มณีสวาท ตอนที่ 9
หม่อมภาณีหน้าซีดเผือด เหลียวขวับไปตามมือชี้ของสองแม่ลูก เห็นเจ้าอุรคาสวมสร้อยอัญมณีสีเขียวเข้มเม็ดโต และส่องประกายวาววับงามจับตา ขณะที่เจ้าประกายคำส่ายหัว ระอา 2 แม่ลูกนัก
“งูที่ไหนกัน นี่มันสร้อย”
“ค่ะ นี่คือสร้อย…พลอยมณีสวาท” เจ้าอุรคาบอกชัด
สองแม่ลูกช่วยกันเถียงอีก “สร้อยบ้าสร้อยบออะไร งูชัดๆๆๆ” เฟื่องฟ้าร้องลั่น ทำท่ากลัวขยะแขยงสุดขีด
“ดูซิคะ มันเลื้อยไปเลื้อยมา แอร๊ยยย..น่าเกลียดน่ากลัวที่สุดเลย” เฟื่องวลีกรี๊ด
หม่อมภาณีเพ่งมอง เห็นเป็นสร้อยสวยบาดใจ “งู...อยู่ตรงไหนคะ”
เฟื่องฟ้าชี้ที่คออุรคา “ก็ที่คอเจ้าอุรคาไงคะ?” ทำท่าขยะแขยง “มันชูคอมองฉันด้วย อี๋ น่ากลัวๆ”
ระหว่างนั้นผู้คนที่เดินผ่านหน้าร้านมองเข้ามาอย่างสนใจ สีหน้างุนงง เจ้าประกายคำมองสองแม่ลูก รู้สึกอับอายและโกรธจนทนไม่ไหวแล้ว
“โอ๊ย...ออกไปได้แล้ว ออกไปได้แล้ว ร้านฉันไม่ต้อนรับคุณสองคน ออกไป” ผลักสองคนออกไป
สองคนฉุดมือกันวิ่งออกไป หม่อมภาณีมองเจ้าอุรคาอย่างหวาดหวั่น ยินเสียงเจ้าประกายคำเอื้อนเอ่ย
“ไม่มีปัญญาที่จะเป็นเจ้าของ แล้วก็มาพล่ามเพ้อเจ้อ มณีสวาท สวยเลอค่าขนาดนี้ มองเห็นเป็นงูได้ยังไง? ทุเรศจริง”
เจ้าอุรคายิ้มเยือกเย็น ส่วนด้านหลัง ภุชคินทร์ยืนอยู่มองมายังเจ้าอุรคา
เจ้าอุรคาออกจากร้านเพชรเดินมาตามทาง เห็นสวนเขียวขจี โดยที่ด้านหลังภุชคินทร์สะกดรอยตาม
เจ้าอุรคาอมยิ้ม ทำเป็นไม่รู้ตัว เดินไปยังลานจอดรถด้านหน้า แต่แล้วเสียงมือถือของภุชคินทร์ดังขึ้น ภุชคินทร์สะดุ้งเฮือก รีบหลบเข้ามุมข้างทาง ตะครุบโทรศัพท์รีบรับให้เงียบเสียง
ภุชคินทร์เบาเสียงพูด “ขอโทษครับแม่...ผมติดธุระด่วน ไปรับแม่ยังไม่ได้นะครับ”
ภุชคินทร์รีบวางสาย กวาดตามอง เจ้าอุรคาหายไปแล้ว
“เจ้าหายไปอีกแล้ว”
ภุชคินทร์หน้าซีดเผือด กวาดสายตามองไปรอบๆ หน้าตาเลิ่กลั่ก มองไปทุกมุม แต่มุมไหนๆ ก็ไม่มีเจ้าอุรคา
จู่ๆ เจ้าอุรคาเดินมาทางด้านหลังภุชคินทร์ พร้อมรอยยิ้มสดใส ถามขึ้นน้ำเสียงยั่วเย้า
“ตามหาดิฉันอยู่หรือคะคุณชาย?”
ภุชคินทร์หน้าตื่น “เจ้ารู้”
“ก็คุณชายพูดออกดัง” ทำเสียงยั่วล้อ “เจ้าหายไปอีกแล้ว” อุรคาเทวีมองเข้าไปในดวงตาชายผู้เป็นที่รัก ถาม “คุณชาย ตามหาดิฉันบ่อยหรือคะ? ถึงได้พูดว่า...เจ้าหายไปอีกแล้ว”
“เปล่า”
ภุชคินทร์จดสายตามองร่างเจ้าอุรคา ราวกับกลัวว่าจะหายปอีก เจ้าอุรคาหัวเราะขำ
“คุณชายจ้องมองดิฉัน ราวกับกลัวว่าดิฉันจะหายตัวไปอย่างนั้นล่ะ....ดิฉันไม่ได้หายไป
ไหนหรอกค่ะ เมื่อครู่ ยินเสียงโทรศัพท์ หันไปมองก็เห็นเป็นคุณชาย...เลยเดินกลับมา ล้อเล่น ก็เท่านั้น
“เจ้าพูดเหมือนรู้ความคิดผมทุกอย่าง”
เจ้าอุรคาล้อ “เหมือนมีหูทิพย์ ตาทิพย์”
สีหน้าภุชคินทร์ตะลึง เหมือนในฝันเด๊ะ เจ้าอุรคาหัวเราะนิดๆ พูดต่อเหมือนดักคอ
“แต่ฉันไม่มีกายทิพย์หรอกนะคะ มีแต่กายหยาบ”
“กายหยาบของเจ้า เป็นยังไง”
“เป็นอย่างที่คุณชายรู้จัก แต่คุณชายพยายามที่จะลืมมันไป...ไปรับหม่อมภาณีเถอะค่ะ อย่าเห็นว่าเรื่องของดิฉันเป็นธุระด่วนเลย...เพราะ เรื่องบางเรื่อง มันต้องใช้เวลา”
เจ้าอุรคาเดินหนีไปภุชคินทร์มองตามตาค้าง เจ้าอุรคาพูดทิ้งปริศนาไว้...ตลอด และเหมือนเดิม
ค่ำนั้น หม่อมภาณีแวะมาหาน้องชายที่บ้าน หน้าตาไม่ค่อยดี ภิงคารว่า
“ทำไมมาคนเดียวล่ะครับ ไม่ให้นายชายมาส่ง”
หม่อมภาณีหน้าเครียด “พี่เห็นตาชายเครียดๆ เลยไม่อยากกวน”
“พี่ภาณีก็หน้าเครียดเหมือนกัน ที่มาหาผม เพราะเรื่องเจ้าอุรคาใช่มั้ยครับ”
หม่อมภาณีมองฉงน “เธอรู้”
ภิงคารหัวเราะนิดๆ ทำท่าตกใจ ยกมือห้ามพี่สาว
“อย่าพี่ อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้น ผมไม่ได้เป็นผู้วิเศษ รู้ทางในอะไรหรอก แต่ฟ้ากับยัยเฟื่องเล่าให้ผมฟังแล้ว เรื่องที่ไปเจอเจ้าอุรคา แล้วเห็นสร้อยที่เจ้าอุรคาสวมเป็นงู”
“ฮื่อ...สองคนนั้นเค้าบอกว่า เห็นเป็นงูจริงๆ จังๆ เลยนะภิงคาร”
“แล้วพี่เห็นมั้ยล่ะ”
“พี่ไม่เห็นน่ะสิ...”
“หรือว่าเค้าจะตาฝาด” ภิงคารว่า
“พี่ก็ไม่แน่ใจ แต่ท่าทางเค้าไม่ได้เสแสร้ง ท่าทางเค้ากลัวกันจริงๆ กลัวมาก...กลัวจน...”
“อะไรครับ”
“พี่รู้สึกกลัวเจ้าอุรคาตามไปด้วย” หม่อมสารภาพ
ภิงคารมองหน้าหม่อมภาณีงุนงง “กลัวเจ้าอุรคา”
“ใช่...พี่รู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่คน เจ้าเหมือนเป็นคนที่อยู่เหนือมิติ ที่เราสัมผัสไม่ได้”
“อะไรที่ทำให้พี่คิดอย่างนั้น”
“พี่ก็อธิบายไม่ถูก แต่อย่างที่เราเคยคุยกันไง วันที่มีการแสดงของเจ้า เราทุกคนเหมือนถูกควบคุม รู้ แต่ทำอะไรไม่ได้ แล้วไหนจะเรื่องพลอยครุฑธิการ เรื่องรอยเท้าพญานาคที่ปรากฏอยู่รอบๆ วัง แล้วชื่อภุชคินทร์ของนายชายอีก?”
“ผมไม่เห็นจะมีอะไรเกี่ยวกับเจ้าเลย?”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว มันเกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันเลย ตั้งแต่ที่เจ้าเข้ามาในชีวิตพี่ จนพี่รู้สึกกลัวว่าคนที่จะมาเอาตาชายไป...จะเป็นเจ้าอุรคา”
สีหน้าของหม่อมภาณีมีแต่ความหวาดหวั่นวิตกกังวล
ขณะเดียวกันกลางดงดอกปาริชาติสีแดงฉานดูสวยงามและน่ากลัวไปพร้อมๆ กัน เจ้าอุรคายืนมองก่อนเอามือแตะดอกปาริชาติพร้อมรอยยิ้มบางๆ มีความหวังปนเศร้า
เจ้าอุรคามองดอกปาริชาตินิ่ง แลเห็นดอกปาริชาติสีแดงบานแดงฉานอยู่รอบๆ ตัวเจ้าอุรคา
ช่างน่าอัศจรรย์นัก นาถสุดากำลังเอื้อมมือไปแตะดอกปาริชาติ ขณะหันมาถามคุณยายอติศรี
“ดอกอะไรคะคุณยายสวยจัง?”
“ดอกปาริชาติลูก” คุณยายบอก
“อ้อ! นี่หรือคะ ที่ตามตำนานเค้าบอกว่าถ้าเราได้กลิ่นแล้วจะระลึกชาติได้”
ยายอติศรียิ้มอ่อนโยน “ใช่ลูก”
นาถสุดารีบก้มลงไปดมทันที อติศรีหัวเราะ
“อยากระลึกชาติได้เหรอลูก”
นาถสุดายิ้มเขินๆ “ก็...ถ้าระลึกชาติได้ก็น่าสนุกดีนะคะ จะได้รู้ว่าชาติก่อนเราเป็นอะไร” หญิงสาวหัวเราะขำ “และนาถทำอะไร ถึงได้มาเจอกับคุณศิษฐ์”
ยายอติศรีหัวเราะขำไปด้วย “เป็นวรรณคดีทางพุทธศาสนาน่ะลูก เค้าว่าต้นปาริชาต คือ ต้นทองหลาง ที่อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีดอกสีแดงฉาน และทุกครั้งที่บานก็จะส่งกลิ่นหอม มีแสงสว่างไปทั่ว ใครที่สูดดมเข้าไปจะสามารถระลึกชาติได้ แต่ร้อยปีจึงจะบานสักครั้ง”
นาถสุดายิ้มขำๆ “โห! ร้อยปีถึงจะบานซักครั้ง” ผละออกจากดอกปาริชาติ “งั้น...คงเป็นคนละต้นกับที่คุณยายปลูกล่ะสิคะ”
หญิงชราหัวเราะ “ยายก็คิดว่าอย่างนั้นนะ เพราะยายปลูกมาเป็นสิบๆ ปี ดมดอกปาริชาติก็เป็น
สิบๆต้น แต่ก็ไม่เคยระลึกชาติได้ซักครั้งเลย”
ไพศิษฐ์เดินเข้ามาในสวน ยายอติศรียิ้มเอ็นดูขณะบอกเย้า
“จำได้แค่ว่าชาตินี้มีหลานชายอยู่คนหนึ่ง ชื่อไพศิษฐ์”
ไพศิษฐ์เดินมากอดอติศรี หอม เป็นภาพอบอุ่นมีความสุข ยายอติศรีหันไปถามนาถสุดา
“เป็นหลานที่สุดแสนจะน่ารัก ว่ามั้ยหนูนาถ”
นาถสุดาอมยิ้ม พูดเย้า “คงงั้นมั้งคะ ถ้าไม่ขี้หงุดหงิดจนเกินไป”
ไพศิษฐ์ผละออกจากยาย หน้าเครียดอีก “ก็งานผมมันเครียด ก็ต้องมีเรื่องให้หงุดหงิดกวนใจอยู่ตลอด”
นาถสุดายั่วยิ้ม “เห็นมั้ยคะคุณยาย..หงุดหงิดอีกแล้ว นี่ขนาดนาถทำ ขนมจีนน้ำเงี้ยวของโปรดมาให้นะคะเนี่ย!”
อติศรียิ้มขำ “งั้นยายไปอุ่นน้ำเงี้ยวให้ดีกว่า...เผื่อคนหงุดหงิดจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง”
คุณยายอติศรีเดินออกไป ไพศิษฐ์ เดินเข้าไปในสวน นาถสุดาตามไปกระเซ้าไพศิษฐ์
“ไหน? วันนี้หงุดหงิดอะไรบอกนาถมาซิคะ”
“ก็ไหนจะเรื่องคดีที่สะสางไม่เคยเสร็จซักที แล้วไหนจะเรื่อง” มองหน้าแฟนสาว “เจ้าอุรคาแสน
สวย แสนดีของคุณอีก”
นาถสุดาหน้าง้ำพูดแดกดัน “แขวะเจ้าอุรคาอีกจนได้”
ไพศิษฐ์งง “นาถเป็นอะไรไป ทำไมพูดกับผมแบบนี้?”
นาถสุดางง “ทำไมคะ”
“ก็พวกเราเห็นกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเจ้าอุรคาน่ะแปลกๆ เหมือนไม่ใช่คน และทุกวันนี้พวกเราก็รอการพิสูจน์อยู่” ไพศิษฐ์เสียงเข้ม “และนาถเองนั่นแหละที่เป็นคนกุลีกุจอที่อยากจะรู้เรื่องนี้ แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมนาถถึงทำท่าเหมือนไม่เคยรู้เรื่องพวกนั้นมาก่อน”
นาถสุดาหน้าเจื่อน ลืมไปหมดแล้วจริงๆ ได้แต่ตอบอึกๆ อักๆ
“ก็...นาถ”
“อะไรนาถ? เป็นอะไร?”
ดวงหน้านาถสุดา เหมือนจะอยู่ในภวังค์ เสียงของเจ้าอุรคา ดังขึ้นผะแผ่วเหมือนกระซิบอยู่ข้างหู
“หน้าที่ของเจ้า คือปกป้องข้า ช่วยข้า...เจ้าต้องปกป้องข้า..นาถสุดา”
ไพศิษฐ์ถามแรงขึ้น “ตอบผมมาสินาถ”
นาถสุดาปลดมือออก “ปล่อยค่ะ” และเอามือออกจนได้ “ก็คุณเป็นคนบอกนาถเองไม่ใช่เหรอคะ? ทุกอย่างต้องพิสูจน์ได้ นี่เรายังพิสูจน์ไม่ได้ซักอย่าง ว่าเจ้าอุรคาไม่ใช่คนธรรมดา แล้วคุณจะให้นาถเชื่อได้ยังไง?”
ไพศิษฐ์หัวเราะเสียงขื่นขม “ไม่ใช่ไม่เชื่อธรรมดาแล้วล่ะ ผมว่า คุณต้องโดนมนต์สะกดของเจ้าอุรคาแน่ๆ”
“ถ้าหากเจ้ามีมนต์ขนาดนั้น ทำไมเจ้าไม่ทำให้คุณศิษฐ์เป็นพวกของเธอไปเลยล่ะค่ะ เราจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันด้วยเรื่องแบบนี้ทุกที”
“มันคงมีเงื่อนไขบางอย่าง ที่ทำให้เจ้าไม่สามารถใช้มนตราได้กับทุกๆ คน” ไพศิษฐ์ย้อน
นาถสุดามองหน้าแฟนหนุ่ม “คุณศิษฐ์มีอคติกับเจ้า เราเลิกพูดเรื่องเจ้าอุรคาเถอะค่ะ เค้าไม่มีอะไรเกี่ยวกับเรา เอาเป็นว่า เค้าอยู่ส่วนเค้า เราอยู่ส่วนเรา พอ”
นาถสุดาเดินกลับเข้าไปในบ้านท่าทางเคืองๆ ไพศิษฐ์มองตาม งงหนัก ตะโกนไล่หลังตาม
“โธ่เว้ยยย! ถ้าต่างคนต่างอยู่เหมือนอย่างที่นาถว่า นาถไม่เป็นแบบนี้หรอก” ผู้กองหนุ่มฮึดฮัด “ต้องเป็นฝีมือเจ้าอุรคาอีกแน่ จะต้องมีอีกซักกี่คนที่ต้องตกอยู่ในอำนาจของเจ้า...เจ้าต้องการอะไร?”
ไพศิษฐ์ได้แต่พึมพำไม่เข้าใจ
เวลาเดียวกันต้นพญานาคราชในกระถางริมสรในสวนหน้าบ้าน ชูช่อไปตามแรงลม เหมือนกับงูเลื้อยร่าย ขณะที่พันเอกนรินทร์ย้อนถามสุบรรณที่แวะมาหาอย่างร้อนรนใจ
“เธอคิดว่า เจ้าอุรคา เป็นเนื้อคู่ของเธอตั้งแต่อดีตชาติ”
สุบรรณมีน้ำเสียงไม่แน่ใจ “ผมคิดอย่างนั้น เพราะไม่งั้น ผมจะรักและหลงใหลผู้หญิงคนหนึ่งอย่าง
งมงาย ไม่มีเหตุผลได้ยังไง?”
“ไม่ใช่แต่เธอคนเดียวหรอกสุบรรณที่รู้สึกอย่างนั้น ผู้ชายทุกคนก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน เพราะเจ้าอุรคาเป็นผู้หญิงที่งาม สง่า” พันเอกนรินทร์มองสุบรรณ พูดยิ้มๆ “ผู้ชายที่คิดว่า ตัวเองยิ่งใหญ่มีบารมี และเหนือกว่าคนอื่น ต่างก็คิดว่า ตัวเองต้องได้เป็นเจ้าของ เจ้าอุรคา กันทั้งนั้น”
“คุณอากำลังจะบอกว่าผมกับเจ้าอุรคาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน?”
“ก็ไม่ใช่อย่างนั้น” ผู้พันพูดจริงจัง “คนที่รู้จักกัน และได้เข้ามาผูกพันกัน ไม่ว่าในฐานะไหน จริงๆก็
เป็นผลที่เกี่ยวเนื่องกันมาตั้งแต่อดีตชาติ อาตอบเธอไม่ได้หรอก ว่าเธอกับเจ้าอุรคาเป็นเนื้อคู่ หรือ เป็นศัตรู เพราะจิตของคนที่เกลียดชัง หรือคนที่รักกัน มันมีแรงในการดึงดูดเข้าหากันเสมอ”
สุบรรณนิ่งคิด อำนาจที่อยู่ด้านหลังก็มองอย่างสนใจอยากรู้ สุบรรณถามนรินทร์
“ตกลงอาไม่บอกผมจริงๆ”
“อาบอกเธอแล้ว”
สีหน้าของสุบรรณไม่พอใจ ที่เห็นนรินทร์พูดกำกวมเหมือนเดิม
สุบรรณเดินออกมาที่หน้าบ้าน โดยมีบอกอำนาจเดินตามมาด้านหลัง สุบรรณบอกอำนาจ ขัดใจ
“ฉันชักไม่มั่นใจแล้ว ที่ว่าอานรินทร์ มีญาณรู้อดีตชาติได้ มันจริงหรือเปล่า พูดอะไรก็กำกวมไปหมด”
“ผมว่าผู้การนรินทร์รู้จริงๆ นั่นแหละครับ แต่อาจจะไม่อยากบอกตรงๆ ก็ได้”
“ทำไม?”
“ก็ถ้ารู้ บางทีนายอาจโกรธชิงชัง จนควบคุมตัวเองไม่ได้ ซึ่งจะเป็นผลเสียกับนายเพราะถ้าเป็นเรื่องดี คงไม่มีเหตุผลไหน ที่ผู้การต้องปิดบัง”
สุบรรณยิ่งโมโห “ก็แล้วมันเรื่องอะไรล่ะวะ?” โมโหหนัก เตะข้าวของแถวนั้นกระจายตามนิสัยคนเอาแต่ใจ
“ก็มันอาจจะไม่ใช่เรื่องเนื้อคู่อย่างที่นายคิด แต่อาจเป็นศัตรูคู่แค้นกันอะไรอย่างนั้น”
สุบรรณหลุด ตะเบ็งเสียงโกรธมาก “ก็ถ้าเป็นศัตรู กูจะไปรักเค้ามากขนาดนั้นได้ยังไงวะ”
อำนาจเห็นท่าทีนายทั้งเกรง และกลัว “ผมขอโทษครับ ปัญญาอย่างผมอาจจะช่วยนายไม่ได้ แต่ผมพอจะหาคน ที่เค้าสามารถบอกนายได้”
“ใคร?”
“พ่อหมอปัญญา”
สุบรรณมองอำนาจ สนใจ
หลายวันผ่านไป
ที่ป่าแถบชายแดนแห่งหนึ่ง สภาพรกทึบ อึมครึมดูน่ากลัว สมกับอยู่บนภูเขาสูง ที่มีหนทาง
ขรุขระ ทอดสายตามองไปเห็นกระท่อมเก่าๆ หลังหนึ่งซ่อนอยู่ภายในป่าทึบนั้น สุบรรณเดินมากับอำนาจ ท่าทางสุบรรณนั้นหงุดหงิดมาก เพราะทางเดินไม่สะดวก สุบรรณถามอำนาจเสียงแข็ง
“ยังกับเดินเข้าป่าช้า ทำไมพ่อหมอปัญญาอะไรของแกต้องมาอยู่อย่างนี้ด้วยวะ”
“พ่อหมอต้องมีผู้ช่วยครับ”
“ผู้ช่วย”
“ครับ ผู้ช่วยที่รู้ในสิ่งที่คนไม่รู้”
สุบรรณสีหน้าหงุดหงิด “พูดอะไรของแกวะ จะบอกอะไรก็บอกมา”
“หมอปัญญาเลี้ยงผีครับ”
“ผี? แกพาฉันมาลำบากขนาดนี้เพื่อมาหาผี” สุบรรณโกรธมาก “ไร้สาระ”
สุบรรณหันหลังกลับทันที อำนาจเรียกอย่างนอบน้อม
“เดี๋ยวก่อนครับนาย”
สุบรรณหยุด ท่าทางยังโกรธอยู่ อำนาจทำหน้าหนักใจก่อนบอก
“เมื่อก่อนผมก็ไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้ แต่หลังจากที่สุรินทร์มันเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับเจ้าอุรคา และสิ่งที่ผมได้เจอที่เฮือนภูจำปา ผมว่า มันเป็นไปได้ครับ...และผมก็อยากให้นายลองพิสูจน์ดู”
สุบรรณนิ่งไปนิดแบบคิดตาม ทันใดนั้นเสียงของปัญญาก็ดังขึ้นมา ฟังดูทรงอำนาจกึ่งล้อเลียน
“ให้ผมได้มีโอกาสรับใช้ท่านก่อนสิครับ ท่านสุบรรณ”
สุบรรณกับอำนาจหันขวับไปมอง เห็นปัญญาในชุดขาว แต่ออกเหลืองๆ ดำๆ สกปรกมอมแมม ยืนยิ้มอยู่ รอยยิ้มของปัญญามีแววขำปนเยาะอยู่ไม่น้อย
ด้านในกระท่อม เห็นมีเครื่องรางของขลังวางทั่วไป ปัญญาเลื่อนแก้วน้ำสกปรกให้สุบรรณ สุบรรณผลักออกด้วยท่าทางรังเกียจ บอกด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“ถ้ารู้ทุกอย่าง ก็บอกฉันมาเลยแล้วกัน ว่าชาติที่แล้ว ฉันกับเจ้าอุรคาเกี่ยวข้องอะไรกัน”
“ไม่ต้องมาใช้อำนาจกับผม เพราะผมอยู่ที่นี่ไม่ต้องอาศัยบารมีของท่านคุ้มหัว”
“งั้นบอกมาเลย เรื่องที่ฉันอยากรู้ เป็นยังไง”
ปัญญาหัวเราะเบาๆ “ก็...อย่าว่าแต่เรื่องของคุณกับเจ้าอุรคาเลย” ทอดเสียงเหมือนถือไพ่เหนือกว่า “แม้กระทั่งเรื่องของคุณชายภุชคินทร์กับท่าน ผมก็รู้...”
สีหน้าสุบรรณตกใจ คาดไม่ถึง ปัญญาหรี่ตามองเยาะต่อ
“ผมรู้มากกว่าที่ท่านอยากรู้” ปัญญามองแก้วน้ำที่ถูกสุบรรณเลื่อนออกไป “แต่ถ้ารังเกียจ ก็กลับไปเลย”
“ฉันไม่ได้รังเกียจ”
สุบรรณเปลี่ยนใจ คว้าแก้วน้ำจะกิน แต่แก้วนั้นกลับเลื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว สุบรรณกับอำนาจตะลึง รู้ว่าปัญญาไม่ธรรมดา ส่วนปัญญาหัวเราะ
“ผมไม่ได้เล่นกลหรอก แต่เป็นลูกหลานของผม มันแค่หงุดหงิดไม่อยากรับแขกเท่านั้นเอง เพราะแขกมันไม่ให้เกียรติผม”
สุบรรณกับอำนาจหน้าตาเลิ่กลั่ก เริ่มกลัว แก้วน้ำเคลื่อนไหวไปมา ราวกับมีคนจับเคลื่อน
ปัญญาหันไปเหมือนพูดกับใครสักคน “ไม่ต้องไปแกล้งเค้าแล้วลูกจากนี้ไป เค้าคงไม่กล้าลบ
หลู่พ่ออีก” หันมามองสุบรรณ จับแก้วน้ำ กระแทกลงตรงหน้าบอกเสียงกร้าว “เอ้า! ดื่ม”
สุบรรณกับอำนาจรีบคว้าแก้วน้ำไปดื่ม ทันทีที่น้ำล่วงลงคอ ภูตผี มากมาย ก็โผล่ขึ้นมาเต็มห้อง
ซึ่งแท้จริง ภูตผีเหล่านั้นอยู่ในกระท่อมกันอยู่แล้ว แต่พอสองคนกินน้ำเข้าไปจึงได้มองเห็น สุบรรณกับอำนาจผงะ ปัญญาหัวเราะร่า เสียงดังยิ่งกว่าเดิม
“นี่คือสิ่งเล็กน้อย จากการที่ผมให้คุณดื่มน้ำ แต่คุณจะเห็นอดีตชาติของคุณมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ของคุณ หรือพูดง่ายๆว่า คุณกล้าทุ่มกับมันแค่ไหน”
อำนาจหงุดหงิดที่หมอผีพูดเหมือนลบหลู่สุบรรณ รีบปกป้องนาย “คนอย่างท่านสุบรรณกล้าทุ่มอยู่แล้ว”
ปัญญาหัวเราะเยาะเหมือนรู้ “แน่เร้อ...คนร่ำคนรวยบางคน มันก็ตระหนี่ถี่เหนียว โลภ ไม่รู้จัก
พอ มีแล้วก็ยังไปฉ้อฉล ใช้กลโกงสารพัด แม้แต่กระทั่งการยักยอก เอาของคนอื่นมาเป็นของตัว” มองหน้าสุบรรณแล้วหัวเราะอีก เน้นคำตอนท้าย “อย่าง...หน้าไม่อาย”
สุบรรณตัดบท อย่างรำคาญ“ใครจะเป็นยังไง ฉันไม่สน ฉันสนแต่เรื่องของฉัน จะเอาเท่าไหร่ว่ามา”
ปัญญาทำท่าจะอ้าปากเรียก ถูกสุบรรณขัดขึ้นอย่างคนที่เขี้ยวไม่แพ้กัน
“แต่... ทุกอย่างต้องพิสูจน์ได้ เพราะถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ฉันก็ไม่โง่พอจะควักเงินให้ใครง่ายๆเหมือนกัน!”
สุบรรณกับปัญญามองจ้องหน้ากัน สู้สายตาวัดใจ แบบไม่มีใครยอมใคร
“ได้..ผมจะพิสูจน์ให้คุณดู แล้วถ้าผมพิสูจน์ได้”
“ห้าล้าน เอาไปเลย” สุบรรณบอกโดยไม่ต้องคิด
สุบรรณบอกปัญญาด้วยท่าทางไม่ยี่หระกับเงินห้าล้าน อำนาจจ้องหน้าปัญญา
“เร็วหน่อยนะ นายฉันไม่ชอบอะไรชักช้า ไม่งั้นเงินห้าล้าน อาจจะหลุดมือพ่อหมอไปก็ได้”
อำนาจตีฝีปากยียวน เป็นเชิงขู่
สุบรรณกับอำนาจเดินออกมาจากกระท่อมไป โดยมีปัญญามองตามอย่างไม่พอใจ ทันทีที่
สองคนเดินออกไป ปัญญาก็เอ่ยขึ้น
“มันไปแล้ว”
สุรินทร์ค่อยๆปรากฏตัวขึ้นมายืนข้างๆ ปัญญาด้วยท่าทางทรุดโทรม บาดเจ็บปางตา สายตามอง
ไปยังสุบรรณกับอำนาจ ที่กำลังเดินเลาะป่าตามแนวเขาลงไปอย่างโกรธเกลียด อาฆาตแค้นสุดขีด
ในกระท่อมในจังหวัดแถบชายแดนแห่งหนึ่ง ท่ามกลางแสงเทียนวับแวม สุรินทร์บอกให้ปัญญาฟังด้วยท่าทางคั่งแค้น
“นี่แหละที่ผมเล่าให้อาจารย์ฟัง ไม่คิดจริงๆ ว่าไอ้สุบรรณมันจะมาหาอาจารย์เร็วขนาดนี้”
“อยู่ดีๆ ฉันก็จะได้เงินห้าล้านมาใช้ แกนี่...สมเป็นลูกศิษย์ฉันจริงๆ สุรินทร์”
สุรินทร์เจ็บแค้น เหมือนคาใจไม่หาย “ผมไม่เข้าใจ ปกติ ไอ้สุบรรณมันก็ไม่ได้เป็นคนเก่งกล้าสามารถมีวิชาอะไร แต่ในวันนั้นมันเอาชนะผมได้”
“ก็ตอนนั้นไอ้สุบรรณ มันมีวิญญาณของพญาครุฑแฝงอยู่น่ะสิ”
“งั้นนังอุรคา มันก็เป็นงูผีจริงๆ” สุรินทร์ถาม
“ไม่ใช่งูผี แต่นางคือ นาคเทวี”
สุรินทร์อึ้งทวนคำ “นาคเทวี”
ปัญญาเล่าต่อ “ชีวิตเขาเกี่ยวเนื่องกัน เพราะเขาเป็นนาคและครุฑที่เคยจองเวรจองกรรมกันมาแต่อดีตชาติ”
สุรินทร์ตะลึง คาดไม่ถึง “เกี่ยวพันกันมาแต่อดีตชาติ”
ปัญญาบอกเสียงเข้ม “แต่ชาตินี้ตอนนี้ ฉันรู้ว่าไอ้สุบรรณเป็นศัตรูของแก”
“ใช่! มันเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของผม เฮอะ! ต่อหน้าทำเป็นคนดี แต่เบื้องหลัง มันชั่วช้าสามานย์ ไอ้สารเลว!” สุรินทร์ออกอาการเจ็บปวดจากบาดแผลอยู่
ปัญญาเอามือแตะไหล่ “ศิษย์รัก ฉันไม่ปล่อยให้แกเจ็บฝ่ายเดียวหรอก ฉันจะไปเอาคืน พร้อม
ทั้ง เครื่องเพชรที่แกโจรกรรมมา แต่ถูกไอ้สุบรรณมันแย่งเอาไป คนโง่ๆแบบนี้จัดการไม่ยากหรอก”
“แล้วเจ้าอุรคา ที่เป็นนาคเทวี จัดการยากมั้ยอาจารย์”
สุรินทร์มองจ้องปัญญา อยากรู้คำตอบ สายตาเคียดแค้นชิงชัง เจ้าอุรคาไม่แพ้สุบรรณ
ปัญญาหัวเราะหึๆ “ถึงจะเป็นนาคเทวี แต่ความจริงก็เป็นได้แค่นาคตัวหนึ่ง มีฤทธิ์เดชแค่ไหน ก็
สู้คนที่มีอาคมของฉันไม่ได้หรอก”
ในสายตาปัญญามีแต่ความดูถูกดูแคลนเจ้าอุรคา คิดว่าตัวเองเจ๋งกว่า และ เอาอยู่
เวลาเดียวกันท้องน้ำกระเพื่อมอย่างรุนแรง แม้ระหว่างนั้นไม่มีลม แลเห็นพญานาคตัวขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาจากใต้น้ำ ผืนน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง ดูน่ากลัว แต่เห็นรัศมีสีรุ้งเปล่งประกายขึ้นมาจากท้องน้ำนั้น ราวกับแสดงความยิ่งใหญ่ ข่มขวัญศัตรู ก่อนที่พญานาคตัวใหญ่จะจมหายไปกับสายน้ำ เป็นปริศนาอันมืดดำต่อไป
ที่โรงพยาบาลทางประสาทแห่งหนึ่ง ที่ด้านในห้องผู้ป่วย อากรในชุดคนไข้ กำลังคุ้มคลั่ง โดยมีแพทย์และเจ้าหน้าที่ ช่วยกันจับอากร มัดเอาไว้ ให้อยู่นิ่ง เพื่อจะทำการรักษา อากรร้องลั่นอย่างหวาดกลัว
“กลัวๆๆๆ ฉันกลัวผีงูๆๆ อย่าจับฉันไว้ ฉันจะหนีๆๆๆ ฉันจะไปๆๆๆ” อากรสติแตกจะไปท่าเดียว
เจ้าหน้าที่ช่วยกันจับไว้พัลวัน ส่วนที่ด้านนอกห้องภุชคินทร์และไพศิษฐ์ ยืนมองอยู่ สองคนสลดใจกับสิ่งที่เห็น
สองคนอยู่ตรงทางเดินในโรงพยาบาล ไพศิษฐ์บอกกับภุชคินทร์
“ฉันเรียกตัวนายสมศักดิ์มาคุย สมศักดิ์บอกว่าก่อนหน้านั้นมันกับอากรไปที่บ้านของเจ้าอุรคา แล้วก็เห็น” มองหน้าภุชคินทร์ก่อนพูด ท่าทีเกรงใจ “เจ้าอุรคา กลายเป็นงู”
สีหน้าภุชคินทร์เคร่งเครียดหงุดหงิดใจ
“นายกำลังจะสรุป ว่าเจ้าอุรคาเป็นผี”
“ฉันไม่ได้สรุป แค่เล่าให้ฟังว่าผู้ต้องหาเห็นอะไรมาบ้างถึงสติแตก เป็นบ้า” มองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจแล้วทำไมนายต้องหงุดหงิด ไม่พอใจขนาดนี้ ทั้งๆ ที่นายเองก็สงสัยไม่ใช่เหรอ จริงๆ แล้วเจ้าอุรคาเป็นใคร”
ภุชคินทร์อ้ำอึ้งไปนิด “ก็...มันยังพิสูจน์ไม่ได้ การไปพูดอย่างนี้ คนที่ถูกพูดถึง เค้าเสีย”
“แต่ฉันรู้สึกว่า นายกำลังปกป้องเจ้าอุรคา และรับไม่ได้ ถ้าใครจะพูดถึงเจ้า ในทางที่เสียหาย” ไพศิษฐ์พูดเสียงจริงจัง “ชาย... ฉันเป็นตำรวจ โดยหน้าที่ฉันไม่ปรักปรำใครสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่แล้ว ที่เล่าให้ฟังเพราะเหตุมันเกิดขึ้นโดยคนที่ทำร้ายนาย ถึงนายจะปฏิเสธยังไงแต่ใจของนายก็เชื่อไปแล้วเกินครึ่ง!”
สีหน้าภุชคินทร์ เจื่อนไป เหมือนเด็กที่ถูกจับผิดได้ พูดเสียงอ่อนลง
“ใช่...ตอนนี้ ใจฉันก็เชื่อไปแล้วเกินครึ่ง ว่าเจ้าอุรคาไม่ได้เป็นคนธรรมดา” เข้ม “และ ฉันต้องรู้ให้ได้ ว่าเจ้าอุรคาเกี่ยวข้องกับทุกเรื่อง โดยเฉพาะเกี่ยวพันกับฉันยังไง”
แววตาของภุชคินทร์กร้าวแข็งจริงจัง เต็มไปด้วยความอยากรู้ และมุงมั่นต้องรู้ให้ได้
มณีสวาท ตอนที่ 9 (ต่อ)
พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ทั่วแผ่นฟ้าเริ่มสลัว รถของไพศิษฐ์ค่อยๆ ชะลอ แล้ววิ่งมาจอดที่ป่ารกครึ้มบริเวณไม่ห่างกับเฮือนภูจำปามากนัก
ภุชคินทร์กับไพศิษฐ์ก้าวเดินลงมา สายตาของสองหนุ่มกวาดมองไปยังเฮือนภูจำปาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า แววตามาดมั่น
ส่วนภายในเฮือนภูจำปา แลเห็นเจ้าอุรคาเดินเข้ามาในสวน แล้วคลี่มือออก ในมือมีต้นปาริชาติเล็กๆ ต้นหนึ่งอยู่ เจ้าอุรคาทรุดตัววางต้นปาริชาติลง แล้วต้นปาริชาติต้นนั้นก็ค่อยๆ ฝังรากลงดินเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว มีดอกปาริชาติดอกใหญ่สีแดงฉานบานสะพรั่ง เจ้าอุรคามองปาริชาติดอกนั้น ดวงตาเศร้าสร้อย หดหู่ ขณะพึมพำ
“หลายร้อยปีแล้ว ที่ข้ารอคอยให้ท่านได้กลิ่นปาริชาติ เมื่อไหร่...วันนั้นจะมาถึงซักที ภุชคินทร์”
ภุชคินทร์และไพศิษฐ์ค่อยๆ ย่องมาตามทางบริเวณด้านนอกเฮือน คอยเฝ้ามอง
เย็นนั้นขณะที่สุบรรณเดินลงมาจากบ้าน หน้าตาเคร่งเครียดครุ่นคิด อำนาจเดินเข้ามาหาบอกร้อนรนเสียงเบาๆ
“พ่อหมอปัญญานัดให้เราไปหาที่เฮือนภูจำปาครับนาย แล้วนายจะรู้ความจริงทุกอย่างที่นายอยากรู้”
ดวงตาของสุบรรณไหวระริกขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
ท่ามกลางความมืดสลัว ของเส้นทางป่ารกชัฎ ปัญญากับสุรินทร์ค่อยย่องเข้ามาตรงบริเวณป่าละแวกเฮือนภูจำปา
ภุชคินทร์กับไพศิษฐ์ที่แอบซุ่มมองอยู่ โดยทีแรกตั้งใจเฝ้ามอง เพื่อคอยจับผิดเจ้าอุรคา แต่เห็นปัญญากับสุรินทร์มาทางเฮือนภูจำปา ภุชคินทร์กระซิบถามไพศิษฐ์
“ใครน่ะ?”
“ไม่รู้ว่ะ”
“แล้วมากันทำไม ท่าทางไม่น่าไว้วางใจ”
สองคนมองหน้ากันอย่างสงสัย ก่อนที่ทั้งคู่จะเพ่งมองตามร่างของสุรินทร์และปัญญาที่มุ่งไปทาง
เฮือนภูจำปา ภุชคินทร์บอกอย่างร้อนใจ
“ตามไปเร็วศิษฐ์”
สองคนออกจากที่ซ่อนเดินตามปัญญาและสุรินทร์ไปทันทีถึงไพศิษฐ์จะเห็นสุรินทร์จากกล้องวงจรปิดที่สุรินทร์ยิงสัญญาณมาที่คอมพ์ในบ้านสุบรรณแต่ก็ไม่เคยเห็นหน้าชัดๆ เรียกว่า สองหนุ่ม ก็ยังไม่มีใครเคยเห็นหน้าสุรินทร์ชัดๆ ซักคน
ที่ป่าบริเวณละแวกเฮือนภูจำปา ภุชคินทร์กับไพศิษฐ์เดินตามปัญญากับสุรินทร์ใกล้เข้ามาบริเวณรั้วบ้านมากกว่าจุดเดิม เห็นสองคนเดินไปยังจุดๆหนึ่ง ที่นั่นมีร่างของอำนาจยืนอยู่ แต่มองไม่เห็นหน้าอำนาจ แต่สุรินทร์เห็น ทันทีที่เห็นอำนาจ สุรินทร์ก็ทำตัวเป็นนินจา หายไปอย่างรวดเร็ว
ภุชคินทร์กับไพศิษฐ์ที่ตามมาติดๆ มองหน้ากันสีหน้าตกตะลึง ภุชคินทร์ถามเร็ว น้ำเสียงตื่นเต้นเห็นคาตา
“นายเห็นเหมือนที่ฉันเห็นใช่มั้ย”
ไพศิษฐ์ตื่นเต้นเหมือนกัน “เห็น...นินจา พวกนินจัตสุ”
สองหนุ่มเพ่งตามองไปยังบุรุษลึกลับนายนั้น ระหว่างนั้นเมฆบนฟ้าเคลื่อนตัวออกห่าง แม้จะเป็นคืนเดือนมืด แต่ยังเห็นดาวดวงน้อยส่องประกายระยิบระยับ แสงนั้นส่องลงมายังพื้นดิน เห็นร่างของอำนาจชัดเจน ภุชคินทร์ขมวดคิ้ว จำได้ บอกเสียงเบาๆ
“นั่นอำนาจนี่!! แล้วนั่นใคร”
ไพศิษฐ์หันมองตามสายตาภุคินทร์ ยังไม่ทันจะพูดจาอะไร สุบรรณก็เดินเข้ามาจากอีกมุม
ไพศิษฐ์ตะลึง “ท่านสุบรรณ!”
สายตาของสองหนุ่มเต็มไปด้วยคำถาม กระหาย อยากรู้อยากเห็น ส่วนสุบรรณถามปัญญาห้วนๆ
“ไหน? มีอะไรให้ฉันเห็น?”
“อย่าใจร้อนนักสิครับท่าน ยังไงคืนนี้ท่านได้เห็นแน่ๆ”
อำนาจหรี่ตามอง พูดขู่ “พ่อหมอคงรู้ว่าท่านสุบรรณเป็นคนจริง ถ้าตุกติกคิดล้อเล่นจะไม่เป็นผลดีต่อพ่อหมอนะ”
ปัญญาเหยียดยิ้ม มองอำนาจอย่างดูถูก “งั้นก็เหมือนกัน ถ้าฉันไม่ใช่คนจริง แกก็คงไม่พาท่านสุบรรณไปหาฉันหรอก จริงมั้ย?”
อำนาจกับสุบรรณทำหน้าไม่พอใจที่ถูกย้อน ปัญญาพูดด้วยน้ำเสียงดุดันทรงอำนาจ
“เฮือนภูจำปา จะบอกทุกอย่างที่ท่านอยากรู้”
พลางปัญญาตวัดสายตามองไปยังเฮือนภูจำปาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า สุบรรณ มองตามด้วยใจระทึก ก่อนที่สุบรรณ อำนาจจะเดินตามปัญญาไป ตามด้วยภุชคินทร์และไพศิษฐ์
จังหวะนั้นทางด้านหลังทุกคน สุรินทร์ปรากฏกายขึ้น ยิ้มหยัน พึมพำอย่างผยองลำพองตน
“วันนี้คือวันตายของพวกเอ็ง มีแต่ข้าเท่านั้นที่จะยิ่งใหญ่ต่อไป”
สุรินทร์ทในชุดนินจาผลุบๆ หายแว้บไปอย่างรวดเร็ว
ค่ำคืนเดือนมืด ปัญญา สุบรรณ และอำนาจตรงมายังเฮือนภูจำปา โดยที่ด้านหลัง ภุชคินทร์กับไพศิษฐ์คอยตามแบบทิ้งระยะ อำนาจจะเปิดประตูเข้าไป แต่เปิดไม่ได้ ปัญญาบอก
“ประตูถูกลงอาคมเอาไว้ มนุษย์หน้าไหนก็เปิดเข้าไปไม่ได้หรอก ถ้าเจ้าของบ้าน ไม่เปิดประตูออกมา”
อำนาจงง “งั้นเราต้องรอจนเค้าเปิดเหรอ”
ปัญญามองอำนาจอย่างดูถูก “ถามโง่ๆ แกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามากับใคร”
สุบรรณเริ่มรำคาญ “งั้นก็ทำให้ฉันเห็นเลยสิ ว่าเก่งกล้าแค่ไหน?อย่าดีแต่พูด!”
“งั้นก็เชิญท่านสุบรรณ จับตาดูให้ดีก็แล้วกัน”
สองคนมองหน้ากัน ปัญญามองสุบรรณแววตาเคืองจัดขณะคิดในใจ
“ให้ฉันได้ห้าล้านก่อนเถอะ อย่าว่าแต่นังงูผีเลย แกก็ไม่เหลือไอ้สุบรรณ”
ปัญญายกมือขึ้นพนมมือไหว้ ร่ายคาถา
ด้านภุชคินทร์ ไพศิษฐ์ แอบมองอยู่แบบลุ้นๆ
เห็นประตูเฮือนภูจำปาที่ปิดไว้อย่างแน่นหนาแข็งแรงค่อยๆ เปิดออก ทุกคนตะลึง
ภายในห้องลับของเฮือนภูจำปา บรรยากาศขมุกขมัว แลดูน่ากลัว เทียนหลายสิบเล่มจุดถูกจุดอยู่ตามมุมทั่วบริเวณห้อง เปลวเทียนไหวตามแรงลมที่พัดเข้ามาเห็นเป็นคลื่นพะเยิบพะยาบ
เจ้าอุรคาที่นั่งหลับตาเข้าสมาธิอยู่ลืมตาขึ้น ใบหน้างามงดหมดจดแต่ทว่าสายตาดุดันน่ากลัว ชรายุที่นั่งอยู่ข้างล่างแท่นพิธี ถลันเข้าหาเจ้าอุรคาอย่างตกใจ เป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทีของเจ้า
“มีอะไรคะเจ้า”
เจ้าอุรคาบอกเสียงเข้มโกรธจัด “พวกมันมา”
“พวกไหนคะเจ้า” ชรายุตกใจ
“พวกที่วอนหาที่ตาย”
เจ้าอุรคาบอกเสียงเข้ม แล้วลุกขึ้นมาจากแท่น ท่วงท่าสมเป็นนางพญา ชรายุปราดเข้าไปห้าม
“เจ้าคะ อย่าออกไปค่ะ”
เจ้าอุรคาโบกมือห้าม เสียงกร้าวแข็งแลพดุดัน
“มันมาลองดีกับข้า”
ชรายุเสียงร้อนรน ทัดทานอย่างเป็นห่วง “แต่คืนนี้เป็นคืนเดือนดับ”
“ถึงแม้พลังของข้าจะอ่อนแรงในคืนเดือนดับ แต่มนุษย์น่ะหรือจะมาสู้อุรคาเทวีได้”
น้ำเสียงเจ้าอุรคาพูดดุดัน สายตาเปล่งประกายความเชื่อมั่น ผิดกับชรายุที่มีสีหน้ากังวลยิ่งนัก
หมอผีปัญญาจะเดินเข้าไปในเฮือนภูจำปา โดยที่สุบรรณ อำนาจจะตามเข้าไป แต่ปัญญาบอก
“พวกคุณไม่ต้องตามมา ไม่งั้นเจ้าอุรคาจะไม่เผยร่างจริงให้เห็น”
สุบรรณฉงน “ร่างจริง?”
ปัญญาจ้องหน้าสุบรรณ “ก็งูผี อย่างที่คุณไม่เคยเชื่อไงล่ะ”
สุบรรณลังเล สีหน้าอยากรู้ อำนาจกระซิบเตือน
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เชื่อเค้าเถอะครับนาย”
ปัญญาเดินลิ่วเข้าไป โดยมีสุรินทร์ที่เป็นเงานินจาผลุบตามไป สุบรรณยืนฮึดฮัดสีหน้าอยากรู้อยากเห็นอยู่อย่างนั้น
ฝ่ายภุชคินทร์ กับไพศิษฐ์ หารือกัน ภุชคินทร์บอก
“ตามฉันมาทางนี้ดีกว่าศิษฐ์”
ภุชคินทร์พาไพศิษฐ์ ไปอีกทาง
ขณะที่ภุชคินทร์ลัดเลาะไปตามแนวรั้วเฮือนภูจำปาอย่างคุ้นเคยนั้น และกำลังผ่านต้นปาริชาติดอกสีแดงฉานที่เจ้าอุรคาเพิ่งเอามาปลูกเอาไว้ ภุชคินทร์เดินผ่าน โดยไม่ได้สนใจอะไรเลย ไพศิษฐ์ตามไปถามสงสัย
“ทำไมนายถึงรู้จักเส้นทางพวกนี้ มาที่นี่บ่อยเหรอ”
ภุชิคนทร์นิ่งไปนิด “ถ้าฉันตอบว่า เหมือนกับมีบางสิ่งพาฉันไป นายจะเชื่อหรือเปล่า”
ไพศิษฐ์นิ่งไป จังหวะนั้นชรายุในสภาพเลือนราง มองมายังภุชคินทร์ แล้วยกมือขึ้น เห็นเป็นเส้นทางเดิน ภุชคินทร์ กับไพศิษฐ์ก็เดินไปตามเส้นทางนั้น ชรายุหันมามองทางด้านหลัง ทางฝั่งปัญญา ด้วยดวงตาน่ากลัว
ชรายุทำเช่นนี้ เพราะไม่ต้องการให้ภุชคินทร์เห็นร่างจริงของเจ้าอุรคานั่นเอง
ติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 9 (ต่อ) เวลา 09.00 น.
หมอผีปัญญาเดินเข้ามาในบริเวณเฮือนภูจำปาแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าไปภายในตัวบ้าน แลเห็นบรรยากาศอึมครึมน่ากลัว ต้นไม้รกครึ้มไปทั่ว สองตาเจ้าเล่ห์กวาดกรอกมองไปรอบๆ บริเวณ
ฉับพลันนั้นมันก็ต้องสะดุ้ง เมื่อมีเสียงอันทรงอำนาจของเจ้าอุรคาดังขึ้น
“ไอ้คนถ่อย ไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ อาจหาญมาถึงนี่ อยากเจอดีนักใช่มั้ย”
ปัญหาเหลียวขวับไปตามเสียง ไม่ทันได้ตั้งตัวเลย เมื่อมีแรงปะทะเหมือนถูกตบเข้าที่หน้าอย่างแรง
จนล้มลงไป เลือดพุ่งออกจากจมูก สุรินทร์ที่แฝงตัวเข้ามาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง พุ่งเข้าไปยังร่างเจ้าอุรคาที่เดินออกมา สุรินทร์จับมือของเจ้าอุรคาเอาไว้ ขณะที่ปัญญาลุกขึ้นมา พร้อมมีดหมอลงอาคม
“ถึงคราที่แกจะต้องเปิดเผยโฉมหน้าของตัวเองแล้วนังงูผี ด้วยมีดลงอาคมของข้า”
ปัญญาเงื้อมีดขึ้นสูงสุดแขนหมายจะแทง เจ้าอุรคาหลบแล้วเหวี่ยงร่างสุรินทร์ที่มองไม่เห็นแต่รู้
ด้วยสัมผัสออก ร่างของสุรินทร์เซถลาไป ปัญญาเห็นรีบถีบร่างของสุรินทร์พ้นทางไป สุรินทร์ล้มลง สองคนโมโห
“เก่งนักเหรอนังงูผี”
ปัญญากระโจนเข้าหาร่างเจ้าอุรคา จ้วงแทงทันที เจ้าอุรคาหลบ แต่กระนั้นร่างของเจ้าอุรคา
ก็เซถลาล้มลงลงไป เจ้าอุรคาร้องสุดเสียง
“โอ๊ย”
ภุชคินทร์ ไพศิษฐ์ สุบรรณ และอำนาจ ได้ยินกันหมด ภุชคินทร์กับสุบรรณอยู่คนละมุมพูดขึ้นพร้อมกัน
“เจ้าอุรคา”
ทุกคนรีบวิ่งมายังต้นเสียงทันที
ร่างของเจ้าอุรคาล้มลงตรงลานในบ้านด้วยความเจ็บปวด สุรินทร์ได้ทีเหวี่ยงดาวกระจายของนินจาออกไป เจ้าอุรคาหลบอย่างรวดเร็ว คำรามอย่างโกรธแค้น
หมู่เมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนตัวเข้าบดบังดวงจันทร์สมกับเป็นคืนเดือนมืด ปัญญาเงยหน้าขึ้นมองหัวเราะก้อง
“คืนเดือนดับ แกเสร็จฉันนังงูผี”
ปัญญาตรงเข้าไปกระชากร่างของเจ้าอุรคาขึ้นมา ออกแรงบีบราวกับจะให้ร่างแหลกคามือ มือนั้นทรงพลังด้วยอาคม
แรงกล้า เจ้าอุรคาร้องด้วยความเจ็บปวด
เพราะเป็นคืนเดือนมืด เจ้าอุรคาแทบหมดกำลัง หน้าตาที่สวยงามเริ่มเหยเก ดวงตาแดงก่ำเหมือนงู ร้ายผิวหน้าเหมือนจะขึ้นเกล็ดสีเขียวจางๆ เจ้าอุรคาเจ็บปวดเหลือแสน ในขณะที่ปัญญากับสุรินทร์หัวเราะดังก้อง
“มะ...แกจะแสดงอิทธิฤทธิ์อะไร ก็แสดงออกมาเลย”
ใบหน้าเจ้าอุรคาเคียดขึ้ง เจ้าอุรคาอ้าปากออก ทันใดนั้นเขี้ยวงูก็ยื่นออกมา วาววับ
สุบรรณจะวิ่งเข้าไป แต่อำนาจเข้ามาร้องห้าม
“อย่าครับนาย”
“มาห้ามทำไมวะ แกไม่ได้ยินเสียงเจ้าอุรคาร้องหรือไง?”
“ได้ยินครับ แต่อาจจะเป็นพิธีกรรมของพ่อหมอปัญญาก็ได้”
“พิธีบ้าบออะไรวะ? ไอ้หมอบ้านั่นมันกำลังทำร้ายเจ้าอุรคา ฉันจะไปช่วยเจ้า”
สุบรรณผลุนผลันเข้าไป อำนาจรีบตามไปด้วยความเป็นห่วงสุบรรณ
พอสุบรรณกับอำนาจวิ่งมาถึง เห็นร่างของเจ้าอุรคาทางด้านหลังทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้น นอกจากนี้ยังเห็นเลือดออกเต็มที่ต้นแขน ท่อนขา และปัญญายืนจังก้าถือมีดอยู่
ใบหน้าเจ้าอุรคาเริ่มมีเกล็ดขึ้นมา เขี้ยวงอกวาววับ และดวงหน้าเริ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นพญางูใหญ่เต็มตัว ปัญญามองไม่ครั่นคร้าม
“จะหมดพลังในการควบคุมกายนิรมิตของแกแล้วใช่มั้ย นังงูผี” หมอผีปัญญาหัวเราะเย้ยหยัน “เผยหน้าออกมา” เสียงเข้มขึ้นอีก “เผยออกมา!”
ปัญญาบีบร่างเจ้าอุรคาแรงขึ้นกว่าเดิม ราวกับจะให้แหลกละเอียด ใบหน้าเจ้าอุรคาถมึงทึงแววตากร้าวแข็ง ภุชคินทร์วิ่งเข้ามาตะลึงงัน
ภุชคินทร์อยู่หลังทุกคน อ้าปากค้างจะพูดแต่พูดไม่ออก “เจ้า...”
ภุชคินทร์จะวิ่งเข้าไป แต่ไพศิษฐ์รีบเอามือมาอุดปากเอาไว้และลากออกมา กระซิบดุดัน
“อย่าเข้าไป เราอาจจะได้คำตอบ ที่เรารออยู่”
ไพศิษฐ์ลากภุชคินทร์ไปหลบที่หลังพุ่มไม้ ปัญญาตวาดเจ้าอุรคาออกมาอีก
“วันนี้แหละ ฉันจะทำให้แกเปิดเผยตัวจริงของแกออกมา”
ปัญญาเงื้อมีดขึ้นจะแทงเจ้าอุรคา เจ้าอุรคาเบี่ยงตัวหลบ สุบรรณตะโกนก้อง
“ไอ้เลว”
สุบรรณบันดาลโทสะกระโจนเข้ามากระโดดถีบที่ร่างของปัญญาเต็มแรง
เจ้าอุรคาสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายท่องคาถา ร่างที่อ่อนแรงกำลังจะเป็นงู ให้กลายกลับเป็นมนุษย์สวยงามดั่งเดิม
ส่วนสุบรรณแค้นที่เจ้าอุรคาถูกทำร้าย จึงเงื้อมือประเคนทั้งหมัดและเท้าใส่ร่างของปัญญาไม่ยั้ง จนร่างปัญญาล้มลง สุรินทร์ทนไม่ไหว จึงปรากฏร่างในคราบนินจาขึ้นมา สุบรรณกับอำนาจตะลึงคาดไม่ถึง
ไพศิษฐ์กะภุชคินทร์ก็ตะลึงพึมพำพร้อมกัน “นินจา”
สุบรรณกับอำนาจตะลึง อุทานพร้อมกัน “ไอ้สุรินทร์”
สุบรรณมองสุรินทร์กับปัญญาอ่านเกมออก “นี่แกสองคนร่วมมือกัน?”
“เออ! ร่วมมือที่จะกำจัดนังงูผี ที่มันกำลังจะกลายร่าง แต่พวกเอ็งสองคนดันเข้ามายุ่งเสียก่อน”
สุบรรณเสียงกร้าว “ไหน กลายร่างตรงไหน? แกหันไปมองสิไอ้บ้า แกทำกับผู้หญิงอย่างนี้ได้ยังไง”
สุบรรณผลักปัญญาออก ถลันเข้าไปหาเจ้าอุรคา ประคองร่างบอบบางเอาไว้ อย่างหวงแหน
ทุกสายตามองไปที่ร่างของเจ้าอุรคา ดวงหน้างามนั้นเป็นเพียงมนุษย์ผู้น่าสงสาร มีเลือดไหลออกมาตรงมุมปาก สุบรรณตวาดอีกโกรธจัด
“แกมองสิไอ้เลว แกทำเจ้าทำไม”
ปัญญาย้อน “ก็เอ็งน่ะแหละ สั่งให้ข้ามา”
เจ้าอุรคาตวัดตามามองยังสุบรรณ ด้วยความโกรธ
“คุณพาคนมาทำร้ายฉัน” น้ำเสียงอุรคาเข้มเค้นคำด่า “เลว”
เจ้าอุรคาผลักร่างของสุบรรณออก ผลุนผลันหนีออกไป โซเซผ่านหน้าของภุชคินทร์และไพศิษฐ์ที่
หลบซ่อนตัวอยู่ สองคนตามเจ้าอุรคาไปอย่างรวดเร็ว
สุบรรณจะตามเจ้าอุรคาไป แต่ปัญญากระโจนมาคว้าร่างของสุบรรณเอาไว้ สุบรรณล้มลง ปัญญาขึ้นคร่อมร่างสุบรรณเอาไว้ สุบรรณตะโกนก้องอย่างขัดเคืองใจ
“ปล่อยๆๆๆ ปล่อยกู!”
ปัญญาตะเบ็งเสียงอย่างโกรธเคือง “มันกำลังจะกลายร่างแล้ว อำนาจ มาจับนายเอ็ง นังงูผีมันจะ
หนีไปแล้ว ฉันจะตามไปจับมัน”
อำนาจเงอะๆงะ ไม่รู้จะเชื่อใคร ใจหนึ่งก็เชื่อปัญญา อีกใจก็กลัวสุบรรณเป็นอันตราย
ปัญญาสั่งอีก “ถ้าแกอยากเห็นงูผี เร็ว!”
อำนาจรีบเข้ามาจับร่างของสุบรรณเอาไว้ สุบรรณโกรธ
“ปล่อยกู”
สุบรรณวิ่งตามออกไปอย่างบ้าเลือด ปัญญาตะโกนบอกทุกคน
“ตามมันไป”
ทุกคนตามกันออกไป
ทุกคนวิ่งตามกันมา แต่แล้วต้องชะงักเมื่อปรากฏร่างของงูใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งออกมา ซึ่งไม่ใช่
นาค ไม่มีหงอน เป็นงูใหญ่บริวารของเจ้าอุรคา ทุกคนตะลึงล้มลงเป็นแถบ ทุกคนเห็นงูใหญู่ชูหัวขึ้นมา
มันสะบัดหน้าไปมาอย่างโกรธแค้น ก่อนที่จะก้มลงฉกเข้าที่ร่างของปัญญา แต่ด้วยความว่องไวและมีอาคม
ปัญญาฉากหลบอย่างรวดเร็ว และควักมีดแทงเข้าที่ลำตัวของงูตัวนั้นจนเลือดพุ่งกระฉูด งูใหญ่บิดร่างด้วยความเจ็บและยิ่งโกรธจัด มันถลันเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย ตวัดรัดร่างของปัญญา สุรินทร์ตรงเข้าช่วย
“นังอุรคา”
สุรินทร์คว้ามีดขึ้นมา สายตาโกรธแค้น งูตัวนั้น บีบรัดร่างปัญญาแรงขึ้น สีหน้าของปัญญาบิดเบี้ยว
เจ็บปวดสุดแสน
กลางความสลัวรางของคืนเดือนดับ เจ้าอุรคาในสภาพเจ็บปวดปางตา ดวงหน้าขาวซีดเผือด ท่าทางจะหมดเรี่ยวแรงซมซานมาถึงหนองน้ำ ตามร่างกายของเจ้าอุรคา เริ่มขึ้นเกล็ดอย่างควบคุมไม่ได้ เจ้าอุรคารู้ตัว รีบกระโจนลงน้ำไป เห็นเป็นพญานาคตัวใหญ่ลอยอยู่กลางท้องน้ำนิ่ง ก่อนจะดำดิ่งลงท้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว
ภุชคินทร์กับไพศิษฐ์วิ่งตามมา แต่ไม่เห็นเจ้าอุรคาเสียแล้ว
“เจ้าอุรคาหายไปไหนแล้ว”
“นั่นน่ะสิ ก็ตามมาติดๆ” ไฟศิษฐ์ติดใจสงสัย
“เจ้าอุรคา เจ้าอยู่ที่ไหน ผมมาช่วยเจ้า เจ้าอุรคาๆ”
ภุชคินทร์ป้องปากตะโกนก้องเรียกหาเจ้าอุรคา ท่ามกลางความมืดและเงียบงันทั่วท้องน้ำบริเวณนั้น
ฝ่ายปัญญาหน้าบิดเบี้ยว เลือดไหลทะลักออกมาทางปาก ทุกคนตะลึง สุรินทร์ตะโกนก้อง
“นังอุรคา แกตาย!”
ภุชคินทร์และไพศิษฐ์ ได้ยินเสียงดังแว่วมา สองหนุ่มตกใจ
“เจ้าอุรคา!”
จากนั้นสองคนวิ่งกลับมายังเฮือนภูจำปาทันที
ที่บริเวณหนองน้ำ ร่างของนางพญานาคีปรากฏร่างขึ้นมาเหนือน้ำ พร้อมเสียงคำรามโหยหวนอย่างเจ็บปวดสุดทนฟังไม่เป็นภาษาคน
ก่อนจะพาร่างอันบอบช้ำำดิ่งลงไปใต้ท้องน้ำราวกับต้องการหลบซ่อนตัว
มณีสวาท ตอนที่ 9 (ต่อ)
สุรินทร์จ้วงแทงงูใหญ่อย่างโกรธแค้น และมั่นใจว่างูใหญ่ตัวนี้เป็นเจ้าอุรคา สุบรรณ และอำนาจอ้าปากค้าง สุรินทร์จ้วงแทง แทงๆๆๆ อย่างบ้าคลั่ง
“แกตาย นังอุรคาแกตาย”
ปัญญารวบรวมพลังตะเบ็งเสียงบอก แต่แทบไม่มีแรง “มันไม่ใช่...”
ปัญญาจะพูดว่า...มันไม่ใช่นังอุรคา แต่ไม่ทันได้พูดจบ คมเขี้ยวยาวโง้งของงูตัวนั้นก็ฝังหมับเข้าที่ลำคอของปัญญาจนจมเขี้ยว ปัญญาพูดค้างคำได้แค่นั้น ก่อนที่ร่างจะบิดเร่าๆ แต่ด้วยสัญชาตญาณของนักสู้จอมขมังเวทย์ ปัญญารวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายปักมีดฉึกลงที่ลำตัวของงูใหญ่ตัวนั้นอย่างสุดแรงเหมือนกัน
งูตัวใหญ่ตัวนั้นชะงักด้วยความเจ็บปวดสุดหัวใจ เลือดท่วมร่างก่อนจะคลายร่าง เลื้อยหนีไปทั้งที่มีดลงอาคมยังปักคาอยู่
ภุชคินทร์กับไพศิษฐ์วิ่งเข้ามา ชะงัก เมื่อเห็นร่างงูยักษ์เลื้อยผ่านหน้าไป ท่ามกลางความตะลึงของทุกคน แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะทำอะไรก็ปรากฏกองทัพงูน้อยใหญ่พุ่งตรงมา
อำนาจร้องลั่น “งู อ๊าก.....งู”
กองทัพงูพุ่งเข้ามา ภุชคินทร์ยืนอึ้งตะลึง ความรู้สึกแว้บหนึ่งนั้น เหมือนเห็นพวกเดียวกัน ไพศิษฐ์ตะโกนอย่างตกใจ
“งูหนีเร็วชาย งู!”
ไพศิษฐ์คว้าแขนของภุชคินทร์วิ่งหนีออกไปอย่างทุลักทุเล
สุบรรณกระโดดกระทืบงูที่เลื้อยเข้ามาอย่างไม่หวั่นกลัว ในลักษณะวิ่งไปกระทืบไป ขณะที่อำนาจร้องเหมือนคนสติแตก วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง ส่วนสุรินทร์บ้าคลั่งจ้วงแทงงู ฉันพลันงูใหญ่น้อยทั้งกองทัพก็พุ่งเข้ามาหาสุรินทร์ช่วยกัน สุรินทร์คว้าดาวกระจายออกมาป้องกันตัว แต่กองทัพงูพุ่งเข้ามารัดร่างไว้ได้
ร่างของสุรินทร์นอนแน่นิ่งถูกงูรัด ในสภาพที่มือยังกำดาวห้าแฉกค้างอยู่ ในขณะที่อำนาจแน่นิ่งกลัวจนช็อกหมดสติไป
งูตัวใหญ่ที่ถูกสุรินทร์แทงปางตายเลื้อยมาที่หนองน้ำ ในสภาพเลือดท่วมตัว งูนั้นเหมือนพยายาม
ฝืนคืนร่างให้กลับกลายเป็นคน เห็นใบหน้าของงูตัวนั้นสลับกับใบหน้าของชรายุ
ชรายุเสียงแตกพร่าเจ็บปวดปางตาย “เจ้า...ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ไหวแล้ว ช่วยข้าก่อนที่ ทุกคนจะรู้
ความจริง” น้ำเสียงชรายุกระท่อนกระแท่นอย่างคนจะหมดแรง
ท้องน้ำกระเพื่อมแรง แตกกระจายแล้วร่างของนางพญานาคีก็พุ่งขึ้นมา
ไกลออกไป ชาวบ้านที่มาหาปลาตามหนองน้ำตะลึงงัน ไม่มีใครได้เห็นชรายุ แต่เห็นพญานาคกลางท้องน้ำชาวบ้านร้องลั่น
“พญานาคๆๆๆ”
ทางฝั่งไพศิษฐ์ ภุชคินทร์ สุบรรณซึ่งประคองอำนาจมาจะพากลับไป ได้ยินเสียงนั้น สองกลุ่มอยู่อยู่กันคนละมุม
สุบรรณพาอำนาจมานอนลงที่เบาะรถแล้ววิ่งตรงไปยังต้นเสียงทันที
ที่กลางหนองน้ำ เห็นพญานาคพ่นน้ำออกจากปาก น้ำกระจายลงมาถูกตัวของงูใหญ่ที่มีใบหน้าเป็นชรายุ ฉับพลันร่างงูนั้นก็อันตรธานหายไป
ภุชคินทร์ ไพศิษฐ์ และสุบรรณ วิ่งมาคนละมุมแล้วมาเจอกัน ทันได้เห็นร่างของพญานาคที่พวยพุ่งขึ้นมาบนท้องน้ำพร้อมเสียงคำรามอย่างน่ากลัว ทุกคนตะลึงตาค้าง
“พญานาค” ทุกคนร้องพร้อมกัน
ร่างของพญานาคตีน้ำกระจายชั่วครู่ก่อนจะดำดิ่งลงไปใต้ท้องน้ำอย่างรวดเร็ว ฉับพลันท้องน้ำก็สงบเรียบนิ่ง ราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น
ทุกคนยังอยู่ในอาการตะลึง ภุชคินทร์กระโจนตามลงไปในน้ำ ไพศิษฐ์ตามไปกระชากขึ้นมา
“ชาย นายจะบ้าไปแล้วเหรอ อย่าลงไปมันอันตราย”
“ฉันต้องการพิสูจน์ว่า.มันไม่ใช่แค่ภาพลวงตา พญานาคมีอยู่จริงๆ”
“จริงหรือไม่จริง แล้วจะทำไม”
“ก็ถ้าพญานาคตัวนั้นคือเจ้าอุรคา”
พูดจบภุชคินทร์ก็สะบัดร่างของไพศิษฐ์ออก แล้วกระโจนลงไปในน้ำ สุบรรณมีสีหน้าจริงจัง คิดถึงคำพูดของภุชคินทร์ แล้วพึมพำออกมา
“ใช่! ถ้าเจ้าอุรคาเป็นพญานาค?”
สุบรรณกระโจนลงน้ำตามภุชคินทร์ไป ไพศิษฐ์หันมาร้องห้ามไม่ทัน
“ท่านสุบรรณ”
ร่างของสุบรรณและภุชคินทร์ดำดิ่งลงไปใต้ท้องน้ำนั้นแล้ว ไพศิษฐ์ได้แต่เอามือกุมขมับ ปวดหัว
ยังไม่มีใครปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพญานาคคือเจ้าอุรคา เพียงแต่สงสัยคลางแคลงใจ เหตุการณ์ทุกอย่างพ้องกันเหลือเกิน
ใต้ท้องน้ำ ภุชคินทร์แหวกว่ายลงมา ตามด้วยสุบรรณ สองหนุ่มสอดสายตาหาพญานาคที่เห็นด้วย
ความสงสัย
ส่วนอีกมิติที่ขนานกัน อุรคาเทวีประคองร่างของชรายุ ดำดิ่งลงไปใต้ท้องน้ำ สภาพของชรายุเลือดโทรมกาย
เจ้าอุรคาก็อ่อนแรงเต็มทนทั้งคู่สะบักสบอมพอกัน แต่เจ้าอุรคาเข้มแข็งกว่า
ทางด้านภุชคินทร์กับสุบรรณ ยังคงดำผุดดำว่าย ก่อนจะโผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ เห็นชัดเจนท่าทางของสุบรรณดูอ่อนแรงกว่าภุชคินทร์มาก เนื่องเพราะสัญชาติญาณของสุบรรณคือพญาครุฑไม่ชอบน้ำนั่นเอง
สักครู่หนึ่งทั้งสองคนก็ดำลงไปใหม่ ตามหาพญานาคด้วยความอยากรู้
ระหว่างนั้น แลเห็นสองมิติขนานกัน เจ้าอุรคาพาชรายุแหวกว่ายไป โดยที่มนุษย์ทั้งสองไม่สามารถมองเห็น
ใต้ท้องน้ำขณะนั้น สุบรรณดูอ่อนล้าโรยแรงลงมาก มองไปยังภุชคินทร์ เห็นภุชคินทร์แหวกว่ายตามหาพญานาคอย่างแข็งแรง และดูปราดเปรียวกว่าปกติ สุบรรณฮึดสู้ไม่ถอย แต่ก็อ่อนแรงอยู่ดี ภาวะที่กำลังจะหมดสติ สุบรรณมองเห็นร่างของพญานาคซ้อนที่ร่างของภุชคินทร์เต็มตา
สุบรรณเบิกตากว้างมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึงสติเหมือนจะดับวูบไป ฉับพลันพญานาคก็แหวกว่ายตรงมายังสุบรรณ
ในสติอันแสนลางเลือนนั้น สุบรรณรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกลากขึ้นไปที่ผิวน้ำ
จวบจนรุ่งสาง ท้องฟ้ายังมืดครึ้มอยู่ เห็นแสงสีทองรำไร ไพศิษฐ์ตะโกนเหมือนคนบ้า ร้อนรนใจ
“ชาย ท่านสุบรรณ” ไพศิษฐ์ตะโกนดังกว่าเดิม ร้อนใจ “ชาย ท่านสุบรรณ”
ไม่มีใครขึ้นมาสักคน ไพศิษฐ์ทำท่าจะกระโจนลงไป แต่แล้วร่างภุชคินทร์โผล่ขึ้นมาจากหนองน้ำเสียก่อน โดยที่มือข้างหนึ่งลากสุบรรณที่ท่าทางจะหมดแรงขึ้นมาด้วย ภุชคินทร์ประคองพาร่างของสุบรรณขึ้นมาบนบก ไพศิษฐ์ถามรัวเร็ว
“เห็นพญานาคมั้ยชาย”
“ไม่” ภุชคินทร์บอก
สุบรรณรำพึงเสียงเบาๆ “ฉัน...ฉันเห็นพญานาค”
ภุชคินทร์อึ้งหันมาถาม “ท่านเห็นพญานาค”
สุบรรณมองภุชคินทร์ “ฉันเห็นคุณชาย...เป็นพญานาค”
สุบรรณพูดแค่นั้นสติก็ดับวูบลง ภุชคินทร์กับไพศิษฐ์หันมามองหน้ากัน
“ไม่...ฉันไม่ใช่พญานาค ท่านสุบรรณตาฝาด”
ภุชคินทร์ปฏิเสธลั่นราวกับจะตอกย้ำตัวเอง ไพศิษฐ์กลับมองหน้าภุชคินทร์ เริ่มสงสัยเหมือนสุบรรณ
หนังสือพิมพ์กรอบบ่าย พาดหัว ประโคมข่าวพญานาคกันอย่างครึกโครม หัวข้อข่าวล้วนเป็นในทิศทางเดียวกัน
“ชาวบ้านตื่น พญานาคโผล่ พ่วงคนตาย 2 ศพ”
“ตะลึง พญานาคโผล่ หนองน้ำเดิม”
“พญานาคโผล่ ชาวบ้านหวั่นอาเพศ”
เห็นมือใครคนหนึ่งซื้อหนังสือพิมพ์ไปอ่านอย่างสนใจ
ที่บริเวณหนองน้ำแห่งนั้น ยังคงเห็นชาวบ้านมุงดู พร้อมนักข่าว รายการทีวีที่มาถ่ายทำมากมาย เห็นชาวบ้านชี้ชวนให้ดู ตรงบริเวณหนองน้ำที่เห็นพญานาคโผล่
สุบรรณนอนพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล อยู่ในสภาพอิดโรยเพราะเพิ่งฟื้น แต่พอตั้งสติได้กลับตบหน้าอำนาจอย่างแรง พร้อมตวาด
“แกไปให้ข่าวทำไมวะอำนาจ?”
อำนาจแก้ตัว ตะกุกตะกัก “ตอนนั้นผมตกใจ พอมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาช่วย ผมเลยเผลอเล่า
เรื่องไป แต่ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่นายสั่งไอ้ปัญญานะครับ” อำนาจเสียงอ่อยๆ “ผมแค่เล่าเรื่องที่งูยักษ์ออกมาฆ่าไอ้สองคนนั่น”
“แต่ยังไงพวกชาวบ้านก็ต้องเอาไปปะติดปะต่อกับเรื่องพญานาคอยู่ดี แล้วตำรวจก็คงจะต้องตามกลิ่นไอ้ปัญญาจนได้ว่าใครใช้มันมา”
“ไม่ครับ ผมให้การว่าไอ้ปัญญากับไอ้สุรินทร์มันจะเข้าไปโจรกรรมทรัพย์สินของเจ้าอุรคาแล้วมันก็ถูกงูกัดตาย”
“แกคิดว่าตำรวจจะเชื่อง่ายๆ เหรอวะ? ไม่น่าเลย ไอ้บ้าเอ๊ย”
สุบรรณทำท่าจะเงื้อมือตบอีก อำนาจหลบ สุบรรณด่าต่อ
“ถ้าเรื่องเดือดร้อนมาถึงฉันล่ะน่าดู”
สุบรรณคาดโทษ พร้อมกับกระชากเสื้อโรงพยาบาลออก ขณะที่อำนาจจ๋อยสนิท
ฝ่ายไพศิษฐ์นั่งหน้าเครียดอยู่ที่โรงพัก นาถสุดาเดินถือถ้วยซุปไก่มาให้
“เมื่อคืนคุณไม่ได้นอน ดื่มซุปไก่ซะหน่อยนะคะ นาถทำมาให้”
“ขอบคุณนาถ”
ระหว่างนั้นจ่าชิดเดินเข้ามาหน้าตาท่าทางตื่นเต้น ครวญว่า
“ฮู้ยย!ทำไมเมื่อคืนผู้กองไม่ชวนผมไปด้วย ชาวบ้านคุยกันให้แซ่ดเลยว่าเห็นพญานาคตัวเป็นๆ กันทั่วหน้า ผู้กองเห็นหรือเปล่าครับ”
“ถ้าเห็นแล้วจะทำไม ไม่เห็นแล้วจะทำไมจ่า”
จ่าชิดหัวเราะคิก “ไม่เห็นก็แล้วไป แต่ถ้าเห็น...ผมจะได้ขอโชคขอลาภกับพญานาคไงล่ะครับผู้กอง”
ที่ด้านหน้าห้องทำงาน ชาวบ้านมาออกันในคดีต่างๆ ไพศิษฐ์ตัดบทแบบหน้าดุ
“เอาเวลาขอหวยไปดูแลชาวบ้านดีกว่ามั้งจ่า”
จ่าชิดหัวเราะแหะๆ “ครับผม” แล้วหันตัวเดินออกไปพูดไป แต่ไม่วายบ่นงึมงำ “โอ๊ย..เสียดายจริงๆ อยากเห็นซะเหลือเกินพญานาคเนี่ย”
นาถสุดาถามไพศิษฐ์เสียงจริงจัง
“แล้วเมื่อคืนคุณศิษฐ์เห็นพญานาคหรือเปล่าคะ”
ไพศิษฐ์นิ่งไปนิด ถึงตอบ “เห็น”
“เป็นยังไงคะ? พญานาคเป็นยังไง”
“ก็...เป็นเหมือนอย่างที่เรารู้กันนั่นแหละเป็นงูแต่มีหงอน”
“คุณศิษฐ์ไม่ตื่นเต้นหรอคะ”
“ผมหนักใจมากกว่า ท่านสุบรรณบอกเห็นนายชาย เป็นพญานาค”
ฟังแล้ว นาถสุดามีสีหน้าตกใจ
รูปปั้นพญานาคภายห้องรับแขกในเฮือนภูจำปาตั้งตระหง่านแลดูน่ากลัวมากกว่าสวยงาม เป็นไพศิษฐ์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังตรวจค้นดูอยู่
ทั่วทั้งคฤหาสน์ที่สร้างจากไม้ทั่วทั้งหลังเงียบสงัด แทบไม่เห็นมีคนอยู่ ไม่มีงูที่เคยเห็น
ทุกคนตรวจดูแล้วเดินออกมายังด้านนอกตรงบริเวณสวน เห็นแต่ต้นไม้ใหญ่น้อยรกครึ้ม และไม่เห็นกองทัพงูแต่อย่างใด มีเพียงงูตัวเล็กที่เลื้อยหนีหายไปเมื่อเห็นว่ามนุษย์บุกเข้ามา
ภุชคินทร์ที่มาพร้อมกับทีมตำรวจของผู้กองไพศิษฐ์ แต่รออยู่หน้านอกหน้าตัวเฮือนภูจำปา ท่าทีเหมือนรออย่างกระวนกระวาย สักครู่หนึ่งไพศิษฐ์และเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเดินออกมาหา แต่ละคนท่าทางทรุดโทรมและเหนื่อยจัดกับงานตรวจค้น ไพศิษฐ์มองภุชคินทร์เป็นเชิงถาม ภุชคินทร์บอกทันที
“ไม่ต้องมามองฉัน ฉันไม่ใช่พญานาค” ราชนิกุลหนุ่มบุ้ยใบ้เข้าข้างใน “แล้ว..เจออะไรบ้าง”
“ไม่เจอ”
ภุชคินทร์นิ่วหน้า “ไม่เจอ”
ไพศิษฐ์หน้าเคร่งขณะบอกเพื่อนซี้ “ตั้งแต่เมื่อกลางวัน หลังจากเจ้าหน้าที่นำศพของนายสุรินทร์กับนายปัญญาออกไปแล้ว ก็ได้ตรวจดูภายในบริเวณบ้านพักและบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด แต่ก็ไม่มีกองทัพงูหรือรังของงู แต่อย่างใด จะมีก็แต่งูตัวเล็กๆ ที่อยู่ในสวน แค่สองสามตัว ที่สำคัญ...”
ไพศิษฐ์ค้างคำ พร้อมกับแบมือออกมา เห็นเป็นดาวห้าแฉกอยู่ในมือ
“ฉันพบดาวห้าแฉก สัญลักษณ์ของพวกนินจัตสุอยู่ในมือของสุรินทร์และบริเวณที่เกิดเหตุ” ผู้กองบอกเสียงเข้ม “ชาย...คดีที่ค้างไว้ฉันมองเห็นทางที่จะคลี่คลายแล้วล่ะ”
“แล้วการที่เจ้าอุรคาหายตัวไป?” ภุชคินทร์ถามอย่างร้อนใจ
ไพศิษฐ์ทำหน้าหนักใจ “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่ะ ฉันเช็คกับทุกโรงพยาบาลแล้ว เจ้าอุรคาไม่ได้เข้าไปรักษาตัวแม้แต่ที่เดียว”
ภุชคินทร์นิ่งคิด พยายามประมวลเหตุการณ์ ก่อนบอกสิ่งที่ตนคิด
“ถ้าเจ้าอุรคาถูกทำร้ายวิ่งหนีหายไป เราตามไปไม่เจอ พอเรากลับมาก็เจองูยักษ์พุ่งเข้ากัดสองคนนั่น พองูตัวนั้นเลื้อยหายไป เรากลับเจอพญานาคแทน มันจะเป็นไปได้มั้ยศิษฐ์ว่าเจ้าอุรคาจะเป็นงูยักษ์ตัวนั้น เป็นพญานาค”
“ฉันกับนาย ต่างก็สงสัยเรื่องนี้กันมาตลอด แต่ทุกอย่างต้องพิสูจน์ได้ด้วยหลักฐาน และครั้งนี้เราก็ยังพิสูจน์ไม่ได้อย่างแน่ชัด” ไพศิษฐ์พูดเสียงเข้มในตอนท้าย “แต่หลักฐานที่มีวันนี้ ตอนนี้ก็คือ เจ้าอุรคาถูกทำร้ายโดยคของท่านสุบรรณ”
วันต่อมาที่คฤหาสน์ของสุบรรณ เจ้าเรือนนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ กำลังมองไพศิษฐ์กับภุชคินทร์ท่าทางไม่พอใจ ตอบห้วนสั้น
“ผมไม่ได้สั่งให้ใครไปทำร้ายเจ้าอุรคาทั้งนั้น”
ภุชคินทร์และไพศิษฐ์ยืนอยู่ ภุชคินทร์ย้อนถามเสียงห้วน
“แต่ผมได้ยินกับหู ว่าหนึ่งในสองคนร้าย บอกว่าท่านสั่ง”
สุบรรณมองจ้องหน้าภัชคินทร์ตาแข็งกร้าวดูออกว่าโกรธ “ผมไม่เคยจ้างใครมาทำร้ายเจ้า” และปฏิเสธเสียงแข็ง “และก็ไม่ได้รู้จักกับไอ้หมอนั่นแม้แต่นิดเดียว”
“แล้วทำไมมันกล้าตะโกนใส่หน้าท่าน ถ้าหากมันไม่ได้ถูกว่าจ้างมา” ภุชคินทร์กังขาอีก
นาถสุดาออกตัวแทน “คุณชายจะเอาคำคนร้ายมาปรักปรำพี่สุบรรณไม่ได้นะคะ”
“ไม่มีใครปรักปรำใครทั้งนั้น” ภุชคินทร์มองสุบรรณนิ่ง “ท่านสุบรรณรู้อยู่แก่ใจ”
สุบรรณโกรธกรุ่นๆ อารมณ์ขุ่นมัวสุดๆ “คุณชาย...คุณกำลังหมิ่นประมาทผม ผมเอาเรื่องถึงที่สุด” พูดเน้นคำตอนท้าย “อย่าปากพล่อย”
ภุชคินทร์สวน “ปากพล่อยดีกว่าใจทราม ท่านสั่งคนไปทำร้ายเจ้าอุรคา” ราชนิกุลหนุ่มจะถลันเข้าหา
“อย่าชาย”
ไพศิษฐ์ปราดเข้าขวางภุชคินทร์ แล้วรีบดึงตัวออกจากสุบรรณ พร้อมขอโทษ
“ผมขอโทษแทนคุณชายภุชคินทร์ด้วยครับท่านที่วู่วาม” ไพศิษฐ์พูดอย่างอ่อนน้อม “แต่ยังไง ผมคงต้องขอสอบปากคำท่านอีกที”
สุบรรณตวาดเสียงเข้มสีหน้าเคร่ง “ฉันไม่ผิด ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยทั้งนั้น แล้วทำไมฉันต้องให้ปากคำผู้กองด้วย”
“ผมขอสอบปากคำท่านในฐานะพยาน” ไพศิษฐ์ย้ำ
สุบรรณปรายตามองเหยียดไปยังบ่าของไพศิษฐ์ บอกกึ่งเยาะเย้ยกึ่งดูแคลน
“ผมไม่ว่าง ผมจะเข้ากระทรวง ส่วนผู้กอง ถ้างานยุ่งมาก ผมจะหาคนมาทำหน้าที่นายตำรวจอารักขาผมแทนผู้กองแล้วกัน”
ไพศิษฐ์ค้อมศีรษะให้อย่างมีมารยาท ก่อนจะเดินออกไปพร้อมภุชคินทร์ที่มองสุบรรณอย่างไม่พอใจ ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงเย้ยหยันของอำนาจ พูดไล่หลัง
“หาเรื่องถูกเขี่ยกระเด็นจนได้นะผู้กอง”
นาถสุดามองตามไพศิษฐ์อย่างไม่สบายใจ ก่อนหันมาพูดกับสุบรรณ
“พี่สุบรรณคะ นาถขอโทษแทนคุณศิษฐ์...”
นาถสุดายังไม่ทันได้พูดจบ สุบรรณก็พูดสวนเสียงเข้ม
“พี่อยากพักแล้วนาถ”
นาถุสดาใจเสีย ได้แต่ยืนหน้าเจื่อนอยู่อย่างนั้น
ส่วนสองหนุ่มเดินออกมาที่หน้าคฤหาสน์สุบรรณ ไพศิษฐ์ทำหน้าเซ็ง ภุชคินทร์หน้าเสียขณะบอกเพื่อนรัก
“ฉันขอโทษศิษฐ์”
“จะขอโทษทำไม ถ้าต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับความก้าวหน้า ฉันเลือกความถูกต้องว่ะ”
ภุชคินทร์ฉงน “ความถูกต้อง”
“ตั้งแต่การโจรกรรมเพชรของเจ้าประกายคำ ที่ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ มีแค่เพียงหลักฐานดาวห้าแฉกของกลุ่มนินจัตสุ มาวันนี้ฉันพบหลักฐานดาวห้าแฉกจากไอ้สุรินทร์ แล้วยังรู้ด้วยว่าไอ้สุรินทร์คือลูกน้องของท่านสุบรรณ นายคงเชื่อมโยงเหตุการณ์ได้ใช่มั้ยชาย?”
ภุชคินทร์พยักหน้ารับรู้ พร้อมพูดเสริมเรื่องค้างคาใจ “รวมทั้งการที่เจ้าอุรคาถูกนายปัญญาทำร้าย ถึงแม้ท่านสุบรรณจะปฏิเสธ แต่ฉันก็ปักใจเชื่ออยู่ดี ว่าท่านสุบรรณต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่ฉันแค่ไม่รู้เท่านั้น ว่าท่านสุบรรณให้ไอ้สองคนนั้นไปหาเจ้าอุรคาทำไม”
สองเกลอทำหน้าหนักใจ โดยที่ชั้นบนคฤหาสน์ สุบรรณยืนมองไพศิษฐ์และภุชคินทร์อยู่ ดวงตาเหี้ยม
นาถสุดา ยืนอยู่ข้างหลังสุบรรณ มองท่าทีของสุบรรณด้วยท่าทางไม่สบายใจเลย
ค่ำคืนนั้นนาถสุดาแวะมาหาไพศิษฐ์ที่บ้านคุณยายอติศรี ผู้กองหนุ่มถามแฟนสาวอย่างแปลกใจ
“มีอะไรนาถ ถึงได้มาหาผมซะดึก”
นาถสุดาย้อนถามอย่างกังวลใจ “คุณศิษย์คิดว่าพี่สุบรรณเกี่ยวข้องกับนายปัญญา นายสุรินทร์จริงๆ หรือคะ”
“ผมไม่ได้คิดเองเออเอง แต่หนึ่งในสองคนนั้นเป็นคนพูดออกมาเองว่าท่านสุบรรณสั่งให้ไปหาเจ้าอุรคา”
“แล้วพี่สุบรรณจะให้สองคนนั้นไปหาเจ้าอุรคาทำไม” นาถสุดาหาเหตุผลไม่เจอ
“นั่นล่ะ คือสิ่งที่ผมอยากคุยกับท่านสุบรรณ แต่ท่านไม่ยอมคุยด้วย”
“ที่ไม่คุยเพราะพี่สุบรรณไม่มีอะไรเกี่ยวข้องด้วยต่างหาก” น้ำเสียงนาถสุดาเหมือนจะไม่พอใจนัก “แต่ถ้าคุณยังคาดคั้นพี่สุบรรณอีกก็แสดงว่า คุณเชื่อคำพูดของคนพวกนั้น และคิดว่าพี่สุบรรณเป็นคนร้าย”
“อย่าเพิ่งโกรธผมสินาถ...ผมแค่สงสัย ว่าท่านสุบรรณไปหาเจ้าอุรคาทำไม? และที่สำคัญยังเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นอีก”
“งั้นก็คงไม่ต่างจากคุณแล้วก็คุณชายมังคะ ที่ไปหาเจ้าอุรคาในคืนนั้นเหมือนกัน”
นาถสุดามองจ้องหน้าไพศิษฐ์ท่าทีไม่พอใจ สะบัดหน้าเดินออกมา ไพศิษฐ์ได้แต่แสดงสีหน้าอ่อนใจออกมาที่เรื่องของสุบรรณกระทบความสัมพันธ์ของเขาและเธอ
ค่ำนั้น ขณะที่นาถสุดานั่งเล่นอยู่ในสวน สีหน้าท่าทางดูออกว่าไม่สบายใจ พันเอกนรินทร์เดินออกมาหา พูดเตือนสติ
“นาถจะทุกข์ไปทำไมล่ะลูก ทำไมไม่ถอนตัวออกมาจากความทุกข์แล้วค่อยๆ ตั้งสติ ปัญหามีไว้ให้แก้ ค่อยๆ แก้ทีละเปลาะ เวลาจะทำให้ปัญหาคลี่คลายไปเอง”
“คุณพ่อให้นาถรอ แต่นับวันเรื่องก็ยิ่งบานปลาย ตอนนี้พี่สุบรรณก็แทบไม่อยากมองหน้ากับคุณศิษฐ์ ไหนจะเรื่องคุณศิษฐ์กับคุณชาย ที่สงสัยว่าเจ้าอุรคาไม่ใช่คน แต่เป็นพญานาค”
“แล้วถ้าเจ้าอุรคาเป็นพญานาค นาถจะหมดทุกข์หรือ? สุบรรณกับไพศิษฐ์ เค้าจะดีกันหรือ? มันก็ไม่”
นาถสุดาแย้ง “มันก็ใช่ค่ะ แต่ยังไง นาถก็ไม่อยากให้ทุกคนพุ่งเป้าไปที่เจ้าอุรคา เพราะเจ้าไม่เกี่ยวอะไรกับใครเลย แค่นี้เจ้าก็ลำบากเพราะทุกคนมากพอแล้ว”
พันเอกนรินทร์ตั้งคำถาม “แล้วนาถรู้ได้ยังไงว่าเจ้าอุรคาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับใคร”
“ยังไงหรือคะ”
พันเอกนรินทร์มองจ้องลูกสาว “แล้วนาถตอบพ่อได้หรือเปล่าล่ะ ว่านาถทำไมถึงได้ห่วงเจ้า ทั้งๆ ที่นาถกับเจ้าไม่ได้เป็นคนคุ้นเคยกันสักนิดเดียว”
นาถสุดาอึ้งไปอีก ผู้พันนรินทร์พูดต่อ
“บางทีตอนนี้คุณชายภุชคินทร์ กับสุบรรณอาจจะกำลังตั้งคำถามเหมือนกับนาถก็ได้”
จริงดังว่า เพราะคืนนั้นที่วังนาเคนทร์ ภุชคินทร์เดินรอบๆ วัง ครุ่นคิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนเจ้าอุรคาถูกทำร้าย วิ่งหนีออกมา และเจองูใหญ่ และเห็นพญานาค ยิ่งคิดยิ่งสับสน
ส่วนสุบรรณก็ครุ่นคิดหนักอยู่ที่คฤหาสน์ นึกถึงภาพที่เห็นใต้น้ำว่าร่างภุชคินทร์กลายเป็นนาค
ความคิดของคนทั้งสองคน เหมือนเห็นเหตุการณ์ร่วมกัน
สีหน้าสุบรรณ นึกถึงตอนที่ว่ายน้ำและอ่อนแรงลงทุกทีๆ สุบรรณเห็นตัวเองเป็นครุฑ
ภุชคินทร์นึกถึงตอนที่ตัวเองว่ายน้ำอย่างปราดเปรียว และตอนที่สุบรรณบอกว่าเห็นภุชคินทร์เป็นนาค
ภุชคินทร์และสุบรรณทรุดกายลงนั่งหลับตา ในหัวว้าวุ่นสับสนกับเรื่องที่เกิดและหาคำตอบ
ไม่ได้
“มันต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวเชื่อมกัน ระหว่าง เรา ท่านสุบรรณและเจ้าอุรคา” ภุชคินทร์รำพึง
ฝ่ายสุบรรณเองก็พึมพำออกมาเพียง 2 คำ “พญานาค ครุฑ”
มณีสวาท ตอนที่ 9 (ต่อ)
ใต้ลำน้ำโขงที่นครบาดาล เจ้าอุรคานั่งร่ายมนต์รักษาชรายุที่ยังเจ็บปวดอยู่มาก เจ้าอุรคาเองก็เจ็บปวดเหมือนกัน เอ่ยถามชรายุอย่างห่วงใย
“เป็นอย่างไรบ้างชรายุ”
ชรายุเจ็บปวด แต่บอกอย่างเข้มแข็ง “เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วที่จะต้องปกป้องอุรคาเทวี”
เจ้าอุรคาซึ้งใจ และเสียใจ “เพราะคนเหิมเกริมพวกนั้น ที่ทำให้เราต้องเจ็บตัว แต่มันก็ได้ชดใช้กรรม
ของมันไปแล้ว”
“นั่นเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว แต่ที่ข้าห่วง…”
เจ้าอุรคามองชรายุเป็นเชิงถาม
“ข้าห่วง ที่มนุษย์พวกนั้นได้เห็นกายหยาบของเรา ข้ากลัวเพศภัยอันตรายจะมาถึงเจ้า”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือชรายุ ข้าสามารถนิรมิตกายหยาบได้ตามแต่ใจปรารถนา”
“แต่การนิรมิตกายทำให้เจ้าอ่อนพลังลง และตอนนี้เจ้าก็ใช้กายนิรมิตมานานวันแล้วเหลือเกิน โดยเฉพาะในวันเดือนดับ” ชรายุท้วง
“ต่อไปจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว ชรายุ...วันเดือนดับ ข้าจะไม่ออกไปไหน ข้าจะ
จำศีลภาวนา”
น้ำเสียงของเจ้าอุรคาเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ที่วัดแห่งหนึ่งเห็นผู้คนนุ่งขาวห่มขาว หนึ่งในนั้นมีเจ้าอุรคากับชรายุในสภาพคนปกติเหมือนคนอื่นๆ นั่งเจริญภาวนาอยู่ กายหยาบของทั้งสองดูออกว่ายังได้รับบาดเจ็บอยู่ ขณะเดินออกมาเจ้าอุรคาช่วยประคองชรายุ ที่ยังมีท่าทีบาดเจ็บอยู่
ส่วนที่วังนาเคนทร์วันต่อมา เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีพูดด้วยท่าทางตื่นเต้นให้หม่อมภาณี ภุชคินทร์ ภิงคารและนารีวรรณฟัง
“เป็นอย่างที่เราสองคนคิดเอาไว้ไม่มีผิด แต่คิดไม่ถึงเท่านั้นเองว่าเจ้าอุรคาจะเป็นพญานาค” เฟื่องฟ้าจีบปากว่า
“แล้วใครว่าล่ะคะคุณเฟื่องฟ้า ว่าเจ้าอุรคาเป็นพญานาค” หม่อมภาณีย้อนเอง
“ไม่มีใครบอก แต่เราก็สามารถประมวลจากเหตุการณ์ได้นี่ค่ะ” เฟื่องฟ้าบอกอีก
เฟื่องวลีเล่าด้วยท่าทางตื่นเต้น “ฟีบี้จะเล่าให้ฟังก็ได้ ชาวบ้านเล่าว่า เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง วิ่งลงในบึงน้ำแล้วทันใดนั้นก็กลายร่างเป็นพญานาคขึ้นมา”
ภิงคารชักหงุดหงิด “แล้วทำไม ผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นเจ้าอุรคา”
“ก็ฟีบี้บอกแล้วไงคะหม่อม ว่าบ้านเจ้าอุรคาอยู่แถวนั้น” เฟื่องฟ้าเล่าโอเว่อร์สุดๆ “แล้วคืนที่เกิดเหตุ ข่าวเค้าก็บอกว่ามีคนเข้าไปทำร้ายเจ้าอุรคาจนบาดเจ็บ แล้วเจ้าก็อุรคาหนีหายไป”
เฟื่องวลีช่วยเล่าเสริม โอเว่อร์ใส่สีพอกัน “พอเจ้าหนีไป จู่ๆก็มีงูยักษ์เข้ามาต่อสู้กับคนร้าย คนร้าย
มันโกรธเลยเอามีดแทงๆๆๆ งูยักษ์ตัวนั้น”
เฟื่องฟ้าเล่าต่อ “คราวนี้งูยักษ์มันก็เจ็บใช่มั้ยคะ มันก็เลยอาละวาด ฆ่าคนร้ายจนตาย” เฟื่องฟ้าพูดช้าๆ เน้นคำตอนท้าย “หลังจากนั้นก็ไม่มีคนเห็นเจ้าอุรคาอีกเลย”
“ที่สำคัญ งูยักษ์ตัวนั้นก็ไม่มีคนเห็นอีกเลยค่ะ เห็นแต่พญานาคโผล่มาแสดงว่า งูยักษ์ตัวนั้นนั่นล่ะค่ะที่กลายร่างเป็นพญานาค”
เฟื่องวลีพูดจบ สองแม่ลูกก็ประสานเสียงอย่างมั่นใจ
“และพญานาคตัวนั้นก็คือเจ้าอุรคา”
ภุชคินทร์หน่าย “ที่พูดมาเนี่ยอยู่ในเหตุการณ์ใช่มั้ย”
สองแม่ลูกยิ้มเจื่อนๆ
“เปล่าค่ะคุณชาย....ดิฉันฟังเค้าเล่ามาน่ะค่ะ”
“แต่ใครๆ ที่อ่านข่าว เค้าก็เล่ากันแบบนี้ทั้งนั้นนะคะพี่ชาย”
ภุชคินทร์บอกอย่างฉุนเฉียว “เลอะเทอะกันใหญ่แล้ว”
“มันไม่ใช่อย่างที่เขาว่าหรอกเหรอลูก” หม่อมภาณีถาม
ภุชคินทร์เงียบไป ไม่อยากเล่าเรื่องที่ตนเห็นพญานาคให้แม่ฟัง ก่อนจะบอกหม่อมภาณีกลางๆ
“ข่าวก็คือข่าวครับแม่ ใส่สีตีไข่ไปเรื่อย” มองเฟื่องวลีกับ เฟื้องฟ้าอย่างตำหนิ “จะเชื่อทั้งหมดคงไม่ได้”
“เจ้าอุรคาจะใช่พญานาคหรือไม่ใช่งานกาล่าดินเนอร์ที่เจ้าประกายคำจัดขึ้นคงมีคำตอบ” ภิงคารว่า
“ทำไมหรือคะคุณน้า”
“ก็เจ้าอุรคาจะมาเป็นแขกพิเศษคนเดิมของเจ้าประกายคำยังไงล่ะ แต่ถ้ามาไม่ได้...”
นารีวรรณเก็ตทันทีเสริมขึ้น “ก็หมายความว่า...เจ้าอาจจะเป็น..พญานาค อย่างที่ทุกคนสงสัยกัน”
เฟื่องวลีมองหน้าเฟื่องฟ้า ท่าทีลุ้นระทึก
ถึงวันงานกาล่าดินเนอร์ โดยแม่งานคือเจ้าประกายคำ งานจัดขึ้นตอนกลางคืนภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรู ในฮอลล์ถูกจัดและตกแต่งอย่างหรูหราใหญ่โต มีเวทีสำหรับเดินแฟชั่นโชว์อยู่ด้านในสุด
แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนแต่งตัวหรูหราสวยงาม เจ้าประกายคำคุยอยู่กับแขก โดยมีหม่อมภาณี ภุชคินทร์ ไพศิษฐ์ นาถสุดา ภิงคาร สุบรรณ เฟื่องฟ้า และเฟื่องวลียืนอยู่ด้วย
“งานจัดแสดงเครื่องเพชรคืนนี้ใหญ่โตเหมือนเดิมนะคะเจ้า”
“ก็เพราะมีเจ้าอุรคาช่วยเหมือนเดิมน่ะค่ะ” เจ้าประกายคำเยื้อนยิ้ม
หม่อมภาณีมีท่าทีแปลกใจ “เจ้าอุรคา”
“ค่ะ..เจ้าอุรคามาช่วยดีไซน์เพชรชุดใหม่ให้ดิฉัน ที่นำมาแสดงคืนนี้นะค่ะ แล้วเจ้ายังให้เกียรติมางานอีกด้วย”
เฟื่องฟ้าแทรกขึ้น “คอนเฟิร์มแล้วหรือคะว่าเจ้าอุรคาจะมาได้จริงๆ”
เจ้าประกายคำฉงน “ทำไมจะมาไม่ได้ล่ะคะ”
“ก็ข่าวว่า เจ้าถูกคนร้ายบุกเข้าไปในบ้าน ทำร้ายเจ้าซะบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น” เฟื่องฟ้าจีบปากเล่า
เฟื่องวลีช่วยเสริม “ที่ได้ยินมาปางตายไม่ใช่เหรอคะคุณแม่?”
เจ้าประกายคำแปลกใจ “ที่ถูกแทงนั่นงูยักษ์ไม่ใช่หรือคะ”
เฟื่องฟ้าแหลมขึ้นอีก “ก็งูยักษ์นั่นล่ะค่ะ เค้าว่าเป็นเจ้าอุรคา”
ภิงคารไม่พอใจรีบปราม “คุณเฟื่องฟ้า”
“คุณพี่ขา จะห้ามทำไมล่ะคะ ตอนนี้ใครๆ เค้าก็เมาท์กันทั้งนั้นล่ะคะ ว่าเจ้าอุรคาไม่ใช่คน” เฟื่องฟ้าไม่สน
“คนที่ชอบเม้าท์ไม่น่าจะมีปากไว้พูดเลยนะคะ ถ้าจะพูดแต่เรื่องเสียหายให้คนอื่นที่ดิฉันรู้มา เจ้าก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพราะเจ้าหนีออกมาได้ทัน แต่คนที่ทำก็ช่างเฮ้อ!!ไม่รู้จะมาจากนรกขุมไหน ถึงได้ใจร้ายใจดำ ทำได้แม้กระทั่งผู้หญิง”
สีหน้าสุบรรณเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเจ้าประกายคำไม่รู้ แต่สุบรรณเหมือนวัวสันหลังหวะ
“ใช่ครับเจ้า จะด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตามแต่คนที่ทำผู้ร้ายผู้หญิงได้ ไม่น่าเกิดมาเป็นผู้ชายเลย
สุบรรณหันมามองภุชคินทร์ตาขวาง ไม่พอใจ ภุชคินทร์ก็มองสู้สายตาสุบรรณไม่พอใจเช่นกัน ไพศิษฐ์ถาม
“ตกลงคืนนี้ เรายังจะเห็นเจ้าอุรคามางานใช่มั้ยครับ”
“แน่นอนค่ะ...เจ้าจะมาพร้อมชุดเครื่องประดับจากต้นตระกูลของเจ้า แต่ไม่ได้มาแค่โชว์เครื่องเพชรเหมือนเดิมนะคะ คืนนี้เจ้าให้เกียรติมาเดินแบบด้วยค่ะ” เจ้าประกายคำบอก
“ครุฑธิการ มรกต นาคสวาท” นาถสุดาว่า
“มณีสวาทค่ะ”
เจ้าประกายคำพูดยิ้มๆ ภิงคารพูดกับภุชคินทร์
“ก็ดี...น้าก็อยากเห็นเหมือนกัน เพราะถ้าเจ้าอุรคามาปรากฎตัวเดินแบบได้ ก็จะได้กลบข่าวลือว่าเจ้าเป็นงูยักษ์ เป็นพญานาคเป็นอะไรที่พิลึกพิลั่นซะที”
ทุกคนมองบนเวทีด้วยใจระทึก
บนเวทีมีนางแบบสวมชุดอลังการพร้อมเครื่องเพชร เดินกลับเข้าไปด้านหลังเวทีหลายต่อหลายคน และเสียงพิธีกรก็ดังขึ้น
“และแล้วก็มาถึง การแสดงเครื่องเพชรชุดพิเศษที่ทุกท่านรอคอย มรดกเพชรแห่งตระกูล ณ ภูจำปา ครุฑธิการ มรกต และ มณีสวาท ขอเชิญพบกับเจ้าอุรคา ณ ภูจำปา”
เสียงดนตรีประกอบรับอย่างน่าตื่นเต้นเร้าใจ ทุกสายตาเพ่งมองบนเวที เจ้าอุรคาในชุดแต่งกายสวยงามหรูหราสมกับธีมของงานที่เน้นเครื่องแต่งกายโบราณผสมผสานไทยประยุกต์ ดูเฉิดฉาย อลังการ ในขณะก้าวเดินออกมานั้น ท่าทางของเจ้าอุรคาดูเป็นปกติ ไม่มีท่าทีว่าบาดเจ็บแต่อย่างใด เครื่องประดับถูกนำมาทำส่วนต่างๆ ทุกคนมองไม่เชื่อสายตา โดยเฉพาะคนที่จ้องจับผิดและสงสัย นาถสุดามองแล้วยิ้ม ดีใจที่เจ้าปรากฏตัวในงาน
“เจ้ามาร่วมงานได้จริงๆ”
ไพศิษฐ์ หันไปมองทางภุชคินทร์ เห็นภุชคินทร์มองจ้องเจ้าหญิงผู้ลึกลับไม่กะพริบตา ดวงตาทึ่ง
ปนสงสัย ไม่เป็นอย่างที่คิด ฝ่ายสุบรรณพ่นลมหายใจออกมา โล่งอก ที่เจ้าไม่ได้เป็นงูยักษ์ หรือเป็นพญานาค
ส่วนเฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลี มองไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ แล้วเริ่มหวาดกลัว เช่นเดียวกับหม่อมภาณียังมองด้วยความสงสัย ไม่ไว้ใจ เพราะที่ผ่านมารู้สึกว่าเรื่องร้ายๆ เกี่ยวข้องกับเจ้าอุรคา และใจอยากให้ภุชคินทร์หลีกให้ไกล ทั้งทีไม่เคยเห็นกับตา
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้ม ใบหน้าสวยงามในท่วงท่าสง่า สายตารู้เท่าทันความคิดทุกคน เจ้าอุรคามองหน้าแต่ละคน ด้วยแววตาแตกต่างๆ กัน ตามแต่คนที่มองมา และโชว์อัญมณีทีละส่วน มณีสวาทที่ลำคอระหง ต่างหูมรกตที่หู ก่อนจะโพสท่าสุดท้ายด้วยยกมือขึ้นมาโชว์ พร้อมกับกรีดนิ้วอวดความโดดเด่นแห่ง ครุฑธิการ ที่ถูกนำมาทำเป็นแหวน
หม่อมภาณีมองตาค้าง ตื่นตะลึง จำได้แม่น “ครุฑธิการ”
สีหน้าของภุชคินทร์ก็ตะลึงไม่แพ้กันที่เห็นครุฑธิการเม็ดนั้น
ไม่นานต่อมา ภุชคินทร์ผลุนผลันเดินออกมาจากบริเวณงาน ท่าทางเครียดเคร่ง หม่อมภาณีวิ่งตามมาอย่างร้อนรน
“ชาย จะไปไหนลูก ชาย”
ภุชคินทร์ไม่ฟังเสียงเดินลิ่วไปอย่างรวดเร็ว
ไพศิษฐ์ นาถสุดา และนารีวรรณวิ่งตามหม่อมภาณีมา สามคนล้วนงวยงงถามในทำนองเดียวกัน
“นายชายเป็นอะไรไปครับ” ไพศิษฐ์ถาม
ตามด้วยนารีวรรณ “พี่ชายจะไปไหนคะคุณแม่”
“แม่ก็ไม่รู้ จู่ๆ ชายก็ผลุนผลันวิ่งออกไป” หม่อมร้อนใจกว่าใครอื่น
นาถสุดาตั้งข้อสังเกต “หรือว่ามีธุระด่วนคะ”
“เท่าที่คุยกันไม่มีนะ นายชายตั้งใจที่จะมางานคืนนี้ “ตั้งใจ” สังเกตการณ์งานคืนนี้ซะด้วยซ้ำไป” ผู้กองว่า
นั่นยิ่งทำให้นารีวรรณสงสัย “งั้นแปลกจังทำไมพี่ชายถึงรีบผลุนผลันออกไป? ก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าคะคุณแม่”
หม่อมภาณีอึ้งไปนิดก่อนตอบ
“ตาชายเห็นเจ้าอุรคาสวมครุฑธิการ”
ด้านเจ้าอุรคาเดินออกมาจากงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่วงท่างามสง่าเฉิดฉาย โดยมีชรายุเดินตามหลัง ท่าทางของทั้งสองคนดูเป็นปกติ ไม่มีวี่แววว่าบาดเจ็บ หรือมีแผลฉกรรจ์อย่างที่ถูกลือ ถูกเม้าท์แต่อย่างใด ผู้คนต่างจ้องมองเจ้าอุรคาเป็นตาเดียว แต่ละคนมองด้วยสายตาแตกต่างกัน เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้มขณะที่ฟังภิงคารเอื้อนเอ่ย
“ดีใจนะครับ ที่เห็นเจ้ามางานคืนนี้”
เจ้าอุรคาย้อนถาม “ก็แล้วทำไมท่านถึงคิดว่า จะไม่เห็นดิฉันล่ะคะ”
เจ้าประกายคำชิงบอก “ก็ก่อนที่เจ้าจะมาถึง มีข่าวลือน่ะค่ะ”
เจ้าอุรคาหัวเราะระรื่น เหมือนไม่ถือสา “ที่ลือว่าดิฉันเป็นงูยักษ์ที่ถูกแทงหรือเป็นพญานาคน่ะหรือคะ?”
เจ้าประกายคำหัวเราะแห้งๆ ท่าทีเกรงใจ “ก็ทำนองนั้นล่ะค่ะ”
“แล้วทุกคนเห็นว่าดิฉันเป็นอะไรหรือเปล่าล่ะคะ? ร่างกายของดิฉันก็ยังคงสมบูรณ์ทุกอย่างดี หรือไม่ใช่?” เจ้าอุรคามองหน้าแต่ละคน
เจ้าประกายคำมองมายิ้มอย่างชื่นชม “ค่ะ เจ้ายังสวย สง่างามเหมือนเดิมทุกอย่าง”
“ก่อนหน้านี้ บอกตามตรงนะครับว่าพวกเราเป็นห่วง ยิ่งเห็นเจ้าหายเงียบไป โดยไม่ได้ข่าวคราวก็เลยยิ่งเป็นห่วงกันใหญ่” ภิงคารว่า
“ขอบคุณท่านมากค่ะ ดิฉันแค่พาตัวเองไปอยู่ในที่ ที่ปลอดภัย ที่ที่ไม่อยากให้มีใครรู้ เท่านั้นเอง” เจ้าอุรคาพูดเป็นนัยอย่างเคย
เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีหันมามองหน้ากัน แววตาสงสัยเจ้าอุรคาเต็มร้อย เจ้าอุรคาปรายตามองไปทางสุบรรณ ที่ยืนอีกมุมหนึ่ง สุบรรณมีสีหน้าสลด อำนาจมองนายอย่างเห็นใจ เจ้าอุรคาพูดต่อเน้นทุกวาจา
“เพราะถ้าคนอื่นรู้...ดิฉันก็คงจะไม่ปลอดภัย”
เจ้าอุรคามองจ้องสุบรรณอย่างรู้เท่าทัน สุบรรณประสานสายตามองมาด้วยความรัก รู้สึกผิด และเสียใจ
เจ้าอุรคาเดินลิ่ว ทุกก้าวย่างงามสง่าออกมาตามทางจะกลับ สุบรรณรีบตามมา
“เจ้าครับเจ้า” สุบรรณวิ่งมาขวางหน้า
เจ้าอุรคาประสานตากร้าวนิ่ง “ดิฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ” หันไปทางชรายุ “ชรายุ ไป”
ชรายุเดินตามไป เจ้าอุรคาประสานสายตากับสุบรรณ เห็นสุบรรณหน้าสลดอยู่อย่างนั้น
“ผมมีเรื่อง อยากพูดกับเจ้าจริงๆ”
“ดิฉันก็ยืนยันว่าไม่มีอะไรจะพูดกับคุณจริงๆ”
เจ้าอุรคามองตาสุบรรณอย่างไม่พอใจ ก่อนเดินออกไป สุบรรณบอกอำนาจอารมณ์ไม่ดี
“กลับไปก่อนไป”
อำนาจอิดออด “แต่ผมเป็นห่วงนาย”
สุบรรณเสียงเข้ม “ฉัน...สุบรรณ ใครกล้าทำอะไรฉันก็ให้มันรู้ไป”
ว่าแล้วสุบรรณเดินลิ่วตามเจ้าอุรคาไป อำนาจมองอย่างเป็นห่วง แต่ยอมเดินเลี่ยงไปทางอื่น
ส่วนที่ด้านหลัง สองแม่ลูกมองหน้ากันเมาท์สงสัย
“เจ้าอุรคาไม่ได้เป็นอะไร แสดงว่า...เจ้าไม่ได้เป็นงูผี น่ะสิคะคุณแม่”
“ก็เพราะมันเป็นงูผีน่ะสิ มันถึงทำอะไรแบบนี้ได้ ถ้าอยู่ตามลำพัง ดีไม่ดีป่านนี้ มันอาจจะกำลังกระอักเลือดอยู่ก็ได้”
เฟื่องฟ้ามองตามด้วยสายตาไม่เชื่อใจเจ้าอุรคาอยู่ดี
ด้านชรายุในร่างคนเดินมาที่บริเวณลานจอดรถซึ่งค่อนข้างมืด ท่าทางของชรายุดูอิดโรย เพราะที่ผ่านมาพยายามปิดบังความเจ็บปวดเอาไว้ ชรายุเดินเซซังมายังรถ กระชากเสื้อตรงช่วงตรงหน้าอกออก เห็นผิวหนังบริเวณนั้นเป็นเกล็ดและมีลิ่มเลือดที่คั่งอยู่จากการถูกแทงทะลักออกมา สีหน้าของชรายุเจ็บปวดมาก
เจ้าอุรคาเดินลัดเลาะมายังบริเวณที่จอดรถ สุบรรณเดินแกมวิ่งมาขวางทาง หน้าตาจริงจัง เจ้าอุรคามองตาขวางแข็งไม่พอใจ น้ำเสียงเยาะ
“ท่านสุบรรณเป็นอย่างนี้นี่เอง คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ อยากได้อะไรต้องได้ โดยไม่สนใจเลยว่า คนอื่นจะมอง จะรู้สึกอย่างไร”
“สำหรับเจ้าอุรคา ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ตรงกันข้าม ผมกลับมองตัวเองเป็นแค่” สุบรรณพูดด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ผู้ชายคนหนึ่งที่หมดท่า ยอมได้ทุกอย่าง แม้กระทั่ง ถูกหยามเกียรติดูหมิ่นไร้ซึ่งศักดิ์ศรี เพื่อให้ผู้หญิงที่ตัวเองรัก หันกลับมามอง”
เจ้าอุรคาเยาะเหมือนเดิม “งั้นต้องขอโทษท่านสุบรรณด้วยค่ะ ที่ดิฉันรังเกียจผู้ชายที่ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ทำได้แม้กระทั่ง ให้คนเลวๆ มาคุกคามผู้อื่น ให้ยอมจำนนต่อตนเอง แสดงความอหังการ์ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันคือความขี้ขลาด ที่ไม่กล้ายอมรับความพ่ายแพ้ ความอ่อนแอของตัวเอง”
“ผมขอโทษ...ผมไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายใหญ่โตขนาดนั้น ผมเพียงแค่อยากรู้ เรื่องบางเรื่องของเจ้า”
เจ้าอุรคามองจ้อง ส่ายหน้า เปลี่ยนสรรพนามดูห่างเหินเมินหมาง
“...คุณรู้ว่าคุณทำอะไรลงไป”
“ผมบอกแล้วไง ว่าผมต้องการรู้บางเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าก็เท่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้น...อีกไม่นานหรอก ท่านสุบรรณ ท่านจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และจะรู้ว่าทำไม ดิฉันถึงไม่เคยอยากรับไมตรีจากท่านเลย”
เจ้าอุรคาเชิดหน้าอย่างสง่าเดินไป สุบรรณตะโกนเสียงกร้าวเต็มไปด้วยแรงโทสะและโมหะ
“มันไม่มีอะไรทั้งนั้นหรอกครับเจ้า...เหตุผลเดียวเท่านั้น คือเจ้ารักคุณชายภุชคินทร์”
เจ้าอุรคานิ่งไม่หันมาตอบ สุบรรณมองเจ้าอุรคาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวหัวใจ
กลับงานงาน ภุชคินทร์ค้นหาครุฑธิการทั่วห้องของตนภายในวังนาเคนทร์ ข้าวของกระจุยกระจายไปหมดทั้งห้อง หม่อมภาณีและนารีวรรณวิ่งหน้าตาตื่นตามเข้ามา
“ชาย...หาอะไรลูก? หาอะไร?”
“ครุฑธิการ คุณแม่ยังเก็บไว้ในห้องผมใช่มั้ยครับ?”
หม่อมภาณี นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ภุชคินทร์จะเขวี้ยงครุฑธิการทิ้ง และตนคอยห้ามเอาไว้ ทว่าภุชคินทร์ผลุนผลันออกจากห้องไปเลย และหม่อมภาณีเป็นคนเก็บครุฑธิการลงกล่อง เก็บไว้ที่โต๊ะเล็กหัวเตียง หม่อมภาณีพยักหน้า
“ใช่!แม่ยังเก็บไว้ในห้องชาย”
“แล้วมันกลับไปอยู่กับเจ้าอุรคาได้อย่างไร?” ภุชคินทร์ขุ่นมัวในใจ
หม่อมภาณีอึ้ง สีหน้าสับสนสงสัยไม่แพ้บุตรชาย ภุชคินทร์เหมือนจะหลุดขึ้นมาอีก ถามเสียงแปร่งปร่า
“ว่าไงครับแม่...มันกลับไปอยู่กับเจ้าอุรคาได้อย่างไร?”
หม่อมภาณีหน้าซีด สายตาหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด นารีวรรณนั้นถึงกับเข่าอ่อน พึมพำ
“มันไม่ใช่การเล่นกลใช่มั้ยคะคุณแม่? มันไม่ใช่การเล่นกล?”
หม่อมภาณีกับนารีวรรณมองหน้ากันอย่างหวาดหวั่น
ครุฑธิการที่สามคนบ่นหา อยู่ในมือเจ้าอุรคาที่เวลานั้นอยู่ที่เฮือนภูจำ
เจ้าอุรคาสะท้อนใจ มองจ้องครุฑธิการด้วยสายตาเจ็บปวด “แค่ได้รู้จักครุฑธิการ ท่านยังร้อนรนถึงเพียงนี้ ถ้าวันใด ท่านได้รู้จัก นาคสวาท” เจ้าอุรคาเอื้อมอีกข้างมา จับที่สร้อยบนคอ “ท่านจะรู้ว่าทำไมข้าถึงต้องเจ็บปวดทรมานและทำไม ข้าถึงต้องตามมาเพื่อให้ท่านถอนคำสัตย์สาบาน ท่านภุชเคนทร์”
สายตาของเจ้าอุรคาเจ็บปวด หัวใจแทบสลาย
พระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า สุบรรณจมอยู่ในเงามืดในคฤหาสน์ ท่าทางเหมือนยังไม่ได้นอนทั้งคืน ดวงตาแดงก่ำ ในมือมีแก้วเหล้าถืออยู่ สุบรรณตาปรือ กำแก้วแน่น ก่อนจะเขวี้ยงออกไปสุดแรง จนแก้วแตกกระจาย
“ฮึ้ยย”
สุบรรณมองเพ่งไปในกระจกตู้โชว์ที่ติดผนังบ้าน เห็นภาพที่พร่าเลือนสะท้อนออกมาเป็นภาพของสุบรรณ ในท่าที่นั่งอยู่นั้นแต่มีปีกออกมาเหมือนครุฑ สุบรรณสะดุ้งเฮือก แทบหายเมา หายง่วง เสียงของพ่อที่ตายจากไปนานแล้วดังแว่วมา
“ที่พ่อตั้งชื่อลูกว่าสุบรรณ เพราะสุบรรณแปลว่าครุฑ ลูกของพ่อจะต้องยิ่งใหญ่เหนือกว่าใครๆ เสมือนครุฑ นะสุบรรณ!”
สุบรรณตกใจ เพ่งมองอีกครั้ง คราวนี้ภาพปีกเหมือนครุฑหายไปแล้ว ยินเสียงของเจ้าอุรคาที่เจอในงานก้องดังในหู
“อีกไม่นานหรอก ท่านสุบรรณ ท่านจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และจะรู้ว่าทำไมดิฉันถึงไม่เคยอยากรับไมตรีจากท่านเลย”
สีหน้าสุบรรณสุดจะค้างคาใจ
สุบรรณคาใจร้อนใจจนต้องมาหาพันเอกนรินทร์ที่บ้าน มองจ้องผู้พันนรินทร์เป็นเชิงเว้าวอนเหมือนเป็นความหวังครั้งสุดท้าย ผู้พันผู้มีญาณทิพย์กายทิพย์มองพยายามเข้าใจ
“เหมือนที่เขาว่า ครุฑคือความยิ่งใหญ่ ไม่มีใครต้านพลังของครุฑได้” มองตาสุบรรณ ขณะเอ่ยประโยคต่อมา “เวลาเธออยากได้อะไร ไม่เคยมีใครขัดขวางได้เลย”
“แต่มันไม่ใช่เรื่องผิดนี่ครับคุณน้า? ในเมื่อผมอยากรู้ ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับผม” สุบรรณอัดอั้นจนเสียงเครือๆ “สิ่งที่มันกำลังบั่นทอนจิตใจของผมตอนนี้”
“ใช่..ไม่ผิด แต่เรื่องบางเรื่องมันก็บอกไม่ได้” ผู้พันบอกหลาน
สุบรรณเสียงกร้าว หงุดหงิดเอาแต่ใจ “ทำไมจะบอกไม่ได้”
“เพราะบอกไป คนอย่างเธอก็ไม่เชื่อ”
“ผมจะเชื่อ ถ้าคุณน้าบอกผม”
“เชื่อแค่คำพูด แต่เธอจะไม่มีวันเชื่ออย่างสนิทใจ เธอต้องศึกษาเอง เพราะมันมีทางที่จะไปถึงสิ่งที่เธออยากรู้” พันเอกนรินทร์
“ผมยอมทำทุกอย่าง ขอเพียงแค่ให้ผมได้รู้ อะไรมันกำลังเกิดขึ้นกับผม”
สุบรรณบอกเสียงกร้าวแข็ง โดยที่ด้านหลังสองคน มีนาถสุดามองมาอย่างสนใจ
หลายวันต่อมาภายในวัดที่ร่มรื่นแห่งหนึ่งในอำเภอธาตุพนม จังหวัดนนครพนม ด้านในกุฏิหลังหนึ่งพันเอกนรินทร์ สุบรรณ นั่งอยู่กับหลวงพ่อเจ้าอาวาส ด้านหลังของสองคน มีนาถสุดานั่งฟังอย่างสำรวมอยู่ด้วย หลวงพ่อทักทายผู้พัรนรินทร์
“ทำไมวันนี้ถึงมาธาตุพนมได้ล่ะโยมนรินทร์”
“ที่ผ่านมาผมไม่ได้มากราบพระอาจารย์เสียนาน แต่ระลึกถึงเสมอ วันนี้ผมตั้งใจมากราบและพาลูกศิษฐ์คนใหม่มากราบพระอาจารย์ด้วย”
“เป็นใครที่ไหนล่ะ?” หลวงพ่อถาม
“หลานของผมเองครับ”
หลวงพ่อหันมาทางสุบรรณ “แล้วมาทำไม มีเรื่องอะไร”
“ผมมีเรื่องหนักใจ จิตไม่สงบ วุ่นวายใจ ผมเลยคิดว่าความสงบน่าจะให้คำตอบกับผมได้”
“ความสงบ ฝึกกันยากนะโยม โดยเฉพาะคนที่จิตใจวุ่นวาย โยมจะสู้อยู่หรือ? ยิ่งอยากรู้ยิ่งฝึกยากนะ”
นาถสุดาได้ฟังก็พึมพำกับตัวเอง
“เหมือนที่พ่อบอก ยิ่งอยากรู้ ยิ่งห่างไกล”
สีหน้าและแววตาของสุบรรณ ขณะบอกหลวงพ่อเจ้าอาวาส เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
“ผมจึงมาหาครูบาอาจารย์ เพราะพระอาจารย์คงเมตตานำทางให้ผมได้”
หลวงพ่อยิ้มอย่างมีเมตตา
ที่มุมสงบภายในวัด เวลาต่อมา สุบรรณอยู่ในชุดขาวฝึกปฏิบัติ ทั้งนั่งวิปัสนาและเดินจงกรม
ท่าทางของสุบรรณกระสับกระส่าย เหมือนคนไกลวัด ไม่เคยปฏิบัติ และมันจึงเป็นเรื่องที่ยาก หลวงพ่อเจ้าอาวาสนั่งมองอยู่ด้วยความเมตตา
ตกตอนกลางคืน ภายในที่พักส่วนตัวของผู้มาปฏิบัติธรรม สุบรรณยังฝึกเช่นเดิม ท่าทางยังกระสับกระส่ายเหมือนเดิม แต่ดีขึ้น สีหน้าขรึมเข้า เอาจริง
ขณะเดียวกัน สองคนพ่อลูก ก้มลงกราบองค์พระธาตุพนมอย่างเลื่อมใส ก่อนจะเดินออกมาอย่างสงบ
เวลาต่อมา ที่ห้องพักริมน้ำโขง ทอดสายตามองไปเห็นเป็นยอดพระธาตุพนมสวยงาม นาถสุดาถามผู้เป็นพ่อด้วยความสงสัย
“วัดที่กรุงเทพฯก็มีมากมาย ทำไมคุณพ่อถึงต้องพาพี่สุบรรณมาถึงธาตุพนมด้วยล่ะคะ”
“สุบรรณอยากค้นหาอะไร ก็ต้องมาถึงสถานที่ที่ใกล้ชิดเค้ามากที่สุด”
นาถสุดานิ่วหน้าฉงน “สถานที่ที่ใกล้ชิดที่สุด...คุณพ่อหมายถึงอะไรนาถไม่เข้าใจคะ”
ผู้พันนรินทร์ยิ้มอ่อนโยน “เหมือนที่พ่อเคยบอกนาถทุกครั้ง บางอย่างพ่อก็พูดไม่ได้ เพราะถ้าพ่อพูดไปแล้ว ไม่มีคนเชื่อ คนก็จะมองว่าพ่อบ้า เพราะฉะนั้น พ่อก็จะบอกลูกคำเดิมถ้านาถอยากรู้ นาถต้องศึกษาเอาเอง และนาถจะรู้คำตอบด้วยตัวของนาถเอง”
“เหมือนอย่างพี่สุบรรณกำลังเรียนรู้เหรอคะ”
ผู้พันนรินทร์เสริมอีก “และอีกหลายๆคน...ที่มีความอยากรู้ และวิธีในการแสวงหาสิ่งที่อยากรู้ของเรา ก็แตกต่างกันไป”
วันต่อมาที่วังนาเคนทร์ นารีวรรณนั่งไหว้อธิษฐานอยู่หน้าจอคอมพ์ฯ
“สาธุ! อะไรก็ตามที่เคยเปิดเผยให้หนูได้เจอตำนานนาคี มาวันนี้ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเปิดทางให้หนูได้เจอตำนานนาคีอีกครั้งด้วยเถอะค่ะ สาธุ!”
มือของหนูนาเซิร์ชกูเกิ้ลหาคำว่า “ตำนานนาคี” แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไร ก็ไม่เจอ จนนารีวรรณ
หน้าเครียด ภุชคินทร์ที่จะออกไปทำงานเดินมาหา ถามอย่างเป็นห่วง
“ทำอะไรอยู่หนูนา เคร่งเครียดเชียว”
“หาตำนานนาคีน่ะค่ะ หนูนาพยายามหาเว็บนั้นมานานแล้วแต่ก็ไม่เจอสักที ตะกี้เลยไหว้ขอท่าน ขอให้หนูนาได้เจอตำนานนาคีอีกครั้ง”
ภุชคินทร์ยิ้มกลบเกลื่อน “แล้วจะสนใจอยากรู้ตำนานนาคีไปทำไม”
“เพราะพี่ชายไงคะ หนูนาไม่อยากให้พี่ชายอยู่กับความสงสัย หนูนาไม่อยากให้พี่ชายทุรนทุรายเพราะความอยากรู้เรื่องตำนานนาคี...เพราะการแสดงของเจ้าอุรคาเมื่อวาน หนูนาว่ามันต้องมีความเกี่ยวเนื่องกันแน่ๆ”
ภุชคินทร์มองหน้าน้องสาว แบบใคร่รู้ นารีวรรณพูดต่อ
“ไม่รู้หนูนาจะคิดมากไปหรือเปล่า แต่มาถึงวันนี้ หนูนาคิดว่า...พี่ชาย เจ้าอุรคา ทั้งท่าน
สุบรรณ ต้องมีอดีตชาติที่เกี่ยวข้องกันค่ะ”
ภุชคินทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่กลุ้มสุดๆ “พี่ก็คิดอย่างนั้น แต่พี่ไม่รู้ ว่าจะหาคำตอบได้อย่างไร” น้ำเสียงแผ่วลงเหมือนคนเหนื่อยล้า “ถ้ามีคนหาคำตอบให้พี่ได้คงจะดี”
สองพี่น้องมองหน้ากัน มืดแปดด้านหาทางออกไม่เจอ
ติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 10