บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๐
ภีร์ภูมิกับบุษบันต่างจ้องมองตากันนิ่งนาน สองคนตกอยู่ในภวังค์ ภีร์ภูมิเคลิ้มค่อยๆ โน้มหน้าลงจูบประทับที่ริมฝีปากบุษบันเบาๆ สองหนุ่มสาวบัวและฉัตรในอดีตชาติรู้สึกดีต่อกัน
ทั้งคู่หลับตาพริ้มมีความสุขลึกซึ้งอย่างประหลาด ครู่หนึ่ง บุษบันรู้สึกตัวก็ผละตัวออก
ภีร์ภูมิรีบพยุงตัวบุษบันมาที่ขอบสระ ทั้งคู่มองหน้ากันอึ้งๆ ต่างคนต่างทำตัวไม่ถูก!
“เอ่อ…ผมขอโทษ”
บุษบันได้สติ ตบหน้าภีร์ภูมิผัวะ! แล้วก้าวขึ้นจากสระน้ำ บุษบันเดินขึ้นจากสระน้ำ สีหน้านิ่งครุ่นคิด สับสนว้าวุ่นกับความรู้สึกตัวเอง
ภีร์ภูมิตามขึ้นมา
บุษบันเดินเข้ามาในบ้านเนื้อตัวเปียกโชก แป้นสาวใช้เห็นสภาพก็ตกใจ
“ว้าย! คุณบุษไปทำอะไรมาคะเนี่ย เดี๋ยวแป้นไปเอาผ้ามาให้นะคะ”
แป้นเดินออกไปเร็วรี่ ภีร์ภูมิตามบุษบันเข้ามาในบ้าน พูดเสียงอ่อนโยน
“คุณบุษ ผมขอโทษ”
“คุณกลับไปได้แล้ว”
“คุณฟังผมก่อน ผมไม่ได้ฉวยโอกาสนะ…คือ…ผมก็อธิบายไม่ถูก มันมีอะไรบางอย่างที่ให้ทำแบบนั้น มันเป็นความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก…คุณก็รู้สึกเหมือนผมใช่ไม๊”
คำพูดนั้นทำเอาบุษบันนิ่งงันไป ครุ่นคิดหนัก แปลกใจที่มีความรู้สึกดีๆ กับภีร์ภูมิเช่นกัน
ระหว่างนั้นตะวันฉายเดินเข้ามา เห็นบุษบันกับภีร์ภูมิตัวเปียกทั้งคู่ก็งวยงง
“ไปทำอะไรกันมาครับเนี่ยคุณภูมิ ยัยบุษ”
บุษบันไม่ตอบ เดินเข้าไปเปลี่ยนชุดกับแป้น
ภีร์ภูมิตอบแทน “เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ…ผมกลับก่อนนะครับ”
ภีร์ภูมิเดินออกไป ปล่อยให้ตะวันฉายงงๆ อยู่อย่างนั้น
ตะวันฉายรู้เรื่องก็ตกใจ ถามย้ำเสียงดังลั่น
“อะไรนะ! เธอจูบกับเขาเหรอ”
บุษบันเม้ง “เบาๆ จะให้เขารู้กันทั้งซอยเลยหรือไง”
ตะวันฉายตบเข่าตัวเองผัวะ “เนื้อคู่เธอชัวร์ เพื่อนฉันจะมีแฟนแล้วโว้ย”
“บ้า! เขามีแฟนแล้ว”
“เอ้า! แล้วทำไมเธอเผลอใจยอมให้เขาจูบได้ละ”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นมันคืออะไร มันมีอะไรบางที่ให้ฉันทำแบบนั้น และความรู้สึกแบบนั้นก็เหมือนเคยเกิดขึ้นกับฉันแล้ว…”
ตะวันฉายสวนคำขึ้นมา พูดแซวต่อ “อาการแบบนี้ใช่เลย! เนื้อคู่ชัวร์”
บุษบัน อึกอัก พูดไม่ออก
“อ้าวเงียบ” ตะวันฉายจ้องหน้าบุษบันจับอาการ “เฮ้ย! หน้าแดงด้วยอ่ะ...หรือว่าแกชอบเขาจริงๆ”
รถภีร์ภูมิแล่นมาตามถนน ภีร์ภูมิยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิมที่ยังเปียกอยู่ ในใจคิดถึงตอนที่จูบบุษบัน ชายหนุ่มรำพึง
“ทำไมเรารู้สึกดีแบบนี้”
ส่วนกนิษฐาพาตัวเองมาอยู่ต่อหน้าอาจารย์วัย ๕๐ ปี ท่านหนึ่ง ที่ คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร
มีรูปที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าสองคน เป็นรูปชิ้นส่วนกระดูกมือ และรูปตรวนทองคำ
กนิษฐายืนอยู่กับอาจารย์ผู้ชายท่านนั้น ซึ่งสวมใส่แว่นดูทรงภูมิ
ทั้งคู่กำลังเพ่งพินิจรูปกระดูกมือและรูปตรวนทองคำอยู่ เห็นป้ายภาควิชาโบราณคดีด้านหลังชายสูงวัยท่านนั้น
“เป็นยังไงบ้างคะอาจารย์” กนิษฐาเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“สิ่งที่เธอเข้าใจน่ะถูกแล้ว ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ไม่มีบันทึกเอาไว้ว่า มีเชื้อพระวงศ์องค์ไหนที่ถูกล่ามด้วยตรวนทองคำแล้วถูกถ่วงน้ำ”
อาจารย์ว่าพลางคิดใคร่ครวญ แล้วหันหลังไปที่ชั้นวางหนังสือ แล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาวางบนโต๊ะ
“คำตอบของเธออยู่ในนี้”
หนังสือเล่มนั้น เป็นหนังสือเย็บเล่มวิทยานิพนธ์ ในหัวข้อ “วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงกรมราชทัณฑ์ (กรมนักโทษ) ร.ศ. 120”
“วิทยานิพนธ์เล่มนี้รวบรวบประวัติกรมราชทัณฑ์ใน ร.ศ.120 ทั้งหมด น่าจะมีบันทึกเกี่ยวกับตรวนทองคำไว้บ้าง ลองไปอ่านดู” อาจารย์แนะนำ
กนิษฐาไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณมากค่ะอาจารย์”
กนิษฐากลับมาที่แกลเลอรี่ เริ่มเปิดดูวิทยานิพนธ์อย่างตั้งใจ เวลาผ่านไป กนิษฐาดูข้อมูลในวิทยานิพนธ์ไปครึ่งเล่มแล้ว
สักครู่หนึ่งกนิษฐ หยุดอ่านตรงข้อมูล “ผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้คุมในกรมนักโทษ ร.ศ ๑๒๐”
กนิษฐาลองเปิดอ่านดู เห็นมีรายชื่อผู้คุมอยู่ ๑๐ คน นิ้วกนิษฐาชี้ที่รายชื่อผู้คุมทีละชื่อ และชี้ไล่หาผู้ที่เกี่ยวข้องกับตรวนทองคำ แต่ก็ยังไม่เจอ
เวลาล่วงเลยไปอีก กนิษฐาเปิดมาดูรายชื่อถึงคนที่ ๘ แล้วหยุดชะงักตรงชื่อ “พระยาโกสินทร์”
กนิษฐาพึมพำ “พระยาโกสินทร์”
กนิษฐาใช้นิ้วไล่หาคำว่าตรวนทองคำต่อไปเรื่อยๆ ครู่หนึ่ง กนิษฐาก็หยุดชะงัก ตาลุกวาวด้วยความดีใจ แล้วยิ้มออกมา
ในหนังสือวิทยานิพนธ์เล่มนั้นระบุชัดเจนว่า “พระยาโกสินทร์หรือแช่ม ผู้ที่ได้รับพระทานตรวนทองคำแต่เพียงผู้เดียวในฐานะผู้สร้างคุณงามความดีให้แก่ประเทศ”
กนิษฐาดีใจพูดออกมา “พระยาโกสินทร์หรือแช่ม ผู้ที่ได้รับพระราชทานตรวนทองคำแต่เพียงผู้เดียวในฐานะผู้สร้างคุณงามความดีให้แก่ประเทศ”
กนิษฐาเปิดอ่านต่อไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีข้อมูลหรือที่มาที่ไปเกี่ยวกับตรวนทองคำอีกเลย จึงทำหน้าเซ็ง
“ข้อมูลมีแค่เนี้ย!”
จังหวะนั้นกนิษฐาคิดอะไรบางอย่างออก จึงรีบเดินออกไปจากห้องทันที
ไม่นานหลังจากนั้นกนิษฐา พาตัวเองเดินเข้ามาในห้องสมุดในหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี
“พระยาโกสินทร์”
กนิษฐาพึมพำ แล้วรีบเดินตรงไปที่คอมพิวเตอร์หาข้อมูลหนังสือ กนิษฐาหาชื่อพระยาโกสินทร์ในคอมพิวเตอร์
จอคอมพิวเตอร์โชว์ข้อมูลหนังสือที่เกี่ยวกับคำว่า “โกสินทร์” ขึ้นมาเยอะมาก กนิษฐาเซ็ง!
“แล้วมันเล่มไหนเนี่ย?”
สักครู่หนึ่ง สายตากนิษฐาก็กวาดไปเห็นข้อมูลที่เขียนระบุว่า
“อนุสรณ์งานฌาปณกิจ 'พระบำราชไมตรี เจ้ากระทรวงการต่างประเทศ (ฉาย โกสินทร์พิทักษ์)'..."
กนิษฐาหยุดชะงัก ครุ่นคิด พึมพำออกมา
“ฉาย โกสินทร์พิทักษ์ กับ พระยาโกสินทร์ หรือว่าเป็นญาติกัน?" กนิษฐาเนื้อเต้นดีใจยิ่งนัก "เล่มนี้แหละ น่าจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง"
กนิษฐาจดรหัสหนังสือแล้วเดินตรงดิ่งไปที่ตู้หนังสือ
กนิษฐาเดินหาหนังสือตรงอีกมุมในหอสมุดแห่งชาติ ครู่หนึ่ง ก็เห็นหนังสือ “อนุสรณ์งานฌาปณกิจพระบำราชไพรีพินาศ (ฉาย โกสินทร์พิทักษ์)”
กนิษฐาดีใจ! รีบหยิบแล้วเดินมาอ่านที่โต๊ะ เป็นหนังสือบอกเล่าประวัติของฉายนั่นเอง
ในหนังสือมีสายสัมพันธ์เครือญาติโยง หรือ Family tree เผยให้เห็นว่าใครเป็นใคร เพื่อเข้าใจมากขึ้น แต่ไม่มีรูปบุคคลที่กล่าวมาทั้งสิ้น
กนิษฐาเริ่มอ่านอย่างตื่นเต้น
“จริงๆ ด้วย ฉาย โกสินทร์พิทักษ์เป็นลูกชายของพระยาโกสินทร์นี่เอง”
เสียงกนิษฐาอ่านตามข้อมูลในแผนผัง Family tree
“พระบำราชไพรีพินาศ หรือ ฉาย โกสินทร์พิทักษ์ มีพี่น้องหนึ่งคนชื่อหมื่นบริรักษ์สงคราม หรือ ฉัตร…ต่อมาพระบำราชไพรีพินาศได้สมรสกับ คุณหญิงศรีจันทร์ มีบุตรชายหนึ่งคนคือ พระไพศาลนิติ ธรรมรงค์ หรือ เฉิด โกสินทร์พิทักษ์ พระไพศาลนิติธรรมรงค์ได้สมรสกับ คุณหญิงเจิดจรัส มีบุตรสาวหนึ่งคนคือ สร้อยสุดา โกสินทร์พิทักษ์”
แผนภูมิสายสัมพันธ์เครือญาติ Family tree จบที่ชื่อ สร้อยสุดา โกสินทร์พิทักษ์กนิษฐารำพึงออกมาอย่างมีความหวัง
“คุณสร้อยสุดา ทายาทคนสุดท้าย ต้องรู้เรื่องตรวนแน่ๆ”
ที่วัดแห่งนั้น หลวงพ่อกสินนั่งสมาธิอยู่บนกุฏิ สักครู่หนึ่ง หลวงพ่อก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“กงกรรมกงเกวียน เวียนมาบรรจบพบกัน เวรกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามสัจธรรม…กรรมย่อมมีทางของมัน”
ขณะเดียวกันรถของพิมพิลาสแล่นมาจอดในลานวัด พิมพิลาสกับป้าทิพย์เดินลงมาจากรถ นายมากซึ่งนั่งขอทานอยู่อีกมุม ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอด จำได้แม่นว่าเป็นเสียงรถตู้ของพิมพิลาส นายมากรีบปรี่เข้ามาหาตามเสียง
“หนู…หนูมาทำบุญเหรอจ๊ะ”
“เปล่าจ้ะ” พิพิลาสบอก
“แล้วมาทำอะไรล่ะ”
ป้าทิพย์เอ่ยถาม “วันนั้นที่บอกว่ามีหมอดูแม่นๆ น่ะ บ้านเขาอยู่ตรงไหน”
มากนึกออก “อ๋อ…มาดูดวงใช่ไม๊…ไปๆ เดี๋ยวฉันพาไป อยู่หลังวัดนี่เอง”
มากเดินนำหน้า พิมพิลาสกับป้าทิพย์เดินตาม
ระหว่างนั้นหลวงพ่อกสินยืนมองอยู่ที่หน้าโบสถ์ พร้อมกับพึมพำออกมา
“หนทางเดียวที่จะพ้นบ่วงเวรบ่วงกรรมไปได้คือการไม่จองเวร…ถ้าละเว้นไม่ได้ก็ต้องทนทุกข์ทุกชาติไป”
มากเดินนำพิมพิลาสกับป้าทิพย์มาหยุดที่บ้านหลังหนึ่งด้านหลังวัด บรรยากาศดูวังเวง จนพิมพิลาสและป้าทิพย์ มองอย่างกลัวๆ
“หลังนี้น่ะเหรอ” ป้าทิพย์ถาม
“ใช่ หลังนี้แหละ…เขาชื่อหมอเดือน ใครๆ ก็เรียกว่าหมอดูตาทิพย์ แม่นมาก…” มากอยากรู้ “แล้วที่มาหาหมอเดือนนี่ มีปัญหาอะไรกันเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของแก”
ป้าทิพย์ตัดบท แล้วยื่นเงินให้มาก
“ขอบใจมาก…แกไปได้แล้ว”
มากรับเงินแล้วเดินออกไป
พิมพิลาสมีท่าทีหวาดผวา ทำท่าจะกลับ
“ป้ากลับกันเถอะ…ไม่น่าไว้ใจเลย”
แต่แล้วจังหวะนั้นก็มีเสียงหญิงแก่สำเนียงดุดันและหนักแน่น ดังลอดออกมาจากบ้านหลังนั้น
“ถ้ามึงออกไปแล้ว ก็ไม่ต้องกลับมาอีก”
หญิงแก่ในบ้านคนนั้น ยังพูดต่ออีก
“แล้วกูจะไม่บอกที่มึงทรมานทั้งกายและใจอยู่ทุกวันนี้มันคืออะไร”
พิมพิลาส กับป้าทิพย์ชะงัก ตกใจ เหลียวมามองหน้ากัน
สองคนเดินเข้ามาในบ้าน บรรยากาศยิ่งดูวังเวงและน่ากลัว ในบ้านมีเพียงแสงสลัวๆ ทั้งคู่เดินมาเห็นหญิงแก่คนหนึ่งนั่งอยู่
ในจังหวะที่หญิงแก่เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้านั้นปะทะกับแสงที่ส่องลอดเข้ามาพอดี ซึ่งก็คือแม่หมอเดือน! หน้าตาดุแลดูน่ากลัว กำลังนั่งเคี้ยวหมากอยู่หมับๆ
“มึงมีปัญหากับแฟนใช่ไม๊” เดือนเอ่ยขึ้น
สองคนอึ้ง! ที่แม่หมอเดือนรู้
“โรคที่มึงเป็นอยู่นี่ก็เกือบจะฆ่ามึงหลายแล้วใช่ไม๊”
พิมพิลาสอึ้งไปอีกครั้ง เดือนพูดเสียงดัง
“มึงอยากรู้ส่งมือมา”
พิมพิลาสลังเล มองมาทางป้าทิพย์ หญิงชราพยักหน้าให้ทำตาม พิมพิลาสส่งมือให้เดือนจับ
เดือนหลับตา ท่องคาถาปากขมุบขมิบ
สักครู่หนึ่งเท่านั้น ภาพย้อนอดีตในนิมิตเดือนเห็นกรรมมากมายที่พิมพิลาสก่อไว้ ทั้งใช้แส้ฟาดลงไปบนหลังคน เห็นคนถูกไฟคลอกตาย! เสียงคนเจ็บปวดอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส
สีหน้าเดือน ตื่นตกใจมาก ผลักมือพิมพิลาสออกไป พลางเอ่ยขึ้น
“ชาติที่แล้วมึงฆ่าคน กูไม่เคยเห็นใครเลวและบาปหนาเท่ามึง ชาตินี้มึงต้องชดใช้ โรคเลือดที่มึงเป็นอยู่มันเป็นโรคกรรมเกือบจะฆ่ามึงหลายครั้งแล้ว แต่เพราะมึงมีผู้อุปถัมภ์ค้ำชูดีเลยแคล้วคลาดรอดมาได้ มึงต้องเสียของรัก! เสียของหวง มึงต้องรับกรรมอย่างสาสม”
พิมพิลาส กับป้าทิพย์ตกใจมาก
ป้าทิพย์ฉุนขาด “ไม่จริง!...กลับเถอะหนูพิม”
เดือนโมโห กระทืบเท้าดังปัง!
“ไม่เชื่อมึงก็ออกจากบ้านกูไป แล้วอย่ามาให้เห็นหน้าอีก คนบาปอย่างหลานมึง กูไม่อยากยุ่งด้วย กูไม่ดูให้อีกแล้ว!มึงออกจากบ้านกูไปเลย”
พิมพิลาส กับป้าทิพย์ หน้าเสีย ใจคอไม่ดีเอาเลย
“กลับเถอะหนูพิม”
พิมพิลาส กับป้าทิพย์ เดินออกมาด้วยสีหน้าไม่ดี
ครู่ต่อมามากโผล่ออกมาจากข้างบ้าน หลังแอบฟังเรื่องราวและได้ยินทั้งหมด
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๐ (ต่อ)
ตามากเก็บความสงสัยไม่อยู่ และอยากรู้เอามากๆ จึงเข้ามาถามเดือนในบ้าน
“นี่ๆ …แม่หนูคนนั้นเขามาดูอะไรเหรอ?”
เดือนเบ้ปาก! แล้วถุยน้ำหมากกระจาย
“สู่รู้...มึงไปไกลๆ เลย ไม่ใช่เรื่องของมึง”
เดือนเดินหนี มากเดินตามถามเซ้าซี้ เพราะอยากรู้
“ฉันได้ยินอะไรบาปๆ เลวๆ แม่หนูเขาทำอะไรเหรอ”
เดือนมองมากหน้าตาดุ รู้ว่าชาติที่แล้วมากทำอะไรเลวร้ายเอาไว้
“กูจะบอกให้ก็ได้ ชาติที่แล้วนังผู้หญิงคนนั้นก็เลวพอๆ กับมึงนั่นแหละ”
พูดจบเดือนก็เดินหนีไป มากไม่เข้าใจที่เดือนพูด งงๆ ยืนเกาหัวตัวเองแกรกๆ อยู่อย่างนั้น
เย็นนั้นพอพิมพิลาสกับมาถึงบ้าน ก็นั่งใจเสียอยู่ และคิดถึงแต่คำพูดของเดือน
“ชาติที่แล้วมึงฆ่าคน! กูไม่เคยเห็นใครเลวและบาปหนาเท่ามึง! ชาตินี้มึงต้องชดใช้! โรคเลือดที่มึงเป็นอยู่ มันเป็นโรคกรรมเกือบจะฆ่ามึงหลายครั้งแล้ว แต่เพราะมึงมีผู้อุปถัมภ์ค้ำชูดีเลยแคล้วคลาดรอดมาได้! มึงต้องเสียของรัก! เสียของหวง มึงต้องรับกรรมอย่างสาสม!”
ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พิมพิลาสสะดุ้งตื่นจากภวังค์ กดรับสาย
“ฮัลโหล…ค่ะภูมิ”
ภีร์ภูมิอยู่ที่ออฟฟิศ ขณะคุยสายกับพิมพิลาสที่อยู่ในห้องนอน
“พิม…วันนี้ไม่ต้องรอผมทานข้าวนะ พิมทานไปเลย ผมติดงานนิดหน่อย”
“พิมรอได้นะ พิมอยากให้ภูมิกลับมาทานข้าวกับพิม วันนี้พิมรู้สึกไม่สบายใจเลย” พิมพิลาสบอก
“ไม่ต้องรอผมหรอกพิม…ไว้พรุ่งนี้เช้าผมจะไปหานะ”
พิมพิลาสอึ้ง “สรุปภูมิจะทำงานต่อใช่ไม๊คะ”
“ครับ…ผมขอโทษนะครับพิม”
“ค่ะ”
พิมพิลาสวางโทรศัพท์ในท่าทีโรยแรง น้ำตาคลอๆ ก่อนจะครวญคร่ำออกมา
“ภูมิเปลี่ยนไปจริงๆ ด้วย…ภูมิไม่สนใจพิมแล้ว!”
ขณะเดียวกันไก่ก็ออกอาการงงๆ และแซวเจ้านายขำๆ
“นั่นแน่ๆ เดี๋ยวนี้หัดเป็นเด็กเลี้ยงแกะนะ! เมื่อกี้ผมได้ยินนะลูกพี่...โกหกคุณพิมเธอทำไม งานก็เสร็จหมดแล้ว ไม่ใช่เหรอ”
ภีร์ภูมินิ่ง ไม่ตอบโต้ไก่ใดๆ นั่นทำให้ไก่ ก็รู้สึกแปลกใจ
“วันนี้แปลกทำไมไม่ด่ากลับ…ลูกพี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ภีร์ภูมิถอนหายใจเฮือกใหญ่พูดอย่างจริงจัง “ไก่…ฉันรู้สึกว่าพิมไม่ใช่คนที่ฉันต้องการอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต”
ไก่อึ้งไปเลย ภีร์ภูมิพูดต่อ
“ฉันไม่ได้รักพิมอย่างคนรัก ฉันรักเขาเหมือนเพื่อนคนนึง แล้ววันหนึ่งฉันไม่อยู่เขาต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเองให้ได้”
“ถ้าคุณพิมรู้ต้องเสียใจมากๆ เลยนะครับ” ไก่หน้าเศร้าลง
“ถึงเวลานั้นเขาต้องยอมรับความจริงให้ได้…อีกอย่างฉันก็ไม่ได้หนีเขาไปไหน ฉันก็ยังจะดูแลเขาตลอดไป แต่คงไม่เหมือนที่ผ่านมา”
ไก่งงเอามากๆ “อะไรเข้าสิงลูกพี่เนี่ย ถึงเพิ่งคิดได้ตอนนี้”
“ฉันเจอคนที่ฉันรักแล้ว”
ฟังภีร์ภูมบอกท่าทีจริงจัง ไก่ตกใจเว่อร์ๆ “ห๊ะ! พระเจ้าช่วยกล้วยทอด! แล้วทำไมเพิ่งมาเจอเอาป่านนี้ อยากรู้จริงๆ ว่าผู้หญิงที่โชคร้าย เอ๊ย! โชคดี คนนั้นเป็นใคร”
ตอนเย็นวันนั้น บุษบันขับรถเข้ามาจอดที่หน้าแกลอรี่ ตะวันฉายยืนรออยู่แล้ว บุษบันรีบลงมาจากรถ
“เร็วๆ เลย ยัยนิดรออยู่” ตะวันฉายบอกอย่างร้อนรน
“ได้ข้อมูลแล้วใช่ไหม จะได้รู้กันซะที”
“รู้แล้วสิ ฉันถึงได้เรียกเธอมานี่ไง”
ตะวันฉายกับบุษบันรีบเข้าไปในแกลอรี่เร็วรี่
กนิษฐารออยู่ในห้องที่ชั้นบน และกำลังจับดูตรวนอยู่ สองคนเดินเข้ามา
“มาแล้วๆ” ตะวันฉายร้องขึ้น
กนิษฐาวางตรวนลงบนโต๊ะ
ตะวันฉายถามทันที “ตกลงตรวนนี้มันเป็นอะไรยังไง”
บุษบันมองตรวนทองคำ ที่ข้างๆ มีกระดูกมือวางอยู่ด้วย กนิษฐามองหน้าบุษบัน สลับกับมองหน้าตะวันก่อนพูดออกมา
“ตรวนทองคำอันนี้เป็นของพระยาโกสินทร์ที่ได้รับพระราชทานมา”
ตะวันฉายออกอาการตื่นเต้น
“ตรวนพระราชทานจริงๆ แล้วยังไงอีก อย่าบอกนะว่ารู้แค่เป็นของพระยาโกสินทร์”
“ฉันกำลังหาเพิ่มเติมอยู่”
บุษบันยังไม่กระจ่าง รู้สึกค้างคาใจ
“ฉันก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดีว่าทำไมฉันถึงเจ็บข้อมือ”
ตะวันฉายอำอีก “สงสัยผีพระยาโกสินทร์ที่สิงอยู่ในตรวนคงไม่ชอบเธอมั้ง”
กนิษฐาให้กำลังใจ
“อย่าเพิ่งหมดหวังไปเลยคุณบุษ ฉันได้ข้อมูลมาว่าพระยาโกสินทร์มีทายาทอยู่คนหนึ่ง คนนี้แหละอาจจะเป็นคำตอบให้คุณก็ได้ว่าทำไมตรวนนี้ถึงไปอยู่ในน้ำ แล้วทำไมคุณถึงเจ็บข้อมือ”
บุษบันมองตรวนอย่างสงสัย และอยากรู้เต็มกลืน
ตกกลางคืน บุษบันนั่งขัดคิวปิดอย่างเหม่อลอย ในใจคิดถึงเรื่องกระดูกมือ ข้างๆ มีกล่องดนตรีวางอยู่
บุษบันนึกถึงคำพูดกนิษฐาที่บอกว่าพระยาโกสินทร์มีทายาทอยู่
“พระยาโกสินทร์มีทายาทอยู่คนหนึ่ง คนนี้แหละอาจจะเป็นคำตอบให้คุณก็ได้ว่าทำไมตรวนนี้ถึงไปอยู่ในน้ำ แล้วทำไมคุณถึงเจ็บข้อมือ”
บุษบันดึงตัวเองกลับมา
“ที่เราเจ็บข้อมือหรือว่ากระดูกมือนั่นจะเป็นมือของเรา”
บุษบันหยิบกล่องดนตรีที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาดู สีหน้าครุ่นคิด
ขณะนั้นรถของภีร์ภูมิแล่นมาจอดที่หน้าบ้านบุษบัน ภีร์ภูมิก้าวลงจากรถ ลังเลว่าจะเข้าไปหาบุษบันดีไหม
“เขายังโกรธเราอยู่หรือเปล่านะ”
ภีร์ภูมิมองเข้าไปในบ้านบุษบัน ก่อนจะตัดสินใจกลับ ทว่าในจังหวะที่ภีร์ภูมิกำลังเปิดประตูรถนั้น เสียงเพลงจากกล่องดนตรีดังแว่วออกมา
ภีร์ภูมินิ่งฟังรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เขากลับตัวเดินเข้าไปในบ้านบุษบันตามเสียงเพลงนั้น
บุษบันกำลังฟังเพลงจากกล่องดนตรี สายลมพัดเบาๆ ผมบุษบันปลิวสยายไปตามสายลม บุษบันปล่อยใจไปตามเสียงเพลง ห่างออกไปทางด้านหลัง ภีร์ภูมิเดินเข้ามา มองบุษบันด้วยความรู้สึกรักหมดใจ
ภีร์ภูมิยิ้มอย่างมีความสุข บุษบันรู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่จากด้านหลัง พอหันไปมองก็เห็นเป็นภีร์ภูมิ บุษบันตกใจปิดกล่องดนตรีลง
“คุณ”
“ผมขอโทษที่เข้ามาโดยไม่บอกคุณ”
“คุณมาทำไม”
“ผม...ผมมาขอโทษที่เมื่อกลางวันผม...”
“คุณไม่ต้องพูด เรื่องมันแล้วก็ให้มันแล้วไป ฉันไม่เก็บเอามาใส่ใจ”
บุษบันพูดสวนคำ และจะเดินหนี
“แค่นี้ใช่ไหม คุณกลับไปได้แล้ว”
ภีร์ภูมิมองกล่องดนตรี
“เพลงที่คุณเปิดเมื่อกี๊เพราะดีนะครับ ผมรู้สึกเหมือนเคยได้ยินเพลงนี้มาจากที่ไหนสักที่ ผมขอฟังอีกรอบได้ไหม”
“คุณก็คงได้ยินตอนที่แย่งซื้อกับฉันนะสิ”
ภีร์ภูมิอ้อนเสียงอ่อนโยน “นะครับ ผมอยากฟังอีกรอบ”
บุษบันเดินไปหยิบกล่องดนตรี และยื่นส่งให้ ภีร์ภูมินั่งลงที่เก้าอี้แล้วเปิดกล่องดนตรี เสียงเพลงจากกล่องดนตรีหวานแว่วทำให้ภีร์ภูมิหลับตาฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม บุษบันมองภีร์ภูมิแล้วรู้สึกเคลิ้มเหมือนกัน
เพลงจากกล่องดนตรีเล่นจบ บุษบันจะเอาคืน
“คุณ...คุณ”
ภีร์ภูมิลืมตาขึ้นมองมา บุษบันดึงกล่องดนตรีจากมือภีร์ภูมิ แต่ภีร์ภูมิยังไม่ยอมปล่อย
“คุณฟังแล้วรู้สึกเหมือนที่ผมรู้สึกไหม”
บุษบันดึงกล่องดนตรีคืนมา แต่ภีร์ภูมิยังไม่ปล่อย
“ฉันไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น” บุษบันปากแข็ง
“คุณอย่าปฏิเสธเลย คุณลองฟังอีกครั้งสิแล้วรู้สึกอย่างไงก็พูดออกมา”
พูดจบภีร์ภูมิดึงกล่องดนตรีกลับมาอีกครั้ง บุษบันมานั่งเก้าอี้ข้างภีร์ภูมิ ภีร์ภูมิไขลานเปิดเพลง
เสียงเพลงกรุ๋งกริ๋งทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในภวังค์อย่างประหลาด ภีร์ภูมิมองตาบุษบัน ขณะที่บุษบันมองตากลับ จะขยับตัวหนีแต่เหมือนขยับไม่ได้
จังหวะนั้นภีร์ภูมิค่อยๆ โน้มหน้าลงจูบบุษบันอย่างทะนุถนอม บุษบันไม่ขัดขืนใดๆ
จนสักครู่หนึ่งบุษบันรู้สึกตัว ถอนปากออกจากปากภีร์ภูมิ บุษบันไม่กล้ามองหน้าภีร์ภูมิ เพราะกลัวใจตัวเอง
“ฉันทำอะไรลงไป คุณกลับไปได้แล้ว”
บุษบันลุกเดินหนีไป ภีร์ภูมิเดินตามประกบ
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ”
พร้อมกันนั้นภีร์ภูมิดึงมือบุษบันมากุมไว้
“คุณอย่าโกหกตัวเองอีกเลย บอกผมมาเถอะว่าความรู้สึกของคุณก็เหมือนกับผม”
บุษบันหันหน้าไปหาภีร์ภูมิอีก ทั้งคู่มองสบตากัน ภีร์ภูมิบรรจงจูบบุษบันอีกครั้ง และเปลี่ยนเป็นกอดกันด้วยความรักหมดหัวใจ เสียงเพลงจากล่องดนตรียังบรรเลงแว่วหวานขับคลอยิ่งทำให้บรรยากาศแสนโรแมนติก
สองคนไม่รู้ว่า ที่หน้าบ้านบุษบันยามนั้น พิมพิลาสยืนอยู่มุมหนึ่งเห็นทั้งคู่กอดกันอย่างหวานชื่น
พิมพิลาสเสียใจจนน้ำตาหยดรินอาบแก้ม จ้องภาพตรงหน้า แววตาวามวามด้วยความโกรธแค้น
เช้าวันนี้กนิษฐาขับรถมาตามทาง จุดหมายคือบ้านยายสร้อย ทายาทที่ยังเหลืออยู่ของพระยาโกสินทร์ โดยระหว่างนั้นกนิษฐาซึ่งอยู่ในรถกำลังจดจ่อรอสายจากบ้านยายสร้อย
ขณะเดียวกันที่บ้านยายสร้อย เห็นชื่อที่ป้ายตรงหน้าบ้านเด่นหราว่า “โกสินทร์พิทักษ์”
เสียงโทรศัพท์ตรงห้องโถงดังขึ้น โทรศัพท์เครื่องเป็นแบบรุ่นโบราณ ข้างๆ โทรศัพท์มีกรอบรูปพระยาโกสินทร์ตอนแก่อุ้มยายสร้อยตอนเป็นทารกวางโชว์ประดับอยู่
สักครู่หนึ่งมีคนรับใช้หญิงเดินมารับสาย
“สวัสดีค่ะ บ้านโกสินทร์พิทักษ์ค่ะ”
กนิษฐาอยู่ในรถ ใช้หูฟังคุยตอบกลับ
“ฉันกนิษฐานะ คนที่นัดคุณยายสร้อยไว้ จะเข้าไปคุยเรื่องตรวน อีก ๑๕ นาทีฉันจะเข้าไปถึง”
“ค่ะ เดี๋ยวจะไปเรียนให้ท่านทราบค่ะ”
สาวใช้วางสายไป
อีกมุมหนึ่งภายในบ้านโกสินทร์พิทักษ์ ยายสร้อยหญิงชรา อายุประมาณ ๘๐ ปี นั่งอยู่ที่ริมระเบียง ในมือถือรูปพระยาโกสินทร์อยู่ สักครู่หนึ่ง สาวใช้เดินเข้ามาหา
“คุณยายคะ คนที่นัดไว้กำลังจะมาถึงอีก ๑๕ นาทีค่ะ”
ยายสร้อยพยักหน้าช้าๆ
“ฉันกำลังรอเขาอยู่”
สาวใช้เดินออกไปทางหนึ่ง
หญิงชรามองรูปพระยาโกสินทร์ แล้วยกมือลูบไล้อย่างแผ่วเบา
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๐ (ต่อ)
เวลาต่อมายายสร้อยยังนั่งอยู่ที่เดิม และกนิษฐานั่งอยู่ในบ้านแล้ว
“ขอบพระคุณคุณยายมากนะคะที่ยอมให้นิดมาหา คุณยายพอจะเล่าประวัติของตรวนทองคำให้นิดฟังได้ไหมคะ”
“ไหนละตรวน ฉันขอดูหน่อยสิ”
กนิษฐายื่นรูปตรวนทองคำให้ยายสร้อยดู
“นี่ค่ะ อันนี้ใช่ไหมคะในประวัติศาสตร์บอกว่าเป็นของพระยาโกสินทร์”
ยายสร้อยมองรูปตรวน ค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาลูบที่รูปตรวนเบาๆ
“หน้าตาเป็นอย่างนี้นี่เอง ตั้งแต่ฉันเกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นเลย รู้แต่ว่ามันหายสาบสูญไปแล้ว”
“ทำไมเหรอคะ”
“เพราะมันจมลงไปในน้ำนะสิ”
กนิษฐางวยงง “ของมีค่าขนาดนี้ทำไมถึงปล่อยให้จมลงไปในน้ำละคะ”
ยายสร้อยมองรูปตรวน ค่อยๆ พูด
“พระยาโกสินทร์คือทวดของฉัน ท่านมีลูกสองคนคือปู่ใหญ่ชื่อฉัตรและปู่ของฉันชื่อฉาย ปู่เคยเล่าให้ฉันฟังว่าทวดได้รับพระราชทานตรวนทองคำนี้มา แต่ตรวนอันนี้ทำให้ปู่ใหญ่ต้องตายไปพร้อมกับคนรัก”
กนิษฐาอึกอัก “แล้ว...พอ...ทราบหรือเปล่าคะว่าท่านเสียชีวิตยังไง”
“ฉันรู้แต่ว่า ปู่ใหญ่เคยรักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นบ่าวในเรือน แต่ถูกกีดกัน ก็เลยถูกถ่วงน้ำให้ตายไปด้วยกัน”
กนิษฐาตกใจ ถามต่อ
“แล้วใครทำเหรอคะ”
ยายสร้อยส่ายหน้า
“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีใครอยากจะรื้อฟื้น”
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณยายเล่ามา นิดมั่นใจว่าตรวนทองคำอันนี้ต้องเป็นของพระยาโกสินทร์แน่ ๆ เพราะว่าตอนที่นิดเจอตรวนอันนี้มีกระดูกมือของผู้ชายกับผู้หญิงติดมาด้วย”
ยายสร้อยได้ยินกนิษฐาพูดถึงกระดูก ก็ตกใจ จึงหันมามองหน้า
“เดี๋ยวหนู…แล้วกระดูกนั่นยังอยู่หรือเปล่า”
สองคนพากันเดินทางมาที่แกลเลอรี่อย่างรีบเร่ง เวลานี้กนิษฐาเอาตรวนทองคำพร้อมกระดูกข้อมือมาวางไว้บนโต๊ะ
“นี่ค่ะตรวนทองคำกับกระดูกข้อมือที่พูดถึง”
ยายสร้อยเห็นกระดูกข้อมือ เอื้อมมือสั่นๆ ไปสัมผัสกระดูก
“นี่น่ะหรือกระดูกมือของปู่ฉัตรกับคนรัก”
ยายสร้อยมองกระดูกมือสองข้าง ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ
“ฉันขอกระดูกมือปู่ฉัตรกับคนรักของท่าน กลับไปบำเพ็ญกุศลได้ไหม”
กนิษฐาอึกอัก ไม่กล้าตัดสินใจ “ต้องขอเจ้านายนิดก่อนค่ะ เพราะนิดไม่ใช่เจ้าของ”
จังหวะนั้นกนิษฐาหันไปเห็นตะวันฉายเดินเข้ามาพอดี
“เจ้านายนิดมาพอดีเลยค่ะ” กนิษฐาหันไปแนะนำยายสร้อยกับตะวันฉาย “นี่ ยายสร้อยที่ฉันพูดถึง”
“สวัสดีครับยาย” ตะวันฉายยกมือไหว้ทักทาย
ยายสร้อยหันมาเห็นตะวันฉาย ก็จ้องอย่างตื่นตะลึงและตกใจ ทันใดนั้นก็เป็นลมล้มฟุบไป
กนิษฐากับตะวันฉายพากันตกใจ ร้องขึ้นพร้อมกัน “คุณยาย”
สองคนรีบเข้ามาช่วยประคองไปนั่งที่โซฟา
ขณะเดียวกันพิมพิลาสอยู่ในห้องรับแขก พยายามทำท่าทางให้เป็นปกติ
“พิมนัดผมมามีธุระอะไรเหรอครับ”
พิมพิลาสยิงตรงประเด็น “ภูมิคะ พิมคิดว่าถึงเวลาแล้วล่ะค่ะที่เราจะต้องแต่งงานกัน”
ภีร์ภูมิชะงัก! มองพิมพิลาสว่าจะมาไม้ไหน
“เราก็คบกันมานานแล้ว ภูมิก็รู้ว่าพิมรักภูมิมาก พิมพร้อมแล้วที่จะใช้ชีวิตคู่กับภูมิ”
ภีร์ภูมิลำบากใจมาก แต่ต้องตัดสินใจพูดออกไป
“ผมขอโทษด้วยครับพิม…ผมว่าเราเคยพูดเรื่องนี้กันไปแล้ว”
พิมพิลาสนิ่งงันไป เป็นอย่างที่เธอคาดคิดเอาไว้
“ที่ผ่านมาถ้าผมทำให้พิมเข้าใจผิดผมก็ขอโทษด้วย ผมรักพิมไม่ได้ ผมเคยพยายามรักพิมแบบที่พิมต้องการแล้ว แต่ผมก็ทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไม”
พิมพิลาสถามต่อ “ภูมิเจอคนที่ภูมิรักแล้วใช่ไหมคะ”
ภีร์ภูมิอึ้งที่พิมพิลาสรู้
“ใช่ครับ ผมเจอคนที่รักแล้ว และผมก็รักเขามาก”
“ใครคะ”
“เธอชื่อ บุษบัน ครับ”
พิมพิลาสร้องไห้ออกมา
“เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะครับ…พิมเข้าใจผมนะครับ”
พิมพิลาสฝืนยิ้ม กดข่มความรู้สึกเสียใจ แค้นใจ ลงไปจนลึกสุด
“พิมเข้าใจค่ะ ความรักมันเป็นเรื่องของหัวใจ ถ้าภูมิเจอคนที่ใช่แล้ว พิมก็ไม่ขอรั้งตัวภูมิไว้”
“ขอบคุณครับพิมที่เข้าใจ…แต่พิมไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะไม่มีวันทิ้งพิมไปไหน ผมจะดูแลพิมเหมือนเดิมตลอดไป”
“ขอบคุณค่ะภูมิ”
ภีร์ภูมิดึงรั้งตัวพิมพิลาสมากอดขอบคุณ โดยไม่รู้ว่าพิมพิลาสร้องไห้เสียใจ ระคนโกรธแค้นเขาและบุษบัน
[ต่อจากตอนที่แล้ว]
เวลาผ่านไป ระหว่างนั้นยินเสียงโหวกเหวกดังลั่นออกมาจากบ้านของเดือน
“มึงออกจากบ้านกูไปเลย! กูไม่ดูให้มึง”
พิมพิลาสอ้อนวอน “นะคะ แม่หมอฉันขอร้อง ฉันอยากรู้ว่าคนรักฉันจะต้องไปจากฉัน จริงๆ เหรอคะ”
แม่หมอเดือนจะเดินหนี
ป้าทิพย์ช่วยอีกแรง “ช่วยหลานฉันด้วยนะคะ หลานฉันต้องทนทุกข์มานานแล้ว ฉันอยากให้หลานฉันสมหวังในความรักเสียที”
“อย่าเสียเวลาเลย มึงสองคนกลับไปซะเถอะ” เดือนบอก
“แม่หมอจะเอาอะไร ฉันจะหามาให้หมดทุกอย่าง จะเรียกเงินฉันเท่าไหร่ก็ได้ ฉันยอมจ่าย” พิมพิลาสบอก
“มึงอย่ามาดูถูกกู กูไม่ต้องการเงินของมึง คนอย่างมึงไม่มีทางสมหวังเรื่องความรักในชาตินี้หรอก คนรักของมึงมันเจอเนื้อคู่แล้ว ชาติที่แล้วมึงพรากคู่เขา ชาตินี้มึงก็ต้องเจ็บช้ำแบบนี้แหละ”
พิมพิลาสอึ้ง ตกใจ สักครู่ก็น้ำตาคลอ “เป็นไปไม่ได้ ฉันรักเขา ฉันขาดเขาไม่ได้ แม่หมอช่วยบอกฉันที ฉันอยากรู้ว่าชาติที่แล้วฉันทำอะไรไว้ ทำไมฉันต้องสูญเสียคนรักไปด้วย”
ป้าทิพย์มองพิมพิลาสอย่างสงสาร
เดือนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “มึงแน่ใจนะว่าอยากรู้” พิมพิลาสพยักหน้า “ถ้าเกิดอะไรขึ้นมึงจะมาโทษกูไม่ได้”
ป้าทิพย์ตกใจ “ทำไมเหรอคะ หลานฉันจะเป็นอะไร”
“สิ่งที่นังนี่มันอยากรู้ มันเป็นการฝืนกฎแห่งกรรม” เดือนหันไปจ้องหน้าพิมพิลาส “มึงอาจจะเป็นบ้าไปเลยก็ได้”
ป้าทิพย์มีสีหน้าหวาดหวั่น คิดหนัก ชักไม่อยากให้พิมพิลาสทำ
แต่พิมพิลาสตั้งใจฟังเดือน สีหน้ายังคงมุ่งมั่น เดือนพูดต่อ
“หรือไม่ มึงอาจจะกลับมาไม่ได้”
ป้าทิพย์ตกใจ มองหน้าพิมพิลาสแล้วส่ายหัวไม่ให้ทำเพราะเป็นห่วง
“หมายความว่ายังไงคะแม่หมอ”
“กลับมาไม่ได้ ก็ตายไง”
ป้าทิพย์ยิ่งตกใจ พิมพิลาสอึ้งๆ
“หนูพิมอย่าเสี่ยงเลยนะลูก”
พิมพิลาสครุ่นคิด
“คุณยายฟื้นแล้ว”
เสียงกนิษฐาร้องขึ้นขณะประคองยายสร้อยลุกนั่ง สามคนยังอยู่ที่แกลเลอรี่ชั้น ๓
“คุณยายเป็นอะไรไปคะ”
ยายสร้อยไม่ตอบได้แต่จ้องหน้าตะวันฉายไม่วางตา
จนกนิษฐากับตะวันฉาย รู้สึกแปลกใจที่ยายสร้อยเอาแต่จ้องมองตะวันฉาย
“เหมือนมาก! คุณหน้าเหมือนปู่ฉายเมื่อตอนหนุ่มๆ มาก” หญิงชราบอก
ตะวันฉายตกใจที่ได้ยินแบบนั้น แต่ก็พูดติดตลกไปตามนิสัย
“หน้าผมโหลครับ เหมือนชาวบ้านเขาไปทั่ว” ตะวันฉายว่า
“ฉันอยากเห็นรูปคุณปู่ฉายกับคุณปู่ฉัตรจังของคุณยายจัง คุณยายพอจะมีรูปบ้างไม๊คะ” กนิษฐาเอ่ยขึ้น
“เคยมี แต่ปีก่อนน้ำท่วมหนัก รูปเก่าแก่ของตระกูลฉันเสียหายไปจนหมด”
กนิษฐามีสีหน้าผิดหวัง
“ฉันขอกระดูกมือนั่นได้ไม๊ ฉันคิดว่ากระดูกมือนั่นน่าจะเป็นของปู่ฉัตรกับคนรัก ฉันจะเอาไปบำเพ็ญกุศล”
“ยินดีครับ” ตะวันฉายบอกหญิงชรา
“ขอบใจนะ”
ยายสร้อยยังคงมองหน้าตะวันฉายอย่างไม่ละสายตา
ภีร์ภูมิเดินเข้ามาในบ้าน บุษบันเดินออกมาเห็นภีร์ภูมิพอดี
“คุณภูมิ”
บุษบันเห็นสีหน้าภีร์ภูมิดูไม่ดีก็สงสัย
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
เวลาต่อมาภีร์ภูมิมีสีหน้าหน้าจริงจัง จ้องมองบุษบันแน่วนิ่ง
“ผมกับพิมเลิกกันแล้ว”
บุษบันตกใจ รู้สึกผิดคิดว่าตนเป็นต้นเหตุ
“คุณจะยอมเปิดใจรับผมได้หรือยัง”
บุษบันนิ่งงันไป ลำบากใจเหลือแสน
“แล้วคุณเอาคุณพิมไปไว้ที่ไหน”
“เราตกลงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พิมเขาเข้าใจหมดทุกอย่าง”
บุษบันยังรู้สึกผิดอยู่ดี
“ต่อไปใครจะดูแลคุณพิม แล้วเขาจะอยู่ยังไง”
“ผมไม่ได้ทอดทิ้งเขา ผมก็ยังดูแลพิมเขาเหมือนเดิม…ผมไม่เคยรักพิมเกินไปกว่าเพื่อน…เพราะคนที่ผมรักและคิดว่าจะร่วมชีวิตไปกับผมอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้”
ภีร์ภูมิพูดพลางจ้องตาบุษบันอย่างลึกซึ้ง
“ผมรักคุณนะ…แล้วคุณละคิดยังไงกับผม”
บุษบันได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจจนบอกไม่ถูก บุษบันนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ได้ยังไง ฉันไม่เคยรักใครขนาดนี้มาก่อน ฉันอบอุ่นและมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้คุณ เหมือน…”
ภีร์ภูมิสวนคำขึ้นมา “เหมือนเราเคยรักกันมาก่อน”
“ค่ะ” บุษบันรับ
“ผมก็รู้สึกอย่างเดียวกับคุณ”
ทั้งคู่จ้องตากันอย่างลึกซึ้ง
แล้วภีร์ภูมิก็โผเข้ากอดบุษบัน ทั้งคู่กอดกันแน่น พร้อมกับน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจและมีความสุขไหลนองหน้าสองคน
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๐ (ต่อ)
ใบหน้าพิมพิลาสสะท้อนอยู่ในขันน้ำมนต์ ขณะที่เดือนกำลังเตรียมพิธีรำลึกชาติให้ ในพิธีมีผ้าสีขาวปูให้นั่ง โดยมีสายสิญจน์ล้อมรอบ เดือนกับพิมพิลาสนั่งตรงข้ามกัน มีขันน้ำมนต์คั่นกลาง และมีกระถางธูปและเทียนวางไว้ข้างๆ
“ในเมื่อกูเตือนมึงแล้วมึงไม่ฟัง ก็ตามใจมึง” เดือนบอก
ป้าทิพย์เป็นห่วงสีหน้าไม่ดี “หนูพิมเปลี่ยนใจยังทันนะลูก”
พิมพิลาสบอกอย่างมุ่งมั่น “ไม่ค่ะ”
เดือนหันไปจุดธูปดอกเดียว แล้วนำมาปักลงไปในกระถางธุป
“ทำจิตใจให้สงบ ตั้งสมาธิให้แน่วแน่ ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ามึงวอกแวกจิตมึงดับมึงก็จะเป็นบ้าไปเลย”
พิมพิลาสรับคำอย่างตั้งใจ “ค่ะ”
“จำไว้ ก่อนธูปหมดกูจะเรียกจิตมึงกลับมา ถ้าธูปหมดแล้วมึงไม่กลับมึงก็ต้องตาย” เดือน...แม่หมอตาทิพย์บอกเตือนเป็นการสำทับ
พิมพิลาสมีสีหน้ามุ่งมั่น ไม่เกรงกลัวต่อเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนป้าทิพย์หนักใจ
“หนูพิมลูก…ยกเลิกพิธีเถอะนะ”
พิมพิลาสไม่ฟัง
“เริ่มพิธีกันเถอะค่ะแม่หมอ”
ทันใดนั้น เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง มีลมพัด เหมือนฝนจะตกพายุเข้า!)
เมฆดำก้อนใหญ่เคลื่อนตัวเข้าบดบังดวงอาทิตย์จนท้องฟ้ามืดมิด ราวกับเป็นยามค่ำคืน ลมพัดแรง เสียงฟ้าผ่าดังเป็นระยะ
หลวงพ่อกสินยืนอยู่กับนายมากที่หน้าอุโบสถ หลวงพ่อมองไปทางบ้านเดือน รู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
“เมื่อกี้อากาศยังดีๆ อยู่เลย อยู่ๆ พายุก็เข้า มันเกิดอะไรขึ้นครับหลวงพ่อ” มากสงสัย
หลวงพ่อกสินบอกเป็นนัย “มีคนพยายามจะฝืนกฎแห่งกรรม ความอาฆาตแค้น ก่อให้เกิดการจองเวรจองกรรมที่ไม่สิ้นสุด เหตุการณ์ร้ายๆ กำลังจะ เกิดขึ้น เลวร้ายที่สุดต้องมีการสูญเสีย”
มากงงมากๆ “หมายถึงใครครับหลวงพ่อ อีเดือนเหรอครับ”
หลวงพ่อกสินพยักหน้านิ่งๆ
ส่วนในบ้าน พิธีระลึกชาติเริ่มขึ้นแล้ว เดือนสั่งขึ้นเสียงดัง
“ส่งมือมาให้กู”
พิมพิลาสส่งมือให้เดือน
“หลับตา ตั้งสมาธิให้ดีๆ”
พิมพิลาสทำตามที่เดือนบอก
เดือนหลับตาลง แล้วขมุบขมิบปากท่องคาถาระลึกชาติ “ปุพเพวะสันนิวาสเสนะปัจจุปัน นะหิเตนะวาเอวันตัง ฉายะเตเปมัง อุปะรัง วายะโถทะเก” และท่องมาได้สักครู่หนึ่ง
จังหวะนั้นใบหน้าพิมพิลาสค่อยๆ เปลี่ยนจนเห็นเป็นหน้าพิศ ดวงจิตพิมพิลาสมองเห็นเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีตชาต
เหตุการณ์ตอนพิศกลั่นแกล้งบัวทุกอย่าง ทั้งเฆี่ยนและทำร้ายต่างๆ นานา กระทั่งถึงตอนพิศถูกบอกยกเลิกงานแต่งจากฉัตรครั้งแรก พิศแค้น!
ระหว่างนั้นพิมพิลาสหลับตาอยู่ สีหน้าแสดงความรู้สึกตามเหตุการณ์ที่เห็นในอดีต
ป้าทิพย์นั่งลุ้นอยู่ข้างๆ
พิมพิลาสนิมิตเหตุการณ์ในอดีต ตอนที่พิศรู้แล้วว่าฉัตรรักอยู่กับบัว พิศจึงบังคับให้ฉัตรแต่งงานกับตน และวางแผนจะจัดการบัวด้วยการนำไปขายซ่อง
พิธีแต่งงาน ฉัตรและบิดาพระยาโกสินทร์เอาตรวนทองคำพระราชทานมาเป็นสินสอด พิศสะใจที่ตนกำลังจะชนะ แต่แล้วในวันแต่งงานพิศกลับถูกฉัตรประกาศยกเลิกงานแต่งเป็นครั้งที่สอง พิศยิ่งแค้น
ทางด้านเดือนกับพิมพิลาสยังคงนิ่งอยู่ในพิธี ลมพายุข้างนอกยังคงแรง ลมพัดประตูปิดดังปัง! ทำให้ตะเกียงที่แขวอยู่ข้างๆ ประตูหล่นแตกโครม! ป้าทิพย์สะดุ้งตกใจ
เวลาเดียวกันบุษบันกำลังใช้กระดาษทรายขัดคิวปิดอยู่ในสตูที่บ้าน และนึกถึงภีร์ภูมิที่บอกรักตน
ทันใดนั้นมีลมวูบใหญ่ก็พัดเข้ามา บุษบันมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมกรรโชกพัดแรงเหมือนพายุจะเข้า
แต่บุษบันไม่ได้สนใจ หันไปขัดคิวปิดอยู่ต่อ จังหวะที่บุษบันไม่ทันระวัง นิ้วของบุษบันไปโดนกับส่วนที่คมของตัวคิดปิด บุษบันร้อง “โอ๊ย” ที่นิ้วมีเลือดออก
ขณะเดียวกันท้องฟ้ามืดครึ้ม ฟ้าแลบแปลบปลาบอย่างน่ากลัวขณะที่ภีร์ภูมิกำลังขับรถเข้าไปที่ไซต์งาน ทันใดนั้น เกิดฟ้าผ่าต้นไม้ ทำให้กิ่งไม้หักตกมาขวางหน้ารถ ภีร์ภูมิเบรกรถไว้ทันแต่ขวัญกระเจิงเพราะความตกใจ
ธูปในกระถางใกล้หมดดอกแล้ว เดือนยังคงท่องคาถาต่อไป ป้าทิพย์เริ่มสีหน้าไม่ดี)
ภาพอดีตผุดขึ้นมาอีก เป็นเหตการณ์บนเรือซึ่งพิศมีสีหน้าโกรธแค้น แล้วใช้ตรวนทองคำล่ามทั้งสองคนไว้ พิศเห็นฉัตรกับบัวแสดงความรักกัน กอดกันก็เจ็บแค้นใจ!
จังหวะนั้นดวงตาของพิมพิลาสมีหยดน้ำตาไหลออกมา
ธูปใกล้หมดดอกแล้ว ป้าทิพย์เห็นพิมพิลาสน้ำตาไหล ใจคอไม่ดี
“หนูพิม!...เป็นอะไรลูก”
ขณะเดียวกันมากกำลังแอบฟังอยู่ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น!
เดือนลืมตาขึ้น แต่ปากยังคงท่องคาถาอยู่ เดือนบีบพิมพิลาสแรงๆ เพื่อให้จิตพิมลาสกลับมา แต่พิมพลาสยังหลับตานิ่ง และไม่ตอบสนองใดๆ กับเดือน
ป้าทิพย์ร้องไห้ใจคอไม่ดี เห็นพิมพิลาสงเลือดกำเดาไหลออกมา
ภาพนิมิตครั้งในอดีต ผุดขึ้นอีก เป็นตอนที่พิศผลักฉัตรกับบัวลงไปในน้ำ พิศเห็นทั้งคู่กอดกันแน่นแสดงความรักต่อกันพิศยิ่งโกรธแค้นอาฆาต!
เดือนยังคงท่องคาถาต่อ แล้วพยายามเรียกจิตพิมพิลาสกลับมาอย่างลุ้นๆ แต่จิตพิมพิลาสยังไม่ยอมกลับมาเข้าร่าง
ภาพเหตุการณ์ครั้งในอดีต ตอนที่พิศยืนมองฉัตรกับบัวซึ่งถูกตรวนทองคำจองจำไว้ตกลงไปในน้ำ เป็นภาพมินิตสุดท้าย
พร้อมๆ กับที่ธูปดับลง ขี้ธูปหล่นลงพื้นก้อนสุดท้ายพอดี และพิมพิลาสล้มตึงลงไปกับพื้น
ป้าทิพย์ตกใจ รีบโผเข้ามากอดพิมพิลาส แล้วเอาผ้าเช็ดหน้ามาอุดห้ามเลือดกำเดาให้
“หนูพิม อย่าเป็นอะไรนะลูก”
สักครู่หนึ่ง พิมพิลาสก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
เวลาผ่านไป ป้าทิพย์ประคองพิมพิลาสออกมาจากบ้านเดือน กำลังจะไปขึ้นรถที่ลานวัด มากจำเสียงเดิน และจำกลิ่นน้ำหอมพิมพิลาสได้ จึงเดินมาขวางหน้าพิมพิลาสถามอย่างเป็นห่วง
“หนูเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ฉันได้ยินเสียงเอะอะโวยวายออกมาจากบ้าน…อีเดือนทำอะไรให้หนู”
พิมลาสนิ่ง ไม่สนใจมาก
“ไม่มีอะไรหรอก…หลบหน่อย ฉันจะกลับบ้านกันแล้ว” ป้าทิพย์บอก
มากหลบ ป้าทิพย์พาพิมพิลาสขึ้นรถไป
มากยังมีท่าทางสงสัยว่าต้องมีอะไรแน่ๆ
บุษบันเดินเข้ามาในร้านอาหาร ตะวันฉายนั่งรออยู่ที่โต๊ะในร้านแล้ว พอเห็นบุษบันก็กวักมือเรียก
“ยัยบุษ”
บุษบันเห็นก็เข้ามานั่ง
“มีธุระอะไรจะคุยกับฉันว่ามา”
“ไอ้เรื่องตรวนทองคำนั่นน่ะฉันรู้แล้วนะว่าใครเป็นเจ้าของ”
บุษบันตื่นเต้น อยากรู้เต็มทน
“ใครเหรอ”
“เป็นของพระยาโกสินทร์! พระยาโกสินทร์ท่านมีลูกชายสองคนชื่อฉัตรกับฉาย แล้วคนชื่อฉายมีทายาทสืบต่อมาจนมาถึงยายสร้อยซึ่งเป็นหลานของคนชื่อฉาย วันก่อนยัยนิดตามไปเจอยายสร้อยมา ยายสร้อยเล่าให้ฟังว่าตรวนทองคำเป็นของตระกูลแกจริงๆ ตรวนถูกถ่วงน้ำไปพร้อมกับปู่ฉัตร และคนรักของเขา”
“แล้วปู่ฉัตรโดนถ่วงเพราะอะไรแกได้เล่าไม๊” บุษบันถามต่อ
“ไม่ได้เล่านะ…พอแกรู้ว่าฉันเจอตรวนกับกระดูกข้อมือชายหญิงคู่นั้น แกก็รีบให้ยัยนิดพามาดูเลย ยายแกมั่นใจมากว่ากระดูกมือคู่นั้นต้องเป็นของปู่ฉัตรกับคนรัก แกเลยขอเอาไปทำบุญฉันก็เลยให้ไป…เพราะฉะนั้นแกก็สบายใจได้ ไอ้อาการเจ็บข้อมือของแกไม่เกี่ยวอะไรกับตรวนเลย ตรวนนั่นไม่มีผีสงผีสิงอะไรทั้งนั้น หลอนกันไปเอง”
บุษบันนิ่งคิด
ตะวันฉายเอ่ยตัดบทขึ้น “มาๆ สั่งอาหาร วันนี้ฉันเลี้ยงเอง”
บุษบันยังไม่เคลียร์ จึงถามออกมา “เธอมีแผนที่บ้านคุณยายที่ว่าไม๊”
ตะวันฉายตาค้าง “ห๊ะ จะเอาไปทำไม นี่เธอไม่เชื่อฉันเหรอ”
“ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อแต่อยากจะรู้อะไรอีกหน่อย”
“แกอยากรู้อะไร” ตะวันฉายฉงน
ค่ำคืนนั้น พิมพิลาสนั่งอยู่ในห้องโดยไม่เปิดไฟ นั่งเหม่อลอยคิดถึงเหตุการณ์ที่เห็นในอดีต
จังหวะนั้นป้าทิพย์เดินเข้ามาเปิดสวิทช์ไฟ เห็นพิมพิลาสนั่งเหม่อลอยอยู่ จึงถามขึ้นในเรื่องที่คาใจ
“หนูพิม…ตอนทำพิธีหนูเห็นอะไร”
พิมพิลาสบอกสีหน้าเรียบเฉย “ไม่มีอะไรหรอกค่ะป้า”
“ไม่มีได้ยังไง ตั้งแต่กลับมาป้าเห็นหนูไม่ยอมพูดคุยกับใคร ตอนทำพิธีก็ถึงขั้นเลือดกำเดาไหล มีอะไรบอกป้ามา อย่าปิดบังป้า”
พิมพิลาสหน้านิ่ง พูดน้ำเสียงเยือกเย็น
“ป้าออกไปก่อนได้ไม๊คะ พิมเหนื่อย พิมอยากอยู่คนเดียว”
ป้าทิพย์มองหน้าพิมพิลาสแล้วนึกสงสาร ไม่อยากรบกวน จึงยอมเดินออกไป
พิมพิลาสมองไปในกระจก ด้วยแรงแค้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอกทำให้จิตใต้สำนึกของพิมพิลาสเห็นตัวเองเป็นพิศ!!
จังหวะนั้นพิศมองออกมาจากกระจกตาแข็งกร้าว พูดกับพิมพิลาส
“เอ็งทำถูกแล้ว ต่อไปเอ็งต้องไม่เป็นพิมพิลาสที่อ่อนแออีกต่อไป แต่เอ็งต้องเป็นแม่พิศที่เข้มแข็งอย่างที่เคยเป็น!”
เช้าวันต่อมา รถภีร์ภูมขับแล่นเข้ามาในซอยบ้านยายสร้อย จู่ๆ ยางรถก็ระเบิดดังตู้ม! ภีร์ภูมิเบรครถเอี๊ยด
ภีร์ภูมิกับบุษบัน ตกใจ! สองคนรีบลงมาจากรถ ภีร์ภูมิเดินไปดูล้อยางที่แตกด้วยท่าทีเซ็งๆ
“ให้ได้อย่างนี้สิ บ้านคุณยายอยู่อีกไกลไม๊ครับ”
“ไม่แน่ใจเหมือนค่ะ…แต่ดูจากแผนที่น่าจะอยู่แถวๆ นี้”
สักครู่หนึ่ง บุษบันมองไปทางบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า เห็นป้ายชื่อบ้าน “โกสินทร์พิทักษ์” ก็ดีใจ
“หลังแหละนี้ค่ะ”
“นี่ก็ถึงเวลานัดแล้ว คุณเข้าไปก่อนนะครับ ผมขอเปลี่ยนยางรถก่อน เดี๋ยวผมตามเข้าไป”
ครู่ต่อมาบุษบันเดินเข้ามาในบ้าน คนใช้ผู้หญิงคนหนึ่งออกมาต้อนรับ
“คุณบุษบันใช่ไม๊คะ”
“ใช่ค่ะ”
“เชิญด้านในก่อนค่ะ...เดี๋ยวหนูไปตามคุณยายสร้อยให้นะคะ”
คนใช้เดินเข้าไปตามยายสร้อย
บุษบันถือโอกาสนั้นมองดูรอบๆ บ้าน บุษบันเดินไปดูรูปเก่าๆ ของยายสร้อย และเห็นผ้าสีขาวห่ออะไรไว้บางอย่างใส่ไว้ในพาน ยายสร้อยเดินออกมาพอดี
ยายสร้อยเอ่ยทักทาย “หนู”
บุษบันยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะคุณยาย…หนูบุษบันค่ะ”
“หนูนี่เองที่อยากรู้เรื่องตรวนทองคำ”
บุษบันยิ้มบางๆ “ค่ะ…หนูอยากให้คุณยายเล่าให้ฟังอีกครั้ง”
“ที่จริงเรื่องนี้ฉันไม่อยากเล่าให้ใครฟังหรอกนะ ฉันไม่อยากรื้อฟื้น แล้วเรื่องทั้งหมดฉันก็เล่าให้หนูนิดฟังไปหมดแล้ว หนูสงสัยอะไรน่าจะไปถามหนูนิดเอานะ” หญิงชราออกตัว
“เรื่องนี้มันสำคัญกับหนูมาก หนูอยากฟังจากปากคุณยายอีกครั้ง หนูอยากรู้ละเอียดกว่านี้ นะคะคุณยาย เล่าให้หนูฟังอีกสักครั้งนะคะ”
ยายสร้อยมองบุษบันอย่างแปลกใจ
“หนูรู้สึกว่ามีความผูกพันกับตรวนทองคำนั่น…หนูคิดว่าตรวนทองคำต้องมีความเกี่ยวข้องกับหนูค่ะ” บุษบันบอกอย่างมั่นใจ
“เป็นไปไม่ได้ ตรวนทองคำอันนั้นมันเป็นของปู่ฉันกับคนรัก อีกอย่างหนูก็ไม่ได้เป็นลูกหลานฉัน หนูจะมาเกี่ยวข้องกับตรวนทองคำนั้นได้ยังไง” ยายสร้อยว่า
บุษบันมองไปเห็นห่อผ้าสีขาวที่ใส่พานเอาไว้
“ห่อผ่าสีขาวที่ใส่พานไว้เป็นห่อกระดูกข้อมือของปู่ฉัตรกับคนรักใช่ไม๊คะ”
“ใช่”
“ขอหนูดูอีกทีได้ไม๊คะ”
ยายสร้อยอนุญาต “ได้สิ”
บุษบันเดินไปแกะห่อผ้าขาวดู เห็นเป็นกระดูก จึงหยิบขึ้นมาดู บุษบันจับกระดูกชิ้นนั้นแล้วรู้สึกผูกพันมากจนบอกไม่ถูก จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา
ยายสร้อยมองบุษบันแล้วอึ้งๆ ไป คิดว่าบุษบันเกี่ยวข้องกับตรวน และกลับชาติมาเกิดจริงๆ
“หรือหนูคิดว่า…” ยายสร้อยพูดไม่ทันจบคำ
บุษบันก็พูดสวนออกมาในสิ่งที่ตนคิด “ค่ะ…หนูกับคนรักของหนู เราเจ็บมือทุกครั้งที่จับตรวนทองคำ คุณยายคิดว่าเป็นไปได้มีคะที่หนูกับคนรักของหนูเป็นเจ้าของกระดูกข้อมือคู่นี้”
ยายสร้อยกับบุษบันกำลังช่วยกันหารูปในหีบในห้องเก็บของ
“รูปปู่ฉัตรน่าจะหลงเหลืออยู่บ้างสิ”
ยายสร้อยหาจนหมดทุกหีบ แต่ไม่เจอหญิงชราผิดหวัง
“โธ่…ไม่มีเหลือสักใบ”
“ที่อื่นไม่มีแล้วเหรอคะ”
“ไม่มีแล้ว...รูปเก่า ๆ ก็จมน้ำไปจนหมด”
บุษบันรู้สึกผิดหวัง จังหวะที่บุษบันเอาหีบขึ้นไปวางเก็บยังที่เดิม ทันใดนั้นหีบก็ไปดันเอาหนังสือภาษารัสเซียเล่มหนึ่งตกลงมา และมีรูปใบหนึ่งสภาพเก่าจะเหลืองคร่ำกระเด็นออกมาด้วย
บุษบันเก็บขึ้นมาดู แล้วต้องตกใจ
“คุณภูมิ”
ยายสร้อยเห็นบุษบันทีมีสีหน้าตกใจ ก็นึกแปลกใจ
“เป็นอะไรหรือหนู…มีอะไรไหนยายดูสิ”
ยายสร้อยหยิบรูปมาดู ที่แท้เป็นรูปฉัตรใส่ชุดทหาร หญิงชราเอ่ยขึ้น
“นี่ไง รูปปู่ฉัตร”
ระหว่างนั้น ภีร์ภูมิเดินเข้ามาพอดี
ภีร์ภูมิทักทายบุษบัน “ขอโทษนะที่ผมเข้ามาช้า” ชายหนุ่มหันไปเห็นยายสร้อยจึงยกมือไหว้ “คุณยายครับ สวัสดีครับ”
ยายสร้อยเห็นหน้าภีร์ภูมิก็ก้มลงมองดูรูปอีก และเงยหน้ามามองภีร์ภูมิอีกครั้งหนึ่ง ยายสร้อยมองตาค้างในอาการตกใจ
โปรดติดตาม "บ่วงวันวาร" ตอนที่ ๑๑