บ่วงวันวาร ตอนที่ ๙
เช้าวันต่อมาที่ชั้นสามแกลเลอรี่ของตะวันฉาย กนิษฐาอยู่ในห้องปฏิบัติการ บนโต๊ะมีตรวนทองคำในสภาพที่ได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ววางอยู่ ที่ผนังมีรูปตรวนทองคำ และรูปกระดูกมือติดไว้มากมาย
รอบ ๆ ตัวกนิษฐามีหนังสือวางกองอยู่หลายเล่ม กนิษฐาเล่าที่มาที่ไปของตรวนทองคำให้ตะวันฉายซึ่งอยู่ด้วยฟังคร่าวๆ
“ฉันคิดว่าตรวนทองคำอันนี้ น่าจะทำขึ้นในสมัยรัชกาล ๕”
ตะวันฉายซักอย่างสนใจใคร่รู้ “ของใคร”
กนิษฐามีสีหน้าหนักใจ “ในสมัยนั้น ทองคำเป็นสิ่งที่มีค่ามาก คนที่มีสิทธิ์ซื้อหาครอบครองทองคำน้ำหนักมหาศาลอย่างนี้ น่าจะมีแต่พระมหากษัตริย์และราชวงศ์ชั้นสูงเท่านั้น”
ตะวันยิ้มอย่างดีใจ “ตรวนทองคำ ของพระมหากษัตริย์สมัยรัชกาลที่ ๕ งั้นเหรอ ว้าว” ชายหนุ่มทำท่าคิดเป็นเงิน “คิดเป็นเงินตอนนี้จะซักกี่สิบล้านนะ”
กนิษฐาหน่าย “คิดเป็นอยู่เรื่องเดียวเลยนะคุณ”
ตะวันฉายออกอาการกระตือรือร้น สั่งงานทันที
“ฉันจะส่งจดหมายไปบอกลูกค้าของเราทุกคน เชื่อว่าต้องมีคนสนใจตรวนทองคำอันนี้แน่ๆ” พร้อมกันนั้นเขายังชี้สั่ง “นิด เธอต้องเตรียมข้อมูลให้ฉันให้พร้อม ฉันอยากจะรู้ว่าใครที่เป็นเจ้าของตรวนอันนี้”
“อันนั้นแหละที่เป็นปัญหา” ตะวันได้ฟังก็ทำหน้าหงิก “เพราะอันที่จริงตรวนเขามีไว้จองจำนักโทษ แต่กระดูกที่เราเจออยู่กับตรวน มันมีทั้งกระดูกมือของผู้ชายและมือผู้หญิง ฉันสันนิษฐานว่าเจ้าของมือทั้งสองคนนี้น่าจะต้องถูกจับใส่ตรวนแล้วโดนถ่วงน้ำ”
กนิษฐาดึงรูปถ่ายมาวางแปะตรงหน้าตะวันฉาย
“แต่ในประวัติศาสตร์สมัยรัชการที่ 5 ไม่มีเจ้านายพระองค์ไหนที่ถูกจองจำด้วยการตีตรวนคู่กัน”
“มันเป็นหน้าที่ของเธอ ที่จะต้องหาให้ได้ว่าเป็นมือของใคร” ตะวันฉายพูดพลางทำหน้าเจ้าเล่ห์ “และถ้าจำเป็น จะแต่งประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ฉันก็ไม่ว่าเอาให้มันหรูหราอลังการมากๆ ยิ่งดี ฉันจะได้ขายได้แพงๆ เข้าใจ๋”
ตะวันฉายเดินยิ้มร่าออกไป กนิษฐามองตามอย่างโมโห
ขณะเดียวกันภีร์ภูมิกำลังเดินตรวจงานอยู่ที่ไซต์งานแห่งหนึ่ง เป็นตึกที่ฉาบปูนเสร็จแล้ว มีข้าวของที่ดูน่าอันตราย เช่น ไม้ทำนั่งร้านทาสี กระจกที่คนงานขนเตรียมมาติดตามที่ต่างๆ วางระเกะระกะ ระหว่างนั้นไก่เดินมาหา หัวเราะคิกคัก
“เซอร์ไพรส์”
ภีร์ภูมิงง “อะไรของแก”
“มีคนมาหาครับ” ไก่ยักคิ้วหลิ่วตา
“ใครกัน”
พิมพิลาสเดินเข้ามา
“พิมเองค่ะ”
ภีร์ภูมิแปลกใจ “พิมมาทำไมที่นี่” พลางเหลียวดูความปลอดภัยรอบๆ “มีอะไรทำไมไม่โทร.มา”
“พิมอยากมาดูน่ะค่ะ ว่าที่ทำงานภูมิเป็นยังไง”
ภีร์ภูมิเห็นคนงานแบกกระจกเข้ามา รีบดึงพิมพิลาสหลบไป
“ไป ไปคุยกันทางโน้นดีกว่า”
สองคนอยู่อีกมุมของไซต์งานก่อสร้าง เป็นมุมที่ดูโล่งและดูปลอดภัยกว่า พิมพิลาสยืนคุยกับภีร์ภูมิ
“พิมจะชวนภูมิไปซื้อของขวัญให้ผู้ใหญ่น่ะค่ะ ท่านช่วยเหลือพิมมาตลอด ตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่เสียไป พรุ่งนี้เป็นวันเกิดท่าน พิมเลยอยากจะส่งของขวัญไปให้…ภูมิว่างไหมคะ”
“ได้สิครับ เราจะไปซื้อที่ไหนเหรอครับ”
“เผอิญท่านชอบของเก่า งานศิลปะ อะไรพวกนี้น่ะค่ะ พิมก็ยังนึกไม่ออกว่าจะไปที่ไหนดี เลยอยากให้ภูมิพาไป”
“ได้ครับ พิมไปรอที่รถก่อน” ภีร์ภูมิดูนาฬิกา “ขอเวลาผมสั่งงานไม่เกินยี่สิบนาที เดี๋ยวผมตามไป”
พิมพิลาสยิ้มหวาน สีหน้าพึงพอใจ “ค่ะ ภูมิ ขอบคุณค่ะ”
จังหวะที่พิมพิลาสหมุนตัวเดินออกไป ทันใดนั้น เสียงไก่ตะโกนดังลั่นมาจากชั้นบน
“เฮ้ย... ระวัง”
ทั้งสองตกใจ หันไปดูด้านบนตามเสียง
กระจกแผ่นใหญ่ที่หลุดจากมือคนงานที่แบกลอยลงมาตรงที่ที่ทั้งสองยืนอยู่ พิมพิลาสตกตะลึง ตัวแข็งทื่อ ภีร์ภูมิโถมเข้าไปดึงพิมพิลาสหลบ
“พิม ระวัง”
กระจกหล่นกระทบพื้นแตกเป็นเศษละเอียดกระจายไปทั่ว ภีร์ภูมิกอดพิมพิลาสไว้ทั้งตัว
เสียงเงียบลงแล้ว ภีร์ภูมิประคองพิมพิลาสลุกขึ้น พิมพิลาสหน้าซีดเผือด
“วันนี้ฤกษ์ไม่ดีซะแล้ว พิมกลับไปพักที่บ้านดีไหมครับ ของขวัญน่ะ เดี๋ยวผมไปซื้อให้เอง”
พิมพิลาสพยักหน้า สีหน้าซีดเผือด รู้สึกเศร้าและเซ็งในโชคชะตาของตัวเอง
เวลาผ่านไป ภายในแกลอรี่ของตะวันฉายมีงานศิลปะวางจำหน่ายอยู่จำนวนมาก ทั้งของเก่าของใหม่ปะปนกันไป ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด งานประติมากรรม งานปั้น งานแกะสลัก แจกัน ถ้วย ชาม เครื่องดนตรีเครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ในยุคสมัยต่างๆ มีทั้งของไทย และของต่างประเทศ
ลูกค้าส่วนหนึ่งกำลังเลือกชมสินค้า โดยมีพนักงานคอยให้คำแนะนำ ภีร์ภูมิเดินเข้ามาในร้าน ในจังหวะเดียวกับที่ตะวันฉายเดินออกมาพอดี
“สวัสดีครับ ต้องการชิ้นไหนบอกเราได้นะครับ ที่นี่มีให้คุณเลือกมากมาย ทั้งของเก่าของใหม่ รับรองคุณจะได้ของดี และราคาย่อมเยา”
“ครับ ผมต้องการของขวัญสักชิ้นไปให้ลูกค้าน่ะครับ”
“คุณมาถูกที่แล้วครับ คุณอยากได้ชิ้นไหนเลือกชมได้ตามสบายเลยนะครับ” ตะวันฉายยิ้มอย่างมีไมตรี
ภีร์ภูมิเดินดูสินค้าไปทั่วร้าน แต่ก็ไม่ถูกใจสักอย่าง จนเขาเหลือบไปเห็นแจกันกระเบื้องจีนโบราณลายนางฟ้าจีน มีตัวอักษรจีนประกอบ เป็นคำอวยพรของจีน ภีร์ภูมิยืนดูท่าทางสนใจ
พอตะวันฉายเห็นภีร์ภูมิสนใจจึงรีบเข้ามาทันที
“คุณตาถึงมากครับ แจกันใบนี้เป็นกระเบื้องจีนโบราณ เป็นแบบฮกเกี้ยนครับ อยู่ในสมัยราชวงศ์ชิง หูสิงห์ สภาพสวย เป็นรูปวาดนางฟ้า ราคาใบละสองหมื่นแปดพันบาทครับ”
ภีร์ภูมิยืนนิ่งคิด
“ครับ...ผมขอดูอย่างอื่นก่อนแล้วกันครับ”
“ตามสบายครับ ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ดูไปครับ”
ระหว่างนั้นกนิษฐาเดินเข้ามาหาตะวันฉาย
“นี่ คุณ ฉันจะออกไปหาอาจารย์ที่กรมศิลป์นะ”
“อ้าว แล้วงานล่ะ” ตะวันฉายกระซิบ “ตรวนน่ะ ตรวน”
“ก็จะออกไปถามเรื่องตรวนนี่แหละ” กนิษฐาว่า
“งั้นฉันฝากถามอะไรอะไรอีกอย่าง” ตะวันฉายหันมาทางภีร์ภูมิ “เชิญชมตามสบายนะครับ ผมขอตัวแป๊บนึง”
“ครับ”
ตะวันลากกนิษฐาเดินออกไป ส่วนภีร์ภูมิเดินดูของอย่างอื่นไปเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันตรวนทองคำอยู่บนโต๊ะในห้องปฏิบัติการของแกลเลอรี่ โดยมีหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สมัย รัชกาลที่ ๕ รูปของตรวนทองคำที่ถ่ายไว้หลายๆ ลักษณะ วางบนโต๊ะบ้าง และติดไว้ที่ผนังอีกหลายรูป
สักครู่หนึ่ง มีลมพัดวูบเข้ามาจากหน้าต่าง พัดข้อมูล และรูปตรวนทองคำปลิวกระจายเต็มห้องไปหมด
ภีร์ภูมิเดินดูของอยู่ที่มุมหนึ่ง สักครู่มีกระดาษปลิวลงมาตกที่หน้าพอดี ภีร์ภูมิมอง แล้วก้มเก็บ และพลิกดู เห็นเป็นรูปตรวนทองคำ ภีร์ภูมิรู้สึกสนใจ มองไปทางที่รูปตกลงมา และก้าวขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ
ภีร์ภูมิเดินขึ้นมาถึงชั้นสาม มองเข้าไปในห้องแต่ไม่เห็นใคร จึงค่อยๆ เดินเข้าไป เห็นรูปตรวน และรูปกระดูกมือติดอยู่ที่ผนัง
ภีร์ภูมิเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น มองเห็นตรวนวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับก้มมองรูปในมือ และเงยหน้ามองตรวน ด้วยความสนใจอย่างประหลาด
ทางด้านตะวันฉายมองหาภีร์ภูมิอยู่ชั้นล่าง
“หายไปไหนแล้วนะ เห็นเดินอยู่แถวนี้”
ระหว่างนั้นบุษบันเดินเข้ามาได้ยินพอดี
“หาใครอยู่เหรอ?”
“ลูกค้าฉันน่ะสิ”
บุษบันไม่สนใจลูกค้าของตะวันฉายสักนิด
“แล้วนี่บอกว่ามีเรื่องด่วน ไหนว่ามาสิ อะไร”
“ขึ้นไปรอฉันข้างบนก่อนเลย เดี๋ยวฉันขอตามหาเหยื่อ เอ้ย ลูกค้าก่อน เดี๋ยวตามไป”
บุษบันเดินขึ้นไปชั้นบนเลย ปล่อยให้ตะวันฉายเดินหาภีร์ภูมิต่อไป
เวลาเดียวกันภีร์ภูมิเห็นตรวนทองคำวางอยู่บนโต๊ะ ก็สนใจจึงเดินเข้าไปดู ภีร์ภูมิเอื้อมมือไปจับตรวนทองคำที่วางอยู่ตรงหน้า รู้สึกเจ็บข้อมือขึ้นมา
ภีร์ภูมิร้อง “โอ๊ย” พร้อมกับดึงมือกลับทันที “นี่มันอะไรเนี่ย”
ภีร์ภูมิจับข้อมือตัวเอง และจ้องมองตรวนอย่างแปลกใจ! ขณะที่ภีร์ภูมิกำลังจะลองยื่นมือไปจับอีกครั้งบุษบันเข้ามาในห้องพอดี เห็นหลังภีร์ภูมิคิดว่าเป็นขโมย
“นั่นใครน่ะ เข้ามาทำอะไร”
ภีร์ภูมิชะงัก ดึงมือกลับ และหันหน้าไปหา
พอเห็นหน้ากันทั้งคู่ต่างก็ตกใจ ไม่คิดว่าจะเจอกันอีก ร้องขึ้นพร้อมๆ กัน
“คุณ”
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง” ภีร์ภูมิถามงงๆ
“ฉันต้องถามคุณมากกว่าว่าขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง ห้องนี้เขาไม่ให้คนนอกเข้า” บุษบันจ้องหน้าภีร์ภูมิขณะพูด “เป็นขโมยรึเปล่า”
“คุณต่างหากที่เป็นขโมย คราวที่แล้วขโมยกล่องดนตรี คราวนี้จะมาขโมยอะไรล่ะ”
“ฉันมาธุระ”
“อย่าบอกนะว่าซื้อของ เพราะไม่ว่าคุณคิดจะมาซื้ออะไรที่นี่ล่ะก็ ผมบอกซะก่อน ผมจองแล้ว”
บุษบันยิ้มเยาะ “ทั้งร้านเลยเหรอ”
ภีร์ภูมิบอกยืดๆ “แน่นอน”
“ให้มันแน่จริงเถอะ”
ว่าแล้วบุษบันก็ตะโกนเรียก
“ตะวัน ตะวัน”
ภีร์ภูมิงง “คุณตะโกนทำไม”
ตะวันฉายโผล่เข้ามา
“เสียงดังอะไรยัยบุษ”
“คุณคนนี้ เขาตั้งใจจะเหมาของ ของเธอทั้งร้าน”
ตะวันฉายไม่สนใจบุษบันแล้ว หันไปสนใจภีร์ภูมิแทน
“จริงเหรอครับ โอ ผมนึกไม่ถึงเลย คุณตัดสินใจไม่ผิดแล้วครับเพราะของในร้านผมคัดมาแล้ว เด็ดๆ ทุกชิ้น”
ภีร์ภูมิมองบุษบันอย่างงงๆ “คุณรู้จักกับผู้หญิงคนนี้เหรอครับ”
“บุษบันเป็นเพื่อนผมเองครับ คุณกับเค้า” ตะวันฉายเอะใจ มองหน้าทั้งสองคน “มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า”
“ผมเดินเรื่อยเปื่อยขึ้นมาน่ะครับ เพื่อนคุณก็เลยโวยวายหาเรื่องผม” ภีร์ภูมิยื่นรูปตรวนให้ดู “บังเอิญผมเห็นรูปนี้เลยขึ้นมาดู”
“อ๋อ...ตรวนทองคำครับ” ตะวันฉายนึกได้ หันไปหาบุษบัน “นี่ไงบุษที่ฉันเรียกให้เธอมาดู แล้วคุณ...เอ่อ ...”
ตะวันฉายจะถามชื่อภีร์ภูมิ แต่บุษบันชิงไล่ “คุณก็ควรจะไปดูของข้างล่าง เพราะข้างบนนี่มันแคบ ฉันอึดอัด”
“ได้ เพราะผมก็ไม่อยากอยู่แถวนี้เหมือนกัน อึดอัด”
ภีร์ภูมิมองบุษบันอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเดินออกไป
“อะไรของเธอเนี่ย” ตะวันฉายสงสัย
“ช่างฉัน อ้ะ ไหนของที่จะให้ดู ไปดูกันซี” บุษบันรีบเปลี่ยนเรื่อง
ไม่นานนักตะวันฉายยกตรวนทองคำมาวางใกล้ๆ บุษบัน
“นี่ตรวนทองคำสมัยรัชกาลที่ห้า ฉันจะเอาออกมาขาย กะว่าจะให้ลูกค้าที่ชอบของแปลกมาประมูลกัน”
“แล้วให้ฉันดูทำไม”
“ฉันกะว่าจะให้เธอถอดแบบตรวนอันนี้ แล้วทำด้วยโลหะอย่างอื่น”
บุษบันโพล่งขึ้น “จะให้ฉันทำของปลอม”
“ไม่ใช่ พูดซะหยาบคาย เค้าเรียก รีพลิก้า ครับ ในมิวเซียมหรืออาร์ตแกลเลอรี่เค้าทำขายกันถมไป ให้คนที่ซื้อไม่ได้เก็บเป็นที่ระลึกเล่นๆ”
“ก็น่าสนใจ ไหนดูซิ”
บุษบันเอื้อมมือไปจับ แล้วต้องชะงักร้อง “โอ๊ย” พร้อมกับรีบดึงมือกลับทันที
ภีร์ภูมิเพิ่งเดินออกมาจากห้อง ได้ยินเสียงบุษบันร้อง จึงหันกลับมาดูผ่านกระจกหน้าห้อง!
“อะไร บุษ” ตะวันฉายงง
บุษบันจับมือ ทำหน้าว่าเจ็บข้อมือ เพราะจับตรวน
“ฉันเจ็บมือ”
ห่างออกไป ภีร์ภูมิมองบุษบันอย่างแปลกใจ
“เจ็บมือเหรอ!” ตะวันฉายแปลกใจ
บุษบันพยักหน้า
“ยังไม่ได้ไปหาหมออีกเหรอ”
“เมื่อวานฉันไปมาแล้ว หมอก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร…เมื่อเช้าฉันก็ดีๆ อยู่นะ แต่ทำไมตะกี๊ ตอนฉันจับตรวนอันนี้ มันถึงเจ็บมือได้ล่ะ”
ภีร์ภูมิมองบุษบันอย่างแปลกใจ ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“ยัยนั่นเจ็บข้อมือเหมือนเราเลย”
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๙ (ต่อ)
ตกตอนเย็นภีร์ภูมิกลับถึงบ้านแล้ว บ้านภีร์ภูมิตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น เป็นบ้านขนาดปานกลาง มีสวนหย่อมเล็กๆ หน้าบ้าน และมีสระว่ายน้ำ ภีร์ภูมิกับไก่เดินเข้ามาด้วยกันในห้องรับแขก
“ยัยโจรขโมยกล่องดวงใจ เอ๊ย กล่องดนตรี คนนั้นน่ะเหรอครับ” ไก่ย้อนถามด้วยท่าทีทึ่งๆ หลังฟังเจ้านายเล่าจบ
“ใช่ เจอกันอีกแล้ว อะไรจะบังเอิญขนาดนั้นก็ไม่รู้”
ไก่ครวญเป็นเพลง “มันเป็นบุพเพสันนิวาส”
ภีร์ภูมิเซ็ง “บุพเพอาละวาดมากกว่า เจอกันไม่เคยพูดจากันดี ๆ เลย ต้องอาละวาดหาเรื่องฉันตลอด”
“เป็นแนวพ่อแง่แม่งอน ว่างั้น เอ๊ะ รึว่าตบจูบ” ไก่แซว
“ปากจัดๆ อย่างนั้น มันก็น่าอยู่หรอก” ภีรฺภูมิว่า
“น่าตบหรือน่าจูบครับ ระวังนะครับ ถ้าคุณพิมรู้เข้า จะกลายเป็นบู๊ล้างผลาญ ระเบิดภูเขาเผากระท่อมไป” ไก่แซวขำๆ
“ไอ้นี่ เลอะเทอะใหญ่แล้ว”
สองคนไม่รู้ว่าพิมพิลาสยืนอยู่ด้านหลังนานแล้ว และได้ยินทุกอย่าง
“แหมะ ผมล้อเล่นน่ะ พูดกันขำๆ คุณพิมจะไปรู้ได้ยังไง”
จังหวะนั้นพิมพิลาสกระแอมให้เสียง ก่อนเดินเข้ามา
“พิมรู้อะไรเหรอคะ”
ภีร์ภูมิกับไก่หันไปเห็นพิมพิลาส ทั้งคู่ตกใจ!
“พิม! มาเมื่อไหร่ครับ”
“เพิ่งมาถึงค่ะ กำลังคุยอะไรกันเหรอคะ” พิมย้อนถาม
“เรื่องไร้สาระครับ กำลังจะกลับพอดี” ไก่หันมาบอกลาภีร์ภูมิ “ไปล่ะ ลูกพี่ ตัวใครตัวมัน”
ไก่เดินออกไปแล้ว พิมพิลาสมองภีร์ภูมิ แอบระแวงในใจ
ตอนเย็นวันนั้น พิมพิลาสกับภีร์ภูมินั่งคุยกันในมุมสวยของบ้านภีร์ภูมิ
“พิมแวะมาถามเรื่องของขวัญน่ะค่ะ”
“อ้อ ผมเลือกแจกันไว้ใบนึงครับ พอดีมีเรื่องยุ่งๆ เลยไม่ได้เอามา พรุ่งนี้ว่าจะแวะไปเอาให้”
พิมพิลาสเข้าประเด็นไม่ให้ตั้งตัว “เรื่องผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอคะ” ภีร์ภูมิสะดุ้ง “มีเรื่องอะไรกัน”
“ไร้สาระน่ะครับ พอดีผู้หญิงคนนั้นเค้าเคยซื้อของตัดหน้าผม วันนี้เจอกันที่ร้านขายของเก่า ก็ดูของชิ้นเดียวกันอีก เลยเขม่นกันนิดหน่อย”
พิมพิลาสยิ้มบางๆ “แปลกจังนะคะ”
ภีร์ภูมิเล่าไปซื่อๆ ไม่คิดว่าพิมพิลาสจะหึง “ครับ แปลกมาก ไม่ว่าผมจะไปหยิบจะจับอะไร เค้าก็ชอบเหมือนผมทุกอย่าง”
พิมพิลาสพูดเสียงเรื่อยๆ แต่มีนัยยะ
“เค้าเรียกว่าใจตรงกันค่ะ”
จบคำพิมพิลาสก็ยิ้มเย็นๆ ภีร์ภูมิไม่รู้ตัว ว่าความหึงกำลังก่อเกิดในใจอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ
ค่ำคืนนั้นพิมพิลาสนั่งครุ่นคิดเรื่องบุษบันอยู่ในห้องนอน มีป้าทิพย์ช่วยปลอบโยน
“คุณหนูคิดมากไปหรือเปล่าคะ ที่ผ่านมาหลายปี คุณภูมิเธอก็ไม่เคยมีใคร”
“ใช่ค่ะ หลายปีที่ผ่านมา ภูมิไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนเลย แต่วันนี้...พิมว่าเค้าแปลกไป…ผู้หญิงคนนี้ต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ ภูมิถึงพูดถึงเค้าได้ไม่หยุดขนาดนี้”
“ป้าว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า”
“ความรัก บางทีมันก็เริ่มมาจากเรื่องบังเอิญนะคะ ป้า”
“คุณหนูอย่าเพิ่งคิดอะไรไปไกลเลยค่ะ เชื่อป้า” ป้าทิพย์ปลอบ
“พิมอยากรู้จัง ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
พิมพิลาสคิดๆ อยากรู้จักบุษบัน
บุษบันอยู่ในชุดนอน กำลังเตรียมตัวจะเข้านอนแล้ว บุษบันมองไปที่กล่องดนตรีบนหัวเตียง แล้วหยิบกล่องดนตรีขึ้นมาดู และไขลานกล่องดนตรี
เสียงเพลงจากกล่องดนตรีดังขึ้น บุษบันยิ้มอย่างมีความหวังว่าเมื่อนอนหลับไปพร้อมกับเสียงดนตรีจะได้ฝันเห็นผู้ชายคนนั้นอีกบุษบันถือกล่องดนตรีไว้บนมือ แล้วค่อยๆ เอนตัวลงนอน
เวลาผ่านไป ในความฝันบุษบัน เห็นภาพเรือนไทยหลังเก่า และเห็นชายหนุ่มในเครื่องแบบทหารสมัยรัชกาลที่ ๕ คนเดิมหันหลังอยู่ บุษบันเดินเข้าไปใกล้ และเรียกผู้ชายคนนั้น
“คุณคะ”
ชายคนนั้นค่อยๆ หันมา และเรียกชื่อใครคนหนึ่ง
“แม่บัว”
บุษบันเห็นหน้าชายหนุ่มในเครื่องแบบทหารสมัยรัชกาลที่ ๕ คนนั้น เป็นใบหน้าเดียวกับภีร์ภูมิ บุษบันตกใจ! สะดุ้งตื่น
“ฮึ้ย! ไม่จริง เป็นอีตานั่นได้ยังไง ตามมาหลอกหลอนฉันถึงในความฝันเลยเหรอ ไม่สิ! ต้องไม่ใช่อีตานั่น ต้องไม่ใช่ผู้ชายในฝันของฉัน”
บุษบันคิดถึงหน้าภีร์ภูมิแล้วรู้สึกขัดใจเป็นอย่างยิ่ง
เช้าวันต่อมาภีร์ภูมิแวะมาเอาของที่สั่งซื้อ กำลังเดินเข้ามาในแกลอรี่ ตะวันฉายเดินออกมาเห็นพอดีจึงเอ่ยทักทาย
“สวัสดีครับ คุณภูมิ…มาแต่เช้าเลยนะครับ ผมห่อแจกันให้เสร็จพอดีเลย รับรองแน่นหนาไม่แตกไม่หักแน่นอน”
“ขอบคุณครับ”
“เดี๋ยวผมให้เด็กยกไปที่รถเลยนะครับ”
“ครับ”
ตะวันกำลังจะเดินไปบอกลูกน้อง ภีร์ภูมิเรียกไว้
“เดี๋ยวครับคุณตะวัน”
ตะวันฉายหันมาหา “ครับ… สนใจดูชิ้นอีกเหรอครับ ตามสบายเลยนะครับ คิดว่าเป็นบ้านของตัวเอง”
ภีร์ภูมิมีท่าทีอึกอัก “คือ…ผมอยากเจอเพื่อนคุณ ที่เจอกันเมื่อวานน่ะครับ”
ตะวันฉายคิดๆ
“อ๋อ…ยัยบุษน่ะเหรอครับ”
“ครับ...ผมมีเรื่องจะถามคุณบุษน่ะครับ ไม่ทราบว่าจะติดต่อเธอได้ทีไหน?”
เวลาต่อมาบุษบันอยู่ในชุดหมี สวมแว่นกันสะเก็ดไฟกำลังตั้งใจเจียรปลายธนูอย่างตั้งใจ เสียงดังสนั่นอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน สักครู่หนึ่ง ตั้มเดินเข้ามา
ตั้มตะโกนพูดสู้กับเสียงเจียร “พี่บุษมีลูกค้ามาหา”
บุษบันหยุดเจียรหันมาบอก “ให้เขาเข้ามาเลย… ขอฉันทำตรงนี้อีกแป๊บ”
ตั้มเดินออกไป
บุษบันหันไปเจียรปลายธนูต่ออีกครู่หนึ่งก็วางมือ แล้วถอดชุดหมี ถอดแว่น เตรียมไปต้อนรับลูกค้า แต่พอบุษบันหันมาเห็น ภีร์ภูมิยืนอยู่ตรงหน้าก็ตกใจ สองคนเปิดฉากเถียงกันทันที
“คุณ! เข้ามาบ้านฉันได้ยังไง”
“เอ้า…ก็คุณบอกให้ลูกน้องพาผมเข้ามา!” ภีร์ภูมิว่า
บุษบันโมโห “มาทางไหนออกไปทางนั้นเลยนะ”
“ยังไม่ทันพูดจากันเลยก็ไล่กันซะแล้ว! เห็นผมเป็นอะไรห๊ะ” ภีร์ภูมิชักของขึ้น
“เป็นโจรไง! สะกดรอยตามฉันมาถึงที่บ้าน จะมาขโมยอะไรฉันอีก!”“คำก็โจร สองคำก็โจร เดี๋ยวก็เป็นจริงให้ซะหรอก จะยกเค้าทั้งบ้านเลย!”
บุษบันบันคว้าเหล็กแหลมบริเวณนั้นขึ้นมาขู่
“อย่าเข้ามานะ…ออกไปจากบ้านฉันเดี่ยวนี้เลย!”
ภีร์ภูมิตกใจ ตาเหลือก “คุณ! ผมล้อเล่น! ทั้งหล่อทั้งเท่ห์แบบผมนี่นะเป็นโจร! คุณคิดเองเออเองตลอด!”
“แล้วมาทำอะไร?...ถ้าจะมาซื้อผลงานของฉัน ฉันไม่ขาย! คุณกลับไปได้เลย”
ภีร์ภูมิพูดจริงจัง “ผมมีธุระจะคุยกับคุณ”
บุษบันพูดใส่หน้า “แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” หันไปบอกตั้ม “ไอ้ตั้มส่งแขก! แล้วล็อคประตูบ้านเลยนะ ห้ามให้คนคนนี้เข้ามาอีก!”
บุษบันเชิ่ดใส่ กำลังจะกลับเข้าไปในบ้าน
ภีร์ภูมิเรียกไว้ “เดี๋ยวสิ! ผมจะถามเรื่องที่คุณเจ็บข้อมือเมื่อวาน!”
บุษบันหยุดชะงัก
เวลาต่อมาสองคนอยู่ที่อีกมุมในบ้านบุษบัน
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าฉันเจ็บข้อมือเพราะตรวนอันนั้น” บุษบันถามทันที
“เพราะตอนที่ผมจับตรวนนั่นผมก็เจ็บข้อมือเหมือนกัน!”
บุษบันอึ้งๆ
“ผมเห็นคุณเจ็บข้อมือข้างขวา!”
บุษบันนิ่งคิด ก่อนจะค่อย ๆ จับที่ข้อมือข้างขวา
“เจ็บอะไร ไม่เจ็บซะหน่อย” ชูข้อมือขึ้นให้ภีร์ภูมิดู “เนี่ยๆ เจ็บที่ไหน”
“คุณจะปฏิเสธทำไมก็ผมเห็นคุณเจ็บกับสองตาของผม”
ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ภีร์ภูมิดังขัดขึ้น หน้าจอโทรศัพท์เป็นพิมพิลาสโทรเข้ามา ภีร์ภูมิรับสาย
“ฮัลโหล…ครับ พิม!”
บุษบันได้โอกาสเดินหนีเข้าบ้าน แต่ภีร์ภูมิหันไปเห็น
“พิม สักครู่นะครับ” ภีร์ภูมิจับมือบุษบันไว้ “เดี๋ยว คุณบุษบัน ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”
บุษบันสะบัดมือออก “ปล่อยฉันนะ!...แล้วกลับไปได้แล้ว ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ”
บุษบันเดินหนีไป
ภีร์ภูมิกับพิมพิลาสที่รอสายอยู่ “พิม ผมติดธุระอยู่ เดี๋ยวผมโทร.กลับนะครับ”
ภีร์ภูมิกดวางสายไป
“คุณบุษบัน คุณยอมรับมาเถอะว่าคุณก็เจ็บข้อมือเหมือนผม คุณไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมเราถึงเจ็บเหมือนกัน”
บุษบันได้ยิน หยุดชะงัก ภีร์ภูมิเข้าไปดึงมือบุษบัน
“เชื่อผมเถอะครับ ระหว่างคุณกับผม และตรวนนั่นต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกัน และเคยผูกพันกันมาก่อนแน่”
บุษบันสะบัดมือออก
“ไม่! ฉันไม่เคยมีความผูกพันกับคุณ”
“คุณไม่ยอมรับใช่ไหม...ได้” ภีร์ภูมิชักโมโหในความดื้อของบุษบัน
ภีร์ภูมิเข้าไปคว้าโทรศัพท์บุษบันจากมือ!
บุษบันหน้าเหวอ ร้องโวยวาย “คุณ! ทำอะไรของคุณน่ะ เอาโทรศัพท์ฉันคืนมานะ”
ภีร์ภูมิใช้โทรศัพท์บุษบันโทรเข้าเครื่องตัวเอง บุษบันจะแย่งคืน พอโทร.เสร็จภีร์ภูมิก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้บุษบันทันที
“เมื่อไหร่ที่คุณพร้อมจะยอมรับความจริงโทร.มาหาผม”
บุษบันรีบเข้าบ้าน ปิดประตูใส่หน้าภีร์ภูมิ
ขณะที่ภีร์ภูมิยืนนิ่งอยู่หน้าประตู บุษบันยื่นนิ่งอยู่หลังประตู เอามือจับข้อมือตัวเอง
บุษบันรำพึงกับตัวเอง “ตานั่นเจ็บข้อมือเหมือนเราจริงๆ เหรอ หรือจะปั่นหัวเราเล่น...แต่ตานั่นก็ยืนยันหนักแน่มาตลอดหรือว่าจะเจ็บจริง”
บุษบันคาใจมาก และอยากรู้ความจริงเหมือนกัน
ด้านพิมพิลาสผุดลุกผุดนั่ง ไม่สบายใจอยู่ที่บ้าน
พิมพิลาสพึมพำ “เสียงผู้หญิง!...ภูมิอยู่กับผู้หญิงคนนั้น!! ทำอะไรกัน”
ป้าทิพย์เดินเข้ามา เห็นพิมพิลาสกระวนกระวายอยู่
“หนูพิม เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
พิมพิลาสพยายามพูดอย่างควบคุมอารมณ์
“ภูมิเขาอยู่กับผู้หญิงคนนั้น! คนที่เขาพูดถึง”
ป้าทิพย์คิ้วขมวด “อะไรนะ?...แล้วหนูพิมรู้ได้ยังไง”
พิมพิลาสอธิบาย “เมื่อกี้พิมโทร.ไปหาภูมิ พิมได้ยินเสียงผู้หญิงพูดแทรกเข้ามาแล้วภูมิยังพูดชื่อผู้หญิงคนนั้นว่าบุษบัน พิมได้ยินเต็มสองหู”
ป้าทิพย์มองในแง่ดี “คุณภูมิเขาคุยอยู่กับลูกค้าอยู่หรือเปล่าหนูพิม ลูกค้าที่เป็นผู้หญิงก็มีตั้งหลายคนไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่ลูกค้าหรอกค่ะป้า การพูดการจาเขาดูสนิทสนมกันมาก”
“อย่าคิดมากนะคะ เชื่อป้าคุณภูมิเขาไม่มีวันทำให้หนูต้องเสียใจ…แล้วเราก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ ถ้ายังไม่เห็นด้วยตา”
พิมพิลาสฟังป้าทิพย์แล้วนิ่งงันไป
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๙ (ต่อ)
เวลาผ่านไป นายมากขอทานตาบอดอยู่ที่บริเวณลานวัดและกำลังหยิบแบงค์ที่พิมพิลาสให้ไว้วันก่อนขึ้นมาจับ มาดม อย่างมีความสุข ชายชราพึมพำกับตัวเองแล้วยิ้มอย่างสุขใจ
“ได้ดมได้จับเงินมันมีความสุขแบบนี้เอง…จะเอาไปซื้ออะไรดีน๊า
แต่แล้วทันใดนั้น ก็มีมือใครคนหนึ่งแย่งแบงค์ร้อยจากมือนายมากไป
ที่แท้เป็นเด็กกลุ่มหนึ่ง ๓-๔ คน มายืนล้อมนายมากไว้
“ลุงถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะเอาไปใช้อะไร…ขอพวกผมเอาไปใช้ก่อนนะ”
เด็กชายหัวโจกที่คว้าแบงค์ไปว่า เด็กคนอื่นๆ หัวเราะชอบใจ
“ไอ้พวกนี้…เอาเงินข้ามา”
มากพยายามคว้าจะเอาเงินคืน
“นะลุง ถือว่าให้ลูกให้หลานแล้วกัน” เด็กอีกคนเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่มีลูกไม่มีหลานเว้ย!! เอาเงินข้าคืนมา อย่าให้จับได้นะจะตีให้ตายเลย!”
“แน่จริงก็มาแย่งให้ได้สิ”
เด็กชายหัวโจกว่า จากนั้นเด็กๆ ก็หัวเราะ แล้ววิ่งหนีไป
มากพยายามจะไล่ตาม มาจนถึงถนนหน้าวัด
“เอาเงินข้าคืนมา…ไอ้เด็กเวร!”
ทันใดนั้น ยินเสียงรถเบรกดังเอี๊ยด...
ที่แท้เป็นรถตู้ของพิมพิลาสที่กำลังเสียหลักหักหลบไม่ให้ชนมากจนหัวรถส่ายไปมา เฉียดนายมากไปนิดเดียว! รถจอดนิ่ง
ป้าทิพย์เดินลงมาจากรถท่าทางฉุนเฉียว พิมพิลาสเดินตามลงมา ป้าทิพย์ต่อว่ามากทันที
“มาวิ่งตัดหน้ารถแบบนี้ได้ยังไง มันอันตราย…แล้วนี่เป็นอะไรหรือเปล่า”
พิมพิลาสจำได้ “ลุงตาบอดที่อยู่ในวัดนี่จ้ะป้า”
มากได้ยินเสียงพิมพิลาสก็หูผึ่ง จำเสียงได้
“หนู…” พลางใช้จมูกดมกลิ่นน้ำหอม ยิ้มอย่างดีใจ “หนูคนนั้นจริงๆ ด้วย”
พิมพิลาสถามอย่างเป็นห่วง “ลุงเป็นอะไรไม๊?”
“ลุงไม่เป็นไร...หนูมาทำบุญใช่ไหม ให้ลุงพาไปหรือเปล่า ในวัดนี้มีที่ทำบุญเยอะเลย ทั้งปล่อยนกปล่อยปลา หรือจะไถ่ชีวิตโคกระบือก็มีนะ”
“ฉันขอเข้าไปไหว้พระก่อนดีกว่า”
ป้าทิพย์มาพาพิมพิลาสเดินไปในวัด นายมากยังตามตื้อไม่เลิก
“ชอบดูดวงไหมหนู หลังวัดมีแม่หมอตาทิพย์ดูดวงแก้กรรมทั้งอดีตปัจจุบันแม่นมาก ใคร ๆ เขาก็ชอบมากัน ทั้งสาวแก่แม่หม้ายถูกผัวทิ้งไม่เกินสามวันผัวกลับมารักมาหลงจนลืมตาไม่ขึ้นกันทั้งนั้น”
พิมพิลาสเห็นนายมากยังตามไม่เลิกเลยหยิบเงินยื่นให้
“นี่...ลุง”
นายมากรับเงินมา
“ขอบใจมากนะหนู จิตใจช่างดีเหลือเกิน ถ้าอยากทำบุญตรงไหนเรียกหาลุงได้ตลอดเลยนะ”
พิมพิลาสกับป้าทิพย์เดินห่างออกไป นายมากเลิกตามแล้ว
ไม่นานต่อมาพิมพิลาสกับป้าทิพย์ก้มลงกราบพระประธาน สายตาพิมพิลาสจ้องมองขึ้นไปยังพระพักตร์พระประธาน เหมือนจะอ้อนวอนให้บารมีของพระช่วยเหลือ
จังหวะนั้น หลวงพ่อกสินยืนมองอยู่ที่ด้านหลังพิมพิลาส ตรงหน้าประตูโบสถ์ พร้อมกับพึมพำออกมา
“บาปกรรมที่ทำเอาไว้ชาติที่แล้วมันใหญ่หลวงนัก ทำบุญทำกุศลไว้มากๆ เถอะโยมเผื่อว่ามันจะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้”
เวลาตอนเย็น บุษบันกำลังใช้ตะไบ ตะไบแต่งคิวปิดอยู่ แต่เหมือนไม่มีสมาธิ คิดถึงแต่คำพูดของภีร์ภูมิที่ดังก้องในหัว
“คุณบุษบัน คุณยอมรับมาเถอะว่าคุณก็เจ็บข้อมือเหมือนผม คุณไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมเราถึงเจ็บเหมือนกัน”
บุษบันว้าวุ่นกลุ้มใจหนักปาตะไบทิ้ง และลุกขึ้นไปหยิบกุญแจรถเดินออกไปทันที
ไม่นานนักบุษบันพาตัวเองมาอยู่ที่แกลเลอรี่ของตะวันฉาย และเดินตรงเข้ามาด้านใน พร้อมกับตะโกนและมองหา
“ตะวัน ตะวัน”
ตะวันฉายซึ่งเตรียมตัวจะกลับบ้านเดินออกมาพอดี
“อ้าว ยัยบุษ มีอะไรหรือเปล่า มาทำอะไรป่านนี้?”
“ตรวนทองคำอยู่ไหน?”
“อยู่ในตู้เซฟข้างบน ทำไม?”
“ฉันขอดูอีกครั้ง”
สองคนอยู่ที่ชั้นสามแกลอรี่ ตะวันฉายเดินไปเอาตรวนทองคำออกจากตู้เซฟมาวางบนโต๊ะ
บุษบันจ้องที่ตรวนนั้นตาไม่กระพริบ
“มันจะเจ็บได้ยังไง ต๊องไปแล้วเพื่อนฉัน!”
ตะวันฉายเย้า พร้อมลองจับตรวนทองคำให้ดู
“เนี่ยๆ ฉันจับไม่เห็นเจ็บเลย …ห้อยคอให้ดูก็ได้” ตะวันฉายยังเอาตรวนมาห้อยคอให้ดู “เนี่ย เจ็บที่ไหน…ยัยนิดจับก็ไม่เห็นเจ็บ ไม่มีใครเจ็บสักคน!”
“ฉันนี่แหละเจ็บ” บุษบันว่า
“งั้นลองจับ!” ตะวันฉายวางตรวนลงบนโต๊ะ
บุษบันจ้องไปที่ตรวนครู่หนึ่ง แล้วค่อยเอื้อมมือไปจับตรวนอย่างลุ้นระทึก และพอมือสัมผัสที่ตรวนเท่านั้น บุษบันรู้สึกเจ็บข้อมือแปล๊บขึ้นมาทันที บุษบันชักมือกลับร้อง “โอ๊ย”
ตะวันฉายไม่เชื่อคิดว่าบุษบันอำ เลยขำใหญ่ “เล่นใหญ่นะเนี่ย! แกอย่ามาอำฉันดีกว่า มุขแบบเนี้ยเล่นมาตั้งแต่เด็กๆ”
บุษบันยังจ้องที่ตรวน หน้าซีด แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก
ครั้นพอตะวันฉายเห็นบุษบันหน้าซีด ก็ตกใจ ถามอย่างเป็นห่วง
“บุษแกเป็นไรวะ? จะเป็นลมหรือเปล่า…ไปพักข้างนอกก่อนไม๊”
บุษบันนิ่ง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตะวัน…ฉันเจ็บข้อมือเพราะตรวนอันนี้จริงๆ!”
ตะวันฉายซีเรียส ชักสยองและเริ่มยิ้มไม่ออก แต่ยังพยายามคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง “ไม่เอาน่าบุษ เลิกอำฉันสักที นี่มันยุคไหนแล้วจะเกิดเรื่องพิลึกกึกกือแบบนี้ได้ยังไง”
บุษบันบอกต่อ “ฉันไม่ได้เจ็บคนเดียว นายภีร์ภูมิก็เจ็บเหมือนกัน”
คราวนี้ตะวันอึ้ง มองไปที่ตรวนทองคำเขม็ง
“แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง?...อย่าบอกนะว่าตรวนอันนี้มี...ผะ...ผะ”
จู่ๆ ไฟในห้องก็ดับพรึบ!ลง
ตะวันฉายตกใจสุดขีด แหกปากร้องเสียงหลง
“ผะ...ผี!!! ไอ้บุษแกอยู่ไหน…ช่วยฉันด้วย ฉันกลัวผี”
ทันใดนั้น ก็มีแสงไฟฉายส่องที่ใบหน้าใครคนหนึ่ง ตะวันฉายหันมาเห็นก็ยิ่งตกใจ
“เฮ้ย!!! ผี”
ที่แท้เป็นพนักงานชาย ลูกน้องคนหนึ่งของตะวันฉายนั่นเอง
“ผมเองครับคุณตะวัน ไม่ใช่ผี!”
“แล้วแกจะเข้ามาทำอะไรตอนนี้วะ” ตะวันฉายฉุน
“ผมขึ้นมาปิดคัทเอ้าท์ไฟครับ ไม่รู้ว่าคุณตะวันจะขึ้นมาบนนี้อีก” พนักงานคนนั้นบอก
“ไอ้บ้า! ไปเปิดก่อนเลย” ตะวันฉายด่าเช็ด
เช้าวันใหม่กนิษฐาแวะมาที่แกลเลอรี่ กำลังเปิดตู้เซฟจะเอาตรวนออกมา ทว่าในตู้เซฟกลับว่างเปล่า กนิษฐาตกใจ พนักงานของร้านเดินเข้ามาพอดี กนิษฐารีบถามทันที
“ตรวนหายไปไหน”
“คุณตะวันมาเอาไปตั้งแต่เช้าแล้วครับ”
“เอาไปไหน?”
“เห็นบอกว่าจะเอาไปให้ลูกค้าดูที่โรงแรมครับ”
กนิษฐาโกรธจัด รีบเดินออกไปทันที เป้าหมายคือโรงแรมที่พนักงานบอก
ในเวลาเดียวกันที่ล็อบบี้โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ตะวันฉายนั่งอยู่ที่โซฟาเศรษฐีชายวัยกลางคน ลูกค้าคนสำคัญผู้นิยมของเก่าหายาก
ตะวันฉายยิ้มแป้น กำลังให้เศรษฐีดูรูปตรวนทองคำในไอแพดของตน
“นี่ครับ...รูปตรวนทองคำของโบราณแท้ๆ”
บนจอไอแพดเห็นเป็นภาพตรวนทองคำ ค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ หลายมุม พร้อมเสียงตะวันฉายอธิบาย
“ตรวนทองคำสมัยรัชกาลที่ ๕ เลยนะครับ”
“งดงามมาก...ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
“นี่แค่รูปนะครับยังงดงามขนาดนี้ ของจริงอยู่ที่แกลอรี่ไปชมได้เลยครับ”
“แล้วคุณจะขายในราคาเท่าไหร่”
ตะวันฉายยิ้มๆ
“ผมตั้งราคาไว้แปดสิบล้านบาทครับ”
เศรษฐีผู้นิยมของเก่าตกใจ “แปดสิบล้าน!”
“ครับ ราคานี้ราคาเดียว ผมว่าดูสมน้ำสมเนื้อแล้วนะครับกับของเก่าโบราณแบบนี้”
ระหว่างนี้เองกนิษฐาเดินเข้ามาที่โซฟาอย่างเอาเรื่อง เพราะโมโหที่ตะวันเอาตรวนมาขายโดยไม่บอกเธอ พูดอย่างฉุนเฉียว
“นี่คุณ! มาหลอกขายของคนอื่นอีกแล้วเหรอ โดนตำรวจจับยังไม่เข็ดหรือไง”
ตะวันหน้าเหวอ อึ้งไปครู่หนึ่ง
“เธอพูดอะไรของเธอ”
เศรษฐีมองงงๆ
กนิษฐาหันมาพูดกับเศรษฐี “คุณคะอย่าเชื่อเขา ของทุกอย่างที่คุณเห็นเป็นของปลอมทั้งนั้น ฉันหวังดีกลัวคุณจะถูกหลอกฉันเลยมาเตือน”
ตะวันฉายลุกขึ้นไปห้ามกนิษฐาไว้
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ เธอกำลังทำให้ฉันเสียลูกค้ารายใหญ่นะรู้ไหม” แล้วหันมาทางเศรษฐีคนนั้น “ไม่จริงนะครับ ผู้หญิงคนนี้เขาบ้า”
กนิษฐาโพล่งขึ้นมาอีกดอก “ฉันเป็นลูกน้องอยู่ที่เดียวกับเขา คุณกำลังจะโดนหลอก”
เศรษฐีรายนั้นลุกพรวดขึ้น ด่าตะวัน “คุณนี่มันเลวจริงๆ ผมจะไม่ติดต่อค้าขายกับคุณอีกแล้ว”
แล้วเดินลิ่วออกไปท่าทางโกรธจัด
ตะวันฉายโกรธจัด ตามมาต่อว่ากนิษฐาที่หน้าโรงแรม
“เธอทำบ้าอะไรพูดแบบนี้ฉันเสียหายหมด ฉันไล่เธอออก!”
“ก็เอาสิ! ฉันจะได้แฉให้มากกว่านี้” กนิษฐาไม่หวั่น เถียงกลับ
ตะวันฉายอึ้งๆ
“แล้วเรื่องอะไรถึงมาห้ามฉัน ตรวนนี่ก็ของฉัน เธอมายุ่งอะไรด้วย”
“ฉันบอกแล้วว่าขอเวลาศึกษาก่อน”
“ไม่ต้องศึกษาแล้ว ตรวนนั่นมีผีสิง!” ตะวันฉายบอก
“ปัญญาอ่อน ผีที่ไหน ไม่มีในโลก” กนิษฐาไม่เชื่อ
“ก็เพื่อนฉันหรือใครมาจับแล้วก็เจ็บ ไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไร”
“คิดกันไปเองทั้งนั้น มันจะเป็นไปได้ยังไง ฉันจับอยู่ทุกวันไม่เห็นเจ็บเลย ตั้งแต่ฉันทำงานสายนี้มาฉันยังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้สักครั้ง ฉันจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าตรวนไม่มีผี” กนิษฐาบอกอย่างเชื่อมั่นในความคิดประสาสาวยุคดิจิตัล
ตะวันฉายมีท่าทีหนักใจ ยื่นเงื่อนไข
“งั้นเอาอย่างนี้ ฉันให้เวลาเธอศึกษาข้อมูลอีกหนึ่งเดือน พอครบกำหนดฉันขายทันที”
“ได้! ตกลงตามนั้น!”
กนิษฐามองหน้าตะวันฉายด้วยสายตาเชือดเฉือน
เช้าวันต่อมาภีร์ภูมิเดินถือช่อลิลลี่เข้ามา พิมพิลาสนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก
“ดอกไม้สวยๆ ครับ ผมเห็นแล้วคิดถึงพิมเลยซื้อมาให้”
ภีร์ภูมิส่งช่อลิลลี่ให้พิมพิลาส และวางโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้บนโต๊ะ
“สวยมากเลยคะภูมิ ขอบคุณนะคะ”
“เดี๋ยวผมเอาไปใส่แจกันให้นะครับ”
“ค่ะ”
ภีร์ภูมิถือช่อลิลลี่เดินออกไป ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของภีร์ภูมิดังขึ้น พิมพิลาสเดินมาดู เห็นเป็นชื่อ บุษบัน พิมพิลาสหน้านิ่ง ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู จ้องมองไปที่ชื่อบุษบันไม่วางตา
บุษบันอยู่ที่บ้านกำลังโทรศัพท์หาภีร์ภูมิ แต่ภีร์ภูมิไม่รับ บุษบันจึงวางสาย บุษบันตัดสินใจโทร.ไปอีกครั้ง และฝากข้อความเสียงไว้
“คุณภีร์ภูมิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ ฉันยอมรับแล้วว่าฉันรู้สึกแบบเดียวกับคุณ ถ้าคุณว่างโทร.กลับหาฉันด้วย”
บุษบันวางสาย
พิมพิลาสเห็นข้อความเสียงจากบุษบันส่งมาที่โทรศัพท์ของภีร์ภูมิจึงเปิดฟัง พอได้ฟังก็มีสีหน้าแววตาโกรธขึ้งด้วยความหึงหวงทันควัน
ภีร์ภูมิกลับออกไปนานแล้ว ป้าทิพย์เดินถือกระดาษจดที่อยู่บ้านบุษบันเข้ามาหาพิมพิลาสที่อีกมุมในบ้าน
“ได้ที่อยู่แล้วหนูพิม ป้าพูดอยู่ตั้งนานกว่าทางนั้นจะยอมบอก หนูพิมจะเอาไปทำไมล่ะ”
พิมพิลาสรับกระดาษจากป้าทิพย์
“ขอบคุณคะป้า พิมอยากไปดูอะไรสักหน่อย”
พิมพิลาสมองดูกระดาษในมือ หน้าตาโกรธขึ้ง โดยที่ป้าทิพย์ไม่ทันเห็น
ไม่นานหลังจากนั้นรถพิมพิลาสแล่นมามาจอดที่รั้วหน้าบ้านบุษบัน ครู่ต่อมาพิมพิลาสเดินเข้ามาในบ้านบุษบันแล้ว มองรอบๆ บ้านไม่เห็นมีใคร จึงเดินเข้าไปในส่วนที่เป็นสตูดิโอ
พิมพิลาสเดินเข้ามาในสตูดิโอของบุษบันที่ยังไม่เปิดไฟ บรรยากาศดูทะมึนๆ มองดูผลงานของบุษบัน แต่ละอย่างดูน่ากลัว เป็นงานศิลปะที่พิมพิลาสไม่เคยเห็นเธอมองอย่างกลัวๆ พิมพิลาสค่อยๆ สืบเท้าเดินเข้ามา ด้วยท่าทีหวาดผวา
“มีใครอยู่ไม๊คะ”
ไม่มีเสียงตอบ พิมพิลาสจึงเดินเข้าไปเรื่อยๆ จนเห็นผ้าขาวคลุมบางสิ่งไว้อยู่บนโต๊ะ พิมพิลาสเดินเข้าไปใกล้สิ่งนั้น แล้วค่อยๆ ดึงผ้าออก! เห็นเป็นคิวปิดที่ชี้ศรธนูมายังตน พิมพิลาสตกใจ! ถอยไปสะดุดผ้าคลุมคิวปิด ทำให้ผ้าเกี่ยวตัวคิวปิดค่อยล้มลง!
พิมพิลาสร้อง “ว้าย”
ทันใดนั้นบุษบันก็เข้ามาช่วยจับคิวปิดไว้ทัน พิมพิลาสยังอยู่ในอาการตกใจ บุษบันรู้สึกหงุดหงิดแต่เก็บอารมณ์ไว้ บุษบันเดินไปเปิดสวิทช์ไฟ
พิมพิลาสกับบุษบันเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก ทั้งคู่ต่างจ้องหน้ามองตากันด้วยอาการตื่นตะลึงอย่างประหลาด!!
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๙ (ต่อ)
จนในที่สุดบุษบันเป็นฝ่ายตัดสินใจถามทำลายความเงียบขึ้น ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ…คุณบุษบันใช่ไม๊คะ”
“ใช่ค่ะ”
พิมพิลาสรู้ว่าเป็นบุษบัน ก็จ้องบุษบันไม่ละสายตา
“ขอโทษนะ ที่เข้ามาโดยพลการ…ฉันอยากมาดูผลงานของคุณน่ะค่ะ”
บุษบันไม่พอจึงพูดประชด “ค่ะ…ที่จริงคุณน่าจะกดกริ่งหรือรอให้เจ้าของบ้านเขาออกมาก่อนดีกว่านะคะ”
“ฉันเรียกแล้วไม่เห็นมีใครก็เลยเดินเข้ามา…” พิมพิลาสย้อนถามเป็นนัย “ทำไมเหรอหรือว่ามีความลับอะไรที่ยังเปิดเผยไม่ได้”
“ไม่มีความลับหรอกค่ะ…แต่ก็มีของบางอย่างที่มันอาจเป็นอันตรายกับคุณได้ อย่างเมื่อกี้ไงคะถ้าฉันมาไม่ทันคุณก็คงได้รับบาดเจ็บไปแล้ว!...เชิญดูผลงานตามสบายนะคะ”
พิมพิลาสมองไปรอบๆ บ้าน สักครู่หนึ่งบุษบันเอาน้ำมาเสิร์ฟให้ พลางถาม
“สนใจชิ้นไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”
“ก็มีนะคะแต่ก็ยังไม่ถูกใจเท่าไหร่…เท่าที่ดูผลงานของคุณส่วนมากจะทำเอาใจผู้ชายนะคะ” พิมพิลาสเน้นเสียงตรงท้ายประโยค
บุษบันตอยเสียงเรียบ “มันเป็นสไตล์ของฉันมากกว่า…ไม่ได้เจาะจงว่าทำเอาใจลูกค้าเพศไหน แต่ก็ส่วนมากก็มีแต่ผู้ชายที่ชอบผลงานของฉัน”
พิมพิลาสโพล่งออกมา “รวมถึงแฟนฉันด้วย”
บุษบันหันขวับไปมองพิมพิลาส ทั้งคู่จ้องตากันอย่างเชือดเฉือน
“เหรอคะ! แฟนคุณชื่ออะไรคะ”
“ภีร์ภูมิค่ะ…รู้จักไม๊คะ”
บุษบันนิ่งๆ มีเซ้นส์ว่าพิมพิลาสต้องมาจับผิดตนเรื่องภีร์ภูมิ
บุษบันไม่อยากมีปัญหาจึงปฏิเสธ “ไม่ค่ะ”
พิมพิลาสมองจับกิริยา คิดว่าบุษบันต้องโกหก
“แปลกนะคะที่คุณไม่รู้จักแฟนของฉัน ทั้งๆ ที่เขาก็เคยมาที่นี่”
“วันๆ มีลูกค้าเข้ามาตั้งมากมาย ฉันไม่มัวมานั่งจำอยู่หรอกค่ะว่าใครเป็นใคร”
จังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือบุษบันที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น หน้าจอเห็นเบอร์-ชื่อ ภีร์ภูมิ โทร.เข้ามา พิมพิลาสปรายตามองไปเห็นเป็นชื่อภีร์ภูมิก็โมโห! แต่เก็บอาการไว้)
บุษบันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู แต่ไม่มีทีท่าว่าจะรับ
พิมพิลาสถาม “ไม่รับเหรอคะ”
“ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรหรอกค่ะ” บุษบันบอกเลี่ยง
พิมพิลาสถามย้ำ “แน่ใจนะคะ”
“ค่ะ”
บุษบันกดปิดโทรศัพท์มือถือ
พิมพิลาสมองบุษบัน เข้าใจทุกอย่างว่าบุษบันโกหก
“ตกลงต้องการงานชิ้นไหนคะ” บุษบุนถาม
“ไม่แล้วค่ะ ฉันได้สิ่งที่ฉันต้องการแล้ว”
บุษบันสะดุดหูในน้ำคำ ฉุกคิด
“ถ้างั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
พิมพิลาสลุกเดินหันหลังให้บุษบัน สีหน้าและแววตาโกรธมาก!!
ภีร์ภูมิอยู่ที่ไซต์งาน กำลังโทรศัพท์หาบุษบันแต่โทร.ไม่ติดแล้ว ภีร์ภูมิกดโทรอีกครั้ง
“ไหนบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุย แต่ทำไมปิดเครื่องซะงั้น” วิศวกรหนุ่มหงุดหงิด
ระหว่างนั้นไก่เดินเข้ามาหา เห็นท่าทีหงุดหงิดของเจ้านายก็เลยแซว
“โทร.หาสาวที่ไหนครับลูกพี่ ผมเห็นโทร.ตั้งนานแล้ว”
ภีร์ภูมิหมั่นไส้ “แกไม่รู้สักเรื่องจะได้ไหม”
“ให้ผมช่วยโทร.ไหมครับ เผื่อบางทีเขาอาจจะรับของผมก็ได้” ไก่แซวไม่เลิก
“อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน แกมีงานอะไรก็ไปทำเลย”
“หวงเหรอ มีของดีละก็ชอบเก็บไว้คนเดียวตลอดเลย”
ภีร์ภูมิทำท่าจะเตะ ไก่รีบวิ่งจู๊ดออกไปก่อน ภีร์ภูมิยังโทร.หาบุษบันไม่หยุด
คืนนั้นพอกลับมาบ้าน พิมพิลาสเดินวนไปวนมาคิดถึงแต่เรื่องบุษบัน ภาพเหตุการณ์ตอนคุยกับบุษบันผุดขึ้นมาในหัว
“เหรอคะ! แฟนคุณชื่ออะไรคะ”
“ภีร์ภูมิค่ะ…รู้จักไม๊คะ”
“ไม่ค่ะ”
พิมพิลาสดึงตัวเองกลับมา แต่กลับครุ่นคิดหนักมากขึ้น
“โกหกฉันไม่ได้หรอก!!”
พิมพิลาสพึมพำ ขณะมองออกไปนอกบ้าน และเห็นรถภีร์ภูมิแล่นเข้ามา พิมพิลาสคิดอะไรบางอย่างได้
ครู่หนึ่ง ภีร์ภูมิเดินเข้ามา เห็นพิมพิลาสนอนอยู่ที่พื้น ก็ตกใจมาก
“พิม”
ภีร์ภูมิเข้ามาอุ้มพิมพิลาส ป้าทิพย์ นิ่ม และหวาน ได้ยินเสียง ตามเข้ามาดู พอเห็นก็ตกใจกันใหญ่! ภีร์ภูมิยังอุ้มพิมพิลาสอยู่ด้วยท่าทีตกใจ
จังหวะนั้นพิมพิลาสลืมตาขึ้น ที่แท้เธอไม่ได้เป็นอะไร แกล้งเรียกร้องให้ภีร์ภูมิสนใจเท่านั้น
เวลาผ่านไป พิมพิลาสนอนอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก มีป้าทิพย์เอายาดมให้ดม สักครู่หนึ่งพิมพิลาสค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เห็นเป็นหน้าภีร์ภูมิเบลอ ๆ
“ฟื้นแล้ว โล่งอกไปที” ป้าทิพย์ว่า
ภีร์ภูมิถามอย่างเป็นห่วง “พิม...เป็นอะไรไปครับ”
“พิมหายใจไม่ออกเลยเวียนศีรษะแล้วหน้ามืดเป็นลมไปน่ะค่ะ”
“หนูพิมนะหนูพิม ถ้าคุณภูมิมาไม่ทันป้าจะทำยังไง เดี๋ยวป้าไปบอกให้คนเอารถออกไปโรงพยาบาลดีกว่า” ป้าทิพย์บอก พิมพิลาสห้ามไว้
“พิมไม่เป็นอะไรแล้วค่ะป้า พิมขออยู่กับภูมิก็พอ”
ป้าทิพย์พยักหน้ารับ ยังเป็นห่วงพิมพิลาสอยู่แต่ก็ยอมออกไป ภีร์ภูมิค่อยๆ ประคองพิมพิลาสนั่งขึ้น
พิมพิลาสจับมือภีร์ภูมิไว้ “ขอบคุณมากนะคะภูมิ ถ้าพิมไม่มีภูมิพิมจะอยู่ยังไง”
“ผมก็อยู่นี้แล้วไงครับ”
“ภูมิต้องอยู่กับพิมตลอดไปนะคะ สัญญากับพิมนะคะ”
“ครับผมสัญญา”
พิมพิลาสจับแขนภีร์ภูมิอย่างดีใจ
“ภูมิสัญญาแล้วนะคะ เราสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไป เราจะไม่มีคนอื่น เราจะไม่แยกจากกัน”
ภีร์ภูมิอึ้ง แต่ก็รับปากพิมพิลาสเสียงหนักแน่น
“ครับ”
พิมพิลาสกอดภีร์ภูมิแน่น ภีร์ภูมิกอดตอบ และไม่ได้เห็นว่ายามนั้นพิมพิลาสยิ้มอย่างมีเลศนัย
คืนนั้นบุษบันนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
ภีร์ภูมินอนหลับสนิทอยู่บนเตียงที่บ้าน ภีร์ภูมิหลับฝันเห็นภาพฉัตรกำลังจมน้ำ ดิ้นทุรนทุราย แต่มีตรวนทองคำล่ามอยู่ที่มือ!ฉัตรพยายามเอามือออกจากตรวนแต่ก็โดนตรวนบาดเลือดไหลออกมา น้ำบริเวณค่อยเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน!
ส่วนบุษบันนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียง เหมือนกับฝันร้าย บุษบันเห็นภาพใต้น้ำขณะที่บัวดิ้นทุรนทุรายและถูกล่ามด้วยตรวนทองคำเช่นกัน สีน้ำค่อยเป็นสีเลือดแดงฉานไปทั่วลำน้ำ
บุษบันสะดุ้งตื่น มองที่ข้อมือตัวเองเห็นเลือดเต็มทั้งมือและข้อมือ บุษบันตกใจ กระพริบตาเพื่อความแน่ แต่ภาพที่เห็นเลือดหายไปแล้ว
“เราเก็บเอาไปฝันจนเห็นภาพหลอนเลยเหรอเนี่ย”
ภีร์ภูมิเองสะดุ้งตื่นเช่นกัน และอยู่ในอาการเดียวกันกับบุษบัน ข้อมือภีร์ภูมิมีเลือดเต็มไปหมด ชายหนุ่มค่อยๆ ก้มมองที่ข้อมือ ตกใจ ขยี้ตาตัวเอง แต่พอมองอีกครั้งเลือดหายไปแล้ว
“ทำไมฝันเหมือนจริงแบบนี้?”
ภีร์ภูมิมองที่ข้อมือตัวเอง ด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์
เช้าวันนี้สามคนอยู่ในห้องรับประทานอาหาร ภีร์ภูมิกับพิมพิลาสและป้าทิพย์นั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน ภีร์ภูมิเล่าเรื่องความฝันเมื่อคืนให้สองคนฟังจบแล้ว
“พิมว่าภูมิทำงานหนักไป จนเก็บเอาไปฝันร้ายแบบนั้น ภูมิต้องพักผ่อนบ้างนะคะ”
“ไม่เกี่ยวหรอกพิม เกิดมาผมยังไม่เคยฝันแบบนี้มาก่อนเลย ฝันอะไรจะเหมือนจริงขนาดนี้ ผมรู้สึกเจ็บจริง เหมือนจมอยู่ในน้ำจริงๆ ภาพยังติดตาผมอยู่เลย
พิมพิลาสตั้งใจฟัง
ภีร์ภูมิตั้งใจเล่า โดยไม่ได้คิดอะไร
“พิมจำผู้หญิงที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้ไม๊ ที่เธอมีอะไรคล้ายๆ ผม ชอบอะไรคล้ายๆ ผม”
พิมพิลาสนิ่ง อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างระงับความไม่พอใจที่พุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ ในใจ
“ได้ค่ะ”
ป้าทิพย์มองพิมพิลาสจับสำเนียงออก รู้ว่าพิมพิลาสไม่พอใจภีร์ภูมิเล่าต่อ
“เธอชื่อบุษบัน” พิมพิลาสนิ่ง พยายามเก็บข่มอารมณ์อย่างหนัก “วันที่ผมเจอกับเธอที่แกลอรี่ขายของเก่า ผมเจอตรวนโบราณอันหนึ่ง ผมเข้าไปจับแล้วเจ็บข้อมือ ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นความบังเอิญแต่มันไม่ใช่ คุณบุษเธอจับก็เจ็บเหมือนกัน”
พิมพิลาสแปลกใจในสิ่งที่ภีร์ภูมิเล่า
“ภูมิรู้ได้ยังไงว่าเธอรู้สึกเหมือนภูมิจริงๆ”
ภีร์ภูมิบอก สีหน้าดูเชื่อมั่นมาก
“ผมรู้สึกดีน่ะพิม มันมีเซ้นส์อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมเชื่อว่าเขากับผมแล้วก็ตรวนอันนั้นมันเกี่ยวข้องกัน”
ภีร์ภูมิพูดแล้วครุ่นคิดสายตาเลื่อนลอย
ป้าทิพย์ขมวดคิ้ว สังเกตอาการของภีร์ภูมิ ไม่เคยเห็นชายหนุ่มพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้มาก่อนเลย
หลังอาหารเช้ามื้อนั้นภีร์ภูมิไปทำงานแล้ว พิมพิลาสอยู่กับป้าทิพย์และกำลังร้องไห้คร่ำครวญ ท่าทางเสียใจหนัก
“ป้า…ทำไมภูมิเขาเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ ทำไมภูมิพูดถึงแต่ผู้หญิงคนนั้น แล้วเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับเขามันคืออะไรทำไมภูมิถึงต้องเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้น พิมจะทำยังไงดี”
ป้าทิพย์หนักใจ สงสารพิมพิลาส หญิงชราเดินเข้าไปกอดพลางพูดปลอบ
“ใจเย็นๆ นะหนูพิม ทุกอย่างต้องมีทางออกเสมอ…เท่าที่สังเกตภูมิเขาไม่เคยพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ หน้าตาก็ดูเศร้าหมอง เหม่อลอย! แล้วที่สำคัญเพ้อหาผู้หญิงคนนั้น ต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ภูมิเป็นแบบนี้”
พิมพิลาสสะกิดใจ “อะไรบางอย่าง มันคืออะไรเหรอจ๊ะป้า”
ป้าทิพย์ไม่ตอบ สีหน้าแววตาหญิงชราใคร่ครวญครุ่นคิด
ตอนสายวันนั้น บุษบันมายืนกดกริ่งบ้านตะวันฉาย สักครู่หนึ่งแป้นสาวใช้เดินมาเปิดประตูให้พาเข้ามาด้านใน ตรงห้องรับแขก บ้านตะวันฉาย เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์น ดูร่มรื่นด้วยต้นไม้ มีสระว่ายน้ำอยู่บริเวณหน้าบ้าน
“คุณบุษคะ…คุณตะวันให้รอในบ้านก่อนค่ะ คุณตะวันไปธุระแถวนี้เดี๋ยวกลับค่ะ”
“จ้ะ” บุษบันยิ้มขณะนั่ลงตรงโซฟา
เวลาผ่านไป บุษบันยังนั่งอ่านนิตยสารอยู่ที่เดิม เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นอีก
บุษบันมองไปหน้าบ้านแล้วพึมพำ “ไอ้เพื่อนตัวแสบ กว่าจะเสด็จกลับมาได้”
สาวใช้กำลังจะวิ่งออกไปเปิดประตู บุษบันเรียกไว้
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปเปิดให้เอง”
บุษบันเดินออกไปจากห้องรับแขก
ครู่ต่อมาบุษบันเดินมาเปิดประตูบ้าน กำลังจะต่อว่าตะวันฉาย
“ไหนบอก…”
บุษบันเห็นเป็นภีร์ภูมิ ก็ตกใจ คาดไม่ถึง
“คุณอีกแล้วเหรอ”
ภีร์ภูมิชักสีหน้า กวนประสาทตามประสา
“นี่คุณ…เห็นผมยังกับเห็นสัตว์ประหลาด ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย”
บุษบันเซ็ง “ไม่ใช่ก็คล้าย เจอกับคุณที่ไรต้องสู้รบกันตลอด มาหาตะวันใช่ไม๊…ตะวันไม่อยู่”
ภีร์ภูมิโพล่งขึ้น “ผมมาหาคุณนั่นแหละ”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่” บุษบันแปลกใจนัก
“ไม่มีอะไรเกินความสามารถผมหรอก!...แล้ววันนี้ผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่า ผมกับคุณเป็นอะไร เกี่ยวข้องอะไรกับตรวนนั่น” ภีร์ภูมิพูดอย่างซีเรียส
“คุณกลับไปเถอะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ”
บุษบันจะเดินหนี ภีร์ภูมิดักไว้
ภีร์ภูมิพูดอย่างจริงจัง “ทำไมคุณถึงไม่ยอมรับว่าคุณเจ็บข้อมือเหมือนผม คุณจะกลัวอะไร ผมอยากรู้ว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเป็นผลจากวิทยาศาสตร์ มีแร่ธาตุบางชนิดในตรวนนั่น หรือเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ เราจะได้ช่วยกันหาวิธีแก้ไง”
บุษบันหันมาหา ตัดสินใจบอก
“ใช่ ฉันเจ็บข้อมือเหมือนคุณ แล้วฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันไม่อยากหาข้อมูลกับคุณ มือใครมือมัน ต่างคนต่างหาฉันไม่อยากมีปัญหา โอเคนะ”
พูดจบบุษบันจะเดินหนีอีก ภีร์ภูมิจับมือบุษบันไว้ บุษบันมองเป็นเชิงบอกให้ปล่อย ภีร์ภูมิปล่อยมือบุษบัน
“ทำไมละ ช่วยกันจะได้รู้เร็วๆ ว่ามันเกิดจากอะไร ไม่ดีเหรอ” ภีร์ภูมิฉงน
“ไม่ดี คุณมีแฟนแล้ว ฉันไม่อยากมีปัญหากับแฟนคุณ เดี๋ยวหาว่าคุณมาจีบฉัน” บุษบันบอก
“ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกันเลย ผมทำด้วยความบริสุทธิใจ ผมอยากรู้ความจริง”
“ฉันบอกว่าไม่ก็คือไม่ คุณกลับไปได้แล้ว”
บุษบันเดินหนี ภีร์ภูมิเดินตามอีก
“คุณ…พูดกันให้รู้เรื่องก่อน”
บุษบันไม่สนใจเดินเบี่ยงตัวไปทางสระว่ายน้ำเพื่อจะเข้าบ้าน ภีร์ภูมิเข้าไปดึงมือไว้
บุษบันบอกเสียงแข็ง “ปล่อย”
“ไม่! จนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง”
บุษบันพยายามดิ้นให้หลุด ภีร์ภูมิไม่ปล่อย ทั้งคู่ยื้อยุดกันไปมา บุษบันโมโหสะบัดมืออกจากภีร์ภูมิเต็มแรง แล้วเสียหลักตกลงไปในสระน้ำ ดังตู้ม!
บุษบันจมน้ำ สีหน้าตื่นตระหนกหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด พยายามตะเกียกตะกายช่วยเหลือตัวเอง
ภีร์ภูมิตกใจกระโดดลงมาช่วย ดึงร่างบุษบันเข้ามาตัวเอง ทั้งคู่จ้องตากัน
วินาทีนั้นภาพจำในอดีตชาติ ผุดเข้ามาในมโนภาพของทั้งสองคนแว้บๆ เป็นตอนที่ทั้งคู่ถูกพิศจองจำด้วยตรวนทองคำจับถ่วงน้ำและสองคนกอดกันกลม
ติดตาม "บ่วงวันวาร" ตอนที่ ๑๐