xs
xsm
sm
md
lg

คู่กรรม ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คู่กรรม ตอนที่ 7

ที่อาคารกองพลาธิการ อู่ต่อเรือ ช่วงตอนกลางวัน เคสุเกะกำลังปีนขึ้นไปเก็บ Shime Kazari และเครื่องประดับของงานปีใหม่อื่นๆ ภายในอู่ มีค้อนตอกหัวหมุดเหล็กดังโป๊กๆ มาเป็นระยะ

“เฮ้อ.. น่าจะแขวนเอาไว้ทั้งปี.. จะได้มีสีสันสดใสตลอดไป” เคสุเกะว่า
ข้างหลังเคสุเกะเห็นทหารญี่ปุ่น 5 - 6 บ้างตอก บ้างกำลังเจียรเหล็กเป็นประกาย ทุกคนทำงานอย่างขะมักเขม้น
โกโบริรีบเดินมาที่หน่วยพลาธิการ มีเข่งเสบียงวางเรียงรายอยู่
ทหารของหน่วยทำความเคารพโกโบริ เคสุเกะเดินสวนออกมาเห็นโกโบริก็ทำความเคารพ
“ต้องการ-อะไรครับ มาทาน-ข้าวกลางวัน-ใช่ไหม ผมไป-หยิบ-ให้” เคสุกะพูดถามเป็นคำไทย
“ไม่ใช่ ไม่เป็นไร ตามสบาย”
พูดจบโกโบริก็ผิวปากเบาๆ เดินเข้าไปในอย่างอารมณ์ดี เคสุเกะมองตามด้วยความสีหน้าประหลาดใจ
โกโบริพูดกับนายทหารคนหนึ่งเป็นคำญี่ปุ่น “แล้วพ่อครัวนากะเซะไปไหนละ”
“ไปรับเสบียงที่มาจากญี่ปุ่น ที่ท่าเรือคลองเตยครับ” ทหารรายงาน
“ไม่เป็นไร”
โกโบริเดินเข้าไปมองใกล้ถุงเสบียงต่างๆ ทหารคนนั้นมองตามลุ้นๆ
“คือ ฉันอยากได้...เออ...กุ้ง”
“ได้ครับ”
ทหารหันหลังจะไปหยิบให้
“เดี๋ยว แล้วก็ เนื้อวัว เนื้อปลา น้ำตาล น้ำมันงาและเหล้าสาเก มีไหม” โกโกบริบอกชุดใหญ่
ทหารหันกลับมา “ครับ..ครับ..ครับ ได้ครับ...มีครับ”
จากนั้นทหารก็เดินไปเปิดถุงเสบียง ส่วนโกโบริเดินไปเลือกดูเครื่องทำครัว เช่น กรรไกรปากแหลมเล็ก ขวดซีอิ๊ว ด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ ผิวปากฮัมเพลงมีความสุข
ทหารอีกคนวิ่งหอบก้านทางมะพร้าวยาวพะรุงพะรังเข้ามา
“ก้านมะพร้าว ได้แล้ว ครับ”
โกโบริหันไปมองทหาร 2 และมองที่ก้านทางมะพร้าว “อา...” ยิ้มกว้างท่าทีดีใจมาก “ดีมาก”
เคสุเกะยังคงยืนมองโกโบริด้วยความประหลาดใจ

ช่วงตอนกลางวันหลังจากนั้นไม่นาน ที่บริเวณตลาดชุมชนปากคลองธนบุรี มีชาวบ้านเดินจับจ่ายเลือกซื้อของกันซาลงไปมากแล้ว แต่ยังมีทหารญี่ปุ่นราว 10 คน เดินปะปนเลือกซื้อของอยู่ไกลๆ
ส่วนในร้านกาแฟ อาโกเดินถือแก้วโอยัวะ 2 ใบ มาวางให้ที่โต๊ะกำนันนุ่ม ที่นั่งอยู่กับตาแกละและ
ชาวบ้าน 4 - 5 คน
“นี่ๆ ฉันมีของดีมาอวด”
ว่าพลางตาแกละควักพระผงองค์เล็กๆ สององค์มาจากกระเป๋าเสื้อ ยกมือขึ้นพนม แล้วแบออกให้ทุกคนดู
“ของหลวงพ่อจาดกับหลวงพ่อจงเชียวนะ หาไม่ได้ง่ายๆ”
ชาวบ้านฮือฮาใหญ่ ต่างชะโงกหน้ามามุงดู
“อั๊วไม่รู้จัก” อาโกบอก
“มีไว้จะได้ช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัย หรือโกอยากได้พวกเครื่องรางของขลังล่ะ มาเช่าไปบูชาได้ เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็มีพกไว้ทั้งนั้น” ตาแกละไม่ละความพยายาม
“อย่ามาหลอกขายอั๊วเลย จ่ายค่าโอยั๊วะมาดีกว่า”
ชาวบ้านคนอื่นๆ สนใจขอดูพระเครื่องของตาแกละ ไม่มีใครใส่ใจคำพูดของอาโก และต่างเอาพระเครื่องและบรรดาเครื่องรางของตนออกมาอวดแข่งกัน
“นี่ๆ ชั้นมีตระกรุด กับ ผ้ายันต์”
ชาวบ้านอีกคนอวด “ของชั้นผ้าประเจียด”
อาโก แหวกออกเสื้อให้ดู ผ่าง!
“ของอั๊วะเสื้อยัง กับนี่.. พระขัวอีโต้”
ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างฮือฮา มาชะโงกหน้าแย่งกันขอดู
“หยุด! ของข้าเด็ดที่สุด”
ตาแกละร้องเสียงดัง พลางหยิบเอาถุงใส่ทรายขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“ทรายเสก... เอาไปโปรยรอบๆ บ้านนะ รับรองเรือบินมองไม่เห็น ถ้ามันทิ้งระเบิดมา ระเบิดจะเฉียดบ้านเรา ไปโดนบ้านคนอื่นหมด”
อาโกค่อยๆ ยื่นหน้ามาดูอย่างสนใจ
เสียงยายเมี้ยนแหลมเข้ามา “ไอ้แกละ! ไอ้แกละ!”
“นี่ตาแกละ” หันมาเห็นกำนันนุ่ม “อาพี่กำนัน..นี่” พยายามจะรีบพูดแต่เหนื่อยหอบ “ฝรั่ง ฝรั่ง...”
อาโกบ่น “อะไรอีก ฝาหรั่งอั้วะไม่ชอบกิงนะ ช่วงนี้อยากกิงกะท้องห่อหวางๆ เปี้ยวๆ มากก่าอาเมี้ยง”
“กะท้อนห่อบ้านเตี่ยแกสิ..ฝรั่งหัวทองย่ะ..ไอ้ยุ่นมันจับมาไว้เต็มที่ฝั่งกระนู้นนั่นละ มันเอามารวมไว้เต็มคุกเลย จับมาจากไหนมั่งก็ไม่รุ สงสัยว่ามันจะเอามาฆ่าหมู่” ยายเมี้ยนประกาศข่าวใหญ่อย่างภูมิใจ
จังหวะนั้นที่หน้าร้าน มีญี่ปุ่นเดินผ่านไป 4 - 5 คน
กำนันนุ่มร้องเตือน “ยายเมี้ยน” เหลือบมองหาพวกทหารญี่ปุ่น “จะเสียงดังอะไรก็ระวังหน่อย ใครเขาจะเอาใครไปฆ่าไปแกงกัน...” แล้วลดเสียงเบาลงขณะพูดต่อ “ได้ข่าวว่าพวกญี่ปุ่นจะเกณฑ์เชลยจะให้ไปสร้างทางรถไฟสายหนองปลาดุก-กาญจนบุรีอะไรโน่น”
ยายเมี้ยนเหลือบมองตามอย่างหวาดกลัว เสียงเบาลงก้มเชิงกระซิบ “แล้วรู้มั้ยล่ะ เขาว่าพวกฝรั่งมันตายกันเป็นเบือ ขี้แตกมั่ง เป็นไข้ป่ามั่ง ที่ยังรอดตายอยู่ก็ผอมยังกะเปรต” ลดเสียงลงอีกตอนพูดต่อ “นี่จะบอกให้นะ ว่าพวกไอ้ยุ่น..มันทำทารุณกะพวกฝรั่งอังกิดยังไงมั่ง”
ชาวบ้านโต๊ะข้างๆ ลุกมามุงให้ความสนใจ รีบถามข่าวจากยายเมี้ยนกันทันที ยายเมี้ยนรู้สึกพอใจหน้าบานเป็นจานที่มีคนมาฟังมากขึ้น
ยายเมี้ยนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาว ตั้งท่าเม้าธ์แบบจัดเต็ม

“นี่นะฟัง...เขาว่ากันว่า”

พระอาทิตย์คล้อยต่ำบอกเวลายามเย็น ที่ริมคลอง มีเด็กกระโดดน้ำเล่นกัน เห็นดอกไม้เลื้อยเด่น เหนือซุ้มหลังคาประตูทางขึ้นบ้าน

เท้าของแม่อรก้าวเดินลงบันไดเรือนมาจนถึงพื้นด้านล่าง และกำลังหมุนตัวหันสวมรองเท้าแตะที่เชิงบันได แม่อรหันหลังสวมรองเท้า มือหนึ่งหอบมุ้งเก่าๆ สีมอ แต่สะอาด อีกมือถือตะเกียง ยังไม่ได้จุด และถุงใส่ห่อข้าวใบตองสามสี่ห่อดูพะรุงพะรัง ทันใด เสียงหมาเห่ารับคนแปลกหน้าดังขึ้น
เป็นโกโบริ ที่ถือห่อของวัตถุดิบมาเต็มสองไม้สองมือ หนีบๆ ห่อของติดมามาด้วยใบหน้ายิ้มแป้น เดินเคียงมากับหมอทาเคดะที่สะพายกระเป๋าเครื่องมือและอุ้มห่อของมาเต็มแขนเหงื่อแตกพลั่ก
“มากันแล้วคับ” โกโบริโค้งศีรษะทักทาย
“อะอาว” แม่อรมีสีหน้าตกใจนิดๆ “อะไรกันจ๊ะนั่น”
โกโบริ และหมอทาเคดะโค้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มแป้นตอบ
“เรามา ทำอาหาร เพื่อเป็นการแสดง-ขอบคุณครับ”
“มาทำอาหารกิน-แล้ว-เยี่ยมคุนยาย-ด้วย”
หมอทาเคดะยกห่อ และถุงสารพัดขึ้นมาให้ดู โกโบริก็ยกห่อของขึ้นให้ดูด้วย
แม่อรยิ้มๆ “อ้อ...ที่จะมาทำอาหารญี่ปุ่นกันใช่ไหม.”
โกโบริ และหมอทาเคดะมองมาที่ของพะรุงพะรังของแม่อร แม่อรรู้ตัว มองของในมือตน แล้วรีบหาเรื่องคุยเปลี่ยนความสนใจ
“อาหารญี่ปุ่นก็น่าอร่อยดีนะ..เออ..แล้วจะมาทำอะไรกินกันจ๊ะ”
โกโบริยิ้มตอบด้วยความมั่นใจในความอร่อย “เทริยากิคับ”
“อ้อกิๆ เก้ๆ.. ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรด้วยสิ..พอดี..อังศุมาลินเขาไม่อยู่...ไปในสวน”
“อัง..อังศุมาลิน” โกโบริทวนคำ
แม่อรหันมา “จ้ะ...แม่อังลูกฉันน่ะ...เดี๋ยวคงมาละ”
“อังศุมาลิน แปลว่า อะไรครับ” โกโบริถามเพราะอยากรู้มานาน
“อ๋อ อังศุมาลิน...อังศุมาลินแปลว่าดวงตะวัน”
“ดวง ตาวัน” โกโบริพูดตามงงๆ
“พระอาทิตย์..ก็พระอาทิตย์..ที่กำลังจะตกดินไง นั่นไง” แม่อรชี้ไปตามที่เห็น “พระอาทิตย์”
2 หนุ่มหันมองตาม พูดพร้อมกัน “พรา-อา-ทิด”
“อ้า.. พระอาทิตย์” โกโบริคิดหาคำ “..โยโกะ..ฮิเดโกะ”
แม่อรมองงงๆ
“ฮิเดโกะ!”
โกโบริโพล่งออกมาเสียงดัง จนแม่อรตกใจ
“พ่อคุณ อะไรอีกละ”
“เรียกว่า ฮิเดโกะง่ายกว่า” โกโบริว่า
แม่อรเห็นช่องว่าง พยายามจะเดินหลบ เลี่ยงๆ ไป
“ท่าน-จะไปไหน-คับ”
“หาออ..เออ…” แม่อรพยายามหาคำตอบ “อามาพอดี.. แม่โกะๆ ของเธอ”
อังศุมาลินเดินเลี้ยวมาจากสวนพอดี ในมือมีตำลึง ฟักข้าว และห่อพริก
แม่อรโล่งใจน้ำเสียงดีใจมาก “อ่า...อังดูพ่อสองคนนี้หน่อยจะมาทำกี้ๆ เก้ๆ อะไรไม่รู้ เดี๋ยวแม่ไป…” แม่อรพยายามคิดหาคำตอบไม่ทัน เพราะไม่ค่อยโกหก
อังศุมาลินเห็นแม่หอบของพะรุงพะรัง สบตาก็รู้ทันที
อังศุมาลินรีบช่วยแก้ให้ทันที “อ๋อ..ใช่ค่ะ..แม่มีธุระ..รีบไปเถอะ” พลางร้องตะโกนตามหลังแซวๆ รู้กันกับแม่ “แม่รีบกลับมาไวไวนะหนูเก็บฟักขาวมาตำน้ำพริก จะให้สองคนนี่เผ็ดลืมญี่ปุ่นไปเลย”
โกโบริ และหมอทาเคดะมองตามแม่อรที่เดินตัวปลิวไป
โกโบริหันมาโค้งๆๆ ยิ้มกว้างฟันขาวทั้งปาก ท่าทีกระปรี้กระเปร่าให้อังศุมาลิน
หมอทาเคดะเห็นดวงตาโกโบริเป็นประกายเจิดจ้า แอบขำปนส่ายหัวนิดๆ
อังศุมาลินมองพริกในมือ ยิ้มสนุกนึกในใจว่า...พวกนายเสร็จฉันแน่

จวนค่ำ อังศุมาลินเดินนำ โกโบริและทาเคดะขึ้นเรือนมา
“เห็นคุณหมอมา.. คุณยายคงดีใจ”
อังศุมาลินเดินถือผักที่ได้มา ตรงเข้าไปที่ครัวแล้วเดินถือกะละมังออกมาวาง จากนั้นเดินกลับเข้าไปที่ครัวใหม่ โดยลืมสองหนุ่มที่ยืนอยู่ พอนึกได้ โผล่หน้าออกมา เห็นสองหนุ่ม ยืนเหงื่อแตกแบกของอยู่กับที่ สีหน้าที่มองกันไปกันมา ประมาณจะให้วางไหนก็ไม่บอกนะ
“ยืนอยู่ทำไม..วางของกันสิคะ แล้วอยากได้เครื่องปรุงอะไรเพิ่มเติมก็บอกมาเลย”
หมอทาเคดะหันมองเพื่อน ปรึกษากัน
“หมอ วางกันเถอะ”
“ใช่ วาง”
โกโบริและหมอทาเคดะหันพยักหน้าหากัน พร้อมใจกันวางของที่หอบกันมาลงตรงนอกชาน
ระหว่างนั้นเห็นยายศรถือตะเกียงที่จุดแล้ว เดินออกมาจากในห้อง ทั้งสองคนรีบโค้งทักทาย
“คุณยายสบายดีนะครับ
“ดีจ้ะ นายช่างกับหมอล่ะ” ยายถามขณะแขวนตะเกียงกับเสาเรือน
“สบายดีครับ” / “ขอบคุณครับ” สองหนุ่มบอกพร้อมกัน
คุณยายศรแวะหยิบขวดโหลใส่ของกินเล่นที่ชั้น ที่วางอัฐบริขารส่วนตัวมาให้
“นี่จ้ะกล้วยฉาบ ที่ทำไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว”
“ปี-ที่แล้ว..” พูดทวนคำกับโกโบริเป็นคำญี่ปุ่น “ปีที่แล้ว?”
“ไม่เสียไปแล้วหรือ” โกโบริสงสัย
“มันจะเน่า หรือบูด..ใช่ไหม” หมอก็สงสัย
“หรือเป็นรา” โกโบริส่องดู แล้วเงยหน้ามาอธิบาย “ของที่เมืองไทย เป็นราง่ายมากครับ”
ยายศรหัวเราะ อธิบายความ “พวกเราถนอมอาหารไว้กินนานๆ แบบนี้ก็ได้จ้ะ เอาน้ำตาลมาฉาบ..เคลือบไว้.. เป็นของแห้งๆ กินเล่น ไม่เสีย ไม่ขึ้นราหรอก ที่จริงทำมาเมื่อก่อนปีใหม่นี่เอง”
ทาเคดะกะโกโบริมองหน้ากัน ส่งเสียงดัง “อ้อ”
“ก้วยชาบุ.. ไม่ใช่ เรียกว่าอะไรนะ” ฌกโบริพยายามนึก “ก้วยช้าบ”
“ออ” หมอทาเคดะพยักหน้ารับช้าๆ “กะ -ล่วย ช้าบ”
ทั้งสองหนุ่มพร้อมใจกัน หยิบออกมากิน ทีแรกหวั่นๆ ค่อยๆ ลิ้มรสความอร่อย แล้วมองหน้ากัน พยักหน้าหงึกๆ
“อร่อยๆ” โกโบริบอกยิ้มๆ
“อร่อย หวาน หอม กรอบ” หมอทาเคดะว่า
ยายศรขำหัวเราะร่า “เอาไว้กลับญี่ปุ่น ชั้นจะทำให้ห่อเอาไปกินกันในเรือนะ กินได้นานๆ เอาไปฝากพ่อแม่พี่น้องด้วย”
โกโบริกับหมอทาเคดะประสานเสียง “ยินดีๆๆ” / “เอาๆๆ” พลางล้วงขวดโหล หยิบมากินกันอีก “เอาไปฝากๆ”

อังศุมาลินและยายศรขำทั้งสองหนุ่ม หัวเราะกันสดใส แล้วอังศุมาลินเองก็เลยพลอยหยิบมาแทะกินเองบ้าง

ทั่วชานเรือนอังศิลามินตกอยู่ในแสงตะเกียง และเทียนบ้าง ตรงจุดที่จุดเพื่อเพิ่มแสงเป็นระยะ เห็นกุ้งสด เนื้อสด ปลาสด ต่างถูกแกะวางลงในทีละชาม

สีหน้าโกโบริและหมอทาเคดะที่มองของต่างๆ ตรงหน้า มีชามของสดที่แกะออกวางหมดแล้วและเครื่องปรุงมากมายวางเรียงรายยืดยาวตรงหน้าสองพ่อครัวจำเป็น โดยทั้งโกโบริและทาเคดะที่อยู่ในสภาพพร้อมลงมือเต็มที่ คือพับขากางเกง ถกแขนเสื้อขึ้น โดยเฉพาะโกโบริดูเอาจริงเอาจังกว่าเขาเพื่อน พับแขนสูงขึ้นถึงไหล่เลยทีเดียว
คุณยายศรเดินเข้ามาสังเกตการณ์
“อาหารญี่ปุ่น ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้นะ ขอเป็นคนดูอยู่ห่างๆ นะ”
2 หนุ่มรับคำพร้อมกัน “ใช่ๆๆ” / “ได้ๆๆ”
คุณยายชราขำๆ ส่ายหัว
ฝ่ายอังศุมาลินกำลังยกกะชุถ่านท่อนเล็กๆ มาวางข้างเตาขนาดเล็ก ที่ตั้งให้เป็นพิเศษกลางชานเรือน โดยมีแผ่นสังกะสีแบนๆ รองใต้เตากันร้อน พร้อมตะแกรง สำหรับปิ้งย่างของ 2 - 3 ขนาดมาวางให้เผื่อเลือก แล้วหันไปหาหมอทาเคดะ
“ต้องการอะไรอีกไหมคะ”
โกโบริตอบแทนซะงั้น “ออ ไม่-ต้องการ-แล้ว คับ”
อังศุมาลินยังถามกับทาเคดะอีก “แล้วจะให้ฉันช่วยอะไรก็บอกนะ”
หมอทาเคดะฟังแล้วหันไปมองเป็นเชิงหารือกับเพื่อน โกโบริสั่นหัวเบาๆ
“ไม่เปนไร วันนี้ เราเลี้ยงเอง ทำเอง”
“ให้ติดไฟให้ไหม” อังศุมาลินอาสา
โกโบริโบกไม้โบกมือ ด้วยท่าทีมั่นใจว่าเอาอยู่ “ยังไม่ต้อง เราต้อง แช่กุ้ง ปลา เนื้อ กับเหล้าก่อน” พูดกับหมอเป็นคำญี่ปุ่น “หมองั้นเราเอาแช่เหล้าเลย อย่าช้า” พลางเอื้อมไปคว้าขวดเหล้ามิริน มาจะเปิดเทลงกุ้งสด
หมอทาเคดะเห็นก็ยกมือยั้งห้าม พูดกับโกโบริเบาๆ “เดี๋ยวๆ กุ้งน่ะ ต้องล้างแล้ว ปอกเปลือกก่อน”
โกโบริชะงัก แต่กลัวเสียฟอร์ม เพราะเงยหน้าขึ้นไปเห็นอังศุมาลินยืนมองอยู่
โกโบริเถียง ทำเสียงเข้มมั่นใจเข้าไว้ “ไม่ต้องหรอก”
“ต้องสิ..ต้องล้างก่อนนะ! ล้างก่อน” หมอเถียง
อังศุมาลินขำ ปนระอา “ตามใจนะ แล้วแต่”
“หวังว่าคงได้กินวันนี้นะ” ยายศรว่า
โกโบริกับหมอทาเคดะที่ฟังความไม่ทันหันมามองสั้นๆ แล้วหันไปเถียงเบาๆ กันต่อ อังศุมาลินสบตายาย แอบขำ ส่ายหัว เดินเข้าครัวไป

ข้าวคลุกน้ำพริกในห่อใบตองหมดเกลี้ยง วางลงด้วยมือตาบัว ขณะที่ตาบัวเช็ดข้าวติดปาก ท่าทางอร่อยเหาะอิ่มหนำสำราญ มีตาผลนอนซมอยู่ในผ้าห่มผืนใหม่ที่แม่อรหอบมาให้อยู่ข้างหลัง
ตาบัวเคี้ยวไปพูดไป รีบพูดจนไม่ค่อยชัด
“ฝีมือแม่อรนี่เหลือจะบรรยายจริงๆ ต้องขอกราบ..ขอบพระเดชพระคุณแม่อรมากๆ ที่สงสารลูกนกลูกกาอย่างพวกฉัน ช่วงนี้หากินลำบากจริงๆ ต้องระวังตัว กลัวไปหมด ทั้งกำนัน ทั้งตำรวจ ทั้งญี่ปุ่น”
แม่อรเอาตะเกียงที่จุดแล้วขึ้นแขวน “ใช่สิ ที่พวกลุงทำน่ะ คดีอาญานะ ยังนับว่าบุญ..ที่นายช่างเขาสงสาร ไม่เอาเรื่อง วันหลังจะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อนล่ะ”
“แหม ก็ถ้าไอ้ผลมันไม่โดนไข้จับละก็ จ้างให้พวกมันก็ไม่มีทางจับได้หรอก” ตาบัวหันมาพูดบ่นว่าเอากับตาผล “ใช่..ไอ้ผล เพราะเอ็งนั่นละ พวกมันถึงรู้เลยว่าใครฟัน บ้าฉิบ..เสียเกียรติประวัติ”
แม่อรถอนหายใจส่ายหัว “พ่อมหาจำเริญทั้งสองนี่น้า...จริงๆ เลย” ชำเลืองมองไปทางตาผล “เอ้า เอามุ้งมาให้กางนอนกัน จะได้ไม่โดนยุงกัด เอาเชื้อไปแพร่อีก.. แล้วนี่ยอมกินยาแล้วหรือยัง..หา..แล้วมันจะหายไหมนี่”
ตาบัวข้าวยังเต็มปาก พูดไม่ได้ พนมมือท่วมหัว ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ

มองจากที่บริเวณริมคลอง ตอนกลางคืน เห็นแสงไฟวอมแวม มาจากตามบ้านสวนที่ห่างๆ กันไปริมน้ำ
ส่วนที่ชานเรือน กุ้งสดที่ถูกแกะเปลือก เนื้อสด ปลาสด ที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ แช่เหล้าไว้ อยู่คนละชามแยกกันอย่างเรียบร้อย อังศุมาลินวางมือเสร็จจากการคลุกกุ้งกับเหล้าในชาม มือเลอะคราบมันกุ้ง
“เอาละเรียบร้อยแล้วนะยังต้องทำอะไรอีก”
โกโบริ และหมอทาเคดะมองอังศุมาลินด้วยความทึ่ง จ้องกันตาแป๋ว
โกโบริยิ้มแฉ่ง แก้เสียหน้าที่ปล่อยให้อีกฝ่ายลงมือ “แช่แล้ว เดี๋ยวเรา” ทำมือ ทำไม้ คิดคำไทย “เสียบไม้”
“ออ..ก็คล้ายกับเนื้อสะเต๊ะสิ แล้วมีอะไรจิ้มไหม” ยายศรว่า
โกโบริมีสีหน้าเอ๋องง ทวนคำถาม “อะไรจิ้มไหม จิ้ม” ยิ่งพูดก็ยิ่งงงๆ
“ก็จิ้มแบบ เพิ่มรสชาติ เอาเครื่องปรุง..น้ำปลา ซีอิ๊ว น้ำมะนาว น้ำส้มสายชู..หรืออะไรมาใส่ถ้วย ใส่พริก..หรือกระเทียม..แล้วเอาเนื้อสัตว์ลงไปจิ้มๆ” อังศุมาลินอธิบาย พร้อมทำท่าประกอบ
“เอางี้..หนูทำอาจาดแตงกวามาให้ด้วยดีกว่า” ยายศรบอก
อังศุมาลินแอบกระซิบยายขำๆ “เผื่อเราจะกินไม่ลง ใช่ไหมคะ”
โกโบริมองๆ ได้ยินไม่ถนัด “อะไรครับ”
ยายหลานรีบปฏิเสธ “เปล่าๆๆ ไม่มีอะไร”
ยายศรสำทับ “หนูรีบไปทำเถอะ”
“ค่ะๆๆ” อังศุมาลินรีบไปที่ครัว
โกโบริพูดกับหมอทาเคดะ “หยิบห่อนั่นให้ผมที” พลางชี้ไปที่ห่อข้างๆ ตัวหมอ
หมอทาเคดะหันไปหาตรงที่โกโบริชี้ “ห่อนี่นะ”
หมอทาเคดะหันไปหยิบห่อผ้าเป็นทางยาวๆ ที่วางอยู่ใกล้มาส่งให้โกโบริ
โกโบริเปิดห่อออกมา เป็นก้านทางมะพร้าวที่ยังไม่ได้ลิดใบออกที่ได้มาจากทหารที่อู่ตอนกลางวันนั่นเอง
“มาทำไม้เสียบกัน” โกโบริยกก้านทางมะพร้าวขึ้นมา
“ลิดใบมะพร้าว..มาๆๆ งานถนัด ยายช่วย” ยายศรกุลีกุจอเข้ามาทำอย่างคล่องแคล่ว
โกโบริพยายามประดิษฐ์ ตัดปลายก้านไม้เสียบให้เหลือใบติด ทำเป็นรูปต่างๆ แต่ผลออกมาไม่ค่อยเป็นรูปนัก คุณยายกับโกโบริต่างเอาผลงานมาโชว์อวดกัน
ของยายศร สานใบมะพร้าว เป็นปลาตะเพียนตัวเล็กๆ
โกโบริเห็นตบมือกราว เริงร่า พยายามจะสาตามมั่ง แต่ออกมากลายเป็นอะไรไม่รู้ ทาเคดะเห็นหัวเราะลั่น
ฟากอังศุมาลินทำน้ำจิ้มไป หันไปมองคุณยายกับชายหนุ่มทั้งสอง ด้วยสายตาฉงน ไม่เคยเห็นมุมนี้ของนายทหารญี่ปุ่นสองคนนี้มาก่อน เหมือนเด็กที่เล่นกับญาติสนิทของตน ที่มือ และแขนของโกโบริและหมอ มีทางมะพร้าวทำเป็นแหวน กำไล นาฬิกา ที่ยายทำให้ใส่ คนละหลายๆ วง
โกโบริ กับหมอทาเคดะ หั่นก้านมะพร้าวตรงแข็งๆ ให้เป็นแท่ง ตัดปลายให้แหลม หัวเราะเสียงสดใส คุณยายศรก็ดูร่าเริง สนุกสนาน อังศุมาลินมองไปมองมา เริ่มอึ้งๆ ใจลอย

ภาพจำในอดีตผุดขึ้นในห้วงคำนึงของอังศุมาลิน ขณะที่วนัสกำลังนั่งช่วยเหลาทางมะพร้าว โดยอังศุมาลินนั่งเอาดอกรักเสียบเรียง ให้เป็นเส้นที่โค้งสวย หลายๆ เส้น สำหรับเอาไปเสียบแจกันถวายพระ
วนัสมองมาด้วยแววตาอ่อนหวานลึกซึ้ง ร่ายกลอน
“หาแถง แง่ฟ้า หาง่าย
เบื่อหน่าย บงนัก พักตร์ผิน
หาเดือน เพื่อนเถิร เดินดิน
คือนิล นัยนา หาดาย
เพ็ญเดือน เพื่อนดิน สิ้นหา
เพ็ญเดือน เพื่อนฟ้า หาง่าย
เดือนเดิน แดนดิน นิลพราย
เดือนฉาย เวหาสน์ ปราศนิล”
อังศุมาลินแกล้งทำเป็นมองอย่างเหยียดหยามเว่อร์ๆ “ที่ท่องมาน่ะ แปลว่ายังไง..รู้เหรอ”
วนัสทำสีหน้ามั่นใจมาก “ถ้าจะหาพระจันทร์บนฟ้านั้น..หาง่าย ดูจนเบื่อที่จะมองแล้ว แต่จะหาพระจันทร์บนดิน ที่จะให้มาเดินเคียงในป่าเป็นเพื่อนกัน หายากกว่าเดือนเพ็ญบนฟ้า โดยเฉพาะดวงจันทร์ที่มีเนตรเป็นสีนิล ซึ่งดวงจันทร์บนฟ้านั้น..จะมีเนตรเป็นสีนิล..เช่นนี้” วนัสเอาไม้ชี้มาที่หน้าอังศุมาลิน “ก็หามีไม่...เป็นไง แปลใช้ได้ไหม”
อังศุมาลินทำหน้าหมั่นไส้ตอบ แต่ไม่ถึงกับเป็นการค้อน

พระจันทร์เต็มดวงสวยเด่น โผล่จากขอบสวนด้านหนึ่งของคลอง แสงเย็นตาสว่างไปทั่วคุ้งน้ำ อังศุมาลินมองไป 2 หนุ่มแล้วถอนหายใจ ก่อนจะหันกลับมาหั่นแตงกวาไป
2 นายทหารหนุ่มชาวญี่ปุ่น เริ่มช่วยกันเสียบพวกเนื้อสัตว์เข้ากับไม้ หน้าตาเอาจริงเอาจัง อังศุมาลินพยายามปัดความกังวลออกไป หันไปเริ่มเอาถ่านก้อนเล็กๆมาวางในเตา
ทันใดนั้น เสียงหวูดแหลมสูงค่อยๆดังขึ้นช้าๆ อังศุมาลินตกใจ เสียงหวูดค่อยดังโหยหวนกึกก้องไปทั่ว โกโบริ และหมอทาเคดะรีบหยุดมือทันที
คุณยายศรกำลังหาพวกจาน ชาม แปลกใจ “เสียงอะไร”
โกโบริหันไปทางเสียง สบตาหมอ “หมอ! ที่อู่!”
ขาดคำโกโบริลุกพรวดขึ้น หมอทาเคดะลุกตาม โกโบริ ละล้าละลัง หันไปมองอังศุมาลิน และคุณยาย โกโบริเดินเข้าไปหายายศร ด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“คุณยายครับ คุณอังศุมาลินครับ..กลัวไหม”
อังศุมาลินหน้าซีด กลัวจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว แต่ยังพยายามข่มใจไว้
“ไม่..ไม่กลัว..แต่..แม่..แม่ยังไม่กลับมาเลย มืดป่านนี้แล้ว..ทำยังไงดี”
คุณยายตัวสั่นท่าทีสยอง “เคยได้ยินเสียงแว่วๆ มาไกลๆ จากฟากคะโน้น..แต่ไม่รู้ว่ามันน่าขนพองสยองเกล้าขนาดนี้เลย”
โกโบริพะว้าพะวงยิ่งขึ้น เสียงหวูดยังดังต่อเนื่อง
โกโบริหันไปบอกหมอทาเคดะ “หมอ รีบไปก่อน เดี๋ยวผมตามไป”
“ได้ ผมไปก่อน”
หมอทาเคดะคว้ากระเป๋าอุปกรณ์พยาบาลขึ้นสะพายแล้วรีบใส่รองเท้า และวิ่งลงเรือนไป อังศุมาลินวิ่งตรงไปหายาย
“เรือบินมันจะมาทิ้งระเบิดบ้านเราเหรอ..ตายแล้ว คุณพระคุณเจ้า พระคงคา พระธรณี เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าบ้านเจ้าเรือน พระสยามเทวาธิราชช่วยด้วย” ยายศรครวญคร่ำ
โกโบริรีบใส่รองเท้าแล้ววิ่งเข้ามาหาอังศุมาลินและยาย พูดกับอังศุมาลิน
“คุณรีบไปหา-ผ้าห่ม-ให้คุณยายนะ คงต้องรีบ ออกจากบ้านนี้- ไปหา-ที่หลบ ที่นี่-คง-ไม่ปลอดภัย เพราะ-ใกล้อู่มาก เร็ว”
“ค่ะ ค่ะ”
อังศุมาลินรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องยาย ส่วนโกโบริประคองยายศรไว้แล้ว
“มากับผมทางนี้นะ”
“จ้ะๆ แล้วแม่อรละ” ยายศรถามหาแม่อร
อังศุมาลินวิ่งออกมาพร้อมผ้าห่ม ตะโกนแข่งเสียงหวอ
“คุณยาย คุณพาคุณยายไปก่อน...ชั้นจะรอแม่...”
โกโบริสั่งเข้ม “ไม่ได้คุณต้องมาด้วย เดี๋ยวนี้”
อังศุมาลินละล้าละลัง “แล้วถ้าแม่มาไม่เจอใครล่ะคะ”
โกโบริพูดด้วยน้ำเสียง และใบหน้าที่จริงจัง “ฮิเดโกะ! ไป”

อังศุมาลินชะงักเล็กน้อยกับคำเรียก มองแบบไม่ชอบใจนัก ท่าทีละล้าละลัง เหลียวหน้าพะวงหลัง แต่ต้องยอมตามไป

คู่กรรม ตอนที่ 7 (ต่อ)

ที่วัดชุมชนปากคลอง ค่ำคืนนั้น เสียงหวูดดังโหยหวนต่อเนื่องยาวนาน หลวงพ่อตาลีตาลานขึ้นไปตีระฆังที่หอระฆังวุ่นวาย

พระ 4 รูป ช่วยกันวิ่งดับธูปเทียนหน้าพระประธาน ดับตะเกียงจนมืดทั้งวัด พวกสามเณรจับกลุ่มอยู่ใต้ศาลา ตกใจๆ งงๆ
สามเณรบางรูปสนอกสนใจเสียงหวูดออกมาแหงนหน้าดูบนท้องฟ้า หลวงพ่อวิ่งมาถึงรีบคว้าตัวเข้ามาข้างในทันที
“หลังปีใหม่แท้ๆ มาเล่นกันซะได้ ประชุมกันหยกๆ ว่าจะขุดหลุมหลบภัย ยังไม่ทันได้ขุดเลย..เอ้า เข้ามาๆ ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นมากนักหรอก”

เสียงหวูดดังต่อเนื่องยาว ปนเสียงระฆังพระ ที่ตลาดชุมชนปากคลอง อาโกยืนเซ่อ มองงงงัน มีชาวบ้านวิ่งผ่านหน้าร้านไป หกล้มหกลุก
อีกมุม เฮียเม้ง กับวิภา ช่วยกันขนสมบัติ กระเป๋าอีกมากมาย และมีหีบเงินด้วย
“หนีไปๆๆ ให้หมก มันมาเลี้ยวโว้ย มันมาจิงๆ ล่วย” อาโกร้องโหวกเหวก
“กำปั่นเงินๆ สร้อยทอง หีบทองๆ อย่าลืม วิภา..แม่ลื้อล่ะ ๆๆ เราจะต้องรอดๆๆ สาธุ นะโมตัสสะๆ” อาเม้งกำชับลูกสาว
“คุณพระช่วยด้วยๆๆ ม้า..ม้า..อาม่าๆๆ อยู่ไหนๆๆ” วิภาร้องครวญคราง
อาโกดับไฟ แล้วออกไปหน้าร้าน เปิดเสื้อโชว์พระทั้งหมด ชูกำปั้น ตะโกนด่าลมแล้ง “ไอ้เรือบินชิบหาย ไอ้ฝรั่งริยะหมา ไอ้เรือบินพ่อแม่ไม่สั่งสอง...มึงจะมาบอมบ์ใส่อั๊วะทำมาย อั๊วะป่าว..อั๊วะเป็นราษฎรผู้บริสุทธิ์ อั๊วะเปงคงไทยร้อยปูเซ็ง ไม่ล่ายเป็นยี่ปึ่งซะหน่อย ขอให้มึงตายๆๆ”
อาโกยืนดู เครื่องบินเริ่มบินมาไกลๆ ผู้คนร้านค้าอื่นๆ รีบล็อกร้าน หอบของ วิ่งกันมา ลูกเด็กเล็กแดง ร้องไห้จ้า มีคนแก่เป็นอัมพาต ลูกๆชายฉกรรจ์อุ้มวิ่งกระเซิง ตุปัดตุเป๋

ด้านแม่อรที่วิ่งมาตามหว่างท้องร่องในสวน ได้ยินเสียงระฆังลั่น พร้อมเสียงหวูดลั่นกระชั้น แม่อรหันไปเห็นที่สุดฟากสวน มีชาวสวนที่ถือผ้าห่ม หม้อ ไห กระเป๋าเสื้อผ้า ถือไฟฉายส่องทาง วิ่งกันแตกตื่นผ่านไป แม่อรแหงนมองบนฟ้า สีหน้าสับสน ทำอะไรไม่ถูก ยืนละล้าละลัง เสียงเครื่องบินครางก้องท้องฟ้ามาแต่ไกล แม่อรหยุดยืน แหงนดู
ผ่านตรงหว่างกิ่งก้านต้นไม้ แสงจันทร์สาดสว่าง เห็นฟ้าขาวปนเทา เมื่อแหงนมองขึ้นไป เห็นเครื่องบิน บินผ่านดวงจันทร์กลมโตสีเงินยวง ไปต่ำๆ
“เครื่องบินฝรั่งมาทิ้งระเบิดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง” แม่อรนึกได้ ใจหาย “ยายอัง..แม่..แม่จ๋า”หญิงม่ายชาวสวนธนบุรีออกวิ่งไม่คิดชีวิต กลับไปบ้าน

ท่ามกลางเสียงหวอ เคสุเกะวิ่งปิดไฟทุกจุด จนทุกอาคารมืดหมด ทหารอื่นๆกำลังวิ่งวุ่นหาที่หลบจ้าละหวั่น ทหารบางนายหลบมุดใต้โครงลำเรือ บางนายกระโดดลงน้ำ
พวกพลต่อสู้อากาศยานวิ่งประจำที่ คาดหัวเป็นธงญี่ปุ่นที่มีรัศมีแฉกๆ เตรียมกระสุนปืน พร้อมจะยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดทุกเมื่อ

ที่เพิงท้ายสวนฝรั่ง ซากใบตองห่อข้าวที่กินเกลี้ยงแล้ว 3 ห่อเรียงกัน เหลือห่อที่ยังไม่แกะกินห่อเดียว ตรงหน้ามุ้ง ตาบัวที่กินอิ่มจนพุงกาง หลับสนิทเอ้เต้ อ้าปากคอหงายกรนเสียงดังสนั่น
ส่วนในมุ้งที่แม่อรจัดแจงกางให้ ตาผลนอนพลิกตัวไปมาอยู่ที่เดิม โดยมีเสียงกรนของตาบัว ดังสอดประสานเข้าหูคู่ไปกับเสียงหวูดที่ดังลั่นเข้ามา

ฝ่ายโกโบริ และอังศุมาลิน ช่วยกันพยุงยายไปตามหว่างต้นไม้ในสวน ท่าทางทุลักทุเล
“แม่อรล่ะ แม่อร” ยายศรถามหาลูกสาว
เสียงหวูดยังโหยหวนต่อเนื่องกระชั้นขึ้น แสงจันทร์ค่อนข้างสว่าง เครื่องบิน บินผ่านไปต่ำๆ อังศุมาลินกะยายเงยดู เอามือป้องหน้า
“เรือบินมาจริงๆ ด้วย ลำเบ่อเริ่มเลย..แล้วแม่อรล่ะๆ”
โกโบริหันมองหาที่หลบ เห็นแต่ท้องร่องที่มีน้ำเป็นแถวเป็นแนว
“ที่สวนนี่.. มีที่หลบ หลุม..หรือ..ที่แห้งๆ ไหม” โกโบริถาม
อังศุมาลินมองรอบๆ คิดย่างเร็ว “มี มีคะ ท้องร่อง ที่ไม่ได้เปิดน้ำเข้ามา”
“ท้องร่องๆ ใช่ๆ” โกโบริพยายามพูดตาม “ท้องร่อง อยู่ทางไหน”
“ทางโน้นค่ะ”
ยายศรเอาแต่ถามหาแม่อร “แล้ว..แล้วแม่อรล่ะ.. แม่อร.....”

โกโบริ และอังศุมาลิดึงและประคองยายกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาตามทางเดินในสวน ยายสะดุดเกือบล้ม โกโบริรีบคว้าดึงเอาไว้ เสียงหวูดดังเร่งเร้า โกโบริรีบมองหาท้องร่อง แต่ยังไม่พบจึงกระชากทั้งยายและอังศุมาลินให้วิ่งต่อไป
“ตรงนั้นค่ะ..ตรงนั้น มีท้องร่องเก่า...” อังศุมาลินชี้ พาเลี้ยวไป
จนไปถึงมุมท้องร่องลึกที่ดูมิดชิดมีไม้ใหญ่ปกคลุมหนาแน่น โกโบริเข้าไปย่ำๆๆ แหวกๆ ตรวจดูความปลอดภัยก่อนอย่างเร็วๆ แล้วหันมาพยักให้คนทั้งสอง
“ลงไป.. เร็วๆ เดี๋ยวนี้!”
อังศุมาลินรีบประคองยายลงไปหลบ
โกโบริแหงนมองฟ้า สลับมองดูทั้งสองหญิง “นอนลงๆ ต่ำๆ”
อังศุมาลินและยายต่างหมอบแนบคันท้องร่องอย่างรวดเร็ว
โกโบริมองเหมือนตัดใจอย่างยากเย็น “ฮิเดโกะ อยู่นี่นะ อย่าไปไหน”
อังศุมาลินเงยมา มองหน้า แววตาหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พยักหน้ารับคำโดยอัตโนมัติ
“ถ้ามีเสียง ระเบิด ต้องหลบต่ำ” โกโบริทำท่าหมอบต่ำให้ดู “ไม่เงยหัวนะ เข้าใจนะ”
อังศุมาลินพยักหน้ารับคำต่อ
“แม่อร...” ยายศรร้องเรียกหาใจจะขาดห่วงลูกสาว “แม่อรอยู่ไหน”
อังศุมาลินเสียงสั่น ตาเริ่มแดง จะร้องไห้ “แล้วแม่ละคะ แม่จะเป็นยังไง”
“แม่จะไม่เป็นอะไร คุณต้องอยู่นี่ ต้องอยู่นี่นะ อย่าขึ้นมา อย่าไปไหน อย่าไปใกล้อู่ ผมต้องไปก่อน คุณยาย ห่มผ้านะครับ...ทำตัวให้ติดพื้นดินที่สุดนะครับ ไม่ต้องกลัวนะครับ”
โกโบริหันมาสบตาอังศุมาลินด้วยความห่วงใยอีกครั้งก่อนรีบออกวิ่งไป

อังศุมาลินจับมือยายที่เนื้อตัวสั่นไว้แน่น

ฝูงหมู่เครื่องบินทิ้งระเบิด บินต่ำ แหวกอากาศเข้ามาในระยะใกล้อยู่เหนือลำคลอง เรือกสวน วัดวา และชุมชน โดยที่ในสวนต้นไม้ทุกต้นโดนลมแหวก พัดวืบบบ...เอนโอนเหมือนคลื่นแหวกน้ำ เสียงเครื่องบินดังสนั่นไปทั่วบริเวณ

โกโบริชะงัก เงยหน้ามองเครื่องบิน แล้วรีบวิ่งทำตัวต่ำเลี้ยวลดต่อไป
เสียงใบพัดเครื่องบินดังมา ตามด้วยเสียงเครื่องบินบนคำรามลั่นท้องฟ้าแว่วใกล้เข้ามา อังศุมาลินสวมกอดกันแน่นกับยายที่คลุมหัวด้วยผ้าห่มกันหนาว ลมแรงต้นไม้ ผมผ้าปลิวสะบัด

เครื่องบินจะทิ้งระเบิดลงกบาล แต่ตาผลที่นอนฟังเสียงหวูดดังถี่ลั่น และเสียงเครื่องบินหวีดหวิว พลิกตัวไปมา กลับคิดว่าหูแว่ว
“เฮ้อ..ไอ้ไข้ป่าบ้าบอนี่ มันทำเอากูหูแว่ว ประสาทหลอนพิสดารพันลึกอะไรกันขนาดนี้วะ” พลิกคลุมโปง ไม่สนใจ
เสียงเครื่องบินที่บินเข้ามาใกล้ราวกับเฉียดยอดกระท่อม เพิงทั้งเพิงสั่น วืบ...ทำเอาตาผลต้องลุกผึงขึ้นมา นั่งตาค้างกลางมุ้งสายบัว หันมองตาบัวที่ยังนอนเค้เก้กรนสนั่นอยู่ท่าเดิม
ตาผลตะโกนลั่นสู้เสียงเครื่องบิน “ไอ้บัว..ไอ้บัว” แล้วร้องจนสุดเสียง “อ้ายบัว”

ส่วนที่ท้องร่องในสวน เสียงเครื่องบินดังลั่นแผดเสียงอื้ออึง ยายและ อังศุมาลินกอดกันแน่น
ยายตะโกนไม่ได้สุ้มได้เสียง “แม่อร แม่อรอยู่ไหน”
อังศุมาลินมองหน้ายาย ใจคอไม่ดี เสียงสั่นสะอื้น “ยาย ยายจ๋า...” พลางเงยหัวหันมองไปทางบ้าน “แม่ แม่อาจจะกลับไปที่บ้านแล้ว ยาย ยายอยู่นี่นะ ยายอย่าไปไหน หนูวิ่งกลับไปดูแม่ที่บ้านก่อน ถ้าได้ยินเสียงอะไร ยายอย่าเงยหน้า ต้องหมอบกับที่นะ นะ หนูไปนะ”
“ยายอัง! เดี๋ยว...อย่าไป...”
อังศุมาลินลุกขึ้นพรวด แล้วปีนคันดินวิ่งอ้าวกลับไปทางบ้านทันที
ยายศรรีบก้มหน้างุด สวดมนต์พึมพำ

เสียงเครื่องบินโฉบบินต่ำอื้ออึง ต้นไม้ในสวนไหวลู่ตามแรง อังศุมาลินยกมือปิดหู หยุดวิ่ง เงยมองดู
มีปืนยิงลงมาจากเครื่องบิน เป้าหมายคืออู่ เรือที่จอดเตรียมนำออกใช้ เสียงดัง ตั้บๆๆๆๆๆๆๆๆ โดนต้นมะพร้าว เฟี้ยวๆๆๆๆๆๆๆ
อังศุมาลินกรีดร้อง รีบทิ้งตัวหมอบตัวลงกับพื้น แทบจะมุดลงไปในดิน ด้วยความกลัวสุดชีวิต
โดยเครื่องบินดำดิ่งทิ้งระเบิดของฝ่ายพันธมิตร มีภารกิจในการทิ้งระเบิดเป็นหลัก แต่มักติดปืนกลไว้ เพื่อต่อสู้กับปืนของเครื่องบินขับไล่ของศัตรู หรือต่อสู้ กับปืนต่อสู้อากาศยานได้ด้วย แต่มันไม่ได้เอาไว้สำหรับไล่ยิง ถ้าสำหรับไล่ยิง จะเรียกว่า เครื่องบินขับไล่ แต่บางแมทช์ มันอาจจะมาด้วยกันทั้ง 2 แบบก็ได้ แต่เวลามันมาต่อสู้ในแปซิฟิค มันจะไม่ใช้เครื่องบินรุ่นตัว top แบบที่มันใช้ยิงเยอรมัน หรืออิตาลี

เวลาเดียวกันโกโบริวิ่งใกล้ถึงสะพานไม้พาดข้ามไปอู่ ต้องรีบกระโจนหมอบลงกับพื้นขณะเสียงเครื่องบินผ่านไปในระยะใกล้พร้อมยิงลงมาตั้บๆๆๆๆ ตามต่อ ด้วยเสียงปืนยิงต่อสู้อากาศยานของญี่ปุ่นเพี้ยะๆๆๆๆ ชุดใหญ่อยู่ไม่ไกล

ตาผลนั่งกอดเข่าขดตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ในมุ้ง ข้างๆ ตาบัวที่ยังหลับเป็นตายนอกมุ้ง ได้ยินเสียงปืนต่อสู้อากาศยานกับปืนกลจากเครื่องบินยิงสู้กันลั่น ตาผลตัดสินใจเหยียดขาสองเท้า ถีบตาบัวสุดแรง
ตาผลตะโกนลั่น “อ้ายบัวๆๆๆ อ้ายบัวโว้ย”
ตาบัวร่วงตามแรงถีบลงไปกองที่พื้น พลันตื่นขึ้น รีบทรงตัวลุกยืน ตั้งท่าพร้อมสู้
ตาบัวโวยวายดังลั่น หันมองรอบ “เฮ้ยอะไรโว้ยใคร ใครมันมาลอบกัดกูวะ”
ตาผลตะโกนลั่น “มันรบกันแล้วโว้ย มันยิงกันแล้ว มึงช่วยกูที”
ตาบัวเสียงลั่นสู้ “เอ็งว่าอะไรนะ”
ตาบัวไม่ได้ยินเสียงตอบจากตาผลเพราะเสียงเครื่องบิน และเสียงปืนกลสาดใส่กันอื้ออึงกลบหมด พร้อมกับที่ตาบัวเหลือบไปเห็นผ่านยอดไม้ เครื่องบินยักษ์สีโลหะมันวาว สะท้อนแสงจันทร์แว้บเข้าตา ดูเหมือนกำลังบินตรงมาชน
ตาบัวร้องเสียงหลง “ชิบ..แล้ว มันเอาเราแน่”
ตาบัวหน้าถอดสีซีดเผือด ขาแข็งตัวแข็ง เสียงระเบิดลงตูม..พื้นแกว่ง ตาผลพรวดลุกขึ้นทั้งมุ้ง หลุดลงมา ยิ่งดิ้น ยิ่งพัน ปล่อยตาบัวกลัวตัวแข็งทื่อจนฉี่ราด

เสียงระเบิดตูมดังกึกก้อง และยังดังต่อเนื่องมา อังศุมาลิน ซบหน้าแนบซบดิน มือปิดหู แผ่นดินเหมือนไกวตัวรุนแรง
พอเสียงค่อยๆ จางลงไป แต่ยังเหลือเพียงเสียงแว่ววิ้งๆ อังศุมาลินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ตาแดงก่ำกลัวจับจิต กระพริบตาถี่ๆ รวบรวมสติ ทันใด เลือดกำเดาไหลซิกออกมาทางจมูก
อังศุมาลินเอามือเช็ดๆ ไม่ได้มองว่าเป็นเลือด จากนั้น รวบรวมความกล้าทั้งหมดลุกขึ้นวิ่ง
เสียงยิงต่อสู้ ตามมาด้วยเสียงระเบิดอีกตูมเลื่อนลั่น พื้นสะเทือน
อังศุมาลินเซซังตามแรง ตะโกนลั่น มุ่งสู่ทิศทางบ้าน “แม่ แม่”
อังศุมาลินวิ่งต่อไปโดยไม่คิดชีวิต

ไม่นานนัก อังศุมาลินที่วิ่งหัวกระเซิงมีใบ้ไม้แห้งติดหัว ใบหน้าเปื้อนดินมอมแมม จมูกมีเลือดเกรอะกรัง เลี้ยวมาถึงหน้าบ้าน หยุดมองตรงหน้า ดีใจที่สุด

“แม่...”
แม่อรที่ยืนคว้างอยู่ชานบันไดเรือน หน้าซีดทำอะไรต่อไม่ถูก
อังศุมาลินตะโกนสุดเสียง “แม่”
อังศุมาลินดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่วิ่งถลาไปหาแม่อร
อังศุมาลินกอดแม่อรระล่ำระลัก “แม่ หนูคิดไว้แล้ว ว่าแม่จะต้องมาบ้าน”
“อะ อัง” แม่อรเหมือนได้สติกลับมา รีบพูดรีบถาม “อังเป็นยังไงบ้างลูก” เข้ามาลูบหน้า ลูบหัว จับตัว “คุณยายละ คุณยาย”
“คุณยายอยู่ที่ท้องร่องในสวน โกโบริให้หนูกับคุณยายไปหลบที่นั่น เพราะปลอดภัยกว่า”
จังหวะนั้นเสียงเครื่องบินแล่นดังประชิดเข้ามาอีกครั้ง
“ไปกันเถอะแม่ เราอยู่ใกล้อู่ โกโบริบอกว่าอันตราย.... มากับหนู เร็ว”
“โกโบริบอก..เหรอลูก”
อังศุมาลินพยักหน้าถี่ๆ แล้วรีบดึงแม่วิ่งไป

อังศุมาลินจูงแม่อรวิ่งมาตารมทางมุ่งหน้าไปที่ท้องร่อง จุดที่ยายศรหลบระเบิดอยู่
“ยายอยู่กับพ่อดอกมะลิใช่ไหม”
“เขากลับไปอู่ ยายอยู่คนเดียวค่ะ”
“ถ้าที่อู่ไม่ปลอดภัย แล้วเขาจะกลับไปทำไม”
อังศุมาลินชะงัก ฉุกคิดได้ พาลกังวลถึงโกโบริขึ้นมา

“นั่นน่ะสิคะ”

ที่อู่ต่อเรือโกโบริวิ่งมาหลบอยู่ใกล้กับคลังเสบียง เสียงเครื่องบินโฉบต่ำเข้ามาใกล้ พร้อมสาดกระสุดลงมาชุดใหญ่โดนหลังคา ยิงกองเหล็ก กระจุยกระจาย ทหารคนอื่นๆ วิ่งกันอลหม่าน

บนหอสูงปืนต่อสู้อากาศยานหมุนตัวยิงตามเครื่องบินไป โกโบริวิ่งกระโจนหลบแต่ตัวล้มไปทับตัวข้างซ้ายทำให้เจ็บแผลแปล๊บขึ้นมาทันที โกโบริหันมองไปทิศทางของเสียงกระสุนชุดหนึ่งที่ตกมาระยะใกล้ตัวเขาเฉียดฉิว
พลันถังน้ำมันถังหนึ่งระเบิดตูมใหญ่ลุกเป็นเพลิงจากแรงกระสุน
โกโบริกลิ้งตัวหลบ ถังระเบิด ตู้ม ต้าม ต้าม ต้าม ต่อเนื่อง ไฟลุกโชนแดงฉานพร้อมจะกลืนกินทุกชีวิต

ด้านอังศุมาลินพาแม่อรวิ่งก้มๆ เสียงระเบิดตูมๆๆ
“เสียงจากทางอู่นี่” อังศุมาลินหน้าตื่น
“จริงด้วย...”
พอดีสองคนมาถึงท้องร่องที่ยายขดตัวคลุมโปงอยู่
“แม่ขา คุณยายอยู่นี่...”
อังศุมาลินพาแม่เข้าไปหายาย แม่อรผวาเข้าไปหา เห็นยายศรนิ่งๆ ก็ตกใจ รีบเข้าไปจับ ร้องเรียก
“แม่ แม่ไม่เป็นไรนะ”
ยายศรโผล่เงยหน้าขึ้นจากผืนผ้า เห็นทั้งสองต่างดีใจ “แม่อร..ยายอัง”
“ค่อยยังชั่ว”
อังศุมาลินบอกกับแม่อร “แม่ทำตัวต่ำๆ ไว้ แบบยาย โกโบริบอกว่าทำตัวให้ติดพื้นดินที่สุด อย่าเงยหัวขึ้นมา”
แม่อรรีบทำตาม ก้มขดตัวแนบชิดข้างยายและอังศุมาลิน เสียงยิงปืนต่อสู้กันลั่น จากทางอู่เรืออื้ออึง เสียงระเบิดดังตู้มๆๆๆ ต่อเนื่อง
ยายศร แม่อร และอังศุมาลิน ปิดหูร้องกรี๊ดดัง และกอดกันแน่น
“พระอรหัง..พระอรหัง พุทโธ สังโฆ ช่วยลูกด้วย” ยายท่องมนต์ดังลั่น
พลันเสียงเงียบกริบลง พระจันทร์สวยใสแสงจ้าบาดตา ลำน้ำคลองที่ไหลรี่ แสงไฟไหม้เรือที่จอดเรียง สะท้อนในเงาน้ำ เห็นเงาทหารญี่ปุ่นวิ่งไปมาหลังเปลวไฟที่วูบวาบไหลเป็นคลื่น
ไม่นานสายน้ำก็ไหลเลื่อยไปตามธรรมชาติ
ที่อู่ต่อเรือ มีทหารญี่ปุ่นนอนตาย 3 - 4 คน เคสุเกะวิ่งมาเจอ ยืนเหวอ
อังศุมาลิน ยายศร แม่อร หมอบเงียบ ทุกอย่างนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ตามมาด้วยเสียงหวอสัญญาณปลอดภัยดังขึ้น
อังศุมาลิน ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และมองไปรอบๆ เสียงผู้คนค่อยๆ ดังโหวกเหวกแว่วตามมา
ไม่นานต่อมาในลำคลอง เรือของชาวบ้าน เริ่มออกมาพายอย่างรีบเร่งๆ ส่งเสียงตะโกนไต่ถาม บอกกันไปมา ว่า เป็นไงมั่ง มีคนเจ็บไหม จะไปไหน มาจากไหน
ส่วนที่อู่ต่อเรือ หมอทาเคดะรีบไปประกาศส่งเสียงผ่านโทรโข่งตามสาย สื่อสารกันลั่น
“พี่น้องทหารที่รักทุกท่าน ขณะนี้ เครื่องบินของศัตรูไปแล้ว ทุกคนอย่าตกใจ พวกเราต้องตั้งสติให้ดี ช่วยกันดับไฟ และช่วยเหลือคนที่บาดเจ็บด่วนที่สุด!”

อังศุมาลินปีนขึ้นจากท้องร่อง พยายามจับเสียง ฟังสรรพสิ่งต่างๆ
“แม่คะ คุณยาย ดูเหมือนจะปลอดภัยแล้วนะ”
ยายศร และแม่อร ค่อยๆ เปิดผ้าเงยหน้าขึ้นมาดู
“มันไปกันแล้วแน่นะ” แม่อรไม่แน่ใจ
“สัญญาณหวออันหลังนี่แปลว่าปลอดภัยคะ” อังศุมาลินบอก
แม่อรถอนหายใจยาว “โล่งไปที”
“โอย เกิดมาไม่เคยพบเคยเจออะไร..หูดับตับไหม้ขนาดนี้เลย” ยายว่า
“แม่ก็มัวบ้า มัวแต่หลอกล่อให้ตาผลกินยา แล้วยังเก็บที่นอนเน่าๆ..แถมกางมุ้งให้เค้าอีกนะเรา..โอ๊ย..พอหวอมา..ก็เป็นห่วงหนูกับยายแทบแย่ ตัวแม่เองก็ไม่รู้ว่าวิ่งกลับมาบ้านได้ยังไง ยิ่งมาเห็นบ้านปิด ใจคอหายหมดเลย”
แม่อรลุกขึ้นนั่ง หัวเราะตัวเองขันตัวเอง ปัดโคลนดินที่ตัวไปมา
อังศุมาลินหัวเราะบ้าง “หนูกับคุณยายก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำอะไรยังไง เป็นห่วงแม่ก็เป็นห่วง ยายน่ะ..ร้องเรียกแม่เสียงหลงเลย”
แม่อรแตะๆ ที่จมูกอังศุมาลิน “หนูเลือดออก..เหมือนตอนเด็กๆ เลย”
อังศุมาลินจับจมูกตัวเอง ยกมือดู “เลือดกำเดาจริงๆ ด้วย แต่แห้งแล้ว”
อังศุมาลินช่วยพยุงยายลุกขึ้นยืน และช่วยปัดตัวไปมา
“ตะกี้ฉันนี่หนาวจับใจ แต่ตอนนี้ฉันละร้อนจะบ้า โอ๊ยย...” ยายศรปลดผ้าห่มออกจากตัว
แม่อรหันไปทางยายศร “แม่ไม่เป็นอะไรนะ ดีที่แม่เอาผ้าห่มมาด้วย”
“ก็พ่อดอกมะลิน่ะสิ ที่เขาบอกให้ยายอังหยิบผ้าออกมาด้วย” ยายว่า
“จริงสิ แล้วนี่พ่อดอกมะลิเขาจะเป็นยังไงบ้างไม่รู้”
แม่อรหันมองไปทางอู่เรือ อังศุมาลินคิดตาม เป็นกังวลขึ้นมาทันที

คืนเดือนหงาย สว่างจ้า อังศุมาลินเดินถือผ้าห่ม แหงนหน้ามองฟ้า ตามแม่อรที่จูงยายศรมาตามทางเดินในสวน
แม่อรมองดูบ้าน “ดีนะบ้านเราไม่เป็นอะไร แม่ว่าที่อู่คงหนักแน่ ทั้งเสียงปืนกราดลั่น ระเบิดลงขนาดนั้น”
อังศุมาลินเงียบ ขรึมและเครียด
“สาธุ..อย่าให้พ่อหมอกับพ่อดอกมะลิเป็นอะไรเลย” แม่อรว่า
อังศุมาลินเหลือบมอง “นี่แม่บ่นอย่างกับเขาเป็นอะไรกับเราแน่ะ”
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่ละ คนเคยเห็นหน้ากัน ช่วยเหลือกันมา มันก็ไม่ต่างกันหรอกลูก พ่อโกโบรินิสัยดีเป็นคนน่ารัก ถ้ามาเป็นอะไรไปแม่ก็คงเสียใจนั่นละ เขาเป็นลูกคนเดียวด้วยไม่ใช่หรือที่เขาเล่าน่ะ”
“ค่ะ”
สีหน้าของอังศุมาลินชักไม่สู้ดีขึ้นมาบ้าง
แม่อรบอกต่อ “สงสารพ่อแม่เขาทางนู้นนะ คงตั้งตาคอยลูกกลับทุกลมหายใจเชียว นี่ถ้าหนูเองเป็นอะไรไป แม่ก็คงแทบขาดใจไม่ต่างกันละ”

อังศุมาลินได้ยินยิ่งพาลใจไม่ดีเข้าไปใหญ่ แหงนหน้ามองฟ้าเห็นพระจันทร์ดวงกลมใหญ่คล้ายกระด้ง เริ่มเป็นห่วงโกโบริขึ้นมาจับใจ

คู่กรรม ตอนที่ 7 (ต่อ)

ที่อู่ต่อเรือทหารญี่ปุ่น คืนเดียวกัน เห็นทหารญี่ปุ่นวิ่งวุ่น อยู่ท่ามกลางเพลิงที่ลุกโชนโหมไหม้อาคารไม้หลังหนึ่งสภาพโดยรวมของอู่ยังมืดมิดไปทั่ว มีเพียงแสงเพลิงที่ช่วยให้พอมองเห็นว่าอะไร เป็นอะไร

และเห็นได้ชัดว่าเรือถูกบอมบ์หลายลำเสียหายหนัก บางลำก็แตกพังเป็นบางส่วน พวกทหารต่างวิ่งวุ่นรีบนำน้ำมาดับไฟกันไปมา
ตรงมุมหนึ่งของอู่ มือของเคสุเกะก้มเก็บ Shime Kazari ที่ตกอยู่บนพื้นใกล้ๆ กองเลือดสดๆ สภาพหน้าตาเคสุเกะมอมแมมไปด้วยเขม่าควันไฟ เขามอง Shime Kazari ในมือนิ่ง คิดบางอย่างเศร้าๆ พลันรีบเก็บยัดเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วรีบเดินไป
ทหารญี่ปุ่นบ้างกำลังวิ่งวุ่นลำเลียงคนเจ็บ บ้างยืนงงๆ บ้างเจ็บร้องโอดโอย หมอทาเคดะหน้าตาเหนื่อยล้าโรยแรงถือไฟฉายดวงโตเดินมองหาคนบาดเจ็บ พลันหันไปเห็นทหารนายหนึ่งนอนแผ่หราในมุมมืด จึงรีบเข้าไปดูอาการ
ทหารบาดเจ็บคนนั้น อยู่ในแก๊งทหารของเคสุเกะ นอนล้มกองอยู่ เลือดโทรมกาย แขนขาขาดรุ่งริ่ง หมอทาเคดะรีบก้มไปดูอาการ ร้องตะโกนเรียก
“ทหารสองนายมาช่วยลำเลียงเพื่อนตรงนี้ด่วน”
เคสุเกะที่เดินอยู่ไม่ไกลได้ยินเข้า จึงหันมา พลางรีบบอกทหารที่กำลังถือเปลสนาม อยู่ใกล้ๆ ให้ไปช่วย เคสุเกะก็รีบเดินนำไปดูทหารบาดเจ็บตรงที่หมอทาเคดะอยู่
หมอทาเคดะปฐมพยาบาลเบื้องต้นทหารบาดเจ็บอยู่ หันมาสั่งทหารที่เข้ามาช่วย
“พาไปที่หน่วยพยาบาลด่วน”
ทหารสองนายยกตัวทหารบาดเจ็บลงเปลสนาม แล้วรีบหามพาไป
หมอเคสุเกะสีหน้าซีดทันที ที่เห็นเพื่อนสนิทบาดเจ็บหนัก
“เชจิซัง”
หมอเคสุเกะมองตามเพื่อนอย่างเป็นห่วง ก่อนจะสอดส่ายสายตามองไปทั่ว หาอะไรบางอย่าง และเมื่อไม่เห็นจึงร้องถามขึ้น
“เคสุเกะเห็นโกโบริไหม”
“อา..ไม่เห็นเลยครับ”
คำตอบของเคสุเกะ ทให้หมอทาเคดะมีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันที

ทางด้านแม่อรพายายศรและอังศุมาลินเลี้ยวเดินมาถึงหน้าเรือน มีเสียงประกาศดุดัน โหวกเหวกมาจากอู่ต่อเรือดังชัด
ทั้งสามคนได้กลิ่นไหม้ฉุนลอยมา จึงมองไปเบื้องหน้า เห็นภาพควันคลุ้ง ประกายเพลิง ที่โหมไหม้เป็นทิวไหวๆ ตรงที่ตั้งอู่ที่ห่างไปไม่ไกล
“โอ๊ะ...ตายแล้ว ถ้าจะโดนกันหนักแน่เทียวโหวกเหวกกันน่าดู พ่อโกโบริ พ่อหมอแล้วไฟจะไหม้มาถึงบ้านเรามั้ย โอย” หญิงชราร้องอย่างตกอกตกใจ
แม่อรหยุด เหลียวมองไปทางอู่ถอนหายใจท่าทีกังวล อังศุมาลินไม่วายมองตามด้วยสีหน้าวิตก
“แม่ใจเย็นเถอะคะ ดูแล้วไฟมันมาไม่ถึงบ้านเราหรอก”
“ใช่ค่ะ คุณยายขึ้นไปดูบนเรือนเรากันเถอะค่ะ”
อังศุมาลินจูงยายก้าวขึ้นบันไดเรือน แม่อรคอยตามหลัง

ท่ามกลางความมืดสลัวของอู่ต่อเรือ เห็นมือของชายคนหนึ่งมอมแมม และมีคราบเลือดเปื้อนแขน ตรงเข้ามาหยิบรื้อซากปรักหักพังของโรงเก็บของที่พังยับไปแถบหนึ่ง รื้อออกเพื่อหาของบางอย่างท่าทีรีบเร่ง พลางส่องไฟฉายไปมา อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
จนไปเจอกล่องไม้กล่องหนึ่ง รีบเปิดแงะออกดูอย่างลำบาก แต่เป็นกล่องเครื่องมือ มือของใครคนนั้นรื้อไปแงะกล่องไม้ที่สอง เห็นเป็นกล่องกระสุน จนรื้อไปแงะอีกกล่องจึงพบว่าเป็นโคมไฟดวงใหญ่
มองผ่านแผ่นหลังของชายคนนั้น เห็นสภาพสะบักสะบอมเสื้อผ้าขาดวิ่นบางส่วน และมีแผลที่หลัง และมือทั้งสองข้าง ถือโคมไฟดวงขนาดใหญ่สองดวงเดินลิ่วๆ ไป ท่ามกลางความ โกลาหลวุ่นวายวิ่งสวนไปมาของทหารในอู่ที่กำลังช่วยกัน
ดวงไฟแต่ละดวงถูกนำไปแขวนยังมุมสูงมุมหนึ่ง ของเสาเหล็ก และที่มุมหลังคา แล้วดวงไฟ 2 ดวงก็ถูกจุดสว่างจ้าขึ้น จนมองเห็นสภาพภายในอู่
เคสุเกะที่กำลังง่วนช่วยกันดับไฟหันไปมองทางดวงไฟ หมอทาเคดะที่กำลังปฐมพยาบาลทหารอยู่มุมหนึ่งก็หันไปมองทางดวงไฟ
จึงเห็นว่าเป็นโกโบริที่มีใบหน้ามอมแมม เหงื่อโทรมกายยืนอยู่ที่เสาไฟดวงหนึ่ง แล้วเดินออกมาจากเงาไฟ ให้มองเห็นตัว พลางยกโทรโข่งในมือขึ้นประกาศเสียงดัง
“พี่น้องทหารหาญทุกท่าน..ให้ฟังคำสั่งดังต่อไปนี้ เพื่อไม่ให้สับสนวุ่นวาย ขอให้หัวหน้าหมู่ทุกหมู่ รับผิดชอบในพื้นที่ของตัวเอง และตรวจสอบลูกหมู่ของตนเอง ลูกหมู่รีบรายงานตัวต่อหัวหน้า พื้นที่หมู่ไหนไม่เสียหายมากขอให้เข้าไปช่วยพื้นที่ที่เสียหายหนักกว่าเป็นอันดับแรก”
ที่บนเรือน แว่วเสียงประกาศตามสายเป็นเสียงโกโบริ อังศุมาลินที่เปิดประตูเรือนขึ้นมา ถึงกับหยุดกึก และมีสีหน้าสดใสขึ้นมาทันที พยายามจับเสียงที่ได้ยินให้มั่นใจ ก่อนจะหันไปทางแม่อร
อังศุมาลินโพล่งขึ้นอย่างยินดี “แม่คะ ได้ยินไหมคะ นั่นเสียงโกโบริ เขาคงไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ดูเหมือนใช่เสียงเขานั่นละ โอ คุณพระคุ้มครอง” แม่อรยิ้มโล่งใจ
“สาธุ..คนดีผีคุ้มจริงจริ๊ง…” ยายศรยกมือท่วมหัว

สีหน้าอังศุมาลินดูเบิกบาน แววตาเปล่งประกายเจิดจ้า รู้สึกยินดีมากที่โกโบริปลอดภัย

ติดตาม "คู่กรรม" ตอนที่ 7 (ต่อ)

ต่อจากตอนที่แล้ว

ฝ่ายโกโบริยกโทรโข่งขึ้นมาสั่งการต่อ

“และทุกๆ สองชั่วโมง หัวหน้าหมู่ทุกหมู่เข้ามารายงานผลปฏิบัติงาน โดยตรง กับข้าพเจ้าที่ห้องประชุม จนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น”
ทหารทั้งหมดรับคำสั่งเสียงดังเป็นคำญี่ปุ่นพร้อมเพรียงชนิดฟังแล้วขนลุก “รับทราบ”
จากสภาพที่โกลาหล ทหารทุกนายก็ดูก็เริ่มผ่อนคลาย และมีขวัญกำลังใจขึ้นมาทันที
หมอทาเคดะโล่งทันทีที่ได้เห็นหน้าโกโบริอีกครั้ง
เมื่อมองจากมุมสูงลงมา จะเห็นสภาพของอู่ต่อเรือที่เสียหายมากมาย ทั้งถูกระเบิดถล่มพัง และจากไฟลุกท่วมบ้าง ควันดำขโมงอยู่ทั่ว แต่บรรดาทหารหาญต่างช่วยกันคนละไม้ละมืออย่างขันแข็ง
โกโบริกวาดตามองไปโดยรอบ มีสีหน้าสลดและสะท้อนใจกับภาพการสูญเสียและ ทหารบาดเจ็บที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

ที่เรือนของอังศุมาลิน เห็นเศษทางมะพร้าวที่ถูกตัดลิดใบ กระจัดกระจายเกลื่อนตรงชานเรือน ซึ่งกำลังถูกกวาดและ จัดวางเป็นกองๆ กองหนึ่งเสร็จครึ่งหนึ่ง ใบถูกตัดเป็นรูปต่างๆ ข้างๆยังมีทางมะพร้าวในถุงอีก
อังศุมาลินลงมือเก็บกวาดเศษใบมะพร้าว ทางมะพร้าว และใบไม้ที่ปลิวเกลื่อนชาน มากองรวมกัน แล้วหยิบทางมะพร้าวที่พวกโกโบริกับยายสานเล่นน่ารักมาดู อย่างอึ้งๆ
แม่อรกำลังหยิบชามกุ้งสด เนื้อสัตว์ต่างๆ ที่แช่เหล้าขึ้นมาดู ที่แยกวางเรียงเป็นระเบียบอยู่กลางชานบ้าน กับชามเนื้อสด และปลาสด
คุณยายนั่งจุดตะเกียงอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะถามขึ้น
“ไม่รู้บ้านพ่อกำนันเขาจะเป็นอะไรกันแค่ไหน”
“ยายไม่ต้องห่วงหรอก ลุงกำนันกับป้าวันมีหลุมหลบภัยหลังบ้านใหญ่เบ้อเร่อ แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูจะไปเยี่ยมดูสักหน่อยเองค่ะ”
แม่อรบ่นๆ “ดูสิ...มดมาขึ้นแล้ว…นี่เขาหมักทำอะไรกันเนี่ยลูก”
อังศุมาลินรีบบอก “กุ้ง ปลา เนื้อ ไก่ แช่เหล้าสาเก ซีอิ๊ว น้ำตาล แล้วเสียบไม้ย่างกินค่ะ” พูดไปแล้วนึกสลดใจ จนอึ้งไปนิด “แต่หนูว่า…สงสัยคงจะไม่ได้กลับมากินกันแน่”
“นั่นสิ คงยุ่งกันน่าดูชม แต่ก็ลองเก็บไว้รอดูก่อนก็ได้ เผื่อเช้าๆ พรุ่งนี้จะแวะมากัน” แม่อรว่า
“แล้วถ้าไม่มา ของสดพวกนี้จะทำยังไงดีละคะตั้งเยอะตั้งแยะ” อังศุมาลินกังวล
“เอาไปปิ้งซะ แล้วครอบเก็บไว้ดีไหมล่ะยายว่า...เพราะเอาไปผัดไปรวนคงไม่ได้เรื่อง ถ้ามากันก็ให้กินแบบนี้ไป”
“ก็ดีค่ะ คุณยาย…” อังศุมาลินบอกด้วยน้ำเสียงขันๆ ทีเล่นทีจริง “อยากมาทำทิ้งกันไว้เอง...เดี๋ยวหนูจะแอบเปลี่ยนสูตรให้ใหม่ซะเลย”
อังศุมาลินกวาดเศษใบไม้และถุงต่างๆ มากองรวมกันจนเสร็จพอดี
“เขาเรียกกันว่าอะไรกี้ๆเก้ๆนะ แม่จำไม่ได้หรอก” แม่อรบ่นว่า
อังศุมาลินตอบทันที “เตริยากิค่ะ”
“แม่คงจำไม่ถูกแน่ ทางนั้นเขาก็คงจำภาษาเรายากเหมือนกัน แม่เองยังเรียกเขาพ่อดอกมะลิ มันจำกันง่ายกว่า เมื่อบ่ายพ่อมะลิเขาก็ถาม...ว่าชื่อลูกหมายความว่าอะไร”
อังศุมาลินชะงัก หันมาหาแม่ท่าทางแปลกใจ “แล้วเขาจะถามไปทำไมคะ”
“ก็ไม่รู้นะ แต่ก็บอกเขาไปว่าแปลว่าพระอาทิตย์ แล้วเห็นเขาเรียกชื่อลูกแปลว่าอะไรโกะๆ เดโกะหรืออะไรแม่ก็จำไม่ได้” แม่อรบอก
อังศุมาลินนึกขึ้นได้ “ฮิเดโกะ” ที่โกโบริเรียก
“อานี่ล่ะ ใช่ๆๆ คำนี้เลยล่ะๆ” แม่อรร้อง
อังศุมาลินเพิ่งแน่ใจกับคำเรียกชื่อนี้ว่าเป็นชื่อตัวเอง ชะงักมือไปเล็กน้อย
เหตุการณ์ตอนชุลมุนในสวน ที่โกโบริพูดด้วยน้ำเสียง และใบหน้าที่จริงจัง “ฮิเดโกะ! ไป”
และอังศุมาลินชะงักเล็กน้อยกับคำเรียก มองแบบไม่ชอบใจ ผุดขึ้นมาในความคิด
อังศุมาลินนึกแล้วเม้มปาก นิ่งคิดถึงอีกเหตการณ์
ตอนที่อังศุมาลินและยายศรต่างหมอบแนบคันท้องร่องอย่างรวดเร็ว
โกโบริมองตัดใจจากไปอย่างยากเย็น “ฮิเดโกะ อยู่นี่นะ อย่าไปไหน”
อังศุมาลินเงยขึ้นมามองหน้า แววตาหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พยักหน้ารับคำโดยอัตโนมัติ
อังศุมาลินดึงตัวเองกลับมา เสยผม ลูบหน้า พยายามจะลบความคิดและความรู้สึกแปลกๆ รีบจัดเก็บข้าวของอย่างปกติต่อไปเงียบๆ
แม่อรแอบมองลูกสาว แล้วหันมาสบตาคุณยาย ด้วยต่างก็รู้สึกถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของอังศุมาลิน โดยเฉพาะการแสดงที่มีต่อโกโบริ

กลางดึงคืนนั้น ธงอาทิตย์อุทัยผืนหลักที่ตั้งเด่นเป็นสง่าในอู่ต่อเรือเปราะเปื้อนคราบเขม่าดำ เสียงโอดโอยของทหารบาดเจ็บแว่วดัง
โกโบริเดินตรวจดู มุ่งหน้าตรงเข้าห้องพยาบาล เห็นทหารบาดเจ็บนอนเรียงรายล้นอยู่ตามทางเดินหน้าห้องพยาบาล อาการต่างๆ กัน บางคนเห็นคนที่เดินผ่านมานี้ ก็พยายามจะทำความเคารพแต่ขยับไม่ค่อยไหวนัก
ตรงเข้าไปในห้องพยาบาลหยุด โกโบริชะงัก เห็นคนเจ็บอาการหนักๆ ล้นเตียงพยาบาล เกลื่อนเต็มห้อง ที่เตียงหนึ่งหมอทาเคดะกับผู้ช่วยกำลังทำแผลให้ทหาร ที่อยู่บนเตียงคนหนึ่ง
ทันใดนั้นที่อีกเตียงหนึ่งซึ่งมีเคสุเกะคอยดูอยู่ เคสุเกะรีบวิ่งหน้าตาตื่นข้ามเตียงมาหาหมอทาเคดะ
“หมอ หมอ เชจิซัง”
เคสุเกะรีบดึงตัวหมอทาเคดะไปที่เตียงที่เพื่อนนิ่งไป
โกโบริยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ด้วยความสลดใจ รีบก้าวตามเข้าไปดูอาการเซจิ
หมอทาเคดะเร่งปั๊มหัวใจให้ทหารบาดเจ็บคนนั้น มีเคสุเกะและผู้ช่วยหมอคอยช่วย เคสุเกะหน้าตาไม่สู้ดี
ร่างทหารบาดเจ็บชื่อเซจิไม่ไหวติงแล้ว แต่หมอทาเคดะไม่ยอมแพ้ พยายามทำอยู่อย่างนั้น
โกโบริที่มายืนดูอยู่ไม่ห่างถึงกับสะเทือนใจ นิ่งงันไป

เปลวไฟในตะเกียงที่แขวนอยู่ชานเรือนส่องแสงเรื่องเรืองในความมืดมิดยามดึก ชามกุ้ง ชามปลา และชามเนื้อ ที่ถูกย่างแล้วถูกนำมาวางรวมกัน โดยมีฝาชีมาวางครอบปิดลง
อังศุมาลินอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้ว กำลังเก็บชุดอาหารเทริยากิเข้าฝาชีจนเรียบร้อย
จังหวะหนึ่ง อังศุมาลินลุกขึ้นมองของที่จัดเก็บไว้อย่างเรียบร้อยตรงหน้า ในใจคิดกังวลถึงใครบางคน เหลือบมองไปที่ประตูบ้านที่นอกชานบันได แล้วใจลอยเดินไปถึงกลางชาน เสียงประตูห้องเปิดขึ้นจึงหยุดเดิน
แม่อรในชุดนอนแง้มเปิดประตูห้องนอนโผล่ออกมาดู
“ยังไม่เสร็จอีกหรือลูก”
“ออ คะ เสร็จหมดแล้วคะ พอดี…หนู...จะไปดูว่าประตูบ้านปิดดีแล้วหรือยัง”
อังศุมาลินเดินตรงต่อไปที่ประตู
“เสร็จก็มานอนได้แล้วละ นี่สงสัยคุณยายก็คงปวดเมื่อยตัวจากเมื่อค่ำเหมือนกัน คงหลับไปแล้ว แต่พวกที่อู่ก็ดูเงียบๆ กันลงไปบ้างแล้วนี่นะ”
“คะ ก็คงอย่างนั้น”
“แล้วลูกก็มานอนได้แล้ว”
“ค่า...แม่”

อังศุมาลินมาที่ประตูทำเป็นจับๆ ดูเล็กน้อย แล้วเหลียวมองผ่านแนวต้นไม้ไปทางอู่ประหวัดถึงใครคนนั้น

แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่สาดส่องธงอาทิตย์อุทัย ที่ปลิวไสวเหนือลานของอู่ เห็นโลงศพ 3 โลงวางเรียงเป็นแถว พลันถูกธงอาทิตย์อุทัยวางคลุมพรึบพร้อมกันทั้ง 3 โลง

ทหารกว่า 20 นาย มายืนเรียงแถวหน้ากระดาน 2-3 หมู่ มีหมอทาเคดะ และโกโบริ ยืนหัวแถวด้วยอาการสงบ เคสุเกะนำลูกหมู่ยกโลงศพทั้งสี่ลำเลียงไปวางบนเรือลำเลียง ทหารทุกคนทำความเคารพศพพรึบ
โกโบริทำท่าวันทยาหัตถ์แสดงความเคารพผู้จากไป

ส่วนที่กระท่อมท้ายสวนฝรั่ง ตอนสายๆ ตาบัวกำลังซ่อมกระท่อมที่พังๆด้วยอุปกรณ์เท่าที่มี พลางร้องเพลงสยามานุษสติ ปลุกใจอย่างฮึกเหิม
“ใครรานใครรุก ด้าวแดนไทย ไทยรบจนสุดใจ..ขาด..ดิ้น เสียเนื้อเลือดหลังไหล..ยอมสละ สิ้นแล เสียชีพไป่..เสียสิ้น ชื่อ ก้องเกียรติงาม”
ตาผลโผล่หัวมาจากโปงผ้าห่ม “ร้องเพลงทันสมัยเหลือเกินนะเอ็ง ไปดูหนังดูละครที่วิกไหนมาล่ะ ถึงเอาเพลงที่เขาเปิดก่อนฉายหนังมาร้องเยาะกันเนี่ย”
“วิกญาติข้างพ่อเอ็งมั้ง…พูดออกมาได้ ก็มุดหนีระเบิดกลุ้มด้วยกันไปทั้งเมืองเนี่ย..วิกไหนจะเปิดฉายหนังเล่นละครกันอยู่ได้ล่ะ ไอ้บ้า นี่ไข้คงขึ้นขมองแล้วมั้ง เพ้อขนาดเนี้ย”
“หมอล่ะ หรือว่าหมอถูกระเบิดตายไปแล้ว ทำไมยังไม่มาอีก”
“สงสัยคงงั้น” ตาบัวบอก
“บัว…อย่าพูดเล่นสิ เอ็งไปตามหมอให้ข้าหน่อย”
“เฮ้ย ใครจะกล้าวะ ครั้งก่อนข้าเข้าไป พวกไอ้ยุ่นมันมองข้ายังกะจะกินเลือดกินเนื้อ”
“ก็เอ็งก็บอกพวกมันสิ ว่าเอ็งมาตามหมอ...ใครเขาจะทำอะไรเอ็ง...น่านะ ไปเถอะ ข้าปวดหัวจะแตกอยู่แล้ว”
“อุวะ เอ็งก็พูดเอาแต่ได้ เราเคยทำอะไรไว้บ้าง ลองคิดดูมั่งปะไร แล้วจะให้ข้าแบกหน้าเข้าไปตามมันมารักษาเอ็ง เกิดเวลาอยู่กันตามลำพัง..แล้วมันคิดบ้าๆขึ้นมา ข้ามิคอขาดเป็นผีเฝ้าสวนคนเดียวเรอะ”
ตาผลกุมหัว ร้องไห้ ดิ้นไปดิ้นมาสลับกับร้องอ๊ากอย่างเจ็บปวด…น่าเวทนา

อังศุมาลินวิ่งขึ้นมาบนศาลาวัด แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นกำนันนุ่มกับแม่วัน ซึ่งหน้าหมองคล้ำ ดูอ่อนเพลีย กำลังช่วยดูแลการตั้งโลงศพ 3 โลง ที่ทำจากไม้เรียบๆ มีชาวบ้านช่วยกันคนละไม้คนละมือ ชาวพระนคร กับลูกหลาน และพี่น้อง นั่งร้องไห้กันกระจองอแง
กำนันนุ่มหันมาเห็นจึงร้องทัก “แม่อัง..เป็นไง ที่บ้านแม่กับยายเป็นไรหรือเปล่า ลุงว่าจะดูแต่เช้า เห็นอยู่ใกล้อู่กว่าใคร พอดี..ต้องมาช่วยที่นี่เขาก่อน”
“หนูก็ห่วงลุงกำนันกับป้าวัน ไปที่บ้าน เขาบอกว่ามาวัดกันหมด” อังศุมาลินว่า
“ตกลงพวกมันเอาเราเข้าจริงๆ ซะแล้ว แม่อัง...ฝั่งธนโดนคราวนี้เป็นคราวแรก หลังปีใหม่ มันก็ลงเลย...ต่อไปมันก็คงมาอีก คงไม่รอดอีกแล้ว นี่พวกที่เขาอพยพมาเช่าบ้านอีกฝั่งคลอง เขาโดนระเบิดลงกลางบ้านเลย น่าสงสาร” แม่วันเล่าสีหน้าเศร้า
“ฉันหนีมาจากช่องนนทรี มาเจอเข้าที่นี่แบบเต็มรักเลยจ้ะ อนิจจังอนิจจา พ่อแม่แกแก่แล้ว หนีไม่ทัน แล้วพี่ชายเข้าไปช่วย ก็เลย” หญิงชาวพระนครเล่า พร้อมกับเช็ดน้ำตา
กำนันเล่าเสริม “เขาจะอพยพไปอยุธยาต่อ ขอทำศพให้เสร็จก่อน นี่สวดคืนเดียว พรุ่งนี้เผาเลย เงินทองก็แทบจะหมดตัวกันแล้ว”
“คืนไหนเดือนหงาย มันก็แปลว่าจะมีเรือบินมาทิ้งระเบิด แล้วก็จะมีคนตาย ขอให้ระวังกันเอาไว้เลย บ้านแม่อังควรจะรีบทำหลุมหลบภัยให้แข็งแรงไว้เลยนะ” แม่วันบอกอย่างห่วงใย
“เดี๋ยวลุงเป็นธุระให้เอง มีแต่ผู้หญิงกันทั้งนั้น ลำบากแย่” กำนันนุ่มบอกอย่างมีน้ำใจ
“ไม่รู้สงครามมันจะยืดเยื้อไปอีกนานแค่ไหน เมื่อไหร่ไม่ใครก็ใครมันจะยอมแพ้กันไปข้างนึงซักที เครื่องบินมาทิ้งระเบิดที…คนไทยตายมากกว่าพวกนั้นซะอีก ทหารรบกัน แล้วทำไมพลเรือนต้องมารับเคราะห์แบบนี้ ทิ้งระเบิดมาแต่ละที โดนญี่ปุ่นกี่ลูก คนไทยกี่ลูก เคยนับกันบ้างไหม” หลวงพ่อว่า
อังศุมาลินนั่งแปะลงกับพื้นศาลา อย่างคนหมดแรง มองดูพวกชาวกรุงเด็กๆ และผู้หญิงร้องไห้กันระงม ยิ่งเด็กๆ ดูจะขมขื่นใจมาก


ขณะเดียวกันที่วัดย่านฝั่งธนบุรี ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งหนึ่ง แลเห็นโลงศพทหารเรือไทย คลุมด้วยธงกองทัพเรือ เรียงเต็มเกือบสิบโลง มีนายทหารเรือยศต่างๆ วิ่งประสานงานกันวุ่นวาย ท่าทีร้อนใจ บางโลงก็มีรูปมาวาง บางโลงไม่มีอะไร
หลวงชลาสินธุราชแต่งตัวในชุดเต็มยศ ยืนเครียดอยู่มุมหนึ่ง สารวัตรองอาจ ในเครื่องแบบเดินเข้ามาหา
“แย่จริงนะครับ คุณหลวง...” น้ำเสียง สีหน้าของสารวัตรดูไม่ออก ว่าจริงจัง หรือเยาะหยัน “พวกพันธมิตรทิ้งบอมบ์ผิดๆ พลาดๆ อย่างนี้ มันใช้ไม่ได้จริงๆ ทิ้งมาโดนกรมอู่ทหารเรือของเราซะนี่ เราก็ต้องนับว่าพวกฝรั่งมันก็คือศัตรูของไทย แบบไม่ต้องสงสัยเลย จริงไหมครับ”
คุณหลวงตอบเสียงเรียบเย็น “ทหารเรือไทยตายไม่รู้เท่าไหร่ กรมอู่ฯของเราก็เสียหาย ยังประเมินไม่ได้ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดเล่น”
“แย่มากเลยล่ะครับ แสดงว่า...พวก..ใต้ดินของเรา...ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะออกไปส่งข่าว หรือให้เบาะแสที่แม่นยำกว่านี้ได้เลยสิครับ” สารวัตรองอาจยังไม่ยอมหยุด
หลวงชลาสินธุราชสวนกลับเรียบเย็นเหมือนเก่า “ผมจะไปรู้ได้ยังไง แต่ผมก็ภาวนานะ ว่าให้ติดต่อกันได้เสียที ก่อนที่บ้านเมืองเราจะพินาศไปมากกว่านี้” หากสังเกตุสักนิดจะเห็นว่าแววตาคุณหลวงกร้าวแข็ง
จ่าทหารคนหนึ่งเข้ามา ทำความเคารพ “ขออนุญาตครับ กระผม จ่าตรีวินัย นิยมชล ได้โทรเลขแจ้งไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิตที่ต่างจังหวัด ครบแล้วครับผม!”
“ขอบใจ ไปพักผ่อนบ้างนะ จ่าน่ะ ได้ข่าวว่าไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนนี่” คุณหลวงบอกอย่างห่วงใย
จ่าทหารทนไม่ไหว น้ำตาทะลัก แต่พยายามกลั้น “ครับผม ขอบพระคุณครับผม” ชิดเท้า แสดงความเคารพแล้วรีบเดินไป
สารวัตรองอาจถอนใจแล้วพูดเหน็บแนมอีก “โอ…ทหารเรือ...ผมรักทหารเรือไทยมากนะ คุณหลวง...รักคนไทยทุกคนด้วย คุณหลวงอย่ามองผม...เหมือนไม่ใช่คนไทยด้วยกันสิครับ” ค้อมหัวให้ “ตามสบายนะครับ”
หลวงชลาสินธุราชมองตามสารวัตรไปอย่างชิงชัง และเหม็นหน้า คล้อยหลังสารวัตรองอาจ นายทหารคนหนึ่งเข้ามาหาคุณหลวง
“ไอ้พวกสมุนญี่ปุ่น…มันอยากรู้อะไร”
“มันก็มากวนให้เราลุแก่โทสะเร็วๆ เท่านั้นเองครับท่าน” คุณหลวงว่า
“ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก แต่...ครอบครัวคุณ..เอ่อ..ผมหมายถึง..ครอบครัวเก่าคุณน่ะ ได้ข่าวว่าอยู่ใกล้แถวๆ ที่ระเบิดลงเหมือนกันนี่ หวังว่าจะไม่มีใครเป็นอะไรนะ” เพื่อนนายทหารเรือตบบ่า แล้วเดินไป
หลวงชลาสินธุราชอึ้ง นึกห่วงวูบขึ้นมา ขยับตัวจะไปไหนซักอย่าง พอดีคุณนายจิตในชุดลูกไม้ดำไว้ทุกข์ เดินเข้ามาหา
“คุณพี่คะ มาอยู่นี่เอง...อิฉันจะมาปรึกษาเรื่องทำบุญหน่อยค่ะ ตกลงคณะภรรยาทหารเรือ จะเป็นเจ้าภาพคืนนี้นะคะ คุณพี่ว่าเราควรจะออกเท่าไหร่ดีคะ”

คุณหลวงอึ้ง เลยไปไหนไม่ได้

คู่กรรม ตอนที่ 7 (ต่อ)

ที่อู่ต่อเรือทหารญี่ปุ่น เวลาตอนกลางวัน โกโบริเดินมาหยุดยืนครุ่นคิด มองเหม่อไปทางคุ้งน้ำ เสียงหมอทาเคดะดังจากข้างหลังตามมา

“โกโบริซัง”
“มีอะไรหมอ”
“คุณเป็น-อย่างไงบ้าง”
“ผม...เพลีย นิดหน่อย มีอะไรหรือ”
โกโบริหันมาหา ถามหมอทาเคดะ
“แล้วที่ห้อง-พยาบาล ทุกคน-ปลอดภัย-ไม่เป็นอะไร-มากใช่ไหม”
“ใช่ ที่เหลือ-ปลอดภัย ทำแผล-ใส่ยาหมดแล้ว แต่คง-ต้องขอยา-จากหน่วยกลาง-มาเพิ่ม คุณ-ไม่ต้องห่วง”
“ดี-ขอบคุณ-หมอมาก..ผมฝากหมอ-ด้วย อย่าให้-ใครเป็นอะไร-ไปอีก”
“โกโบริ-ไม่มีใคร-อยากให้เกิด-เรื่องแบบนี้”
โกโบริหลบตาต่ำ หันตัวกลับ รู้สึกผิดในใจ
“ถ้าผมกับหมอ...ไม่ออกไป…เมื่อคืน คนของเรา อาจไม่สูญเสียมากเท่านี้”
“เราอยู่ เราไม่อยู่ ความสูญเสีย มันจะต่างกันยังไงหรือ ระเบิดลงมาจากฟ้า...เราจะช่วยป้องกันใครได้ยังไง” หมอทาเคดะปลอบ
“เราควรอยู่กับทุกคน..ตั้งแต่แรก” โกโบริบอกอีก
“เราก็มาถึง ทันได้อยู่กับทุกคนตลอดเวลาที่ระเบิดลงมานี่นา โกโบริซัง-ฟังผมนะ”
หมอทาเคดะเสียงดังขึ้น
“นี่คือ-สงคราม ไม่ว่า-คุณหรือผม หรือคน-อื่นๆ ต่างไม่ใช่-ผู้เลือก สงคราม-เป็นผู้เลือก เราสองคน-มาอยู่ตรงนี้ บางที-ก็ตอบ-ตัวเองไม่ได้-ว่า..เพื่ออะไร นั่นละ..ผม-เข้าใจคุณ อย่าลืม-พักผ่อนนะ”
จากนั้นหมอทาเคดะเดินกลับไป โกโบรินิ่งงันไป ทหารนายหนึ่งวิ่งไวๆ เข้ามา
“ผู้กองโกโบริครับ…”
โกโบริได้สติหันไปหา

มองจากตรงลานอู่ต่อเรือทหารญี่ปุ่น เห็นสภาพความเสียหายของเรือที่ถูกลากขึ้นมากองๆ ควันยังไม่จางหายดี
นายพลโทโมยูกิกำลังมองดูความเสียหายที่เกิดขึ้นมีพันโทมาซาโอะ และนายทหารติดตาม 2 นาย ขนาบอยู่เบื้องหลัง เห็นขบวนเรือจอดเทียบท่าอยู่ไม่ไกลนัก
“โกโบริ นี่เสียหายไปแค่ไหน” แม่ทัพใหญ่ถาม
โกโบริชิดเท้ารายงาน
“อาคารพังไป 1 หลัง เสียหายบางส่วนอีกสองหลัง เรือพังอีกเกือบสิบลำ และ...สูญเสียไป3 นาย ครับ”
พันโทมาซาโอะกำชับ “ห้ามผู้กองเปิดเผยข่าวการสูญเสียที่นี่ออกไปไม่ว่ากรณีใดๆ”
โกโบริชะงัก “ครับผม”
“ข่าวว่าเมื่อคืนเป้าหมายคือ สถานีรถไฟบางกอกน้อย ที่เราใช้กันอยู่ แต่พลาดไปลงที่อู่ของราชนาวีไทยและที่นี่ ต่อไป พื้นที่แถบนี้จะเป็นเป้าระเบิดอีกแน่ หลานต้องระวังดีๆ” พลโทโทโมยูกิบอกอย่างห่วงใย
“ครับผม”

บนตู้ขบวนรถจักรไอน้ำ ที่แบรตฟอร์ด สหราชอาณาจักร กลางคืน
ตัวละครวนัส ท่านชายวิชญา อรุณ พิชัย ชาวไทย 15-20 คน

มองผ่านหลังตามนายทหารอังกฤษระดับนายสิบ ที่กำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อยในตู้ขบวนรถจักรที่กำลังแล่นโยกเยกไปมา เสียงเครื่องจักรไอน้ำดังลั่น บรรดาทหารอาสาสมัครชาวไทย นั่งกันอยู่เต็มขบวนตู้ คุยสัพเพเหระกันไป ทุกคนยู่ในเครื่องแบบ ทหารบริเตนที่ดูรู้ว่าอยู่ในช่วงอากาศหนาว หน้าต่างตู้ขบวนทุกบานปิด ภายนอกมืดสนิท
เงาสะท้อนลงใบหน้าของวนัสที่กำลังเหม่อมอง จากในกระจกหน้าต่างขบวนรถ
“ยิ่งขึ้นเหนือ หิมะยิ่งตกหนักน่าดูนะกระหม่อม” วนัสปรารภ
พิชัยนั่งอยู่ข้างๆ วนัส ส่วนท่านชายวิชญา และอรุณ นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“เหม่อมองหิมะ หรือใจลอยหาใครกันแน่” ท่านชายวิชญาแซวเอา
วนัสหันมาหา “ก็…คงทั้งสองอย่างแล้วกันกระหม่อม”
“ไปอยู่แบรตฟอร์ดคงหนาวจับใจแน่ไอ้น้องชาย” พิชัยแซวอีกคน
“เฮ้อ…ทำไมผมโดนรุมอีกแล้ว”
วนัสโวยเล็กๆ ทุกคนหัวเราะชอบใจ
“นั่นสิ เพราะหิมะลงหนักอย่างนี้ เยอรมันเลยโดนโซเวียตตีตลบเอาที่สตาลินกราด” อรุณบอก
“โซเวียตก็ฉลาดที่หลอกดึงเกมจนเข้าวินเทอร์” ท่านชายออกความเห็น
“กระหม่อมพูดถูก ผมว่าเยอรมันไปไม่รอด” วนัสว่า
“ถ้ารอดก็คงต้องยกยุโรปให้มันกันละ” ท่านชายเสรีไทยบอก
พิชัยพูดเสริม “นี่เมื่อครู่หม่อมไปที่ตู้คณะแกนนำมา เห็นพี่ป๋วยบอกว่า ตอนนี้ญี่ปุ่นเสริมกำลังที่ กัวดาเนลเต็มที่ แล้วพวกมันก็ต้อนเอาเชลยอเมริกัน อังกฤษออสเตรเลีย ฮอลันดาเข้าไปไว้ที่ไทยเยอะมาก”
วนัสสงสัย “มันเอามาไว้ที่บ้านเราทำไม”
“อืม แสดงว่ามันกำลังเร่งสร้างทางรถไฟอย่างที่ได้ยินมา” ท่านชายบอก
“น่าจะเป็นอย่างนั้นกระหม่อม” อรุณว่า
วนัสถอนใจ “ไม่รู้ที่บ้านผมจะเป็นยังไงกันแล้วบ้าง”
ทุกคนเงียบ เพราะต่างก็ห่วงบ้านตนที่เมืองไทย
“บ้านเราก็เหมือนกัน อยู่ใกล้หัวลำโพงด้วย” พิชัยเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“ทำอย่างไรจะได้ข่าวคราวพรรคพวกที่เมืองไทยได้น้อ…” อรุณพูดอย่างเป็นกังวล
ทุกคนเงียบไป
ท่านชายวิชาญร้องเพลงขึ้นมา
“เมื่อไหร่เธอจะเจอฉันได้
อีกเมื่อไรจะให้พบกัน
ตั้งแต่วันฝากรักสลักมั่น
ก่อนจากกันวันนั้นฉันยังจำได้”
วนัสร้องต่อ
“ต่างจำใจจำไกลสัมพันธ์
ต่างโศกศัลย์ตื้นตันหัวใจ
เธอตื้นตัน แต่ฉันนั้นร้องไห้
รู้หรือไม่ใจฉันเศร้ากว่า
ท่อนต่อมาหนุ่มๆ คนไทยร้องขึ้นมาพร้อมๆ ไม่ได้พร้อมเพรียง ฟังดูห้าวๆ แมนๆ
“คิดถึงความสัมพันธ์
ตั้งแต่วันนั้นเรื่อยมา
คิดถึงคำสัญญา น่าจะมาเร็ววัน
อีกกี่วันจะได้สมใจ
อีกเมื่อไรจะได้พบกัน
เธอให้ไปที่ไหนจะไปนั่น
รักฉันมั่นฉันไม่หวั่นใคร

“เพลง เมื่อไหร่จะให้พบ ผลงานการประพันธ์เนื้อร้องของแก้ว อัจฉริยกุล ประพันธ์ทำนองโดยหลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ มีความสำคัญคือ หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ คือเสรีไทยสายอเมริกา มีชื่อรหัสว่า JANE ที่ทำงานลับๆ ตั้งแต่ตอนท่านทำงานกรมโฆษณาการ โดยแอบส่งข่าวสารความเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นในประเทศไทย ไปที่หน่วย OSS-OFFICE STRATEGIC SERVICE เป็นหน่วยข่าวกรองของรัฐบาลสหรัฐฯ มีภารกิจด้านการข่าวและประสานงานกับหน่วยใต้ดินของประเทศที่ถูกคู่สงครามของฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครองระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มีสถานีย่อยอยู่ที่เมืองจิตตะกองประเทศพม่า โดยใช้โค้ดลับแทรกไปกับการกระจายเสียงของกรมโฆษณาการที่ออกอากาศเป็นปกติทุกวัน เพลงนี้ เป็นเพลงเต้นรำที่คนไทยสมัยใหม่ครั้งนั้นชอบกันมาก และเล่าต่อกันมาว่า..เป็นเพลงที่ภายหลังจากคืนนี้ไปอีกไม่กี่เดือน ใช้เปิดเป็นโค้ดลับ ที่บอกให้เครื่องบินพันธมิตรมาบอมบ์เป้าหมายได้”

รถไฟแล่นตะบึงไปในความมืด พร้อมเสียงเพลงที่ค่อยๆ เงียบลง และถูกแทนที่ด้วยความวังเวง

ชีวิตริมแม่น้ำยามเย็นยังดำเนินไป เห็นท้องฟ้าเป็นสีแดง ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำจะลับลาฟ้าแล้ว

เปลวไฟจากตะเกียงส่องแสงเรื่องเรืองกลางความมืดสลัว ที่เริ่มห่อคลุมไปทั่วเรือนชานบ้านช่อง เสียงบรรเลงขิมนุ่มนวลไพเราะดังขึ้นมาจากบนเรือนของอังศุมาลิน
แสงจากตะเกียงสาดกระทบปลายไม้ตีขิม ที่กระทบอย่างแผ่วสัมผัส
อังศุมาลินซึ่งอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้ว กำลังนั่งพับเพียบบรรเลงขิมเพลงจีน “เก็บบุปผา”
แม่อรในชุดนอนเปิดประตูห้องนอนออกมาเงียบๆ หยุดมองลูกสาวครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้ามาหา
“ยังไม่นอนหรือลูก”
“ยังคะ”
“แม่ว่าพ่อมะลิ กะพ่อหมอคงยุ่งจนลืมไปหรือเปล่า ว่ามาทำอะไรกันทิ้งไว้”
อังศุมาลินชะงักการบรรเลงไปเล็กน้อย
“นี่แม่ว่าพรุ่งนี้เช้าหนูก็เอาใส่ห่อไปท้ายสวนให้ตาบัวตาผลเลยละกัน ทิ้งไว้จะเสียของเปล่าๆ”
“ค่ะ ได้คะแม่”
แม่อรเดินมาทิ้งตัวลงนั่งใกล้ๆ
“แม่เคยรู้จักคนเล่นเพลงจีนเก็บบุปผาเพลงนี้คนหนึ่ง เธอเล่นได้เพราะนักเสียดายที่ตายไปเสียแล้ว”
อังศุมาลินร้องไปสุ้มเสียงแฝงไปด้วยรู้สึกขมขื่น
“เสียดายเอ๋ยเสียดายหงส์ทองจะต้องคลาคลาด
ใจเอ๋ยจะขาดไปเสียแล้วหนา
อกเอ๋ยจะจากไปก็ไม่วายคลายโศกเอย…”
“แม่ว่าเธอคงไม่รู้หรอกว่าจะได้เล่นเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายก่อนตาย คนเรานี่หนาบทจะตายช่างง่ายนักหนา” แม่อรถอนใจ “แต่นั่นละตายจากกันยังดีเสียกว่า...จากกันทั้งเป็น”
เสียงขิมชะงักไปเล็กน้อย อังศุมาลินเปลี่ยนไปไล่สำเนียงขิมเปลี่ยนเพลงโดยเร็ว ทั้งยังพยายามฝืนน้ำเสียงให้แจ่มใส
“แม่ไม่ลองซ้อมมือดูบ้างหรือคะ”
“ไม่ละจ้ะ ทิ้งไปนานนิ้วก้านคงจะแข็งไปหมดแล้ว”
แม่อรเหยียดขาค่อยๆ ทิ้งตัวนอนลงข้างๆ
“หนูลองเล่นพระจันทร์ครึ่งซีกเถาแล้วแม่จะร้องส่งให้หนูเล่นได้ไหม” แม่อรว่า
อังศุมาลินหัวเราะแจ่มใสเบาๆ “เดี๋ยวนะคะขอหนูลองดูก่อนทำนองนี้ใช่ไหมคะ”
แม่อรเอียงหูนิ่งฟังท่วงทำนองตาม
“...อาใช่แล้ว ลองขึ้นสามชั้นสิแม่ไม่รู้ว่าจะไปไหวไหม” แม่อรร้องขึ้น
“เรื่อยอารมณ์ชมเล่นเห็นจันทร์แรมครึ่งซีกหาแจ่มกระจ่างไม่…โอยคงไม่เข้าทีแล้ว”
เสียงเพลงล่มกลางขัน พร้อมกับเสียงหัวเราะแจ่มใสของอังศุมาลิน ยายศรเปิดประตูออกมา มีผ้าคลุมไหล่รุงรัง พูดเย้าสองแม่ลูก
“ไม่ไหวๆ มโหรีวงนี้เล่นกันไม่จบสักเพลง”
“คุณยายไม่นอนอีกหรือคะหรือว่าเสียงขิมของหนูไปปลุกมา”
“เสียงยายอรนะซิปลุกฉัน”
ยายศรว่า พลางเดินไปทรุดนั่งลงใกล้ๆ แม่อร
“จะว่าไป ฉันก็นอนไม่หลับดีนักหรอก กลัวมันจะบินกันมาทิ้งกันอีก”
“หนูว่าแล้วเชียว แต่ถ้ามาจริงเดี๋ยวหนูไปเรียกอยู่แล้ว”
“เอากะเขาซิ ดูสิแม่อร”
“ยัยอังนี่ก็” แม่อรเอ็ดเบาๆ “ไปพูดหยอกให้คุณยายใจเสีย”
อังศุมาลินถอนใจยาวพลันมีเสียงเคาะประตูเรือนดังขึ้น
แม่อรฉงน “เอ๊ะใครมา”
อังศุมาลินลุกขึ้น “เดี๋ยวหนูเปิดเอง” แล้วเดินตรงไปที่ประตูบ้านตรงชานเรือน
“ลูกถามก่อนนะว่าใคร” แม่อรบ่นขึ้นเบาๆ “ใครมาอะไรค่ำๆ มืดๆ”
อังศุมาลินเอื้อมมือไปแตะกลอนแล้วร้องถามขึ้น
“ใคร”
เสียงเงียบไปครู่ แม่อรและยายศรมองลุ้น
เสียงโกโบริดังขึ้น “ผมเองโกโบริ”
อังศุมาลินชะงัก
แม่อรตะโกนมาถาม “ใครลูก”
“โกโบริค่ะแม่”
“เปิดประตูซิลูก”
อังศุมาลินเปิดประตูออก เห็นโกโบริในชุดยูกาตะใหม่เอี่ยมสีน้ำเงินเข้ม ผมเรียบแปล้ โค้งศีรษะให้
“ผมเข้าไปได้ไหมรบกวนหรือเปล่า”
อังศุมาลินมองอย่างสับสน รู้สึกทั้งดีใจ ทั้งไม่อยากให้มาเลย ขัดแย้งในใจ
“เชิญค่ะ”
โกโบริสบตา ยิ้มด้วยตา สีหน้าอบอุ่น

ครู่ต่อมาโกโบริวางดาบที่ถือมาป้องกันตัวลง พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งพับขาทับส้นแบบคนญี่ปุ่นอย่างเรียบร้อยใกล้ๆ แม่อร และยายศร
“ที่อู่เป็นยังไงบ้างละพ่อดอกมะลิ”
“เรือ-พัง-ไปหลายลำมี..คนเจ็บ-บ้าง-นิดหน่อย” เงียบไปนิด ไม่ได้บอกทั้งหมด “หมอ-เลยยังไม่ว่างเรา-ยุ่ง-กันตลอด-ตั้งแต่เมื่อคืน-จนมาเป็น-ปกติ-เมื่อสักครู่” ขณะพูดเหลือบมองไปทางอังศุมาลิน “เสียดาย-ที่ไม่ได้-ทำอาหาร-จนเสร็จ” ก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“เราทานของพ่อไปกันบ้างแล้ว อร่อยดียายอังปิ้งไปปิ้งมาหลายรอบ ไม่รู้ว่าพ่อจะ มากันเมื่อไร เลยกินกันไปแล้วเมื่อเย็นนี้แล้วนี่ทานข้าวไปหรือยัง” ยายศรเล่า จบด้วยการไถ่ถาม
โกโบริค้อมศีรษะลงรับ หันมามองอังศุมาลิน ที่กำลังเอาน้ำมาวางให้ แล้วไปนั่งข้างๆ ขิม
“ผมได้ยินเสียงเพลง-เลย-อดเดินมา-ไม่ได้” โกโบริบอก
“อ๋อ..เสียงยายอังเล่นขิมนี่ล่ะ คงชอบดนตรีสินะ” ยายถาม
“เสียงคล้ายกับดนตรีของญี่ปุ่นฟังแล้ว…” โกโบริคิดหาคำแล้วสบตาอังศุมาลิน “โฮมซิก”
อังศุมาลินทำน้ำเสียงเรียบๆ หันมาอธิบายให้แม่และยายฟัง “คิดถึงบ้าน”
โกโบริพนักหน้ารับน้อยๆ ทวนคำเบาๆ “คิดถึงบ้าน”
อังศุมาลินมองสีหน้าโกโบริ แล้วเลื่อนขิมเข้าไปให้ใกล้ๆ
“ลองตีดูไหม”
โกโบริลูบคลำขิมอย่างสนใจ
“ใช้ไม้นี่ตี..ถือแบบนี้”
อังศุมาลินยกไม้ขึ้นทำให้ดูแล้วยื่นส่งไม้ให้ โกโบริมองตามอย่างสนใจ แล้วรับไม้ไว้
“เคยลองตีมาแล้วนี่”
โกโบริทำท่าจับทะมัดทะแมงและแข็งแรง แม่อรเห็นถึงกับหัวเราะออกมา
“นี่พ่อคุณอย่าจับเหมือนจับดาบแบบนั้นสิ”
โกโบริหัวเราะขำตัวเองเต็มที่ แล้วลองตีไล่เสียงดู
“อานั่นละ..แสดงว่าเล่นดนตรีเป็น” แม่อรเยื้อนยิ้มรอฟังต่อ
จากสำเนียงฟังเพี้ยนๆ ในช่วงแรกๆ จนเริ่มฟังเป็นเพลงขึ้น โกโบริตีเพลงนางครวญ
อังศุมาลินเริ่มจะจับสำเนียงเพลงที่คุ้นนี้ได้
“นี่เพลงอะไร”
โกโบริสั่นหน้า และตั้งใจไล่เสียงเพลงไปอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เอ...เพลงนี้คุ้นๆ นะ ไม่น่าจะใช่เพลงญี่ปุ่น” แม่อรยิ่งฟังยิ่งคุ้น
โกโบริตั้งใจตีแบบสุดฝีมือ จากทำนองที่ตนจำได้ อังศุมาลินเริ่มจับสำเนียงเพลงที่คุ้นนี้ได้แล้วสีหน้าเริ่มเปลี่ยน
โกโบริมองหน้าแม่อร ที่ท่าทางพยายามจะจับเสียงโน้ตให้ได้ และเอาใจช่วยสุดๆ แล้วยิ้มเขินๆ เอาใหม่ ขยับตัว สูดลมหายใจลึกๆ นั่งตัวตรง แล้วเริ่มลงมือตี พยายามลงจังหวะให้ดีขึ้น
สีหน้าอังศุมาลิน รู้สึกปวดใจ จนจะทนไม่ไหว
เพลงที่โกโบริตี เริ่มเข้าจังหวะ และฟังชัดว่าคือทำนองเพลง...นางครวญ
 
ท่วงทำนองหวานเศร้า ทำให้อังศุมาลินหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ตนบรรเลงเพลงนี้

เมื่อครั้งในอดีต อังศุมาลินร่วมเล่นขิมอยู่ในวงเครื่องสาย และมีนักร้องร้องส่งเพลงนี้อย่างไพเราะซึ่งเป็นการซ้อมอยู่ในชมรมดนตรีไทย คณะอักษรศาสตร์ วนัสมายืนดูที่ประตู ตรงป้ายชมรมนั่นเอง

“โอ้ว่า ป่านฉะนี้ พระพี่เจ้า คงโศกเศร้า รัญจวน ครวญหา”
นักร้องขับขานอย่างไพเราะ อังศุมาลินและวงบรรเลงรับ
วนัสเกาะประตู ฟังทำหน้าตาปลาบปลื้ม อังศุมาลินเงยหน้ามามองเห็นวนัสส่งยิ้มมาให้ อังศุมาลินยิ้มตอบสดใส

อังศุมาลินดึงตัวเองกลับมา เริ่มหายใจขัดๆ โกโบริรู้สึกว่าตัวเองตีถูกแล้ว จึงตีอย่างตั้งใจ หน้าตาภูมิใจ
อังศุมาลินทนไม่ไหว หลุดปากออกมา “หยุด…หยุดที”
โกโบริชะงักมือ เหลือบตามามอง ทุกคนตกใจ ที่อังศุมาลินออกอาการเช่นนั้น
“อย่าเล่นเพลงนี้เลย” อังศุมาลินรู้สึกตัวพูดเสียงแผ่วลงไป
โกโบริสบตา ทำท่าเหมือนจะถามออกมา แล้วกลับนิ่งไป อังศุมาลินเมินหน้ามองไปทางอื่น โกโบริถอนใจ หันกลับไปยิ้มให้แม่อร และคุณยายศรอย่างเอาใจ แล้วค่อยๆ ลงมือ ตีเพลงใหม่ เป็นเพลง ซากุระ
แม่อรกับยายศรฟังอย่างสนใจ หันมาพยักพเยิดกัน เป็นเชิงว่า เข้าทีๆ
อังศุมาลินเริ่มหันมาสนใจ ฟังบ้าง โกโบริเล่นไปยาวเลย อังศุมาลินฟังแล้ว สีหน้าดูจะผ่อนคลาย สบายใจขึ้น

เงาพระจันทร์เต็มดวงกลมโตสะท้อนน้ำไหวๆ เห็นดวงจันทร์ดวงจริงๆ ที่กระจ่างอยู่กลางฟ้า ดอกไม้จากซุ้มเถาโดนลม ร่วงปลิวหล่นลงพื้น พร้อมๆ กับเสียงเพลงซากุระจบลง
แม่อรฟัง หน้าตาอิ่มเอม ส่วนยายศรมองด้วยท่าทีชอบใจ เอ็นดู และ สงสาร
โกโบริวางไม้ตีลง เงยขึ้นเป็นเชิงบอกว่า จบแล้ว
อังศุมาลินอดถามไม่ได้ “เพลงอะไร”
โกโบริหันมามอง “ซากุระ…” แล้วอดไม่ได้ยิ่งกว่า ถามบ้าง “แล้ว…เพลงแรก...ชื่อเพลงอะไร”
อังศุมาลินงงนิดหนึ่ง “เพลงไหน”
“เพลงที่...ผมจำมา จากที่ได้ยินคุณเล่นบ่อยๆ แต่ก็จำได้ไม่หมด จำได้แต่ท่อนต้นๆ” โกโบริว่า
อังศุมาลินไม่ค่อยอยากตอบหันไปสบตาแม่
แม่อรมองปรามอยู่ในที
อังศุมาลินตอบอย่างไม่เต็มใจนัก “อ๋อ…เพลง…นางครวญ”
โกโบริจ้องเขม็ง “แปลว่าอะไร”
“ผู้หญิง…ร้องไห้” อังศุมาลินแปล
โกโบริฉงน “ร้องไห้ทำไม”
อังศุมาลินหันมาจ้องหน้า ตอบไปแบบประชดๆ ที่ถามอะไรกันนักหนา “เจ้าชายคนหนึ่ง...ต้องถูกเรียกตัวไปจากเจ้าหญิงคนหนึ่งอย่างกะทันหัน ทั้งๆ ที่กำลังรักกันมาก แล้วก็มี...เหตุให้เจ้าหญิงต้องถูกพาตัวไปอยู่ที่อื่นอีกที...แล้วเจ้าหญิงก็เลยห่วง…ว่าหากเจ้าชายกลับมาไม่เห็นเธอ...เขาจะเสียใจแค่ไหน…คือ…เรื่องมันยาว…มาจากวรรณคดี…เอ้อ..วรรณคดี เรื่องอิเหนา”
ตรงคำว่าวรรณคดี อังศุมาลินพูดเป็นคำญี่ปุ่น
โกโบริตั้งใจฟังอย่างจริงจัง สีหน้าขรึมลงไปอีก แววตาเห็นอกเห็นใจ “คุณคงคิดถึงเขามากสินะ”
อังศุมาลินฉุน “ทำไม” สีหน้าเริ่มเหวี่ยง
โกโบริขรึมลง “เขาไปสงครามใช่ไหม”
อังศุมาลินอึ้งไป สบสายตาที่จริงใจของโกโบริ แล้วเสียงอ่อนลง “ไม่ใช่...เขาไปเรียนหนังสือต่อที่อังกฤษ แต่พอดี...เกิดสงคราม”
โกโบริโค้ง ก้มหน้าลง “ผมเสียใจด้วย พอสงครามเลิก..คงได้พบกัน”
ทุกคนเงียบไป อังศุมาลินอึ้ง

ขณะเดียวกัน ซามิเซ็งอยู่ในมือของพลโทโทโมยูกิ ซึ่งกำลังพลิกดูไปมา ก่อนจะหันขวับไปหาทาหมอเคดะ กับเคสุเกะ ที่ยืนตัวตรงอยู่ตรงหน้าประตูห้องโกโบริโดยมีพันโทมาซาโอะยืนอยู่ใกล้ๆ
“ไปไหนนะ นี่ค่ำมืดอย่างนี้ทำไมยังออกไปนอกอู่อีก ทำไมเตือนกันไม่ฟัง”
“โกโบริคงไปที่บ้านสวนข้างๆ อู่นี่เองครับท่าน อีกพักคงกลับเข้ามา” หมอบอก
“บ๊ะ บ้านหลังนี้อีกแล้วหรือ เขาไปทำอะไรที่นั่น” แม่ทัพใหญ่ไม่พอใจ
หมอทาเคดะบอกต่อ “เออ..สุภาพสตรีที่บ้านหลังนี้ใจดี ช่วยเหลือโกโบริเมื่อตอนที่โดนโจรดักฟัน เขาคงเป็นห่วงคนที่บ้านนี้ เพราะมีแต่ผู้หญิงทั้งสามคน”
“สุภาพสตรี..ใจดีหรือ” มาซาโอะทวนคำ
พลโทโทโมยูกิกับพันโทมาซาโอะสบตากัน
หมอทาเคดะพยายามแก้ตัว “อะ..ใช่ครับ เป็นครอบครัวแม่ลูกชาวสวนเก็บผลไม้ขาย และเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกับเราครับ”
พลโทโทโมยูกิคิดอะไรบางอย่าง “แม่ลูก ผู้หญิง..สามคน อืม...” ก้มมองซามิเซ็งในมือ
หมอทาเคดะ และเคสุเกะสบตากัน แล้วรีบก้มหน้า ซ่อนตา รู้สึกว่าไม่น่าพูดออกไปเลย

โกโบริยิ้มกับอังศุมาลิน แล้วหันไปพูดกะแม่และยายด้วย
“ถ้าไม่ใช่ทหาร คงไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
อังศุมาลินแย้ง “รู้ได้ยังไง ว่าจะไม่เป็นอะไร สงคราม...ก็คือสงคราม...ทหาร หรือ...พลเรือน…ก็เสี่ยงทั้งนั้น”
โกโบริก้มหัวให้อีก “ก็จริงครับ ถ้าพลเรือนเป็นอันตราย จะเป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก ทีแรก ผมคิดว่าเขาเป็นทหาร ตายในสนามรบ-เป็นหน้าที่ของทหาร คนที่อยู่-ข้างหลัง- ควรจะภูมิใจ”
แม่อรมีสีหน้าอ่อนโยนขณะ “ทหารทุกคน..คิดอย่างนี้หรือ”
โกโบริหันไปตอบอย่างภูมิใจ “ทหารชาติอื่น ผมไม่รู้ แต่ทหารญี่ปุ่น ทุกคน คิดอย่างนี้”
“ถ้าทุกคนรู้ตัวล่วงหน้าว่าจะต้องมาตายล่ะ...ก็คงจะใจเสีย..บ้างละมั้ง” อังศุมาลินแย้งนิดๆ
“ใจเสีย...เสียใจ” โกโบริทวนคำ
ยายศรรีบบอก “เสียใจ..กับใจเสีย ไม่เหมือนกัน”
“ใจเสีย..คือ...รู้สึก..กลัวๆ ใจไม่ดี..ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น” อังศุมาลินอธิบาย
โกโบริทำหน้าเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้น..ทำไมจะต้องใจเสีย ถ้าความตายของเรา...จะเป็นประโยชน์ กับประเทศของเรา”
“แปลว่า…ไม่สนใจเลยหรือไง ว่า...คนที่...อยู่ข้างหลัง...จะรู้สึกยังไง” อังศุมาลินบอกช้าๆ
โกโบรินิ่งไปนิด คิดถึงพ่อแม่ขึ้นมา สายตาอ่อนโยนลง ยิ้ม “แม่กับพ่อ…ก็คงจะเหงา...บ้าง”
อังศุมาลินอยากถามถึงแฟน แต่นิ่งไป ไม่อยากละลาบละล้วง
แม่อรถามอย่างอยากรู้จริงจัง “พ่อดอกมะลิแต่งงานหรือยังจ๊ะ”
โกโบริงงอีก “แต่ง-งาน?”
อังศุมาลินแปลญี่ปุ่นให้ “แต่งงาน”
โกโบริก้มหน้าลง “อ้อ...เอ้อ...ยังไม่ได้คิด แต่…” อยู่ๆ เหลือบตาไปมองอังศุมาลิน แล้วถาม “คุณอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นไหม...ผมอยากให้คุณได้เห็นนิกโก้ของเรา...ที่นั่นมี...อะไรๆ ที่ยิ่งใหญ่สวยงามมากมาย...ภูเขา ทะเลสาบลำธาร…แล้วก็มีศาลเจ้าโตกุกาว่า…”
อังศุมาลินตัดบททันที น้ำเสียงห้วนสุดๆ “เราคงไม่ได้ไปที่นั่นกันหรอก”
โกโบริชะงัก กำลังจะเล่าอะไรดีๆ ถึงกับเก้อ “ทำไม...ถ้าหากไม่มีสงคราม…”
อังศุมาลินตัดบท เสียงขุ่นเข้ม “เพราะ…เราคงไม่อยากไปนัก”
ยายศรกับแม่อร ต่างมองอังศุมาลินอย่างอึ้งๆ
โกโบริก้มหัวลง “ขอโทษ” หันไปหยิบไม้ตีขิมวางเรียงลงให้เรียบร้อย แล้วหันไปยิ้มให้แม่อรและยายศร “ดึกแล้ว ผมเห็นจะต้องกลับเสียที…ผมมารบกวนอยู่นาน…ควรกลับได้แล้ว” หันมา ก้มหัวให้อังศุมาลิน “ผมขอโทษ ที่พูดมากไป แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก...นอกจาก...ถ้า…เราเป็นมิตรกัน หากสงครามเสร็จแล้ว...ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมจะเชิญทุกคนที่บ้านนี้ไปที่ญี่ปุ่น เพราะ…ทุกคนที่นี่มีบุญคุณกับผม แต่...ถ้าคุณไม่ชอบ ผมก็จะไม่พูดอีก”
อังสุมาลินหน้าซีด แม่กับยาย สบตากัน เงียบกริบ

โกโบริเดินมาเรื่อยๆ ตามทาง ใครคนหนึ่งเดินมามืดๆ เห็นเป็นเงาวูบไหว
โกโบริมองเห็นความเคลื่อนไหว ระวังตัว ร่างๆ นั้นรีบร้อน เดินเข้ามา โกโบริรีบขยับ แอบอยู่ในเงามืด ชักดาบออกมา

ร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ โกโบริกำลังเงื้อดาบหมายจะโจมตี

ติดตาม "คู่กรรม" ตอนที่ 8
กำลังโหลดความคิดเห็น