ้าปิดแผล และรอยฟกช้ำที่ใต้หมวก เช่นเดียวกับเคสุเกะที่มีผ้าปิดแผลเต็มหน้าเดินมายื่นส่งใบรายการของให้ โกโบริรับมาดู

เย็นวันเดียวกัน ขบวนรถนายพลโทโมยูกิแล่นออกจากสนามเสือป่า รถที่มีโทโมยูกินั่งกำลังเลี้ยวผ่านพระที่นั่งอนันตสมาคม
ทันใดนั้น รถมอเตอร์ไซค์แบบมีที่พ่วงข้าง ที่มาซาโอะนั่ง แล่นสวนทางมา
ข้างหลังรถมอเตอร์ไซค์ มีรถพยาบาล 1 คัน
โทโมยูกิให้คนขับและขบวนหยุด มาซาโอะให้พลขับมอเตอร์ไซค์หยุดรถเช่นกัน
รถพยาบาลข้างหลังรถมอเตอร์ไซค์พลอยหยุดไปด้วย มาซาโอะรีบวิ่งลงจากที่พ่วงข้าง ตรงเข้าไปรายงาน ฟ้องฉอดๆๆๆ
โทโมยูกิฟังแล้วโมโห ฮึดฮัดลงจากรถ มาซาโอะเดินนำไป ฟ้องไป พาไปดูที่รถพยาบาล เปิดออกให้ดู โทโมยูกิชะโงกไปดู เห็นหมอโยชิที่นอนอยู่ในนั้น แม้จะผ่านการรักษาแล้ว แต่เข้าเฝือกช่วงไหปลาร้า พันตัวประมาณซี่โครงหัก จมูกหัก หลับอยู่
มาซาโอะชี้ตรงจุดนั้นจุดนี้ ประมาณรายงานว่าเจ็บเยอะมากเลยนะ คนไทยนี้ร้ายมากๆ
แม่ทัพใหญ่โทโมยูกิมองสภาพหมอโยชิ แค้นใจ เครียด

แสงแดดยามเย็นระยิบระยับสะท้อนบนผิวน้ำในลำคลองติดอู่เรือ แลเห็นบรรดาสัมภาระ หีบเหล็ก ลังไม้ ถูกยกลำเลียงลงจากเรือด้วยบรรดาทหาร ขนผ่านเคสุเกะที่ดูแลการลำเลียงอยู่ใกล้ชิด โกโบริเดินตรงออกมาจากจุดลำเลียง

โกโบริเดินมา ผ่านทหาร 2-3 คน ที่หยุดทำความเคารพพรึ่บพรั่บ โกโบริเดินเข้าไปในห้องทำงานตรงไปรื้อหยิบเอกสารบางอย่าง หันกลับมาที่โต๊ะจึงเห็นส้ม 4 - 5 ลูก และกล้วยที่ถูกแบ่งแล้ว ตัดมา 1 หวี วางอยู่บนโต๊ะ
โกโบริเดินเข้าไปดูเห็นมีแผ่นกระดาษเขียนวางทิ้งไว้ หยิบขึ้นมาอ่าน
“อัง-ซู-มา-ลินซัง-นำมาให้ครับ” หัวเราะร่า อ่านต่อ “...หมอทาเคดะ”
โกโบริมีสีหน้าและแววตาสดใสขึ้นมาพลัน รีบเดินกลับออกไป พร้อมกระดาษข้อความในมือ โกโบริหันมองซ้ายขวาเพื่อจะถามใครสักคน แต่ไม่พบใคร เลยตัดสินใจเดินออกไป
ใบหน้าโกโบริเปื้อนยิ้มเล็กๆ ในมือกำแผ่นกระดาษแน่น เดินลิ่ว มุ่งหน้าจะเดินลัดไปบ้านอังศุมาลิน พลันทหารคนหนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงเข้ามา
โกโบริหยุดรับทหารทำความเคารพ
“มีอะไร”
“ผู้กองครับ ท่านโทโมยูกิให้เดินทางไปพบที่กองบัญชาการครับ”
โกโบริครุ่นคิด

คืนนั้นที่ห้องพลโมโทโมยูกิ ในหอการค้าจีน ถนนนสาธร ที่บริเวณหน้าห้องทำงานโทโมยูกิ ที่มีนายทหารยืนประจำการอยู่ 2 นาย
ในแสงไฟฟ้าเหลืองนวลจากโคมกลม โทโมยูกินั่งหลังหลังโต๊ะทำงาน ในมือถือเอกสารที่เพิ่งอ่านวางลง มองหน้าหลานชาย ที่หูหัวที่มีแผล แววตาปู้เป็นลุงอนาถ ปนสมเพช
“ลุงตัดสินใจว่าจะให้หลานเดินทางไปกองพลที่ 12 พร้อมชุดแรกนี่เลย หลานจะว่าอย่างไร”
โกโบริหน้าอึ้งไปเล็กน้อย ถัดไปมีพันโทมาซาโอะและนายทหารอีกคนยืนอยู่ด้วยฝั่งหนึ่ง
“ตามแต่คุณลุงเห็นสมควรครับ”
“นี่ ร้อยโทฮิชิดะ เค็น จะรับหน้าที่ที่อู่ต่อเรือต่อจากหลานชั่วคราว ก่อนที่กองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ จะส่งคนมาแทน”
นายทหารที่ยืนอยู่ถัดหลังมาซาโอะ โค้งศีรษะให้ โกโบริโค้งรับ
“นี่เป็นหนังสือส่งตัวของโกโบริซัง ชุดแรกเดินทางวันศุกร์นี้”
มาซาโอะยื่นหนังสือให้ โกโบริผงะไปเล็กน้อย ยื่นมือรับไว้

รถรางแล่นไปทางท่าเตียน พอรถจอด แม้มีผู้โดยสารแน่น แต่ผู้คนยังวิ่งตามขึ้นไป
โกโบรินั่งครุ่นคิดคำนึงอยู่บนรถจี๊ป เหม่อมองข้างทาง แสงไฟจากเสาไฟริมสนามหลวงแผ่วจาง
ทิวทัศน์ข้างทางบริเวณถนนสนามไชย เห็นพระบรมมหาราชวัง มีไฟเรื่อเรืองไหลผ่านไปตลอดทาง
โกโบริค่อยๆดึงผ้าเช็ดหน้าสีโอลด์โรส ขอบปักลายสวยงาม มีรอยเปื้อนเลือดกรังขึ้นมาดู ด้วยสีหน้าขรึมคิดถึงเหตุการณ์ที่ตลาดปากคลองชุมชนเมื่อไม่นานนี้
ตอนนั้นอังศุมาลินรีบดึงเอาผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บชายพกอยู่ ออกมาซับเลือดที่หน้าโกโบริ
“คุณเลือดออกมาก”
“ไม่เป็นไร..นิดเดียว”
“นิดเดียวอะไร” อังศุมาลินดุๆ “ไม่ดูสภาพตัวเองเลย ก้มหัวลงมาให้ฉันดูสิ”
โกโบริทำตามโดยดี อังศุมาลินใช้ผ้าเช็ดหน้ากดที่แผลบนศีรษะโกโบริไว้
“เอา คุณจับผ้าไว้อย่างนี้ เลือดจะได้หยุด”
โกโบริเอื้อมมือขึ้นมาจับที่มือของอังศุมาลินพอดี อังศุมาลินสะท้าน รีบดึงมือออก โกโบริรู้สึกตัวรีบปล่อย
“ขอโทษผมไม่ได้ตั้งใจ..ขอบคุณมากครับ ฮิเดโกะ”

รถแล่นมาถึงอีกจุดหนึ่งแล้ว ใบหน้าโกโบริอิ่มเอิบ เสียงคนวุ่นวาย พลางหันมองข้างทาง เห็นเป็นบริเวณตลาดท่าเตียน ซึ่งยังมีกุลีเข็นรถในตลาดไปมา บ้างข้ามถนนประปราย

โกโบริเหลียวมองตามร้านค้าที่เปิดไฟอยู่ คิดอะไรบางอย่าง

โกโบริสั่งให้พลขับจอดรถที่ตลาดท่าเตียน เดินมองหาของร้านต่างๆ ที่เปิดโคมไฟ สีแสงสวยงาม

โกโบริกำลังเดินเลือกหาซื้อของ เดินมาหยุดที่ร้านๆ หนึ่ง เป็นร้านขายผ้าเช็ดหน้าผู้หญิง พับวางอยู่ในตู้กระจก มีไฟส่อง เห็นหลากหลายสีสันสวยงามมากมาย

แสงตะเกียงสาดลงบนซองจดหมายส่งตัว ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน โกโบรินั่งมองซองจดหมายบนโต๊ะนิ่ง ถอนใจ เอนตัวหลับพักสายตาครุ่นคิด สักพัก นึกอะไรได้ หันมองไปที่กล้วยและส้มบนโต๊ะ

ตะเกียงเจ้าพายุที่แขวนไว้หัวเสากลางชานเรือน ส่องสว่างไปทั่วชานเรือน อังศุมาลินที่อยู่ในชุดเตรียมเข้านอน กำลังจัดแจงเก็บวางข้าวของที่จะไปทำบุญ ตอนเช้าประจำที่ มีข้าวสาร ไข่เค็ม น้ำปลา หอม กระเทียมเป็นพวงๆ แม่อรแง้มประตูห้องออกมาดู
“อีกเยอะไหมลูก”
“เสร็จแล้วคะแม่ แม่นอนได้เลย แม่จะถวายธูป เทียน กับพวกด้าย เข็ม ให้หลวงพ่อด้วย ใช่ไหมคะ”
“จ้ะ เห็นมีพระในกรุงเทพฯ ข้ามมาจำพรรษาหลายรูป ถ้าอย่างนั้น แม่นอนละนะ”
แม่อรเข้าห้องปิดประตูไป อังศุมาลินเดินไปประตูชานเรือน

โกโบริที่หวีผมเรียบแปล้ ดูหล่อเหลา อาบน้ำเปลี่ยนชุดมาเรียบร้อย แต่ใบหน้ายังเห็นรอยฟกช้ำ มีผ้าปิดแผลบางส่วน เดินมาถึงข้างตัวเรือน แล้วหยุดมองไปบนเรือนเห็นไฟบนเรือนยังเปิดอยู่ ก็ดีใจ เดินไปต่อ
อังศุมาลินมาลงกลอนประตูเรือนจนเรียบร้อย แล้วเดินกลับไป ผ่านตะเกียงหัวเสากลางบ้านไป
โกโบริเดินมาหยุดอยู่ชานบันได หยิบผ้าเช็ดหน้าสีใกล้เคียงสีที่ได้จากอังศุมาลินมา ที่เพิ่งซื้อได้มาจากตลาดท่าเตียน ขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วหันไปเด็ดดอกมะลิที่พุ่มหน้าเรือน ดอกหนึ่งใส่ลงในพับของผ้า ก้าวขึ้นไปเคาะประตูเรือน
อังศุมาลินเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน แล้วปิดลงกลอนห้อง เสียงลงกลอนทับกับเสียงเคาะประตู เลยไม่ได้ยิน
โกโบริยืนรอลุ้นใจเต้นตึกตักอยู่หน้าประตู อังศุมาลินล้มตัวลงบนเตียง พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ว่าลืม ลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องอีก
โกโบริลองเคาะประตูเรือนอีกครั้ง โชคร้ายเสียงเคาะทับกับเสียงอังอังศุมาลินเปิดกลอนประตูห้อง
อังศุมาลินเดินออกมา ตรงไปดับไฟตะเกียงที่หัวเสากลางเรือน แล้วเอะใจเหลือบมองไปทางประตูเรือนเล็กน้อย แล้วก็หันกลับเข้าห้องไป
โกโบริเห็นไฟบนเรือนดับพรึ่บไป สีหน้าผิดหวังทันที ถอนใจเฮือก
อังศุมาลินเอามุ้งลง..แล้วชะงัก สีหน้าประหวัดนึกเหตุการณ์เมื่อเช้า
ตอนอังศุมาลินใช้ผ้าเช็ดหน้ากดที่แผลบนศีรษะโกโบริไว้
“เอา คุณจับผ้าไว้อย่างนี้ เลือดจะได้หยุด”
โกโบริเอื้อมมือขึ้นมาจับที่มือของอังศุมาลินพอดี อังศุมาลินสะท้าน รีบดึงมือออก โกโบริรู้สึกตัวรีบปล่อย
“ขอโทษผมไม่ได้ตั้งใจ..ขอบคุณมากครับ ฮิเดโกะ”

อังศุมาลินรีบสะบัดหน้า ไม่อยากคิด นั่งลงริมเตียง หงุดหงิดตัวเอง โกโบเดินมาหยุดยืนข้างเรือน มองหน้าต่างห้องอังศุมาลินที่ยังเปิดไฟอยู่ห้องเดียว
อังศุมาลินเป่าตะเกียงที่โต๊ะดับพึ่บ หน้าต่างห้องอังศุมาลินไฟดับลง
โกโบริยืนมองอยู่อย่างนั้นด้วยใจโหยหา ในมือยังถือผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่พร้อมดอกมะลิ

ภาพชีวิตยามเช้าอันชินตาชาวตลาดปากคลอง เห็นกรรมกรจีนแบกกระสอบข้าวสารเดินไปมาวุ่นวาย
ยายเมี้ยนกับตาแกละเดินคุยมากับแม่ค้า 2 คน
“ตกลงไม่ยักกะตายนะ แต่ก็คางเหลืองไปตามๆ กันล่ะ ตำรวจก็จับแต่พวกเรานะ ไอ้ญี่ปุ่นคนยิงก็ลอยนวลไปตามระเบียบ”
“อีกหน่อยมันนึกสนุก อยากจะซ้อมยิงปืน มันคงมายิงพวกเราเล่นนะเนี่ย แล้วเขาว่าทางเมืองจีน เมืองเกาหลีอะไร มันจับผู้หญิงไปข่มขืนกันตามใจชอบเลยนะ ซักวัน ผู้หญิงไทยคงโดนกันมั่งล่ะ”
ตาแกละพูดจบหันไปดูร้านอาโกที่ปิดเงียบ
“ดูสิ แล้วไม่รู้ไอ้โกจะมาเปิดร้านได้วันไหนเนี่ย เปรี้ยวปากอยากกาแฟ” ตาแกละยกมือลูบปากแผลบ
“เดี๋ยว ไอ้เรื่องจับผู้หญิงไปข่มขืนน่ะ มันเอาแต่สาวๆ เท่านั้นใช่ไหม ชั้นคงจะรอด..ใช่ไหม” ยายเมี้ยนว่า
ตาแกละเย้า “สวยๆ อย่างแก..มันก็ไม่แน่”
ยายเมี้ยนเหลือบไปเห็นเฮียเม้ง กำลังดีดลูกคิดคร่ำเคร่ง เลยหยุดทัก
“รวย รวย รวย ร้วย..รวยไม่หวาดไม่ไหว ขนไปไหนกันจ๊ะเฮียเม้ง นั่นขายเหมาหมดร้านเลยเหรอ”
“อะไร..ออ ใช่ๆ เฮียคนนี้เขามาเหมาไป” เฮียเม้งว่า
ยายเมี้ยนตกใจ เพราะกะแซวสนุกปากเท่านั้น “หะหา จริงน่ะ”
ชายผิวขาว ซึ่งแท้จริงเป็นสายสืบญี่ปุ่น ท่าทางร่ำรวยใส่ทอง สวมหมวก ยืนหันหลังดูการขนข้าวสารอยู่ พลันหันหน้ามา
“อา..ทั้งหมดสี่พันบาทค้าบเฮีย”
ชายผิวขาวหยิบเงินสดออกมานับแล้วยื่นให้
นายเมี้ยนกับตาแกละมองตาลุกวาว
“ฮะ เฮีย..นี่เฮียขนไปไหนไปตุน ระ หรือ” ตาแกละถาม
ชายผิวขาวบอก ท่าทางเป็นมิตร “ผม-เอา-ไป-ห้าย-พวก-คนงาน”
“เฮียเพิ่งมาอยู่ใช่ไหม ฉันไม่คุ้นหน้าเฮียเลย”
“ผม-เพิ่ง-มาเปิด-โรงงานใหม่” ชายผิวขาวบอก
“หา โรงงาน งั้นคนงานก็เยอะนะสิ” ยายเมี้ยนถาม
“ช่าย ช่าย”
ยายเมี้ยนเสนอตัว “งั้นเฮียขาดเหลืออะไร ถามฉันได้นะ จะซักผ้า หาที่ หนีระเบิด บอกเมี้ยนเลยนะ”
ระหว่างนั้นวิภาแต่งตัวชุดนิสิตออกมาจากร้าน เฮียเม้ง ถามลูกสาว
“อ้าวอีหนู เขาให้ไปเรียนกันได้แล้วเหรอ”
“วันนี้มหาวิทยาลัยเขานัดประชุม”
“อาๆ รีบไปรีบมา”
อังศุมาลินในชุดนิสิต ถือพวกเอกสาร เดินมา
“มาพอดียายอัง เธอจะเอายังไง บางคณะเขาก็ย้ายไปต่างจังหวัดนะ พวกอักษรฯเขาว่าไปเพชรบูรณ์กันไม่ใช่เหรอ” วิภาว่า
“สุดท้ายก็ไม่ไปแล้ว..นี่ฉันอยากไปฟังข่าวอาจารย์..ได้ยินอาจารย์ฝรั่งหลายคน..โดนจับไปเมืองกาญจน์”
“แล้วเธอจะไปช่วยอะไรได้” วิภาถาม
พอดีแมววิ่งปร๋อเข้ามาจากอีกทางหนึ่ง หน้าตาตื่น
“แม่ๆ ข่าวด่วน”
ยายเมี้ยนอยากรู้ “อะไรๆ”
แมวกระซิบหู พอยายเมี้ยนได้ฟังก็กระจายเสียงทันที
“อะไรนะ นายช่างโกโบริที่เป็นหัวหน้าที่อู่จะย้ายแล้ว ตายๆๆ ลูกสาวฉันยังไม่ทันเป็นฝั่งเป็นฝาเลย แล้วเขาจะไปอยู่ไหนละ”
“ไม่รู้ แต่เห็นพวกที่ไปเยี่ยมคนเจ็บมาพูดกันเมื่อกี้” แมวว่า
“จะว่าไปก็น่าเสียดายนะ นายช่างคนนี้จริงๆแล้วก็เป็นคนดี มีเมตตา ทำเรื่องดีๆ ช่วยเหลือพวกเราก็หลายอย่าง” แม่ค้าคนแรกว่า
แม่ค้าอีกคนเสริม “ฉันเองก็อายแก่ใจนะ เมื่อวานเราไม่น่าไปทำแกขนาดนั้นเลย แต่แกโดนเสียขนาดนั้นก็ยังเอาพวกที่โดนยิงไปรักษาอีก”
“เพราะเรื่องเมื่อวานหรือเปล่าไม่รู้” แมวว่า
ชายผิวขาวหันมองมา ตั้งใจฟังทุกคน อย่างสนใจ

อังศุมาลินฟังนิ่งอึ้ง งงเหมือนหัวถูกค้อนทุบ

“กองบัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ถนนสาทร พระนคร”

ริ้วธงกองทัพญี่ปุ่นปลิวไสว อยู่บนยอดเสาหน้าอาคารหอการค้าจีน ตอนเช้าวันนั้น

บนโต๊ะประชุม เห็นนายทหารระดับสูงของกองทัพญี่ปุ่นนั่งเรียงรายล้อม มีโทโมยูกิและมาซาโอะอยู่ติดกับหัวโต๊ะประธาน ครู่ต่อมาทุกคนต่างลุกพร้อมกันพรึ่บ
นายพลนากามูระแม่ทัพใหญ่คนใหม่ เดินเข้ามานั่งที่หัวโต๊ะ
“เชิญนั่ง”
ทุกคนนั่งลง มีโทโมยูกิและมาซาโอะที่แลดูอึดอัดมากกว่าเพื่อน
“ผมได้รับมอบหมายนโยบายจากโตเกียว ให้มาจัดการเรื่องความสัมพันธ์กับ รัฐบาลไทยที่ไม่สู้ดีในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นายดิเรก ชัยนาม เอกอัครราชฑูตไทยประจำญี่ปุ่น เตือนผมว่า ถ้าเราจะแข็งกร้าวเกินไปกับคนไทย จะมีปัญหาใหญ่มากแน่ๆ”
นายพลนากามูระหยุดมองทุกๆ คน โทโมยูกิและมาซาโอะยิ่งอึดอัด ฟังนิ่งๆ โดยไม่หันไปสบตานากามูระ
นากามูระเสียงดัง หนักเน้น “ผมมาที่นี่เพื่อมาจัดระเบียบใหม่ทั้งหมด และใครที่ขัดแย้งกับนโยบายนี้ต้องถูกปรับเปลี่ยนทันที”
ทุกคนฟังนิ่งนากามูระพูดต่อ
“และเรื่องสำคัญเร่งด่วนตอนนี้ก็คือ เรื่องยิงคนไทยที่ตลาดชุมชนฝั่งธนบุรี ต้องจัดพิธีขอขมาโทษต่อชาวชุมชนนี้โดยทันที ไม่ว่ากรณีใดๆ”
มาซาโอะหลบตาลงต่ำ สีหน้าเครียด
“ท่านนากามูระครับ ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ เพราะทหารเราก็ถูกทำร้ายบาดเจ็บหลายนาย ที่มีการยิงก็เป็นการขู่และปรามไม่ให้เหตุการณ์วุ่นวายใหญ่โต” โทโมยูกิแก้ต่าง
นากามูระหันขวับตบโต๊ะดังปัง “ท่านโทโมยูกิ ได้ยินคำสั่งผมหรือไม่” เน้นย้ำคำ “ไม่ว่ากรณีใดๆ!”
นากามูระจ้องเขม็ง โทโมยูกิเก็บอารมณ์สุดขีด

ส่วนที่วัดชุมชนปากคลอง ตอนสาย
กระโถนที่ละมือลงของหลวงพ่อที่ก้มบ้วนน้ำหมาก
หลวงพ่อที่นั่งอยู่บนอาสน์ วางกระโถนลงข้างๆ ถัดไปมีเครื่องสังฆทานวางอยู่ 5-6 ชุด
“ก็นี่ละหนา ไอ้พวกข่าวเล่าข่าวลือเป็นปัญหานัก อาตมาอยากจะเตือนพวกเราไว้เลย อย่าเชื่อเพราะฟังตามๆ กันมา ถ้าเป็นชาวพุทธ ก็ต้องฟังแล้วคิดหาเหตุผลให้ดีก่อนจะเชื่อ ไม่งั้นก็จะเสียหาย ล้มตายได้อย่างเมื่อวาน”
“แต่ทางตำรวจก็กำลังสืบความหาข้อเท็จจริงแล้วละครับหลวงพ่อ แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่เขามายิงเรานี่ จะเอาโทษยังไงได้” กำนันนุ่มว่า
แม่วันเสริม “นี่ก็เห็นว่ากำลังจะมีนายช่างคนใหม่ที่อู่ แทนนายช่างโกโบริแล้วด้วยค่ะ”
มีครอบครัวญี่ปุ่นสามพ่อ แม่ ลูก เดินเข้ามานั่งที่ท้ายกลุ่มคนมาทำบุญ การสนทนาเลยหยุดลงไปครู่หนึ่ง
หลวงพ่อกวักมือ “เอามานี่เลยโยม”
ครอบครัวญี่ปุ่นเลยเดินถือของทำบุญมายื่นถวายให้หลวงพ่อ
“โยมนี่เป็นญี่ปุ่นกันใช่ไหม”
“ช่าย-คับ ผม-เพิ่ง-มาอยู่กัน” คนเป็นพ่อตอบ
“อา ดีๆ อาตมาและชาวบ้านที่นี่ยินดีต้อนรับ นั่งคุยกันก่อนนะ” หลวงพ่อว่า
“คับ-คับ”
ครอบครัวญี่ปุ่นขยับลงไปนั่ง ใกล้ๆ กับ แม่อร
แม่อรหันไปยิ้มทักทาย ก่อนที่จะหาจังหวะถามแม่วันต่อ
“พี่วันว่าจะมีคนมาแทนนายช่างโกโบริหรือ”
“ใช่จ๊ะแม่อร เห็นว่าย้ายไปแล้ว โดยด่วนซะด้วย” แม่วันบอก
“พ่อโกโบรินี่เหรอ อ้าวจะไปเสียแล้ว โธ่ๆๆ เสียดายคนดีดี” ยายศรใจหาย เอ่ยขึ้น
“นั่นสิครับ ใครต่อใครก็พูดเสียดายกันทั้งบาง ที่พ่อโกโบริจะไป ดูสิ คนไทยที่ถูกยิง พ่อโกโบริก็เอาไปให้หมอที่อู่รักษาจนหาย” กำนันว่า
“ไม่ต้องไปเอ่ยถึงคนอื่นหรอก ฉันนี่แหละ รอดจากมาลาเรีย ก็เพราะพ่อดอกมะลิจริงๆ นะ” ยายศรบอกอย่างชื่นชม
ครอบครัวชาวญี่ปุ่นต่างสนใจฟัง

อังศุมาลินเดินมาอย่างเร่งรีบ ด้วยสีหน้าร้อนรนใจ กำลังเดินมองหาไปมา ต่อมาประตูห้องพยาบาลเปิดออก เห็นอังศุมาลินเข้ามา
ภายในห้องมีแต่คนไข้ และนายสิบผู้ช่วย และทหารเดินเข้าออกบางตา อังศุมาลินมีสีหน้ากังวล ที่ไม่เจอคนที่หา
อังศุมาลินเดินต่อมาถึงหน้าห้องทำงานของโกโบริ แล้วเดินไปถามทหารคนหนึ่งที่เดินผ่านมา
“ที่นี่ห้องร้อยเอกโกโบริ ใช่ไหมคะ”
“ไฮ้ ห้องพักผู้กองโกโบริ”
อังศุมาลินเดินตรงเข้าไปในห้องทำงานของโกโบริ
เมื่อเข้ามาภายในห้องแล้ว เห็นนายทหารรูปร่างสันทัดคล้ายโกโบริยืนหันหลังดูเอกสารอยู่ อังศุมาลินร้องเรียกอย่างดีใจ
“โกโบริ”
นายทหารคนนั้นหันมา เป็นผู้กองฮิชิดะ ผู้ที่จะมาแทนโกโบริ ทำหน้าแปลกใจที่มีเสียงผู้หญิงไทยอยู่ในค่ายทหาร
อังศุมาลินหน้าเปลี่ยนสี
ฮิชิดะยิ้มเป็นมิตร “ผู้กองโกโบริไม่อยู่ ไปฝั่งพระนครครับ”
“คุณ…”
“ร้อยโทฮิชิดะ เค็น ครับ มาประจำแทนผู้กองโกโบริตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณเป็นใครครับ”

ฮิชิดะแนะนำตัว แล้วถามกลับ อังศุมาลินใจหายหน้าถอดสีโดยไม่รู้ตัว

คู่กรรม ตอนที่ 9 (ต่อ)

พระอาทิตย์กำลังลาฟ้า แสงสีแดงส้มเสมือนผีตากผ้าอ้อม สะท้อนบนผิวน้ำหลังอู่ ในห้องพักของโกโบริ ซามิเซ็งคันเก่ง วางอยู่บนเตียงที่โล่ง พับเก็บเป็นระเบียบ

โกโบริอยู่ในชุดสนามพร้อมรบ มีเป้สัมภาระในมือ ยืนอยู่ปลายเตียง กวาดตามองไปรอบๆ ราวกับจะบันทึกและจดจำสิ่งต่างๆในห้องทั้งหมดเอาไว้ให้มากที่สุด แล้วก้มดูของในอีกมือหนึ่ง
เห็นเป็นผ้าเช็ดหน้าสีโอลด์โรสที่ยังมีคราบเลือดและพับอย่างดี อยู่ในมือ โกโบริเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้ากระเป๋าเสื้อ แล้วเอื้อมไปคว้าซามิเซ็งขึ้นมา
โกโบริ ปิดสวิทช์ไฟสีดำกลมๆ ที่ตัวไฟเป็นโคมจานห้อยกลางห้อง ห้องมืดลง

โกโบริเดินถือซามิเซ็ง และสะพายเป้เข้ามาในห้องทำงาน ตรงไปที่โต๊ะ โกโบริหยิบซองจดหมายส่งตัวบนโต๊ะขึ้นมาได้ยินเสียงคนเข้ามา หันไปทางประตู เห็นฮิชิดะเดินเข้ามา
“ฮิชิดะซัง มาพอดี” โกโบริทัก
“อยู่นี่เอง.. ผู้พันมาซาโอะให้มาตาม อีกสิบห้านาทีรถจะออกแล้ว
“ผมกำลังจะไป...แต่ผมฝากเจ้าซามิเซ็งนี่ไว้กับคุณก่อนได้ไหม เผื่อผมจะมีโอกาสกลับมา... เล่นอีก”
ฮิชิดะรับซามิเซ็งไว้
“ด้วยความยินดี...เดินทางโดยสวัสดิภาพ ชัยชนะจงเป็นของคนญี่ปุ่น”
ฮิชิดะชูกำปั้นขึ้น ให้กำลังใจ
“แน่นอน...หวังว่าคงได้พบกันอีก”
“เช่นกัน” ฮิชิดะบอก
โกโบริหันหลังเดินออกไป กำลังจะก้าวพ้นประตู
ฮิชิดะนึกออก “เอ่อ...เดี๋ยวโกโบริ วันนี้มีผู้หญิงคนนึงมาหาคุณที่นี่”
โกโบริหันขวับกลับมาทันที

โกโบริกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาท่ามกลางความมืด รีบเร่งไปให้ถึงที่หมายให้เร็วที่สุด ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เจอกับอังศุมาลิน ผุดขึ้นมาราวสายน้ำไหล สลับกับการเดินลัดเลาะผ่านสุมทุมพุ่มไม้อย่าง รีบเร่งและชำนาญทาง
นับจากเจอกันที่เรือหลังอู่วันแรก ตอนอังศุมาลินต่อว่าหนักที่โกโบริที่ทำโทษตาบัวตาผล ตอนอังศุมาลินเช็ดตัวทำแผลโดนฟันให้ ตอนทำเทริยาเก้อย่างสนุกสนานบนชานเรือน ตอนที่โกโบริพาอังศุมาลินกับยายศรมาหลบระเบิดในท้องร่องสวน ตอนสองคนเดินคุยกันในสวน กระทั่งภาพอังศุมาลินซับเลือดที่หัวที่ตลาด

ไม่นานนัก โกโบริเดินมาถึงข้างหลังเรือน หอบเล็กน้อย เห็นไฟบนเรือนสว่างอยู่ก็ดีใจ โกโบริรีบเดินขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว มาหยุดยืนอยู่หน้าประตู พักหอบ แล้วดึงผ้าเช็ดหน้าที่เตรียมไว้ให้ออกมา
โกโบริเคาะประตูสามที สีหน้าแววตาเปี่ยมสุขและลุ้นที่จะได้เจอสาวไทยคนนั้น แต่เงียบนาน เลยเคาะอีกครั้งหนึ่ง พอสิ้นเสียงเคาะเสียงถอดสลักประตูดังออกมา โกโบริหัวใจพอง
พอประตูเปิดออก ยายศรในชุดเสื้อคอกระเช้าและมีเสื้อคลุม หญิงชรามีสีหน้าดีใจ
“อ้าว พ่อโกโบริ คิดถึงอยู่เชียว..นี่พ่อจะย้ายไปแล้วหรือ นึกว่าจะไม่มาร่ำมาลากันเสียแล้ว”
โกโบริแปลกใจ รู้ได้ยังไง รีบร้อนถาม “ใช่ครับ ฮิเดโกะ..เออ อังศุมาลิน อยู่หรือเปล่าครับ”
“อ๋อ ยัยอังกับแม่อร ไปบ้านพ่อกำนัน สักพักคงกลับ”
โกโบริมีสีหน้าผิดหวัง แทบทรุดทันที มึนตึ๊บ
“ถ้าอย่างนั้น...” โกโบริยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ “ผมฝากผ้าเช็ดหน้าให้อังศุมาลินด้วย บอกด้วยว่าเป็นผืนใหม่ ผมเอามาคืน ฝากบอกลาเขาและแม่ด้วยครับ และถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาที่นี่อีก ผมไปก่อน ขอให้คุณยายสุขภาพแข็งแรง”
“นี่จะไม่เข้ามาก่อนหรือ”
“ไม่ครับ รถรออยู่ครับ เดี๋ยวผมไปไม่ทันรถไฟ”
“แล้วไปที่ไหนล่ะพ่อคุณ” ยายถาม
“พม่าครับ”

ที่บ้านกำนันนุ่มค่ำนั้น ทุกคนชิมก๋วยเตี๋ยวผัดไทยกัน จากจานสังกะสี ยายเมี้ยนเอ่ยขึ้น
“เออ..ได้ยินมานาน เพิ่งได้ชิมนี่แหละ ก๊วยเตี๋ยวผัดไทย แต่มันไทยตรงไหน”
กำนันนุ่มรีบบอก “ตรงที่ใส่กุ้งแห้งกับเต้าหู้แทนหมู ท่านจอมพลบอกว่า ถ้าใส่หมูเป็นก๋วยเตี๋ยวจีน”
แม่วันเสริม “เขาว่ากันว่า ตอนน้ำท่วมใหญ่ ท่านจอมพลและคณะรัฐบาลไปไหนไม่ได้ พอดีมีเรือก๋วยเตี๋ยวพายมาขาย ท่านเลยเห็นว่าก๊วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่ดี จานนึง มีเส้น มีผัก มีเนื้อสัตว์ครบ จะช่วยเศรษฐกิจชาติได้ดี ท่านเลยคิดตำรานี้ขึ้นมา แล้วเชิญชวนให้คนไทยกินกันให้เป็นอาหารประจำบ้าน”
แมวรีบเสนอหน้า “เลยตั้งชื่อว่าก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ให้รับกับชื่อประเทศ ที่เปลี่ยนจากสยามมาเป็นไทยไงจ๊ะ”
อังศุมาลินนั่งใจลอยๆ ระหว่างที่ทุกคนคุยกัน คิดอะไรมากมาย หลายอย่าง
“ที่เรียกประชุมด่วนนี่ เพราะจะให้มากินก๋วยเตี๋ยวตามรัฐนิยมเนี่ยเท่านั้นเรอะ” ตาแกละถาม
“ข้อใหญ่ใจความคือ...ที่เขาสั่งห้ามกินหมากมาแต่เริ่มสงครามน่ะ ตอนนี้ เขาจะเอาจริงแล้ว เขาจะมาตรวจ ว่าสวนของใคร ยังปลูกหมาก ปลูกพลูอยู่ล่ะก้อ..จะมีความผิด เขาจะจับไปปรับ!” กำนันบอก
“หา...แบบนั้น บ้านเรามิถูกปรับเป็นหมื่นๆ หรือ ยัยอัง” แม่อรถามลูกสาว
“คะ” อังศุมาลินสะดุ้งตื่นจากภวังค์
“กำนันอย่าลืม เรื่องเปลี่ยนชื่อด้วย อย่างชั้นชื่อวัน..ก็อาจจะไปเปลี่ยนเป็นวัลลภา”
“เออ...จริงๆๆ ต่อไปนี้ ชื่อของพวกเรา ฟังแล้วต้องรู้ทันที ว่าเป็นเพศอะไร ยกตัวอย่างเช่น..ฉันเอง ชื่อนุ่มแบบนี้ ใช้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนให้เป็นชื่อผู้ชายๆกว่านี้” กำนันบอก
“เช่นอะไร จากนุ่ม ให้เปลี่ยนเป็นแข็ง...งั้นหรือ” ตาแกละว่าขำๆ
ยายเมี้ยนแหลมขึ้น “งั้นชั้นเอาชื่อเมี้ยนฤดีละกัน เรียบๆ”
“แม่เปลี่ยนไปคนเดียวนะ หนูไม่ยอมชื่อแมวฤดีเด็ดขาด” แมวว่า

ทุกคนหัวเราะขำกัน แต่อังศุมาลินเอาแต่นั่งเหม่อ ซึมๆ

คืนเดียวกัน หลวงชลาสินธุราชในเครื่องแบบ กับข้าราชการพลเรือน 2 คน เพิ่งประชุมเสร็จ เดินกลับเข้ามาในบ้าน คุยกันท่าทีกระซิบกระซาบ

“ผมคิดว่าการเปลี่ยนตัวแม่ทัพญี่ปุ่นมาเป็นนากามูระ และเปลี่ยนจากนโยบายแข็งกร้าวกับไทย มาเป็นประนีประนอม จะทำให้เราทำงานง่ายขึ้น” คนหนึ่งว่า
อีกคนเสริม “สมแล้ว ไอ้แม่ทัพคนเก่ามันโหดเหี้ยมดีนัก โดนย้ายไปประจำฐานทัพภาคใต้ที่สิงคโปร์น่ะดีแล้ว”
“ผมว่า..มันยิ่งไว้ใจไม่ได้ใหญ่ เมื่อก่อนเรายังรู้ว่า ใครร้าย ใครดี..เราก็ระวังตัวถูก ตอนนี้ เขาทำเหมือนดีกับเราไปหมด แต่จริงๆ ภายใต้ก็คือดาบซามูไรอยู่ดีนั่นเอง” คุณหลวงบอก
“ก็จริง ยังไงเราก็ประมาทไม่ได้” คนแรกเห็นด้วย
เสียงคุณหญิงจิตดังขึ้นมา “กลับมาแล้วเหรอคะ”
คุณหญิงเดินออกมา พวกผู้ชายทุกคนสบตากัน รีบเปลี่ยนเรื่องเป็นหัวเราะเฮฮา
“ใช่ๆๆ ผมไม่ชอบจริงๆ นะ รำวงอะไรเนี่ย รำไม่เป็นจริงๆ” คุณหลวงบอก
ข้าราชการคนแรกเห็นงาม “นั่นสิครับ เต้นรำยังง่ายซะกว่า”
คุณหลวงหันไปทำทีถามภรรยา “ใช่ไหมคุณ”
“อะไรกันคะ รำวงสนุกออก อย่างเพลงที่แต่งมาใหม่ อะไรนะ...”
ข้าราชการคนที่ 2 ตอบ “ขวัญใจดอกไม้ของชาติ หรือเปล่าครับ”
“ใช่ๆ เพราะมาก” คุณหญิงจิตว่า
ทั้งหมดเปลี่ยนเรื่องคุยกัน หัวเราะร่าเริง
คุณหลวงชลาสินธุราช แอบสบตากับเพื่อนข้าราชการท่าทีโล่งอก

อังศุมาลินมองผ้าเช็ดหน้าที่เคยอยู่ในโกโบริผืนนั้น
อังศุมาลินวางผ้าลง “แล้วทำไมต้องเอาผ้าใหม่มาให้...จะไปก็ไปสิ กะอีผ้าเช็ดหน้าเก่าๆผืนเดียว หนูแค่ทำบุญทำทาน...ทำไมต้องซื้อมาชดใช้คืน... ทำยังกะหนูงกนักอย่างงั้นแหละ ทำไมกลัวจะต้องเป็นหนี้บุญคุณคนอย่างเราหรือ”
“เขาคงตั้งใจมาลา...แล้วคงอยากขอบคุณน่ะ” ยายบอก
อังศุมาลินอึ้ง แม่อรถอนใจ
“เฮ้อ...น่าสงสาร เขาส่งให้ไปไหนก็ต้องไป มีหน้าที่ต้องทำตามคำสั่ง เกิดเป็นผู้ชาย ประเทศมีสงคราม ก็ต้องไปรบ ไม่ไปรบ ก็ผิด”
“ทางบ้านเขาจะเป็นยังไงกันบ้างนะ ลูกชายก็ถูกส่งไกลออกไป ไกลออกไป แถมอันตรายขึ้นทุกทีๆ ด้วย” ยายพูดป็นเชิงถาม
อังศุมาลินเมินหน้าหนี ในใจยามนั้นคิดอยากให้พวกผู้ใหญ่เลิกคุยเรื่องนี้ซะที
“นี่ถ้าแกมาเที่ยวบ้านเราสนุกๆ ไม่มีสงคราม แล้วได้มารู้จักกันเฉยๆ แม่ว่าหนูกะเขาก็น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะลูก”
“พ่อดอกมะลิเป็นคนใจดี มีน้ำใจกับพวกเราทุกอย่าง ขนาดคนไทยด้วยกัน บางทียังสู้เขาไม่ได้เลย” ยายศรว่า
คำพูดนั้นกระแทกเข้าใบหน้าซีดๆ ของอังศุมาลิน หญิงสาวหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นขึ้นมาดูใหม่ แล้วเอามือลูบ รีดๆ ไป ใจเลื่อนลอย

บริเวณหน้าที่ทำการกองทัพญี่ปุ่น กรุงเทพฯ ที่ถนนสาทร ฝนพรำสายตลอดตั้งแต่ค่ำจนบัดนี้
บรรยากาศมาคุสุดๆ ฝนพรำสายหยดลงตามระเบียง ใต้ชายคา ทหารญี่ปุ่นเดินยืน พูดจากันเครียดๆ ซุบซิบๆ ครู่หนึ่งรถของพลโทโทโมยูกิแล่นมาจอด โทโมยูกิแต่งเต็มยศ กระโดดลงมาหน้าตาดุดัน มีทหารถือร่มจากตึก ลงมารับพาเดินขึ้นตึกไป
โทโมยูกิเดินมาตามระเบียง พอผ่านพวกทหาร พวกทหารก็พากันทำความเคารพ และหลบตาแบบกลัวๆ
รถจี๊ปคันเล็กแล่นมาจอด โกโบริหน้าซีด อาการงวยงง เดินลงมา ทหารที่ถือร่ม วิ่งลงมารับโกโบริเช่นกัน
โกโบริเดินขึ้นไปบนตึก ทหารชี้ทางให้ไป โกโบริขอบคุณ เดินรีบร้อนมาตามทางเดิน ถึงที่หน้าห้องหนึ่ง ประตูเปิดออกมา เห็นหมอโยชิ ก้าวออกมา ที่หัวและจุดที่บาดเจ็บ ยังพันผ้าไว้ โกโบริชะงัก
“โกโบริ” หมอโยชิทัก
โกโบริทักตอบ “โยชิ”
ทหารญี่ปุ่นคนอื่นๆ จับตามองเขม็ง
โกโบริจึงพูดไทย ลดเสียงเบา ไม่ให้คนอื่นรู้เรื่อง “เกิดอะไรขึ้น ผมไปที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย เพื่อจะเดินทางไปจังหวัดระนอง แต่ก็ถูกสั่งให้มาที่นี่”
“เข้ามาข้างใน คุณจะต้องพบกับท่านแม่ทัพนากามูระ ท่านอยากพูดอะไรกับคุณหน่อย”

โกโบริงงกับคำพูดของหมอโยชิ

ฝนยังคงตกแรง สาดสายกระหน่ำ ใส่อาคารที่ทำการหลังนั้น ฟ้าคะนองครืนโครมเป็นระยะ 

ภายในห้องทำงานแม่ทัพใหญ่นากามูระยามนั้น มีเพียงนากามูระ และ โทโมยูกิเผชิญหน้า กันที่หน้าโต๊ะทำงานนากามูระ
โทโมยูกิอ่านคำสั่ง แล้วหน้าซีดลงๆๆ ลดจดหมายในมือลง
“ท่านสั่งย้ายผมไปประจำฐานทัพใหญ่ที่สิงคโปร์”
“ตามนั้น” นากามูระตอบสั้นห้วน
แววตาโทโมยูกิแค้นเคืองขณะรับคำสั่ง “รับปฎิบัติ ครับผม!”
“ท่านเดินทางได้พรุ่งนี้เลย”
โทโมยูกิทำความเคารพ แล้วหันกลับจะเดินออก แล้วชะงัก หันกลับ นากามูระมองตัวเกร็งท่าทีระวัง
“ผมอยากทราบเหตุผล”
“เพราะ...คุณไม่ทำตามนโยบายของผม”
“อ้อ..เข้าใจแล้ว” โทโมยูกิทำความเคารพอีกที แล้วเดินออกไปอย่างสง่า
ฟ้าร้องเปรี้ยงๆๆ สายฟ้าแลบแปลบปลาบ

โกโบริ หมอโยชิ และนายทหารคนอื่นๆ เดินมาถึงหน้าห้อง ขณะที่โทโมยูกิ เดินออกมา โทโมยูกิชะงัก มองหลานช็อกๆ โกโบริเองก็มองลุงด้วยท่าทีตกใจ
ฟ้าร้องคำราม ฟ้าแลบแปล้บ ฝนสาดมาทางระเบียง
“นายพลนากามูระเรียกตัวแกกลับมาหรือ” โทโมยูกิถาม
โกโบริอึ้ง ตอบไม่ถูก หมอโยชิตอบแทน
“ครับผม”
โทโมยูกิสงสัย “ทำไม”
“โกโบริคือทหารญี่ปุ่นที่เป็นแบบอย่างที่ดีของกองทัพ ที่สร้างความสัมพันธ์กับชาวบ้านได้ดีครับผม” หมอตอบอีก
โทโมยูกิสบถ “โง่สิ้นดี”
ทหารทุกคนเงียบกริบ โทโมยูกิพูดอย่างถือดี
“ทำดีกับคนไทย นากามูระไม่เข้าใจคนไทยเหมือนชั้นหรอก”
สีหน้าโกโบริสับสน
“แกมันใจอ่อนเกินไป.. สักวันจะต้องเจ็บปวด เพราะคนไทยไว้ใจไม่ได้”
ขาดคำโทโมยูกิย่ำเท้าตึงๆๆ อย่างฉุนฉัยวผ่านหน้าทุกคนไป
โกโบริมองตาม หน้าซีดเผือด

วันต่อมา มาซาโอะและทส.ทหารญี่ปุ่น 2 คน เดินชมตลาดท่าเตียนอย่างสบายใจ
ครู่หนึ่งรถจี๊ปสารวัตรทหารญี่ปุ่นแล่นเข้ามาจอด สารวัตรองอาจ และตร.ไทย 2 คน กระโดดลงจากท้ายรถ เดินตรงเข้าไปหามาซาโอะ สารวัตรทหารญี่ปุ่นอีก 4 คน ลงจากรถเดินตามไป
ชาวบ้านชาวตลาดทุกคนแตกตื่น หันมามองอย่างแปลกใจ
“ผมมีหมายจับ มาขอจับคุณ..ข้อหา..พยายามฆ่าพลเรือนคนไทยที่ไม่มีอาวุธ”
มาซาโอะตกใจไม่ทันตั้งตัว ทส.พยายามกันตัวมาซาโอะ แต่ไม่ทันตำรวจไทยเข้าขวางไว้
พวกสารวัตรทหารญี่ปุ่นทำความเคารพมาซาโอะ แล้วขอจับเข้าล็อกตัวอย่างสุภาพ
“ผมเสียใจด้วย พวกคุณเปลี่ยนแม่ทัพ เปลี่ยนนโยบายกันเอง...ผมก็ได้แต่ทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหมือนกัน”
มาซาโอะเสียหน้า อึ้งๆ ด้วยคาดไม่ถึง แต่ก็ยอมตามไปขึ้นรถจี๊ปโดยดี
ชาวบ้านมองตามไป ตกใจ แตกตื่น ซุบซิบ วิพากษ์วิจารณ์กันขรม

ตกกลางคืนแม่อรนั่งเรียงเผือกฉาบบนกระด้ง ในแสงตะเกียง ยายศรเดินประแป้งน้ำอบ ไทยหอมฉุยแล้วออกมาหยิบพัด พัดๆๆ เป็นการใหญ่
“ค่ำนี้อากาศร้อนจริงเลย ร้อนอ้าวๆ พิกล”
อังศุมาลินนั่งตีขิม ช้าๆ เพลงเศร้าๆ อยู่นอกชาน หน้าซึมๆ
ตีไปสักพัก ขิมสายขาดตึ๊ง..เด้งผลุบ เสียงขิมดังแปร่งขึ้นมา
“อ้าว...สายขาดเหรอยัยอัง” ยายศรหันไปถาม
“ค่ะ”
อังศุมาลินก้มหน้าก้มตา จัดการแก้ไข หาสายใหม่มาเปลี่ยน
“มาทำอะไรตอนนี้ มืดตึ๊ดตื๋อ พรุ่งนี้สว่างๆ ค่อยทำเถอะ” แม่อรบอก
“ค่ะ” อังศุมาลินปิดขิมลงเก็บ พลางบ่น “ไม่มีลมเลย แปลกจริง” ก่อนจะเดินกลับห้องไป
เข้ามาในห้องอังศุมาลินหยิบผ้าถุงมา คว้าผ้าเช็ดตัว แล้วมองไปเห็นผ้าเช็ดหน้าสีโอลด์โรสผืนนั้น
อังศุมาลินหยิบมาดู หน้าขรึม หม่นลง

ครู่ต่อมาอังศุมาลินนุ่งกระโจมอก นั่งเอาเท้าจุ่มน้ำเล่นอยู่ที่ท่าหน้าบ้าน เหม่อมองออกไปที่อู่ต่อเรือ และมองเลยไปยังห้องที่โกโบริเคยอยู่ เห็นปิดไฟมืด บรรยากาศดูเงียบสงัด
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือคุ้งน้ำ สะท้อนเป็นประกายวิบวับบนผืนน้ำ
อังศุมาลินเผลอฮัมเพลงเบาๆ ขึ้นมา
“ซา.. กู.. ระ.. ลา.. ลา.. ที้.. ลา.. ที้.. โด.. ที...”
แต่แล้วขณะร้อง อังศุมาลินเหมือนจะรู้ตัว พยายามจะไม่คิดถึง หยุดร้อง
นิ่งเงียบไปอีกพักหนึ่ง เอาเท้าแกว่งน้ำเล่นอีกสองสามที
ที่แม่น้ำยามนั้น มีเรือท้องแบนลอยไหลเรื่อยมาตามสายน้ำ
อังศุมาลินได้ยินเสียงเรือลอยน้ำมา จึงหันไปมอง เห็นเพียงเงาดำของคนที่อยู่ในเรือ กำลังลอยช้าๆ มายังท่า
อังศุมาลินรีบลุกขึ้น กระชับกระโจมอกให้แน่น เอาผ้าเช็ดตัวคลุมกระชับที่ไหล่
“ใครน่ะ”
เรือลำน้อยค่อยๆ ลอยเข้ามาช้าๆ จนแสงไฟค่อยๆ ไล่ไปที่ใบหน้า เผยให้เห็นเป็นโกโบริส่งยิ้มมา
อังศุมาลินมองงงๆ
“ผมเอง...”
อังศุมาลินพูดไม่ออก นึกไม่ถึง “คุณ..ไปแล้ว ไม่ใช่เหรอ”
“มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ผิดหวังหรือครับ” โกโบริยิ้มแฉ่ง
“เปล่า..” อังศุมาลินนิ่ง “คือ..แปลกใจนิดหน่อย”
“แต่ผมดีใจมาก...” คราวนี้ยิ้มกว้าง
อังศุมาลินพูดไม่ออก มองตาโตอยู่เช่นนั้น
“คุณคง..กำลังจะอาบน้ำ” โกโบริมองสภาพ
“ใช่ คุณก็ควรไปได้แล้ว”
โกโบริยิ้มเขิน “ไปเดี๋ยวนี้ครับ...” พร้อมกับลดเสียงพูดเบาลง “ได้พบหน้า..แค่นี้..ผมก็พอแล้ว”
“อะไรนะ” อังศุมาลินได้ยินไม่ถนัดหู
“เปล่าครับ เปล่าๆๆ ไปเดี๋ยวนี้ๆๆ” โกโบริสตาร์ทเครื่อง ออกเรือไปอย่างเร็ว
อังศุมาลินแกล้งทำปั้นปึ่งหันหนีไปอีกทาง กลั้นยิ้มไว้ โกโบริหันกลับมามอง ยิ้มสดใส จนพ้นโค้งน้ำไป

พอคล้อยหลังโกโบริ อังศุมาลินหันกลับมาคลี่ยิ้มออกมา แล้วรีบควบคุมตัวเอง ทำหน้าไม่ให้ดีใจเกินไป แล้วลงอาบน้ำอย่างสุขใจ

ติดตาม "คู่กรรม" ตอนที่ 10
มณีสวาท ตอนที่ 9
มณีสวาท ตอนที่ 9
หม่อมภาณีหน้าซีดเผือด เหลียวขวับไปตามมือชี้ของสองแม่ลูก เห็นเจ้าอุรคาสวมสร้อยอัญมณีสีเขียวเข้มเม็ดโต และส่องประกายวาววับงามจับตา ขณะที่เจ้าประกายคำส่ายหัว ระอา 2 แม่ลูกนัก “งูที่ไหนกัน นี่มันสร้อย” “ค่ะ นี่คือสร้อย…พลอยมณีสวาท” เจ้าอุรคาบอกชัด สองแม่ลูกช่วยกันเถียงอีก “สร้อยบ้าสร้อยบออะไร งูชัดๆๆๆ” เฟื่องฟ้าร้องลั่น ทำท่ากลัวขยะแขยงสุดขีด “ดูซิคะ มันเลื้อยไปเลื้อยมา แอร๊ยยย..น่าเกลียดน่ากลัวที่สุดเลย” เฟื่องวลีกรี๊ด หม่อมภาณีเพ่งมอง เห็นเป็นสร้อยสวยบาดใจ “งู...อยู่ตรงไหนคะ” เฟื่องฟ้าชี้ที่คออุรคา “ก็ที่คอเจ้าอุรคาไงคะ?” ทำท่าขยะแขยง “มันชูคอมองฉันด้วย อี๋ น่ากลัวๆ” ระหว่างนั้นผู้คนที่เดินผ่านหน้าร้านมองเข้ามาอย่างสนใจ สีหน้างุนงง เจ้าประกายคำมองสองแม่ลูก รู้สึกอับอายและโกรธจนทนไม่ไหวแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น