พรพรหมอลเวง ตอนที่ 9
นาวินเดินมาส่งสุดนภาที่หน้าห้อง
“ผมขออะไรอย่างนึงได้มั๊ย”
สุดนภาตอบทันที “ไม่ได้”
นาวินทำงอน สุดนภาง้อ
“จะเอาอะไรว่ามา”
“ถ้าคุณมีอะไรไม่สบายใจ ต้องบอกผม อย่าปิดบัง สัญญา”
สุดนภานิ่งคิด “คุณแน่ใจหรือ”
“แน่ใจสิ ผมคิดมานานแล้ว”
“แต่ชั้นยังไม่แน่ใจ ขอเวลาคิดก่อน”
นาวินถอนใจ “ผมจะรอ ราตรีสวัสดินะครับ”
“ขอบคุณมากนะคะ คุณนาวิน”
สุดนภาไขกุญแจห้อง นาวินยืนรอ สุดนภาไขเสร็จแล้วเปิดประตูแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นนาวินยืนรอ
“จะรอทำไมอีกล่ะ ไปได้แล้ว”
“อ้าว ไม่มีกู๊ดไนท์คิสเหรอ”
สุดนภายิ้มแล้วเอามือขึ้นหยิกแก้มนาวินจนนาวินร้อง
สุดนภาหัวเราะ “ไปได้แล้ว”
สุดนภาเข้าห้องแล้วปิดประตู นาวินมองตามแล้วแกล้งโกรธ
นาวินเดินออกจากหน้าห้อง แล้วเสียงแมสเสจก็ดังขึ้น นาวินกดรับ หน้าจอโทรศัพท์นาวิน เป็นรูป Emoji “จุ๊บๆ” จากสุดนภา
นาวินยืนพึงประตูพิมพ์แมสเสส สุดนภาที่ยืนอยู่หน้าประตูตกใจกดดู
“ฝันดีนะ ยัยลูกหมู” สุดนภาแค้น “ตาบ้า ว่าชั้นอ้วนเหรอ”
นาวินที่อยู่หน้าห้องยิ้ม ก่อนจะเดินออกไป
เมรินยิ้มเศร้า เธอนึกถึงตอนที่ปฐวีเล่นด้วย เมรินพูดกับสร้อยที่แขน
“ขอบคุณนะคะ คุณหมอวี ที่ทำให้หยงอยุ่ในร่างน้องเมย์อย่างมีความสุข”
ปรงทองนั่งอยู่กลางบ้าน ปรางค์ทิพย์ ปรงแก้ว และปรงขวัญเดินเข้ามา
“มาสิ เจ้าแก้วเจ้าขวัญมาหาทวดใกล้ๆหน่อยสิ” ปรงทองเรียก
ปรงแก้วกับปรงขวัญคลานเข้าไปหา ปรงทองหยิบแหวนสองวงออกมาส่งให้
“ทวดมีของให้เจ้าสองคน เอาไปฝากแม่เจ้าไว้ก่อน โตเป็นสาวรู้จักรักษาของแล้วค่อยเอาไปใช้ รู้มั๊ย”
ปรงแก้วกับปรงขวัญรับของไปอย่างงงๆ
“ยังไม่รีบขอบคุณคุณยายทวดอีก ลูกแก้วลูกขวัญ”
ปรงแก้วกับปรงขวัญไหว้ตามคำสั่ง
“ขวัญขออนุญาตไปเล่นตุ๊กตาได้มั๊ยคะคุณแม่”
ปรางค์ทิพย์ถลึงตาใส่
“ไปเถอะลูกทวดอนุญาติ” ปรงทองบอก
ปรงแก้วกับปรงขวัญส่งแหวนให้ปรางค์ทิพย์ก่อนจะวิ่งออกไปเล่นแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ปรงทองมองตามแล้วถอนหายใจ
“ทีนี้หล่อนพอใจหรือยังล่ะแม่ปรางค์”
“คุณยายก็มองปรางค์ในแง่ไม่ดีเรื่อยเลย ทั้งๆที่ปรางค์ยังไม่ได้พูดอะไรซักคำ”
ปรงทองพูดอย่างอารมณ์ดี “แม่ปรางค์ ชั้นเลี้ยงหล่อนมาเกือบจะสามสิบปี ทำไมชั้นจะไม่รู้ว่าหลานคนไหนนิสัยเป็นยังไง หวังว่าหล่อนคงจะพอใจแล้วนะ”
“แหม คุณยายก้อ ขอแค่คุณยายเมตตาเหลนเท่าๆกันปรางค์ก็ดีใจแล้วละค่ะ”
ปรางค์ทิพย์ไหว้ลาปรงทองแล้วเดินไป ปรงทองมองตามแล้วส่ายหน้า
ปรางค์ทิพย์ที่นั่งอยู่หน้ากระจกพิจารณาแหวนที่ปรงทองให้มา เสกสรรยืนแต่งตัวอยู่
“กะอีแค่แหวนขี้ปะติ๋ว จะไปมีค่าอะไรอย่างดีก็แค่แสนสองแสน แล้วจะมาพูดว่ายุติธรรมเชอะ”
“แหม..ลูกเรายังเด็กจะเอาอะไรนักหนา แหวนใส่เล่นก็พอ”
“คุณไม่รู้อะไร พระองค์นั้นน่ะ เป็นพระเก่าแก่ คุณยายใส่ติดตัวมาตลอด ป่านนี้คงเป็นล้านแล้วมั๊ง มันเทียบกันไม่ได้หรอก”
ปรางค์ทิพย์เปิดลิ้นชักแล้ววางแหวนสองวงไว้อย่างไม่สนใจ
“แล้วนี่คุณจะไปไหน ทำไมแต่งตัวแบบนั้น”
“อ้าว ผมต้องไปคุยกับลูกค้า ผมไม่ใช่พนักงานบริษัทแล้ว ผมเป็นเจ้าของบริษัท ก็ยุ่งแบบนี้แหล่ะ ไปก่อนล่ะ ไม่ต้องรอทานข้าวนะคงดึก”
เสกสรรเดินไป ปรางค์ทิพย์มองตามแล้วหงุดหงิดอยู่คนเดียว
เมรินกับสุดนภานั่งคุยกันอยู่
“เมื่อคืนชั้นเห็นสายตาแกนะ ตอนเต้นรำกับหมอวีน่ะ แกชอบหมอวีใช่ไหม” สุดนภาถาม
“แกมาหาชั้นเพราะเรื่องนี้น่ะหรือ” เมรินพูดลอยๆ “คิดว่าแกคิดถึงชั้นซะอีก”
“แกอย่ามาเฉไฉเลยหยง บอกมานะ แกมีใจให้หมอวีใช่มั๊ย”
เมรินมอง “แกหึงรึเปล่า” เมรินยังกลัวเพื่อนเสียใจ
“ชั้นไม่ได้คิดอะไรกับหมอวีแล้ว”
“แล้วกับคุณนาวินล่ะ แกคิดอะไร”
สุดนภายิ้ม “ตาบ้านั่นน่ะหรือ น่ารำคาญจะตาย”
นาวินกระแอมเหมือนอะไรติดคอ สุดนภาสะดุ้ง
“ตายยากชะมัดเลย” สุดนภาพูดกับนาวิน “ตามชั้นมาทำไมเนี่ย”
“อ้าว แล้วคุณล่ะ มาที่นี่ทำไมไม่บอก”
“ประสาท ทำไมชั้นจะไปไหนมาไหนต้องรายงานคุณทุกเรื่องหรือ”
สุดนภาแยกเขี้ยวใส่นาวิน ทั้งสองทำท่าจะวางมวยกัน สุดนภายื่นหน้าเข้าไปหา
“ไม่สู้ก็ได้ ยอมแพ้” นาวินได้กลิ่มหอมๆ
สุดนภาหงุดหงิดจึงผลักออก นาวินทำไม่รู้ไม่ชี้ สุดนภาหมั่นไส้จึงเข้าไปทุบ นาวินโวยวายว่าถูกทำร้ายร่างกาย เมรินมองสุดนภากับนาวินแล้วยิ้มขำ
ปรงทองนั่งอ่านแฟ้มหน้าเครียด แม้นวาดยืนมองด้วยสีหน้าวิตก
“ไม่ผิดจากที่ชั้นคิดจริงๆ” ปรงทองบอก
“แล้วคุณท่านจะจัดการยังไงต่อละคะเนี่ย” แม้นวาดถาม
“เงินก้อนนี้ ยังไงชั้นยกให้” ปรงทองส่ายหัว “แล้วดูสิถ้าเป็นคนอื่น เค้าเรียกว่าโกงเลยนะ แม่แม้นวาด”
ปรงทองนิ่งคิดหน้าเครียด แม้นวาดมองด้วยความเป็นห่วง
ปฐวีชี้ให้ญาติคนไข้ดูภาพฟีล์มเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์
“คนไข้กะโหลกศรีษะแตกร้าว และมีเลือดออกใต้กระโหลก ประมาณ 1 เซ็นต์ ตอนนี้การผ่าตัดเรียบร้อยดี หมอห้ามเลือดและให้ยาลดความดันสมองแล้ว ถ้าไม่มีเลือดออกอีก ก็เบาใจได้นะครับ”
ญาติโล่งใจ
“ขอบคุณนะคะ ที่คุณหมอช่วยอธิบาย ไม่อย่างนั้นพวกเราคงนอนไม่หลับคิดไปโน่นนี่มากมาย”
“ถ้ามีอะไรสงสัย ถามหมอได้เลยนะครับ หมอยินดีอธิบายให้ญาติคนเข้าใจ จะได้ไม่ต้องวิตกกังวล” ปฐวีบอก
ญาติยกมือไหว้ขอบคุณ ปฐวีรับไหว้แล้วยิ้มสบายใจ
ปฐวีเดินออกจากห้องคนป่วยพร้อมกับถือแฟ้มเดินอ่านมาตามทาง จริญทิพย์เดินตามหาปฐวีพอเห็นปฐวี จริญทิพย์ก็รีบวิ่งมาหา
“คุณวีคะ อยู่นี่เอง”
ปฐวีอ่านแฟ้มไม่เงยหน้า “อะไรหรือครับคุณทิพย์”
“ท่านประธานโทรมาค่ะ ท่านว่าถ้าคุณวีเสร็จงานวันนี้แล้ว ขอให้รีบกลับ ท่านมีเรื่องจะปรึกษา”
ปฐวีงง เขามองจริญทิพย์ที่มีอาการตื่นเต้นมาก “น้ำเสียงท่านด่วนมากหรือครับ คุณทิพย์ดูตื่นเต้นขนาดนี้”
จริญทิพย์นึกได้ “อุ๊ย เปล่าหรอกค่ะ ท่านน้ำเสียงปรกติ แฮ่ะ ทิพย์แอคติ้งเยอะไปหน่อย ขอโทษค่ะ”
ปฐวีส่ายหัว
“งั้นช่วงบ่ายผมมีนัดหรือเปล่า คุณทิพย์ช่วยเช็คให้ด้วยนะครับ เดี๋ยวผมขอไปเยี่ยมคนไข้ก่อนนะครับ”
ปฐวีเดินอ่านแฟ้มต่อไป จริญทิพย์มองตาม
“ดูสิ ยังขอเยี่ยมคนไข้ก่อน คิดแต่เรื่องงานแบบนี้ เมื่อไหร่จะมีคู่ล่ะหมอวีไม่เป็นไร ทิพย์จะขออยู่เป็นคู่หมอวีแล้วกันค่ะ”
จริญทิพย์เดินบ่นไป
สองพยาบาลรักสิกากับยมนาเดินคุยกันคิกคักออกมาจากห้อง
“แหม อิจฉาเจ้าหญิงนิทราจังเลย ขนาดหลับไม่รู้เรื่องขนาดนี้ยังมีคนมาเปลี่ยนดอกไม้ให้ทุกวันเลย” รักสิกาบอก
“นั่นน่ะสิ ขนาดเราตัวสดๆเป็นๆ พูดได้คุยได้ ยังไม่มีใครมาให้ซักดอก ตาชั้นงี้ร้อนวูบๆ เชียว” ยมนาเสริม
จริญทิพย์ยืนมองอยู่ รักสิกากับยมนาเห็นจริญทิพย์ก็รีบทำท่าสำรวม
“นี่อะไรกันจ๊ะ เป็นพยาบาลน่ะต้องมีจิตใจเมตตาต่อคนป่วย นี่อะไรกันมาอิจฉาแค่ดอกไม้เนี่ยนะ”
“แหม คุณทิพย์ไม่รู้อะไร มีคนเอาดอกไม้มาให้ เจ้าหญิงนิทราของเราทุกวันเลย”
“โถกะอีแค่ดอกไม้ สมัยชั้นสาวๆน่ะนะ วาเลนไทน์ทีนึง แม่ค้าปากคลองตลาดแทบจะกลั้นใจตาย” จริญทิพย์คุย
“กลั้นทำไมคะ ดอกไม้เน่าหรือ” รักสิกาถาม
“บ้า เค้าอิจฉาชั้นต่างหาก หนุ่มๆทั่วพระนคร เอาดอกไม้มาให้ชั้นน่ะสิยะ”
“โห...ใช้คำว่าพระนครนี่แสดงกว่า รัตนโกสินทร์ตอนต้นเชียวนะเนี่ย” ยมนาแซว
“นี่หล่อน พูดอย่างนี้ว่าชั้นหรือ แล้วดอกไม้น่ะ ดอกอะไรกันล่ะยะ ใครเอามาให้คุณตันหยง”
รักสิกากับยมนาค้อนขวับ
“ดอกกล้วยไม้ค่ะ” ยมนาตอบ
ปรงทองนั่งจิบน้ำชาสีหน้าเครียด พอเห็นปฐวีเดินเข้ามาปรงทองก็ยิ้มยินดี
“งานยุ่งหรือวี” ปรงทองถาม
“นิดหน่อยครับ เสร็จแล้วผมก็รีบมาเลย” ปฐวีบอก
“ขอโทษทีเถอะ ย่าทำให้วุ่นวาย”
ปรงทองหยิบเอกสารส่งให้ปฐวีอ่าน
“ลองอ่านดู”
ปฐวีอ่านแล้วก็มีสีหน้าเริ่มเครียดขึ้นเรื่อยๆ ปรงทองจิบน้ำอย่างใจเย็น
“คุณย่าครับ นี่มัน.....”
“ใช่ มันโกงกันชัดๆใช่มั๊ย”
ปฐวีถอนหายใจ “แล้วคุณย่าจะทำยังไงครับ”
“ย่าต้องจัดการให้เด็ดขาด ไม่ใช่ว่าย่าเสียดายเงินหรอกนะวี แต่สำหรับย่าความซื่อสัตย์สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ถ้าคนเราทำธุรกิจแล้วไม่มีความซื่อสัตย์ มันเท่ากับเราทำลายตัวเอง”
“ผมไม่อยากให้คุณย่าทำอะไรรุนแรง ผมเป็นห่วงปรงแก้วกับปรงขวัญ”
ปรงทองยิ้ม “ย่าคิดไว้แล้วว่าวีต้องพูดแบบนี้ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ย่าจะจัดการเอง วีไม่ต้องลำบากใจ”
ปฐวีก้มมองเอกสารอีกครั้งด้วยสีหน้าเครียด
ปฐวีเดินมาที่ริมสระน้ำด้วยสีหน้าเครียด เมรินเดินออกมาเห็นปฐวีไม่สบายใจ เมรินมองอย่างเป็นห่วง
“น้าวีเป็นอะไรไปคะ หน้าตาไม่สบายเลย”
“ก็หลายเรื่องน่ะ แล้วน้องเมย์ล่ะ เป็นไง”
“ครูบี๋พึ่งกลับไปค่ะ น้องเมย์ก็เบื่อๆค่ะ”
ปฐวีขำประโยคของเมริน
“งั้นเดินเล่นกันมั๊ย” ปฐวีถาม
เมรินยิ้ม “ไปสิคะ”
เมรินเดินอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ซึ่งมีกุหลาบและมะลิอยู่ใกล้กัน และมีดอกกล้วยไม้ด้วย ปฐวีใช้ความคิด
เมรินมองปฐวีแล้วชวนคุย “น้าวีคะ ดูดอกไม้พวกนี้สิคะ สวยจังเลย”
เมรินมองกล้วยไม้แล้วเข้าไปดมใกล้ๆ “สวยนะคะ”
“น้องเมย์ชอบดอกกล้วยไม้เหรอ”
“ใช่ค่ะ เมย์ไม่ชอบกุหลาบ มันดูเย้ายวนเกินไป ดอกมะลิก็ดูบอบบางนุ่นนวล น่าจะเหมาะกับคุณแม่มากกว่า”
ปฐวีนิ่งคิด “เข้าใจเปรียบเทียบนะ จริงอย่างที่น้องเมย์ว่าด้วย”
ปฐวีนั่งลงมองดอกไม้แล้วคิดไปถึงตันหยง
ปฐวีคิดถึงตอนที่เขาเอาดอกกล้วยไม้ไปวางไว้ให้ตันหยง
ปฐวีพูดกับร่างตันหยง “ผมไม่รู้หรอกว่าคุณชอบดอกไม้อะไร แต่สำหรับผม คุณเหมือนกล้วยไม้ สง่างาม แต่อ่อนหวาน”
ปฐวียืนมองตันหยงนิ่ง
เสียงเมรินเรียกดังขึ้น “น้าวีคะ น้าวี”
เมรินยืนโบกมืออยู่หน้าปฐวี ปฐวีรู้สึกตัว
“น้าวีคิดอะไรอยู่คะ กลับมาหาน้องเมย์ก่อน”
ปฐวียิ้มแล้วมองหลาน “น้าวีขอโทษนะ”
เมรินขำ “น้าวีคิดอะไรคะ”
ปฐวีคิด “คิดเปรียบเทียบดอกไม้กับผู้หญิงคนหนึ่ง”
เมรินงอนแล้วสลดลงทันที
ปฐวีขำ ก่อนจะจับเมรินให้หันมาแล้วพูดปลอบ “และถ้าน้องเมย์โตขึ้น ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละ”
เมรินยิ้มแป้น
บุญศรีเดินถือกระเป๋าแบรนด์เนมใบเก่าของปรางค์ทิพยอวดคนโน้นคนนี้
“จับเบาๆนะยะ ใบนี้หลายเงินนะ คุณปรางค์ยกให้ชั้น” บุญศรีคุย
“แหม พี่ศรี จะเอาไปถืออวดใครกันล่ะคะ” สายแก้วถาม
“จะอวดใครมันก็เรื่องของชั้น แกอิจฉาใช่มั๊ยนังสายแก้ว”
“โธ่พี่ศรี ชั้นจะไปอิจฉาพี่ทำไม ถือแล้วมันเหาะได้มั๊ยล่ะ”
บุญศรีหน้าเสีย “หนอยนังสายแก้ว หน้าอย่างแกไม่มีวันได้สัมผัส เจ้านายแกก็ไม่มีใช้ อย่างว่าแหละ คนมันไม่เคยได้ไม่เคยมี มันจะไปรู้คุณค่าอะไร”
“พี่ว่าอย่างนี้มันก็ไม่ถูก มาตบกันเลยดีมั๊ยเนี่ย”
สายแก้วกับบุญศรีเดินไปจ้องตากัน
แม้นวาดเดินเข้ามา
“ทำอะไรกัน เสียงเอะอะไปถึงข้างบน ประเดี๋ยวเถอะ คุณท่านได้ยินละก็”
บุญศรีกับสายแก้วรีบแยกจากกัน
“นังสายแก้วมันอิจฉาค่ะคุณแม้นวาด มันไม่เคยมีกระเป๋าแบรนด์เนมอย่างบุญศรีนี่ไงคะ ใบละหลายสตางค์นะเนี่ย คุณปรางค์ใจดี๊ใจดี ยกให้”
แม้นวาดมองกระเป๋าในมือบุญศรีแล้วถอนหายใจ
“ก็ดีแล้วนี่” แม้นวาดพูดกับสายแก้ว “วันนี้คุณท่านไม่ค่อยสบาย ไม่ต้องตั้งโต๊ะ แต่ขอเป็นของอ่อนๆแทนนะ”
“ได้ค่ะคุณแม้นวาด เดี๋ยวสายแก้วบอกแม่ให้ค่ะ”
แม้นวาดมองบุญศรีแล้วส่ายหน้า
“ชั้นเหนื่อยใจแทนคุณท่านจริง...จริ๊ง เออ แม่บุญศรี พรุ่งนี้คุณท่านให้เชิญคุณสรรกับ คุณปรางค์ไปพบตอนเช้า”
บุญศรีถาม “เรื่องอะไรคะ”
“ไปก็รู้เองนั่นแหละ”
แม้นวาดเดินไป ทุกคนมองตามอย่างงงๆ
“ทำเป็นความลับ” บุญศรีหันมาทางทุกคน “เออ บ้านนี้มันอะไรกัน ไม่มีคนรู้จักแบรนด์เนมหรือไงกันเนี่ย”
ทุกคนมองบุญศรีเหมือนตัวประหลาด
ปรางค์ทิพย์กับเสกสรรกำลังนั่งกินอาหารเย็น บุญศรีรีบเดินเข้ามารายงาน
“คุณปรางค์เจ้าขา คุณแม้นวาดบอกว่า พรุ่งนี้คุณหญิงท่านให้เชิญคุณปรางค์กับคุณสรรไปพบเจ้าค่ะ”
ปรางค์ทิพย์กับเสกสรรมองหน้ากัน
“คุณยายบอกหรือเปล่าว่ามีเรื่องอะไร” ปรางค์ทิพย์ถาม
“ไม่ทราบสิคะ คุณแม้นวาดไม่ได้บอก”
“แกนี่มันไม่ได้เรื่องจริง...จริ๊ง”
บุญศรีจ๋อย
“คุณว่าเรื่องอะไรเนี่ย”
“ไม่รู้เหมือนกัน ท่านอาจจะให้เงินมาลงทุนเพิ่มก็ได้ ผลประกอบการดีซะขนาดนั้น” เสกรรบอก
“คุณคิดแบบนั้นหรือ”
ปรางค์ทิพย์มองเสกสรรอย่างไม่ไว้ใจ
เช้าวันใหม่ เสกสรรกับปรางค์ทิพย์นั่งนิ่ง เอกสารฉบับหนึ่งอยู่ในมือเสกสรร
“ลองอธิบายมาซิพ่อเสกสรร เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่” ปรงทองบอก
เสกสรรอึกอัก ปรางค์ทิพย์รีบแก้ตัว
“ให้ปรางค์อธิบายดีกว่าค่ะ คือ...”
“แม่ปรางค์ ชั้นอยากฟังจากปากพ่อสรรมากว่า ไหนพูดมาซิ” ปรงทองย้ำ
“ก็ได้ครับคุณยาย ผมทำขาดทุน ทั้งๆที่ผมพยายามแก้ไขแล้ว” เสกรรบอก
ปรงทองพูดน้ำเสียงเย็นเรียบจนปรางค์ทิพย์เริ่มกลัว
“ขาดทุนทำไมไม่รายงานตรงๆ ทำไมต้องแต่งบัญชี คิดหรือว่าชั้นจะดูไม่ออก”
ปรางค์ทิพย์ตาค้าง เธอหันไปมองเสกสรร เสกสรรหลบตา
ปรางค์ทิพย์ถาม “ไหนคุณว่าลูกค้าเพียบ ใบสั่งซื้อก็มี มันจะขาดทุนได้ยังไง คุณสรร”
“มันไม่ใช่ขาดทุนธรรมดาหรอก มันมีการโยกย้าย ยักยอกกันอย่างมโหฬาร” ปรงทองบอก
เสกสรรนั่งนิ่งไม่สบตาใคร ปรางค์ทิพย์อึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
“คุณยายขา ขอให้ปรางค์แก้ตัวนะคะ ให้โอกาสคุณสรรอีกซักทีเถอะนะคะคุณยาย”
“อย่าพูดกับชั้นแบบนี้อีกนะแม่ปรางค์ จำคำชั้นไว้ให้ดี แต่นี้ต่อไปอย่าได้มาขออะไรชั้นอีก เพราะชั้นให้โอกาสนั้นกับพวกเธอไปแล้ว แล้วมันก็หมดลงแล้ว กลับไปซะ”
ปรางค์ทิพย์ขวัญเสีย “คุณยาย”
ปรงทองนั่งมองหน้า เสกสรรกับปรางค์ทิพย์เดินออกไปอย่างจ๋อยๆ
ปรางค์ทิพย์เดินหงุดหงิดงุ่นงานอยู่ในบ้าน เสกสรรนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา
“เป็นไปไม่ได้ มันจะเจ๊งได้ยังไง มันจะขาดทุนได้ยังไง” ปรางค์ทิพย์พูดกับเสกสรร “คุณบอกชั้นมาเดี๋ยวนี้ มันเป็นไปได้ยังไง”
“อ้าว ก็กระเป๋า รองเท้า สร้อย แหวน นาฬิกา ของแบรนด์เนมทั้งหลายแหล่ ไหนจะบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินอีกล่ะ” เสกสรรว่า
“นี่คุณ ชั้นไม่ได้โง่นะ แค่นั้นมันไม่ทำให้เจ๊งได้หรอก”
“คุณจะมาโทษผมข้างเดียวมันก็ไม่ถูกหรอกนะ มันก็ร่วมด้วยช่วยกัน นี่มันธุรกิจนะคุณ ธุรกิจมันมีแต่กำไรแล้วก็ขาดทุน ทีนี้มันขาดทุนไปแล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ”
“อ๊ายย... ทำไมฉันถึงมีผัวไม่ได้เรื่องแบบนี้นะ พึ่งพาอะไรไม่ได้เลย ไหนคุยว่าเก่งว่าแน่ แล้วเป็นไง เจ๊งราบ เงินก็เงินของชั้น ที่คุณยายให้มามันเงินของชั้นทั้งนั้น” ปรางค์ทิพย์เข้าไปทุบ “มันเงินของชั้น เอาคืนมานะ เอาเงินชั้นคืนมา”
ปรางค์ทิพย์ทั้งทุบทั้งตีเสกสรรพัลวัล เสกสรรรำคาญจึงผลักปรางค์ทิพย์จนกระเด็นไป
“โอ๊ย รำคาญโว๊ย”
เสกสรรเดินไป ปรางค์ทิพย์รำพัน
“ไอ้คนล้างผลาญ ไอ้คนไม่เอาไหน”
ปรางค์ทิพย์คร่ำครวญ ส่วนปรงแก้วกับปรงขวัญนั่งกอดคอกันร้องไห้
แก้วแชมเปญของเมธีกับบรรดาลูกน้องชนกัน เมธีกับกลุ่มลูกน้องกำลังฉลองจบโปรเจ็ค
“ดื่มฉลองให้กับความสำเร็จนะครับพี่เมธี”
“ดื่มให้กับความสำเร็จของเรา” เมธีบอก
“ผมดีใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในงานนี้ ขอบคุณพี่เมธีครับ”
“พี่สิ ต้องขอบคุณพวกเรา ขอบคุณมากนะทุกคน”
“เอ้า ดื่ม”
ทุกคนยิ้มแย้มเฮฮา เมธียิ้มโล่งใจ
เมธีลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้าน ประภัสสรกับเมรินจูงมือกันเดินออกมารับ
ประภัสสรถามสามี “เป็นยังไงบ้างคะ เหนื่อยหรือเปล่า”
“เห็นหน้าคุณกับลูกผมก็หายเหนื่อยแล้วละ วันนี้ผมส่งมอบโครงการเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ผมอยากพาครอบครัวไปเที่ยวทะเล แต่เอ๊ะ จะมีใครไปกับผมบ้างนะ”
ประภัสสรยิ้ม “ถามลูกดีกว่าค่ะ ถ้าน้องเมย์อยากไปภัสก็จะไป ว่าไงคะน้องเมย์”
เมรินนิ่งคิด “ไปเที่ยวทะเลหรือคะ”
เมธีกระซิบ “ใช่น่ะสิ ถ้าน้องเมย์ไม่โอเค พ่อก็อดไปเที่ยวกับคุณแม่นะ”
ประภัสสรยิ้มให้เมธี เมรินมองแล้วยิ้มตอบ
“น้องเมย์ก็อยากไปค่ะ แต่ชวนน้าวีไปด้วยดีมั้ยคะ”
ประภัสสรกับเมธีมองหน้ากัน
“ดีสิ ถ้าวีไปด้วยก็น่าจะดีนะ” เมธีมองประภัสสร ประภัสสรพยักหน้ายิ้มๆ
“งั้นเมย์โทรไปชวนน้าวีนะคะ”
เมรินวิ่งโลดเข้าบ้าน ประภัสสรกับเมธีหันมายิ้มให้กัน เมธีโอบประภัสสรแล้วเดินเข้าบ้านไป ปรางค์ทิพย์ที่ยืนมองอยู่ทั้งอิจฉาทั้งแค้นใจ
ปฐวีกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ริมหน้าต่างห้องทำงาน
“ทะเลหรือ ว๊า น้าวีไม่แน่ใจว่าจะไปได้หรือเปล่านะ งานยุ่งมากเลย”
เมรินคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้านประภัสสร
“แต่น้องเมย์อยากให้น้าวีไปด้วย น้าวีชวนครูบี๋กับคุณนาวินไปด้วยก็ได้นะคะ”
“น้ายังไม่รับปากนะ แค่นี้ก่อนแล้วกัน น้ามีงาน บ๊ายบาย”
ปฐวีกดวางสาย
เมรินหน้าจ๋อย คอตกและเศร้าไป
จริญทิพย์ยืนแอบฟังอยู่ พอปฐวีหันมาจริญทิพย์ก็รีบทำท่ายุ่ง
“คุณทิพย์ช่วยทำใบลาให้ผมด้วยนะครับ ซัก 3วัน ผมจะไปพักผ่อน” ปฐวีบอก
“ต๊าย ตาย คุณวีเนี่ยร้ายจริงๆ หลอกหลานได้ลงคอ มันน่าตีนักเชียว”
“แหม เซอร์ไพรส์นิดหน่อย จะได้ตื่นเต้นไงครับ” ปฐวีถามนิ่งๆ “คุณทิพย์แอบฟังผมพูดโทรศัพท์ใช่มั้ยเนี่ย”
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 9 (ต่อ)
จริญทิพย์อึกอัก “ไม่ได้แอบนะคะ ทิพย์ยืนเฉยๆ ได้ยินเอง” จริญทิพย์รีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วจะให้ทิพย์ทำใบลาเสนอใครล่ะคะเนี่ย คุณหมอวีรักษาการ ผอ.โรงพยาบาลแล้วนะคะ”
ปฐวีขำ “ก็ทำตามระเบียบนั่นแหละครับ”
“ได้ค่ะ”
จริญทิพย์ทำท่าจะเดินออกไป พอเห็นปฐวีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จริญทิพย์ก็ชะลอจะแอบฟังโทรศัพท์ต่อ ปฐวีทำท่าดุๆ จริญทิพย์จึงรีบไป ปฐวีมองตามยิ้มๆ
ปฐวีกดโทรศัพท์หานาวิน
“ชั้นจะไปทะเลซัก3 วัน ไปด้วยกันมั้ย”
“ต้องถามคุณบี๋ก่อน” นาวินบอก
“เฮ้ย อะไรกันวะ ยังไม่เป็นแฟนเลย ต้องกลัวขนาดนี้เลยหรือ” ปฐวีแซว
“ไม่ได้กลัวโว๊ย เค้าเรียกเกรงใจ”
เมรินคุยโทรศัพท์กับสุดนภา
“ชั้นจะไปทะเล ไปด้วยกันนะบี๋”
“ไม่แน่ใจว่า ว่าจะลางานได้รึเปล่า”
เมรินโวยวาย “อะไรกันเนี่ย ไปสามวันนะไม่ใช่สามปี แล้วนี่ก็ปิดเทอมแล้วด้วย”
“นั่นแหละ ปิดเทอมชั้นก็ต้องไปเซ็นชื่อที่โรงเรียนอยู่ดี”
“แต่ชั้นอยากให้แกไปเป็นเพื่อนนะบี๋”
“เออน่า จะพยายาม ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็เจอกันนะจ๊ะ”
ปฐวีกำลังนั่งเซ็นต์แฟ้มเพื่อเคลียร์งานก่อนไป จริญทิพย์เดินเอาใบลาใส่แฟ้มมายื่นให้
“อันนี้เซ็นต์ด้วยนะคะ คุณหมอปฐวียื่นใบลาไปเที่ยวทะเล 3 วันค่ะท่านผอ.”
“อนุมัติ....” ปฐวีหยิบใบลามาเซ็นต์ชื่อ
จริญทิพย์ค้อน “แหม..คุณหมอวีก็ทำเป็นเล่นไปได้ ไป 3 วันนี่ทิพย์คิดถึงแย่เลย”
ปฐวียิ้มแล้วลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ
“ผมก็คิดถึงคุณทิพย์เหมือนกัน มีอะไรโทรหาผมได้ทันทีเลยนะครับ”
ปฐวีเดินออกสวนกับหนึ่งฤทัยที่เดินเข้ามา
“อ้าว วีจะไปสัมมนาหรือคะ”
“เปล่าหรอกครับ ผมจะไปเที่ยวทะเลกับครอบครัวครับ”
“เที่ยวทะเลหรือ น่าสนุกจัง”
“งั้นไปเที่ยวด้วยกันมั้ยครับ”
หนึ่งฤทัยลังเล “พรุ่งนี้หนึ่งมีสัมมนาค่ะ ถ้าเสร็จแล้วอาจจะตามไปแจมนะคะ”
ปฐวีมองนาฬิกา “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ บ๊ายบายครับ คุณทิพย์”
ปฐวีเดินไป จริญทิพย์กับหนึ่งฤทัยมองตามตาละห้อย
เช้าวันใหม่ สายแก้วลากประเป๋ามาใส่รถ เมรินยืนมองอยู่ ปรงแก้วกับปรงขวัญวิ่งมาหาเมริน
“น้องแก้วน้องขวัญ ไปเที่ยวด้วยกันมั้ย” เมรินชวน
“ไปได้หรือ” ปรงแก้วถาม
“ไปได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ไปเที่ยวกันหลายๆคนสนุกดีออก”
“ไหนแม่บอกว่าน้าภัสกับน้องเมย์ไม่อยากให้เราไปด้วยหรอก” ปรงขวัญบอก
เมรินชะงัก แล้วส่ายหน้า
“ไม่จริงซะหน่อย ชวนป้าปรางค์ไปด้วยกันก็ได้นะ”
เสียงปรางค์ทิพย์ดังขึ้น “แก้วขวัญ มาหาแม่นี่”
ปรงแก้วปรงขวัญสะดุ้งแล้วหันไปเห็นปรางค์ทิพย์ ทั้งสองคนจ๋อย
“เข้าบ้านเดี๋ยวนี้เลย บอกกี่ครั้งแล้วห้ามมายุ่งกับมัน” ปรางค์ทิพย์ดุ
ปรงแก้วปรงค์ขวัญเดินคอตกเข้าบ้านไป
“ทีหลังอย่าสะเออะมาวุ่นวายกับลูกของชั้นอีกเข้าใจมั้ย”
ปรางค์ทิพย์เดินไป เมรินมองตาม
“ระวังเถอะ เลี้ยงลูกแบบนี้ระวังลูกจะเป็นโรคจิต” เมรินว่า
ประภัสสรกับเมธีเดินลงมาจากข้างบน เมรินนั่งหน้าเซ็งอยู่ในบ้าน ประภัสสรมองหน้าเมธีแล้วยิ้มให้กัน
“ไปค่ะน้องเมย์ พร้อมหรือยัง” ประภัสสรถาม
“ค่ะพร้อมแล้ว ตกลงน้าวีคงไม่ไปกับเราใช่มั้ยคะ”
“ไม่รู้เหมือนกันแฮะ น้าวีบอกกับน้องเมย์ว่าไงล่ะ” เมธีถามกลับ
เมรินหน้าจ๋อย
ประภัสสร เมริน และเมธีเดินออกมาจากบ้าน รถของสุดนภากับนาวินวิ่งเข้ามา เมรินมองงงๆ
“สวัสดีครับพี่เมธี พี่ภัส” นาวินไหว้
เมรินเห็นสุดนภาก็กระโดดดีใจ
“ไงน้องเมย์ดีใจมั้ย” สุดนภาถาม
เมรินกระซิบ “แกมาได้ไง คิดว่าต้องไปคนเดียวซะแล้ว”
“เท่านั้นยังไม่พอนะ”
สุดนภาพูดแล้วมองไปด้านหลัง เมรินหันไปมองตามก็เห็นปฐวีเดินมาในชุดพร้อมเที่ยว
“ไง น้องเมย์ น้าวีขอไปด้วยคนนะ”
“...ทุกคนช่วยกันหลอกเมย์ใช่มั้ยเนี่ย”
เมรินงอน ปฐวีง้อ
“ไม่ต้องงอนนะ อยากให้คนสวยเซอร์ไพรส์ไง หายงอนน้าวีนะคนดี เราเดินทางกันดีกว่าครับ ผมชักอยากเห็นทะเลไวๆแล้วสิ”
“น้องเมย์ไปนั่งกับครูบี๋มั้ย” สุดนภาชวน
นาวินรีบบอก “ไม่ว่างรถเต็ม”
สุดนภางง “เต็มได้ไง”
“ไม่ต้องหรอก หลานน้าวีก็ต้องไปกับน้าวีจริงมั้ย”
ปฐวียื่นมือให้เมรินจับ ปฐวียิ้มให้ เมรินยิ้มตอบ เมรินจับมือปฐวีอย่างเต็มใจแล้วเดินขึ้นรถไป สุดนภามองหน้านาวิน นาวินทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ประภัสสรกับเมธียิ้มอย่างมีความสุข
“น้าหลานคู่นี้ อะไรกันนักหนา”
“ไปกันเถอะภัส”
เมธีประคองประภัสสรขึ้นรถ ทั้งหมดขึ้นรถแล้วขับตามกันออกไป
รถสองคันวิ่งตามกันออกไป ปรงแก้วปรงขวัญมองตามตาละห้อย ปรางค์ทิพย์ยืนมองด้วยสีหน้าแค้น
“คุณแม่ขา ทำไมเราไปเที่ยวทะเลไม่ได้ล่ะคะ น้องเมย์ชวนเราสองคนด้วยนะคะ” ปรงแก้วถาม
“นั่นน่ะสิ เค้าบอกว่าไปกันหลายๆคนสนุกดี ให้ชวนคุณแม่ด้วยนะคะ” ปรงขวัญบอก
ปรางค์ทิพย์ตวาด “แกสองคนก็ไปเชื่อมัน ไปเป็นลูกมันเลยดีมั้ย”
“แก้วกับขวัญอยากไปเที่ยวทะเลบ้างนี่คะ ตอนนี้ก็ปิดเทอมแล้วด้วย ไปนะคะ คุณแม่”
เด็กสองคนรบเร้า ปรางค์ทิพย์เครียด
“หุบปากเดี๋ยวนี้เลย อย่าเรียกร้องให้มันมากนักได้มั้ย”
ปรางค์ทิพย์จับตัวลูกฟาดอย่างแรง ปรงแก้วปรงขวัญร้องไห้ตกใจ บุญศรีที่ยืนมองอยู่ด้านข้างสงสารเด็กจนทนไม่ไหวจึงรีบมาดึงตัวปรงแก้วกับปรงขวัญออกไป
“มาค่ะมากับศรีดีกว่า เดี๋ยวศรีพาไปเล่นบ้านตุ๊กตานะคะ คนดี”
ปรงแก้วว่า “คุณแม่ใจร้าย คุณแม่ไม่รักลูก”
ปรงขวัญพูดต่อ “หนูจะไปเป็นลูกน้าภัสดีกว่า ได้ไปทะเลด้วย”
บุญศรีรีบอุดปากปรงขวัญก่อนจะพาเด็กสองคนเลี่ยงออกไปทันที ปรางค์ทิพย์ชะงักก่อนจะทรุดตัวลงนั่งด้วยสีหน้าเครียด
“นังภัสมันมีดีอะไร ทำไมใครๆถึงพากันรักพากันหลงมันนัก แม้กระทั่งลูกของชั้นยังอยากเป็นลูกมันเลย”
ปรางค์ทิพย์เครียดแค้นจนน้ำตาคลอ
ปฐวีขับรถ เมรินนั่งข้างหน้า เมรินเปิดเพลงแล้วหันไปมองหน้าปฐวี ปฐวีพยักหน้าพอใจ
ประภัสสรกับเมธีนั่งกุมมือยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
ในรถสุดนภากับนาวิน สุดนภาป้อนขนมให้นาวินกินบ้าง แกล้งบ้าง แล้วสุดนภาก็เปิดแผนที่ดู ก่อนจะทะเลาะกันเล็กๆ
รถทั้งสองคันวิ่งผ่านถนนริมทะเล
ทุกคนลงจากรถที่จอดบริเวณลานจอดรถของที่พัก
“เดี๋ยวผมไปจัดการเรื่องห้องให้ก่อน พี่ภัสกับคุณบี๋ไปนั่งพักก่อนดีมั้ยครับ” ปฐวีบอก
“บี๋ดูแลน้องเมย์ให้นะคะ เชิญคุณภัสกับคุณเมธีตามสบายค่ะ ไปน้องเมย์มากับครูบี๋เร็ว” สุดนภาชวน
สุดนภากับเมรินจูงมือกันวิ่งออกไป เมธีกับประภัสสรมองตามแล้วยิ้ม
“ขอบคุณนะคะ สดชื่นจังเลย นานๆได้สูดอากาศบริสุทธิ์ริมทะเล” ประภัสสรบอก
“ถ้ารู้ว่าคุณชอบ ผมพามาตั้งนานแล้ว”
ประภัสสรแซว “ขี้คุยจังเลยนะคะ คุณนี่”
ประภัสสรกับเมธียิ้มให้กัน เมธีเดินพาประภัสสรไปริมทะเล
สุดนภากับเมรินมองตามประภัสสรกับเมธีแล้วยิ้ม
“ชั้นว่าแกได้ทำหน้าที่ของน้องเมย์อย่างดีที่สุดแล้วละ” สุดนภาชม
เมรินยิ้มแล้วมองตามทั้งคู่อย่างโล่งใจ
ปฐวีถือกุญแจมาส่งให้ประภัสสรกับเมธี ทำให้เหลืออีกสองห้อง
“นี่ของครูบี๋ครับ น้องเมย์จะนอนกับครูบี๋หรือนอนกับน้าวี” ปฐวีถาม
“นอนกับน้าวีน่ะดีแล้ว” นาวินรีบบอก
“บ้า...” สุดนภาพูดกับปฐวี “คุณวีนอนกับคุณวินเถอะนะคะ บี๋จะนอนกับน้องเมย์เอง”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ น้องเมย์มานอนกับแม่ดีกว่า” ประภัสสรชวน
“เมย์ขอนอนกับครูบี๋นะคะ เมย์อยากคุยกับครูบี๋” เมรินบอก
“แต่ครูบี๋อยากคุยกับน้าวินมากกว่า ใช่มั้ย” นาวินพูด
“นี่นายหยุดเลย ไปนอนกับคุณวีน่ะดีแล้ว” สุดนภาพูดกับประภัสสร “ไม่ต้องห่วงนะคะ บี๋จะดูแลน้องเมย์ให้เอง”
ประภัสสรกับเมธีมองหน้ากัน
“ก็ได้ ขอบคุณครูบี๋มากนะครับ” เมธีพูด
เมรินกับสุดนภามองหน้ากันด้วยความโล่งใจ
“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ อย่าเสียดายล่ะ” นาวินแซว
สุดนภาตอบทันที “แน่ที่สุด”
สุดนภาแกล้งเหยียบเท้านาวินอย่างแรง นาวินร้องโวยวาย สุดนภากับเมรินเดินไป นาวินตะโกนตามหลัง
“ให้โอกาสอีกครั้ง”
“พอได้แล้วไอ้วิน เค้าไม่เปลี่ยนใจหรอก” ปฐวีบอก
“เฮ้ย คนเราต้องมีความหวังเว่ย”
ปฐวีมองนาวินแล้วยิ้มขำ
เมรินล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างสบายใจ
“เฮ่อ.. ขอเป็นตัวของตัวเองซักวันเถอะ... สบายใจจัง”
“แกนึกยังไง ถึงชวนมาเที่ยวทะเลกันเป็นพวงอย่างนี้” สุดนภาถาม
เมรินขำเพื่อน “คุณเมธีชวนต่างหาก ดีแล้วล่ะ เค้าจะได้เติมความหวานให้กันเชื่อมสัมพันธ์กันมากขึ้น ลบเลือนอดีตที่ผิดพลาดกันไปซะ”
“จะว่าไปเค้าสองคนก็มีปัญหากันมานานแล้วไม่ใช่หรือ แกก็ได้ช่วยสานสัมพันธ์ให้เค้า แบบนี้แกคงได้เรียนรู้จากการเป็นน้องเมย์เหมือนกันนะ”
“ก็คงอย่างนั้นแหละ”
“ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วเรื่องของแกล่ะ แกก็คงจะอภัยให้พี่พิรามแล้วสิ”
เมรินนิ่งคิด “จะมีประโยชน์อะไร ถ้าชั้นยังคงต้องมีสภาพเป็นน้องเมย์ป่วยการจะพูดถึง”
“ชั้นหมายถึง ถ้าวันหนึ่ง แกมีโอกาสจะกลับคืนร่างเดิมของแกน่ะ หยง แกจะให้อภัยพี่พิรามมั้ย”
ตันหยงนิ่งคิด
เมรินเดินเศร้าออกไปที่ระเบียง สุดนภามองตามเพื่อนไปอย่างสงสาร เมรินมองวิว สูดอากาศก่อนนึกไปถึงอดีต
ภาพในอดีตย้อนกลับมา พิรามกับตันหยงเดินเล่นกันริมทะเล คุยกัน หยอกล้อกัน แล้วทั้งสองก็มานั่งคุยกันที่ชายหาด ตันหยงซบไหล่พิราม
เมื่อคิดถึงอดีต ใบหน้าของเมรินก็เศร้าสร้อยและหม่นหมอง
พิรามกำลังห่มผ้าให้ร่างของตันหยง พิรามหันไปมองหน้าตันหยงแล้วยิ้ม
“วันที่คุณฟื้นขึ้นมา ผมอยากให้คุณเข้าใจว่าคุณมีความหมายกับผมแค่ไหน”
พิรามหันไปจับมือตันหยงมาแนบแก้มของตัวเอง
“หยง ให้อภัยผมนะ ผมรักคุณ” พิรามน้ำตาซึม
ใบหน้าของตันหยงที่นอนบนเตียงยังนิ่งสนิท
ที่โต๊ะอาหาร ปฐวีแกะกุ้งปูให้เมริน เมรินยิ้มขอบคุณ นาวินสะกิดสุดนภาให้สุดนภาแกะให้บ้างแต่สุดนภาไม่สนใจยังคงนั่งกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย นาวินทำเป็นงอน ประภัสสรกับเมธียิ้มพูดคุยกันอย่างมีความสุข
นาวินแกล้งเอากุ้งงับนิ้วสุดนภา สุดนภาตกใจตีนาวิน นาวินทำเป็นจ๋อย เมรินกับปฐวี มองประภัสสรกับเมธียิ้มให้กัน
เวลาผ่านไป เมธีประภัสสรนั่งคุยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบริมชายหาด เมรินเดินคุยนำหน้าปฐวีมาอย่างร่าเริง นาวินอุ้มสุดนภาเอาไปทิ้งลงทะเล เมรินกับปฐวียืนหัวเราะกัน
เวลาผ่านไป สุดนภากับนาวินเล่นน้ำทะเล สุดนภาหัวเราะร่าเริง เมรินนอนอยู่บนผืนทราย ปฐวีเอาเปลือกหอยเรียงรอบๆตัวเมริน เมรินยิ้มให้
ตกกลางคืน นาวิน สุดนภา เมริน และปฐวีนอนเรียงกันดูดาวบนผืนผ้าใบที่ชายหาด
“ถ้าเราเห็นดาวตก ให้อฐิษฐาน แล้วจะสมปรารถนา” สุดนภาบอก
“ถ้าดาวมันไม่ตกล่ะ ขอได้มั้ย” นาวินถาม
สุดนภาชำเลืองมองแล้วขำ “ลองดูซิ คุณจะขออะไร”
“ขอหรือ ขอให้ได้ทำงานอะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องเป็นครูสอนเด็ก แต่ยังอยากมีแฟนเป็นครูนะ”
สุดนภาหยิกนาวินเขินๆ
“ชั้นอยากขอเป็นครูแบบนี้ไปเรื่อยๆ อยู่กับเด็กแล้วสบายใจดี ไม่เครียด” สุดนภาบอก“คุณมองเด็กเป็นเด็ก หรือมองเป็นอาหารล่ะ” นาวินกวน
“จะบ้าหรือ คุณนี่ ชวนออกนอกเรื่องเรื่อยเลย”
“แล้วแกล่ะเจ้าวี ขอได้จะเป็นอะไร” นาวินถาม
“ชั้นหรือ อยากเป็นหมอ” ปฐวีตอบ
“อ้าวตอนนี้แกเป็นตำรวจหรือ” นาวินกวน
สุดนภาหยิกนาวินดังหมับ
“อย่าไปสนใจค่ะ เชิญคุณวีพูดต่อ” สุดนภาบอก
“ชั้นอยากไปเป็น แพทย์อาสา ออกไปช่วยรักษาคนที่ด้อยโอกาสอยู่ห่างไกลโรงพยาบาล ตามต่างจังหวัด”
นาวินพูดแทรก “น่าสรรเสริญ”
“แล้วน้องเมย์ล่ะ อ้าว..น้องเมย์” สุดนภาถาม
ทุกคนหันมามองเห็นเมรินหลับปุ๋ยไปแล้ว
“เด็กเอ๊ย หลับไปซะอย่างงั้น”
ปฐวีมองเมรินที่นอนหลับด้วยความเอ็นดู
ปฐวีอุ้มเมรินมานอนที่เตียง ปฐวีห่มผ้าให้เมรินแล้วก้มลงหอมแก้ม สุดนภาทำท่าหวาดเสียว
นาวินเห็นจึงถามขึ้น “คุณเป็นอะไรของคุณน่ะ”
“ชั้นไม่อยากมอง” สุดนภาบอก
นาวินขำ “สองคนนั่นน่ะน้าหลานกันนะ อะไรกัน”
สุดนภาเมินหน้า
“ผมฝากน้องเมย์ด้วยนะครับครูบี๋” ปฐวีบอก
“ค่ะ บี๋ดูแลได้”
“ไม่อยากดูแลผมบ้างหรือ” นาวินถาม
สุดนภาส่ายหัวอย่างระอา “รีบไปนอนได้แล้ว ชั้นจะได้พักบ้าง”
นาวินทำงอน สุดนภาไม่สนใจ
“ใจร้าย เดี๋ยวเปลี่ยนใจไปรักเจ้าวีเข้าให้เลย” นาวินบอก
ปฐวีหัวเราะ “อย่าให้ชั้นต้องนอนระแวง”
ปฐวีกับนาวินเดินออกไปจากห้อง สุดนภาเดินไปปิดประตูห้องแล้วหันกลับมามองเมรินที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่อง
พระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ประภัสสรกับเมธีเดินคุยกันมาที่ริมชายหาด
“อีกหน่อยพอน้องเมย์โตเราไปเที่ยวกันดีมั้ย สองคนตายาย อยากไปไหนก็ไป” เมธีชวน
“คุณจะมีเวลาหรือคะ” ประภัสสรถาม
“ต้องมีสิ ชีวิตผมที่ผ่านมา มีแต่งาน งาน งาน ต่อไปนี้ผมจะแบ่งเวลาให้คุณกับลูก แต่ก็ต้องทำงานด้วยนะ”
“ภัสเข้าใจค่ะ ภัสไม่ได้เรียกร้องอะไรซักหน่อย”
“ถึงภัสไม่เรียกร้อง ผมก็อยากทำ ขอเวลาให้ผมทำงานอีกซักหน่อยนะ ผมจะอยู่กับคุณทุกวัน เอาให้คุณเบื่อหน้าผมไปเลย”
ประภัสสรยิ้มแล้วซบอกเมธี “ภัสไม่เบื่อคุณหรอกค่ะ”
ทั้งสองจูงมือกันเดินริมชายทะเลต่อไป
ปฐวีนั่งอยู่กับเมริน ประภัสสรและเมธี นาวินเล่นน้ำทะเลอยู่คนเดียว สุดนภาเก็บหอยสวยๆ อยู่ที่ชายหาด นาวินเดินมาหาสุดนภาแล้วช่วยเก็บหอย สุดนภายิ้ม
ในทะเลมีผู้หญิงตะโกน “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย คนจมน้ำ”
คนวิ่งไปที่ริมทะเลแล้วตะโกน “คนจมน้ำ มีคนจมน้ำ”
ปฐวีขยับแล้ววิ่งไป นาวินหันไปแล้ววิ่งลงทะเล
“ไอ้วี รอรับอยู่ตรงนั้นแหล่ะ” นาวินบอก
นาวินว่ายน้ำลุยไปทันที ปฐวีวิ่งลงทะเลไปยืนคอยรับ คนแถวนั้นแตกตื่นตกใจ
นาวินลากคนจมน้ำเข้ามา ปฐวีไปช่วยลากตัวมานอนริมชายหาด ปฐวีรีบเช็คอาการ
“เราเล่นน้ำกันดีๆ จู่ๆ เค้าก็จมหายไป”
ปฐวีปั๊มหัวใจแล้วทุบน้ำอก ภรรยาของคนจมน้ำตกใจ นาวินมอง
นาวินบอกภรรยาคนจมน้ำ “ไม่ต้องห่วงนะครับ เพื่อนผมเป็นหมอครับ”
ปฐวีผายปอด คนดูลุ้น ปฐวีปั้มจนชายคนนั้นสำลักน้ำทะเลออกมา
“น่าจะพ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ผมแนะนำให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลด่วนนะครับ”
ภรรยาเข้ากอดสามีที่ยังไม่ค่อยมีสติ
“ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตสามีดิชั้น”
คนดูมองปรบมือให้ปฐวีและนาวิน ทุกคนยิ้มแย้มมองนาวินและปฐวี ปฐวีถอนหายใจโล่งอก นาวินหันไปมองแล้วยักคิ้วให้สุดนภา สุดนภายิ้มแล้วยกนิ้วให้ นาวินยืด เมรินมองปฐวีอย่างชื่นชม
เมธี ประภัสสร เมริน สุดนภานั่งกันอยู่พร้อมหน้า นาวินกับปฐวีเดินคุยกันอยู่ที่ริมทะเล
“โชคดีที่นายวีมาด้วย ไม่อย่างนั้นผู้ชายคนนั้นคงแย่” เมธีบอก
“น่ากลัวจังเลย แค่คิดภัสก็กลัวแล้วล่ะค่ะ น้องเมย์หนูอย่าไปเล่นน้ำคนเดียวเด็ดขาดนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ รับรองเมย์ไม่ไปเล่นน้ำคนเดียวแน่นอน” เมรินยืนยัน
“นั่นน่ะสิ ลูกพ่อคนนี้เก่งอยู่แล้วจริงมั้ย” เมธีสังเกตประภัสสร “เออ ผมว่าคุณหน้าซีดๆนะ ขึ้นไปพักก่อนดีกว่านะ”
“นั่นสิคะ สงสัยคุณภัสคงตกใจ” สุดนภาเห็นด้วย
“คุณแม่ขึ้นไปพักเถอะค่ะ” เมรินบอก
“ก็ดีเหมือนกัน ภัสรู้สึกวิงเวียนยังไงก็ไม่รู้”
“ไป ผมจะพาขึ้นไปเอง ครูบี๋ครับฝากน้องเมย์ด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ” สุดนภาบอก
ประภัสสรกับเมธีเดินไป เมรินมองตามด้วยความเป็นห่วง
“ชีวิตคนเรามันเปลี่ยนแปลงง่ายแบบนี้เชียวหรือ ความเป็นกับความตายมันห่างกันแค่ชั่ววินาทีเดียวเท่านั้น” เมรินพูด
“ก็แบบนี้แหละ คนเราคาดเดาอนาคตไม่ได้หรอก”
“นั่นน่ะสิ ชั้นควรจะดีใจใช่มั้ยที่ชั้นยังมีชีวิต ยังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็ไม่รู้จะต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานมั้ย”
สุดนภามองเมรินอย่างเห็นใจ พนักงานเอาน้ำส้มกับคอกเทลมาเสริฟให้
“คุณผู้ชายทางด้านโน้นให้เอามาให้ครับ”
สุดนภามองตามไปก็เห็นนาวินโบกมือให้พร้อมส่งจูบ
“ตานาวินนี่ เล่นไม่เลิกจริง...จริ๊ง”
สุดนภายิ้มเขิน เมรินมองแล้วยิ้มเศร้า
นาวินโบกมือให้สุดนภา ปฐวีมองแล้วหัวเราะ
“ทำไมไม่ชวนหมอหนึ่งมาด้วยวะ”
“เค้าอาจจะตามมา” ปฐวีบอก
“พูดเหมือนไม่ได้สนใจ ตกลงแกสนใจหมอหนึ่งรึเปล่าเนี่ย หมอหนึ่งน่ารันะ เป็นชั้นน่ะจีบไปแล้ว”
ปฐวีขำ “เค้าก็น่ารักดี แต่....” ปฐวีถอนใจ
“ยังติดใจคุณตันหยงอยู่” นาวินถาม
“ไอ้บ้า เค้าเป็นคนไข้โว๊ย แถมยังมีคู่หมั้นเป็นตัวเป็นตนแล้วด้วยว่าแต่แกเหอะ ตกลงนี่แกเอาจริงแน่แล้วหรือ”
“ยายบ้าบี๋น่ะหรือ ใครได้เป็นแฟนช้ำในตายเลย” นาวินทำเป็นบ่น
ปฐวีมองเพื่อนอย่างจับผิดแล้วยิ้ม
“มองอะไร ไม่มีอะไร จีบขำๆ เล่นๆ ไม่มีอะไรเว้ย”
“ไม่มีอะไร งั้นชั้นจีบ” ปฐวีบอก
นาวินแกล้งต่อยปฐวี ปฐวีหลบ
“โหยเล่นแรงนี่หว่า” ปฐวีบ่น
“เออสิวะ มาเลย”
ปฐวีหัวเราะแล้วกอดคอเพื่อนขำๆ
สุดนภามองปฐวีกับนาวินแล้วหัวเราะ
“แกดูสิหยง สองคนนั่นยังกะคู่เกย์แน่ะ”
สุดนภาหันมาเห็นเมรินมองปฐวีแล้วยิ้ม
“แกหลงรักหมอวีรึเปล่า” สุดนภา
ตันหยงตั้งตัวไม่ทันจึงทำหน้าเหรอ
ตันหยงเขิน “บ้า” ตันหยงหน้าเศร้าลง “แล้วถ้าใช่ล่ะ จะผิด หรือว่าบาปมากมั้ย”
“ไม่ผิด และไม่บาป แต่ว่าแกอกหักแน่นอน”
ตันหยงงง “ทำไมล่ะ ชั้นไม่มีคุณสมบัติหรือ”
“ถ้าแกเป็นตันหยงล่ะก็ ชั้นให้เอ แต่ตอนนี้แกเป็นน้องเมย์ เข้าใจหรือเปล่า”
ตันหยงชะงักแล้วหน้าเสีย เธอหันไปคว้าแก้วค๊อกเทลของสุดนภาขึ้นมาดื่มรวดเดียว สุดนภาร้องจ๊าก
“นั่นมันของชั้น”
“รู้แล้ว”
ตันหยงพูดจบก็ทำหน้าขม เธอสำลักแล้วไอ
“อี๋...ทำไมมันขมชะมัดเลย”
“หาเรื่องแล้วมั้ยแก”
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 9 (ต่อ)
เมรินอยู่ในสภาพตัวลายพร้อย ขณะที่ปฐวีกำลังทาคาลาไมน์ให้ เมรินบิดไปบิดมาด้วยความอาย
“ไม่ต้องแล้วค่ะ เดี๋ยวเมทาเอง” เมรินบอก
“จะอายน้าวีทำไม อยู่เฉยๆเลย อย่างนี้มันต้องตีซ้ำให้เข็ด เป็นเด็กริอ่านดื่มแอลกอฮอล์”
สุดนภาที่ยืนอยู่ด้านข้างทนไม่ไหวรีบคว้าขวดยาจากมือปฐวีมาถือไว้
“คุณวีคะ เดี๋ยวบี๋ทาให้เองดีกว่า”
“ไม่เป็นไรครับ” ปฐวีดุเมริน “เป็นไง แพ้จนผื่นแดงเต็มตัวไปหมด”
เมรินโมโหจนลืมตัวที่โดนดุ “เมื่อก่อนกินมากกว่านี้ยังไม่เป็นอะไรเลย”
ปฐวีชะงักแล้วมองนิ่ง “น้องเมย์เคยกินที่ไหน”
สุดนภากับเมรินมองหน้ากัน สุดนภารีบแก้ตัว
“น้องเมย์หมายถึงในช๊อคโกแลตใช่มั้ยคะ หรือว่าในฟรุตเค้ก”
เมรินงอน “นั่นแหละค่ะ”
“งั้นก็แล้วไป ที่หลังอย่าทำอีกแล้วกัน คราวหน้าน้าวีจะแถมไม้เรียวให้ด้วย”
เมรินงอน ปฐวีเดินออกไป
สุดนภามองหน้าเมรินแล้วถอนหายใจเฮือก
“โอ๊ย ชั้นจะบ้าตาย”
พิรามกำลังอ่านหนังสือให้ร่างของตันหยงที่นอนบนเตียงในโรงพยาบาล หนึ่งฤทัยเดินเข้ามา พอเห็นพิราม หนึ่งฤทัยก็ยิ้ม
“อ่านหนังสือให้คุณตันหยงฟังหรือคะ”
พิรามเขิน “ครับ หมอปฐวีเคยบอกว่า ถ้าทำแบบนี้ หยงอาจจะรับรู้ได้”
หนึ่งฤทัยชะงัก “เอ่อ คุณพิรามเจอหมอวีบ่อยหรือคะ”
“ก็บ่อยนะครับ เกือบทุกครั้งที่มา” พิรามนิ่งคิด “จนผมรู้สึกว่าหมอปฐวีเอาใจใส่ดูแลคู่หมั้นของผมเป็นพิเศษ เพิ่งนึกได้ว่าหมอวีรู้จักกับบี๋นี่เอง ผมคงคิดไปเอง”
หนึ่งฤทัยเปลี่ยนเรื่อง “คุณพิรามนี่น่ารักจังเลย เอาดอกไม้มาเยี่ยมคู่หมั้นทุกวัน”
พิรามมองดอกไม้ของปฐวีบนโต๊ะ
“อ้าว นั่นไม่ใช่ดอกไม้ของทางโรงพยาบาลหรอกหรือครับ”
หนึ่งฤทัยแปลกใจ ทั้งสองมองหน้ากัน หนึ่งฤทัยหน้าจ๋อย
จริญทิพย์ กำลังเก็บแฟ้มบนโต๊ะปฐวี จริญทิพย์หันไปมองแจกันดอกไม้ของปฐวีที่เริ่มเหี่ยวจึงหยิบขึ้นมาเพื่อจะเอาไปเปลี่ยน หนึ่งฤทัยเปิดประตูพรวดเข้ามา จริญทิพย์ตกใจทำให้แจกันเกือบหล่น
“แหม คุณหมอหนึ่งก็ มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลย เกือบหล่นแล้วเชียว”
หนึ่งฤทัยมองแจกันดอกไม้นิ่ง เธอนึกถึงดอกไม้ในห้องตันหยงซึ่งเป็นดอกเดียวกันกับที่อยู่ในห้องปฐวี หนึ่งฤทัยตะลึง
“ยู้ฮู หมอหนึ่งมีอะไรคะ”
“เอ่อ..หนึ่งอยากทราบว่า หมอวีพักที่ไหนหรือคะ”
จริญทิพย์หันไปค้นเอกสารขึ้นมา
“อ๋อ...ที่นี่คะ” จริญทิพย์ส่งกระดาษให้ “คุณหมอหนึ่งจะตามแจมหรือคะ” จริญทิพย์เขิน “แหมทิพย์อยากไปด้วยจัง”
หนึ่งฤทัยหายตัวออกจากห้องไปแล้ว
“อ้าว อะไรกันล่ะนี่ ไปซะแล้ว ไปมาไร้ร่องรอยอีกแล้วจะชวนซักคำก็ไม่มี แหมมันน่าน้อยใจจริงเชียว”
จริญทิพย์ทำหน้าเซ็ง
พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ปฐวียืนกอดอกใช้ความคิดอยู่ที่ริมทะเล
เมรินกับสุดนภาเดินเล่นอยู่ริมชายหาด สุดนภาเดินบ่น
“ไม่น่าเล๊ย กินเข้าไปได้ยังไง ลืมเหรอว่าอยู่ในร่างเด็ก อดเล่นน้ำทะเลเลยเห็นมั้ย”
“ชั้นก็ไม่ได้อยากจะเล่นหรอก”
สุดนภาสะกิดเมริน
“น้าวีแกอยู่ตรงนั้น ไม่เข้าไปหาเหรอ”
เมรินลังเล “มาทำเป็นดุฉัน ไม่อยากคุยด้วยแล้ว”
เมรินงอนจึงเมินหน้าหนี สุดนภามองปฐวีแล้วชะงัก
“อยากคุยก็ไม่ทันแล้ว หมดเวลา” สุดนภาบอก
เมรินชะงักมองหน้าสุดนภา สุดนภาพยักเพยิดให้เพื่อนดูเอง หนึ่งฤทัยเดินเข้ามาหาปฐวี
“วีคะ”
ปฐวียิ้มแล้วเดินไปรับ
“หนึ่งจะมา ทำไมไม่โทรบอกก่อนล่ะครับ” ปฐวีถาม
“หนึ่งอยากมาเซอร์ไพสวีไงคะ”
ทั้งสองยิ้มแย้มให้กันแล้วชวนกันเดินชื่นชมทะเล ปฐวีถามไถ่หนึ่งฤทัยในเรื่องต่างๆ เมรินอึ้ง สุดนภามองแล้วส่ายหน้า
ประภัสสรกับเมธีนั่งคุยกันชื่นมื่นอยู่ที่โต๊ะอาหารบาร์บีคิวริมทะเล สุดนภากับนาวินเดินชี้ชวนกันชิมอาหาร สุดนภาป้อนอาหารให้นาวิน นาวินชิมแล้วชอบใจ ทั้งคู่หัวเราะกันคิกคัก สุดนภาป้อนอีก นาวินอ้าปากรับ
ปฐวีกับหนึ่งฤทัยช่วยกับปิ้งบาร์บีคิว หนึ่งฤทัยจับกุ้งแล้วร้อนจึงทำหล่น ปฐวีรีบเอาผ้ามาเช็ดให้ หนึ่งฤทัยมองปฐวี แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มให้กัน
เมรินนั่งอยู่ที่โต๊ะมองทุกคนอย่างเซ็งๆ เธอเกาตัวยุกยิกเพราะแพ้แอลกอฮอล์
“จะมีอะไรน่าเบื่อกว่านี้อีกมั้ยเนี่ย ชีวิตชั้น”
เมรินนั่งเท้าคางอย่างเบื่อหน่าย
หนึ่งฤทัยกับปฐวีเดินคุยกันอยู่ที่ริมหาด ปฐวีเดินคิด หนึ่งฤทัยแอบมอง
“วีคิดอะไรอยู่คะ เบื่อหรือเปล่า”
“เปล่าครับ ผมดีใจนะ ที่หนึ่งมาด้วย”
“งั้นหรือคะ ดีใจจัง หนึ่งคิดว่าหมอวีกำลังคิดถึงสาวไหนอยู่หรือเปล่าน๊า”
ปฐวียิ้มเจื่อนก่อนจะเมินหน้ามองไปทางอื่น หนึ่งฤทัยมองอย่างสังเกต
เมรินยืนชะเง้อคอมองอยู่ที่บ้านพัก
“ทำไมน้าวียังไม่กลับมาอีกนะ มีความสุขล่ะสิ”
เสียงประภัสสรดังขึ้น “น้องเมย์ บ่นอะไรคะ”
ประภัสสรกับเมธีเดินจูงมือกันเข้ามา
“เปล่าค่ะ น้องเมย์เหนียวตัว อยากอาบน้ำ” เมรินบอก
“งั้นกลับห้องดีกว่า เดี๋ยวพ่อกับแม่ไปส่งนะคะ”
เมรินมองไปทางหนึ่งฤทัยกับปฐวีอีกครั้งแล้วถอนหายใจ
เมรินพูดเศร้าๆ “ก็ได้ค่ะ”
เมธีกับประภัสสรเดินมาส่งเมรินที่หน้าห้อง เมรินทำรีรอไม่ยอมเข้า
“ไปอยู่ห้องแม่ก่อนมั้ยคะ” ประภัสสรถาม
“ไม่ต้องหรอกค่ะ น้องเมย์อยู่ได้ เดี๋ยวครูบี๋ก็มา”
“แน่ใจนะว่าอยู่ได้”
“แน่ใจสิคะ เมย์โตแล้วค่ะ”
เมธีกับประภัสสรมองหน้ากัน
เมธีแซว “จะรีบโตไปไหน อยู่เป็นลูกสาวพ่อกับแม่แบบนี้ไปนานๆก็ได้”
เมรินงอน “คุณพ่อก็”
เมรินงอนจึงเข้าห้องไป ประภัสสรกับเมธีหัวเราะให้กัน
“คุณก็ ล้อลูกอีกแล้ว”
“จะว่าไป ผมรู้สึกว่า บางทีน้องเมย์ก็ดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่ เพียงแต่งอยู่ในร่างเด็กน้อยเท่านั้นเอง” เมธีบอก
ประภัสสรกับเมธียิ้มให้กัน
เมรินเข้าห้องมาแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่เตียงอย่างเซ็งๆ เธอนึกถึงตอนที่ปฐวีบอกว่าไม่ได้เป็นแฟนกับหนึ่งฤทัย
“น้าวีชอบหมอหนึ่งรึเปล่านะ”
เมรินลุกพรวดขึ้นแล้ววิ่งออกไปที่ระเบียง
เมรินเห็นหนึ่งฤทัยกับปฐวียืนคุยกันที่ริมชายหาดไกลๆ เมรินจ๋อยและเศร้าลง
เมรินเอามือถูบริเวณหัวใจ “เฮ่อ เจ็บจัง”
หนึ่งฤทัยกับปฐวีเดินผ่านหน้าสุดนภากับนาวินไป สุดนภาสะกิดนาวิน
“ถามจริงเหอะ หมอหนึ่งนี่เป็นแฟนหมอวีหรือเปล่า”
“ให้ตอบจริงๆใช่มั้ย” นาวินถามกลับ
“กวนอีกแล้ว เดี๋ยวเหอะ”
“ตอบก็ได้ หมอหนึ่งน่ะมีใจให้ไอ้วีแน่นอน แต่ไอ้วีน่ะ ท่าจะยาก คงยังไม่ลืมผู้หญิงคนนั้นหรอก”
สุดนภางง “ผู้หญิงคนไหน”
“อ้าว คุณดูไม่ออกหรือ คุณตันหยงเพื่อนคุณนั่นแหละ”
สุดนภาอ้าปากค้าง “ว่าไงนะ” สุดนภางง “อย่ามาอำนะ ชั้นซ้อมคุณแน่เลย”
“คุณนี่ประหลาด พูดจริงก็ซ้อม อำก็บ่น ข้าพเจ้าขอสาบานว่าที่พูดมานี่เป็นจริงทุกคำพูด”
สุดนภาลุกพรวดแล้ววิ่งออกไปทันที
“เฮ้ย....จะไปไหน”
นาวินวิ่งตามสุดนภาไป
สุดนภาวิ่งหน้าเริ่ดมาที่หน้าห้องตัวเอง นาวินวิ่งตามมาจนทัน
นาวินหอบ “เดี๋ยวก่อน จะไปไหน”
สุดนภาหอบ “ง่วง จะรีบนอน”
“ไม่ได้ อยู่ๆจะง่วงแบบนี้ไม่ได้”
“นี่” สุดนภาดันตัวนาวินออก “คุณไปหาเพื่อนคุณไป๊ หมอวีน่ะ”
“ก็หมอหนึ่งอยู่ แล้วผมจะไปอยู่กับเค้าได้ไงเล่า”
“แล้วจะมาอยู่กับชั้นได้ไง ชั้นจะนอนแล้ว”
สุดนภาไม่ฟังเสียงรีบเปิดเข้าไปในห้อง นาวินมาขวางไว้แล้วทำหน้าตาจริงจังมาก
“เดี๋ยวก่อน ผมมีอะไรจะบอกคุณ”
สุดนภาชะงักมองหน้านาวิน สุดนภาเริ่มระแวงว่านาวินจะบอกรักหรือเปล่า
“อะไร”
“ราตรีสวัสดิ์ นอนหลับฝันดีนะ”
นาวินยิ้มให้สุดนภาแล้วเดินไป สุดนภาถอนหายใจเฮือก
“ตาบ้า ทำเอาตกอกตกใจหมดเลย”
สุดนภารีบเข้าห้องไป
เมรินนอนหันหลังให้สุดนภา เมรินปากคว่ำ สุดนภาวิ่งเข้ามาหา
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ชั้นรู้ว่าแกยังไม่หลับหยง เร็วเข้า”
เมรินแกล้งเงียบ สุดนภาทนไม่ไหวจึงลากผ้าห่มออกแล้วดึงมือเมริน เมรินลุกขึ้นนั่ง
“อะไรของแกอีก”
“ชั้นมีเรื่องจะบอกแก ตั้งใจฟังนะ คุณนาวินเค้าบอกชั้นเมื่อกี้นี้เอง ว่าหมอวี มีผู้หญิงที่ชอบอยู่แล้ว”
เมรินเซ็ง “แล้วไงล่ะ ชั้นรู้แล้ว”
“อ้าว รู้แล้วเหรอ”
“ไม่ต้องบอกชั้นก็เห็นอยู่เต็มสองตานั่นแหละ หมอหนึ่งนั่นไง”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่หมอหนึ่ง คนที่หมอวีชอบอยู่คือ ตันหยง แกรู้จักมั้ย”
ตันหยงตะลึงก่อนจะหันมามองหน้าสุดนภา สุดนภาพยักหน้า ตันหยงอึ้ง
ปฐวีกับหนึ่งฤทัยกำลังเดินคุยกันมา ปฐวีล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาจามฟืด หนึ่งฤทัยมองแล้วยิ้ม
“ว๊า คราวนี้หมอจะกลายเป็นคนไข้แล้วมั๊ง”
ปฐวียิ้ม “สงสัยจะจริงแล้วล่ะ วันนี้ตากแดดโต้ลมทั้งวัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนึ่งมียามาด้วย เดี๋ยวหนึ่งหยิบให้นะคะ”
“ของผมก็ติดมา” ปฐวีขำ “อ่อนแอซะแล้ว ตลกจังเลย”
“หมอก็เป็นคนปรกตินี่คะวี ป่วยได้เหมือนคนทั่วไปนั่นแหละค่ะ”
ปฐวียิ้มให้หนึ่งฤทัย
เมรินเดินไปเดินมาด้วยความกังวลใจ สุดนภานั่งมองเมรินแล้วส่ายหน้า
“เลิกเดินได้แล้ว ชั้นเห็นแล้วเวียนหัว”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เมรินกับสุดนภามองหน้ากัน
“แกไปเปิด เผื่อเป็นน้าวีของแกจะได้คุยกันไง”
เมรินวิตกจึงส่ายหัวแล้วดึงสุดนภาให้ลุก ทั้งสองเกี่ยงกัน สุดท้ายทั้งสองก็ไปเปิดพร้อมกัน
นาวินโผล่เข้ามา สุดนภากับเมรินตกใจก่อนถอนหายใจเฮือก
“อะไรกัน เห็นหน้าแล้วถอนหายใจ หมายความว่าไงเนี่ย” นาวินถาม
“มีอะไรว่าไป ไม่ต้องเข้ามานะ นี่ห้องผู้หญิงผู้ชายห้ามเข้า” สุดนภาบอก
นาวินชะงักแล้วจาม
“ผมมาขอยากินหน่อยสงสัยจะเป็นหวัด ปวดหัวรุมๆด้วย ลองจับดูสิ”
นาวินคว้ามือสุดนภามาอังหน้าผากตัวเอง สุดนภาหัวเราะ
“สมน้ำหน้า วิ่งเล่นทั้งวัน ไม่ป่วยก็แปลกแล้ว รอตรงนี้เดี๋ยวชั้นหยิบให้”
นาวินค้อนสุดนภา สุดนภาเดินไปหยิบยามาส่งให้ นาวินไม่ยอมรับ
เมรินเดินออกมาที่หน้าประตู แล้วมองหาปฐวี เมรินเห็นปฐวีกับหนึ่งฤทัยยืนอยู่ที่หน้าห้องหนึ่งฤทัย ทุกคนหันไปเห็น นาวินจุ๊ปากให้เงียบๆ หนึ่งฤทัยจูบแก้มปฐวี เมรินอ้าปากค้าง ทั้งสามเห็นพร้อมกัน สุดนภามองหน้าเมริน
“หยง”
เมรินวิ่งพรวดกลับเข้าไปในห้องแล้วกระโดดขึ้นเตียงแล้วชักผ้าห่มคลุมโปงทันที สุดนภามองนาวินโกรธๆ
“เพราะนายคนเดียวหาเรื่องมาเคาะห้อง หาช็อตเด็ดให้ชั้นจริงๆ ไปได้แล้ว”
“อ้าว อยู่ๆก็เป็นอะไรล่ะเนี่ย ป่วยหนักกว่าผมอีกนะเนี่ย” นาวินแตะหน้าผากสุดนภา
สุดนภาผลักนาวินออกไปจากห้องแล้วปิดประตู นาวินยืนมองยาในมืออย่างงงๆ ปฐวีเดินมา นาวินหันไปมอง ปฐวียิ้มแล้วทักนาวิน
“มาทำอะไรหน้าห้องหลานชั้น” ปฐวีถาม
“มาขอยาคุณบี๋กิน ปวดหัว” นาวินบอก
“อ้าว ยาชั้นก็มี ทำไมไม่หยิบกินวะ”
“ยาแกมันไม่อร่อย กินแล้วติดคอ”
“ยาของคุณบี๋อร่อยกว่าว่างั้นเหอะ...”
นาวินพยักหน้าแล้วยิ้มให้ปฐวี ปฐวีส่ายหน้า
หนึ่งฤทัยที่อยู่ในห้องหยิบเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า หนึ่งฤทัยนิ่งคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา
ปฐวีเดินมาส่งหนึ่งฤทัยที่หน้าห้อง
“ฝันดีนะครับ”
“ค่ะ ฝันดีเช่นกันนะคะ”
หนึ่งฤทัยเขย่งตัวขึ้นจุ๊บแก้มปฐวี ปฐวีมองหน้าหนึ่งฤทัยแล้วยิ้มเขิน
หนึ่งฤทัยคิดถึงเหตุการณ์นั้นแล้วก็พูดขึ้นมา
“หนึ่งรักคุณค่ะวี”
หนึ่งฤทัยทำหน้ามุ่งมั่นมาก
เมรินนอนคลุมโปงร้องไห้เงียบๆ สุดนภานั่งมองด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“หยง แกเป็นอะไร บอกชั้นมาเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย ชั้นเป็นห่วงนะ”
เมรินลุกขึ้นเช็ดน้ำตา
“บี๋ ชั้นอึดอัดใจจริงๆ ชั้นอยากกลับไปเป็นตัวเอง อยากกลับคืนร่างเดิม ชั้นไม่รู้ต้องทำยังไง”
“ชั้นเข้าใจหยง ชั้นเข้าใจแก ใจเย็นๆนะ”
สุดนภาลูบไหล่เพื่อปลอบตันหยง
“อยู่ต่อไปก็กลัวหมอวีจะรู้ความจริง กลัวเค้าจะโกรธจะเกลียดชั้น กลัวเค้าจะคิดว่า ชั้นหลอกลวงเค้า แกเข้าใจมั้ย บี๋ ชั้นไม่รู้จะทำยังไง ชั้นไม่รู้ว่าชั้น ต้องทำยังไง”
เมรินร้องไห้ สุดนภากอดด้วยความสงสารเพื่อน
ปฐวียืนอยู่ริมหน้าต่างแล้วคิดถึงหนึ่งฤทัย
ปฐวีนึกถึงตอนที่หนึ่งฤทัยคุยกับเขาที่ริมทะเล ในขณะที่เมรินนั่งง่อย
ปฐวีส่ายหน้า นาวินยืนมองปฐวีแล้วหัวเราะ
“ไงล่ะ คิดหนักหรือไงเจ้าวี คิดถึงหมอหนึ่งใช่มั้ยล่ะ จะว่าไปหมอหนึ่งก็โพรไฟล์ใช้ได้เชียวแหละ แกไม่หวั่นไหวบ้างหรือ”
ปฐวียิ้ม “ไอ้บ้า ชั้นกำลังคิดถึงน้องเมย์ต่างหาก ดูแกแปลกๆไป”
“งั้นแกบ้าจริงแล้วไอ้วี มีสาวมาหาถึงที่นี่ ดันคิดถึงหลานสาว ไปเช็คสมองตัวเองบ้างไป๊ คุณหมอ”
“ชั้นไม่โชคดีเหมือนแกนี่หว่า มีคุณบี๋อยู่ใกล้ตลอด”
“ข้อนั้นแกต้องทำใจ ใครใช้ให้แกขี้เหร่กว่าชั้นล่ะวะ”
ปฐวีขำ นาวินถามหน้าตาย
“ถามจริงๆนะ แกยังไม่ลืมคุณตันหยงใช่มั้ย”
ปฐวีนิ่งไม่ตอบ
“ถึงแกไม่ตอบ ชั้นก็รู้ เจ้าวี เรื่องบางเรื่องน่ะเราฝืนพรหมลิขิตไม่ได้หรอก”
นาวินเดินไปล้มตัวลงนอน ปฐวีถอนหายใจยาว
ปรางค์ทิพย์นั่งหน้าเครียดอยู่ที่หน้ากระจก
“ป่านนี้ทำไมยังไม่กลับนะ มัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหนเนี่ย”
ปรางค์ทิพย์ถอดเครื่องประดับเก็บใส่กล่องด้วยสีหน้าเครียด
ปรงแก้วกับปรงขวัญนั่งดื่มนมอยู่ในบ้าน โดยมีบุญศรีคอยดูแลอยู่ ปรางค์ทิพย์เดินลงมาจากบันไดด้วยหน้าตาหงุดหงิด
“บุญศรี คุณสรรโทรมารึเปล่า” ปรางค์ทิพย์ถาม
“โทรเรื่องอะไรคะ”
“ก็โทรว่าจะกลับมากี่โมง”
“ศรีไม่ทราบค่ะ คุณสรรไม่ได้โทรมาบอกนะคะ”
ปรางค์ทิพย์มองหน้าบุญศรีแบบจับผิด แต่บุญศรีไม่รู้เรื่อง ปรางค์ทิพย์หน้าเครียด เธอหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาเสกสรร
โทรศัพท์ของเสกสรรดังขึ้น เสกสรรหยิบขึ้นมาดูพอเป็นปรางค์ทิพย์ เสกสรรก็กดตัดสายทิ้งแล้วปิดเครื่อง ปรางค์ทิพย์มองโทรศัพท์ตัวเอง
“ปิดเครื่องเลยหรือ หนอยแน่ะ ทำอะไรอยู่ ทำไมต้องปิดเครื่องด้วย”
ปรางค์ทิพย์เดินวนไปวนมาด้วยความหงุดหงิด
ปรงแก้วกับปรงขวัญดื่มนมเสร็จก็ลุกขึ้นมาเกาะแขนปรางค์ทิพย์ ปรางค์ทิพย์ชะงัก
“คุณแม่ขา หนูดื่มนมเสร็จแล้วค่ะ”
“เสร็จแล้วก็ไปนอนสิ”
“คุณแม่ขา คุณแม่ช่วยส่งหนูเข้านอนได้มั้ยคะ”
“อ่านนิทานให้หนูฟังด้วยนะคะคุณแม่”
ปรางค์ทิพย์หงุดหงิด เธอคว้าหนังสือนิทานในมือลูกมาขว้างทิ้ง
“อย่าเรื่องมากนักเลย ไม่เห็นหรือไงว่าชั้นยุ่งอยู่”
ปรงแก้วกับปรงค์ขวัญมองหน้ากันจ๋อยๆ แล้วค่อยๆ เดินจูงมือกันไปนอนเงียบๆ ปรางค์ทิพย์มองตามแล้วหยิบโทรศัพท์มากดโทรออกอีก
“ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์ มีอะไรปิดบังชั้นงั้นหรือ คุณสรร”
ปรางค์ทิพย์แค้นจึงขว้างโทรศัพท์ทิ้งแล้วนั่งลงกุมขมับปวดหัว
ที่โต๊ะเลขาเสกสรร เลขารับสายโทรศัพท์
“คุณเสกสรรไม่อยู่ค่ะ ออกไปทานข้าวเดี๋ยวนี้เอง คุณปรางค์มีอะไรจะฝากไว้มั้ยคะ”
ปรางค์ทิพย์ยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในตึก
“ไม่ต้อง”
ปรางค์ทิพย์กดปิดโทรศัพท์แล้วเดินมากดลิฟต์แล้วยืนรอ ปรางค์ทิพย์จะเดินเข้าไปแต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นเอกวิ่งออกมาหน้าลิฟต์
“พ่อครับ เร็วสิครับ เอกหิว” เอกพูด
เสกสรรเดินออกมาจากลิฟต์แล้วก้มลงพูดกับเอก
“มาแล้วครับ รอคุณแม่แป๊บนึงนะ”
ริสาเดินออกจากลิฟต์มาจับมือเอกกับเสกสรร
ปรางค์ทิพย์ตะลึง
ปรางค์ทิพย์ตะลึง
“คุณเสกสรร”
เสกสรรชะงัก “คุณปรางค์”
ปรางค์ทิพย์มองหน้าริสา ปรางค์ทิพย์เลื่อนสายตาไปดูกระเป๋าแบรนด์เนม รองเท้า นาฬิกาข้อมือของริสาที่เหมือนของเธอไม่มีผิด
“นังนี่เป็นใคร”
เสกสรรอึกอัก ปรางค์ทิพย์ชะงัก
“แกไอ้คนทรยศ แกกล้าเอาเงินของชั้นมาให้มันหรือ” ปรางค์ทิพย์ด่า
ปรางค์ทิพย์กระโดดเข้าตบริสาพัลวัล
เสกสรรเข้ามาห้ามก็โดนปรางค์ทิพย์ตบด้วย เสกสรรยื้อปรางค์ทิพย์ไว้
“หยุดซะที อายคนอื่นบ้างสิคุณปรางค์”
“ชั้นไม่อาย ไอ้คนขี้โกง ไอ้คนทุเรศ”
ปรางค์ทิพย์ตบเสกสรร เสกสรรโมโหจึงผลักปรางค์ทิพย์กระเด็นไปที่พื้น
“นี่แกกล้าทำชั้นหรือ........... ไอ้คนชั่ว ไอ้คนเลว” ปรางค์ทิพย์ด่า
“งั้นก็เชิญคุณสาธยายให้พอ แล้วเราค่อยคุยกัน” เสกสรรบอก
เสกสรรกวาดต้อนริสากับเอกให้เดินออกไป คนมากมายมามุงดูและวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ ปรางค์ทิพย์มองตามด้วยความแค้นจนน้ำตาไหล
ปรางค์ทิพย์เดินเข้าบ้านอย่างหมดแรง หัวหูของเธอยุ่งไปหมด บุญศรี ปรงแก้วและปรงขวัญนั่งเล่นตุ๊กตาอยู่ พอเห็นปรางค์ทิพย์เดินเข้ามาก็กลัวจนลนลาน
“แม่ขา แก้วจะไปทำแบบฝึกหัดเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
“ขวัญกำลังจะเก็บแล้วค่ะคุณแม่ อย่าโกรธขวัญนะคะ”
ปรางค์ทิพย์ไม่สนใจใคร เธอเดินมานั่งหมดแรง บุญศรีเห็นท่าทางของปรางค์ทิพย์ก็ตกใจ
“คุณปรางค์เจ้าขา เป็นอะไรไปคะ ทำไมถึงได้”
ปรางค์ทิพย์นิ่งไม่ตอบ ปรงแก้วกับปรงขวัญขยับจะวิ่งเข้ามาหาแม่ แต่บุญศรีรีบดึงไว้
“อย่าค่ะคุณแก้วคุณขวัญ” บุญศรีกระซิบ “คุณแม่อารมณ์ไม่ดี ขึ้นไปข้างบนก่อนเถอะนะคะ”
ปรงแก้วกับปรงขวัญมองแม่ตัวเองอย่างกลัวๆ แล้วค่อยๆ เดินเลี่ยงขึ้นไปข้างบนกับบุญศรี ปรางค์ทิพย์มองดูรูปครอบครัวของตัวเองตรงหน้า
“คุณสรร คุณทำแบบนี้กับชั้นได้ยังไง”
ปรางค์ทิพย์ซบหน้าลงกับฝ่ามือเหมือนจะร้องไห้ แล้วปรางค์ทิพย์ก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างเคียดแค้น
“ไม่ ชั้นต้องไม่ร้องไห้ ชั้นจะไม่แพ้ ไม่แพ้นังภัสเด็ดขาด”
ปรางค์ทิพย์นั่งนิ่งพยายามจะไม่ร้องไห้อยู่อย่างโดดเดี่ยว
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 9 (ต่อ)
ปรงทองนั่งคุยกับแม้นวาด
“เจ้าเมย์ไม่อยู่ซะคน บ้านเงียบเชียบพิลึก” ปรงทองว่า
“โธ่ คุณหญิงก็น่าจะไปเที่ยวพักผ่อนบ้างนะคะ” แม้นวาดบอก
“ชั้นมันแก่แล้วเห็นอะไรมาก็มาก ปล่อยให้หนุ่มสาวๆเค้าเที่ยวกันน่ะดีแล้ว จะได้ไม่ต้องกังวลกับคนแก่อย่างชั้น”
“อิชั้นว่า ที่คุณท่านไม่ยอมไปเที่ยว เป็นเพราะคุณท่านเป็นห่วงคนที่อยู่มากกว่าใช่มั๊ยคะ”
“หล่อนนี้ช่างรู้ใจชั้นจริงๆนะแม่วาด”
“ในครัวโจษกันให้แซดว่า คุณสรรไม่กลับบ้านมาหลายคืนแล้ว อิชั้นหวั่นใจเหลือเกิน”
“หวั่นใจเรื่องอะไร”
“คุณท่านคะ นิสัยคุณปรางค์น่ะ ผิดพี่ผิดน้อง เฮ่อ”
ปรงทองถอนหายใจ “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราห้ามมันไม่ได้หรอกแม่วาด ถึงจะห่วงเท่าไหร่ก็เถอะ”
“อิชั้นก็คิดอย่างนั้นแหล่ะค่ะ”
“แม่ภัสน่ะชั้นหมดห่วงแล้ว เหลือแต่เจ้าวีอีกคน ชอบคิดอะไรเงียบๆ เดาใจยากเหลือเกิน”
ปรงทองวิตก แม้นวาดมองอย่างเห็นใจ
ประภัสสร เมธีและเมรินนั่งอยู่ในห้องอาหาร เมรินชะเง้อมองที่ประตู
“มองหาใครคะน้องเมย์” ประภัสสรถาม
“เปล่าค่ะ”
เมธีล้อ “มองหาน้าวีใช่มั๊ย ไม่ต้องห่วง ลงมาตั้งแต่เช้าแล้ว เห็นว่าไปเดินเล่นกับหมอหนึ่ง คนมีความรักก็แบบนี้”
“คุณนี่ก็พูดอะไรไม่รู้”
“อ้าว ผมพูดความจริงนี่นา”
ประภัสสรค้อนเมธี ส่วนเมรินจ๋อยไป
ปฐวีกับหนึ่งฤทัยเดินเล่นริมชายหาด
“เสียดายจังเลย วันนี้ต้องกลับแล้ว” หนึ่งฤทัยบอก
“หนึ่งก็หาเวลาพักผ่อนบ้างสิครับ”
“วีนั่นแหล่ะค่ะ ไม่ค่อยยอมพัก คราวหน้าวีต้องพาหนึ่งมาเที่ยวอีกนะคะ”
ปฐวียิ้ม “ได้ครับ”
หนึ่งฤทัยยิ้มปลื้มใจ เธอเดินตามปฐวีไปแล้วสะดุด เท้าของหนึ่งฤทัยถูกเปลือกหอยบาดจนเลือดไหล
“ตายจริง หนึ่งซุ่มซ่ามไม่เข้าเรื่อง โดยเปลือกหอยบาดซะได้”
ปฐวีรีบเข้าไปประคอง
“ไม่เป็นไรครับ เอาผ้าอุดไว้ก่อน แผลเล็กแค่นี้ คงไม่ต้องเย็บหรอกครับ”
“ค่ะ แต่มันเจ็บนะคะ”
“งั้นผมพยุงดีกว่า”
ปฐวีพยุงหนึ่งฤทัย หนึ่งฤทัยแอบยิ้มเขินที่ได้ใกล้ชิดปฐวี
เมรินมองไปที่ประตูแล้วรีบก้มหน้า ปฐวีประคองหนึ่งฤทัยเดินเข้ามาที่โต๊ะ ประภัสสรเห็นก็รีบเข้าไปหา
“ตายจริง หมอหนึ่งเป็นอะไรไปคะ”
“หนึ่งซุ่มซ่ามเองค่ะ พี่ภัส เดินไม่ดูเลยโดนเปลือกหอยบาด” หนึ่งฤทัยบอก
ปฐวีประคองหนึ่งฤทัยให้นั่ง
“ไม่เป็นไรแล้วครับ เดี๋ยวทานยาแก้อักเสบกันซะหน่อย แต่อย่าใช้เท้าข้างนี้นะครับ เดี๋ยวจะอักเสบซ้ำ”
“แล้วหนึ่งจะขับรถกลับยังไงเนี่ย”
ปฐวีนิ่งคิด “เดี๋ยวผมขับให้เองครับ”
“ขอบคุณมากนะคะวี”
“เออจริงสิ หนึ่งจะทานอะไรเดี๋ยวผมไปตักให้” ปฐวีถาม
“อะไรก็ได้ค่ะ”
“งั้นรอผมตรงนี้นะครับ”
ปฐวีเดินออกไป เมรินมองตามอย่างเซ็งๆ
สุดนภาที่อยู่อีกโต๊ะมองด้วยความหมั่นไส้
“แค่นี้ก็ต้องให้หมอวีขับรถให้ด้วยหรือ”
“แล้วไง คุณหึงหรือไง” นาวินถาม
สุดนภาทำเสียงคำรามดุ
นาวินจ๋อย “ขอโทษคร๊าบ”
สุดนภาค้อน
ประภัสสรยิ้มเอ็นดูหนึ่งฤทัยกับปฐวี
“แหมคู่นี้เค้าน่ารักเหมือนกันนะคะ เมธี”
“ผมก็ว่างั้นแหล่ะ” เมธีหันมาหาเมริน “อ้าว ทำไมไม่ทานล่ะลูก”
“ยังไม่ค่อยหิวค่ะ” เมรินตอบ
“งั้นหรือ ไว้ค่อยแวะหาอะไรทานกลางทางก็ได้นะ แล้วคุณล่ะคุณภัส ไม่เห็นทานอะไรเลย”
“ภัสเวียนหัวน่ะคะ ไม่รู้เป็นยังไง มึนๆอยากจะนอนอย่างเดียว”
เมธีเป็นห่วงจึงเอามือแตะหน้าผากภรรยา “ผมว่าคุณคงจะป่วยซะแล้ว”
ประภัสสรยิ้ม “ดูโน่นสิคะ”
ประภัสสรกับเมธีเห็นหนึ่งฤทัยกับปฐวียิ้มแย้มให้กัน
“ถ้าคู่นี้ลงตัว ภัสก็หมดห่วง ตาวีจะได้มีแฟนสะที”
เมรินมองหนึ่งฤทัยกับปฐวีแล้วก็เศร้า เธอรู้สึกเจ็บแปล็บจนไม่อยากมอง
ตันหยงคิดในใจ “ใครๆก็มองว่าคุณเหมาะสมกัน ก็คงเหมาะสมกันจริงๆ”
สุดนภากับนาวินกำลังเดินเลือกอาหาร
สุดนภากระซิบ “แน่ใจนะ ที่คุณว่า หมอวีชอบตันหยงเพื่อนชั้น”
“แน่ใจสิ” นาวินตอบ
“งั้นคุณดูนั่นก่อน”
นาวินกับสุดนภาเห็นปฐวีกำลังประคับประคองหนึ่งฤทัย
“เอ่อ..ผมก็ชักไม่แน่ใจแล้วแฮะ ..เอาเป็นว่าขอถอนคำพูดได้มั๊ย”
“บ้าจริง”
“ก็เวลาเปลี่ยน ใจคนอาจจะเปลี่ยนได้ไง”
“แล้วเพื่อนชั้นจะรู้สึกยังไงล่ะ”
“อ้าว ก็เพื่อนคุณนอนอยู่โรงพยาบาล จะมารู้เรื่องนี้ได้ไง หรือว่าคุณจะไปเล่าให้ฟัง เค้าก็ไม่น่าจะรู้เรื่อง”
สุดนภาฉุน “พนันกันมั๊ย ว่าหยงรู้เรื่องทั้งหมด”
“อะไรของคุณเนี่ย”
สุดนภามองเห็นเมรินกำลังมองปฐวีกับหนึ่งฤทัยนิ่ง
สุดนภากับนาวินเดินเข้ามานั่ง
“อ้าวน้องเมย์ เป็นอะไรไปคะ อิ่มแล้วหรือ” สุดนภาถาม
“นั่นน่ะสิ สงสัยจะคันผื่นมั๊ง ทาแป้งตัวลายเป็นแมวน่ารักเชียว” นาวินแซว
เมรินนั่งหน้าเซ็ง สุดนภาแอบหยิกนาวิน
“คุณน่ะทานได้แล้ว จะได้รีบกลับ”
นาวินมองสุดนภาแล้วลงมือกิน ปฐวีกับหนึ่งฤทัยเดินมานั่งที่โต๊ะ หนึ่งฤทัยหันมาทักเมริน
“เป็นยังไงบ้างคะน้องเมย์ สนุกมั๊ย”
“ค่ะ ก็ดี”
เมรินก้มหน้ากินอาหารไม่พูดไม่จา สุดนภามองเมรินแล้วหันไปมองหนึ่งฤทัยกับปฐวีแล้วก็เก็ททันที สุดนภาถอนหายใจเพราะสงสารเพื่อน
เมธี ประภัสสร และเมรินยืนรออยู่ที่รถ หนึ่งฤทัย ปฐวี นาวิน และสุดนภาเดินมา
“พี่เมธีครับ ผมขอตัวไปขับรถให้หมอหนึ่งนะครับ” ปฐวีบอก
“ได้เลยวี ไม่ต้องห่วง ทางนี้พี่จัดการเอง” เมธีรับคำ
“เกรงใจจังเลยค่ะ มารบกวนแล้วยังเป็นภาระให้วีขับไปส่งอีก” หนึ่งฤทัยพูด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณหมอหนึ่ง คนกันเองแท้ๆ” ประภัสสรบอก
หนึ่งฤทัยยิ้มให้ทุกคน
เมรินเอ่ยขึ้น “น้องเมย์ขอรอในรถนะคะ”
เมรินเดินขึ้นรถไปอย่างงอนๆ ทุกคนมองตาม
“น้องเมย์เป็นอะไรไป ท่าทางอารมณ์ไม่ดีเลย” ปฐวีงง
“สงสัยจะหงุดหงิดคันแผลนั่นแหละ พี่ขอตัวก่อนนะคะ วีดูแลหมอหนึ่งด้วยล่ะ ครูบี๋ นาวิน ไปก่อนนะคะ คราวหน้ามาเที่ยวด้วยกันใหม่นะ”
“ผมยินดีมาทุกงานเลยครับ สนุกจังตังค์อยู่ครบแบบนี้ ลงชื่อก่อนได้มั๊ยเนี่ย” นาวินถาม
สุดนภาแอบหยิกนาวินแล้วหันไปยกมือไหว้ลาประภัสสรเมธี
“ขอบคุณนะคะ บ๊ายบาย”
ประภัสสรกับเมธีขึ้นรถแล้วขับออกไป ปฐวีพาหนึ่งฤทัยไปที่รถแล้วเปิดประตูให้ เมรินที่นั่งมองอยู่ในรถถอนหายใจออกมา ปฐวีปิดประตูแล้วหันมามองรถเมริน เมรินนั่งนิ่งเงียบและมองตรงไปข้างหน้าไม่ยอมหันมามองปฐวีแม้แต่น้อย
สุดนภามองตามเพื่อนแล้วถอนหายใจ
“เป็นอะไรของคุณ เอาแต่ถอนหายใจเฮือกๆ กลุ้มอะไรนักหนา” นาวินถาม
สุดนภาค้อนนาวินแล้วมีสีหน้าไม่สบายใจ
รถของเมธีแล่นเข้าบ้าน ประภัสสรกับเมธีเดินลงจากรถ เมรินเดินลงตามมาแล้วเดินดิ่งขึ้นไปบนบ้านทันที
“น้องเมย์เป็นอะไรหรือเปล่า นั่งเงียบตลอดทางเลย”
“คงจะไม่สบายตัวนั่นแหละค่ะ” ประภัสสรพูดกับสายแก้ว “ของชุดใหญ่เดี๋ยวเอาไว้บนโต๊ะก่อนนะ อันนั้นของคุณย่ากับย่าแม้น จริงสิ ภัสจะเอาของไปให้พี่ปรางค์ก่อน คุณจะไปด้วยกันมั๊ยคะ”
“ผมขอตัวนะ ขอรอภัสตรงนี้ดีกว่า” เมธีบอก
ประภัสสรมองอย่างเข้าใจ “ค่ะ เดี๋ยวภัสไปเอง”
เมธีมองประภัสสรอย่างขอบคุณ ประภัสสรมองของในมือแล้วถอนหายใจหนัก
ปรางค์ทิพย์นั่งหน้าเครียดอยู่ในบ้าน ปรงแก้วกับปรงขวัญนั่งทำแบบฝึกหัดอยู่ห่างๆ อย่างกลัวๆ ประภัสสรเดินถือของเข้ามาหาแล้วพูด
“เด็กๆ น้ามีของมาฝากค่ะ”
ปรงแก้วกับปรงขวัญรีบวิ่งมารับของแล้วกรี๊ดกร๊าด
“แก้วกับขวัญน่าจะไปด้วยนะคะ สนุกมากเลย” ประภัสสรพูดกับปรางค์ทิพย์ “พี่ปรางค์คะ ภัสซื้อขนมไทยที่พี่ปรางค์ชอบมาฝากด้วยนะคะ”
ปรางค์ทิพย์เมินหน้า ประภัสสรสังเกตเห็น
“พี่ปรางค์ไม่สบายหรือเปล่าคะ หน้าซีดจังเลย”
“ชั้นไม่ตายง่ายๆหรอกแม่ภัส”
ประภัสสรผงะ “โธ่พี่ปรางค์คะ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ”
“ขอบใจทีหลังไม่ต้องเอาของมาฝากชั้นหรอก ชั้นไม่อยากได้ของของใคร”
ประภัสสรอึ้ง “ค่ะพี่ปรางค์ เอ่อ งั้นภัสขอตัวก่อนนะคะ”
“เชิญ”
ประภัสสรเดินออกไป ปรางค์ทิพย์มองตามด้วยสีหน้าแค้น
“ไปเที่ยวกันมา มีความสุขกันมากใช่ไหม”
ปรางค์ทิพย์หันมาเห็นปรงแก้วกับปรงขวัญหยิบของออกมาดูอย่างตื่นเต้น ปรางค์ทิพย์เดินมาคว้าของจากมือลูกๆ แล้วทิ้งลงที่พื้น
“ไม่ต้องไปอยากได้ของๆมัน นังศรีเอาไปทิ้งให้หมด อย่าให้ชั้นเห็นรกลูกตา”
ปรงแก้วกับปรงขวัญตกใจ ทั้งสองรีบวิ่งไปเก็บของขึ้นมาถือไว้ในมือ ปรางค์ทิพย์เดินมาที่ประตู เธอเห็นเมธีเดินประคองประภัสสรเข้าไปในบ้าน ปรางค์ทิพย์แค้น
“แกรักกันมาใช่มั้ย...”
ปรางค์ทิพย์หันมากระชากของในมือปรงแก้วปรงขวัญโยนลงที่พื้นแล้วกระทืบซ้ำ
ปรงแก้ว ปรงขวัญร้องไห้ “คุณแม่ขา อย่าค่ะ”
บุญศรีผวาไปจับตัวปรงแก้วกับปรงขวัญไว้
“คุณปรางค์ขา ใจเย็นๆนะคะ”
ปรางค์ทิพย์กระทืบของจนเละ
ปฐวีเดินถือข้าวของของหนึ่งฤทัยเข้ามาในห้องของหนึ่งฤทัย ปฐวีวางของแล้วนั่งลงมองรอบๆ ห้อง หนึ่งฤทัยเดินกระเผลกถือแก้วน้ำมาส่งให้ปฐวี
“แผลเป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็คันๆนะคะ เจ็บนิดหน่อย”
“เดี๋ยวผมทำแผลให้อีกทีดีกว่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนึ่งจัดการเองก็ได้”
“ทำแผลเองไม่ถนัดหรอกครับ เดี๋ยวผมทำให้ดีกว่า”
ปฐวีนั่งคุกเข่าลงที่พื้นเพื่อทำแผลให้หนึ่งฤทัย
หนึ่งฤทัยมองตามแล้วยิ้มปลื้ม
“คืนนี้ทานข้าวด้วยกันนะคะ” หนึ่งฤทัยชวน
“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ”
“อย่าพูดอย่างงี้สิคะ หนึ่งอยากตอบแทนคุณจริงๆ วันนี้หนึ่งจะแสดงฝีมือทำอาหารให้วีทาน”
“ไปเที่ยวมาเหนื่อยๆ ผมอยากให้หนึ่งพักมากกว่า เท้าก็ยังเจ็บอยู่”
“โธ่ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นะคะ หนึ่งจะได้มีเพื่อนทานข้าว ตกลงนะคะ”
ปฐวีนิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม
“ตกลงครับ งั้นผมช่วยหนึ่งแล้วกันนะ”
หนึ่งฤทัยยิ้มดีใจ
นาวินขนของมาส่งสุดนภาที่หน้าห้อง สุดนภาไขกุญแจห้องแล้วทำท่าลังเลเหมือนตัดสินใจว่าจะชวนหรือไม่ชวนนาวินเข้าห้องดี นาวินทำเนียนจะเดินผ่านเข้าไป สุดนภาผลักนาวินออก
“อะไรอีกล่ะ ผมจะขนของเข้าไปให้ไง”
สุดนภาพูดจริงจัง “อย่ามาเนียน แค่นี้พอแล้ว”
สุดนภาดึงของจากมือนาวินแล้วจะเดินเข้าห้องไป
“คุณบี๋ หิวไหม เดี๋ยวผมเข้าไปทำอะไรให้กินเอาไหม” นาวินทำเป็นถาม
“อย่าดีกว่า ชั้นไม่หิว”
“ผมหิว”
“ชั้นไม่มีอาหาร”
“บะหมี่สำเร็จรูป”
“หมด”
นาวินถอนใจบ้าง “ตกลงไม่สบายใจเรื่องอะไรเนี่ย เหม็นหน้าผมเหรอ”
สุดนภามองนาวินแล้วยิ้มส่ายหัว ก่อนจะเดินเข้าห้องแล้วปิดประตู นาวินมองตามแล้วยิ้มมีความสุขที่ได้แกล้งสุดนภา
เมรินเดินไปเดินมาพร้อมกับชะเง้อคอมองหาปฐวีแต่ก็ไม่มีวี่แวว ประภัสสรเดินมามองเมรินแล้วยิ้ม
“น้องเมย์คะ ไปทานข้าวกับคุณแม่นะคะ”
“เมย์ยังไม่หิวหรอกค่ะ” เมรินบอก
“รอน้าวีรึเปล่า น้าวีไปส่งหมอหนึ่ง คงจะกลับช้าหน่อย มาทานข้าวกันเถอะ คุณพ่อรออยู่นะคะ”
ตันหยงคิดในใจ “ใช่สิ ไปส่งหมอหนึ่ง เค้าคงไม่อยากกลับเร็วหรอก...”
เมรินหงอยแล้วเดินตามประภัสสรเข้าบ้านไป
ปฐวีกับหนึ่งฤทัยยืนอยู่ที่ครัวที่มีผลไม้กับผักวางอยู่เต็มเคาท์เตอร์ หนึ่งฤทัยผสมเครื่องปรุง ปฐวียกหม้อไปเทสปาเกตตี้ออกมาใส่ที่กรอง หนึ่งฤทัยยิ้มมองปฐวีอย่างชื่นชม ปฐวีหั่นผักอย่างทะมัดทะแมง หนึ่งฤทัยปรุงอาหารในเตาแล้วตักป้อนให้ปฐวีชิม ปฐวีชิมแล้วยิ้มพยักหน้า
เวลาผ่านไป อาหารทุกอย่างเสร็จแล้วถูกนำมาวางบนโต๊ะ ปฐวีกับหนึ่งฤทัยนั่งมองอย่างชื่นชม
“หนึ่งนี่ฝีมือไม่ตกเลยนะครับ”
“วียังจำได้หรือคะ ตั้งนานแล้วนะ”
“จำได้สิครับ ตอนนั้นเรานั่งติวสอบกายวิภาคกัน แล้วหนึ่งทำอาหารให้กิน อร่อยมาก ผมทานซะพุงกางเลย ผลสุดท้ายก็หลับไม่ได้อ่านหนังสือ” ปฐวีหัวเราะ
หนึ่งฤทัยปลื้ม “หนึ่งไม่คิดเลยว่าวีจะจำได้ หนึ่งจำเรื่องสมัยเรียนได้ทุกเรื่อง จะว่าไปก็เรื่องที่เกี่ยวกับวีนั่นแหละค่ะ หนึ่งไม่เคยลืม”
ปฐวีชะงัก หนึ่งฤทัยยิ้ม
“หนึ่งยังจำได้อีกด้วย .........” หนึ่งฤทัยเริ่มเล่าย้อนไปในอดีต
ภาพในอดีตย้อนกลับมา หนึ่งฤทัยในชุดนักศึกษาถูกอาจารย์ตำหนิ ปฐวีเดินผ่านมองหนึ่งฤทัยด้วยความเห็นใจ
หนึ่งฤทัยนั่งร้องไห้ ปฐวีเดินเข้ามายื่นผ้าเช็ดหน้าให้ หนึ่งฤทัยเงยหน้าแล้วรับมาเช็ดน้ำตา ปฐวีทำท่าให้เธอสู้แล้วเดินไป หนึ่งฤทัยมองตามแล้วยิ้ม เธอก้มมองผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วยิ้มก่อนจะเงยหน้ามองตาม
หนึ่งฤทัยเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีตต่อเนื่อง
“ตอนนั้นหนึ่งคิดจะลาออกซะแล้ว แต่เพราะวี ทำให้หนึ่งอดทนจนมีวันนี้ได้”
ปฐวียิ้มจริงใจ
“ผมดีใจ ที่มีส่วนช่วยเป็นกำลังใจให้หนึ่ง ทำให้มีหมอเก่งๆ เพิ่มอีกคนนึง หนึ่งเป็นหมอที่เก่งมาก”
“แต่เก่งยังไง ก็ไม่เท่าหมอปฐวีหรอกค่ะ”
ปฐวียิ้ม
หนึ่งฤทัยเดินมาส่งปฐวีที่หน้าห้อง
“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้ออร่อยนะครับ”
“เช่นกันค่ะ หนึ่งมีความสุขมาก”
ทั้งคู่สบตากัน ปฐวีจูบที่หน้าผากหนึ่งฤทัย
“อย่าลืมทานยานะครับ”
ปฐวีเดินไป หนึ่งฤทัยยืนหลับตาพิงประตูแล้วฝันหวาน
เมรินนั่งมองสร้อยข้อมือด้วยสีหน้าเครียด เธอนึกถึงคำพูดของสุดนภาที่บอกกับเธอ
“หมอปฐวีเค้าชอบผู้หญิงที่ชื่อตันหยง”
ตันหยงนึกถึงตอนที่เห็นหนึ่งฤทัยจูบแก้มปฐวี
ตันหยงคิดในใจ“เค้าอาจจะเคยชอบ แต่ตอนนี้คงไม่ใช่แล้ว”
ตันหยงถอนหายใจเศร้า เธอมองไปทั่วห้องแล้วรู้สึกเหงามาก
“ชั้นไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ชั้นควรจะกลับไปอยู่กับครอบครัวของชั้น ชั้นต้องหาทางกลับไปเป็นตันหยงคนเดิม”
สีหน้าของเมรินมุ่งมั่นมาก
เช้าวันใหม่ ป้าแก้ว บุญศรี คนรับใช้คนอื่นๆ กำลังนั่งกินข้าวกัน บุญศรีนั่งกินข้าวด้วยสีหน้าไม่สบาย
“เป็นอะไรอีกล่ะ แม่บุญศรีทำยังกะโลกแตก” ป้าแก้วว่า
“ชั้นหนักใจจังเลยป้าแก้ว คุณปรางค์เป็นอะไรก็ไม่รู้ ซึมๆเศร้าๆ อารมณ์เหวี่ยงยังกะรถไฟเหาะตีลังกา ใครก็เข้าหน้าไม่ติด”
“อ้าว ปกติคุณปรางค์ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ แกยังไม่ชินอีกหรือ”
“ชั้นรู้อยู่หรอก แต่ช่วงหลังมานี่คุณสรรไม่ค่อยกลับบ้านเลย คุณปรางค์ยิ่งเป็นหนัก”
“เฮ้อ..เรื่องของผัวเมียเค้า ก็ต้องแก้กันเอง เราคนนอกไปยุ่งไม่ได้หรอก”
“สงสารคุณแก้วคุณขวัญ จะโดนหางเลขไปด้วยน่ะสิ” บุญศรีบอก
สายแก้วเดินถือสำรับเข้ามาในครัว
“อ้าว นังแก้ว ทำไมกับข้าวไม่แหว่งเลยวะ คุณๆไปทานข้างนอกหรือ” ป้าแก้วถาม
“เปล่าหรอกแม่ คุณภัสเธอไม่สบาย กินเหมือนแมวดม นี่สั่งให้มาบอกแม่ด้วย ต่อไปอาหารคุณภัสห้ามใส่กระเทียมเจียว เธอได้กลิ่นแล้วคลื่นไส้”
“เฮ้อ..เป็นอะไรกันไปหมดทั้งบ้านเลย คุณปรางค์ก็หงุดหงิดจนเข้าหน้าไม่ติด คุณภัสก็พลอยมาไม่สบายไปซะอีกคน เฮ้อ ข้าชักจะกลุ้มแล้วสิ” ป้าแก้วว่า
ป้าแก้ววิตก
เมธีประคองให้ประภัสสรค่อยๆนอนลง เมธีหันไปวุ่นวายกับการหายาดมมาให้ประภัสสรดม
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย ไปหาหมอกันมั้ย” เมธีถาม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นอนพักเดี๋ยวก็หาย” ประภัสสรบอก
“หมู่นี้คุณดูซูบๆไปนะ ทานอาหารไม่ค่อยได้ หรือว่าจะเป็นโรคกระเพาะ”
“ภัสไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่เวียนหัวเท่านั้นแหละค่ะ”
“งั้นผมจะอยู่ดูแลคุณนะ”
เมธีจับมือประภัสสร ประภัสสรยิ้ม ทั้งสองสบตากันอย่างมีความสุข
เมรินนั่งเครียดอยู่ริมสระน้ำ
“ชั้นควรจะทำยังไงดี บอกความจริงเค้าจะดีมั๊ย” ตันหยงคิดในใจ
ปฐวีเดินเข้ามา
“น้องเมย์ ดีจังเลยที่ยังไม่นอน”
“น้าวีกลับดึกจังเลย” เมรินว่า
ปฐวีมอง “น้องเมย์รอน้าวีเหรอ”
“ค่ะ”
ปฐวีนั่งลงข้างๆ เมรินมองหน้าปฐวีเพราะอยากสารภาพ
“น้าวีคะ”
ปฐวีหันมองเป็นเชิงถาม
เมรินอึกอัก “ถ้าน้องเมย์ทำอะไรผิดพลาด น้าวีจะยกโทษให้น้องเมย์มั้ยคะ”
“ทำผิดเรื่องอะไร น้องเมย์พูดแปลกๆ แบบนี้กับน้าวีหลายครั้งแล้วนะ”
เมรินมองหน้าปฐวีก่อนจะหลบตา
“เปล่าค่ะ เมย์แค่ถามดูเท่านั้น ดึกแล้ว เมย์ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ”
เมรินลุกขึ้นแล้วเดินไป ปฐวีมองตามแล้วเรียกเมริน เมรินหันกลับมามอง
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ถ้ารู้สึกว่าเราทำผิด ต้องยอมรับความจริง ห้ามโกหกปิดบังเด็ดขาด เข้าใจไหม”
เมรินจ๋อย
“ค่ะน้าวี เมย์เข้าใจแล้ว”
เมรินหันหลังแล้วเดินไป แล้วน้ำตาของเธอก็ไหล ปฐวีมองตามด้วยความสงสัย
เมรินเดินเข้ามาในห้องก่อนจะทุ่มตัวลงนั่งที่เตียงแล้วร้องไห้ เธอหยิบสร้อยขึ้นมาดูแล้วร้องไห้
“ชั้นขอโทษ ชั้นเองก็ไม่รู้จะทำยังไง”
ปฐวีนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิด เขามองไปบนโต๊ะ ปฐวีหยิบรูปเมรินตอนไปเที่ยววัดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ปฐวีหยิบสมุดพกของเมรินขึ้นมาดู
“น้องเมย์”
ปรงทองเคาะประตูห้องปฐวี ปฐวีลุกขึ้นไปเปิด
“คุณย่าครับ”
ปรงทองไปเที่ยวมาเป็นยังไงบ้าง
“ก็สนุกดีครับดีครับ”
ปรงทองมองปฐวีอย่างสังเกต “ย่ารู้สึกเจ้าเหมือนมีเรื่องในใจ”
“ครับ ผมบอกไม่ถูก มันเหมือนมีอะไรรบกวนจิตใจ”
“บอกแล้วไง ให้หาคู่มาช่วยคิด หมอหนึ่งก็น่ารักดีนี่ เจ้าไม่สนใจบ้างหรือ”
ปฐวีนิ่งคิด “ครับ หมอหนึ่งเป็นคนน่ารัก”
“พูดอย่างนี้ แสดงว่ายังไม่ใช่คนที่เจ้าสนใจจริงๆใช่มั๊ย หรือว่า กลัวจะมีปัญหาเหมือนพวกพี่ๆ”
ปฐวียิ้มแต่มีสีหน้าวิตก
ปรงทองสอน “วี ชีวิตเป็นของเจ้า จะคิด จะทำอะไร จงอย่าวิตก ทุกคนมีทางเดินในชีวิตของตัวเองเสมอ บางครั้ง เราต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของพรหมลิขิต ถ้าเจ้าเจอคนที่ใช่ ความรู้สึกจะบอกเจ้าเองนั่นแหละ”
ปฐวีนิ่งคิด
นาวินแบกของมาส่งสุดนภาที่หน้าห้อง สุดนภาไขกุญแจห้องแล้วทำท่าลังเลเหมือนตัดสินใจว่าจะชวนหรือไม่ชวนนาวินเข้าห้อง แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น สุดนภากดรับ
“อ้าว หยงเหรอ พรุ่งนี้เช้าเลยหรือ ก็ได้ๆ ชั้นจะรีบไป”
สุดนภาถอนใจเพราะสงสารเพื่อน