คู่กรรม ตอนที่ 12
อังศุมาลินยืนตัวแข็งทื่อ มึนชา มองโกโบรินิ่งอึ้ง นัยน์ตาว่างเปล่า ส่วนโกโบริสีหน้าขาวซีด เคร่งขรึมจริงจัง
“วิธีเดียว...ที่ผมคิดว่าจะรับผิดชอบกับเรื่องนี้ได้คือรีบจัดการทุกอย่างให้ถูกต้องทำให้คนหยุดพูดถึงเราในทางไม่ดี...คุณลุงผมทราบแล้ว หลังจากหมอโยชิได้คุยกับแม่ของคุณเรียบร้อย คุณลุงท่านยินดีจะมาด้วยตัวเอง และจัดการเรื่องนี้ให้คุณอย่างสมเกียรติ”
อังศุมาลินซีด เบลอ งวยงง
“คุณมีอะไรขัดข้องไหม” โกโบริย้ำ
อังศุมาลินยิงตรง “ฉันไม่ได้รักคุณ ไม่ได้รักคุณเลย ไม่เคยรักแม้แต่นิดเดียว”
โกโบริเหมือนโดนแทงกลางอก ตอบกลับนิ่งๆ เสียงเบา
“ผมทราบ...ทราบข้อนี้ดี แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีทางใดที่ดีกว่านี้”
“มีสิ คุณไปซะ ไปให้พ้นจากที่นี่ กาเอรุ! กลับไป!”
อังศุมาลินระเบิดอารมณ์ใส่ โกโบริไม่ตอบโต้ ได้แต่ยืนนิ่ง
หม้อแกงที่ตั้งอยู่บนเตากำลังเดือดปุดๆ แม่อรกำลังคนชิมรสแกงไปมา ควันฉุยๆ เสียงหมาเห่าหน้าบ้านแว่วมา แม่อรชะงักหัน
เสียงกำนันดังขึ้น “แม่อรเปิดประตูที”
แม่อรวางทัพพี แล้วเดินมาที่ประตูเรือน
“จ้าๆ...มาแต่เช้าเชียวพ่อกำนัน”
ครู่หนึ่งแม่อรเปิดประตูเรือนออก แล้วต้องผงะ งงเล็กน้อย เห็นกำนันในชุดดูเป็นทางการจากปกติเล็กน้อย และมีหมอโยชิยืนนิ่งอยู่ข้างหลัง
ส่วนภายในสวนทั้งสองคนยังคงยืนจ้อง เอาเชิงกัน ราวกับการดวลอาวุธ
“วิธีแก้ปัญหา ให้ผมไปให้พ้น จะช่วยคุณไม่ได้เลย นอกจากความพอใจที่คุณไม่ต้องเห็นหน้าผม แต่ผมเอง...จะไปอยู่ที่ไหนก็คงทรมานใจ เพราะทิ้งปัญหาที่ไม่ได้แก้ไขไว้ให้คุณต้องลำบากเพียงลำพัง เป็นเรื่องที่ผู้ชายญี่ปุ่นยอมไม่ได้อย่างน้อยที่สุด การตัดสินใจนี้ จะทำให้การพูดมากของคนพวกนั้นหยุดลงได้เสียที”
“แล้วยังไง...” อังศุมาลินจ้องหน้า “เขาก็จะพูดกันเรื่องอื่นแทน”
โกโบริงง “จะมีเรื่องอะไรอีกหรือ?”
“ก็มีผู้หญิงญี่ปุ่นสักคน ไปแต่งงานกับชายอเมริกันเข้า...จะเป็นยังไงล่ะ”
จบคำอังศุมาลินหัวเราะเย้ยเบาๆ
โกโบรินิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนบอก
“ถ้าผมพูด..คุณก็จะไม่เชื่อผม จะว่าผมพูดเข้าข้างตัวเอง” สีหน้าหนักใจ ตั้งใจอธิบายช้าๆ “ผมอาจไม่ใช่ซามูไรที่ดีนักมีคนบอกว่าผมใจอ่อนเกินกว่าจะมาเป็นทหารที่เป็นได้..เพราะบารมีลุง แต่ผมรักชาติ.. ไม่ได้หลงชาติอย่างคนอื่นๆ ผมคิดเสมอว่า มนุษย์ทุกคน จะเป็นญี่ปุ่น อเมริกัน ไทย หรือชาติใดๆ เขาย่อมมีสิทธิ์เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือความเป็นมนุษย์เสรี ความรัก ความชัง...เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล”
อังศุมาลินมองตอบด้วยแววตาต้องการเอาชนะ
“ถ้ามีผู้หญิงญี่ปุ่น แต่งงานกับชายชาติอื่น เพราะต่างรักกัน เธอย่อมมีสิทธิที่จะทำได้ ผมไม่ตำหนิเธอ”
“แล้วจะมีใครสักคนไหมในประเทศชาติคุณ ที่ยกย่องชื่นชม กับแม่สาวที่ประพฤติเช่นนั้น”
โกโบริอึ้ง
อังศุมาลินพูดต่ออย่างขมขื่น หัวเราะเยาะ “นั่นละคนไทยทุกคนก็คิดเช่นนั้น เชื้อชาติคุณสูงส่งมาจากดวงอาทิตย์ ก็จงสถิตอยู่ตรงนั้นเถอะ อย่ามายุ่งกับคนอื่นเขาเลย ..ฉันยินดีจะแต่งงานกับคนที่เลวที่สุดในชาติไทย ดีกว่ากับคนที่สูงส่งของชาติศัตรู เพราะฉัน...จัดตัวเองอยู่ในประเภทคนหลงชาติเสียด้วย”
อังศุมาลินพูดจบก็หันกลับอย่างสง่า เดินไปอย่างทระนง ปล่อยให้โกโบริยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น
ขณะที่อังศุมาลินเดินมาถึงหน้าบันไดเรือน ก็ต้องชะงักหยุดมองไปที่อ่างล้างเท้า เมื่อเห็นรองเท้าชายสองคู่ รองเท้าบู้ธทหาร กับรองเท้าคัทชูธรรมดา วางอยู่ใกล้ๆ อ่าง
อังศุมาลินใจหายวาบ รีบก้าวขึ้นเรือน พลันเสียงชายหนุ่มสองคนกับแม่อรดังอยู่ที่ประตูเรือน อังศุมาลินก้าวขึ้นไปเห็น กำนัน และหมอโยชิกำลังลาแม่อร
อังศุมาลินผงะเหมือนคนเพิ่งตื่น พูดอะไรแทบไม่ออก ยกมือไหว้กำนันหน้าตื่นๆ กำนันนุ่มรับไหว้
“เอา มาพอดีเลยหนูอัง ลุงก็กลับพอดีเหมือนกัน”
อังศุมาลินมองหมอโยชิหน้าเหวอ แล้วเลยพลอยไหว้หมอไปด้วย แบบตั้งตัวไม่ถูก
โยชิโค้งหัวให้พองาม ยิ้มอ่อนโยน “อังศุมาลิน สบายดีนะ”
“ค่ะ”
อังศุมาลินไม่กล้าเอ่ยถามอะไรออกไปมากกว่านั้น
“ลุงไปก่อน” กำนันนุ่มชะงักเล็กน้อย “คุยกับแม่ดูนะ แล้วอาทิตย์หน้าลุงจะมาอีกที”
อังศุมาลินมอง งงๆ หันไปมองแม่ เห็นแม่อรแอบเก็บสีหน้าบางอย่างไว้ จะเดินตามลงมาส่ง
กำนันรีบบอกกับแม่อร “ไม่ต้องไปส่งฉันหรอก เอาแค่นี้ละ”
หมอโยชิเอ่ยลาแม่อร “ผมลาละ สวัสดี” พลางค้อมหัวให้
“จ้ะ..งั้นฉันส่งแค่นี้ละนะ”
หมอโยชิเหลือบมองอังศุมาลินก่อนหันเดินไป อังศุมาลินหน้าซีด นึกสังหรณ์ใจ
แม่อรเดินนำอังศุมาลินมาที่ชานบ้านตรงยกพื้น ที่ยายศรนั่งเจียนหมากอยู่เงียบๆ
“นั่งลงก่อนสิลูก มานั่งนี่ก่อน”
อังศุมาลินพยายามเก็บสิ่งที่กำลังคิดเตลิดในหัวไว้นิ่งๆ เดินตามแม่อรมานั่ง
แม่อรคิดหาคำว่าจะเริ่มพูดยังไงดี “หนูลงไปสวนมาหรือ”
อังศุมาลินเข้าเรื่อง “ลุงกำนันกับหมอโยชิมีอะไรหรือคะแม่”
ยายศรเหลือบมองแม่อรเป็นระยะๆ
แม่อรถอนใจเล็กๆ “เขามาเรื่องหนูกับพ่อโกโบริ...”
อังศุมาลินมือชา หน้าชาทันที ถามอาการมึนงง
“มะ..มีเรื่องอะไรคะ”
แม่อรมีท่าทีอึกอัก ไม่รู้จะพูดเริ่มบอกยังไง ยายศรเห็นเลยช่วยพูดต่อให้
“ก็เรื่องเก่าเล่าลือของหนูกับพ่อมะลินั่นละ ที่นับวันคนก็ยิ่งเอาไปป่าวขยายกันหนาหู...”
อังศุมาลินเร่งถามอย่างร้อนรน “แล้วเรื่องนี้...ทำไม อะไรคะ”
อังศุมาลินหันมองไปมาทั้งแม่และยายที่ไม่ยอมให้ความกระจ่างเสียที
“ลุงกำนันกับหมอโยชิเขาเลยคุยปรึกษากันแล้ว เห็นว่า หนูกับพ่อโกโบริ...ควรจะแต่งงานกัน เพื่อปกป้องตัวหนูให้พ้นจากเรื่องนี้”
“แล้วแม่ตอบว่ายังไงคะแม่ปฏิเสธไปแล้วใช่ไหมคะ”
“ยัง ยังจ้ะ ฟังแม่ก่อนลุงกำนันกับหมอโยชิมาวันนี้แค่ทาบทามเท่านั้น”
“แต่แม่ก็บอกเขากันไปได้เลยนี่คะ ว่ายังไงหนูก็ไม่มีทางแต่งแน่”
“จะเอะอะตัดขาดกันเลยอย่างนั้นมันไม่ได้หรอกลูก ผู้ใหญ่กันแล้วทั้งนั้น” ยายศรท้วง
แม่อรถอนใจ พูดเตือนสติลูกสาว “เราก็ต้องหาทางบ่ายเบี่ยงให้งาม ทั้งลุงกำนัน...หมอโยชิกับแม่...กับหนู...ก็รู้จักคุ้นเคยกันมาด้วยกันนมนาน ทั้งคู่พ่อดอกมะลิก็มีบุญคุณกับครอบครัวเรา แล้วเขาก็มาตามประเพณีทุกอย่าง เราจะทำเหมือนเด็กอมมือมันไม่ได้หรอกลูก ลุงกำนันมาเป็นพยานให้ทั้งสองฝ่าย เราก็ต้องทำให้ถูกให้ควร”
“แต่แม่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะ..หนูไม่ได้รักเขานี่คะ หนูเกลียดเขา เกลียดเขามาก แม่ก็รู้นี่คะ” อังศุมาลินย้ำ
“อัง หนูต้องใจเย็นๆ นะ แม่กับคุณยายบอกลุงกำนันไปแล้วว่าขอคิดดูก่อน แล้วหนูเองก็ไม่ได้มีแค่แม่กับยาย หนูยังมีคุณพ่ออีก พ่อหนูเขาก็เป็นใหญ่เป็นโต จะทำอะไรก็ต้องถามทางเขาด้วย”
“แสดงว่าแม่ ‘ไม่ตกลง’ ใช่ไหมคะ” อังศุมาลินถาม
“อาทิตย์หน้า หมอถึงจะมาฟังคำตอบจ้ะ”
“แล้วแม่ก็บอกได้เลยใช่ไหมคะว่าทางเราขัดข้อง” อังศุมาลินบอกเสียงขุ่น
แม่อรถอนใจเล็กๆ “ก็คงเป็นอย่างนั้นละจ้ะ”
อังศุมาลินถอนใจ โล่งไปหนึ่งเปลาะ แต่ยังมีแววตาคิดกังวล อยากให้ถึงเวลานั้นเร็วๆ เสีย
ยายศร กับ แม่อร สบตากันกลุ้ม
ที่ห้องประชุมกองอำนวยการคณะกรรมการผสม สนามเสือป่า พระนคร ช่วงบ่ายๆ
แลเห็นธงไตรรงค์คู่เคียงข้างกับธงอาทิตย์อุทัยถูกแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปกระทบวับๆ ทั้งจากกล้องนักข่าวของสำนักข่าวไทย และฝ่ายญี่ปุ่น ราว 3-4 คน
เห็นนายทหารระดับสูงฝ่ายไทยและญี่ปุ่น ฝ่ายละ 8-10 คน นั่งโต๊ะประชุมร่วมกัน โดยแยกสองฝั่ง มีนายทหารระดับรองมายืนประกบหลังระดับสูงที่นั่งอยู่ ทุกคนหันหน้ามองกล้อง แสงไฟแฟลชกระทบวูบวาบ
หลวงชลาสินธุราชมองกล้อง พลโทโทโมยูกิก็มองกล้อง
จังหวะหนึ่งคุณหลวงเหลือบมองโทโมยูกิ ในจังหวะที่โทโมยูกิเหลือบมองสบตามาพอดี
นายทหารทั้งสองฝ่ายกำลังลุก แยกย้ายกันออกจากโต๊ะประชุม แม่ทัพเรือตรงเข้ามาตบบ่าแสดงความยินดีกับหลวงชลาสินธุราช
“ดีใจด้วยคุณหลวง โอกาสดีๆ อย่างนี้หาได้ยาก ลูกสาวแต่งงานทั้งทีก็ได้ช่วยชาติ ถือเป็นวาระระดับประเทศ มาช่วยส่งเสริมเชื่อมความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของไทยกับญี่ปุ่นช่วงนี้พอดี ท่านนายกฯ ฝากบอกมาเมื่อเช้าว่าตัวท่านสนับสนุนเต็มที่จะจัดงานให้เอิกเกริกสมเกียรติเชียว”
“ครับท่าน กระผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรอย่างนี้วันนี้ต้องฝากขอบพระคุณความกรุณาไปถึงท่านนายกฯ ด้วย”
“ได้ๆ” แม่ทัพเรือยิ้มยินดีชื่นมื่น
คุณหลวงยิ้มรับแบบฝืดๆ มึน งง
จากนั้นนายทหารคนอื่นๆ เข้ามาตบบ่าแสดงความยินดีถ้วนหน้า
สารวัตรองอาจเดินเข้าแสดงความยินดี
“ยินดีกับคุณหลวงด้วยครับ”
หลวงชลาสินธุราชยิ้มรับเฝื่อนๆ
ระหว่างนั้นพลโทโทโมยูกิ ที่มีมาซาโอะ และโยชิตาม ตามหลังองอาจเข้ามา
“ผมคงต้องบอก ฝากโกโบริหลานชายผม ให้คุณหลวง...ช่วยดูแลด้วย” โทโทยูกิเอ่ยขึ้นทักทาย
“ท่านนายพลบอกว่า” หมอโยชิแปล “ผมคงต้องบอก ฝากโกโบริหลานชายผม ให้คุณหลวง...ช่วยดูแลด้วย”
คุณหลวงก้มหัว “ครับผมยินดี”
หมอโยชิแปลกลับ “คุณหลวงบอกว่า ยินดีอย่างยิ่งครับท่าน”
โทโมยูกิบอกต่อ “กำหนดวันเวลาการแต่งงานที่แน่นอนอย่างไร โกโบริจะเป็นผู้รีบแจ้งให้ทราบในเร็ววัน”
“กำหนดวันเวลาการแต่งงานที่แน่นอนอย่างไร โกโบริจะเป็นผู้รีบแจ้งให้ทราบในเร็ววัน” หมอโยชิแปลอีก
“ท่านนายพลสบายดีนะครับ” คุณหลวงทัก
นายพลโทโมยูกิน้อมศีรษะรับ ตอบเองทันทีแบบไม่ค่อยชัด “ขอบคุณครับ สบายดี”
สารวัตรองอาจยืนฟังทั้งสองฝ่ายคุยอยู่ด้วยแววตาหยันเย้ย แอบมองหลวงชลาสินธุราชเป็นระยะ
คุณหลวงเหลือบมาเห็นพอดี คอแข็ง ใบหน้าชาดิก
ยอดต้นลำพูยามค่ำ พลิ้วไหวไปตามสายลมเย็น คลอเสียงขิมเพลง นางครวญ กังวานโหยละห้อย บางครั้งเสียงสูง บ้างครั้งลดลงต่ำดูแปรปรวน มองผ่านแมกไม้ไป เห็นแสงไฟเหลืองนวลลอดผ่านม่านหน้าต่าง เป็นเงาเลือนๆ ของอังศุมาลินในกิริยากำลังบรรเลงเพลงขิมอยู่
ชายคนหนึ่งกำลังกอดอก ทอดตัวนิ่งอยู่ในเงามืดจนท่อนสุดท้ายของเพลงที่สะดุดหลายครั้ง ก่อนชะงักหายไป
ที่แท้เป็นโกโบริมองผ่านยอดไม้เห็นเงาที่หน้าต่าง อังศุมาลินกำลังก้มซบหน้านิ่งกับท่อนแขนตัวเอง
โกโบริขยับอิริยาบถทอดตัวแหงนมองดวงดาวเบื้องบน ตามด้วยเสียงถอนใจหนักหน่วง สีหน้าของโกโบริครุ่นคิดหนัก ขณะมองออกไปไกลลิบ
คำพูดอังศุมาลินดังขึ้นในหัว “ฉันแต่งงานกับคนที่เลวที่สุดในชาติไทย ดีกว่ากับคนที่สูงส่งของชาติศัตรู เพราะฉันจัดว่าเป็นคนหลงชาติเสียด้วย”
คิดแล้วโกโบริขยับเบี่ยงหน้าไปอีกทางหนึ่งเล็กน้อยครุ่นคิด จิตกังวลวุ่นวาย
นึกถึงที่อังศุมาลินพูดใส่หน้า “ฉันไม่ได้รักคุณ ไม่ได้รักคุณเลย ไม่เคยรักแม้แต่นิดเดียว”
โกโบริหลับตาลง แล้วถอนหายใจ ก่อนจะขยับตัวลืมตาขึ้นลุกติดเครื่อง
เรือลำสีขาวแล่นหายไปในความมืดเงียบๆ พลันเสียงขิมแผ่วแว่วเบาทำนองเพลงซากุระอย่างไม่ชำนาญ ค่อยๆ ดังขึ้น มองผ่านยอดไม้ไปยังตัวเรือนเห็นเงาอังศุมาลินนั่งบรรเลงขิมผ่านม่านหน้าต่างอีกครั้ง
สีหน้าอังศุมาลิน ที่ตีเพลงญี่ปุ่น งงๆ สับสน รีบวางไม้ แล้วจ้องมองขิมอย่างแสยงใจ
เช้านั้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ พาดหัวตัวไม้เบ้อเริ่ม “สัมพันธไมตรีไทย-ญี่ปุ่นกระชับแน่นหลานแม่ทัพญี่ปุ่นเตรียมวิวาห์สาวไทย” มีรูปทหารระดับสูงฝ่ายไทยและญี่ปุ่นถ่ายรูปชื่นมื่นถูกดึงไปจากมือตาแกละ
เสียงวิภาอ่านข้อความนั้นให้ทุกคนฟัง “สัมพันธไมตรีไทย-ญี่ปุ่นกระชับแน่นหลานแม่ทัพญี่ปุ่นเตรียมวิวาห์สาวไทย”
เสียงยายเมี้ยนดังแหลมเข้ามา “โอ้โห โอ้โห..แม่เจ้าโว้ย”
พร้อมกันนั้นยายเมี้ยนคว้าหนังสือพิมพ์จากมือตาแกละขึ้นมาดู กลางวงสภากาแฟร้านอาโกนั่นเอง ตาแกละ แมว อาโก เฮียเม้ง และวิภา ต่างสนใจมองตามเป็นตาเดียวแม่ค้าชาวมามุงๆ 4-5 คน
“ไหมละ ไหมละ อย่างอีเมี้ยนมันว่าไว้มั้ย..คนมันอยากโก้อยากรวยเป็นคุณหญิงคุณนายจะต่างเชื้อต่างชาติไม่ต้องไปสนใจ ไอ้ยุ่นมันรวยกันจะตายขืนไม่เอาก็โง่สิ..ยามสงครามอย่างนี้เผื่อมันไปรบแล้วตายก็ได้สมบัติไปใช้สบายอุราเสียอีก..แหม แล้วแต่ก่อนมาทำเป็นต่อต้านญี่ปุ่นเกลียดญี่ปุ่น” ยายเมี้ยนใส่ฉอดๆๆ
แมวหัวเราะเยาะ “หึหึ” สะบัดเสียงเหยียดๆ “เชอะ...” แล้วเป็นเป็นล้อ “อู๊ย..เกลียดๆ แผ่นดินนี้เป็นของคนไทยนะย้า..คนญี่ปุ่นไม่มีสิทธิ์มารุกราน..แล้วเป็นยังไงล้า…”
เฮียเม้งเอ่ยขึ้น “แบบนี้...อังศุมาลีต้องเปลี่ยนเป็นนามสกุลญี่ปุ่น กลายเป็นคนสัญชาติญี่ปุ่นหรือเปล่า”
ตาบัวกะตาผลมายืนฟัง หูผึ่ง
“เออ” ตาแกละพูดกับแมว ท่าทีจริงจัง “หรือว่าอีหนูน่าจะลองไปหาเกลียดๆ พวกไอ้ยุ่นมันดูบ้างดีไหมวะ” พูดแล้วตาแกละก็เหลียวมองไปที่นอกร้าน “เผื่อพ่อกะแม่เอ็งจะสบายยามแก่กะเขาบ้าง”
“อาแกละมองหาลูกเขยเหรอ....ฉันว่าไอ้เจ้านี่มันก็ดูไม่เลวนะ”
อาโกสะกิดชี้ชวนยายเมี้ยนมองไปทางหน้าร้าน คนอื่นๆ เหลียวมองตาม
เห็นเคสุเกะที่เดินนำหน้าพวกทหารญี่ปุ่นกำลังเดินชมตลาดหาซื้อของกิน เสียงดังโหวกเหวกส่งภาษาไปมา
ตาบัวกะตาผลรีบฉกหนังสือพิมพ์แล้วเร้นกายหายไป
ไม่นานต่อมาอังศุมาลินวางหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น คว้าง เบลอ
“แม่คะ..ไม่ใช่หนูใช่ไหมคะ นี่ต้องไม่ใช่หนู”
แม่อรรีบคว้าไปดู กวาดตาเร็ว “เดี๋ยวก่อนลูก เดี๋ยวก่อน...หนังสือพิมพ์ก็ลงกันไปอย่างนั้นเอง ไม่มีอะไรนี่จ๊ะ ไม่เห็นมีชื่อหนูเสียหน่อย
ยายศรดึงหนังสือพิมพ์ไปมองเพ่ง ถอยดูรูป อย่างลำบาก
อังศุมาลินหน้าซีด ถามปากคอสั่น “ยังไงๆ...มันก็จะไม่เกิดขึ้นใช่ไหมคะแม่...มันไม่มีวันที่จะเป็นจริงได้ ใช่ไหมคะ”
แม่อรอึ้ง หันไปทางสองเกลอ ตาบัวกับตาผลรีบก้มหน้างุดหลบไปจ้วงข้าวเข้าปากกันต่อ
ยายศรเพ่งแล้วเพ่งอีก “คนนี้...ดูคลับคล้ายคลับคลา..คุณหลวงชลาสินธุ์..ใช่ไหมหนู”
แม่อรไม่ตอบ กลุ้มหนัก
ขณะเดียวกัน ฝีเท้าชายคนหนึ่งก้าวขึ้นมาจากเรือยนต์ที่จอดเทียบส่งที่ท่าน้ำหน้าบ้าน ชายผู้นี้ใส่ชุดลำลองเรียบร้อย สวมหมวก เหลียวมองสำรวจบริเวณท่าน้ำโดยทั่ว เสียงเรือยนต์แล่นห่างไป
ที่แท้เป็นหลวงชลาสินธุราช ที่กำลังกวาดตามองสำรวจ เพื่อรำลึกย้อนความทรงจำที่สวยงามบริเวณแห่งนี้อย่างรวดเร็ว แล้วออกก้าวเดินตรงไปที่เรือนต่อ
ตาผลที่กำลังจะถือปิ่นโตอาหารซึ่งจะเอาไปให้ไมเคิล เดินลงบันไดมา แต่ต้องหยุดชะงัก สีหน้าประหลาดใจมองลงไปเห็นอะไรบางอย่าง
ครู่หนึ่งตาผลร้องบอกอย่างตื่นเต้น “แม่อัง คุณพ่อแม่อังมาแน่ะ”
อังศุมาลินสะดุ้ง งงปนตกใจ แม่อรใจหายวาบ มือที่กำลังจะเก็บสำรับ ค้างอยู่อย่างนั้น
ยายศรมองหน้าแม่อร แล้วตัดสินใจเดินเข้าห้องตัวเอง
หญิงชราปิดประตูนั่งลง หน้าตาปลงๆ และคาดเดาล่วงหน้าว่า...อังศุมาลินคงไม่รอด
ติดตาม "คู่กรรม" ตอนที่ 12 (ต่อ) เวลา 9.00 น.
หลวงชลาสินธุราช ก้าวผ่านประตูเรือนเข้ามา มีตาผลยืนยิ้มทักแหะๆ อยู่ คุณหลวงถอดหมวก เหลียวมองบ้านโดยรอบอย่างรวดเร็ว สายตาไปหยุดที่แม่อร และอังศุมาลิน
แม่อรวางมือขยับลุกขึ้น สีหน้าเรียบเฉย ต้อนรับอย่างนอบน้อม
“เชิญคุณหลวงค่ะ” พลางหันไปสั่งอังศุมาลิน “หนูไปหาน้ำหาท่ามาลูก”
อังศุมาลินหันมองแม่อรตาละห้อย อยากอยู่ฟังด้วย แต่จำใจขยับลุก ตาบัว กะตาผลพยักกัน หลบหายเข้าครัวไป
อังศุมาลินกระซิบเบาๆ “แม่พูดกับพ่อ ไม่ตกลงนะคะ”
แม่อรนิ่งไม่ตอบ สีหน้าเคร่งขรึมมองไปที่แขกผู้มาเยือน
ถาดปั้นน้ำชา พร้อมด้วยถ้วยหูลายครามที่เก่าจนแตกลายงา ถูกประคองวางลง ใบหน้าหลวงชลสินธุราชมองตาม
“น้ำแข็งไม่มีค่ะ มีแต่ชาร้อนๆ”
คุณหลวงยื่นมือไปแตะปั้นน้ำชาที่อังศุมาลินนำมาวางให้ หมุนดูไปมาเหมือนกับคุ้นเคย
“ปั้นน้ำชาชุดนี้ยังอยู่อีกหรือนี่”
แม่อรที่พับเพียบนั่งอยู่ด้วยที่ระเบียงมองตาม
“เหลือถ้วยแค่สามใบเท่านั้นคะ ยายอังทุบไปเสียสองใบ อีกใบมันร้าวมากเลยไม่ได้เอาออกมาใช้”
“หนูไม่ได้ไปเรียนต่อหรือ” คุณหลวงถาม
อังศุมาลินเงยมองผู้เป็นบิดา
“หนูไม่อยากให้แม่ลำบาก”
“แล้วทำไมไม่ไปบอกพ่อ”
“นั่นดิฉันกับยายอังจะปรึกษากันเองคะ” แม่อรแทรกขึ้น
หลวงชลาสินธุราช อารมณ์เริ่มขุ่นๆ
“แล้วตกลงเรื่องที่เกิดขึ้นว่ายังไง เป็นยังไงมายังไง” หันไปเห็นหนังสือพิมพ์ “อ้าว มีหนังสือพิมพ์เหมือนกันหรือนี่”
อังศุมาลินถอยไปด้านหนึ่ง ส่วนในครัวตาบัวกะตาผล ท่าทีลับๆล่อๆ จกอาหารกิน ปากเคี้ยวหยับๆ อะไรไป
“ดิฉันก็อยากจะพบ เพื่อปรึกษาเหมือนกัน”
คุณหลวงหงุดหงิด “ฉันก็มีเรื่อง..มาก”
แม่อรพยายามใจเย็น “ดิฉันก็มีเรื่อง แต่ถ้าจะพูดกันอย่างใจร้อนละก็ เราอย่าเพิ่งพูดกันจะดีกว่า”
คุณหลวงชลาสินธุราชสบตาแม่อร ถอนใจอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
ครู่ต่อมา ที่ตรงท่าน้ำ เห็นสายน้ำในคลองไหลเรื่อยไป
เสียงแม่อรดังทำลายความเงียบขึ้น “แล้วคุณหลวงคิดยังไงล่ะคะ”
ทั้งสองยืนเคียงกันท่าทีห่างเหิน ต่างไม่มองกัน แต่มองไปทางคลอง
คุณหลวงชลาสินธุราช มองด้วยท่าทีอึดอัดแม่อรใบหน้าเรียบเฉย
“ไอ้จะทำอย่างอื่นมันก็ไม่เห็นมีทาง”
แม่อรงง “หมายความว่ายังไงคะ”
“มันก็ต้องตกกระไดพลอยโจนนะซิ ฉันกำลังมี...กรณีทางการเมืองที่เขากำลังจับตาดู หากว่า...ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับพวกนั้น...มันก็จะ...เป็นเรื่องใหญ่ อีกอย่าง...ผู้ชายนี่ก็เป็นนายทหารตัวอย่าง ที่มีสัมพันธ์อันดีกับคนไทยด้วย...ไม่ใช่หรือ ถ้าเราบ่ายเบี่ยงเป็นอื่น เขาก็จะหาว่าทางไทยเราไม่ยอมมีสัมพันธไมตรีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอะไรนั่นไปด้วย เขายิ่งกำลังเห่อๆ กันอยู่”
แม่อรผิดหวัง แต่พูดอะไรไม่ออก
“แล้วตัวยายอังว่ายังไง” คุณหลวงถาม
แม่อรนิ่งไปครู่
“ปฏิเสธเด็ดขาดตั้งแต่แรกแล้วค่ะ”
“ถ้าแกไม่ยอม ก็คงยุ่งกันอีก”
ทั้งสองต่างนิ่งไปครู่หนึ่ง บรรยากาศเงียบงัน
“ตกลงอาทิตย์หน้าหมอโยชิมาขอคำตอบ ดิฉันมิต้องพูดตามคุณหลวงหรือ”
“นี่ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำนะ” คุณหลวงว่า
แม่อรถอนใจอย่างระอา “คุณหลวงจะเล่นไม่ยอมรับผิดชอบน่ะ ไม่ได้หรอกค่ะ มันต้องรับผิดชอบด้วยกันทั้งสองคน จะมาดิฉันพูดอย่าง คุณหลวงพูดอีกอย่าง มันจะยุ่งหนักเข้ากันไปใหญ่ มันจะเสียกันไปหมด”
“ก็ดี ตอนนี้เขากำลังหวือหวากัน เราก็รับๆ ไปก่อน แล้วค่อยหาทางผ่อนๆ ไป พอเขาลืมๆ หมดค่อยขอล้มเลิกภายหลัง จะหมั้นหมายก็รับไว้ก่อน ถ้าจะไม่แต่งก็ค่อยมาพูดกันใหม่”
แม่อรเหวอมองอย่างตะลึง ว่าทำไมคุณหลวงนี่ช่างพูดอะไรง่ายดายไปข้างเดียวแบบนี้ได้ไง
อังศุมาลินเดินหน้าซีด ทรุดนั่งที่แคร่อย่างระโหยโรยแรง แม่อรเดินมาหยุดยืนมองลูกสาวนิ่งๆ ครู่หนึ่ง
“เรื่องของหนูกลายเป็นเรื่องการเมืองไปเสียแล้ว”
“หนูคงไม่ต้องไปคิดทำอะไรอีกแล้ว ทุกคนคิดให้หนูหมดแล้ว สุดแต่เวรแต่กรรมเถอะ”
แม่อรสะท้อนใจ ทรุดนั่งลงข้างๆ ลูกสาว
“พ่อหนูว่า เรารอทอดระยะเวลาให้พวกเขาหายซู่ซ่ากัน แล้วค่อยปฏิเสธ...จากนั้นก็คงไม่มีอะไร”
อังศุมาลินท้วง “แต่แม่ก็รู้นี่คะ ว่ามันไมมีวันเป็นอย่างนั้นได้ เรื่องของการเมืองเป็นเรื่องของการฉวยโอกาสและผลประโยชน์พวกนั้นเขาคงไม่มาฟังเสียงหนูเสียงแม่หรอกคะ ยิ่งคุณพ่อด้วยแล้ว ...ตัวท่านก็ต้องรักษาตำแหน่งให้ดีเหมือนกันไม่ใช่หรือคะ”
แม่อรถอนใจเบาๆ อัดอั้นตันใจ
“ยายอัง”
อังศุมาลินพลันผวากอดซบแม่ปล่อยสะอื้นออกมาไม่รู้ตัว ราวกับเด็กน้อย แม่อรกอดแน่น ลูบปลอบไปมา
“สุดปัญญาที่แม่จะช่วยลูกแล้ว”
“แม่คะ หนูเกลียดเขา เกลียดเขา”
อังศุมาลินบอกผู้เป็นมารดาซ้ำไปซ้ำมา
คู่กรรม ตอนที่ 12 (ต่อ)
กลับจากบ้านอดีตภรรยา คุณหลวงเดินเข้าบ้านมา แต่แล้วต้องชะงัก เห็นสารวัตรองอาจนั่งจิบน้ำใส่ยาอุทัย ยิ้มหัวกับคุณหญิงจิตอยู่ สารวัตรหันมาเห็นรีบลุกไหว้
“คุณหลวง..มาพอดี..ผมกำลังจะกลับ”
คุณหลวงรับไหว้ เครียด ระแวง “สารวัตรองอาจ”
“สารวัตรองอาจมาแสดงความยินดีน่ะค่ะ” คุณหญิงจิตบอก
“เรื่องอะไร”
สารวัตรองอาจแหลมขึ้นมา “อ้าว..เรื่อง..ที่คุณหลวงมีโอกาสได้เป็นผู้มีส่วนช่วยเชื่อมสัมพันธไมตรีอันดี ระหว่างชาติมหามิตรน่ะสิครับ”
คุณหลวงแค้น “ขอบคุณนะ”
“คุณหลวงอย่าทำอะไรให้เสียชื่อทหารไทย...ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของท่านผู้นำของเราก็แล้วกัน คุณหลวงทำดี..ก็จะมีหลายๆ คน...ที่พ้นภัย แต่ถ้าคุณหลวงยึดมั่นถือมั่นทิฐิมานะอะไรมากมายเกินไป ใช่แต่คุณหลวงจะลำบาก...กลุ่มผู้คน...ที่ทำกิจกรรมกับคุณหลวงอีกมาก ก็จะพลอยยุ่งยากกันไปหมด คุณหลวงคงเข้าใจนะครับ ผมลา” องอาจไหว้ แล้วออกไปเลย
คุณหลวงมองตามนิ่งงัน อัดอั้น
คุณหญิงจิตมองจนองอาจพ้นไป เข้ามากระซิบ “ยังไงคะ ทางนั้น..เขายอมใช่ไหม”
“ก็ต้องยอมสิ”
“ถ้าไม่ยอม ก็อกตัญญูเต็มทน ที่จริง..ต้องขอบใจว่าแม่อังเขามาช่วยพ่อไว้แท้ๆ”
คุณหลวงงง “อะไรของเธอ”
“คุณหลวง..อย่ามาคิดว่าอิฉันโง่ ภัยกำลังจะมาถึงตัว ถึงครอบครัวอยู่แล้ว มีสันติบาลมาแอบดูบ้านเราทุกวัน คุณหลวงมีลูกเขยเป็นญี่ปุ่นซะ ขบวนการอะไรของคุณหลวง ก็จะได้ทำอะไรสะดวกขึ้น..พวกเราก็จะได้หายใจคล่องขึ้นหน่อย หรือไม่จริงล่ะคะ” คุณหญิงว่าเป็นชุด จนเห็นภาพ
ที่กระต๊อบตาผลตาบัว ไมเคิลตาลุก ชี้ที่รูปในนสพ. ข้างๆ คือปิ่นโตกับข้าวที่วางจัดสำรับ แต่ไมเคิลไม่สนใจ
“เยส..คนนี้ๆๆๆ”
สองเกลอมองหน้ากัน
“อะไรวะ ไอ้หอย” ตาบัวถาม
ไมเคิลงง “ไอ้หอย”
ตาผลอธิบาย “ภาษาไทย..เขาจะใช้เรียกคนที่รักกันมากๆ สนิทกันมากๆ ไง”
ไมเคิลพยักหน้า “อ้อ...”
“ทำไม มีอะไร ไอ้หอย...” ตาบัวเข้ามากอดคอ ชะโงกดู
“นี่..คนนี้ ที่ผมต้องไปหาเขา” ไมเคิลชี้ๆ
ผลผลอึ้ง “หา..นี่มัน..พ่อหนูอัง”
“พ่อ..คุณอังศุมาลินหรือ” ไมเคิลย้อนถาม
“แต่เขาไปมีเมียมีลูกใหม่นานแล้ว” ตาบัวบอก
“โอ..มายกอด..ช่างบังเอิญจริงๆ...คนนี้...คือคนที่จะช่วยพวกเราให้ปลอดภัยได้ เราเรียกเขาว่า...ขุนทอง”
ตาบัวกะตาผลงงๆ “ขุนทอง”
“รู้แล้ว..เป็นชื่อรหัสไง” ตาผลว่า
ตาบัวกะผลมองหน้ากัน ช็อกๆ ไม่เคยรู้
ท้องฟ้าโพล้เพล้ริมฝั่งคลองยามเย็นย่ำ หมู่นกโผบินทยอยกลับรัง
แสงวับแวมๆ ของเหล่าหิ่งห้อยตามต้นลำพู พลันลมพลิ้วไหวกระเพื่อมกิ่งไม้นั้น ทำเอาฝูงหิ่งห้อยน้อยเหล่านั้นแตกกระจาย เห็นเงาร่างของอังศุมาลินยืนพิงโคนต้นลำพูผมสยายอยู่ลำพัง
โกโบริก้าวมายืน อยู่มุมหนึ่งไม่ไกล
สักครู่เสียงโกโบริดังขึ้น “ค็อมบันวะ..สวัสดี”
อังศุมาลินหันขวับ ไปทางเสียง เห็นร่างโกโบริในเงามืดยืนอยู่ อังศุมาลินรีบหันกลับด้วยความรู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว
“ผมมารบกวนคุณหรือเปล่า”
อังศุมาลินเงียบไม่ตอบ
“ผมคุยได้ไหม” โกโบริถอนใจเบาๆ “ผมเพิ่งรู้เรื่องข่าวหนังสือพิมพ์นั้น เพิ่งรู้จริงๆ...เป็นความผิดของผมเอง ผมไม่ทราบเรื่องว่าจะไปกันใหญ่แบบนี้”
โกโบริเดินมาข้างหน้าอังศุมาลิน
“ผมไม่ตั้งใจที่จะทำให้เกิดเรื่องอย่างนี้ ไม่ได้ต้องการให้มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่นิดเดียว”
อังศุมาลินประชดอยู่ในที “แต่มันก็เป็นไปแล้ว”
“ผมเสียใจ เป็นสิ่งที่ผมเสียใจอย่างยิ่ง”
“เสียใจทำไม สัมพันธไมตรีอันสูงส่งของไทย-ญี่ปุ่นกระชับแน่น”
โกโบริก้าวเข้ามาใกล้อีก
“นี่ผมไม่ได้ต้องการรับรู้สัมพันธไมตรีอะไรทั้งนั้น ผมต้องการรู้เพียงว่า...”
โกโบริโอบคว้าร่างอังศุมาลินเข้ามากอดอย่างแนบแน่น พึมพำ อย่างอ่อนโยน
“ฮิเดะโกะ...ฮิเดโกะ”
โกโบริก้มหน้าซบเส้นผมยาวประบ่าของอังศุมาลิน
อังศุมาลินร้อนวูบไปทั้งตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลับตา อดยอมรับไม่ได้ว่า รู้สึกดี และอบอุ่น ซึ่งที่จริงเป็นสิ่งที่ขาดในชีวิต จากการขาดพ่อ หรือการปกป้องจากเพศชายที่จะดูแล ซึ่งไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต
ทั้งคู่นิ่งงันกันอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง
แต่แล้ว อังศุมาลินก็ลืมตาขึ้น ความรู้สึกในขณะต่อมา คือความรู้สึกผิด และยอมรับไม่ได้ ที่ตัวเองจะอ่อนแอ ยอมพึ่งพาผู้ชาย โดยเฉพาะศัตรูของชาติแบบนี้ รู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาสุดๆ
อังศุมาลินพูดแผ่วเบา “ฉันเกลียดคุณ”
น้ำคำนั้นทำเอาโกโบริสะท้านไปทั้งตัว
หมู่หิ่งห้อยหนีหายบางตา บินหายวับๆ ไปเกือบหมด
แขนที่โอบกอดแน่นของโกโบริตกลงอย่างหมดเรี่ยวแรงทันที
อังศุมาลินเงยหน้าขึ้นมองประจันหน้า “ฉันเกลียดคุณ พอใจหรือยัง”
โกโบริก้มลงมองอย่างไม่เข้าใจ มึนงง
อังศุมาลินเน้นคำ ช้าๆ ชัด หนักแน่นทุกคำ “ถึงฉันจะได้แต่งงานกับคุณ ฉันก็จะเกลียดคุณ ถ้า...ฉันมีลูก ฉันก็จะสอนให้มันเกลียดคุณด้วย ฉันจะสอนให้มันรู้จักความเกลียดก่อนที่จะรู้จักความรัก...คุณได้ในสิ่งที่คุณต้องการมาด้วยกำลัง ด้วยอำนาจ แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณจะไม่มีวันได้ไปเป็นอันขาด...”
โกโบริก้มมองไม่วางตา แต่พลันหัวเราะออกมาเบาๆ อังศุมาลินพลุ่งพล่านขึ้นมาทันควัน
“และฉันจะทำให้คุณได้รู้ว่า การอยู่โดยใช้ความเกลียดเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงนั้น ผลสุดท้ายมันจะเป็นยังไง”
ทันทีทันใด โกโบริเกี่ยวรัดคว้าอังศุมาลินเข้ามาแนบชิดตัว พร้อมประทับรอยจุมพิตลงทั่วใบหน้าด้วยความรัก และโกรธ คลั่ง ระบายอารมณ์ที่เสียใจมาก
อังศุมาลินออกแรงผลักสุดตัวเต็มแรง แต่ไม่อาจต้านแรงได้
มืออังศุมาลินที่ปัดป่ายไปมาทั่วแผ่นหลังโกโบริ ดึงกระชากเสื้อยูกาต้าจนแทบขาดวิ่น แล้วข่วนจิกแผลเก่าที่มีรอยเย็บนานมาแล้วเต็มแรง
โกโบริสะดุ้งเฮือก ปล่อยอังศุมาลินทันที ซวนเซไปปะทะต้นลำพู อังศุมาลินก้มมองรอยเลือดที่นิ้วมือตน ตะลึง
“เอ่อ..โก โบ ริ” อังศุมาลินเสียใจกึ่งตกใจ “ฉันต้องขอโทษ”
“มิได้ ไม่เป็นไร ผมเอง..ผมผิดเอง”
“คุณ เจ็บมากไหม”
“ผมต้องขอโทษด้วย ผมเอง..ลืมตัวทำไม่ดีลงไป..ดีแล้ว ที่คุณปลุกผมอย่างนี้เสียบ้าง” โกโบรินิ่งไปครู่หนึ่ง “กรุณาลืมเสียเถอะ สวัสดี”
โกโบริค้อมศีรษะให้ แล้วหันขวับเดินจากไปหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“โกโบริ”
อังศุมาลินเรียกเสียงแผ่วเบา รู้สึกเสียใจ แต่สายไปแล้ว
กลางดึกคืนนั้น มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นพระจันทร์เสี้ยวข้างแรม สีหม่น ส่วนภายในห้องพยาบาลในอู่ต่อเรือ ก้อนสำลีเปื้อนเลือดถูกวางลงบนถาดเหล็ก หมอทาเคดะ กำลังยกเข็มเตรียมเย็บแผลให้โกโบริ
หมอทาเคดะมองแผล แล้วมองหน้าโกโบริที่ซีดขาว เห็นใจนัก แต่ไม่อยากพูดมาก
“ผมกำลังจะเย็บ คุณแน่ใจนะไม่ฉีดยาชา”
“ใช่หมอ...เย็บเลย” โกโบริบอกเสียงเรียบ
ทาเคดะถอนใจ ส่ายหน้า เงื้อลงเข็ม จังหวะที่เนื้อถูกเข็มจิ้มนั้นใบหน้าโกโบริกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะกัดฟัน สีหน้าเย็นชานิ่ง
ขณะเดียวกัน อังศุมาลินถูสบู่ ล้างมือในขันเงินใบใหญ่ ล้างแล้วล้างอีก ยกมือขึ้นมาดูที่เล็บตน สำรวจว่าหมดคราบเลือดหรือยัง เห็นเล็บหนึ่ง มีเลือดติดอยู่เป็นขี้เล็บ
สีหน้าอังศุมาลินสีดูกังวล เป็นห่วงปนรู้สึกผิด รีบล้างใหม่ เอาเล็บขูดๆ กับสบู่
พระอาทิตย์ยามเช้าลอยอยู่เหนือยอดไม้ริมคลอง เห็นชาวบ้านลงมาตักบาตรพระที่พายเรือมาที่ท่าน้ำ ตกเย็น เด็กแก้ผ้าโดดสนุกสนานน้ำตูมๆ วันเวลาหมุนเวียนผ่านไปอีก
ตอนสายๆ หลายวันต่อมา โยชิสีมีสีหน้าสดใสขณะก้าวลงบันไดก่อนหันกลับมา
“แล้วทางเราจะรีบติดต่อกลับมา” หมอโยชิค้อมศีรษะอำลา “ผมลาเลย สวัสดี”
แม่อรยืนส่งอยู่หน้าประตูเรือน พร้อมกับยกมือรับไหว้ลา
“สวัสดี”
แม่อรยืนมองส่งเล็กน้อยก่อนหันกลับเข้าเรือน ส่วนอังศุมาลินนั่งหน้าขรึมอยู่บนเตียง ในห้องนอน นิ่งงันอยู่นิดหนึ่ง แล้วทำใจ ลุกเปิดออกมา เดินมาทรุดนั่งรอที่โต๊ะรับแขกที่ยังเห็นสภาพโต๊ะหลังการรับแขก กินน้ำชากัน ซึ่งคุณยายศรนั่งกินหมากขรึมๆ นิ่งอยู่ตรงนั้น
“เขาว่ายังไงคะคุณยาย”
ยายศรถอนใจไม่อยากตอบเอง บุ้ยใบ้ไปอีกทาง “นู่น..แม่หนูมาละ”
แม่อรเดินมาทรุดนั่งข้างๆ คนทั้งสอง
“หมอแกว่า ทางฝ่ายลุงของโกโบริคงจะจัดงานหมั้นขึ้นอาทิตย์หน้านี่เลย” แม่อรลังเลเล็กน้อยก่อนบอกต่อ “แล้ว..อาจจะแต่งกันสิ้นเดือนนี้”
อังศุมาลินหน้าซีดไปถนัด ก่อนแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ
“เห็นมั้ยละคะ อย่างที่หนูว่า การเมืองมันเป็นเรื่องการฉวยโอกาส เขาไม่ให้เราได้ตั้งตัวติดหรอก”
อังศุมาลินเหลือบมองที่ปลายนิ้วมือตนเองไป
“อย่าไปคิดอะไรเลยลูก นึกเสียว่ามันเป็นบุพเพสันนิวาสของเรา หากชะตากรรมต้องเป็นไปอย่างนี้ ยังไงเสียก็หนีไม่พ้น ตัวพ่อดอกมะลิแกก็ไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจเลย หากไม่คิดเรื่องเชื้อชาติเสียอย่างเดียว” ยายศรพยายามปลุกปลอบหลานสาว
แม่อรทอดถอนใจเบาๆ “แม่อยากบอกหนูว่า ถึงหนูจะรู้สึกยังไงก็ตาม แต่เรื่องมันเกิดขึ้นมาถึงตรงนี้แล้ว เราจะย้อนไปตั้งต้นกันใหม่คงไม่ได้หรอกลูก ต้องเป็นไปตามทางของมัน ถ้ามันจะต้องเป็นไปอย่างนี้ เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ให้เสียทั้งแม่และหนู ทั้งคุณพ่อ และยังสัมพันธไมตรีอะไรนั่นอีก” พูดถึงตรงนี้ผู้เป็นแม่ถอนใจอีก “ก็คงต้องหวานอมขมกลืนเอา”
อังศุมาลินหัวเราะเยาะ หยันตัวเองเบาๆ “แล้วแต่แม่เลยค่ะ”
อังศุมาลินยังนั่งมองปลายนิ้วตนเองต่อไป แม่อร กับยายศรได้แต่สงสารและสะท้อนใจ
ที่อู่ต่อเรือ โกโบริกำลังเดินครุ่นคิดกังวลกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวาย จนหมอโยชิที่มาส่งข่าวเรื่องหมั้น และแต่ง มองมาอย่างประหลาดใจ
“ทางโน้นตกลงเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือแต่ทางเราว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป” พลางมองดูโกโบริอย่างเป็นห่วงๆ “มีอะไรหรือ”
“อืม...เปล่าหรอกหมอ”
โกโบริบอกพลางถอนใจ
“เห็นทาเคดะบอกว่าแผลเก่า..ที่หลังคุณกำเริบ” หมอถาม
“ไม่มีอะไรหมอ บวมนิดหน่อย”
“ไปโดนอะไรมา” หมอโยชิถามอีก
“ช่างมันเถอะหมอ แผลแค่นี้ไม่นานก็หาย แต่แผลบางอย่างก็ไม่มีวันหายง่ายๆ”
“จะเป็นแผลอะไรมันก็ต้องเยียวยารักษาได้ เพียงแต่บางแผลต้องใช้เวลาและการทะนุถนอมให้มากหน่อย” หมอพูดเหมือนให้ข้อคิด
โกโบริรับรู้ พูดประชดออกไป “ผมคงต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อให้แผลนี้หายสนิท”
“คงไม่ถึงอย่างนั้นหรอก” หมอโยชิปลอบ
โกโบริสีหน้าเศร้าๆ ขณะหันมาประจันหน้าหมอโยชิ
“ผมรู้หมอ ผมไม่ได้เป็นซามูไรที่ดีนักหรอก ผมชอบศิลปะปลายพู่กันและเสียงดนตรีมากกว่าการต่อสู้ ผมเป็นทหารเพราะตระกูลผม ทุกคนต้องเป็นเท่านั้นเอง กองทัพเราไม่ได้ต้องการทหารแบบนี้ ยิ่งการรบขยายวงและกินเวลาออกไปมากเท่าไร มีแต่ทหารที่เข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่ได้ ตอนที่ผมออกจากบ้าน แม่บอกผม...ไปเถอะลูก ทางทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์ของเราอยู่ตรงหน้าลูก น่าแปลกที่ความหมายของแม่กำลังมาตรงกับผมในขณะนี้...ฮิเดโกะ...ดวงอาทิตย์ของผม ถึงไขว่คว้ามาได้ ก็ทำให้ต้องมอดไหม้ร้อนรุ่ม บางทีผมอาจจะต้องมอดไหม้จริงๆ ก็เป็นได้”
โกโบริพูดอย่างปลดปลง พร้อมกับถอนใจหนักหน่วง
“ขอบคุณหมอที่อุตส่าห์ฟัง ขอบคุณที่ช่วยจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ผมจะรีบเรียนให้คุณลุงทราบขอบคุณ”
โกโบริโค้งต่ำ ก่อนจะก้าวจากไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่หมอโยชิมองตามด้วยความกังวล
ตกตอนเย็นตาผลวิ่งปุเลงๆ ขึ้นบันไดมา
“แม่อังๆๆ”
แต่แล้วเพราะรีบร้อนเกิน ตาผลก้าวพลาด เกือบตกบันได
“โอ๊ย..ไอ้กะไดบ้านนี้มันชันพิลึก”
ครู่ต่อมา อังศุมาลินยกหม้อแกงมาจากครัว ได้ยินไม่ถนัดหูจึงย้อนถามประหลาดใจมาก “อะไรนะคะลุง”
“พวกญี่ปุ่นไปกันหมดแล้วยัง สองสามวันนี้เห็นเดินเข้าๆ ออกๆ ไอ้ลุงมีเรื่องด่วน ก็เลย...ต้องรอจังหวะ
ตาผลพูดธุระเห็นสาวเจ้ายกหม้อแกงจึงรีบช่วยรับหม้อวางลง
“นี่แกงอะไร”
ตาผลมองเล็งไปแต่แกงหอมฉุยในหม้อ
อังศุมาลินฟังความก่อนหน้า อย่างเอือมระอา “ไม่มีญี่ปุ่นอะไรทั้งนั้น....ลุงมีอะไรเหรอ”
“อ๋อ...” ตาผลหน้าเครียดทันที แล้วยืนหน้าไปกระซิบ รู้กันสองคน
อังศุมาลินนิ่งฟัง อึ้ง ตะลึงมองหน้า รับรู้ข่าวสำคัญ ที่คาดไม่ถึง ตาผลมองตอบ จริงจัง
ค่ำแล้วเปลวไฟในเตาคุกรุ่น กาน้ำใบใหญ่ตั้งต้มอยู่เหนือเตา ที่มุมมืดของตัวกระท่อมหลังสวน อังศุมาลินมาหลบยืนคุยกับไมเคิลสองคน
“คุณจำไม่ผิดแน่นะคะ”
“ไม่ผิดแน่ คุณไม่ทราบเรื่องนี้บ้างหรือ” ไมเคิลถาม
“ไม่ทราบ..เพราะ คือท่านหย่าขาดกับแม่มานานแล้ว” สาวไทยว่า
“คุณพ่อคุณจะช่วยผมได้ไหมนี่” ไมเคิลปรารภ
อังศุมาลินเงียบงันไป
“กรุณาเถอะ คุณช่วยบอกเรื่องผมให้ท่านทราบ ท่านน่าจะหาทางช่วยผมได้”
“ดิฉันจะลองดู แต่ท่านจะช่วยได้แค่ไหนฉันคงไม่ทราบ..แต่คุณแน่ใจนะว่า ไม่ผิดพลาด ไม่อย่างนั้น พวกเราจะลำบากกันหมด” อังศุมาลินบอก
“ผมรับรอง เท่าที่รู้มา ท่านติดต่อกับพวกเสรีไทยในอังกฤษอยู่ด้วย”
อังศุมาลินอึ้ง “เสรีไทยในอังกฤษหรือคะ”
ไมเคิลพยักหน้า
“ถ้าคุณออกจากประเทศไทยได้ คุณจะมีทางติดต่อกับพวกเสรีไทยใช่ไหม”
“อาจจะมีทาง”
“เอาเถอะค่ะ ดิฉันจะลองพยายามช่วยดู ขอแค่...ถ้าคุณหนีออกไปได้ และมีโอกาสพบกับคนคนหนึ่งเข้า...ดิฉันอยากฝากอะไรถึงเขา”
ไมเคิลมองมาอย่างสงสัย อังศุมาลินทำหน้าครุ่นคิดอะไรได้หลายอย่าง
อังศุมาลินกลับขึ้นเรือน แจ้งกับผู้เป็นแม่ จากนั้นสองแม่ลูกมองหน้ากัน ซีดๆ ในแสงตะเกียง
อังศุมาลินบอกอีกเบาๆ “หนูสงสัยว่าพวกฝ่ายการเมือง หรือญี่ปุ่น...อาจจะระแคะระคายเรื่องคุณพ่อ แต่จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย พอมีเรื่องหนู...กับโกโบริเข้า เลยรีบตะครุบ แล้วเอาไปตีเป็นข่าวใหญ่...ให้หนังสือพิมพ์ลงข่าวใหญ่โตไปทั่ว เพื่อแกล้งทำให้ความน่าเชื่อถือของคุณพ่อกับพวกเสรีไทยในต่างประเทศและพวกฝรั่ง...ต้องคลอนแคลนด้วยวิธีนี้ ถึงตอนนี้..ฝ่ายเสรีไทยก็ย่อมระแวงคุณพ่อเหมือนกัน”
“แล้วหนูคิดจะทำอะไร” แม่อรสังสัย
อังศุมาลินบอกด้วยหน้าตาเด็ดเดี่ยว แลดูเหี้ยมเกรียม “หนูอยากช่วย...ให้คุณพ่อจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จ ช่วยเชลยฝรั่งคนสำคัญให้หนีออกไปได้ เพื่อแสดงความจริงใจให้ทางโน้นเห็น ว่าคุณพ่อยอดเยี่ยมแค่ไหน...เรื่องการเมืองกับเรื่องครอบครัวเป็นคนละเรื่องกัน”
“แล้วถ้าเกิดผิดตัวขึ้นมา คุณพ่อจะว่ายังไง”
“คงไม่ผิดค่ะ” อังศุมาลินยิ้มแปลก น้ำเสียงแปร่งปร่ากับแม่ “แม่ไม่สมใจหรือคะ...ว่า...พวกเรานี่เอง...หนูเอง...ที่เป็นฝ่ายที่ช่วยให้คุณพ่อได้รับความดีความชอบในหน้าที่...ได้พ้นวิกฤติ”
แม่อรตกใจในความคิดลูก “ยัยอัง...หนู...หนูไม่เคย...ลืมเลยหรือลูก”
อังศุมาลินยิ้มสะใจ “ตลอดเวลามา...เราไม่เคยไปขอความช่วยเหลือจากทางบ้านนั้นเลย...ไม่ว่าจะลำบากยังไง...แล้ววันที่...คุณพ่อมาบ้านนี้ครั้งแรก ก็เพราะ...อยากให้หนูช่วย แต่ในที่สุด...สุดท้าย...หนูกลับมีเรื่องจะได้ช่วยพ่อมากกว่าที่พ่อคาดคิดเสียอีก”
“ยัยอัง” จากตกใจแม่อรเปลี่ยนเป็นเศร้า เพิ่งรู้ ว่าอังศุมาลินเก็บความในใจที่ปวดร้าวขนาดนี้มาตลอด ตั้งแต่เล็กจนวันนี้
เช้าวันต่อมาขณะที่แม่อรตัดใบเตยริมน้ำตรงท่าเรือหน้าบ้าน ด้วยหน้าตาอันหม่นหมอง อังศุมาลินแต่งตัวด้วยชุดจะไปข้างนอก เอากระโปรงนิสิตมาใส่กะเสื้อตัวที่ดีหน่อย สวมรองเท้าคัทชู ถือกระเป๋าใบเก่าที่ดูดี เดินมา
แม่อรเห็นก็รู้สึกวิตก “ยัยอัง..หนูจะไป...” หยุดปากไป ไม่พูดออกมา
“หนูจะรีบไปรีบกลับค่ะ แม่ไม่ต้องห่วง”
“ถ้าพ่อดอกมะลิแกรู้เข้าละ”
อังศุมาลินยิ้มเยือกเย็น “หนูอยากให้เขารู้ไปเลย ว่าหนูนี่ละเป็นคนช่วยศัตรูของเขา”
แม่อรตกใจกับท่าทีลูก “ยัยอัง!”
อังศุมาลินมาดหมายอยู่ในใจ ยิ้มเงียบๆ
“ทำไมหนูเกลียดพ่อดอกมะลิเขานักลูก”
อังศุมาลินไม่ตอบ
“ความเกลียดจะทำให้หนูไม่มีความสุขนะลูก ถึงหนูไม่รักก็ต้องทำใจเฉยๆ ผู้หญิงเรา เมื่อแต่งงานก็ต้องจงรักภักดีต่อคนๆ นั้น พ่อดอกมะลิแกเป็นคนดี...หนูอาจจะรักแกเข้าสักวันก็ได้” แม่อรว่า
“ไม่มีวันค่ะ” อังศุมาลินยิ้มให้แม่
เรือรับจ้างมาเทียบ อังศุมาลินก้าวลงเรือไป
วันต่อมา ที่บ้านคุณหลวงในพระนคร พอได้ฟังความจบ คุณหลวงชลาสินธุราชจ้องหน้าอังศุมาลินด้วยแววตาช็อกๆ ทั้งสองยืนคุยแอบๆ ที่สนามหญ้าข้างตึก
คุณหลวงดุ “หนูรู้ไหมว่าสิ่งที่หนูทำ..มันอันตรายมาก”
สีหน้าอังศุมาลินมีแววอวดดีจางๆ “แล้วจะให้หนูทำยังไงล่ะคะ ให้ส่งตัวเขาไปให้พวกญี่ปุ่นฆ่าหรือ..หนูทำไม่ได้แน่”
“ถ้าพลาดพลั้งไป..พวกญี่ปุ่นมาเห็นเข้า..พวกหนูจะเดือดร้อนกันทั้งบ้าน”
อังศุมาลินเหมือนจะยิ้มเยือกเย็น “จะทำไงได้ หนูทำลงไปแล้ว...พวกเรา...หมายถึงหนู คุณยาย กับแม่” คำพูดหญิงสาวแฝงนัยเชือดเฉือน “เราเห็นพ้องต้องกันว่า..ถ้าใครลำบาก...เราต้องช่วยเหลือ...จะยอมให้ใครเป็นอันตรายไม่ได้..เพราะ...” อังศุมาลินจ้องหน้าพ่อขณะพูดคำต่อมา “เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนๆ กับเรา”
ระหว่างนั้นคุณหญิงจิต กบ แก้ว และสาวใช้ ช่วยกันถือข้าวของออกมา ทำมาเป็นเมียงมอง
สองพ่อลูกต่างคนต่างเงียบไป อังศุมาลินหันไปเห็น ยกมือไหว้
คุณหญิงรับไหว้ แล้วสะกิดลูกๆ ตนให้ไหว้อังศุมาลิน
กบกะ แก้วไหว้ อย่างไม่เต็มใจ
“อ้อ..ลูกสาวคนโตมาหา...คงมาคุยกันเรื่องงานใหญ่สินะคะ” คุณหญิงทักทายสามี
“แล้วนั่น..ขนข้าวของไปไหนล่ะ” คุณหลวงถามกลับ
“เอาของใช้ไปไว้ในหลุมหลบภัยน่ะค่ะ น้ำดื่มด้วย”
“แล้วก็ตะกร้าอาหารกินเล่นของขบเคี้ยวอร่อยๆ เวลาหวอมา เราจะได้หลบภัยกันอย่างหรูหราหน่อย คิดซะว่าไปปิกนิคไงคะ” แก้วว่า
คุณหญิงสะกิดลูก เดินต่อไปที่โรงรถ ที่มีหลุมหลบภัยแถวนั้น
สองพ่อลูกรอจนทุกคนไปไกล คุณหลวงจึงพูดต่อลดเสียงเบา “อีกไม่นานจะมีเรือดำน้ำเข้ามา...แถวทะเลฝั่งอันดามันที่ปักษ์ใต้ แต่การที่จะเอาไมเคิลออกมาจากสวนหนูได้ เราจะทำยังไง”
“เขาคงไม่ตรวจโลงศพมังคะ...ถ้า...เราจะสมมุติว่ามีคนตายซักคน” อังศุมาลินบอกแผน
คุณหลวงฟังแล้วทึ่ง “ยัยอัง! หนู..หนูฉลาดมาก”
“ขอบคุณค่ะ..งั้นเรา...” อังศุมาลินยิ้มขื่นขม “ก็จัดการซะ...ในวันหมั้น...หรือวันแต่งงานหนู...ดีไหมคะ..พวกทหารญี่ปุ่นคงไปรวมกันในที่ๆ เดียว..แล้วไม่สนใจอะไรกันอีก”
คุณหลวงมองอย่างทึ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วกลับหน้าซีด เศร้าลง
“ลูก..พ่อเสียใจจริงๆ...ที่หนู...ต้องมา..เดือดร้อน...เพราะพ่อ”
อังศุมาลินยิ้มให้ “ช่างเถอะค่ะ”
“พ่อไม่อยากให้หนูต้องมารับกรรมเพราะพ่อ ถ้าแม่เขารู้ เขาคงด่าว่าพ่อเห็นแก่ตัวอีกไม่รู้สักเท่าไหร่”
อังศุมาลินจงใจ ยิ้มนิดๆ “แม่ทราบอยู่ตลอดเวลาล่ะค่ะ”
คุณหลวงอึ้ง เศร้าลงอีก
“แต่...หนูขอถามคุณพ่อ...อย่างนึงได้ไหมคะ”
“อะไร”
“พวกของพ่อ...จากทางอังกฤษ...มีนักเรียนไทย...ชื่อวนัส...ทำงานอยู่ด้วย...หรือเปล่าคะ”
คุณหลวงหลบตา “พ่อไม่รู้...เพราะ โดยปกติ งานแบบนี้ เราจะไม่ใช้ชื่อจริงกัน”
อังศุมาลินมองหน้าบิดาด้วยความสงสัย
คู่กรรม ตอนที่ 12 (ต่อ)
เวลาต่อมา อังศุมาลินอยู่บนรถรางแล้วยืนเกาะหลังรถ ข้างหน้าต่างใจลอย ผู้คนโดยสารในรถรางยืนเบียดเสียดแน่นขนัด
ชายคนที่หนึ่งเอ่ยขึ้น “ตะปูใช้แล้วนี่ล่ะ ถอนเอามาทุบให้ตรง แล้วรวมๆ ไว้เยอะๆ ช่างขายได้ราคาดีนะเว้ย”
ชายคนที่สองว่าเสริม “ขายให้พวกญี่ปุ่นล่ะสิ เวลานี้ มีแต่พวกมันแหละ ที่มีเงิน”
หญิงที่นั่งอีกด้านหนึ่งชวนคุยขึ้น “อยากได้ไหม บัตรปันส่วน ชั้นจะขายต่อ ขอกำไรนิดหน่อย”
“แหม เซ็งลี้ฮ้อจังนะ มีขายมากหรือเปล่า อิฉันน่ะอยากซื้อยาแก้โรคปอด จะเอาไปขายต่อที่บ้านนอก เวลานี้หาไม่ได้เลย มีเงินก็หาไม่ได้ รู้จักใครที่มียาแก้อักเสบอะไรพวกนี้ไหมล่ะ” หญิงคนที่สองว่า
ข้างๆ รถราง มีมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างแล่นแซงไป
“ทุ้ย..นั่งรถซะโก้ ตอนนี้ก็มีแต่ไอ้พวกเวรตะไลนี่แหละ ที่มีเงินซื้อน้ำมันมาเติมรถวิ่งกัน ไม่ต้องมาเกาะรถรางแบบเรา” ชายคนที่หนึ่งด่าไล่หลัง
อังศุมาลินมองไป แล้วชะงัก ด้านหลังพลขับ คนที่นั่งหลัง คือโกโบริ แต่สวมหมวกบังหน้า นั่งกอดอก เคร่งขรึมผ่านไปอย่างเร็ว
อังศุมาลินเม้มปาก เมินหน้าไปอีกทาง ภาพตอนโกโบริกอดจูบผุดขึ้นมาหลอกหลอน
อังศุมาลินพยายามสลัดความคิด รีบเอามือลูบหน้า
“เมื่อวานแม่ค้าอ้อยตรงข้ามธรรมศาสตร์ก็เสร็จไปอีกราย” หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ทำไมล่ะ” หญิงอีกคนถาม
หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ก็ไอ้พวกนี้มันฉุดไปรุมโทรมน่ะสิ แล้วเอาศพมาทิ้งในดงหญ้าข้างบ้านฉัน ที่จริงตอนพวกมันฉุดไปน่ะ มีคนเห็นตั้งเยอะ แต่เขาไม่กล้ายุ่ง”
ชายคนที่สองบอกอีก “ใครจะกล้าเข้าไปช่วย มันจะได้ฟันคอขาดปะไร”
รถรางแล่นไป จนทันรถมอเตอร์ไซค์คันนั้น ที่ขี่ไม่เร็วนัก
ชายคนที่สอง พยักพเยิดหน้าไปที่โกโบริ “นี่ไง ไอ้พวกนายทหารซามูไร ไอ้พวกนี้ ใจมันร้ายนัก”
อังศุมาลินฟังคำทั้งหมด มองดูโกโบริที่ยังนั่งกอดอกนิ่ง แล้วซักพัก รถรางช้าลง มอเตอร์ไซค์แล่นเลยนำหายไป
อังศุมาลินคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่โกโบริปกป้องเอาตัวบังให้อังศุมาลินจากระเบิด แล้วพูดว่า “ฮิเดโกะ ผมรักคุณ”
คนขับรถรางเคาะระฆังเก๊งๆ แล้วทันใด เสียงหวอก็ดังโหยหวนขึ้น
อังศุมาลินสะดุ้ง มึนๆ เหมือนตื่นจากภวังค์ ทุกคนตกใจ รถรางจอดลงทันทีแบบกระชากกระชั้น
“หมอมาแล้ว ตัวใครตัวมันคร้าบ...”
คนขับว่าแล้ววิ่งลงไป จอดรถรางทิ้งไว้ เห็นผู้คนวิ่งลงแบบแทบจะเหยียบกัน
อังศุมาลินจะลง แต่คนเบียดผลัก อัดกันไปมา เอะอะวี้ดว้าย ไม่เปิดทางให้ อังศุมาลินยืนมึนชา
ในที่สุดอังศุมาลินเริ่มอ่อนแรง ขี้เกียจแย่งชิง ถอยกลับไป แล้วนั่งลงอย่างระโหย เหมือนประชดชีวิต มองดูผู้โดยสารอื่นๆ ที่แย่งกันลงจากรถไปจนหมด
จนคนลงหมด เสียงคนที่เอะอะแย่งชิงเงียบลง อังศุมาลินจึงลุกขึ้น เดินคนเดียวไปหาประตู โดยเสียงหวอดังต่อเนื่อง
ยังไม่ทันถึงประตู ทหารญี่ปุ่นร่างสูงใหญ่หน้าหื่นคนหนึ่งก็พรวดพราดขึ้นมา แล้วสอดส่ายสายตามาเจอหน้าอังศุมาลินพอดี
อังศุมาลินผงะ ถอยโดยสัญชาติญาณ
ทหารญี่ปุ่นยิ้มมุมปาก “โอ..โชคดีจริงๆ เลย...ไม่นึกเลย...ว่าจะได้มาเจอนางฟ้า”
ว่าพลางทหารเดินร่างทะมึนเข้ามา ใกล้เข้ามาๆๆ อังศุมาลินกลัวสุดขีด พยายามมองหาช่องจังหวะ หนี แล้วพอทหารนั้นเดินขวางทาง อังศุมาลินมองหาช่อง แล้ววิ่งจะลอดหนี แต่ทหารคนนั้นไวกว่าคว้าแขนไว้ทันที
อังศุมาลินกรี๊ดๆ ตะโกนขอความช่วยเหลือ “อ๊าย ช่วยด้วยๆๆ”
ทหารคนนั้นรวบตัวอังศุมาลินเข้ามา หัวเราะหื่นเหมือนคนโรคจิต
“แบบนี้สิ สนุกแน่ๆ”
อังศุมาลินกรี๊ด “ช่วยด้วย อย่ายุ่งกะช้านๆ”
ทหารจับอังศุมาลินกดลงไปกับที่นั่ง โดยมีเสียงหวอดังกลบ ทหารคนนั้นหัวเราะร่า ก้มลงมา
แต่แล้วทันใดนั้น ร่างทหารหื่นคนนั้นก็เด้งกลับ เหมือนโดนดึงกระชากหงายไปอย่างแรง อังศุมาลินมองอย่างตะลึง งง ทหารคนนั้นโดนมือใครคนหนึ่งหนึ่งกระชากไป แล้วตบๆๆ ไม่ยั้ง อังศุมาลินลุกมา ตัวสั่น
ที่แท้เป็นโกโบริ ที่ลากทหารนั้นลงจากรถ เอาไปโยนให้พลขับมอเตอร์ไซค์พ่วง สั่งเสียงกร้าว
“ทหารญี่ปุ่นทำตัวเลวกับผู้หญิงแบบนี้ จะต้องได้รับการทำโทษอย่างสาสม เอาตัวไป”
พลขับลากทหารนั้นไป อัดๆๆ อีกหลายที แล้วจับร่างโยนลงที่พ่วงข้าง แล้วออกรถไป
อังศุมาลินมองหากระเป๋าถือที่ตกไปบนพื้นรถ เก็บมา เอามากอดไว้ กำลังจะลง
โกโบริโผล่มาอีกที หน้าดุดัน
“ไปไหนมา ทำไมมาเที่ยวซุกซนอยู่อย่างนี้” โกโบริกระชากแขน
อังศุมาลินมัวแต่ช็อก พูดไม่ออก
“นี่ถ้าผมไม่กลับมาทางนี้ แล้วได้ยินเสียงคุณ จะเป็นยังไง”
“พวกคนเลว...เลวชาติ”
สีหน้าโกโบริสลดลง “ทหารในสงคราม...มันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น”
ขาดคำ เสียงเครื่องบินทิ้งระเบิดบินโฉบใกล้เข้ามา
“นี่ถ้าคุณเป็นอะไรไป..ผมคง...”
พลันเสียงทิ้งระเบิดลงดังวี้ด ตามด้วยเสียงตูมใหญ่
ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันตาโพลง ขณะที่รถทั้งคันไหวยวบเขย่าอย่างแรง
ทั่วทั้งท้องถนนละแวกท่าเตียน โล่งไม่มีคนเลย ราวกับเมืองร้าง เห็นมีรถยนต์ พาหนะบางอย่างที่ถูกทิ้งไว้คาถนนบ้าง ตึกรามบ้านช่อง บ้างปิด บ้างปิดไม่หมด บางหลังเปิดโล่ง
บนท้องฟ้า เครื่องบิน บินมาอีกหมู่ โกโบริจูงอังศุมาลินวิ่งมา มีหมาวิ่งเตลิดอยู่ตัวหนึ่ง มีคนที่หมอบ ไปไหนไม่ได้ ตัวสั่นอยู่ตรงท่อระบายน้ำ
ข้างหน้าไม่ไกลนัก ยังมีคนบางกลุ่ม วิ่งหนีกันอยู่ อังศุมาลินสะดุด หน้าคว่ำล้มคะมำไป โกโบริคว้าไว้
“วิ่งไหวไหม”
อังศุมาลินมองหน้าโกโบริ พลางพยักหน้าให้
ทันใดนั้น ระเบิดลงมาที่สถานที่ราชการ ที่อยู่หลังกำแพง ตรงที่ สองคนวิ่งผ่านมา แถวๆ รถราง
ตึกถล่มระเบิดกระจายอยู่ข้างหลัง อังศุมาลินหันไปดูอาการช็อกๆ
แรงระเบิดทำให้ ทั้งสองกระเด็นหัวพุ่งล้มลง โกโบริเอาตัวกันรับการกระแทก ปกป้องอังศุมาลินไว้
พอสะเก็ด เศษปูน เศษกระเบื้องกระเด็นสงบลงบ้าง โกโบริรีบประคองให้ลุกขึ้น
“เจ็บไหม”
“ไม่ค่ะ”
“ตรงนี้คงเป็นเป้าหมายโจมตี ต้องรีบไป เดี๋ยวจะมีระลอกหลังมาซ้ำ”
ทั้งสองรีบไป
ครู่ต่อมา ทั้งสองจูงกันวิ่งเลี้ยวมาในซอย ที่ท่าทางร้างๆ ลมพัดแรง กระดาษและเศษข้าวของปลิวสวนมา กลิ้งๆ ตามแรงลมไปตามถนน
อังศุมาลินมองไป แล้วชะงัก ชี้ไป เห็นหลุมหลบภัย
“ทางขวามือ..มีที่หลบภัยใหญ่ค่ะ นั่งไงคะ ตรงระหว่างเสาไฟทาสีขาวนั่น”
ทั้งสองรีบลากกันไปที่ประตู ระหว่างเสาไฟขาว ที่หน้าหลุม ประตูบานใหญ่ปิดสนิท
อังศุมาลินรีบเข้าไปเคาะๆๆ แล้วทุบๆๆ “เปิดหน่อย ใครอยู่ข้างในช่วยเปิดด้วยค่ะ มีคนอยู่ข้างนอกสองคน เร็วๆค่ะ ช่วยเปิดด้วยค่ะ”
ในหลุมหลบภัยนั้นมีคนอัดประมาณหนึ่ง ตอนแรกไม่ได้ยิน มัวแต่กลัวกัน
ระหว่างนั้นเครื่องบิน บินมาอีก มีเสียงระเบิดลงมา ระเบิดเพลิงลงที่ตึกแถวถัดในถนนเมื่อครู่ ทั้งสองหันไปดู ตึกระเบิดเป็นลูกไฟ ลุกโพลงแดงฉาน
“เปิดด้วยค่ะๆ “อังศุมาลินร้องไห้ออกมา
โกโบริทนไม่ไหว เข้าไปทุบปังๆๆ “เปิดด้วยครับๆ เร็วๆ ด้วย”
ทันใด ประตูเปิดออกผาง โกโบริจะนำเข้าไป คนในประตูซึ่งสวมหมวกเบเร่สีขาวเด่น
“อ้าว ไอ้ยุ่นนี่หว่า ที่นี่ไม่ต้อนรับไอ้ยุ่นโว้ย!”
ประตูปิดปังใส่หน้า ทั้งสองผงะ
ระเบิดลงอีก ที่ใกล้ๆ ไฟลุกโพลง
อังศุมาลินร้องกรี๊ด “ช่วยด้วยๆๆ ค่ะ” โถมตัวเข้าไปพยายามเคาะประตูนั้นอีก
โกโบริสุดทน รีบกระชากอังศุมาลินออกมา
“ระเบิดเพลิง...แถวนี้ไม่ปลอดภัยแล้ว รีบไปดีกว่าคุณ”
อังศุมาลินวิ่งหลุนๆไปตามการดึงลากฉุดของโกโบริ
บนท้องฟ้าเวลานั้น เครื่องบินบินมาอีกลำ ขณะที่ทั้งสองวิ่งมาได้สักพัก มีเสียงอีกตูม โกโบริดึงอังศุมาลินโดดลงไปในท่อน้ำที่เปิด มีคนบางคนหมอบอยู่บ้างแล้วเหมือนกัน เศษวัสดุต่างๆ กระจายข้ามหัวไปเต็มๆ
ครั้นพอทุกอย่างสงบลง โกโบริเงยมามอง แล้วเห็นมีหมวกเบเร่ขาวปลิวหลุนๆๆ ผ่านหน้าไป แล้วคว่ำลง
โกโบริมองดูหมวกนั้น อย่างงุนงง แล้วหันไปตรงที่หลุมหลบภัย ระหว่างเสาไฟขาว 2 อันนั้น บัดนี้กลายเป็นหลุมกว้าง ไฟลุกท่วม มีแขนขาคนโผล่มา
“หมด..หมดแล้ว”
อังศุมาลินหันไปชะโงก เห็นหลุมนั้น ผงะ ทันใดนั้น มีอะไรบางอย่างปลิวมาตกตรงหน้า ทั้งสองหันมาดู
มันคือแขนคนผู้หญิง มีแหวนสวมที่นิ้วยังกระดิกๆ อยู่ อังศุมาลินถึงกับเข่าอ่อน
โกโบริพยายามดึงรั้งอังศุมาลินให้ปีนขึ้นจากท่อ “ไป...คุณ ขึ้นมาเร็ว...เราต้องไปต่อ ตรงนี้ไม่ปลอดภัย”
อังศุมาลินลุกไม่ขึ้น ร่างกายอ่อนแรง “คุณ...ไปเถอะ ทิ้งฉันไว้ตรงนี้ ฉัน...ไปไม่ไหวแล้ว”
โกโบริจับตัวเขย่าแรงๆ เรียกสติ “ฮิเดโกะ! ทำใจดีๆ ไว้ ตรงนี้กำลังโดนกระหน่ำด้วยระเบิดเพลิง อยู่ช้าไม่ได้”
“ไป..ไปเถอะ..ทิ้งฉันไว้..ไปสิ ไปเร็วๆ ไป” อังศุมาลินทั้งผลักและตีๆๆ โกโบริ สติหลุดแล้ว
โกโบริมองดู แล้วก็เข้าใจ ว่าอังศุมาลินตกใจกลัวจนสติหลุดกระเจิงไปแล้ว
โกโบริแหงนมองบนฟ้า เห็นเครื่องบินกำลังบินมา ตัดสินใจ ปีนขึ้นจากท่อ แล้วกัดฟันดึงตัวอังศุมาลินขึ้นมา จับพาดบ่า แล้ววิ่งไปอย่างเต็มแรง
โกโบริแบกอังศุมาลิน มายืนกลาง 4 แยกร้าง แล้วแหงนมองฟ้า ดูทิศทางเครื่องบิน รอบๆ มีพวกตึกพัง กองอิฐหิน เศษซาก
เห็นขบวนเครื่องบิน ปูพรมผ่านไปทางเหนือ โกโบริมองตาม จนหันไปข้างหลัง แล้วจึงตัดสินใจ วิ่งสวนทางไปทางใต้
ระหว่างทางนั้น มีแต่อาคารที่โดนระเบิด ถนนเป็นบ่อหลุม ท่อประปาแตกน้ำฉีดจากพื้นเป็นฝอย ขณะเดียวกันก็มีตึกที่กำลังโดนไฟลุกไหม้โหมกระหน่ำ
โกโบริเดินฝ่าไป พอดีรถดับเพลิงกำลังพยายามจะดับไฟอาคารที่ไหม้ขวางอยู่ โกโบริมองไปข้างหลัง ตึกสองข้างที่ผ่านมาก็กำลังไฟลุก ทำท่าจะพังอยู่แล้ว
แต่โกโบริตัดสินใจ ลุยไปข้างหน้าแทน
พนักงานดับเพลิงร้องบอก “อย่ามาทางนี้ อันตรายๆ”
โกโบริหันไปข้างหลัง จะกลับไป ทันใดนั้น ตึกสีเหลืองสองข้างนั้นกำลังพังของหล่นลง
โกโบริจนตรอก มองไปข้างหน้า ตรงกองตึกที่เจ้าหน้าที่พยายามดับเพลิงอยู่ บางส่วนไฟดับแล้ว เป็นเพียงซากดำๆ
โกโบริมองดูอังศุมาลินบนบ่า “ไม่ต้องกลัวนะ เราจะต้องรอด”
อังศุมาลินไม่รับรู้ ซุกหน้าที่ข้างบ่าโกโบริแน่น โกโบริตัดสินใจ ลุยไปตรงที่พวกดับเพลิงกำลังทำงานอยู่
พวกดับเพลิงมองอย่างตกใจ
โกโบริบุกไปบนกองวัสดุ ลดเลี้ยว ข้าม มุด ลอด แล้วพอเหยียบไปบนกองกำแพงพังๆ ที่มีควันของไฟที่มอดแล้วลอยคลุ้ง กำแพงที่เหยียบอยู่นั้นดันพัง ทรุดฮวบลง ทั้งสองร่วงลงไปในกองวัสดุที่ยุบตัวฮวบพร้อมกัน
ทั้งสองกลิ้งอยู่ในกองวัสดุเถ้าถ่านที่เปียกชื้น แต่บางส่วนก็ยังเป็นถ่านสีแดง
พนักงานดับเพลิงรีบเข้ามามุง แล้วช่วยดึงขึ้นมาตบๆ เถ้าถ่านตามตัวให้
“ขอบคุณครับๆ”
โกโบริรีบลุก หันไป ประคองอุ้มอังศุมาลินที่หมดสติขึ้นมา
“บอกแล้วไง อย่ามาๆ ให้กลับไปทาง....” พนักงานชี้ไปทางด้านหลัง พูดไม่ทันจบคำ
ทุกคนหันไป พบว่าตึกสีเหลืองตรงที่ว่านั้นพังลงมาต่อหน้าต่อตาเสียงดังสนั่น ฝุ่นกระจาย ควันฟุ้ง ทับถมถนนนั้นทั้งสายให้หายไปเป็นกองอิฐต่อหน้าต่อตา
ทุกคนเงียบกริบ
พนักงานคนนั้นกลืนน้ำลาย “เอ่อ..คุณคิดถูกแล้ว ที่เสี่ยงมาตรงนี้” ว่าพลางตะเบ๊ะโกโบริ
โกโบริค่อยๆ ทรุดลง พาอังศุมาลินนั่งพักข้างๆ กองวัสดุที่เปียกนั้น
สารรูปทั้งสองมอมแมมดูเลอะเทอะ เนื้อตัวมีทั้งเถ้า และน้ำเปียกโชก
คู่กรรม ตอนที่ 12 (ต่อ)
โกโบริหันไปดูแล ตรวจดูตามตัวอังศุมาลิน ปัดเถ้าถ่านให้ดูว่าโดนไฟลวกหรืออะไรไหม้ตรงไหนอย่างเป็นห่วง
ทุกอย่างสงบลง พวกดับเพลิงทำหน้าที่กันต่อไป
โกโบริค่อยๆ ลูบเรือนผมอังศุมาลินให้เปิดหน้าขึ้น ลูบดูหน้าตา
ทันใดนั้น อังศุมาลินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ทั้งสองสบตากันนิ่งงันกันไป ครู่หนึ่ง
อังศุมาลินไม่มีทิฐิมานะ ดื้อรั้นเหมือนเคย ดูสงบลง ถามยิ้มๆ “เป็นไงบ้างคะ”
“ปลอดภัยแล้ว”
ทั้งสองมองดูบนฟ้า เห็นเครื่องบิน บินอยู่สูงเสียดฟ้า และห่างไกลออกไป
อังศุมาลินพิงบ่าโกโบริ พึมพำเบาๆ “เกือบตาย”
โกโบริก้มลงมอง ยิ้มนิดๆ “ผมไม่ปล่อยให้คุณตายง่ายๆ หรอกน่า..วันนี้โจมตีใหญ่ฝั่งนี้ ปูพรมตลอดเลย อู่ผมคงรอดตัวไป”
อังศุมาลินมองเหม่อ “ถ้าตอนนั้น...บนรถราง...คุณไม่มาช่วย”
โกโบริยิ้ม กลัวอังศุมาลินคิดมาก “อ๋อ..ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเจอสถานการณ์นั้น...ไม่ว่าใคร...ผมก็ต้องช่วยทั้งนั้น”
อังศุมาลินอึ้งไปนิด แล้วสีหน้ากลับเย็นชา ไม่ยิ้มเหมือนทีแรก เปลี่ยนเป็นขรึมลง
“คุณเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า ผมทำคุณล้มตั้งหลายครั้ง”
อังศุมาลินมองแขน ดูขา สำรวจตัวเอง “ไม่มีอะไรมาก” ทีแรกไม่อยากถาม แต่อดไม่ได้ “เอ่อ..คุณล่ะคะ”
โกโบริเอาแขนมาดู “ขัดยอกช้ำบวมตามระเบียบ”
พร้อมกับยิ้มกว้างสุขใจที่สาวไทยถาม
ในถนนร้าง ไม่มีรถรา หรือผู้คนสัญจรผ่าน มองเห็นแต่กองตึก มีควันลอยโขมง ทั้งสองเดินมาด้วยกัน แล้วอึ้งๆ มีคนนอนตายบางจุด บ้างมีคนเจ็บ นั่งพัก ดูอาการกัน บ้างเดินเอาไม้เขี่ยหาข้าวของ
โกโบริ รีบโอบอังศุมาลินให้รีบเดินมา
ที่ข้างถนน มีรถจักรยานถูกทิ้ง แฮนด์บิดไปข้าง นอนจมกองวัสดุอยู่ โกโบริหันไปเห็น เข้าไปดู แล้วจับขึ้นมาตั้ง ดูสภาพ หันมายิ้ม ดีใจ
“พอใช้ได้..คุณซ้อนได้ไหม เรารีบไปท่าเรือให้เร็วที่สุดดีกว่า ผมมีเรือเร็วรออยู่ที่นั่น”
อังศุมาลินเกรงใจ “คุณถีบไหวหรือ”
“ไหว..เสมอ...” โกโบริเงียบไป ไม่กล้าพูดมากกว่านั้น
ครู่ต่อมาโกโบริขึ้นขี่ แล้วอังศุมาลินซ้อนแบบนั่งไพล่ข้าง โกโบริหันมายิ้ม แล้วถีบไป อังศุมาลินกอดเอวหลวมๆ
โกโบริถีบไป มองดูมืออังศุมาลินที่กอดเอว แล้วสีหน้าสงบ เศร้า แต่ก็มีความสุขลึกๆ
อังศุมาลินมองไปรอบๆ ก่อน แล้วเห็นทางที่เป็นหลุมบ่อ กองวัสดุ เกลื่อนถนน
อังศุมาลินหันมา เจอหลังโกโบริใกล้ๆ หน้า ก็ชะงัก ผงะ
เสื้อของโกโบริขาด เห็นแผลข้างหลัง ทั้งแผลเก่าที่หายแล้ว และแผลใหม่ที่มีรอยเล็บของตน บางช่วงอักเสบแดงคล้ำ ที่อังศุมาลินจิกทึ้งวันก่อน
อังศุมาลินอึ้ง ปวดร้าวในใจ เสียววาบ
อังศุมาลินยกมือขึ้นมา อยากแตะลงไป แล้วห้ามใจ วางแขนลงที่เอวตามเดิม
โกโบริถีบรถไปอย่างบากบั่น เลี้ยวหลบหลุมบ้าง กองอิฐหินบ้าง ควันคลุ้งลอยเป็นสาย เป็นหย่อมๆ
เห็นสองคนนั่งจักรยานกันมา ถีบขี่ลดเลี้ยวไปตามถนนท่ามกลางตึกรามบ้านช่องที่พังสลาย กลางสายควันสีเทา
แต่ก็ยังเห็นเป็นภาพของความสุขสงบ ปนเศร้านั้นในหัวใจสองดวง
ไม่นานต่อมาจักรยานที่โกโบริถีบแล่นมาจอดกึกที่ท่าน้ำ โกโบริหันไปบอกอังศุมาลิน
“ถึงแล้ว”
อังศุมาลินมัวแต่นั่งใจลอย เศร้าอยู่กับความรู้สึกผิดที่ตัวเองทำต่อโกโบริ สักครู่หนึ่งพอรู้สึกตัวรีบทรงตัวขึ้น ลงจากจักรยาน โกโบริจอดจักรยานพิงไว้มุมหนึ่ง ทั้งสองมาอยู่ ณ ท่าเรือแห่งหนึ่งซึ่งเงียบเชียบ ไร้ผู้คน มองไกลออกไปเห็นสายควันสีดำจากการโจมตีเมื่อไม่นาน ลอยคลุ้งเป็นบางจุด
โกโบริปาดเหงื่อชุ่มโชกที่หน้า หันไปหาอังศุมาลินอย่างห่วงใย อยากถามอาการ
อังศุมาลินมองสบตา แล้วไม่อยากให้โกโบริเห็นความรู้สึกที่อ่อนแอของตัวเอง รีบหลบหันไปซ่อนหน้าทางอื่น
โกโบริใจหล่นวูบ สลดไปเล็กน้อยทำหน้าเจียมตัว ยอมรับสภาพ
“ไปดูเรือก่อน”
โกโบริรีบตรงดิ่งไปที่ท่า มองไปมา แล้วรีบเดินกลับมา
“ไม่อยู่แล้ว... เรือผมคงหนีกลับไปอู่แล้วตอนลงระเบิดลงหนักๆ”
ระหว่างนั้นเสียงหวอยาวสัญญาณปลอดภัยดังขึ้น
เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น “เอ้อ..ปลอดภัยได้ซะที เล่นมากลางวี่กลางวันกันบ่อยอย่างนี้ ผู้คนคงไม่ต้องออกจากบ้านจากช่องไปทำมาหากินกันละ”
ทั้งสองหันไปตามเสียง เห็นชายกลางคนคนหนึ่งพาเรือลอดโผล่ออกมาจากใต้สะพานท่าเรือ
อังศุมาลินรีบปราดไปหา “ลุง..ลุงจ๋า ข้ามฟากหรือเปล่า”
ลุงแลเห็นโกโบริอยู่ด้วยหลังอังศุมาลิน ทำสีหน้ารังเกียจเหยียดหยาม ถุยน้ำลายปรี๊ด
“ค่าจ้างสูงหน่อยนะ.. ไปกันสองคนหนิ่..ใช่ไหมล่ะ” ลุงมองโกโบริกวนๆ
อังศุมาลินอึ้ง มองโกโบริอย่างเห็นใจ โกโบรินิ่ง ตีหน้าซื่อ ทำเป็นไม่เข้าใจ
เรือแจวข้ามฟาก ที่ลุงแจวไปท่าทีกวนๆ คุยแจ้วๆ
“แย่นะ บ้านเมืองเราตอนนี้ กำลังฉิบหายก็เพราะคนอื่นทั้งน้าน...คนไทยเราไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ก็ยังต้องมาวิ่งหลบฝนเหล็กหนีตายก้ะพวกมั้นไปด้วย”
อังศุมาลินเหลียวสังเกตโกโบริอย่างระวัง โกโบริทำเป็นไม่รู้เรื่องถกแขนเสื้อ วักน้ำล้างแขนตัวเองไปมา
“วันก่อน ได้ยินเขาว่าจะมีสาวไทยไปแต่งงานกะพวกมันใหญ่โต ฉันว่าก็ดีนะ อีกหน่อยแม่สาวคนนั้นคงสบาย เพราะไอ้พวกนี้มันมีเงินเยอะ แม่หนูเอาอย่างตามเขาบ้างสิ”
อังศุมาลินหน้าซีด
โกโบริดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เป็นผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าของอังศุมาลิน จุ่มน้ำแล้วยื่นให้อังศุมาลิน
“เช็ดหน้าคุณเสียหน่อย เปื้อนมาก”
ลุงสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าโกโบริจะพูด ฟังไทยได้ หน้าเจื่อน อังศุมาลินยื่นรับผ้ามาแต่โดยดี
ปลายมือของทั้งสองสัมผัสกัน โกโบริทอดมือค้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจึงดึงมือกลับ
อังศุมาลินพลางหลบตารับผ้ามา เช็ดๆ พลางคลี่ผ้าออกจะกลับเช็ด จึงเห็นว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าของตน อังศุมาลินเหลือบมองโกโบริเชิงจะถามว่าของฉันนี่
“ใช่ ผ้าของคุณผมเก็บไว้กับตัวตลอด”
อังศุมาลินใจเต้นโครมครามขึ้นมา โดยไม่ทราบสาเหตุ รีบหลบตากลับผ้าผืนนั้นเช็ดหน้าไปมาต่อไป เหมือนยอมรับไมตรี
โกโบริเอนหลังพิงกราบเรือหันไปมอง แล้วแอบมีความสุขในใจ
ขณะเช็ดๆ อังศุมาลินได้กลิ่นหอมจากผ้า แอบดม แล้วเผลอหันไปมองดูโกโบริ
โกโบรินั่งพิงกราบเรือ ทอดขาเหยียดไป งอเข่าเล็กน้อยขวางเรือ ทอดแขนพาดศีรษะท่าทีผ่อนคลาย ดู เหม่อๆ เหนื่อยๆ เหมือนอยากพักผ่อน เนื้อตัวเปรอะเปรื้อนเลอะเทอะไปหมด
อังศุมาลินแอบอบอุ่นในใจเงียบๆ ในมือกำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น เหมือนตัวสื่อแทนความรู้สึก
ลุงคัดท้ายเรือต่อ เงียบงันไป แอบมองอย่างกลัวๆ
เรือแจวลำนั้นพาผู้โดยสารทั้งสองแล่นต่อไปในเจ้าพระยา ท่ามกลางลำนำที่ว่างเปล่า และมีกลุ่มควันให้เห็นไกลๆ
ตกกลางคืนโกโบริกำลังนั่งคุกเข่า ผูกเสื้อยูกาตะ เตรียมเข้านอนอยู่ข้างที่นอน ทันใดนั้น ก็มีเสียงทำความเคารพพึ่บพั่บๆ เสียงฝีเท้าในรองเท้าบู้ธหลายคู่ ย่ำตึงๆๆ มา เคสะเกะ วิ่งนำเข้ามา
“ท่านโทโมยูกินำสิ่งของมาให้..ครับผ้ม!”
โกโบริรีบลุกขึ้น เตรียมรับ ทันใด นายพลโทโมยูกิก็เข้ามา โกโบริทำความเคารพ
“สวัสดีตอนกลางคืนครับ คุณลุง”
“สวัสดี ตอนกลางคืน โกโบริ” ลุงทักหลาน
จากนั้นมีทหารหลายคน ที่ช่วยกันยกกล่องไม้ในผ้าห่อหลายกล่อง เข้ามา วางเรียงเป็นระเบียบ
โกโบริมองอย่างตื่นตา
พวกทหารวางของเสร็จ ก็โค้งแล้วออกไป
“เชิญนั่งครับ คุณลุง”
โทโมยูกิ และโกโบรินั่งลง เคสุเกะรีบจัดการเอาน้ำชามาเสิร์ฟ ถือเป็นช่วงเวลาพักผ่อนส่วนตัว ไม่เป็นการงาน
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ลุงจะไม่ตำหนิอะไรหลานอีกแล้ว เพราะหลานไม่ใช่เด็กๆ อีกต่อไป แต่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว” โทโมยูกิบอกเสียงอ่อนโยน
“ผมยังเป็นหลาน ที่เคารพคุณลุงเสมอครับ” โกโบริบอกนอบน้อม
“หลานได้พิสูจน์ให้ลุงเห็นแล้วว่า ความสัมพันธ์ของหลาน กับผู้หญิงไทยคนนี้ เป็นเรื่องจริงจัง เพราะฉะนั้น ลุงก็ต้องขอแสดงความยินดีต่อหลานด้วย”
“ผมต้องขอบคุณ ที่คุณลุงอุตส่าห์เดินทางมาจากสิงคโปร์ เพื่อมาทำหน้าที่เป็นญาติผู้ใหญ่ของผม ขอบคุณครับ”
“และทั้งหมดนี้ คือของต่างๆ ที่พ่อแม่หลานส่งมาให้ เพื่อมอบให้เจ้าสาวของหลาน ลุงขอให้หลานมีความสุข จากใจจริง”
โกโบริเอ่ยขอบคุณ แล้วโค้งไม่หยุด
ไม่นานต่อมา โทโมยูกิกลับไปแล้ว ฝากล่องไม้ กล่องหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดถูกเปิดออก
ในนั้น คือกิโมโนสีขาวที่ห่อไว้ด้วยกระดาษสาสีนวลอีกที ด้วยฝีมือห่ออันประณีตแบบญี่ปุ่น และมีริบบิ้นกระดาษสาสีฟ้าอ่อน ผูกไว้อีกที ใต้ปมริบบิ้นนั้น มีกล่องเครื่องประดับใบขนาดกลาง สีชมพูอ่อนซีดๆสอดอยู่
โกโบริหน้าตาตื่นเต้น ค่อยๆ ดึงกล่องเครื่องประดับนั้นออกมา แล้วเปิดออกดู
ในกล่องนั้น คือสร้อยไข่มุกเม็ดเล็กน้ำงามมากๆ
หน้าซอง เป็นลายมือของแม่ เขียนว่า “สำหรับโกโบริ”
โกโบริดีใจ ตื่นเต้น ดึงจดหมาย มาเปิดอ่าน ลายมือจากปลายพู่กันที่สวยงาม
โกโบริอ่านจดหมายราวกับยินเสียงแม่ดังข้างๆ หู
“โกโบริ ลูกชายของแม่ ในกล่องนี้ คือชุดกิโมโนสำหรับให้เจ้าสาวของลูกได้สวมใส่ในพิธีแต่งงาน และสร้อยไข่มุกนั้น ลูกคงจำได้ดี ว่ามันคือสร้อยไข่มุกที่พ่อของลูกมอบให้แม่ แม่ขอมอบต่อเป็นของขวัญแก่เจ้าสาวของลูก เพื่อนำความโชคดีมาสู่เธอ
...พ่อกับแม่ดีใจมาก ที่ได้ทราบว่าลูกสุขสบายดี และได้พบกับคนที่ลูกเลือกที่จะให้มาเป็นคู่ชีวติตลอดไป พ่อกับแม่ยินดีต้อนรับเธอ พ่อบอกว่า เราจะรอวันที่ลูกพาเธอมาที่บ้าน มาเป็นสมาชิกคนใหม่ของครอบครัวเรา บอกเธอว่า เธอจะได้เห็นดอกซากุระที่สวยงามในเอนมีนาคม และแม่จะเล่นซามิเซ็งเพลงซาซาโดอาเกสะ ขณะที่เธอจะเล่นเครื่องดนตรีไทย ที่ลูกเล่าให้ฟังไปด้วยกัน”
หน้าตาโกโบริมีความสุขล้น มองตามกล่องที่เรียงราย ห่อผ้าสวยงามและสุดท้ายสายตามาหยุดที่กล่องชุดกิโมโน และสร้อยไข่มุกเส้นนั้น
สีหน้าโกโบริ มีความสุข และความตื้นตันใจ
เช้าวันใหม่ แม่ค้าร้านตลาดทยอยขนของขึ้น และลงเรือไปมาวุ่นวาย อังศุมาลินกำลังช่วยแม่อรส่งหาบ กระจาดเปล่า กับข้าวของที่ซื้อมาลงเรือ หลังขายเสร็จแล้ว ยายเมี้ยน ตาแกละ และแมวเพิ่งมาถึง
ยายเมี้ยนพูดดีด้วย “สวัสดีจ้ะแม่อร หนูอังศุมาลิน...ดีใจจัง...วันนี้ออกมาสาย...นึกว่าจะไม่ได้เจอ แต่ก็เจอกันจนได้”
ตาแกละทักต่อ “ไม่เห็นหน้าหลายวันเลยแม่อร แม่อัง”
“อุ๊ย..เป็นบุญ ได้เห็นว่าที่คู่หมั้นระดับชาติ” แมวปิดท้ายขบวน
“อา..แม่เมี้ยน พ่อแกละ” แม่อรทักทายอย่างเหนื่อยใจ
“นี่ทำไมยังมาเหนื่อยกันอยู่อีกจ๊ะ...ตายละ พ่อนายช่างเขาไปไหนเนี่ย ป่านนี้หนูต้องไปเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวแล้ว มาตากแดดตากลมจะหมองเสียหมด แม่อัง ต้องเก็บตัว บ่มผิว เลิกค้าเลิกขายซะที” ยายเมี้ยนพูดเจื้อยแจ้ว
อังศุมาลินตอบเสียงเย็น “จะเลิกได้ยังไงล่ะคะ อาชีพของเรา”
“ไม่ได้ซิลูก อีกหน่อยก็จะไปเป็นคุณหญิงคุณนาย เมียนายทหารหลานสะใภ้แม่ทัพใหญ่ญี่ปุ่น มาทำมาหากินแบบนี้อยู่มันจะไม่งาม” ยายเมี้ยนยังไม่หยุด
“ใช่ๆ ลุงว่าหนูหยุดแบกๆ หามๆ ทำสวนหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินได้แล้ว มันจะทำให้เสียราศีเปล่าๆ ปลี้ๆ”
อังศุมาลินไม่สนใจ รีบส่งของลงเรือให้หมด แล้วลงนั่งคัดท้ายเรือ ให้แม่อรพายออกไป
“ไปล่ะจ้ะ” แม่อรบอกลาขาเม้าท์ทั้งสาม
“แหม...ตกถังข้าวสารทั้งที อย่าลืมป้าลืมลุงนะ” ตาแกละบอก
“อย่าลืมเพื่อนเก่าด้วย” แมวว่า
“มีอะไรให้ช่วย..อย่าลืมบอกป้านะ ป้าล่ะ.. รักคนญี่ปุ่นมากๆ ต้องขอบคุณกองทัพของพระจักรพรรดิที่มาชวนเราเข้าสงคราม อีกหน่อย พอชนะ เราก็จะเป็นชาติมหาอำนาจไปด้วยกัน ดีจังเล้ย” ยายเมี้ยนส่งเสียงตามมา
อังศุมาลินกะแม่อร สบตากันเซ็งๆ
ที่ท่าเรือของอู่ มีเรือลำเลียงสภาพเสียหายจากการรบ กำลังถูกยกเข้าอู่ทหาร โกโบริเดินคุยมากับฮิชิดะโกโบริมีความสุข กระตือรือร้น สดใส
“เรื่องขอย้ายของผู้กอง ท่านนากามูระให้พักไว้ก่อน ท่านฝากความเป็นห่วงพร้อมกับคำอำนวยพรมาพร้อมกับหนังสือฉบับนี้”
ฮิชิดะยื่นหนังสือในมือให้กับโกโบริ
โกโบริหน้าแดงโค้งถี่ๆ มีความสุข หัวเราะไร้เหตุผล “ขอบคุณๆๆๆมากๆๆ ฝากเรียนขอบคุณท่านนากามูระที่เป็นห่วง”
นายทหารคนหนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา
“รายงานความเสียหายเบื้องต้นของเรือลำเลียงครับ”
นายทหารยื่นแผ่นรายงานหนาเป็นปึกให้ โกโบริรับมา เปิดดูรายงานในมือ ยิ้มกว้าง พยักหน้ารับท่าทางไม่ค่อยมีสมาธิ คอยแต่จะชะเง้อไปดูทางบ้านอังศุมาลิน
ที่มุมหนึ่ง หมอทาเคดะมองมาอย่างจับสังเกต ขำๆ ท่าทีโกโบริ
ครู่ต่อมา โกโบริเดินถือรายงานกลับเข้ามาที่ห้องทำงาน บนโต๊ะทำงานมีกล่องไม้ห่อผ้าลายสวยอยู่มากมาย เรียงรายสวยงาม โกโบริมอง ยิ้มไม่หุบ ลูบๆ กล่องไม้เหล่านั้น ใจเต้น อยากเอาไปให้อังศุมาลินเร็วๆ
หมอทาเคดะเดินเข้ามาในห้องล้อๆ “ของหมั้นและของขวัญเจ้าสาว...ส่งมาจากบ้านคุณเต็มไปหมด”
โกโบริหันไป ยิ้มเขิน ตื่นเต้น ดีใจ “คุณแม่ คุณพ่อ ส่งอะไรมามากมาย”
“แล้วจะมีงานหมั้นพรุ่งนี้แล้ว...คุณยังไม่ไปดูแลที่บ้านนั้นอีก”
โกโบริชะงัก ยิ้มออกมาเขินๆ
“ผมไปวุ่นวายด้วยตัวเองมากๆ มันจะไม่ดีนะ แต่...ผมส่งคนไปช่วยแล้ว”
หมอทาเคดะยิ่งขำ โกโบริยิ่งเขินเข้าไปใหญ่
ติดตาม "คู่กรรม" ตอนที่ 13