บ่วงวันวาร ตอนที่ ๘
หากมองจากมุมบนลงมา จะเห็นตึกสูงเทียมฟ้า และอาคารบ้านช่องสูงต่ำไล่เรียงกันไป รถไฟฟ้าแล่นทะยานไปเบื้องหน้าเพื่อนำพาผู้โดยสารสู่จุดหมายปลายทาง ส่วนตรงบริเวณทางเท้าริมถนนนั้นเล่า ผู้คนขวักไขว่วุ่นวายเดินสวนกันไปมาด้วยท่าทีรีบร้อน
ขณะที่รถยนต์หลากหลายสไตล์แล่นอยู่บนท้องถนน ด้วยสภาพการจราจรแออัดไปหมด ยินเสียงบีบแตรรถขอทางดังอื้ออึง
นี่คือฉากชีวิตอันชินตาของกรุงเทพมหานครในปี พุทธศักราช ๒๕๕๖
เช้าวันนี้ภายในห้องครัวที่บ้านพิมพิลาส ป้าทิพย์กำลังเตรียมส่วนผสมสำหรับทำเค้กอยู่ เช่น แป้ง ไข่ น้ำตาล เนย โดยมีนิ่ม สาวใช้กำลังเอาอุปกรณ์ทำเค้กและแต่งหน้าเค้กออกมาเตรียมไว้บนโต๊ะ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น มี ‘ก้านร่ม’ สำหรับทำดอกกุหลาบวางอยู่ด้วย ป้าทิพย์เห็นเข้าก็ชะงักนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ
“นิ่ม” ป้าทิพย์หยิบก้านร่มขึ้นมา พลางพูดเสียงดัง “ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามเอา ‘ของมีคม’ มาวางไว้ใกล้ๆ คุณหนู” หญิงสูงวัยเน้นคำตรงคำว่า...ของมีคม ตอนท้ายประโยค
“แต่อันนี้มันไม่มีคมนะคะ” นิ่มท้วง
ป้าทิพย์พูดสวนคำอย่างเร็ว “แต่มันแหลม” หญิงชราชี้ให้ดูตรงปลายก้าน “ถ้ามันจิ้มมือคุณหนูเข้าจะทำยังไง เอาไปเก็บ
นิ่มลนลานเอาก้านร่มใส่เข้าตู้แบบลวก ๆ แล้วปิดตู้
ทันใดนั้น ก็มีเสียงแก้วแตกดังเพล้ง!! ป้าทิพย์ร้อง “ว้าย” ด้วยความตกใจขณะหันไปดูตามเสียง
เห็นว่าที่อีกมุมของครัว หวาน สาวใช้อีกคนจัดแก้วแชมเปญใส่ถาดเตรียมจะยกออกไป แต่พลาด ทำแก้วตกแตกกระจายทั่วพื้น หวานตกใจ หน้าเหวอ!
ป้าทิพย์เสียงดัง “หวาน! ทำไมซุ่มซ่ามอย่างนี้” หวานลนลาน “เก็บเดี๋ยวนี้เลยนะ เก็บให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว!”
หวานลนลานอยู่อย่างนั้น แล้วรีบไปเอาไม้กวาดมากวาดเศษแก้ว ป้าทิพย์พร่ำบ่นไป
“รู้ก็รู้ว่าคุณหนูเป็นโรคลูคีเมีย เลือดออกไม่ได้ ถ้าเกิดคุณหนูเหยียบโดน แล้วเลือดไหลไม่หยุดขึ้นมาจะทำยังไง”
หวานเก็บเศษแก้วอย่างรีบร้อน เพราะป้าทิพย์คอยเร่ง
“เร็ว ๆ ซีคุณหนูจะลงมาแล้ว นิ่มมาช่วยกันดูเศษแก้วก่อน”
นิ่มกับหวาน รีบเก็บเศษแก้วอย่างถี่ถ้วน ถึงขนาดมุดตามใต้โต๊ะ หาทุกซอกทุกมุมเลยทีเดียว!
ระหว่างนั้นหญิงสาวผู้ที่ป้าทิพย์ห่วงใยหนักหนา พิมพิลาสแต่งตัวสวยงามกว่าทุกวันกำลังก้าวจากชั้นบน เดินลงบันไดเวียนปูพรมสวยมาอย่างช้าๆ และเลยผ่านไปยังห้องโถงในบ้าน
บริเวณห้องโถงใหญ่ภายในบ้านพิมพิลาส ทุกตารางนิ้วเป็นระเบียบเรียบร้อย เฟอร์นิเจอร์จัดวางไว้ตามมุมต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ โดยไม่มีส่วนใดยื่นออกมาให้เป็นสิ่งกีดขวางทางเดิน นอกจากนี้ยังไม่มีของตกแต่งชิ้นไหนที่เป็นของแหลมคมหรือแตกหักได้ แม้กระทั่งแจกันดอกไม้ กรอบรูป หรือเครื่องแก้วต่าง ๆ ก็ไม่มีวางให้เห็น
ส่วนภายในครัว ป้าทิพย์ตรวจดูความเรียบร้อยอยู่ โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าที่หน้าประตูห้องครัว มีเศษแก้วแตกชิ้นใหญ่กระเด็นไปอยู่ตรงประตูนั้นพอดิบพอดี
จังหวะนั้นพิมพิลาสกำลังเดินตรงมาที่หน้าประตูห้องครัว หญิงสาวส่งเสียงทักทายอย่างอ่อนหวานมาก่อนตัว
“ทำอะไรกันอยู่คะ ป้าทิพย์”
ป้าทิพย์หันไปตามเสียง จึงเห็นว่าเท้าของพิมพิลาสกำลังจะเหยียบเศษแก้วแตกชิ้นนั้น ป้าทิพย์ร้องเสียงหลง
“คุณหนู หยุดค่ะ!”
พิมพิลาสตกใจกลัว หยุดชะงักทันที
“เศษแก้วค่ะ”
ป้าทิพย์วิ่งไปเก็บเศษแก้วแตกขึ้นมา พิมพิลาสถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ คุณหนู”
ป้าทิพย์ว่าพลางหันไปทิ้งเศษแก้วแตกลงถังขยะที่หวานเดินมารับไป พร้อมกับค้อนสาวใช้ตาเขียว
“ซุ่มซ่ามกันเหลือเกิน ดีนะที่คุณหนูไม่เป็นอะไร”
นิ่มกับหวานหน้าจ๋อย พิมพิลาสยิ้มเยื้อนพูดอย่างใจดี
“อย่าไปว่านิ่มกับหวานเลยจ้ะ พิมผิดเอง โดนอะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่ได้ เบื่อตัวเองจะตายอยู่แล้ว” หญิงสาวว่า
ไม่นานนัก พิมพิลาสเริ่มลงมือทำเค้ก โดยมีป้าทิพย์ นิ่ม และหวานคอยช่วย
“ที่จริงคุณหนูไม่เห็นต้องลงมาทำเองก็ได้นะคะ ป้าทำให้ก็ได้”
“ไม่ได้หรอกจ้ะ พิมอยากทำเค้กให้เขาด้วยตัวของพิมเอง” ซาบซึ้ง “ภูมิทำอะไรให้พิมมาตั้งเยอะแยะ วันนี้วันเกิดของเค้า พิมอยากทำอะไรดีๆ ให้ภูมิเค้าบ้าง”
พิมพิลาสยิ้มละไม เมื่อประหวัดถึงชายหนุ่มแสนดีที่เธอรัก เขาคนนั้น “ภูมิ” หรือ “ภีร์ภูมิ”
ช่วงเวลาตอนกลางวัน ที่ห้องทำงาน ภายในสำนักงานโครงการหมู่บ้าน เค้กชิ้นเล็กๆ ราคาถูก ซึ่งมีเทียนปักไว้ 1 เล่มพอเป็นพิธี อยู่ในมือของไก่เลขาหนุ่มของภีร์ภูมิแล้ว ก่อนจะมีเสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ดังมาจากกลุ่มคนงานหลายคนที่ยืนล้อมวงกันอยู่ พอเพลงจบ คนงานต่างร้องเฮดังลั่น
เจ้าของวันเกิดและเจ้านายของทุกคน ภีร์ภูมิ เขาแต่งตัวดูภูมิฐาน เท่ห์ ในมาดวิศวกร ยืนอยู่ต่อหน้าเค้กในมือเลขาหนุ่ม สีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเป่าเทียน
พอเทียนดับลง คนงานร้อง “เฮ!” อีกครั้ง
“ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะครับ ลูกพี่” ไก่อวยพรหน้าตาเปื้อนยิ้ม
ภีร์ภูมิยิ้มแย้ม “ขอบใจมากนะทุกคน”
“นิดหน่อยครับ เค้กก้อนเดียว เค้าเรียกกุ้งฝอยตกปลากระพง” ไก่ว่ายิ้มๆ
ลูกน้องคนหนึ่งบอก “ใช่ เพราะวันนี้ ลูกพี่ต้องเลี้ยงใหญ่!
ลูกน้องที่เหลือส่งเสียงร้องเป็นเสียงเดียวกัน
“เลี้ยง ๆ ๆ”
ภีร์ภูมิทำหน้ายิ้มรู้ทันลูกน้อง แต่เสียงโทรศัพท์มือถือของภีร์ภูมิก็ดังเข้ามาขัดจังหวะ เสียงดังของคนงานเงียบลงทันที
ภีร์ภูมิยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นเป็นเบอร์ของพิมพิลาส ก็รับสาย
“ครับ...พิม”
ไก่ และคนงานเงี่ยหูฟัง ภีร์ภูมิแกล้งทำหน้าดุ
พิมพิลาสกำลังคุยโทรศัพท์กับภีร์ภูมิอยู่ในครัว ป้าทิพย์กำลังเอาเค้กเข้าเตาอบ
“วันนี้วันเกิดภูมิ อย่าลืมนัดของเรานะคะ”
“ผมไม่ลืมหรอกครับ เดี๋ยวผมเคลียร์งานทางนี้เสร็จแล้วจะรีบไป” ภีร์ภูมิบอก
“พิมจะรอค่ะ” พิมพิลาสวางสาย ยิ้มมีความสุข
ภีร์ภูมิวางสาย ลูกน้องร้องเสียงโอดโอย
โดยมีไก่เป็นต้นเสียง “มาอีรูปนี้ ท่าทางจะอดอีกแล้ว!” แล้วหันมาตัดพ้อกับพวกคนงาน “กลับไปกินข้าวฝีมือเมียอีกแล้วพวกเรา”
ภีร์ภูมิบอกกับเหล่าคนงาน “เอาไว้วันหน้าแล้วกัน เลี้ยงแน่ จัดเต็ม! ไม่อั้น”
“สัญญาแล้วนะเจ้านาย” ลูกน้องคนหนึ่งว่า
ภีร์ภูมิพยักหน้า ลูกน้องเฮ
เวลาต่อมาภีร์ภูมิเดินตรวจงานก่อสร้างหมู่บ้านอยู่ มีไก่เดินตาม
“อย่าหาว่าผมเสือกเลยนะครับ ไหน ๆ วันนี้ก็ฤกษ์งามยามดี ทำไมลูกพี่ไม่ขอคุณพิมแต่งงานไปเลยล่ะครับ” ไก่เอ่ยถามขึ้น ท่าทีเกรงใจ
“ฉันยังไม่พร้อม” ภีร์ภูมิตอบ
“แล้วจะพร้อมเมื่อไหร่ล่ะครับ ผมเห็นคบกันมาตั้งหลายปีแล้ว แต่งช้าระวังมีลูกไม่ทันใช้นะครับ”
“ฉันไม่อยากเหมือนแกไง ไอ้ไก่ เมียสองลูกสาม ทำงานแทบตายเงินยังไม่พอใช้ เท่ตายละ”
ภีร์ภูมิพูดล้อไก่ขำๆ ทำเหมือนไม่แคร์ แต่แววตาแอบกังวล เพราะรู้ว่าพิมพิลาสเองก็อยากแต่งงาน
บ่ายวันเดียวกัน ยินเสียงเตาอบดังขึ้นภายในครัวบ้านพิมพิลาส ป้าทิพย์เปิดเตาอบเอาเค้กออกมา นิ่มกับหวานตาโต
“โอ้โห หอมจัง” หวานบอก
“สวยด้วย คุณหนูเก่งจังเลยค่ะ” หวานเป็นปลื้ม
พิมพิลาสยืนยิ้มดูผลงาน ป้าทิพย์เอาเค้กมาวางที่โต๊ะ บนโต๊ะมีของตกแต่ง เช่น เม็ดน้ำตาลสี ๆ ช็อคโกแลต ตุ๊กตาน้ำตาล ผลไม้หันเป็นชิ้น ใส่กล่องพลาสติกวางไว้
พิมพิลาสเริ่มลงมือตกแต่งเค้ก ป้าทิพย์หยิบของตกแต่งส่งให้พิมพิลาส พิมพิลาสแต่งหน้าเค้กอย่างมีความสุข
พริบตานั้นหน้าเค้กเริ่มมีสีสัน มีของตกแต่งอย่างสวยงาม
ป้าทิพย์ชมไม่ขาดปาก “สวยมากค่ะคุณหนู คุณภูมิเห็นต้องปลื้มแน่ๆ”
พิมพิลาสนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ขณะที่พูดมือก็แต่งหน้าเค้กไปด้วย
“ป้าอย่าลืมเตรียมเทียนมาไว้ให้พิมด้วยนะ”
“ว้าย! ตายจริง ป้าลืมซื้อเทียน” หญิงชราร้องเสียงดัง
“เดี๋ยวหวานออกไปซื้อให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ” หวานอาสา และกำลังจะก้าวออกไป
ป้าทิพย์รีบบอก “ไม่ต้องหรอก หวาน ฉันไปเอง จะต้องไปซื้อของใช้ส่วนตัวอยู่แล้ว”
ป้าทิพย์หันไปทางพิมพิลาส
“เดี๋ยวป้าออกไปซื้อเทียนให้นะคะ” แล้วหันมาพูดกับสาวใช้ “พวกเธออยู่ดูคุณหนูที่นี่ อย่าออกไปไหนจนกว่าฉันจะกลับมา เข้าใจไหม!”
นิ่ม กับหวานรับ “ค่ะ” พร้อมกัน
ป้าทิพย์เดินออกจากครัวไปแล้ว พิมพิลาสตกแต่งหน้าเค้กต่ออย่างตั้งใจ ครู่หนึ่ง พิมพิลาสคิดอะไรบางอย่างได้ พูดขึ้นอย่างนึกสนุก
“จริงสิ วันนี้วันเกิดภูมิทั้งที ฉันอยากเปลี่ยนบรรยากาศหน่อย นิ่มกับหวานเธอช่วยไปจัดโต๊ะกินข้าวที่ริมสระน้ำให้หน่อยนะจ๊ะ”
นิ่มรับคำสั่งด้วยความยินดี
“ได้ค่ะ นิ่มไปย้ายให้เดี๋ยวนี้เลยนะคะ”
นิ่มจะเดินออกไป
พิมพิลาสบอก “ไปช่วยกันทั้งสองคนนั่นแหละ จะได้เสร็จเร็วๆ”
หวานทักท้วง “แต่ป้าทิพย์บอกให้หนูอยู่ดูคุณหนู”
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ฉันอยู่คนเดียวได้ เหลือแค่แต่งหน้าเค้กเอง ไปเถอะ ช่วยกันจะได้เสร็จเร็ว ๆ เดี๋ยวภูมิก็จะมาแล้ว”
หวานรับคำ “ค่ะ”
จากนั้นหวานกับนิ่ม ก็พากันเดินออกไป พิมพิลาสหยิบขวดน้ำตาลไอซิ่ง
“เอ้า! หมด”
พิมพิลาสเดินไปหาตามตู้ต่าง ๆ ก็ไม่มี
“ป้าทิพย์เก็บไว้ไหนนะ”
พิมพิลาสพึมพำ ก่อนจะเดินไปเปิดที่ตู้แขวนติดผนังด้านบน ที่เก็บสต๊อกเครื่องปรุงต่างๆ พิมพิลาสหยิบถุงน้ำตาลไอซิ่งถุงใหม่มา
“กรรไกรอยู่ไหนนะ”
พิมพิลาสยกถาดใส่มีดวางแอบอยู่ในตู้ออกมาหา เห็นกรรไกรวางแอบอยู่ในนั้น พิมพิลาสวางถาดใส่มีดที่มีมีดใหญ่เล็กหลายขนาดลงบนโต๊ะ ข้างๆ ถุงไอซิ่ง พิมพิลาสหยิบกรรไกรออกมาจัดตัดปากถุง แต่มือดันปัดไปโดนกล่องใส่เครื่องตกแต่งอย่างอื่นตก ของกระจายเลอะพื้น
พิมพิลาสขัดใจ วางกรรไกร ก้มลงใช้กระดาษทิชชูเก็บของที่พื้น
ระหว่างนั้นที่บนโต๊ะ ถุงไอซิ่งที่ตั้งไว้เอียงล้มไปชนถุงแป้ง ถุงแป้งไปชนกล่องใส่มีด น้ำหนักของสองถุงดันให้ถาดใส่มีดไหลลงมา มีดเล่มใหญ่เล่มเล็กตกลงมาที่ตัวพิมพิลาสพอดี
พิมพิลาสร้อง “ว้าย”
มีดเล่มใหญ่สุดปักฉึกเข้าที่ข้อมือพิมพิลาสเป็นแผลลึก! เลือดเริ่มไหลออกมา พิมพิลาสตกใจ หน้าซีด พยายามใช้มือปิดห้ามเลือดที่แขนแต่ก็ไม่เป็นผล เลือดยังไหลไม่หยุดเป็นทางนองพื้น!
พิมพิลาสเห็นเลือดตัวเองแล้วตกใจจะเป็นลม พยายามกระเสือกกระสนตัวเองเพื่อที่จะมาหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ก็ไม่สำเร็จ พิมพิลาสมองเลือดที่ไหลออกมาเยอะมากแลดูน่ากลัว
พิมพิลาสเริ่มหมดแรง หายใจหอบสายตาพร่ามัว มองอะไรไม่ชัด ก่อนจะหมดสติไป เลือดยังคงไหลออกมาไม่หยุด!
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๘ (ต่อ)
เวลาผ่านไป จากบ่ายคล้อยเป็นเย็นย่ำ ขณะที่ป้าทิพย์เดินถือถุงใส่เทียนวันเกิดเข้ามาหน้าบ้าน เป็นเวลาเดียวกับที่ภีร์ภูมิขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านเช่นกัน ชายหนุ่มเปิดประตูก้าวลงมาจากรถ
ป้าทิพย์เดินเข้ามาพอดี เห็นภีร์ภูมิก็ตกใจ กลัวว่าจะไปเห็นพิมพิลาสกำลังทำเค้กแล้วไม่เซอร์ไพรส์
“คุณภูมิมาเหนื่อย ๆ ไปนั่งพักที่ห้องนั่งเล่นก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวป้าเอาน้ำเย็น ๆ ไปให้”
ภีร์ภูมิถาม “พิมอยู่ห้องนั่งเล่นเหรอครับ”
“คุณหนูอยู่ในครัวค่ะ” ป้าทิพย์ยิ้ม “แต่คุณภูมิห้ามเข้าไปนะคะ เดี๋ยวจะอดเซอร์ไพรส์”
ภีร์ภูมิยิ้มแล้วเดินเข้าไปในบ้าน
ป้าทิพย์เดินตาม แล้วหันไปเห็นนิ่มกับหวานกำลังช่วยกันจัดโต๊ะอยู่ริมสระน้ำ ป้าทิพย์นึกสงสัย
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้กัน”
ป้าทิพย์เดินเข้ามาหานิ่มกับหวานที่ริมสระน้ำ
“เธอสองคนมาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“คุณหนูอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ให้ย้ายโต๊ะมาที่ริมสระน้ำค่ะ”
ป้าทิพย์นึกขึ้นได้ ตกใจ!
“แล้วพวกเธอทิ้งคุณหนูไว้คนเดียวเรอะ!”
“ค่ะ คุณหนูให้มาช่วยกัน” หวานบอก
“อ้าว ตายจริง” นึกห่วง “คุณหนูคะ คุณหนู”
ป้าทิพย์หน้าตาร้อนใจ รีบเดินไวๆ เข้าไปในครัว
พอป้าทิพย์วิ่งเข้ามาถึงในครัว ก็ตกใจร้องเสียงดัง
“คุณหนู! คุณหนู”
ภีร์ภูมิได้ยินเสียงก็วิ่งตามเข้ามา เห็นเลือดนองเต็มพื้นครัว พิมพิลาสนอนจมกองเลือดหมดสติอยู่
ภีร์ภูมิตกใจ ตั้งสติแล้วรีบเข้าไปช้อนร่างอุ้มพิมพิลาสขึ้นมาทันที
“พิม! พิมอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ พิม”
ภีร์ภูมิอุ้มพิมพิลาสออกไปที่รถ ป้าทิพย์วิ่งตามไปติดๆ
ไม่นานหลังจากนั้นภีร์ภูมิอุ้มพิมพิลาสมาที่ห้องฉุกเฉิน พยาบาลออกมารับ
“ช่วยด้วยครับ คนไข้เป็นลูคีเมีย ตอนนี้เลือดออกไม่หยุดเลยครับ”
ภีร์ภูมิอุ้มพิมพิลาสนอนบนเตียง พยาบาลเข็นเตียงพิมพิลาสเข้าห้องฉุกเฉินไป ภีร์ภูมิ ป้าทิพย์ นั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน สีหน้าไม่ดี เป็นห่วงพิมพิลาส
ป้าทิพย์บ่นโทษตัวเอง “เป็นความผิดของป้าเอง ป้าไม่น่าทิ้งคุณหนูไว้คนเดียวเลย”
ภีร์ภูมิแลกใจ “ปกติพิมไม่เข้าครัว วันนี้นึกยังไง”
“เธออยากทำเค้กวันเกิดให้คุณน่ะค่ะ ป้าบอกให้ซื้อเค้าเธอก็ไม่ยอมบอกว่าอยากทำให้ด้วยมือของตัวเอง”
คำพูดหญิงชรา ทำเอาภีร์ภูมิถึงกับอึ้งไป
ระหว่างนั้นหมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพอดี
“หมอครับคนไข้เป็นยังไงบ้างครับ”
“โชคดีนะครับที่ยังมาโรงพยาบาลได้ทัน มีดโดนเส้นเลือดใหญ่พอดีคนไข้เสียเลือดมาก ถ้ามาช้ากว่านี้คนไข้อาจจะช็อก หรือถึงแก่ชีวิตได้”
“แต่ตอนนี้ก็ปลอดภัยแล้วใช่ไหมครับ”
“โรคลูคีเมียมันอันตรายตรงที่ ถ้าเลือดออก มันจะไหลไม่หยุด พวกคุณต้องคอยระวังให้มากกว่านี้นะครับ อะไรที่มันเสี่ยงกับการบาดเจ็บ ทำให้เลือดออกให้หลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด” หมอกำชับ
ภีร์ภูมิรับคำ “ครับ ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ”
หมอเดินกลับเข้าไปในห้องตามเดิม ภีร์ภูมิเดินไปยืนมองผ่านประตูห้องฉุกเฉิน
“โรคบ้าโรคบออะไร เลือดออกแล้วไหลไม่หยุด ทำไมคุณหนูถึงต้องเป็นโรคนี้ด้วยนะ ชาติที่แล้วทำเวรทำกรรมอะไรไว้ มันถึงได้เป็นแบบนี้”
ป้าทิพย์ครวญคร่ำ
ภายในบ้านของบุษบัน ช่วงเวลายามเย็น ยินเสียงจากการเจียรโลหะดังสนั่น! บ้านหลังนี้ตกแต่งเป็นบ้านสไตล์ โมเดิร์น มีสตูดิโอปฏิบัติงานศิลป์อยู่ในบ้าน
ส่วนรอบๆ บ้านเต็มไปด้วยงานศิลปะแทบทุกแขนง ทั้งภาพวาด ประติมากรรมทรงแปลก ๆ ขนาดเล็ก ใหญ่ แตกต่างกันไป
จังหวะนั้นสะเก็ดไฟจากการเจียรโลหะแตกกระเด็นวิบวับ ด้วยฝีมือของใครคนหนึ่งใส่ชุดหมี ใส่หน้ากากป้องกันสะเก็ดไฟ กำลังเจียรประติมากรรมเทพ ‘อีรอส’ หรือ คิวปิดที่กำลังแผลงศรซึ่งทำด้วยโลหะ เธอกำลังใช้เครื่องเจียรสลับกับใช้ตะไบขัดตกแต่งส่วนที่ เป็นปลายธนูให้ดูแหลมคม และเข้ารูป
แทนกับตั้ม สองรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยมาคอยเป็นผู้ช่วยและลูกมือ โดยยืนดูอยู่ข้างๆ มีกองเศษเหล็กอยู่ที่พื้นเต็มไปหมด
คนในชุดหมีคนนั้นวางเครื่องมือ แล้วถอดหน้ากาก และชุดหมีออก เผยให้เห็นเป็น “บุษ” หรือ “บุษบัน” สาวสวยในชุดแฟชั่นทันสมัย ออกแนวอินดี้นิดๆ ทั้งสวยและเท่ห์ ยืนมองผลงานตัวเองอย่างภูมิใจ แทนและตั้มปรบมือขึ้นพร้อมๆ กัน
“เจ๋งว่ะ พี่บุษ” แทนเอ่ยชมพร้อมกับเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ผลงาน “พื้นผิว ทรวดทรงองค์ประกอบ เป๊ะ”
ตั้มอวยต่อ “โรแด็งก็โรแด็งเถอะ เจอบุษบันเข้าไป ต้องเรียกพี่”
“นี่ยังไม่เสร็จดีนะ” บุษบันพูดพลางชี้ “ตรงคันธนูนี่ฉันตั้งใจทำพิเศษ แล้วดูตรงปีกนี่ ฉันจะทำให้มันพริ้วไหวเหมือนกับจะโบยบินได้จริงๆ”
“แต่ถ้าจะให้ดีน่ะพี่ ต้องทำให้มันแผลงศรได้จริงๆ ด้วย” ตั้งยิ้มกวนแซวๆ อย่างมักคุ้นขณะพูดประโยคต่อมา “พี่บุษจะได้มีแฟนซะที”
บุษบันยักไหล่ “มีทำไมแฟน ฉันไม่เห็นอยากมี”
แทนแซว “หรือพี่บุษไม่ชอบผู้ชาย”
เลยถูกบุษบันด่าเอา “ไอ้บ้า! รสนิยมทางเพศฉันปกติดีย่ะ แต่เนื้อคู่ฉันยังไม่เกิดตะหาก”
ทันใดนั้น เสียงกฤษณ์ดังนำมาก่อนตัว
“เกิดแล้วครับ เพียงแต่คุณบุษไม่หันมามองเค้าเองต่างหาก”
บุษบันได้ยินเสียง รู้เลยว่าใคร สาวมาดมั่นทำหน้าเซ็ง
บุษบันทำเป็นง่วนกับงานตรงหน้า ไม่รู้ไม่ชี้ กฤษณ์ยืนมองคิวปิดสลับกับบุษบัน สรรเสริญเยินยอ
“สวยมากเลยน้องบุษ ผมเห็นตั้งแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง จนตอนนี้ใกล้เสร็จแล้ว สวยจริงๆ”
“ขอบคุณค่ะ”
กฤษณ์มองบุษบันตาเยิ้ม “งานว่าสวยแล้ว คนยิ่งสวยกว่า”
ขณะพูดกฤษณ์เดินเข้ามาใกล้ ๆ บุษบันขยับตัวหนี”
“คิวปิดนี่ ถ้าเสร็จแล้ว ผมขอซื้อนะน้องบุษ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณกฤษณ์ แฟนบุษจองเอาไว้แล้ว” บุษบันว่า
“น้องบุษมีแฟนแล้ว ใครครับ”
ตะวันฉายเดินเข้ามาได้จังหวะพอดี
“บุษ…” ตะวันฉายทัก แล้วชะงัก “อ้าว ไม่ยักรู้ว่า...”
บุษบันได้โอกาส โถมเข้าไปหาทันที
“คุณกฤษณ์มาขอซื้อคิวปิดน่ะค่ะ” พลางเข้าไปกอดแขนตะวันฉาย “แต่บุษไม่ขาย บอกว่าแฟนจองเอาไว้”
กฤษณ์ชะงักนิดหนึ่ง “ผมไม่ยักรู้ว่าคุณสองคนเป็นแฟนกัน”
“ตะวันเค้าไม่ค่อยแสดงออกน่ะค่ะ แต่เรารักกันมาก” บุษบันหอมแก้มตะวันฉายฟอดหนึ่ง “จริงไหมคะ ตะวัน”
ตะวันฉายสะดุ้ง บุษบันแอบหยิกแขนตะวันฉาย กฤษณ์หน้าบึ้ง แล้วเดินออกไปเลย
เย็นนั้นสองคนอยู่อีกมุมในบ้าน บุษบันเสิร์ฟกาแฟให้ตะวันฉายและตัวเอง ตะวันฉายแกล้งเอามือเช็ดหน้าตัวเองตรงข้างที่โดนหอมแรงๆ
“อื้อฮื้อ ขนลุก นี่เมื่อไหร่เธอจะเลิกอ้างว่าฉันเป็นแฟนซะที ห๊ะ ทำแบบนนี้บ่อยๆ ใครเค้านึกว่าเป็นเรื่องจริง ฉันก็ขายไม่ออก”
“เธอมันขายไม่ออกอยู่แล้ว ตะวัน อย่ามาโทษฉัน”
“จ้า ใครจะเหมือนเธอ แม่สวยเลือกได้ เลือกมันอยู่นั่น ตั้งแต่สาวยัน...”
ตะวันฉายพูดไม่ทันจบ บุษบันทำตาเขียวใส่ “อะไร”
“เธอเลิกกับแฟนคนสุดท้ายเมื่อไหร่นะ สิบปีมาแล้วได้ไม๊”
บุษบันแว้ดใส่ “หก”
“ฉันถามจริงๆ เธอยังไม่เจอใครถูกใจซักคนเลยเหรอ”
“ยัง... แต่ฉันเชื่อนะ ว่ามันต้องมีใครสักคนที่ใช่ คนที่ฉันรอเขาอยู่ และเขาก็กำลังรอฉัน”
“โหยย…นิยายอ่า” ตะวันฉายเย้า
บุษบันตีที่แขนตะวันฉายเต็มแรง ชายหนุ่มร้อง “โอ๊ย”
ต่อจากตอนที่แล้ว
ภายในห้องพักฟื้นของพิมพิลาสที่โรงพยาบาล ตอนกลางคืน ภีร์ภูมิยืนอยู่ข้างเตียง สองคนร้องเพลงวันเกิดด้วยกัน
พิมพิลาส กับภีร์ภูมิร้องประสานเสียง “แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ ทู ยู แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ ทู ยู แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ ทู ยู”
พิมพิลาสกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง หน้าตาซีดเซียว ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์จนจบ ภีร์ภูมิร่าเริง ดีใจ
“เป่าเลยนะครับ”
“ภูมิอธิษฐานก่อนสิคะ”
“ผมจะขออะไรดีนะ งั้น ผมขอให้พิมหายไว ๆ แล้วกัน”
พิมพิลาสยิ้มดีใจ ภีร์ภูมิเป่าเทียน เทียนดับลง
จากนั้นภีร์ภูมิวางเค้กลงบนโต๊ะข้างเตียง
“เค้กก้อนเดียวทีหลังซื้อเอาก็ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องทำเองเลย เจ็บตัวมามันไม่คุ้ม”
“วันนี้เป็นวันสำคัญของภูมิ พิมอยากทำอะไรให้ภูมิด้วยตัวเองบ้าง น่ะค่ะ ตอบแทนที่ภูมิดูแลพิมมาตลอด”
“โธ่ วันไหนๆ ก็เหมือนกันแหละครับ อย่าไปซีเรียส”
พิมพิลาสกุมมือชายคนรักเอาไว้ พูดจริงจัง
“ถ้าเราอยู่ด้วยกัน พิมคงจะได้ทำอะไรดีๆ ให้ภูมิทุกวัน ไม่ต้องรอให้ถึงวันเกิด” ภีร์ภูมิอึ้งไป “แล้วภูมิก็จะได้ดูแลพิมทุกวัน ไม่ต้องลำบากเทียวไปเทียวมาแบบนี้”
ภีร์ภูมิฝืนยิ้ม นิ่ง รู้ว่าพิมพิลาสจะพูดอะไรต่อไป
“ทำไมเราไม่แต่งงานกันซะทีล่ะคะ ภูมิ”
ภีร์ภูมิยิ้มตาหยี พยายามถนอมน้ำใจพิมพิลาส
“ผมยังไม่พร้อมน่ะครับ...ตอนนี้ ขอให้ผมได้ดูแลพิมอย่างนี้ไปก่อนนะครับ”
พิมพิลาสยิ้มหน้าเศร้า รู้ว่าภีร์ภูมิไม่ต้องการแต่งงานกับเธอ
“พิมพักผ่อนนะครับ..มา เดี๋ยวผมห่มผ้าให้ จะได้อุ่นๆ”
ภีร์ภูมิห่มผ้าให้ พิมพิลาสฝืนยิ้มมาให้
เวลาผ่านไป พิมพิลาสหลับอยู่บนเตียง ภีร์ภูมิอยู่ที่ระเบียงมองมายังพิมพิลาส
“ขอโทษนะ พิม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรผมถึงรักคุณไม่ได้” ชายหนุ่มพึมพำ
ที่บ้านเรือนไทยริมแม่น้ำเจ้าพระยา เช้าวันต่อมา
ก้อนดินดานก้อนใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมวัตถุโบราณหลายอย่าง เช่น พระพุทธรูปทรงเครื่องน้อยสมัยอยุธยา ถ้วยชามเก่า ๆ เหรียญเก่า เครื่องประดับวางอยู่รวมกับก้อนดินก้อนนั้นด้วย
กนิษฐานั่งอยู่ที่แคร่ใต้ถุนบ้าน มีลุงแก่ ๆ พ่อค้าของเก่าหน้าตาเขี้ยว นั่งอยู่ด้วย กนิษฐาชี้ไปที่ก้อนดิน
“ฉันต้องซื้อไอ้ก้อนดินบ้านี้ด้วยเหรอ”
“ของพวกนี้ เพิ่งงมขึ้นมาจากน้ำเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ของเค้ามาด้วยกัน ลุงก็อยากให้เค้าไปด้วยกัน”
“แต่ฉันอยากได้แค่พระทรงเครื่องน้อยองค์นี้องค์เดียวนี่คะ ลุง” กนิษฐาตัดใจ “เอ้า ไอ้ถ้วยชามหม้อไหที่กองอยู่เนี่ย ฉันยอมซื้อไปด้วยก็ได้ แต่ก้อนดินอะไรเนี่ย” หญิงสาวส่ายหัว “ฉันซื้อไปฉันโดนเจ้านายด่าตาย”
ลุงไม่ยอม “ไม่รู้ล่ะ ถ้าจะซื้อ ก็ต้องซื้อไปทั้งหมด ลุงขี้เกียจเก็บไว้ .. หมดเนี่ยเหมาไปเลยสามแสน”
กนิษฐาชั่งใจ มองก้อนดินดานเขม็ง “สามแสน รวมก้อนดินก้อนนี้ด้วยเหรอ”
ลุงทำท่าเล่นตัว ยกองค์พระที่วางอยู่ ทำท่าเหมือนจะเอาไปเก็บ
“ไม่เอาก็ตามใจนะ พระเก่าของอยุธยาแท้ๆ งามไม่มีตำหนิทั้งองค์แบบนี้ หาที่ไหนได้ องค์นี้ขอบอกว่าสมบูรณ์ที่สุดแล้ว บอกไปคำเดียว ขี้คร้านคนขอซื้อไม่หวาดไม่ไหว” ลุงว่า
กนิษฐาคว้าแขนไว้ “เดี๋ยวก่อน ลุง”
ชายชรามองหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์
ที่บ้านบุษบันเช้านั้น บุษบันกำลังบรรจงแต่งคิวปิดอย่างพิถีพิถัน ตะวันฉายนั่งอยู่ห่างออกไป
“แกลเลอรี่ของเธอขายของเก่า จะเอางานฉันไปทำไม”
“ตอนนี้เก่าใหม่ฉันเอาหมดแหละ ขอให้ได้กำไร งานคิวปิดของเธอตัวนี้ ฉันจะเอาไปขายนายกฤษณ์ แฟนคลับของเธอ โก่งราคาซักสามเท่าตัว” ตะวันฉายบอก
บุษบันด่า “ไอ้บ้า ทุเรศ”
ระหว่างนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของตะวันฉายดังขึ้น เขากดรับสาย
“เป็นยังไงบ้าง”
กนิษฐาอยู่ที่บ้านเรือนไทยขณะโทร.มา
“มีปัญหานิดหน่อย พระที่คุณอยากได้สวย สภาพดีมาก แต่ลุงเขาไม่ยอมขายอย่างเดียว เค้าจะขายเหมาของทั้งหมดที่เจอ”
“มีอะไรมั่ง ส่งรูปมาดูสิ”
สักครู่หนึ่งเสียงเตือนไอแพดของตะวันฉายดังขึ้น ชายหนุ่มเปิดดูรูปที่กนิษฐาส่งมาให้
รูปแรกเป็นรูปพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อยสมัยอยุธยา และเป็นรูปอื่นๆ ตามมา ตะวันเลื่อนดูไปเรื่อย ๆ คุยโทรศัพท์ไปด้วย
“สวย องค์นี้เลยที่ฉันอยากได้ ลุงแกเรียกเท่าไหร่นะ”
“สามแสน เท่ากับคุณซื้อพระองค์นี้ราคาสามแสนเลยนะ เพราะของอื่นๆ น่ะ ฉันตรวจดูแล้ว กระเบื้องถ้วยกะลาแตกทั้งนั้น ไม่มีราคาอะไรหรอก โดยเฉพาะไอ้ก้อนดินก้อนนั้น”
“ก้อนดินอะไร”
ที่จอไอแพด เห็นเป็นรูปก้อนดินดานพอดี ตะวันขยายรูปดู มองอย่างแปลกใจ
“ก้อนดินที่แกงมขึ้นมาจากน้ำ แกบังคับขายพร้อมพระด้วย คุณว่าไงจะเอาหรือไม่เอา” กนิษฐาบอกที่มา
ตะวันฉายมองดูภาพก้อนดินนิ่ง อย่างชั่งใจ
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๘ (ต่อ)
ไม่นานนัก รถยนต์ของตะวันฉายจอดที่หน้าบ้านเรือนไทย บุษบันก้าวเดินลงมาพร้อมกับตะวันฉาย กษิษฐาเดินมารับ
“คุณตะวัน” กนิษฐาหันมาเห็นบุษบันก็เลยทักทาย “อ้าว คุณบุษ มาด้วยเหรอคะ”
“วันนี้ว่างค่ะ ตะวันชวนให้มาดูของเล่น ตามมาเล่นๆ”
“ไหน อีตาลุงที่ว่า” ตะวันฉายมองหา
“ข้างใน” กนิษฐาแอบกระซิบนินทา “ทั้งเขี้ยว ทั้งเค็ม ตายไม่เน่า เผาไม่ไหม้เลยล่ะคุณเอ๊ย”
บุษบันเดินดูของที่เรียงรายบนโต๊ะ กนิษฐายืนรออยู่ใกล้ๆ โต๊ะนั้น เสียงตะวันฉายเจรจากับลุงแว่วมา
“ตรงฐานนี่มีตำหนินิดนึงนี่ครับลุง”
“ไหนรอยตำหนิ ไม่มี๊”
“นี่ไงลุง ตรงฐานนี้ไง ลุงตาไม่ดีไม่เห็นหรอก”
“โอ๊ย ของอายุเป็นร้อยๆ ปี มันก็ต้องมีริ้วมีรอยบ้างคุณ แบบนี้และเค้าเรียกไม่มีที่ติแล้ว” ลุงว่า
บุษบันเดินไปถึงปลายโต๊ะยาวที่ก้อนดินวางอยู่ แล้วหยุดมอง รู้สึกเหมือนถูกตรึงด้วยอำนาจบางอย่างโดยไม่รู้ตัว บุษบันค่อยๆ เอื้อมมือไปจับ แล้วก็เจ็บข้อมือ ต้องรีบดึงมือกลับทันที
“อุ๊ย”
กนิษฐาได้ยินจึงหันไปดู
“อะไรคะ คุณบุษ”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” บุษบันถาม “อะไรคะ”
“ก้อนดินอะไรไม่รู้ค่ะ ลุงแกบังคับขาย แกงมมาได้จากก้นแม่น้ำ ชอบเหรอคะ” กนิษฐาสงสัย
บุษบันส่ายหน้า “เปล่าค่ะ ไม่ได้ชอบ ออกจะกลัวด้วยซ้ำ”
ที่เรือนไทยริมแม่น้ำเจ้าพระยาตอนสายเวลาต่อมา ตะวันฉายเดินกลับมาหาสองสาว พร้อมพระในมือ ก่อนจะหันมาบอกกับกนิษฐา
“เรียบร้อยนิด...สามแสนบาท รวมทุกอย่าง แถมพระกริ่งอีกองค์ เอาของขึ้นรถได้” ตะวันฉายตะโกนถาม “มีคนช่วยขนของไหมลุง”
ลุงตะโกนตอบกลับ “ตามสบายเลยคุณ ยกเอาเองเถอะ ที่บ้านลุงไม่มีใครหรอก”
กนิษฐาบ่นอุบ “ให้มันได้อย่างนี้สิ มา คุณส่งพระมา ฉันถือให้ คุณไปยกก้อนดินโน่น”
ตะวันฉายส่งพระในกนิษฐา บ่นพึมพำ
“ใครเป็นนายจ้าง ใครเป็นลูกจ้างวะ”
กนิษฐาได้ยิน หันมาแหวใส่ “ฉันเป็นผู้หญิง”
ตะวันทำปากขมุบขมิบขณะเดินไปยกก้อนดิน แต่ยกไม่ขึ้น
“หนักแฮะ .. บุษมาช่วยฉันยกหน่อย”
บุษบันเข้าไปช่วยยก พอจับอาการเจ็บมือก็เกิดขึ้นอีก
บุษบันร้อง “โอ๊ย” พลางชักมือออก
ตะวันฉายพลอยตกใจ “เป็นอะไร!”
“ไม่รู้ อยู่ดีๆ ก็เจ็บข้อมือแปล๊บขึ้นมาเลย”
ตะวันฉายส่ายหัว “พอกัน ฉันยกเองก็ได้” ชายหนุ่มกัดฟันยก บ่นอุบ “เกิดเป็นผู้ชายนี่มันลำบากจริงๆ”
จากนั้นตะวันฉายเดินยกหินออกไป บุษบันจับข้อมือตัวเองอย่างแปลกใจ นึกถึงอาการเจ็บข้อมือที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
บุษบันตัดสินใจมาตรวจอาการเจ็บข้อมือที่โรงพยาบาล และกำลังอยู่ในห้องตรวจกับหมอเวรเจ้าของไข้
หมอดูฟิล์มเอ็กซเรย์ข้อมือของบุษบันพลางเอ่ยขึ้น
“ไม่มีอาการผิดปกตินี่คะ ไม่มีการเคลื่อนหรือซ้นของข้อมือเลย”
บุษบันงุนงง “จะเป็นไปได้ยังไงคะคุณหมอ ฉันเพิ่งเจ็บข้อมือเมื่อเช้านี้นะคะ”
“อาจจะมีผลมาจากการใช้ข้อมือทำงานนาน ๆ มากจนเกินไปก็ได้ค่ะเดี๋ยวหมอจัดยาให้นะคะ ช่วงนี้ก็ทำงานเบา ๆ ถ้าเป็นไปได้งดใช้ข้อมือก็ดีนะคะ” หมอบอก
บุษบันมีสีหน้าครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วจับข้อมือตัวเอง
ตอนเย็นๆ บุษบันเดินออกมาจากโรงพยาบาล ยังข้องใจกับอาการเจ็บข้อมือของตัวเองอยู่ ในมือถือถุงใส่ยามาด้วย
บุษบันเดินผ่านร้านขายดอกไม้ เห็นดอกไม้หลากหลายชนิดดูสวยดี จึงเข้าไปดูดอกไม้ในร้าน
ครู่ต่อมาบุษบันอยู่ในร้านกำลังยืนเลือกดอกไม้อยู่ และอีกมุมหนึ่ง ภีร์ภูมิกำลังเลือกดอกไม้อยู่เหมือนกัน
บุษบันเดินดูไปเรื่อย ๆ หยิบดอกคาร์เนชั่นสีชมพูหวาน แล้ววางลง แล้วเดินไปที่อื่น ภีร์ภูมิเดินมาหยิบดอกคาร์เนชั่นสีชมพูดอกเดียวกับบุษบัน แล้ววางลงเช่นกัน
บุษบันเดินดูดอกไม้ไปทั่วร้านจนไปเห็นดอกลิลลี่สีขาวบริสุทธิ์ส่งกลิ่นหอมชื่นใจ เธอเดินเข้าไปใกล้แล้วถือไปให้พนักงานที่เค้าเตอร์จัดช่อ ภีร์ภูมิเดินมาหยิบดอกลิลลี่สีขาวแล้วเดินไปที่เค้าน์เตอร์
บุษบันนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ ภีร์ภูมิเดินมานั่งรอที่เก้าอี้โดยหันหน้าออกไปอีกทาง
ภีร์ภูมิยกโทรศัพท์คุยหันไปทางบุษบัน
แต่บุษบันก้มลงเก็บซองยาที่ตกลงพื้นพอดี พนักงานถือช่อลิลลี่มาให้บุษบัน บุษบันจ่ายเงิน และลุกเดินไป
บุษบันเดินผ่านหน้าภีร์ภูมิ แต่พนักงานเดินมาส่งช่อลิลลี่ให้ภีร์ภูมิยืนบังตัวภีร์ภูมิไว้
บุษบันเปิดประตูร้านเดินออกไป ตามด้วยภีร์ภูมิ
ค่ำคืนนั้น พิมพิลาสนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก ที่แขนยังมีผ้าพันแผลอยู่ ภีร์ภูมิแอบถือช่อลิลลี่ไว้ข้างหลังเดินเข้ามา พิมพิลาสเหลียวมามอง
ภีร์ภูมิยื่นช่อลิลลี่ให้ “เซอร์ไพรส์ ดอกไม้สวย ๆ สำหรับพิมครับ”
พิมพิลาสฝืนยิ้มรับลิลลี่ “ขอบคุณค่ะ” พูดต่อกึ่งขำกึ่งเศร้า
“พิมไม่สบายทีไร ภูมิก็ซื้อดอกไม้ให้พิมทุกครั้ง ภูมิเบื่อไหมคะ ที่ต้องคอยซื้อดอกไม้ให้พิมบ่อยๆ”
“ไม่เลยครับ ผมเต็มใจ”
“พิมยังเบื่อตัวเองเลย ป่วยออด ๆ แอด ๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ใครจะ อยากมาอยู่ด้วย ใครอยากจะมีคนป่วยเป็นภาระไปทั้งชาติ จริงไหมคะ”
ภีร์ภูมิรู้ว่าพิมพิลาสพูดตัดพ้อถึงเรื่องแต่งงาน
“ผมไม่เคยเห็นว่าพิมเป็นภาระของผมเลยนะครับ ผมเต็มใจดูแลพิม ผมเต็มใจที่จะทำแบบนี้ไปตลอดชีวิตของผม”
พิมพิลาสน้ำตาคลอ
“เพราะภูมิรักพิมเหรอคะ” ภูมิอึ้ง “หรือเพราะมันเป็นหน้าที่”
ภีร์ภูมินิ่ง ชะงัก ไม่ตอบ
พิมพิลาสเจ็บแปลบในใจ แต่ฝืนยิ้ม ทำน้ำเสียงร่าเริง
“ช่างมันเถอะค่ะ จะเพราะอะไรพิมก็ขอบคุณอยู่ดี” พูดเสียงหวาน “ดึกแล้วพิมขึ้นไปนอนก่อนนะคะภูมิขับรถกลับดี ๆ นะคะ กู๊ดไนท์ค่ะ”
“กู๊ดไนท์ครับ”
พิมพิลาสลุกเดินออกไป ภีร์ภูมิมองตามอย่างสะเทือนใจ
พระจันทร์ดวงกลมโตลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ทอแสงส่องเข้ามาภายในห้องนอนพิมพิลาส ซึ่งขณะนั้นกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ใบหน้ามีน้ำตาคลอๆ โดยมีป้าทิพย์เดินเข้ามา นั่งข้างๆ
“โธ่! อย่าคิดมากเลยนะคะ คุณหนูกับคุณภูมิคบกันมาตั้งหลายปี แปลว่าชาติที่แล้วต้องทำบุญร่วมกันมา คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอกค่ะ”
“คู่ทำบุญหรือทำกรรมก็ไม่รู้นะคะป้า พิมว่า พิมคงเคยทำเวรทำกรรมเอาไว้เยอะ เกิดมาชาตินี้ถึงได้ทุกข์ทั้งร่างกายและจิตใจแบบนี้”
ป้าทิพย์มองอย่างสงสาร “ไม่เอาแล้วค่ะคุณหนู...อย่าคิดมากนะคะ พักผ่อนเถอะค่ะ”
ป้าทิพย์จับตัวพิมพิลาสค่อย ๆ นอนลง ห่มผ้าให้ ก่อนจะลุกขึ้นไปปิดสวิทช์ไฟ สีหน้าพิมพิลาสยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องภีร์ภูมิ
เวลาตอนกลางคืน ภายในห้องปฏิบัติการที่ชั้นสามแกลลอรี่ของตะวันฉาย ในนั้นมีวัตถุโบราณหลากหลายชนิดวางอยู่ตามมุมต่าง ๆ ทั้งที่มีข้อมูลระบุไว้ และยังรอการพิสูจน์ หลายชิ้นเก็บไว้ในตู้ บางชิ้นสมบูรณ์ บางชิ้นไม่สมบูรณ์แตกต่างกันไป
กนิษฐากับตะวันฉายยืนมองก้อนดินนั้นอย่างพิเคราะห์
“ตกลงมันคืออะไร”
“เท่าที่ลองเคาะๆ ดู เหมือนจะมีโลหะอยู่ในนั้น”
“ทุบเลยไหม”
ตะวันฉายหยิบค้อนที่วางอยู่ข้าง ๆ จะทุบ
กนิษฐาร้องห้าม “อย่า”
ตะวันฉายฉงน “ทำไมล่ะ ก็จะได้รู้กันไป ว่าข้างในมีอะไร” พลางคว้าค้อนมา “ถอยไป”
กนิษฐาจับแขนตะวันฉายห้ามเอาไว้
“อย่า! ไม่เอา ไม่ได้ ถ้าเผื่อมันมีวัตถุทางโบราณคดีล่ะ คุณจะทำให้มันเสียหายหมดนะ”
“ไม่มีหรอกน่ะ ก็เธอบอกเอง ว่ามันไม่มีค่าอะไร”
“ก็ขอฉันตรวจก่อนซี”
“ไม่เอา ฉันอยากรู้ ทุบๆ ให้มันหมดเรื่องไป”
“เอ๊ะ ก็ฉันบอกว่าไม่ได้”
กนิษฐากับตะวันฉายแย่งยื้อค้อนกันไปมา ทั้งคู่ยื้อยุดกันจนชนโต๊ะ ก้อนดินดานตกลงพื้นแตกออก เศษดินกระจายไปทั่วบริเวณ
ตะวันฉายกับกนิษฐายืนมองหน้ากัน ตะวันฉายจ๋อย กนิษฐาโมโห
“นั่น เพราะคุณคนเดียว พังหมดแล้ว คุณนี่ไม่น่ามาทำงานเกี่ยวกับศิลปะเลยนะ น่าจะไปเป็นทหาร หรือไม่ก็เป็นผู้ก่อการร้าย ไปที่ไหน ทุกอย่างแหลกลาญหมด”
กนิษฐานั่งลงเก็บดินที่แตกไปตามพื้น ปากก็บ่นไปด้วย ตะวันฉายลงมาช่วยเก็บ เถียงไปด้วย
“เว่อร์ๆๆๆ ฉันไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเลย มีแต่เศษขี้ดิน หุบปากซะทีได้ไหม”
สีหน้ากนิษฐามองอะไรบางอย่างอยู่ ตะวันฉายเห็นว่ากนิษฐาเงียบ เลยถาม
“อ้าว เงียบเลย เอ๊ะ ปกติไม่เคยว่าง่ายอย่างนี้นี่นา”
กนิษฐาหยิบของบางอย่างขึ้นมา ตะวันฉายเข้ามามองด้วยความสนใจ
“อะไรน่ะ? เหมือนโซ่”
กนิษฐาถือตรวนขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“ไม่ใช่ เค้าเรียกว่าตรวน”
กนิษฐาพูดจบก็หันไปใช้แปรงเขี่ยดินที่เกาะอยู่กับตรวนออก
“ตรวน! ที่เอาไว้จองจำนักโทษน่ะเหรอ” กนิษฐาพยักหน้า “ไหมล่ะอุตส่าห์ยกมาเมื่อยมือเปล่าๆ ไม่มีค่าอะไรเล้ย”
ตะวันฉายเซ็งท่าทีไม่สนใจ กำลังจะเดินออกไป กนิษฐาพูดขึ้น
“พูดผิดพูดใหม่ได้นะ”
ตะวันฉายชะงัก “ยังไง”
กนิษฐายิ้มให้ตะวันฉายพลางบอก “ตรวนอันนี้ทำจากทองคำ”
ตะวันฉายยืนอ้าปากค้าง
สองคนอยู่ที่บริเวณชั้นสามของแกลลอรี่ตะวันฉาย ตอนกลางคืน
กนิษฐาเอาตรวนวางที่เครื่องตรวจทอง ตะวันฉายดู และจับตรวนอย่างตื่นเต้น เครื่องตรวจขึ้นค่าเป็น 24K หรือเท่ากับ 99.99% แสดงว่าเป็นทองจริง
กนิษฐาร้อง “ทองแท้ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์!”
ตะวันฉายดีใจมาก “ตรวนทองคำ ทองเก่าสมัยอยุธยาซะด้วย โอ้พระเจ้า! งานนี้ฉันรวยเละแน่!”
ตะวันฉายเห็นก้อนดินดานที่แตกออกเป็นก้อนเล็กๆ ตกอยู่ที่พื้น จึงปราดไปหยิบมาดู
“ไหนลองดูสิ มีทองแอบซ่อนอยู่อีกรึเปล่า”
กนิษฐามองตะวันฉายอย่างหมั่นไส้ แล้วเดินเอาเครื่องตรวจทองไปเก็บ ปากก็พูดไป
“แปลกมากนะ สมัยนั้นทองเป็นของมีค่ามาก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครเอาทองคำมาทำตรวน แล้วตรวนนี่มาอยู่ในน้ำได้ยังไง” เห็นตะวันเงียบก็แปลกใจ “นี่ คุณ ฟังฉันอยู่รึเปล่า”
ตะวันฉายตาค้าง ปากสั่น มือชี้ไปข้างหน้าพูดเสียงติดอ่าง
“เธอ...เธอ”
กนิษฐาแปลกใจ “อะไรคุณ”
สีหน้าตะวันฉายตกใจมาก “กะ..กะ..กระดูก...กระดูกผี”
ก้อนดินดานที่มือตะวัน เห็นเป็นเศษกระดูกข้อนิ้วมนุษย์ ตะวันฉายส่งให้ กนิษฐารับมา หยิบขึ้นมาดู แปลกใจ แต่ไม่ตกใจ
“กระดูกจริงๆ ด้วย”
“นี่ แม่คุณ เอาไปทิ้งไป มาถือชื่นชมอยู่ได้” ตะวันฉายบอก
“ทิ้งได้ไง คุณนี่ไม่รู้จักของดี” กนิษฐาตื่นเต้น “นี่มันกระดูกนิ้วมือชัดๆ” นัยน์ตาของกนิษฐาวาววับขณะพูดประโยคต่อมา “กระดูกนี้แหละที่จะบอกเราได้ ว่าตรวนทองคำนี่มันเป็นของใคร
กนิษฐาเขม้นมองกระดูกมืออยู่อย่างนั้น
เวลายามเช้าของวันใหม่ ภีร์ภูมิกำลังขับรถอยู่ ขับแล่นมาตามทางในละแวกท่าพระจันทร์ สักครู่มีเสียงยางระเบิดดังปัง! รถของภีร์ภูมิค่อย ๆ ชะลอ และจอดแน่นิ่ง ภีร์ภูมิเซ็ง ลงจากรถ แล้วกดโทรศัพท์หาไก่
“ไก่ รถฉันเสียอยู่แถวท่าพระจันทร์รีบมาดูหน่อย เร็วๆ เลย”
ภีร์ภูมิวางสาย มองไปรอบ ๆ เห็นร้านขายของเก่า ได้ยินเสียงดนตรีดังแว่วมาไกลๆ
ที่ร้านขายของเก่าในตรอกมหาธาตุ มีทั้งพระพุทธรูปเก่าๆ พระเครื่อง หนังสือเก่าหายาก เฟอร์นิเจอร์เก่า ของสะสมเก่า ๆ ฯลฯ เรียงรายกันอยู่
ขณะที่ภีร์ภูมิกำลังยืนรอไก่อยู่ เขาได้ยินเสียงดนตรีแว่วมา ภีร์ภูมินิ่งฟังรู้สึกคุ้นหูเหลือแสน จึงเดินตามเสียงมา
ภีร์ภูมิเดินเข้ามาที่ร้านที่ร้านขายของเก่า เดินตรงไปตามเสียงดนตรีไป ภีร์ภูมิเห็นกล่องดนตรีที่กำลังเล่นเพลงอยู่ เขามองอย่างสนใจ และชอบมาก รู้สึกผูกพัน หยิบขึ้นมาดู และตัดสินใจขอซื้อ
“กล่องดนตรีนี่เท่าไหร่ครับลุง”
“สามร้อยห้าสิบครับ” ลุงบอก
ภีร์ภูมิเอ่ยขึ้น “ผมขอซื้อได้ไหมครับ”
ทันใดนั้นบุษบันก็เข้ามาพอดี
“ฉันซื้อแล้ว”
ภีร์ภูมิหันหลังไปมองตามเสียง บุษบันเดินเข้ามา ทั้งคู่มองตากันอย่างเอาเรื่อง
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๘ (ต่อ)
ที่ร้านขายของเก่าภายในตรอกมหาธาตุ เช้านั้น ภีร์ภูมิกับบุษบันยังคงมองตากันอย่างไม่ลดละ
“ฉันมาดูไว้เมื่อกี้ แล้วเดินไปแลกตังค์จะกลับมาซื้อ ไม่เชื่อก็ถามลุงดูก็ได้”
“เหรอครับลุง” ภีร์ภูมิถามลุงเจ้าของร้าย
ลุงทำหน้าเหลอหลา “ลุงเห็นจับๆ ดูแล้ววาง ก็นึกว่าหนูไม่เอาแล้ว”
ภีร์ภูมิหันมาเอาเรื่องกับบุษบัน “นั่นไง คุณมั่วนี่”
“ฉันคิดว่าจะซื้อ แต่ไม่ได้บอกลุง ถึงยังไงฉันก็คิดว่าจะซื้อก่อน”
“โธ่! คุณ ถ้าจะแงแบบนั้น ผมก็คิดตั้งแต่ออกจากบ้านแล้วครับ”
“นี่อย่ามากวนนะ”
“คุณนั่นแหละกวน”
บุษบันสะบัดหน้า คว้ากล่องดนตรีมาจากมือภีร์ภูมิ แล้ววางเงินให้ลุงคนขาย สองคนถึงกันไม่มีใครยอมใคร
“นี่ค่ะลุง สามร้อยห้าสิบ”
ภีร์ภูมิไม่ยอม แย่งกล่องดนตรีจากมือบุษบันกลับคืนมา วางแบงค์ห้าร้อยลงไป
“นี่ครับลุงห้าร้อยไม่ต้องทอน”
บุษบันยื้อกล่องดนตรีไว้
“นี่ เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ! ฉันจ่ายตังค์ไปแล้ว”
“ไม่! ผมก็จ่ายแล้ว จ่ายมากกว่าด้วย”
“ขี้โกง”
“คุณนั่นแหละขี้โกง”
บุษบันเอาเล็บหยิกมือภีร์ภูมิ “นี่แน่ะ”
ภีร์ภูมิร้อง “โอ้ย”
บุษบันดึงกล่องดนตรีจากมือภีร์ภูมิมาได้แล้ว แล้ววิ่งหนีลัดเลาะไปตามแผงร้านค้าต่างๆ
“เอ้าเฮ้ย!” ภีร์ภูมิตะโกน แล้ววิ่งตามไป “ขโมย ช่วยจับด้วยครับ ขโมยผู้หญิงเสื้อฟ้าคนนั้นขโมยของผม”
คนแถวนั้นต่างมองกันอย่างฮือฮา บุษบันหันมามองภูมิอย่างโมโห พอดีมีแผงขายน้ำอยู่ใกล้ๆ บุษบันคว้าน้ำแดงทั้งแก้วขว้างไปที่ภีร์ภูมิ โดนเข้าที่หน้าอย่างจัง เสียงฮาดังมาจากรอบทิศ
ภีร์ภูมิปัดน้ำแดงออกจากหน้า ร่างของบุษบันหายไปแล้ว ภีร์ภูมิเดือดดาลสุดๆ
ไก่กำลังซ่อมรถให้ภีร์ภูมิอยู่ถนนละแวกท่าพระจันทร์ และกำลังหัวเราะคิกคักเรื่องที่เจ้านายเล่าให้ฟัง ขณะที่ภีร์ภูมิยังไม่หายโมโห
“แหม ที่กับลูกน้องล่ะทำเข้ม เจอกับคนอื่นล่ะ...จ๋อย” ไก่ว่า
“ไม่ได้จ๋อย ฉันยอมเพราะเห็นเค้าเป็นผู้หญิงหรอกเว้ย” ภีร์ภูมิบอก
“สวยด้วยใช่ไหมล่ะ! คงมัวแต่ตะลึงอยู่ล่ะซี๊ ถึงได้เสียทีให้เค้าฉกไปได้” ไก่เย้าขำๆ
“บ้าน่ะ”
“บ้าอะไร ตกลงสวยไม่สวย” ไก่คาดคั้น
“ก็พอดูได้...แต่ไม่ใช่ประเด็นโว้ย ไก่ ที่ฉันยอมให้เค้าแย่งกล่องดนตรีไปได้ ก็เพราะไม่อยากมีเรื่องกับผู้หญิงต่างหาก”
“ดีนะ ที่เอาไปแค่กล่องดนตรี ถ้าเอากล่องดวงใจไปด้วยล่ะก็ คุณพิมผมเสียใจแย่เลย” ไก่เริ่มลามปาม
ภีร์ภูมิเอ็ด “ไอ้ไก่”
“คร้าบ...” ไก่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ “ซ่อมรถคร้าบ ซ่อมรถ”
ไก่หันซ่อมรถต่อไป ขณะที่ภีร์ภูมิยังติดใจเรื่องโดนแย่งกล่องดนตรีไม่หาย
การจราจรบนท้องถนนเต็มไปด้วยรถยนต์จำนวนมากที่ติดกันยาวเหยียด รถของพิมพิลาสติดอยู่บนถนนนั้นด้วย
พิมพิลาสนั่งอยู่เบาะหลัง ป้าทิพย์นั่งข้างคนขับ
“รถติดจริงๆ ค่ะ คุณหนู ความจริงคุณหมอไม่น่านัดตอนบ่ายเลย”
“นัดตอนไหนก็เหมือนกันล่ะค่ะ ป้า ไม่ไปเช้า ก็ไปบ่าย ไม่ไปวันนี้ ก็ไปวันหน้า ชีวิตของพิมมีแต่เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล ไม่รู้จะตายวันไหน”
ป้าทิพย์หันมามองพิมพิลาส เห็นสีหน้าพิมพิลาสดูไม่มีความสุข ก็สงสาร
“คุณหนูทำไมพูดแบบนั้นล่ะค่ะ ตายเตยอะไรกัน วันนี้คุณหมอก็บอกว่าแผลก็ดีขึ้นแล้ว”
“ดีขึ้น แต่ก็ไม่มีวันหาย ไอ้โรคบ้านี่ทำไมมันต้องมาเกิดกับพิมด้วยล่ะคะป้า ญาติพี่น้องคนอื่นของเราก็ไม่เห็นมีใครเป็นอะไร ทำไมต้องเป็นพิม ทำไม” พิมพิลาสคร่ำครวญ
ป้าทิพย์ทอดเสียงอ่อนลง พูดปลอบโยน “คิดเสียว่าเป็นเวรเป็นกรรมนะคะ คุณหนู”
พิมพิลาสน้ำตาคลอ ผินหน้าออกไปนอกหน้าต่าง พิมพิลาส มองเห็นวัดที่ข้างถนน ประกายวาววามจากช่อฟ้าใบระกา กระทบแดดระยิบระยับ เหมือนจะกวักมือเรียก
พิมพิลาสมองไปวัด จิตใจที่ห่อเหี่ยวเหมือนจะมีความหวังขึ้นมา
“ป้าคะ แวะวัดข้างหน้านี่แป๊บนึงนะคะ พิมอยากไหว้พระ”
ป้าทิพย์พยักหน้าบอก คนขับเลี้ยวรถเข้าไปในวัด
รถของพิมพิลาสแล่นเข้ามาจอดในลานวัด ป้าทิพย์ลงมาเปิดประตูให้พิมพิลาส แล้วพิมพิลาสก้าวลงมา มองบริเวณวัดไปรอบ ๆ รู้สึกสงบ ร่มเย็น
พิมพิลาสกับป้าทิพย์ไปตามทางเดิน ผ่านต้นไม้เขียวร่มรื่น เสียงระฆังดังเหง่งหง่าง ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าอุโบสถ ก่อนจะก้าวเข้าไป
ภายในโบสถ์ มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่สีทองอร่ามเป็นองค์ประธาน รายล้อมด้วยพระพุทธรูปปางต่างๆ ทั้งองค์เล็กองค์ใหญ่ ผนังโบสถ์เต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังวิจิตรงดงาม
พิมพิลาสกับป้าทิพย์ก้มกราบพระพุทธรูป กราบเสร็จพิมพิลาส เงยหน้ามองพระพักตร์พระพุทธรูปที่เป็นองค์ประธาน สีหน้านิ่ง น้ำตาคลอๆ
“ชาติที่แล้ว ลูกคงเคยก่อเวรก่อกรรมเอาไว้ ชาตินี้ลูกถึงต้องทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจขนาดนี้ ถ้าลูกทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ขอให้ผลบุญในชาตินี้ทั้งหมด ชดใช้ในชาติที่ลูกได้กระทำผิดไปด้วยเถิด”
พระพักตร์องค์พระประธานสงบนิ่ง พระโอษฐ์ทรงพระสรวลเล็กน้อย พระเนตรเหมือนมองลงมาที่พิมพิลาส
ป้าทิพย์นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ น้ำตาคลอ สงสารพิมพิลาส
เสียงหลวงพ่อกสินแทรกเข้ามา “เวรกรรมที่ทำ มันไม่สามารถลบล้างด้วยบุญในชาตินี้ได้หรอกโยม!”
พิมพิลาสกับป้าทิพย์ได้ยินเสียงจึงหันกลับมาดูด้านหลัง เห็นหลวงพ่อกสิน ซึ่งที่แท้คือพระยาโกสินทร์ในชาติที่แล้วมาเกิดใหม่ ยืนอยู่ในอาการสำรวมน่าเลื่อมใส ทั้งสองยกมือไหว้หลวงพ่อ
หลวงพ่อกสินเทศนาต่อ “บุญไม่สามารถล้างบาปได้ แต่ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ถ้าโยมหมั่นสร้างบุญกุศล ปฏิบัติตัวอยู่ในศีลในธรรม ธรรมนั้นก็จะช่วยชำระจิตใจของโยมให้เป็นสุข เวรกรรมที่มันติดตัวโยมมาทั้งในอดีตและปัจจุบันก็ให้อโหสิกรรมกันไป ไม่อาฆาตพยาบาทต่อกัน จะสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจของโยมเอง”
พิมพิลาสกับป้าทิพย์ กราบหลวงพ่อกสิน จากนั้นหลวงพ่อกสินก็เดินออกไปอย่างสำรวม
“ตั้งแต่เกิดมา พิมไม่เคยสร้างเวรสร้างกรรม หรือทำบาปกับใครเลยแล้วจะไปอโหสิให้ใครได้” พิมพิลาสรำพึง
“ก็อโหสิให้เจ้ากรรมนายเวรจากชาติที่แล้วไงคะ เอาอย่างนี้ดีไหมคะ ป้าจะพาคุณหนูมาทำบุญบ่อยๆ เผื่อว่าอะไร ๆ มันจะดีขึ้น ไม่แน่ซักวันอาจจะมีปาฏิหารย์ ทำให้คุณหนูอาจจะหายจากโรคร้ายนี่ก็ ได้นะคะ”
พิมพิลาส เงยหน้ามองพระพักตร์พระพุทธรูปอีกครั้ง สีหน้าลังเล ไม่แน่ใจ
ป้าทิพย์ช่วยประคองพิมพิลาสเดินมาตามทางเดินในวัด ที่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ มีขอทานคนหนึ่งนอนอยู่ ข้าง ๆ มีกระป๋องใส่เงิน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง กลิ่นเหม็นสาบลอยมาตามลม ร่างกายมอมแมมสกปรก ผมยาวรุงรัง
พิมพิลาสเดินมาเห็นก็รู้สึกสงสาร จึงหยิบเงินจากกระเป๋าใส่ลงไปในกระป๋องหนึ่งร้อยบาท แล้วสองคนก็เดินจากไป
ขอทานตาบอดลุกขึ้นมา ที่แท้เป็นนายมาก หรือพระยาสมานในชาติที่แล้ว มากเอามือควานเปะปะไปที่กระป๋อง หยิบแบงค์ขึ้นมา
“เฮ่ย นี่มัน”
มากจับแบงค์อย่างถี่ถ้วน ถูแล้วถูอีก แทบจะเอามาดม สีหน้าแตกตื่น
“แบงค์ร้อย ร้อยนึง แม่เจ้าโว้ย ใครกัน ทำทานตั้งร้อย เกินมาไม่เคยพบเคยเห็น”
เสียงหลวงพ่อกสิณดังขึ้น
“เคยโลภยังไง ก็ยังโลภอยู่อย่างนั้น”
หลวงพ่อกสินที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ เดินเข้ามาใกล้ มากจำเสียงได้
“หลวงพ่อ”
หลวงพ่อสอนอย่างเมตตา “เขาอุตส่าห์ให้มาเกิดในวัดนอนอยู่หน้าโบสถ์ ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวัน มันไม่เข้าหูบ้างหรือไงโยมมาก”
มากพนมมือแต้ “ฉันมันคนจนนี่จ๊ะ ได้จับเงินร้อย ก็อดดีใจไม่ได้ ว่าแต่ว่า ตะกี๊นี้มันใครกันน่ะหลวงพ่อ ฉันไม่คุ้นเสียงเดินเลย ไม่ใช่คนที่เคยมาที่วัดนี้แน่”
“ไม่เคยมา แต่อีกหน่อยก็คงต้องมา...บ่วงบาปบ่วงกรรมที่ผูกพันกันไว้แต่ปางก่อน มันพาให้เจ้ากรรมนายเวรมาพบกันแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ถึงเวลาต้องชดใช้กรรมกันล่ะ”
หลวงพ่อกสินถอนหายใจ
คืนนั้นภายในห้องนอนของบุษบัน ซึ่งเต็มไปด้วยแบบร่างงานศิลปะต่างๆ มีทั้งที่เป็นแบบร่างบนกระดาษ โครงสร้างโมเดลขนาดเล็ก ๆ จัดวางไว้บนโต๊ะทำงานขนาดไม่ใหญ่มาก มุมห้องมุมหนึ่งถูกตกแต่งด้วยงานศิลปะชิ้นเอก ทั้งภาพวาด งานปั้น งานแกะสลัก มีแจกันทรงสูงปักดอกลิลลี่สีขาวดูสวยงาม
บุษบันกำลังนั่งทำความสะอาดกล่องดนตรีอยู่ที่โต๊ะทำงานอย่างระมัดระวัง เมื่อทำความสะอาดจนแน่ใจแล้ว บุษบันก็พิจารณาดูกล่องดนตรีอย่างละเอียดอีกครั้ง ความรู้สึกผูกพันเริ่มเกิดขึ้นอีกอย่างประหลาด
บุษบันลุกขึ้นถือกล่องดนตรีก้าวไปที่เตียงนอน แล้วเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บุษบันถือกล่องดนตรีไว้ในมือแล้วไขลาน เสียงดนตรีดังขึ้น บุษบันยิ้มเคลิ้มอย่างมีความสุข บุษบันฟังเพลินๆ จนเผลอหลับไป
เสียงเพลงจากกล่องดนตรีดังเข้ามาในโสตประสาทของบุษบัน ภาพในความฝันบุษบันค่อยๆ เห็นภาพเรือนไทยหลังหนึ่ง บุษบัยรู้สึกเหมือนเธอค่อยๆ เข้าไปในบ้านหลังนั้น เดินลดเลี้ยวเข้าไปในห้องโถงของบ้าน ลมพัดม่านผ้าปักไหวไปมา บนโต๊ะมีดอกมะลิ กลีบกระดังงาวางเกลื่อน บรรยากาศเหมือนความฝันที่แสนหวาน แสงอบอุ่นเลือนราง มีหมอกควันบางๆ บุษบันเห็นด้านหลังของชายหนุ่มในเครื่องแบบทหารสมัยรัชกาลที่ ๕ เขากำลังยืนทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง
บุษบันมองไม่เห็นหน้าชายหนุ่มคนนั้น ยินแต่เสียงเรียกหา
“แม่บัว...แม่บัว”
บุษบันได้ยินเสียงเรียกอ่อนหวานดังมา รู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกดให้เดินเข้าไปหาชายคนนั้น
บุษบันเดินเข้าไปใกล้ผู้ชายคนนั้นมากยิ่งขึ้น หมอกควันก็ยิ่งหนาขึ้นอีก บุษบันเข้าไปใกล้จนจะเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นแล้ว เขากำลังจะหันหน้ามา แต่แล้วภาพทั้งหมดก็สลายไปในหมอกควันหนากลุ่มนั้น
บุษบันเหมือนตกลงมาจากก้อนเมฆหมอกควันนั้น
บุษบันสะดุ้งตื่น! ในมือยังถือกล่องดนตรีอยู่ เสียงเพลงจากกล่องดนตรีเงียบไปแล้ว
บุษบันสงสัย “เราฝันอะไรของเรา”
บุษบันมองที่กล่องดนตรี จำความรู้สึกในฝันได้รางๆ สุขใจลึกๆ
ตะวันฉายนอนหลับอยู่ จู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ตะวันฉายตะกายคว้าโทรศัพท์ งัวเงียกดดู
“บุษ!” แล้วกดรับสาย “มีอะไรยัยบุษ โทรมาดึกดื่นป่านนี้”
“ฉันฝัน”
ตะวันขยี้ตา ลุกจากเตียง เดินมาที่ระเบียงห้องนอน
“ฝันอะไร ทำไมถึงต้องโทร.มา”
บุษบันเดินออกมาที่ระเบียงหน้าบ้าน “ฉันฝันเห็นตัวเองเข้าไปในอดีตล่ะ ตะวัน มีบ้านไทย สวยมาก”
ตะวันฉายตาสว่างทันทีด้วยความงก “ยุคไหน”
“สมัยรัชการที่ ๕ มั้ง”
“เยี่ยม” ตะวันฉายตาลุกวาว “แล้วไง เห็นอะไรอีก เห็นพวกของเก่าหรือพระพุทธรูปอะไรบ้างไหม”
บุษบันแว้ดใส่ รู้ทันว่าตะวันฉายคิดอะไร “ไม่!” แล้วกลับมาเล่าต่อ “ฉันเห็นผู้ชายคนนึง ใส่ชุดทหาร” ตะวันฉายทำหน้าเซ็ง บุษบันเล่า “อ้อ เหมือนเค้าเรียกชื่อคนคนนึงด้วย”
ตะวันฉายประชด “แม่มณีหรือเปล่า”
“นี่อย่ามาล้อฉันนะ ฉันฝันจริงๆ นะ เห็นทุกอย่างชัด เหมือนกับฉันอยู่ตรงนั้นจริงๆ เลย”
“ก่อนนอนเธอดูหนังมากไปน่ะซี” ฉายตะวันว่า
“เปล่า ฉันแค่ฟังเพลงจากกล่องดนตรีเก่าที่เพิ่งซื้อมา”
“นั่นไง! เจ้าของกล่องดนตรีเขามาทวงคืน ชัวร์”
บุษบันนึกกลัว แต่ไม่เชื่อ “บ้า ไม่ใช่ย่ะ”
“ครั้งแรกมาเป็นเสียง คืนต่อไปคอยดูเหอะ มาเป็นตัว” ตะวันฉายทำเสียงยานคางล้อ “เอากล่องข้าคืนมา”
“ไอ้บ้า รู้งี้ไม่เล่าให้ฟังหรอก หมดอารมณ์เลย แค่นี้นะ”
บุษบันวางสายด้วยความโมโหตะวันฉาย
บุษบันล้มตัวลงนอนต่อแต่ไม่หลับ จึงเดินมาที่รูปปั้นคิวปิด แล้วจ้องมองแล้วพูดกับคิวปิด
“กามเทพจ๋า เขาเป็นใครกัน”
บุษบันยิ้มกับตัวเอง แล้วหยิบเครื่องมือมาตกแต่งคิวปิดต่อ อย่างมีความสุข
ติดตาม "บ่วงวันวาร" ตอนที่ ๙