บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๑
ยายสร้อยจ้องหน้าภีร์ภูมิแล้วเอารูปปู่ฉัตร ขึ้นมาเทียบกับใบหน้าภีร์ภูมิอีก
“ทำไมคล้ายปู่ฉัตรขนาดนี้”
ภีร์ภูมิดูรูปแล้วก็อึ้งไปเหมือนกัน
“เป็นไปได้ยังไง คนเราทำไมหน้าตาเหมือนกันขนาดนี้”
ยายสร้อยนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“หรือเธอจะเป็นปู่ฉัตรของฉันกลับชาติมาเกิด”
ภีร์ภูมิ และบุษบัน อึ้งเหลียวมามองหน้ากัน เพราะคิดเช่นเดียวกับยายสร้อย!
บุษบันเล่าให้ยายสร้อยฟังต่ออีก “นอกจากเจ็บข้อมือแล้วหนูยังเคยฝันเห็นบ้านในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในบ้านมีผู้ชายคนหนึ่งแต่งชุดทหารเรียกหนูว่า ‘แม่บัว’ ทุกครั้งที่เปิดกล่องดนตรี”
ยายสร้อยงวยงง “กล่องดนตรีอะไร”
“กล่องดนตรีที่ทำให้เราสองคนพบกันครั้งแรก” ภีร์ภูมิเป็นคนบอก
บุษบันหยิบกล่องดนตรีจากกระเป๋ามาให้ยายสร้อยดู ยายสร้อยอึ้ง จ้องมองกล่องดนตรีนิ่ง
“กล่องดนตรีอันนี้เองน่ะเหรอ”
“กล่องดนตรีอันนี้ทำไมเหรอครับ” ภีร์ภูมิถามต่อ
“ปู่ฉายของฉันเคยพูดถึงกล่องดนตรีอันนี้ ท่านบอกว่าปู่ฉัตรได้มาจากรัสเซีย เป็นกล่องดนตรีที่ท่านรักมาก และมอบให้กับคนรักของท่าน” ยายสร้อยมองหน้าภีร์ภูมิกับบุษบัน “กล่องดนตรีอันนี้ก็น่าจะเป็นของเธอทั้งสองคนเมื่อชาติที่แล้วเช่นกัน”
เวลาต่อมาภีร์ภูมิเดินมาส่งบุษบันหน้าบ้าน
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าผมจะเป็นปู่ฉัตรในชาติที่แล้ว”
“ถ้าคุณเป็นปู่ฉัตรฉันก็ต้องเป็นคนรักที่เป็นบ่าวที่ถูกถ่วงน้ำไปกับคุณ”
ทั้งสองมองหน้ากัน
“ใครนะที่ใจคอโหดเหี้ยมทำเราได้ถึงขนาดนี้ อยากรู้จัง”
“อย่าไปรู้เลยค่ะ มันเป็นเรื่องของชาติที่แล้ว ตรวนทองคำอันนี้ทำให้เรากลับมาพบกันอีกในชาตินี้ และเราก็ได้พบกันแล้ว เราจะรักกันตลอดไป”
ภีร์ภูมิกับบุษบัน ส่งตาหวานซึ้ง และยิ้มให้กัน
“ผมคงเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดที่ได้รักคุณ ต้องขอขอบคุณตรวนทองทองคำ และโชคชะตาที่ทำให้เราได้มาพบกัน ผมรักคุณครับ คุณบุษ” ภีร์ภูมิพูดออกมาจากใจ
บุษบันยิ้มเขินๆ
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
บุษบันเปิดประตูเข้าบ้านไป
“แล้วเจอกันนะครับ”
บุษบันหันมายิ้มให้อีกครั้ง ภีร์ภูมิส่งยิ้มให้บุษบัน และมองตามจนบุษบันเข้าบ้าน
ขณะที่บุษบันเดินเข้ามาในบ้าน เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น บุษบันชะงักแล้วยิ้ม เดินออกมาหน้าบ้าน มาเปิดประตู บุษบันคิดว่าภีร์ภูมิย้อนกลับมา
“ลืมอะไรเหรอคะ”
บุษบันเงยหน้าขึ้นมา เห็นเป็นพิมพิลาสยืนอยู่ พิมพิลาสหน้านิ่งไม่เป็นมิตรเสียเลย
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
เวลาต่อมาพิมพิลาสยืนมองผลงานของบุษบันอยู่ในห้องทำงาน สายตาเธอมาหยุดอยู่ที่รูปสลักคิวปิด ในจังหวะที่บุษบันเดินถือแก้วน้ำมาให้
“น้ำค่ะคุณพิม”
บุษบันวางแก้วน้ำไว้ที่โต๊ะตัวข้างๆ พิมพิลาส ก่อนจะถามออกไป
“คุณมีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ”
“ฉันจะมาคุยกับคุณเรื่องภีร์ภูมิ”
ฟังธุระของพิมพิลาสแล้วบุษบันใจหาย
“ทำไมเหรอคะ”
พิมพิลาสหันมาเผชิญหน้ากับบุษบัน
“ฉันขอให้คุณเลิกยุ่งกับภูมิซะ”
บุษบันเข้าใจความรู้สึกพิมพิลาสดี แต่ให้เลิกรักภีร์ภูมินั้นเธอทำไม่ได้
“คุณภูมิบอกกับฉันว่าเขากับคุณเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”
พิมพิลาสค่อยๆ เดินเข้ามาหาบุษบัน
“คุณเองก็สวย รวย และเก่งขนาดนี้ฉันว่าคงหาคนดีๆ ได้ไม่ยากเหรอ ตัดใจจากภูมิซะเถอะ ถือว่าเห็นแก่ฉัน เพราะฉันคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
บุษบันอึ้ง เห็นใจพิมพิลาส
“ฉันเข้าใจนะ และฉันก็ขอโทษ ฉันไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ แต่ฉันกับเขารักกันมานานแล้วค่ะ”
พิมพิลาสไม่พอใจมาก ถามเสียงแข็งทันควัน
“นานแค่ไหน?”
“นานกว่าที่คุณคิด” บุษบันพูดแล้วหันมามองพิมพิลาสด้วยความสงสาร แล้วย้อนถาม “คุณเชื่อเรื่องชาติภพไหมคะ?”
พิมพิลาสอึ้งกับคำว่า “ชาติภพ” คิดว่าบุษบันรู้เหมือนที่ตนรู้ พิมพิลาสจึงลองถามหยั่งเชิง
“คุณหมายความว่ายังไง”
“ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไม่เป็นอะไร แต่ฉันกับคุณภูมิรู้สึกเหมือนเรารักกันมานานแล้ว เราเคยรักกันมาก และเราก็เคยพรากจากกัน แต่พอชาตินี้เราได้กลับมาเจอกันอีก มันอัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อ” บุษบันพูดวิงวอน “ขอให้เห็นใจเราเถอะนะคะ อย่าพรากเราจากกันอีกเลย”
พิมพิลาสยืนฟังนิ่ง
“ทำไมคุณถึงคิดยังงั้น”
“ฉันกับคุณภูมิเรามีอะไรที่เหมือนๆ กัน เจ็บข้อมือเหมือนกัน เราเคยผูกพันกันมาเมื่อชาติที่แล้ว เราไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายคุณนะคะ ฉันคิดว่ามันเป็นโชคชะตา คุณเข้าใจฉันนะคะ”
พิมพิลาสยิ่งโกรธจัด เมินหน้าหนีมองไปทางแผ่นโลหะสีเงิน เห็นเป็นเงาของพิศในชาติภพก่อนสะท้อนขึ้นมา
“ยอมไม่ได้! เอ็งอย่าไปยอมมัน ของๆ เอ็งยังไงก็ต้องเป็นของเอ็ง”
พิศเสี้ยมพิมพิลาสอย่างเกรี้ยวกราด
ขณะที่หลวงพ่อกสินกำลังเดินออกมาจากในโบสถ์ เดือนก็ถือดอกไม้ธูปเทียนจะเข้าไปไหว้พระในโบสถ์ พอดี เดือนเห็นหลวงพ่อกสิน จึงหยุดแล้วนั่งลงพนมมือไหว้
“นมัสการเจ้าค่ะหลวงพ่อ”
“เจริญพรเถอะโยม หมั่นไหว้พระถือศีลน่ะดีแล้ว แต่อย่าทำอะไรที่มันเป็นภัยแก่ตัวเลย”
เดือนได้ฟังแล้วงวยงง
“ทำไมเหรอคะ? อะไรที่เป็นภัยแก่ตัวดิฉันเหรอเจ้าคะ”
หลวงพ่อกสินเทศนาต่อ “สิ่งที่โยมกำลังจะทำมันผิด การไปรู้อดีต รู้อนาคต มันเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ มันจะทำให้โยมอายุสั้น โยมอาจจะสิ้นอายุไขในเร็ววันนี้ก็ได้ เพราะเรื่องที่โยมเข้าไปเกี่ยวข้องมันอยู่เหนือกฎแห่งกรรม”
เดือนตกใจ
“ดิฉันจะตายเหรอเจ้าคะ ใครจะทำอะไรดิฉันคะ”
“ไม่มีใครทำอะไรโยมเหรอก แต่ตัวโยมเองนั่นแหละที่ทำตัวเอง”
ขาดคำหลวงพ่อกสินก็เดินจากไป เดือนเริ่มกลัวในสิ่งที่หลวงพ่อกสินพูดถึงตน
ค่ำคืนนั้น บุษบันกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ในมือถือกล่องดนตรีอยู่ เสียงเพลงจากกล่องดนตรีบรรเลง บุษบันเคลิบเคลิ้ม
บุษบันนึกถึงหน้าภีร์ภูมิ บุษบันยิ้มมีความสุข ถ้อยความที่พูดคุยกับพิมพิลาสก้องอยู่ในหัว
“เราสองคนรักกัน...รักกันมากกว่าที่คุณคิดนะคุณพิม”
บุษบันฟังเพลงจากกล่องดนตรีอย่างมีความสุขต่อไป
ขณะเดียวกันภีร์ภูมิยืนเหม่อมองพระจันทร์ นึกถึงบุษบันแล้วภีร์ภูมิยิ้มมีความสุข
“ผมรักคุณคุณบุษ และจะไม่มีใครมาพรากเราจากกันไปไหนอีก”
ภีร์ภูมิมีความสุขเมื่อนึกถึงคำพูดที่เอ่ยถึงบุษบัน
เวลาเดียวกัน รถของพิมพิลาสแล่นอยู่บนถนนด้วยความเร็วสูง พิมพิลาสขับมาเองด้วยสีหน้าดุดัน
บริเวณลานวัด ยามค่ำคืน เงียบสงัด มากนอนอยู่ใต้ต้นไม้กึ่งหลับกึ่งตื่น แสงไฟจากรถยนต์ที่สาดส่องเข้ามา พร้อมกับที่มีรถแล่นเข้ามาจอดที่ลานวัด มากสะดุ้งตื่น
“เสียงรถใคร?” มากรำพึง
พิมพิลาสเปิดประตูรถลงมาในมือถือกระเป๋าถือลงมาด้วย มากคอยฟังเสียงเคลื่อนไหว และจำได้ว่าเป็นเสียงฝีเท้าของพิมพิลาส
“คุณหนูคนนั้นนี่ มาทำไม”
พิมพิลาสมุ่งตรงไปทางบ้านเดือน
“เดินไปทางนั้น ต้องไปบ้านอีเดือนอีกแน่เลย”
มากจะตามไปห้ามเดือน
บ้านเดือนในยามค่ำคืนนั้น ปิดประตู และหน้าต่างเงียบเชียบ พิมพิลาสเดินมาถึง เห็นบ้านปิดเงียบ คิดว่าเดือนไม่อยู่ แต่สายตาพิมพิลาสเหลือบไปเห็นตะเกียงน้ำมันก๊าดที่แขวนอยู่หน้าบ้านมีควันขึ้นมาเหมือนเพิ่งดับ พิมพิลาสมั่นใจว่าเดือนต้องอยู่ในบ้านแน่นอน
เดือนแอบดูอยู่ในบ้าน ลุ้น ๆ ให้พิมพิลาสกลับไป พิมพิลาสเดินอ้อมไปทางหลังบ้าน เดือนเห็นพิมพิลาสเดินไปคิดว่ากลับไปแล้ว ถอนหายใจโล่งอก เดินไปหลังบ้าน เปิดไฟ พอไฟสว่างขึ้น พิมพิลาสยืนอยู่ตรงหน้าเดือน เดือนตกใจมาก
“ว้าย! ผี”
“ปิดบ้านหนีฉันทำไม” พิมพิลาสขึ้นเสียง
“กูไม่ยุ่งกับมึงแล้ว กูไม่ดูไม่ทำอะไรทั้งนั้น มึงกลับไปได้แล้ว”
“ฉันต้องการดูอีกครั้งเดียว”
“ไม่! กูบอกว่าไม่ก็ไม่” เดือนยืนกราน
เดือนกำลังจะปิดประตู แต่พิมพิลาสจับประตูไว้ พิมพิลาสหยิบเงินปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือ ชูขึ้นต่อหน้าเดือน
“ฉันจ้าง”
“ไม่ มึงจะจ้างกูเท่าไหร่กูก็ไม่เอา”
พิมพิลาสเก็บเงิน แต่หยิบปืนขึ้นมาขู่เดือนแทน เดือนเห็นปืน ตกใจ
“แม่หมอจะดูให้ฉันไหม”
เดือนลังเล เอายังไงดี
ครู่ต่อมา สองคนอยู่ในบ้านเดือน
“มึงจะดูอะไรอีกล่ะ อดีตมึงก็ดูไปหมดแล้ว”
“ฉันอยากดูอนาคตว่าฉันกับคนรัก และนังบุษบันจะเป็นยังไงต่อไป”
เดือนตกใจ
“ไม่นะ! ดูไม่ได้ เขาไม่ดูกัน ถ้ามึงดู ไม่กูก็มึงจะต้องตาย”
พิมพิลาสจ่อปืนใกล้ๆ เดือน
“แต่ถ้าไม่ดูแม่หมอได้ตายสมใจแน่ๆ เลือกเอาว่าจะไม่ดูแล้วตายหรือดูแล้วอาจมีสิทธิ์รอด”
เดือนมองพิมพิลาสอย่างหวาดผวากลัว
เวลาเดียวกันมากยืนแอบฟังอยู่ที่หลังต้นไม้นอกบ้าน รับรู้เรื่องราวว่าในบ้านว่ามีการขู่ถึงกับจะฆ่ากันก็ตกใจ
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๑ (ต่อ)
พระจันทร์ดวงใหญ่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิด มองผ่านความสลัวรางของแสงจันทร์ค่ำคืนนี้ลงมาเบื้องล่างจะเห็นเป็นบริเวณพิธีรำลึกชาติของพิมพิลาสและเดือน
ฉากผ้าสีขาวขึ้งกั้นไว้ทั้งสี่ทิศแบ่งเป็นห้องทั้งหมด 3 ชั้น สายลมพัดพริ้วแผ่วๆ จนทำให้ผ้าปลิวกระเพื่อม เป็นระยะ รอบๆ บริเวณมีการจุดเทียนสีขาวเพื่อให้แสงสว่าง
เดือน และพิมพิลาสยืนอยู่หน้าฉากผ้าดังกล่าว เดือนถือเทียนสีขาวที่จุดไฟแล้ว
“มึงแน่ใจแล้วนะว่าจะทำพิธีนี้” เดือนถามย้ำด้วยหน้าตาถมึงทึง
พิมพิลาสตอบกลับด้วยหน้าตามุ่งมั่น
“ฉันแน่ใจ เป็นไงเป็นกัน”
“กูบอกไว้ก่อนว่า กูไม่รับร้องความปลอดภัยของมึงนะ ถ้ามึงเป็นอะไรขึ้นมากูไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
พิมพิลาสบอกยืนยันอีก “ฉันพร้อมที่จะเสี่ยง”
เดือนพยักหน้า
“ถ้ามึงพร้อมแล้วก็เข้าไปข้างในได้ แต่ระหว่างทางมึงต้องตั้งจิตให้มั่น จ้องมองเทียนนี่ห้ามกระพริบตา อย่าวอกแวกจนกว่าจะถึงห้องพิธี”
พิมพิลาสพยักหน้ารับทราบ เดือนส่งเทียนสีขาวที่จุดไฟแล้วให้ พิมพิลาสและเดือนเตรียมตัวเข้าพิธี
ห่างออกไปมากค่อยๆ เดินแอบตามมาหลบอยู่หลังต้นไม้ ฟังเสียงเดือนกับพิมพิลาสคุยกัน
ภายในห้องผ้าพิธีดูอนาคต ฉากผ้าสีขาวค่อยๆ เปิดออก พิมพิลาสตั้งสมาธิเพ่งมองเทียนสีขาวในมือที่จุดไว้แล้ว แล้วค่อยๆ เดินเข้าไป พิมพิลาสค่อยๆ เดินผ่านผ้าไปทีละชั้น แสงสว่างจากเทียนรอบๆ พิธีส่องแสงสลัวๆ พิมพิลาสเดินมาถึงกลางห้องพิธี ค่อย ๆ นั่งลงบนพื้น เดือนเดินตามหลังมานั่งลงตรงข้ามกับพิมพิลาส
พิมพิลาสวางเทียนไว้บนแท่นตรงกลางระดับสายตาตรงหน้า
“มึงพร้อมแล้วนะ” เดือนถาม
พิมพิลาสพยักหน้า
“พนมมือตั้งสมาธิให้แน่วแน่ และเพ่งมองมาที่เปลวเทียนตรงหน้า แต่อย่ากระพริบตาเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นจะต้องเริ่มพิธีใหม่ และคิดถึงเรื่องที่มึงอยากจะรู้”
พิมพิลาสพยักหน้ารับทราบอีกครั้ง และรอบรวมความกล้า ทำสมาธิตั้งใจทำตามที่เดือนบอก
เดือนหลับตาพนมมือ ปากท่องคาถาขมุบขมิบ
ด้านมากยังคงแอบฟังเดือนกับพิมพิลาสอยู่ แต่เสียงเงียบไปแล้ว
เห็นแค่ภาพเงาของผู้หญิงสองคน เดือนกับพิมพิลาส นั่งอยู่ในฉากกั้น แสงจากเทียนยามต้องลมพัดไปมาเป็นแสงสลัวๆ
พิมพิลาสยังนั่งพนมมือเพ่งมองเทียนอยู่ในห้องผ้าพิธี เดือนยังหลับตาพนมมือ บอกพิธีเป็นระยะๆ
“ส่งมือทั้งสองข้างมาให้กู”
พิมพิลาสส่งมือให้เดือน เดือนจับไว้
“เพ่งเปลวเทียนต่อไป”
เวลาผ่านไป ร่างกายของเดือนเริ่มไม่ไหว เหงื่อออกท่วมตัว พิมพิลาสยังนิ่งนั่งจับมือกับเดือน
ใบหน้าเดือนเหงื่อไหลออกมามากขึ้น สายตาพิมพิลาสมุ่งมั่นไม่กระพริบตา
ครู่ต่อมาพิมพิลาสรู้สึกว่าแสงจากเปลวเทียนค่อยๆ สว่างขึ้นจนทำให้ต้องหลับตา พิมพิลาสมองเห็นอนาคตแล้ว แต่เป็นภาพตัดแบบสั้นๆ
ภาพในนิมิตของพิมพิลาสเป็นภาพภีร์ภูมิกับบุษบันกอดกัน รักกันหวานชื่น มีความสุข ใบหน้าพิมพิลาสแค้นจัด
ขณะเดียวกัน เดือนกำลังจะแย่ หายใจเหนื่อยหอบ หน้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เดือนพยายามจะดึงมือออกจากพิมพิลาส แต่พิมพิลาสไม่ยอมจับมือเดือนไว้แน่น
“กูไม่ไหวแล้ว”
“ไม่! ฉันจะดูต่อ”
พิมพิลาสจับมือเดือนแน่น เห็นอนาคตอีกครั้ง ตอนนี้พิมพิลาสเห็นตัวเองอยู่กับบุษบันบนเรือลำหนึ่งกลางสระบัว ในบ้านสวนของพิมพิลาสที่ต่างจังหวัด ในมือพิมพิลาสถือตรวนทองคำ บุษบันยื้อยุดกับพิมพิลาสจนเรือโคลงเคลง และล่มไป พิมพิลาสจมลงไปในน้ำพร้อมกับบุษบัน ตรวนทองคำพันตัวพิมพิลาสไว้ พิมพิลาสพยายามดิ้นแต่ดิ้นไม่หลุด พิมพิลาสค่อย ๆ จมลงไปในน้ำ
พิมพิลาสรู้สึกตัว ลืมตา อาการตกใจ
“แกจะฆ่าฉันเหรอนังบุษบัน”
พิมพิลาสปล่อยมือจากเดือน จังหวะนั้นเอวงเดือนล้มตึงลงไป พิมพิลาสเห็นเดือนล้มลงไปเลยเข้าไปประคองเดือนขึ้นมา เดือนมีเลือดออกจากปากเล็กน้อย
“เดี๋ยวก่อนแม่หมอ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไป ตกลงมันเป็นยังไง”
เดือนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และพยายามพูด
“แล้วมึงเห็นอะไรล่ะ”
“ฉันเห็นตรวนทองคำ มันจะฆ่าฉัน มันจะเอาตรวนมาถ่วงน้ำฉันใช่ไหม ตรวนมันอยู่ที่ไหน มันจะมาฆ่าฉันเมื่อไหร่ ตอบฉันมาก่อนแม่หมออย่าเพิ่งตาย”
พิมพิลาสเขย่าตัวเดือน ร้องเสียงดัง “แม่หมอ! อย่าเพิ่งตายนะ ฉันจะตายเพราะตรวนทองคำเหรอ แล้วยังไงอีก ตอบฉันก่อน”
มากได้ยินพิมพิลาสพูดถึงตรวนดังแว่วมา
“ตรวนทองคำ! ตรวนอะไรวะ ใครถูกถ่วงน้ำ ใครตาย”
เดือนค่อย ๆ กระอักเลือด พยายามจะพูด
“มึงจะต้องชดใช้ในสิ่งที่มึงเคยทำไว้”
พอพูดจบเดือนก็กระอักเลือดตาย
“แม่หมอฉันจะต้องชดใช้ยังไง บอกฉันมาก่อน แม่หมอ”
พิมพิลาสเขย่าตัวเดือนแรงขึ้นอีก แต่เดือนไม่รู้สึกตัวแล้ว
พิมพิลาสค่อยๆ วางร่างไร้วิญญาณของเดือนลง และรีบออกจากบริเวณพิธี
ต่อจากตอนที่แล้ว
ทางด้านมากรับรู้ว่าเสียงเงียบลงแล้ว จึงคลำทางเข้ามาในบริเวณพิธี จมูกได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง มากทำจมูกฟุดฟิด
“เลือด”
มากเป็นห่วงเดือน ใช้มือคลำเปะปะไปถูกร่างเดือน และจำลักษณะของเดือนได้
มากตกใจมาก “อีเดือน! อีเดือน! มึงเป็นอะไร”
เดือนนอนนิ่ง มากใช้มือสัมผัสลมหายใจที่จมูก
“อีเดือน! อีเดือนตายแล้ว! หลวงพ่ออีเดือนตายแล้ว”
มากร้องตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ แล้วรีบวิ่งออกมาด้านนอก
มากวิ่งลนลานออกมา
“หลวงพ่ออีเดือนตายแล้ว”
พิมพิลาสที่กำลังเดินอยู่ได้ยินเสียงมาก หันหลังมาดู เห็นมากวิ่งอยู่ พิมพิลาสตกใจรีบเดินไปหามาก
“หลวงพ่อช่วยด้วย อีเดือนตายแล้ว”
พิมพิลาสตามมาดักหน้ามากไว้
“ลุง!”
มากรู้ว่าพิมพิลาสกลับมา เริ่มกลัวพิมพิลาส
“คุณหนู”
“ฉันเองลุง”
มากจะหนี
“ลุงจะไปไหน”
“ฉันจะไป...ไป...ไปหาหลวง...”
มากจะวิ่งไป พิมพิลาสจับแขนไว้
“ไม่มีอะไรหรอกลุง ลุงไปกับฉันนะเดี๋ยวฉันพาไป”
พิมพิลาสจะพามากไป และหยิบปืนที่อยู่ในกระเป๋าถือออกมาเหนี่ยวไกปืน
มากได้ยินเสียงไกปืน คิดว่าพิมพิลาสจะฆ่าตัวเองเลยผลักพิมพิลาส ล้มลงกับพื้น
มากพยายามวิ่งหนีไปจนได้
มากพยายามหนีอย่างเร็ว ปากก็ร้องเสียงดังอย่างหวาดกลัว
“ฉันไม่รู้ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ฉันไม่อยู่แล้วโว้ย...”
พิมพิลาสวิ่งตามออกมาที่ลานกว้าง มองเห็นหลังมากไวๆ
“หยุดนะ!”
พิมพิลาสเล็งปืนขึ้นจะยิง แต่เสียงหลวงพ่อกสินดังมาขัดจังหวะไว้ก่อน
“มันเป็นบาปนะโยม”
พิมพิลาสหันหลังกลับมา เห็นหลวงพ่อกสินยืนอยู่กับเด็กวัด พิมพิลาสลดปืนลง
“เวรกรรมไม่ได้มีไว้ให้ก่อหรอกนะ แต่มีไว้ให้อโหสิกรรม ปล่อยวางบ้างเถอะโยม”
พิมพิลาสนิ่ง ไหว้หลวงพ่อกสิน และเดินออกไป เด็กวัดที่ยืนงัวเงีย
“ปลุกฉันมาแค่เนี้ยเหรอหลวงพ่อ กำลังหลับสบายอยู่เลย” เด็กวัดคนนั้นหาวยาว
หลวงพ่อกสินนิ่ง มองตามหลังพิมพิลาสไป
มากวิ่งตกใจออกมายังถนนบริเวณหลังวัด ปากก็ร้องอย่างหวาดกลัว
“ฉันไม่รู้ ฉันไม่ได้ยิน”
จังหวะนั้นแสงไฟจากรถยนต์คันหนึ่งสาดเข้ามาที่ตัวมาก แต่มากวิ่งตรงเข้าไปหาเพราะตามองไม่เห็น
กนิษฐาซึ่งขับรถคันนั้นตกใจมาก
มากล้มลงตรงหน้ารถกนิษฐา โชคดีที่กนิษฐาไม่ได้ชน เพราะเหยียบเบรกไว้ได้ทัน
“ซวยแล้วยัยนิดเอ๊ย”
กนิษฐาเปิดประตูรถ หน้าตาตื่นลงมา เห็นมากนอนแน่นิ่งอยู่ กนิษฐาเข้ามาดู
“ลุง”
กนิษฐาประคองมาก และเขย่าเบาๆ มากยังไม่ฟื้น
“ลุง! ลุง! เป็นอะไรไหมจ๊ะ”
กนิษฐาค้นตัวนายมากแต่ไม่พบกระเป๋าสตางค์หรือหลักฐานบ่งบอกได้ว่าชายชราเป็นใคร
กนิษฐามองซ้ายมองขวาไม่เห็นคนอื่น จึงตัดสินใจพยุงนายมากไปที่รถ
นายมากรู้สึกตัวขึ้นมาในห้องฉุกเฉินของคลินิกแห่งหนึ่ง กนิษฐาที่ดูอยู่ข้างๆ เห็นรีบเข้าไปหา
“ลุง”
นายมากหันไปหันมาทางเสียง กนิษฐาเรียกอีกครั้ง
“ลุง”
นายมากหันหน้ามาทางกนิษฐา แต่มองไม่เห็น กนิษฐามองนายมากนึกเอะใจ จึงลองใช้มือตัวเองปัดๆ ที่หน้าชายชรา
“ลุงตาบอดเหรอ”
มากพยักหน้า “อืม...เอ็งเป็นใคร แล้วฉันอยู่ที่ไหน”
“ฉันชื่อนิด ลุงมาเป็นลมอยู่หน้ารถฉัน ฉันเลยพามาหาหมอ แล้วลุงละเป็นใคร บ้านช่องอยู่ที่ไหน หรือว่าลุงอยู่ที่วัดนั้นเหรอ”
“ฉันชื่อมาก เป็นขอทานตาบอดอยู่ที่วัดนั่นแหละ”
กนิษฐาถาม “ให้ฉันพากลับไปส่งที่วัดไหม”
มากโบกไม้โบกมือ ไม่อยากไป
“ไม่ๆ ฉันไม่ไป อย่าเอาฉันไปส่งที่วัดนะ”
“ทำไมล่ะลุง ลุงไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันพากลับไปวัดนะ”
มากทำท่าทางหวาดกลัวมากๆ
“ไม่ไปๆ ฉันไม่อยากตาย”
มากลงจากเตียงพยายามหนี เดินชนนั่นชนนี่ในห้อง
“อะไรลุง ทำไมลุงจะตาย ใครจะทำอะไรลุง”
กนิษฐาสงสัยจะจับตัวมากไว้ แต่มากก็ดิ้นหลุดได้ทุกครั้ง
"ฉันไม่ไปวัด อย่าเอาฉันไปส่งนะ ฉันกลัว"
"ลุงอยู่เฉย ๆ ก่อน ลุงอย่าเพิ่งหนีฉันไปไหน"
มากท่าทางตื่นกลัว เดินอยู่ในห้องแล้วสะดุดขาเตียงล้มลงสลบไป
กนิษฐารู้สึกสงสารชายชราตาบอดมาก
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๑ (ต่อ)
เช้าวันต่อมา บนศาลาวัด พระกำลังเจริญพระพุทธมนต์ถึงบทกรวดน้ำ
ยายสร้อย ภีร์ภูมิ บุษบันกำลังกรวดน้ำอยู่ ตรงหน้า ๓ คน มีพานวางไว้ บนพานมีห่อผ้าสีขาว ซึ่งมีกระดูกมือของฉัตร และบัว มีกลีบดอกไม้โปรยไว้
พระสวดบทกรวดน้ำ และเจริญพุทธมนต์เสร็จ ยายสร้อย ภีร์ภูมิ บุษบันก้มลงกราบพระ
ไม่นานต่อมา ภีร์ภูมิประคองยายสร้อยเดินลงมาจากศาลาบุษบันเดินข้างๆ
“ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้ว แต่บุญที่เราได้ทำให้ปู่ฉัตรกับคนรัก คงจะส่งผลให้ในชาตินี้ทั้งคู่ได้กลับมารักกันนะ” ยายสร้อยเอ่ยขึ้น
“ผมว่าปู่ฉัตรคงมีความสุข และได้เจอกับคนรักแล้วครับ”
ภีร์ภูมิมองหน้าบุษบัน
ยายสร้อยมองสองคน “เธอทั้งสองคนชาติที่แล้วผิดหวังมาแล้ว ชาตินี้ก็ขอให้สมหวัง ขอให้รักกัน มีความสุข ความเจริญนะ”
บุษบันยิ้มเยื้อน “ขอบคุณค่ะยาย”
ครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์มือถือของบุษบันดังขึ้น
บุษบันดูเห็นเป็นชื่อตะวันฉาย จึงรับสาย
“ว่าไงตะวัน”
ตะวันฉายอยู่ที่แกลเลอรี่
“ยัยบุษ ฉันมีอะไรจะอวด”
“อะไรของเธอ”
“เธอมาดูที่แกลอรี่เองก็แล้วกัน ชวนคุณภูมิมาด้วย”
“ได้”
บุษบันวางสาย
เวลาเดียวกันภายในห้องเก็บของที่แกลเลอรี่ สภาพห้องดูรก ระเกะระกะ เต็มไปด้วยลังไม้ ชั้นวางของ ผ้าคลุมผืนใหญ่ ของเก่า ๆ ที่ใช้การไม่ได้แล้ว มากรู้สึกตัว ตื่นขึ้นในห้องเก็บของนั้น
เสียงเปิดประตูดัง มากเงียบ ฟังเสียงคนเดิน เป็นกนิษฐาค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้มาก
“ลุง ฟื้นแล้วเหรอ ฉันเอาข้าวมาให้”
กนิษฐาวางจานข้าวไว้ตรงหน้า มากจับถูกจานข้าว และรีบตักข้าวกิน
“อย่าเพิ่งเอาฉันไปส่งที่วัดนะ เดี๋ยวฉันไปเอง” มากขอร้อง
“แล้วเรื่องที่ลุงพูดว่ากลัวตาย ทำไมเหรอลุง ลุงจะเป็นอะไร”
มากตักข้าวเข้าปากด้วยอาการหิว
“ฉันไม่อยากพูดถึง ฉันกลัว”
กนิษฐาซักทันที “ลุงกลัวอะไร”
มากไม่ตอบ ตะวันฉายเดินเข้ามา
“นี่ยัยนิด คุณภูมิกับยัยบุษจะมาแล้วเธอยังไม่เตรียมตัวอีกเหรอ”
ตะวันฉายเห็นนายมากก็ทักงงๆ
“ยังไม่ไปอีกเหรอลุง”
“กินข้าวเสร็จก็จะไปแล้ว” มากบอก
ตะวันฉายอำเล่นตามนิสัย “อยู่นานกว่านี้ ฉันคิดค่าน้ำค่าไฟนะ”
“คุณจะโวยวายไปทำไม ฉันเตรียมไว้หมดแล้ว ทั้งข้อมูล ทั้งตรวนทองคำ”
มากกำลังจะตักข้าวใส่ปากได้ยินคำว่า “ตรวนทองคำ” ก็สะดุดหูพูดพึมพำกับตัวเอง
“ตรวนทองคำ”
“เธอรีบขึ้นไปข้างบนเลย ไปเตรียมตัวให้พร้อม”
ตะวันฉายสั่งงาน กนิษฐาเดินออกไป ตะวันฉายหันมาทางมาก
“กินข้าวเสร็จก็ออกไปได้แล้วนะลุง”
ตะวันฉายเดินออกไป
มากประติดประต่อเรื่องราวที่ได้ยินมาทั้งสองเหตุการณ์
“ตรวนทองคำ! ตรวนทองคำอยู่ที่นี่เหรอ ก็แปลว่ามีคนโดนถ่วงน้ำตายสิวะ เป็นตรวนทองคำอันเดียวกันหรือเปล่าวะ”
เวลาเดียวกันพิมพิลาสนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้อง ยินเสียงเคาะประตูห้อง ป้าทิพย์เปิดประตูห้องเข้ามา ถือถาดอาหารมาวางไว้
“ไม่สบายหรือเปล่าหนูพิม”
พิมพิลาสตอบเรียบๆ “พิมสบายดีค่ะ”
“แล้วเมื่อคืนหนูออกไปไหนมา ไปหาภูมิมาเหรอ เห็นกลับมาดึกดื่น”
“พิมออกไปทำธุระนิดหน่อยน่ะค่ะ”
ป้าทิพย์เซ้าซี้อย่างห่วงใย “ธุระอะไรทำไมไม่ให้ป้าไปด้วย พักนี้หนูพิมดูเศร้า ๆ ไปนะ มีอะไรก็บอกป้าได้”
พิมพิลาสตัดบท “พิมไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ พิมอยากอยู่คนเดียว”
ป้าทิพย์เป็นห่วงพิมพิลาสมากยิ่งขึ้น
“มีอะไรเรียกป้านะ”
พอป้าทิพย์ออกไปจากห้องแล้ว พิมพิลาสมองที่กระจก จู่ๆ ภาพพิศปรากฏขึ้น เหมือนมองมายังพิมพิลาสพูดเสียงดุดัน
“จะมานั่งเศร้าอยู่ทำไม เอ็งจะทำอะไรก็รีบๆ ทำ จะงอมืองอตีนรอให้เขามาฆ่าหรือไง”
พิมพิลาสฮึดสู้
เวลาผ่านไปอีกสักระยะ ตะวันฉายตื่นเต้นกับเรื่องที่ภีร์ภูมิกับบุษบันเล่าที่เพิ่งฟังจบลงไป
“อะเมซิ่งมากๆ คนที่ถูกถ่วงน้ำไปพร้อมกับตรวนเป็นเธอสองคน”
กนิษฐาก็ตื่นเต้นตามไปด้วย
“เหลือเชื่อจริง ๆ เรื่องที่ฉันแทบพลิกแผ่นดินหาเป็นคนใกล้ตัวซะยังงั้น”
ตะวันฉายเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้
“ฉันรู้แล้วยัยนิด เธอสร้างเรื่องของสองคนนี้เลย” หนุ่มหัวใสนักค้าของเก่าหันมาพูดกับภีร์ภูมิและบุษบัน “เดี๋ยวฉันขอถ่ายรูปเธอสองคนหน่อยนะ เอาแบบใส่ชุดสมัยรัชกาลที่ ๕ แล้วมีตรวนอยู่ในมือด้วยนะ ฉันจะจัดงานเปิดตัวตรวนทองคำ”
กนิษฐาแขวะ “ได้เรื่องใหม่ก็ทิ้งเรื่องเก่าเลยนะคุณ แล้วนี่ละ” ยื่นโปสเตอร์ให้ตะวันฉาย “โปสเตอร์ที่ทำไว้แล้วจะทำยังไง”
“ทิ้งไปเลย”
ตะวันบอก แล้วชูโปสเตอร์ในมือให้ภีร์ภูมิกับบุษบันดู
ภีร์ภูมิกับบุษบัน เห็นโปสเตอร์รูปตรวนทองคำมีคำบรรยายว่า “ตรวนทองคำ แห่งรักแท้ พร้อมเปิดตัวเร็ว ๆ นี้”
“ตอนแรกฉันเรียกเธอมาดูโปสเตอร์งานเปิดตัวตรวน แล้วเธอก็มาเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟัง ตอนนี้ฉันเลยได้เรื่องใหม่แล้ว ฉันจะเอาเธอสองคนเป็นพรีเซ็นเตอร์ของงานนี้” ตะวันฉายเห็นโอกาสทอง
ภีร์ภูมิกับบุษบันยิ้มๆ ก่อนที่ภีร์ภูมิจะตัดสินใจพูดขึ้นมา
“คุณตะวันครับ ผมอยากซื้อตรวนเก็บไว้เอง”
ภีร์ภูมิกับบุษบันมองหน้ากัน
ตะวันฉายทำหน้าสงสัย
“คุณจะซื้อตรวนไปทำไมคุณภูมิ เพราะตรวนนั่นเคยทำร้ายคุณกับยัยบุษนะ”
“เราผูกพันกับตรวน และอยากเก็บไว้เพื่อเตือนใจเราน่ะ” บุษบันว่า
ตะวันฉายเข้าไปกอดคอบุษบัน
“อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยนะ ตอนนี้ราคาทองมันก็แพงนะ แล้วนี่ทองคำแท้ ๆ แถมยังทองโบราณอีก ฉันตั้งราคาไว้แปดสิบล้าน เธอจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ”
ภีร์ภูมิกับบุษบันนิ่ง
“เธอเก็บไว้ให้ฉันก่อนได้ไหมล่ะ ถ้าฉันไม่ตายแล้วหาเงินได้ฉันจะซื้อแน่”
“พูดเป็นเล่นน่ายัยบุษ ถ้าใครมาขอซื้อตอนนี้แล้วมีเงินพอฉันก็จะขาย เก็บไว้ให้เธอไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันจะได้เงิน”
ภีร์ภูมิกับบุษบันทำหน้าขอร้องตะวันฉาย
เสียงโทรศัพท์มือถือของตะวันดังขัดขึ้น ตะวันฉายดู เป็นเบอร์ใครไม่รู้ แต่ก็รับสาย
“สวัสดีครับ”
ที่แท้เป็นพิมพิลาส ซึ่งแต่งหน้าเข้ม ทาปากด้วยลิปสติกสีแดงเข้ม
“ฉันจะถามเรื่องตรวนทองคำ”
ตะวันฉายได้ยินคำว่า “ตรวนทองคำ” ทำท่าลุกลี้ลุกลน
“ครับ! สักครู่นะครับ”
ตะวันฉายมองซ้ายมองขวาท่าทางแปลก ๆ เดินออกไป กนิษฐาเดินสวนเข้ามาเห็นก็แปลกใจในท่าทีนั้น
“คุณตะวัน”
ตะวันฉายไม่สนใจรีบเดินไป กนิษฐา งง สงสัย
ตะวันฉายเดินออกมา แอบ ๆ คุย
“ว่ายังไงนะครับ คุณต้องการซื้อตรวนทองคำเหรอครับ”
ตะวันฉายตกใจปนดีใจ
ครู่ต่อมาตะวันฉายเดินขึ้นมามองซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นใคร จึงค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาในห้องเก็บตรวนทองคำ
ตะวันฉายเปิดตู้เซฟเอากระเป๋าตรวนออกมา เปิดกระเป๋าดูเพื่อความแน่ใจ พริบตานั้น ตรวนทองคำอยู่ในกระเป๋าเรียบร้อย ตะวันฉายปิดกระเป๋า และถือเดินออกไปนอกห้อง
ค่ำคืนนั้น ที่ล็อบบี้โรงแรมแห่งหนึ่ง ตะวันฉายนั่งอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่แท้เป็นพิมพิลาส ซึ่งวันนี้แต่งกายด้วยชุดสีดำ แต่งหน้าจัด ปากสีแดงเข้ม ใส่แว่นตาดำ สวมหมวกเบเล่ใบสวยๆ พรางตัว แถมใส่ถุงมือสีเข้าชุดกันกับเสื้อผ้าอีก ดูไม่เหมือนสาวหวานคนเดิม
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมมีตรวนทองคำ ผมยังไม่ได้เปิดตัวเลย”
“ฉันเป็นนักสะสมของเก่าก็ต้องมีเส้นมีสายเป็นธรรมดา”
“ครับ ที่คุณบอกว่าต้องการซื้อตรวน ที่จริงผมก็อยากขายนะครับแต่เพื่อนผมเขาก็จะซื้อผมเลยอยากเก็บไว้ให้เพื่อน”
พิมพิลาสพูดสวนขึ้นมา
“แปดสิบล้าน”
ตะวันฉายยังไม่พอใจกับจำนวนเงิน เพราะคิดว่าคนที่มาซื้อต้องให้ได้มากกว่านี้
“คือ ตรวนนี่เป็นของเก่า มีชิ้นเดียวในโลก”
พิมพิลาสให้ราคาเพิ่ม “หนึ่งร้อยล้าน”
ตะวันฉายชะงัก พอใจ
“เงินสดนะครับ”
พิมพิลาสพยักหน้า
วันต่อมาตะวันฉายจอดรถหน้าธนาคาร เปิดกระเป๋าดูเงิน
ตะวันฉายดีใจ ใช้มือลูบๆ เงิน “หนึ่งร้อยล้าน รวย ๆ แล้วเรา”
ตะวันฉายปิดกระเป๋า เปิดประตูรถลงมา กอดกระเป๋ามองซ้ายมองขวาเดินมาที่ธนาคารตรงหน้า
จู่เสียงคุ้นหูของกนิษฐาดังขึ้นจากด้านหลัง
“คุณตะวัน”
ตะวันฉายสะดุ้ง ตกใจ กนิษฐาพุ่งเข้ามาหา
“อ้าว! จะมาธนาคารทำไมไม่บอก จะได้มาด้วย”
ตะวันฉายพยายามบัง ๆ กระเป๋าไว้ แต่กนิษฐาเห็น
“แล้วนี่กระเป๋าอะไร”
“ไม่มีอะไร”
ตะวันฉายมีพิรุธเต็มๆ จะเดินกลับไปที่รถ กนิษฐาเดินตาม
“จะมาธนาคารไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่เข้าไปล่ะ”
“ฉันจะกลับแล้ว ไว้ค่อยมาใหม่วันหน้า”
“อะไรของคุณเนี่ย นึกจะมาก็มาจะไปก็ไป ดีเลย ฉันจะได้กลับด้วย”
“จะมากลับทำไมพร้อมฉัน”
“ก็ฉันไม่ได้เอารถมา”
ตะวันฉายหยุดเดิน
“อ้าว! จะกลับไม่ใช่เหรอ ไปสิ ยืนรออะไรอยู่”
กนิษฐาเดินไปที่รถของตะวัน ตะวันกอดกระเป๋าจำใจเดินไป
พอถึงแกลเลอรี่ตะวันเดินกอดกระเป๋าเงินก้าวลงรถมา กนิษฐาตามมา
“กระเป๋าอะไรก็ไม่ยอมบอก เอามาดูสิ”
“อย่ายุ่ง”
กนิษฐาแย่งกระเป๋ามาจากตะวัน ยื้อยุดกัน
ระหว่างนั้นภีร์ภูมิกับบุษบันเดินตื่นเต้นเข้ามาพอดี
“ตะวัน ๆ ฉันหาทางออกเรื่องเงินได้แล้ว”
สองคนยังยื้อยุดกระเป๋ากันอยู่
“เออ...ช่างมันก่อน”
ตะวันฉายยังไม่ปล่อยกระเป๋า กนิษฐาคาใจมากยังแย่งไม่หยุด
“คุณฟังเราก่อนสิครับ” ภีร์ภูมิเอ่ยขึ้น
ตะวันฉายฟังภีร์ภูมิ บุษบันเข้ามาจับแขนตะวันฉายด้วย ตะวันฉายเผลอ กนิษฐาแย่งกระเป๋ามา วิ่งเข้าไปในแกลอรี่ทันที
“เฮ้ย! เอามานี่นะ”
ตะวันฉายใจห่าย วิ่งตามกนิษฐาไป ภีร์ภูมิ บุษบันวิ่งตามไป
กนิษฐาเปิดกระเป๋าดู เห็นเงิน ตกใจ ตาโต
“เงิน! เงินอะไร”
ภีร์ภูมิกับบุษบันเห็นเงิน ตกใจ อึ้ง
“เงิน! เธอไปเอาเงินขนาดนี้มาจากไหน”
กนิษฐานึกขึ้นได้
“อย่าบอกนะว่าคุณเอาตรวนไปขายแล้ว”
กนิษฐารีบวิ่งไปชั้นบน ทุกคนรีบตามไป
ครู่ต่อมากนิษฐาเปิดตู้เซฟ มีแต่ความว่างเปล่า ตะวันยืนหน้าเสียอยู่
“คุณขายไปได้ยังไง”
บุษบันต่อว่า “นั่นนะสิ ทำไม ทำยังงี้ได้ยังไง ฉันบอกให้เก็บไว้ให้ฉันไง”
บุษบันเข้าไปตีแขนตะวันฉายเผียะ ตัดพ้ออย่างเสียใจ
“ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นคนแบบนี้ เธอไม่เห็นฉันเป็นเพื่อนหรือไง ไอ้เพื่อนบ้า ไอ้เพื่อนงก ฉันอุตส่าห์ไปกู้เงินธนาคารมาจนได้ แล้วทำไมเธอทำแบบนี้”
ตะวันฉายหลบแรงตีของบุษบัน ภีร์ภูมิเข้ามาจับบุษบันไว้ ขณะถาม
“แล้วคุณขายให้ใครไปครับ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เป็นผู้หญิง รวยมาก ผมไม่ได้ถามชื่อแล้วเขาก็ไม่ได้บอก”
กนิษฐาเม้ง “อะไรนะ ไม่รู้ด้วยว่าขายให้ใคร คุณทำอะไรลงไปเนี่ย ไปเอากลับมาเลยนะ”
“ฉันรับเงินเขามาแล้ว จะคืนได้ยังไง”
บุษบันโมโห “ไม่รู้ล่ะ ยังไงเธอก็ต้องตามกลับมาให้ได้”
ทุกคนมองหน้าตะวันฉายคาดโทษเป็นตาเดียวกัน จนตะวันฉายต้องหลบสายตา
“ได้ ๆ”
ตะวันฉายสึกผิด หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดโทร.ไปหาเบอร์ที่พิมพิลาสใช้ติดต่อมา
กลับมีแต่เสียง “ไม่มีหมายเลขที่ท่านเรียก กรุณาตรวจสอบหมายเลขอีกครั้ง”
ตะวันฉายกดวางหน้าม่อย
“ติดต่อไม่ได้”
“ติดต่อไม่ได้ แล้วจะรู้ไหมว่าใครซื้อไป”
ตะวันฉายหน้าจ๋อย สายตาทุกคู่ที่มองมาอย่างเอาเรื่อง
เวลาเดียวกันพิมพิลาสเปิดกระเป๋าดูตรวนทองคำ ยิ้มสะใจ ภาพพิศปรากฏขึ้นที่กระจก
“เอ็งทำถูกแล้ว อะไรที่เคยทำไว้ในอดีต เอ็งต้องเอามาแก้แค้นมัน ก่อนที่มันจะมาทำเอ็งในอนาคต”
พิมพิลาสปิดกระเป๋า เอาใส่ตู้เซฟ
ป้าทิพย์เปิดประตูห้องเข้ามา
“หนูพิม เมื่อกี๊ออกไปไหนมาลูก”
พิมพิลาสนิ่ง
“ป้าคะ ต่อจากนี้ไปห้ามใครเข้ามาในห้องพิมก่อนได้รับอนุญาต”
ป้าทิพย์ฟังแล้วสะอึก อึ้งๆ ไป
“มีอะไรหรือเปล่าหนูพิม”
“พิมต้องการความเป็นส่วนตัวค่ะ”
ป้าทิพย์อึ้งอีกครั้ง แล้วออกจากห้องไป พิมพิลาสหน้านิ่ง คิดอะไรในหัว
ป้าทิพย์เดินเข้ามาที่โถงบ้าน ท่าทีกลุ้มใจ “เดี๋ยวนี้หนูพิมเป็นอะไรไป”
นิ่มเดินผ่านมาก็สงสัย “คุณป้าบ่นอะไรอยู่คนเดียวคะ”
“ก็หนูพิมนะสิ เป็นอะไรก็ไม่รู้ เมื่อก่อนไม่เห็นเคยเป็นแบบนี้เลย”
“คุณหนูเป็นอะไรคะคุณป้า”
ป้าทิพย์นิ่ง ครุ่นคิด
“หนูพิมเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่ไปดูหมอมาคราวนั้น”
ป้าทิพย์คิดอะไรบางอย่างได้
ป้าทิพย์พาตัวเองมาเดินอยู่ที่ทางเดินในวัด พบหลวงพ่อกสินเดินผ่านมา ป้าทิพย์นั่งลงยกมือไหว้
“เจริญพรเถอะโยม”
“ดิฉันมาหาแม่หมอเดือนค่ะ แต่ไม่อยู่ ที่บ้านก็ปิดเงีย”
“โยมเดือนไม่อยู่แล้ว ตายไปแล้ว” หลวงพ่อกสินบอก
ป้าทิพย์ตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสงสาร “โธ่! แม่หมอ แล้วแม่หมอเป็นอะไรตายหรือคะ”
“มันตายเพราะมันทำเรื่องที่ไม่ควรทำ อาตมาฝากไปเตือนหลานโยมด้วยนะ ว่าอะไรที่มันเป็นบาปก็ให้หยุดทำซะ ไม่เช่นนั้นจะเสียใจภายหลัง”
พูดจบหลวงพ่อกสินก็เดินจากไป ป้าทิพย์ไม่เข้าใจ แต่กลัวในสิ่งที่ได้ยิน
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๑ (ต่อ)
ภีร์ภูมิกับบุษบันเดินเข้ามาพร้อมกันในล็อบบี้โรงแรม ตะวันฉายตามมา
“คุณภูมิให้ฉันมาที่นี่กับคุณทำไมคะ” บุษบันสงสัย
“ผมอยากรู้น่ะสิว่าคนที่มาซื้อตรวนไปเป็นใคร”
“ฉันว่านอกจากเราสองคนแล้ว คนที่ซื้อไปต้องมีอะไรผูกพันกับตรวนเหมือนเราแน่ ๆ” บุษบันตั้งข้อสังเกต
ภีร์ภูมิเห็นด้วย
“ผมก็คิดเหมือนคุณ เขาถึงได้กล้าซื้อไปในราคาสูงขนาดนั้น”
ภีร์ภูมิกับบุษบันเดินมาถึงล็อบบี้ซึ่งตะวันฉายรออยู่ก่อนแล้ว
“มาตรงเวลาเลยนะ” ตะวันฉายหันมาทางบุษบันเอาความชอบ “เธอรู้ไหมยัยบุษกว่าเขาจะยอมให้พวกเราเข้าไปดูกล้องวงจรปิด ฉันต้องเสียเงินไปเท่าไหร่”
“ก็ถือซะว่าชดใช้ตอนที่เธอขายไปโดยไม่บอกฉันก็แล้วกัน”
ภีร์ภูมิบอกอยากรู้เต็มทน
“เรารีบไปกันเถอะครับ”
ทั้งสามคนรีบเดินไป
เวลาต่อมาภายในห้องเก็บภาพวงจรปิดของโรงแรม ที่จอภาพ 3-4 จอ กำลังแสดงภาพบริเวณล็อบบี้ของโรงแรมวันก่อน
เจ้าหน้าที่ถามตะวันฉาย “คุณพอจะจำได้ไหมครับว่าคุณเข้ามาที่โรงแรมเวลาประมาณกี่โมง”
ตะวันฉายคิดๆ
“น่าจะเป็นช่วงประมาณสองทุ่มครับ”
เจ้าหน้าที่เปลี่ยนภาพที่จอไปยังเวลาประมาณสองทุ่มของวันดังกล่าว
ภีร์ภูมิกับบุษบันดูภาพอยากใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าเป็นใคร
ภาพที่จอแสดงเป็นภาพตอนที่พิมพิลาสกำลังเดินเข้ามาที่ล็อบบี้และนั่งรอที่โซฟา
ตะวันฉายจำได้ชี้ใหญ่ “นี่ไง ๆ ผู้หญิงคนนี้แหละ”
ภีร์ภูมิขยับเข้ามาดูใกล้ๆ แต่ยังดูไม่ออกว่าเธอคนนั้นเป็นใคร
ภาพในจอแสดงต่อไปเป็นตอนที่ตะวันฉายเดินเข้ามานั่งที่โซฟากับพิมพิลาส
“เห็นไม่ชัดเลย ขอดูอีกมุมได้ไหมครับ” ภีร์ภูมิบอก
เจ้าหน้าที่เปลี่ยนภาพเป็นอีกมุมหนึ่ง แต่เป็นภาพแสดงมุมด้านข้างของพิมพิลาส
บุษบันเพ่งมองดู
“ปิดหน้าปิดตาขนาดนั้น จะดูรู้ไหมว่าหน้าตาเป็นยังไง” บุษบันบอกกับเจ้าหน้าที่ “มีมุมที่ชัดกว่านี้ไหมคะ”
เจ้าหน้าที่เปลี่ยนมุมภาพไปอีกครั้ง
คราวนี้ภาพในใจค่อยๆ เปลี่ยนไปหลายๆ มุม และมาหยุดตรงด้านหน้าของพิมพิลาสที่กำลังจะถอดแว่นตาดำออก
ภีร์ภูมิกับบุษบันดูแล้วลุ้นระทึก ใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ภาพในจอพิมพิลาสถอดแว่นตาดำออกแล้ว แต่โชคร้ายที่มุมนั้นมีศีรษะด้านหลังของตะวันฉายบังไว้
ตะวันฉายเซ็ง “โธ่เอ๊ย! เลยไม่รู้กันว่าเป็นใคร”
ภีร์ภูมินิ่งมองดูคนในภาพ บุษบันเห็นท่าทีภีร์ภูมิเลยนึกสงสัย
“มีอะไรเหรอคะคุณภูมิ”
ภีร์ภูมิยังจดสายตาจ้องมองดูภาพนั้นอยู่
“ผมรู้สึกคุ้นๆ กับผู้หญิงคนนี้มาก แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน”
ภีร์ภูมิมองภาพนิ่งๆ พยายามคิดอย่างหนัก
ในเวลาเดียวกันนั้น นิ่มออกมาจากห้องนอนพิมพิลาส ในมือถือถาดอาหารออกมาด้วย ป้าทิพย์เดินมาดู เห็นอาหารในถาดยังเหลืออยู่เหมือนเดิม จึงถาม
“ไม่ทานข้าวอีกแล้วเหรอ”
“ค่ะ”
ป้าทิพย์บ่นอย่างเป็นห่วง “เดี๋ยวนี้เป็นอะไรข้าวปลาก็ไม่ยอมทาน”
นิ่มเดินออกไปแล้ว ป้าทิพย์ทำท่าอ่อนอกอ่อนใจ เป็นห่วงพิมพิลาส
ครู่ต่อมาป้าทิพย์จะเคาะประตูห้องพิมพิลาส แต่ได้ยินเสียงพิมพิลาสดังออกมาข้างนอก
“ฉันไม่ทำ! ฉันทำไม่ได้!”
ป้าทิพย์สงสัยว่าพิมพิลาสคุยอยู่กับใคร จึงเอาหูแนบประตูแอบฟังอย่างสนใจ
ส่วนภายในห้อง พิมพิลาสกำลังรู้สึกสับสน ว้าวุ่นหนัก
“ไม่มีใครทำอะไรฉันได้แล้ว ตรวนอยู่กับฉันแล้ว”
ระหว่างนั้นร่างของพิศปรากฏขึ้นที่กระจกในห้อง
“ถึงเอ็งจะมีตรวน แต่เอ็งก็อย่าคิดว่าเอ็งจะรอด ถึงยังไงมันก็ต้องหาทางฆ่าเอ็งจนได้”
พิมพิลาสระแวง เปิดกล่องตรวนทองคำที่วางอยู่ข้างๆ ดูเพื่อความแน่ใจ
“เห็นไหม ตรวนอยู่กับฉัน ฉันจะเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้ เท่านี้ฉันก็ไม่ตายแล้ว” พิมพิลาสว่า
พิศปรากฏตัวขึ้นอีกมุมหนึ่งของห้อง พูดจาข่มขู่
“ยังไงเอ็งไม่มีทางรอด! เอ็งต้องตาย”
พิมพิลาสกลัว เริ่มน้ำตาคลอๆ
“ไม่จริง! เขาจะมาฆ่าฉันทำไม”
พิศตะเบ็งเสียงใส่ “ก็เอ็งเคยฆ่ามันไงล่ะ ชาติที่แล้วเอ็งทำมันไว้ ชาตินี้มันจะมาเอาคืน”
พิมพิลาสร้องไห้สะอึกสะอื้น
พิศพูดต่อ “มีทางเดียวที่เอ็งจะรอด เอ็งต้องฆ่ามันก่อน”
“ไม่! ฉันทำไม่ได้! ฉันฆ่าใครไม่ได้” พิมพิลาสยืนกราน
“งั้นเอ็งก็รอความตายได้เลย ตายอยากคนแพ้ ตายอย่างไม่มีใครเหลียวแล ตายอย่างทุกข์ทรมาน” พิศพูดในอาการเหยียดหยาม เย้ยหยัน
พิมพิลาสตื่นตระหนก รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกปองร้าย
“ฉันไม่ทำ ฉันฆ่าคนไม่ได้! ฉันทำไม่ได้”
พิมพิลาสหวาดระแวง สับสน มองไปรอบตัวๆ เดินไปรอบๆ ห้อง แล้วเห็นปืนวางอยู่บนโต๊ะ
เสียงพิศสั่ง “หยิบมันขึ้นมาสิ”
พิมพิลาสมือสั่นๆ ค่อยๆ หยิบปืนขึ้นมา
“ฉันต้องทำจริงๆ เหรอ”
พิมพิลาสมองปืนในมือ
พิศบอกต่อ “เอ็งทำได้! เอ็งเคยชนะมาแล้ว และครั้งนี้เอ็งก็ต้องเป็นผู้ชนะ”
ท่าทีพิมพิลาสดูกล้าๆ กลัวๆ น้ำตาคลอมองปืนในมือเขม็ง
จังหวะนั้นเสียงประตูเปิดเข้ามาดังขึ้น พิมพิลาสหันไปมองเห็นว่าป้าทิพย์กำลังจะเข้ามา
พิมพิลาสวางปืนลงรีบวิ่งไปห้ามป้าทิพย์
กลายเป็นว่า ป้าทิพย์กับพิมพิลาสยื้อยุดประตูกัน โดยป้าทิพย์จะเปิดเข้ามา แต่พิมพิลาสจะปิดไม่ให้เข้า
ป้าทิพย์ตะโกนเข้ามา “หนูพิม! เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ให้ป้าเข้าไปดูหน่อย”
พิมพิลาสไม่ยอมปล่อยมือจากประตู
“พิมไม่เป็นอะไรค่ะป้า”
“แต่ป้าได้ยินเสียงหนูพูดกับใคร ให้ป้าเข้าไปเถอะ”
ป้าทิพย์ตัดสินใจผลักประตูอย่างแรง จนพิมพิลาสสู้แรงไม่ไหว ปล่อยประตูให้เปิดออก
ป้าทิพย์เดินเข้ามาในห้อง มองไปรอบๆ ห้อง แต่ไม่เห็นใคร แน่ใจว่าตัวเองหูไม่ฝาด
“หนูพิมพูดอยู่กับใคร”
ป้าทิพย์สอดส่ายสายตาไปรอบๆ เห็นปืนวางอยู่ ก็ตกใจ
“ปืน! นั่นปืนอะไร ปืนของใคร”
หญิงชราจะเข้าไปดูปืนใกล้ๆ แต่พิมพิลาสวิ่งมาหยิบ และเก็บใส่ลิ้นชักได้ก่อน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะป้า”
ป้าทิพย์ไม่วางใจ “แล้วหนูพิมไปเอาปืนมาจากไหน เอามาไว้ทำไมมันอันตราย”
“พิมเอาไว้ป้องกันตัวน่ะค่ะ”
“ใครจะทำอะไรหนูพิม บอกป้ามาซิ”
พิมพิลาสเงียบไม่ตอบ แต่สายตามองไปเห็นกล่องตรวนทองคำวางอยู่แต่ยังไม่ได้ปิด
พิมพิลาสรีบวิ่งไปที่กล่องตรวนทองคำ และปิดทันที
“นั่นกล่องอะไรน่ะหนูพิม”
ป้าทิพย์มองที่กล่องตรวนทองคำ
พิมพิลาสเอากล่องตรวนทองคำไปเก็บไว้ในตู้เซฟ และหมุดรหัสปิดตู้เซฟ ในขณะที่ป้าทิพย์มองไม่คลาดสายตา
“หนูพิมมีอะไรก็บอกป้าได้นะ”
พิมพิลาสรวบรวมสติของตัวเอง
“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ”
ป้าทิพย์ไม่วางใจ “แต่ป้าเห็นปืน แล้วก็ยังจะกล่องอะไรนั่นอีก”
พิมพิลาสยืนกราน และตัดบท “ไม่มีอะไรแล้วค่ะ ป้าออกไปเถอะ”
ป้าทิพย์อิดออด “แล้ว”
พิมพิลาสเสียงแข็ง “ออกไปค่ะ!”
ป้าทิพย์มองหน้าหลานสาว พิมพิลาสสีหน้านิ่ง ป้าทิพย์เดินออกจากห้องไป)
พิมพิลาสเดินไปปิดประตู และล็อคห้อง
ป้าทิพย์ออกมาหน้าห้อง ยืนคิดสงสัยอยู่
“กล่องอะไร? แล้วหนูพิมมีปืนได้ยังไง”
ป้าทิพย์คิดไม่ตก
ตกกลางคืนบุษบันนอนอยู่บนเตียงในห้องนอน เหมือนฝันร้ายท่าทีกระสับกระส่าย
ภาพฝันของบุษบัน เห็นตอนที่บัวกับฉัตรถูกจองจำด้วยตรวนและมีใครคนหหนึ่งจับสองคนถ่วงน้ำ ทั้งคู่ดิ้นทุรนทุราย แต่ตรวนก็ไม่หลุดจากข้อมือ แถมมีเลือดไหลออกมาจนน้ำเป็นสีแดงฉาน
บัวมองผ่านแผ่นน้ำขึ้นไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งก็คือพิศแต่เป็นภาพใบหน้าอันเลือนลางไม่ชัด ยืนอยู่มองลงมาใต้น้ำ
บุษบันสะดุ้งตื่นจากความฝัน ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยเหงื่อ หายใจเหนื่อยหอบท่าทีตื่นตระหนก
“ผู้หญิงคนนั้น! ใครกัน”
บุษบันมาหาภีร์ภูมิที่บ้านแต่เช้า เล่าความฝันให้ฟังจนจบ
ภีร์ภูมิปลอบคนรัก “มันเป็นแค่ความฝันน่ะคุณบุษ”
“ฉันว่าความฝันมันต้องเกี่ยวข้องกับคนที่ฆ่าเราแน่ๆ” บุษบันมั่นใจ
“คุณคิดมากไปหรือเปล่า ผมว่าคุณอยากรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าเราเลยเก็บเอาไปฝันมากกว่า”
“แต่ครั้งนี้ฉันเห็นผู้หญิงอีกคน ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นคนฆ่าเรา”
ภีร์ภูมิเริ่มสนใจมากขึ้น
“ผู้หญิงที่ไหน”
“ฉันก็เห็นหน้าไม่ชัดเหมือนกัน แต่ฉันแน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเกี่ยวข้องกับการตายของเรา และเกี่ยวข้องกับตรวน ฉันกลัวเหลือเกินคุณภูมิ ฉันกลัวว่าเรื่องในอดีตจะเกิดขึ้นอีก แล้วทำให้เราสองคนต้องพรากจากกันอีกครั้ง”
ภีร์ภูมิเข้าไปโอบไหล่ปลอบบุษบันอย่างอ่อนโยน บุษบันยังดูเป็นกังวลอยู่มาก
ที่แกลเลอรี่ของตะวันฉาย กล่องข้าว 2-3 กล่อง ซึ่งวางอยู่ จู่ๆ มีมือใครคนหนึ่งหนึ่งค่อยๆ หยิบกล่องข้าวขึ้นมา เจ้าของมือนั้นเป็นลุงมากนั่นเอง
มากถือกล่องข้าวแล้วพยายามรีบเดินหนีอย่างเร็ว สักครู่คนงาน 2 คนเดินมาเห็นมากพอดี)
“ลุง! ลุง!”
มากได้ยินก็ตกใจ พยายามวิ่งหนี คนงาน 2 คนวิ่งไล่ตาม
มากวิ่งไปชนกับกนิษฐาที่กำลังเดินมา มากล้มลงกับพื้น
กนิษฐาตกใจ “ลุง”
คนงานตามเข้ามาจับตัวมากไว้
“จับตัวคนขโมยข้าวได้แล้วครับคุณนิด”
กนิษฐาโบกมือไล่ คนงานพากันออกไป กนิษฐาหันมาทางมาก
“ลุงยังไม่กลับวัดไปอีกเหรอ ทำไมมาอยู่ตรงนี้”
“หนู! ฉันไม่กลับวัดนะ ฉันไม่กลับ หนูให้ลุงอยู่ที่นี่นะ” มากอ้อนวอน
“ทำไมล่ะลุง ไม่กลับวัดแล้วจะไปอยู่ที่ไหน” กนิษฐาสงสัย
“ฉันไม่กลับ ฉันกลัวตาย ฉันไม่อยากตาย” มากยืนกราน
“ใครจะทำอะไรลุง”
“มีคนจะฆ่าฉัน ฉันไปรู้ความลับของเขามา” ชายชราตาบอดมีท่าทีหวาดผวา
กนิษฐาตกใจ
“ความลับอะไรลุง”
ครู่ต่อมามากรีบกินข้าวด้วยความหิว กนิษฐาอยู่ข้างๆ พึมพำออกมาหลังฟังว่าเรื่องเกี่ยวข้องกับตรวนทองคำ
“มีคนจะตายเพราะตรวนทองคำเหรอลุง”
มากกลืนข้าวลงคอก่อนจะเริ่มเล่า
“ฉันได้ยินมาอย่างงั้นจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นตรวนอันเดียวกับที่พวกหนูพูดกันหรือเปล่า”
กนิษฐาคาใจมาก “ใครจะตาย ลุงไปได้ยินมาได้ยังไง”
มากตักข้าวเข้าปาก
“คุณหนู! มีคุณหนูคนนึงชอบไปดูดวงที่วัด แล้วเห็นว่าจะมีคนตายเพราะตรวน ฉันไปได้ยินความลับนี้เข้าคุณหนูคนนั้นเลยจะฆ่าฉัน”
“แล้วลุงรู้ไหมว่าคุณหนูคนนั้นเป็นใคร”
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าชื่ออะไร แต่ขับรถคันใหญ่ ๆ ท่าทางจะรวยมาก สวยด้วย และใช้น้ำหอมกลิ่นหอม ๆ กลิ่นยังติดจมูกฉันอยู่เลยเนี่ย”
“คุณหนู คุณหนูที่ไหน”
กนิษฐานิ่งคิด สีหน้าฉงนสงสัยอย่างมาก
ติดตาม "บ่วงวันวาร" ตอนที่ ๑๒ (อวสาน)