เสือสมิง ตอนที่ 5
ในอดีต...บาเยงโบอยู่ในห้องบูชา ถอดเสื้อนั่งอยู่ในอ่างน้ำพนมมือนั่งบริกรรมคาถา งะดินเดทำพิธีอาบน้ำเสกมหาว่านพิพัฒน์ให้
งะดินเดเดินอ้อมไปด้านหลังและท่องคาถาตลอดเวลา เขาได้เอาแผ่นทองปิดที่กลางหลังโดยที่บาเยงโบไม่ได้รู้สึกหรือสงสัยอะไร งะดินเดราดน้ำจนทั่วร่างของบาเยงโบ ทันใดนั้นร่างของบาเยงโบก็คล้ำขึ้นแต่ตรงที่ปิดทองกลับเป็นรอยสี่เหลี่ยมสีเนื้อ ซึ่งส่วนนี้จะไม่คงกระพัน...สักครู่ร่างของบาเยงโบก็เกิดเป็นลายเสือ แล้วหายไป พิธีเสร็จลง งะดินเดคลายเวทมนต์ลง บาเยงโบลืมตาหน้าตาผ่องใส
“เสร็จพิธีแล้วพุทธเจ้าข้า”
“ขอบใจมาก...วันพรุ่งข้าจะไปเอาชัยกลับมา”
บางเยงโบลุกขึ้นนุ่งผ้าแล้วเดินออกไปนอกม่าน ชะเวมะรัตกับอิระวดีรอคลุมผ้าให้ บาเยงโบเดินไปรับผ้าคลุมกับชะเวมะรัต แล้วหันไปบอกอิระวดี
“ขอบใจนะพระสนม”
บาเยงโบกับชะเวมะรัตเดินไปด้วยกัน อิระวดีมองตามอย่างชิงชัง งะดินเดเห็นเข้าก็พูดปราม
“อย่าได้คิดแตะลูกสาวข้าแม้ปลายเส้นผม”
อิระวดียิ้มให้อย่างยั่วยวน
“ข้าหาได้กล้ำกลายลูกสาวท่านไม่ พ่อยู่หัวต่างหากที่ข้าข้องใจ”
“ข้องใจด้วยเรื่องอันใด”
“เรื่องผู้สำเร็จราชการ...ข้าคิดว่าไม่มีใครเหมาะสมเท่าท่าน”
อิระวดีพูดทิ้งท้าย แล้วเดินจากไป งะดินเดฟังแล้วคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ราชครูนั่งจิบน้ำชาและคำนวณ ฤกษ์ยามต่างๆอยู่ในบ้าน ทาสชายนำผลไม้มาให้พลางกล่าวอย่างชื่นชม
“ได้ข่าวว่านายท่านจะได้เป็นผู้สำเร็จราชการรึ บ่าวขอแสดงความยินดีด้วยขอรับ”
“อืม...ก็แค่รับใช้สนองเบื้องพระยุคลบาท” ราชครูหัวเราะเบาๆ “ข้าอิ่มแล้วพวกเจ้าเอาไปกินกันเถอะข้าจะเข้านอนแล้ว...เอาของพวกนี้เก็บเข้าที่ให้ด้วย”
ราชครูลุกขึ้นเดินไปที่ห้องไป
งะดินเดนั่งทำมนต์ดำใส่ราชครูอยู่ในห้องบูชา ในมือเขามีหุ่นที่แต่งตัวเหมือนราชครู
“สงสัยว่าท่านราชครูหาได้มีลมหายใจอยู่ถึงรับตำแหน่งในวันพรุ่งนี้เสียแล้วกระมัง”
งะดินเดหัวเราะเบาๆ แล้วเอื้อมเอาตุ๊กตาร่างราชครูไปแขวนไว้บนโต๊ะบูชาปล่อยให้ห้อยไปมา
ราชครูนอนหลับอยู่บนเตียง ทันใดมีลมวูบมาและแรงขึ้น หน้าต่างเปิดดังปัง ราชครูสะดุ้งตื่นแล้วลุกขึ้นมาจะปิดหน้าต่าง แต่เมื่อมายืนที่หน้าต่าง กลับมีลมวูบหนึ่งมากระแทกที่หน้าอก ราชครูสะดุ้งแล้วท่าทีเปลี่ยนไปเป็นนิ่งเหมือนไม่มีชีวิต ดวงตาเป็นสีขาวไม่มีตาดำ เดินทื่อๆมาที่มุมห้องหยิบเอาผ้าเคียนเอวโยงกับขื่อแล้วดึงให้ตึงหลายครั้งเพื่อให้เห็นว่ามันไม่ขาดง่ายๆ มองผ้าหน้าตาจริงจังหนักแน่น
เช้าวันใหม่ ทาสชายมาทำงานบนเรือนตามปกติ เห็นทาสหญิงทำความสะอาดบริเวณนั้นอยู่จึงเข้าไปถาม
“ท่านราชครูยังมิตื่นอีกรึ”
“ยัง...”
“อะไรกันสายป่านนี้แล้ว เดี๋ยวก็เข้าเฝ้าไม่ทันกันพอดี”
ทาสชายบ่นเบาๆ แล้วเดินไปที่ห้องราชครูเคาะประตู
“นายท่าน...นายท่าน”
ไม่มีคำตอบ ทาสชายจึงลองเปิดประตูเข้าไป
“นายท่าน...”
ทาสชายไม่เห็นราชครูอยู่ในห้องก็สงสัย
“นายท่านไปไหนนะ”
วูบหนึ่งเหมือนมีอะไรดลใจ ทาสชายรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ข้างหลังจึงหันไปมอง พบราชครูแขวนคอตายห้อยอยู่กับขื่อ
“นาย...ท่าน...” ทาสชายร้องออกมาอย่างตกใจ
บางเยงโบในชุดออกทัพเต็มยศ ลุกขึ้นจากบัลลังก์ด้วยความตกใจ
“ราชครูน่ะรึ...เป็นไปได้ยังไง”
มหาอำมาตย์กราบทูล
“ท่านราชครูผูกคอตายในห้องนอนจริงๆพระพุทธเจ้าข้า”
บาเยงโบหน้าเครียด
“การศึกครั้งนี้สำคัญนัก เหตุใดจึงมีเรื่องอัปมงคลก่อนข้าออกทัพ”
งะดินเดที่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น กราบทูลเรียบๆ
“คลายพระราชหฤทัยได้พระพุทธเจ้าข้า เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของกรรมเวรและวาสนา ราชครูอาจบุญบารมีไม่ถึงจึงต้องมีอันเป็นไปเยี่ยงนี้”
ทุกคนเชื่อในคำพูดของงะดินเด มหาอำมาตย์หนักใจ
“แล้วเรื่องผู้สำเร็จราชการล่ะพระพุทธเจ้าข้า”
บาเยงโบนิ่งคิด อิระวดีโพล่งขึ้นมา
“หม่อมฉันเห็นว่า ท่านงะดินเดเหมาะสมที่จะเป็นผู้สำเร็จราชการเพคะ”
ทุกคนถึงกับอึ้ง โดยเฉพาะงะดินเดที่คาดไม่ถึงว่าอิระวดีจะเสนอชื่อพ่อของศัตรู
“นั่นสิ...คงหาได้มีใครเหมาะสมเท่าท่านอีกแล้ว ท่านพ่อตา” บาเยงโบเห็นด้วย
ชะเวมะรัตแคลงใจ แต่ไม่พูดอะไร ขณะที่งะดินเดยิ้มอย่างพอใจ
ปัจจุบัน...งะดินเดพูดอย่างอาฆาต
“พวกแกไม่มีทางรอดแน่...ชะเวมะรัตถ้าเจ้าเห็นมันดีกว่าพ่อเหมือนที่แล้วมา ข้าก็จะไม่ไว้ชีวิตเจ้าเหมือนกัน...เจ้ามันไม่เคยจำ ไม่เคยจำจริงๆ ว่ามันทำอะไรไว้กับเจ้าบ้าง...”
งะดินเดใช้เวทมนต์ซัดออกไปที่ป่า
พระธุดงค์ซึ่งปักกลดอยู่ในป่า นั่งสมาธิรับรู้เรื่องราวต่างๆแล้วลืมตาขึ้นพร้อมรำพึง
“เวรกรรมจริงๆ...”
พระธุดงค์หลับตาสวดมนต์ ทันใดนั้นมีแสงสีแดงวิ่งนำอักขระลอยออกไปในอากาศ
กินรีกับภราดรจับมือกันต้านลมพายุ บังเกิดเงาปีศาจปรากฏอยู่ตรงหน้า มันกำลังตรงเข้ามาหมายเอาชีวิตภราดร ทันใดนั้นมียันต์มากั้นเอาไว้ เงาปีศาจหายไป มีเสียงสวดมนต์ก้องไปทั่วป่า กินรีกับภราดรคุกเข่าพนมมือรับคำสวด ทุกอย่างสงบนิ่งลง เสียงพระธุดงค์แว่วมา
“รีบกลับบ้านไปเสียเถอะโยม”
กินรีไม่ยอม
“แต่น้องหนู...”
“กลับไปเถอะ น้องเจ้าจะปลอดภัย”
ภราดรเห็นด้วยชวนกินรีกลับ
“เชื่อท่านเถอะ กลับไปดูแม่หมอดีกว่าไม่รู้ป่านนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ยาย...”
กินรีคิดถึงแม่หมอทันที
เสือทศยังคงนั่งดื่มเหล้ากับเสือชินอยู่ที่กระท่อม
“พี่ทศจะกลับไปลากไอ้หมวดนั่น กับนังแก้วกลับมาจริงๆหรือ”
“จริงสิวะ...ปล่อยมันเอาไว้ทำพ่อเหรอ”
เสือชินแคลงใจ
“แต่ฉันกลัวพ่อเสือจะไม่ปล่อยพี่ไว้น่ะสิ”
“แล้วจะให้พ่อเสือรู้ทำไมวะ”
ประตูกระท่อมถูกผลักออก เสือเรืองเดินเข้ามา
“ว่าไงมั่งไอ้เรือง ได้เรื่องหรือยัง” เสือทศหันไปถาม
“ได้เรื่องแล้วพี่ ฉันรวมพวกมือดีๆปากไม่เปราะเรียบร้อยแล้ว”
เสือทศพอใจ
“ดี...คืนนี้ ข้าจะตามไปจิกหัวพวกมันมา แล้วจะถือโอกาสปล้นที่นั่น เผามันให้เรียบเลยแล้วเอ็งล่ะ ไอ้ชิน จะเอาด้วยไหม”
“ว่าไงว่าตามกัน หัวหน้า”
เสือชินพูดมีความหมายอยากให้เสือทศคุมชุมโจร เสือทศแววตาเป็นประกาย ด้วยความสะใจที่จะได้แก้แค้น
ภราดรกลับมาที่บ้านแม่หมอกับกินรี แม่หมอเข้าไปถามอย่างห่วงใย
“กินรี...หมอ...ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“จ้ะ...พอดีมีพระธุดงค์มาช่วยไว้”
“พะอูล่ะ”
“พระท่านบอกว่าไม่เป็นอะไรครับ แล้วพะอูจะกลับมาเอง”
แม่หมอมองภราดรอย่างสลด...ใจหนึ่งก็รู้ว่าเขาเป็นคนดี อีกใจหนึ่งมันก็ฝังความจริงที่ว่าภราดรคือลางร้าย กินรีเห็นมะค่านอนนิ่งบนบ้านรีบเข้าไปดู
“มะค่า...มะค่าเป็นอะไร”
ภราดรรีบตามไปดู แล้วตรวจอาการเบื้องต้น
“ไม่เห็นมีอาการอะไรเลยหัวใจก็ปกติ แต่ทำไมไม่ได้สติ”
แม่หมอถอนใจ
“มันถูกคุณไสย รับจากข้าไปเต็มๆ”
กินรีตกใจแล้วแปลกใจที่แม่หมอไม่รักษา
“แล้วทำไมยายไม่รักษา”
แม่หมออึกอัก
“ยาย...ยาย...ถูกทำลายอาคมไปหมดแล้ว บรรพชนผู้นั่นล้างอาคมยายไปหมดแล้ว”
“หา...ทำไมทำกันถึงขนาดนี้แล้วมะค่า...”
ภราดรหันมาถาม
“แล้วเจ้าแม่หน้าทองล่ะครับ”
“ต้องรอท่านประทับร่างในวันเพ็ญหน้า ข้ากลัวว่าชีวิตมันจะอยู่ไม่ถึงน่ะสิ”
ทั้งหมดพากันเครียด
ภราดรขับรถมาตามถนนมุ่งหน้ากลับอนามัย ภราดรนึกถึงสิ่งที่แม่หมออธิบายวิธีรักษาให้ฟัง...
“มันต้องใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์ จากทางเหนือเอามาทำพิธี ผู้ที่จะตักได้ต้องเป็นหญิงพรหมจรรย์”
“น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ยายว่ามันอยู่ที่ไหนและมันเป็นยังไง” กินรีถามอย่างร้อนใจ
“มันอยู่ทางเหนือ เป็นน้ำพุร้อน”
ภราดรนึกออกทันที
“บ้านน้ำพุ ผมรู้จักครับ ผมเคยไปมาแล้ว ผมจะพาไปครับ”
“ข้าคิดว่ามันคงไม่ได้เอามาง่ายๆหรอก ข้าเชื่อว่ามันคงเป็นกับดักที่จะให้เจ้าไปติด”
ภราดรไม่กลัว
“จะยังไงก็แล้วแต่ ผมก็จะไปเอาน้ำนั่นมาให้ได้ ผมจะกลับไปเตรียม ข้าวของที่จำเป็นแล้วจะกลับมารับนะครับ”
กินรีมองภราดรอย่างชื่นชม
ภราดรขับรถอ้อมไปข้างหลังอนามัยอย่างเงียบๆ แล้วค่อยๆเดิน ไปที่อนามัย เขาเห็นประเดิมอยู่ไกลๆจึงค่อยๆย่องแล้วเรียกเบาๆ
“ประเดิม...ประเดิม”
ประเดิมเห็นภราดรดีใจจึงพูดเสียดัง
“หมอ...กลับมาแล้วหรือครับ”
ภราดรหน้าเหยแล้วเอามือจุ๊ปาก
“เบาๆสิ...ผมไม่อยากให้ใครรู้”
“ครับ...ครับ...ขอโทษครับ คุณหมอมีอะไรหรือครับ”
“ฟังนะ ไปเก็บข้าวของจำเป็น เราจะไปบ้านน้ำพุกัน ผมไม่อยากให้ระรินรู้”
ประเดิมหันซ้ายหันขวาแล้วเข้าใจ เขารีบเดินขึ้นไปบนอนามัย ภราดรโล่งอกแล้วหันกลับจะไปที่รถแล้วต้องตกใจ
เมื่อระรินยืนอยู่ตรงหน้าเขาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ระริน”
“ไปบ้านน้ำพุกันหรือคะ”
ระรินยิ้มอย่างเป็นต่อ เธอต้องตามไปด้วยอยู่แล้ว ภราดรจำยอมยิ้มแห้งๆ
สมรักษ์นั่งพักผ่อนอยู่ใต้ถุนบ้านพัก จ่าชิตหิ้วเหล้าเดินเซเข้ามา
“อ้าวจ่า...มา...มา...นั่งก่อนสิ” สมรักษ์ทักทาย
จ่าชิตเดินมาที่โต๊ะแล้วเอาเหล้าตั้งพูดแบบไม่ได้มองหน้า สนใจอยู่ที่ขวดเหล้า
“ขอแก้วหน่อยสิหมวด”
สมรักษ์ร้องเรียกแก้ว
“แก้ว...เอาแก้วมาใบซิ”
จ่าชิตชวน
“อ้าว...หมวดไม่สนบ้างหรือ ดื่มด้วยกันสิจะได้ถอนไข้”
“ไม่ล่ะ...เชิญจ่าเถอะ”
แก้วเอาแก้วเหล้ามาให้แล้วเดินเลี่ยงไปดูอยู่ห่างๆ จ่าชิตรินเหล้าพลางพูดไปเรื่อยๆ
“เป็นยังไงบ้างหมวด”
“ผมควรจะถามจ่ามากกว่า เห็นว่าไปตามผมแล้วถูกเสือทศจับ”
“พอดีดวงผมไม่ถึงฆาต มีโรบินฮู๊ดมาช่วยไว้”
“เสือใจ...”
จ่าชิตมองสมรักษ์ด้วยหางตาแล้วยิ้มเล็กๆ
“หมวดก็รู้แล้วนี่”
“ทำไมเสือใจถึงปล่อยจ่า”
“สงสัยมันคงกลัวเปลืองลูกปืนมั้ง...” จ่าชิตหัวเราะ “มันปล่อยมาก็ดีแล้วจะไปรื้อฟื้นทำไม...ผมบอกหมวดแล้วไงว่าเสือใจมันไม่ได้ระยำอย่างที่คิด”
สมรักษ์พอเข้าใจแต่ต้องรักษาหน้าที่
“แต่คดีที่เสือใจก่อไว้ก็ต้องรับโทษ โดยเฉพาะคดีกับเสี่ยรงค์...เสี่ยรงค์แกแค้นมาก แกคงกัดไม่ปล่อยหรอก”
“หมวดเอาเวลามาล่าเสือสมิงดีกว่า ไอ้เสือใจมันไม่ปล่อยให้หมวดเอาเข้าคุกง่ายๆหรอก”
สมรักษ์สงสัย
“รู้สึกว่าจ่าจะรู้จักเสือใจดีจังนะ”
“ก็มากกว่าที่หมวดคิดก็แล้วกัน...เออ...ว่ากันว่าลูกสาวเสือใจสวยเยิ้มด้วย...ผมไปล่ะ”
สมรักษ์ยิ้มๆเมื่อจ่าชิตพูดถึงจงใจ แล้วเฉไฉไป
“จ่านึกยังไงถึงมาเยี่ยมผม”
“ปีหน้าผมอยากได้สองขั้น...”
จ่าชิตพูดแค่นี้แล้วเดินจากไปพร้อมขวดเหล้า สมรักษ์มองตามแบบไม่เข้าใจ แก้วได้ยินทุกคำสนทนา แล้วรำพึงอย่างไม่ไว้ใจสมรักษ์
“ที่แท้ก็คิดจะจับพ่อเสืออยู่ดี”
ค่ำนั้น...แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันส่องวับแวมอยู่ในความมืดมิดของราตรี ทำให้บ้านของแม่หมอซึ่งยืนตะคุ่มอยู่ในความมืดท้ายสุดของหมู่บ้าน ดูวังเวงน่ากลัว
กินรียืนทอดสายตามองฝ่ายความมืดออกไปอย่างไร้จุดหมาย แสงจันทร์ที่ทอแสงลงมาทอดทับเงาร่างของใครคนหนึ่ง ค่อยๆเคลื่อนมาจากทางด้านหลังกินรีอย่างช้าๆ กินรีหันขวับกลับไป เห็นแม่หมอเดินเข้ามา
“รอหมอภราดรหรือ”
“จ๊ะยาย มะค่าเป็นยังไงบ้าง”
“ยังทรงอยู่...ยายล่ะห่วงมันจริงๆ มันไม่น่ามารับเคราะห์แทนยายเลย”
“ชายแก่คนนั้นไม่น่าทำแบบนี้เลย”
กินรีนึกถึงงะดินเด
“เขาคือใครหรือยาย”
“เขาคือบรรพบุรุษของเรา”
“บรรพบุรุษอะไรของเราหรือยาย”
“ท่านเป็นคนพาพวกเราหนีมาจากเมืองหงสาวดี มาตั้งหลักอยู่ที่นี่ เมื่อ 800 ปีมาแล้ว”
กินรีชะงักอึ้ง
“แปดร้อยปี...นานป่านนี้ แล้วทำไมลุงคนนั้น ถึงยังมีชีวิตอยู่ละจ๊ะ”
“ที่เราเห็นน่ะ ไม่ใช่คนหรอก แต่เป็นดวงวิญญาณของท่าน ซึ่งถูกกักเอาไว้ที่ถ้ำแห่งนั้น มานานหลายร้อยปีมาแล้ว”
กินรียิ่งแปลกใจ
“วิญญาณหรือ...ทำไมดูเหมือนคนมีชีวิตอยู่”
“เพราะเราสื่อสารกับวิญญาณได้ ก็เลยแลเห็นท่าน คนธรรมดาทั่วไปจะมองไม่เห็นหรอก”
“แล้วทำไมพระองค์นั้นท่านมองเห็นละจ๊ะ”
แม่หมอนิ่งไปชั่วอึดใจหนึ่ง เหมือนมีอะไรอยู่ในใจ
“เพราะท่านเป็นพระ สามารถติดต่อกับวิญญาณได้อยู่แล้ว”
กินรีมองยายอย่างแปลกใจ คล้ายกับจะค้นหาอะไรบางอย่าง
“ยาย...”
แม่หมอหันมามอง
“หือ...ว่าไง”
“หมายความว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ยายรู้เรื่องทั้งหมดนี้ใช่มั้ยจ๊ะ”
แม่หมอพยักหน้า พลางถอนหายใจยาวๆ
“นับตั้งแต่หมู่บ้านเราบูชาผีฟ้า ก็เพื่อที่ว่าจะอุทิศส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษของเราทุกคนที่ล่วงลับไปนานแล้ว เรื่องราวสมัยก่อน ยายไม่รู้หรอกว่าเป็นอย่างไร รู้แต่ว่า ลูกหลานเรา รุ่นหนึ่ง จะต้องมีคนหนึ่งที่ต้องเสียสละตนเอง มาเป็นร่างทรง เหมือนหนูนี่แหละ”
“แล้วทำไมท่านใจร้ายจัง...”
กินรีพูดไปตามความรู้สึก แม่หมอถอนใจอย่างเหนื่อยใจ
ในความมืด...กลุ่มเสือทศแต่งกายด้วยชุดรัดกุมสีดำ แต่ละคนทาสีดำบนใบหน้า และพกพาอาวุธทั้งปืนยาวและปืนสั้นพร้อมกระสุนเต็มอัตรา เสือทศกระโดดขึ้นม้า บรรดาลูกสมุนทุกคนทำตามอย่างพร้อมเพรียงกัน เสือทศชักม้า ให้เดินวนไปรอบๆทุกคน ขณะที่สั่งเสียงเข้ม เด็ดขาด
“จำเอาไว้นะ ว่าเรื่องที่เราจะทำในวันนี้ จะให้ใครรู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ถ้าใครปากโป้ง ข้านี่แหละ ที่จะยิงมันเป็นคนแรก เข้าใจไหม”
ทุกคนรับคำ
“ครับพี่”
เสือทศพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนที่จะกระตุกบังเหียนม้า ให้วิ่งตะบึงนำหน้าออกมาไป โดยมีสมุนขี่ม้า ตามหลังกันไปท่ามกลางความมืดมิดของราตรี
ประเดิมขับรถมาตามถนนมุ่งสู่บ้านสาง ภราดรนั่งข้างๆ ด้านหลังระรินนั่งมาด้วย
“นี่หมอมีธุระด่วนขนาดต้องไปคืนนี้เลยหรือคะ” ระรินสงสัย
“ครับ...ประเดิมแวะบ้านสางก่อนนะ”
“ได้ครับหมอ”
ระรินยิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีก
“บ้านสาง...ไปทำไมคะ”
“อ๋อ...ต้องไปรับกินรีก่อนครับ”
ระรินไม่พอใจทันที
“นังแม่มดนั่นหรือ...รับไปทำไม”
ภราดรไม่พอใจที่ระรินเรียกกินรีอย่างนั้น
“เขาชื่อกินรีนะคุณระริน”
ระรินหน้าเจื่อนไป
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ...รับไปด้วยก็ดีนะคะจะได้มีเพื่อน...อบอุ่นดีค่ะ”
ระรินหลบหน้าแล้วทำหน้าแหวะ ในใจคิดริษยา ประเดิมมองผ่านกระจกมองหลังแล้วอมยิ้ม
กินรีมองยายที่นั่งอยู่ใกล้ๆอย่างแปลกใจ
“ยายเคยเป็นร่างทรงมาก่อนหรือเปล่า”
“ยายไม่เคยเป็นหรอก”
“แล้วทำไมต้องเป็นหนูละจ๊ะยาย”
“เพราะแม่ของหนูเคยเป็นมาก่อนนะสิ”
กินรีแปลกใจ
“แม่หนูนะเหรอจ๊ะ”
แม่หมอพยักหน้า
“แล้วทำไมยายไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน แม่หนูเป็นยังไง”
“ยายไม่อยากพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา จนเมื่อคืนนี้ ที่เราได้เจออะไรต่างๆด้วยกัน ยายรู้ ว่าไม่ควรที่จะปิดบังหนู แต่ว่าเอาไว้สักวันหนึ่ง ยายจะเล่าให้หนูฟังทั้งหมด”
กินรีมองยาย สายตาวิงวอน ขอร้อง แม่หมอมองหลานสาวอย่างเวทนา
“สักวันหนึ่ง ยายสัญญา…”
งะดินเดเดินไปมาอยู่ในถ้ำ พะอูรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา
“ฟื้นแล้วหรือชะเวโบ”
พะอูพยายามจะพูดแต่ออกเสียงไม่ได้
“อื้อ...อ้า...”
“ไม่ต้องแปลกใจหรอก...ได้เวลาที่เจ้าต้องไปแล้ว...ไปได้...”
งะดินเดใช้เวทมนต์ซัดใส่พะอูร่างกลายเป็นเงาลอยละลิ่วไป งะดินเดยิ้มพึงใจ เพราะส่งพะอูไปทำอะไรบางอย่าง
เสือทศกับเสือเรือง นำสมุนวิ่งหลบเหยาะๆไปตามต้นไม้และมุมมืด ผ่านบ้านของชาวบ้านไปยังเรือนของแม่หมอ
“บ้านของยายแก่หมอผีอยู่ท้ายหมู่บ้านโน่น”
“ครับพี่ พี่คิดว่านังแก้วกับไอ้หมวดจะอยู่ที่นี่หรือ”
“น่าจะอยู่...จำเอาไว้นะ ต้องลากได้สองคนนั่นลงมาให้ได้ ใครขวาง เป่าให้ดิ้น”
ทุกคนรับรู้แล้วค่อยๆเคลื่อนไป...กระท่อมของชาวบ้านหลังหนึ่ง ไฟตะเกียงสว่างขึ้น เสือทศและสมุนโจรหลบวูบเข้าแอบที่โคนไม้ ประตูกระท่อมเปิดออก ชาวบ้านคนหนึ่ง หิ้วตะเกียงเดินออกมา เพื่อออกไปส้วม แสงสว่างจากตะเกียงสาดไปกระทบใบหน้าของสมุนโจรคนหนึ่ง หมอนั่นตกใจผงะหลบวูบ ชาวบ้านซึ่งยืนตกตะลึงเช่นกัน
“เฮ้ย...ใครน่ะ”
แทนคำตอบ ประกายไฟจากปากกระบอกปืนสว่างแว่บขึ้นจากโคนไม้ตรงนั้น เปรี้ยง...ตะเกียงในมือชาวบ้านดับวูบลง พร้อมกับร่างนั้นทรุดฮวบลงไป
“ช่วยด้วย ข้าถูกยิง!” ชาวบ้านร้องอย่างตกใจ
บ้านของชาวบ้านในหมู่บ้านทุกเรือนจุดตะเกียงสว่างจ้าขึ้น เสือทศกับสมุนทุกคนโผล่ออกมาจากที่ซ่อน ปืนในมือจังก้า ยิงขู่ขึ้นฟ้าอย่างกำแหง
“เปรี้ยง ๆๆๆๆ”
ไฟที่สว่างจ้าขึ้นในเรือนของชาวบ้านดับวูบลงด้วยความตกใจ เสือทศตะโกนลั่น
“อ้ายเสือ ปล้นเว้ย ใครขวางยิงมันเลย!”
ทุกคนพุ่งออกมาจากที่โคนไม้
กินรียืนอยู่ที่หน้าประตูซึ่งเปิดแง้มอยู่ แม่หมอก้าวเข้ามาหา
“เกิดอะไรขึ้นหรือลูก”
“ไม่รู้เหมือนกันจ๊ะยาย เสียงปืนดังลั่นไปหมด”
“ระวังหน่อย อาจจะพวกโจรกะเหรี่ยงมันเข้ามาปล้นก็ได้”
กินรีพยักหน้า ค่อยๆแง้มประตูเปิดออกไปดู เสือเรืองกับสมุนโจรคนหนึ่งวิ่งขึ้นมาบนนอกชาน กินรีกับแม่หมอ ตกใจ
“ยาย!”
แม่หมอ กอดกินรีเอาไว้ รั้งกลับเข้าไปในห้อง เสือเรืองกับสมุนโจรวิ่งเข้ามากระชากประตูเอาไว้
“เสือทางนี้เว้ย!”
สมุนต่างวิ่งกรูกันเข้ามา เสือเรืองนำเข้าไปในห้อง
“อย่าทำอะไรฉันนะ” กินรีตกใจ
“ไอ้หมวดนั่นกับอีกนังแก้วอยู่ไหน”
“พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่”
เสือเรืองตบเข้าที่แม่หมอจนกระเด็นไป กินรีวิ่งเข้าไปประคอง
“โกหก...เฮ้ย...ค้น”
เสือเรืองจะลากกินรีไปหลังบ้าน ทันใดสมุนคนหนึ่งที่วิ่งเข้าไปในห้องบูชา แล้วกระเด็นออกมาเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดเหมือนโดนเสือตบ
“อ๊าก...”
ทุกคนตกใจ เสือเรืองหน้าตื่น
“เฮ้ย เอ็งโดนอะไรวะ”
เสือโคร่งตัวใหญ่เดินอกมาจากในห้องส่งเสียงคำรามลั่น แม่หมอตะลึง เสือเรืองหน้าซีดแล้วสั่งสมุน
“ยิง...ยิงมัน...”
เสือเรืองกับสมุนกระหน่ำยิงไปที่เสือ
เสือทศได้ยินเสียงปืน ขณะปล้นบ้านหลังหนึ่งอยู่
“เฮ้ย...มันยิงอะไรกันขนาดนั้นวะ ไอ้ชินไปดูมันซิ”
เสือทศกับลูกน้องรีบไปที่บ้านแม่หมอ
ชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นมากับจ่อย ที่บ้านผู้ใหญ่สน
“ผู้ใหญ่...ผู้ใหญ่...แย่แล้วพวกเสือบุกมาปล้น”
ผู้ใหญ่สนวิ่งออกมาพร้อมปืน
“อะไรวะไอ้จ่อย ใครเป็นอะไร”
“พวกเสือบุกปล้นหมู่บ้านเราครับ ผู้ใหญ่”
“ไป...ไปเร็ว...ส่งใครไปบอกตำรวจด้วย...ไป...ไป...”
ทั้งหมดรีบไปตามเสียงปืน
อ่านต่อเวลา 17.00น.
เสือสมิง ตอนที่ 5 (ต่อ)
เสือเรืองกับลูกน้องยังกระหน่ำยิงเสือ ควันคลุ้ง
“เฮ้ยหยุดยิง...”
ทุกคนหยุดยิงตามคำสั่งของเสือเรือง ทุกอย่างเงียบ แม่หมอใจระทึกสายตาจ้องไปที่กลุ่มควัน
ควันค่อยๆจางลงทุกคนจ้องมอง....ทันใดนั้นเสือโคร่งพุ่งวาบเข้ามาปะทะกับร่างของสมุนโจร จนกระเด็นออกไป สมุนโจรเคราะห์ร้ายร้องลั่น ขณะที่ถูกเสือโคร่งกัดขย้ำอย่างไม่ปราณี จนร่างแหลกเละ
เสือทศกำลังจะขึ้นบันไดมา ถอยกรูดๆ ไปข้างหลังอย่างตกใจ เสือโคร่งปล่อยร่างของสมุนโจรลง แล้วหันมาทางเสือเรืองที่ติดอยู่บนบ้านอย่างช้าๆ เสือเรืองตกใจจนตาเหลือก ไม่รู้จะขยับไปทางไหนดี ปืนในมือของมันส่ายไปมา
“เฮ้ยๆๆ...อย่านะเว้ย เฮ้ย!”
เสือโคร่ง แยกเขี้ยวอย่างดุร้ายก่อนที่จะกระโจนเข้าใส่ เสือเรืองหลบแล้วผลักสมุนคนหนึ่งให้รับเขี้ยวเสือแทน ตัวเองแล้วกลิ้งหลบไป
“อ๊าก...”
สมุนเคราะห์ร้ายยิงปืนสวนออกไปก่อนที่จะล้มลง เสือโคร่งกัดขย้ำที่ร่างของสมุนอย่างเมามันจนส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส แม่หมอมองอย่างสยดสยอง เสือทศกับสมุนหายตะลึง ระดมปืนยิงเข้าใส่ เสือโคร่งกัดกระชากร่างของสมุนขึ้นมา แล้วสะบัดเหวี่ยงลงไปยังกลุ่มของเสือทศที่ระดมยิงใส่ ร่างของสมุนลอยละลิ่วลงไป ปะทะกับสมุนโจรคนหนึ่งจนล้มตึงลงกับพื้น กลุ่มเสือทศแตกฮือด้วยความตกใจ เสือโคร่งหันมา ส่งเสียงคำรามก้องอย่างดุร้าย ก่อนที่จะกระโจนเข้าใส่ สมุนโจรคนหนึ่งถูกเสือกระโดดคร่อมไว้ กัดขย้ำ ส่วนที่เหลือรวมทั้งเสือทศเผ่นหนีแตกกระเจิงเข้าป่าหายไปในความมืด สักครู่เสือโคร่งก็วิ่งหายวับไปในความมืด
ในหมู่บ้านตกอยู่ในความสงบ เสียงปืน เสียงคนกรีดร้อง เสียงเสือคำรามเงียบลงไปแล้ว บ้านแต่ละหลังของชาวบ้านที่ตะคุ่มอยู่ในความมืด ค่อยๆสว่างขึ้นจากแสงตะเกียงที่ถูกจุดขึ้นมา บรรดาพวกผู้ชาย จุดไต้ ถือตะเกียงเดินออกมาจากบ้านของตนเองมารวมกันที่หน้าลานบ้านของแม่หมอ ผู้ใหญ่สน เป็นคนเดินนำเข้ามา แสงสว่างจากตะเกียงและไต้ ทำให้มองเห็นร่างของสมุนโจรนอนแหลกยับจมกองเลือดอยู่ ใกล้กับร่างของสมุนโจรอีกคนหนึ่งที่นอนตายคลุกฝุ่นอยู่หน้าลานบ้าน ทุกคนมองภาพนั้นอย่างสยอง ก่อนที่จะเดินอ้อมศพไปที่หน้านอกชานซึ่งมีศพสมุนโจรอีกคนนอนพาดอยู่
“แม่หมอ...นี่พวกฉันนะ ผู้ใหญ่สน แม่หมอเป็นยังไงบ้าง”
ประตูเรือนเปิดออกมา แม่หมอก้าวออกมาช้าๆ นำหน้ากินรีซึ่งพอมองเห็นศพของสมุนโจรที่นอนตายอยู่บนนอกชานก็ผงะ หลบไปอยู่ข้างหลังยาย
“ไม่เป็นไร ผู้ใหญ่ ฉันกะหลานปลอดภัยดี”
แม่หมอพูดแล้วก็หันกลับไปมองดูข้างหลัง เห็นมีเพียงแค่กินรี แต่ทันใดนั้น พะอูเดินเซเข้ามามีเลือดเต็มตัว
แม่หมอตกใจ
“พะอู”
กินรีหันไปมอง
“พะอู...พะอูเป็นอะไร”
พะอูทรุดลงนั่งกอดเข่าตัวสั่นอย่างหวาดกลัวอยู่ที่มุมห้อง กินรีปราดเข้าไปกอดน้องเอาไว้ด้วยความเวทนา
“ไม่ต้องกลัวพะอู พี่อยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว”
พะอูกอดกินรีแน่นด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าที่อัปลักษณ์ของเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ลมหายใจของพะอูดังแรงมากขณะที่ร่ำไห้ออกมา ผู้ใหญ่สนคาดเดา
“อย่าเพิ่งไปซักอะไรมันเลย มันคงเจอเสือแล้วตกใจเหมือนไอ้เสนลูกข้า”
ชาวบ้านกำลังยืนจับกลุ่มกันที่หน้าลานบ้าน กินรีกับแม่หมอนั่งอยู่บนนอกชาน ขณะที่ผู้ใหญ่สนกับจ่าชิตและตำรวจช่วยกันตรวจดุสถานที่เกิดเหตุ รถยนต์ของหมอภราดรแล่นเข้ามาจอด ภราดรก้าวลงจากรถพร้อมกับประเดิมและระริน สายตาทุกคู่จับต้องมาที่ภราดรพร้อมกัน กินรียิ้มอย่างดีใจ ในขณะที่แม่หมอหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อเห็นระริน
“นังนี่มาด้วยทำไม”
“ช่างเขาเถอะยาย”
แม่หมอมองระรินที่เดินเข้ามาในลานบ้านอย่างไม่พอใจนัก ภราดรเงยหน้าขึ้นมองไปยังบนนอกชาน ยกมือไหว้แม่หมอ
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
“มีพวกเสือมาปล้นค่ะ แต่เอ่อ...พอดีก็มีเสือบุกเข้ามาด้วย”
ระรินแสดงท่าทีตกใจจนออกนอกหน้า เธอเกาะแขนภราดรแน่น
“ตายจริง...หมอคะ เรากลับกันดีกว่าค่ะ ทั้งเสือทั้งโจรอยู่ไม่ได้แล้วมั้งคะหมู่บ้านนี้”
ภราดรมองระรินด้วยสายตารำคาญ
“งั้นผมขอดูศพหน่อย”
จ่าชิตหันมาเรียก
“ทางนี้เลยครับคุณหมอ งานหนักเลยละครับวันนี้”
ภราดรหันไปยกมือไหว้ทักทายผู้ใหญ่สนกับจ่าชิต ก่อนที่จะเดินเข้าไปหา เขามองดูร่างของสมุนโจรซึ่งนอนร่างแหลกยับคลุกฝุ่นจมกองเลือดอยู่ แล้วส่ายหน้า
“ไปทำอีท่าไหนกัน ถึงได้โดนเสือฟัดจมเขี้ยวแบบนี้”
จ่าชิตหันมาบอก
“เห็นเจ้าของบ้านเขาบอกว่า พวกมันกำลังจะเข้าปล้นบ้าน แต่พอดีมีเสือโคร่งผ่านมาทางนี้ ก็เลยเล่นงานพวกมันซะตายไปสามคน”
ภราดรหันไปมองบนนอกชาน กินรีมองมายังเขาอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มยิ้มให้
“แล้วคนบนบ้านมีใครบาดเจ็บมั้ยครับ”
“ไม่มีใครเป็นอะไรหรอก” ผู้ใหญ่สนเบือนหน้าไปมองศพ "มีแต่ไอ้พวกนี้แหละ ปล้นไม่ดูฤกษ์ดูยาม ตายไปสามคน”
ภราดรพยักหน้า กินรีเดินลงมาหา
“คุณไม่เป็นอะไรนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ พอดีตอนนั้นอยู่บนเรือนก็เลยรอดไปได้”
ภราดรเหลือบไปเห็นพะอูที่ยืนอยู่หลังแม่หมอ
“พะอูกลับมาแล้วนี่...”
ทั้งสองยิ้มให้กัน จ่าชิตร้องบอก
“อ้าว...หมอ จะรอให้ศพเน่าก่อนหรือไง”
ภราดรกับกินรีรู้สึกตัว ทั้งคู่หัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนที่จะกุลีกุจอช่วยกัน พลิกศพเพื่อชันสูตรบาดแผล แม่หมอยืนมองมาที่ทั้งสองคนอย่างหนักใจ
ภราดร ประเดิม และระรินตามจ่าชิตมาที่บ้านผู้ใหญ่สน หลังจากที่ทำงานเสร็จ
“เฮ้อ...กว่าจะเสร็จ” จ่าชิตบ่นอย่างเหนื่อยๆ
ผู้ใหญ่สนยิ้มให้ภราดร
“ขอบคุณหมอมากนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ...คุณระรินล่ะประเดิม”
ประเดิมชี้ไปที่มุมห้อง ระรินนอนหลับไปแล้ว
“เหนื่อยหน่อยนะครับคุณหมอ ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ไม่ได้พักกันเลย” จ่าชิตบอก
“ไม่เป็นไรหรอกครับจ่า มันหน้าที่ของผมอยู่แล้ว เพียงแค่ผมไม่คิดว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นมาบ่อยขนาดนี้”
ผู้ใหญ่สนหน้าเครียด
“แต่ก่อนก็ไม่มีนะครับคุณหมอ ที่นี่เงียบสงบมาก ไม่เคยมีเรื่องราวอะไร ทุกคนที่นี่อยู่กันอย่างมีความสุข”
ภราดรนิ่งฟังผู้ใหญ่สนเล่าอย่างแปลกใจ
“จริงๆนะครับ เพิ่งจะไม่กี่วันมานี่แหละ ที่เกิดเรื่องร้ายๆขึ้น จนผมเองก็แปลกใจเหมือนกันว่ามันเกิดอาถรรพณ์อะไรขึ้นหรือเปล่า”
ภราดรนึกถึงยอดเขาที่เขาไปกับกินรี
“อาถรรพ์หรือครับ...เอ่อ...แล้วบนยอดเขานั้นมีอะไรหรือครับ”
ผู้ใหญ่สนมองไปยังบนยอดเขาที่แลเห็นสูงตระหง่านอยู่หลังหมู่บ้านท่ามกลางป่าไม้ที่หนาทึบ
“บนนั้น...บนยอดเขานั่น มันมีอะไรบางอย่างอยู่บนนั้น มันเป็นเรื่องเล่า นานมาแล้ว ตั้งแต่สมัยผมยังเด็ก คนเฒ่าคนแก่ก็เล่าให้ฟังสืบต่อกันมาเป็นรุ่น”
ภราดรมองตามที่ผู้ใหญ่สนบอกแล้วหันกลับมา
“เป็นตำนานหรือครับ”
“ก็ไม่เชิงนะครับ มันเป็นเรื่องเล่าที่เขาว่าเป็นเรื่องจริง ที่มันเกี่ยวข้องกับหมู่บ้านเราโดยเฉพาะ ประเดิมเองก็คงจะพอรู้เหมือนกัน”
ภราดรหันไปมองประเดิม ฝ่ายนั้นพยักหน้ายอมรับ
“ไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้างเลย”
ประเดิมยิ้มบางๆ
“ก็อย่างที่ผมเคยเล่าให้หมอฟังบ้างแล้วนั่นแหละครับ มันแค่เรื่องเล่า...”
“แต่เป็นเรื่องเล่าที่น่ากลัว” จ่าชิตพูดขึ้นอย่างเครียดๆ
ภราดรมองดูคนทั้งสองไปมาอย่างสงสัย
“ผม...จะมีโอกาสได้รู้กับเขาบ้างมั้ยเนี่ย”
จ่าชิตพยักพเยิดไปทางผู้ใหญ่สน
“เล่าให้คุณหมอฟังเถอะผู้ใหญ่ ยังไงเรื่องนี้คุณหมอก็ต้องได้ยินจากที่อื่นอยู่ดี”
ผู้ใหญ่สนพยักหน้ารับ
“มันเป็นเรื่องเล่า เกี่ยวกับความเป็นมาของหมู่บ้านเราครับ...ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นมอญกับไทยใหญ่ที่อพยพกันเข้ามาอาศัยบนแผ่นดินไทยนานกว่าพันปีมาแล้ว จะมีพวกพม่าบ้าง ก็บางส่วนไม่มากนัก...บนภูเขานั่น ว่ากันว่า เป็นที่อยู่อาศัยของผีฟ้าซึ่งเป็นวิญญาณบรรพบุรุษของพวกเรา ที่อพยพมาจากเมืองตะโก้งเมื่อนานมาแล้ว ท่านรอดตายมาจากการตามล่าของพวกพม่า จนกระทั่งมาถึงที่หมู่บ้านแห่งนี้ และสร้างมันขึ้นมาเป็นที่อยู่อาศัย สร้างครอบครัวขึ้นมาใหม่ มีลูก มีหลานมากมายในรุ่นต่อๆมา ว่ากันว่า ก่อนจะจากไป ท่านผู้เฒ่าได้ทิ้งคำสาปเอาไว้ แล้วเดินหายขึ้นไปบนยอดเขานั้นและไม่ได้กลับลงมาอีกเลย...โดยท่านผู้เฒ่าได้สาปแช่งไว้ว่า เมื่อวิญญาณแค้นสามดวงในอดีตภพ ได้กลับมาเจอกัน พวกมันจะต้องตายอย่างทารุณเหมือนที่มันทำเอาไว้กับลูกของท่าน”
ภราดรแปลกใจ
“มีคำสาปด้วยหรือ...ฟังดูน่ากลัวจัง”
“คุณหมออาจจะไม่เชื่อ ผมเองในตอนแรกก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน เพราะมันเป็นเรื่องเล่ามานานกว่าพันปีแล้ว มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้”
ผู้ใหญ่สนบอก ประเดิมแทรกเข้ามา
“คุณหมอรู้มั้ยครับ ว่าทำไมหมู่บ้านนี้ จึงมีพิธีกินบาปขึ้นมา”
ภราดรส่ายหน้า
“ก็เพราะว่าบรรพบุรุษของเรารุ่นต่อมา พยายามที่จะแก้คำสาปของผีฟ้า โดยให้หญิงสาวบริสุทธิ์ที่เป็นทายาทโดยตรงของตระกูล แบกรับความทรมานด้วยการกลืนกินบาป รักษาไข้ให้กับคนอื่น เพื่อลบล้างอาถรรพณ์ของคำสาปแช่งไม่ให้เกิดขึ้นมา”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ยิ่งไม่ต้องกลัวอะไรอีกไม่ใช่หรือ”
“พวกเขาคงจะไม่ต้องกลัวอะไรแน่ๆครับคุณหมอ ถ้าหากว่าในคืนนั้น คุณหมอไม่ไปทำหน้ากากผีฟ้าของพวกเขาตกลงมาจากหน้าคนทรงอย่างบังเอิญ” ประเดิมบอก
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับคำสาปนั่น”
ผู้ใหญ่สนเล่าต่อ...
“เพราะมันเป็นการยืนยัน ถึงการกลับมาพบกันของวิญญาณสามดวง นะสิครับ”
ภราดรชะงัก
“หมายความว่าไง”
ผู้ใหญ่สนหน้าขรึมลง
“หมายความว่า ถ้าหน้ากากผีฟ้าตกลงมาจากหน้าคนทรงเมื่อไหร่ ก็หมายถึงว่า ดวงวิญญาณสามดวง ได้กลับมาพบกันแล้วในชาตินี้”
ภราดรนึกไม่ถึง ประเดิมยืนยัน...
“สิ่งที่เกิดขึ้นคืนนั้น มันเป็นสัญญาณบอกเหตุอาเพศที่ชาวบ้านที่นี่เขากลัวกันครับ คุณหมอ”
ขณะเดียวกันนั้นเสียงของเสนดังขึ้น
“ต้องตาย...ทุกคนต้องตาย...!”
ทุกคนหันไปยังเสนที่นั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน แต่ในตอนนี้กลับลุกขึ้นยืนชี้นิ้วมายังภราดร พร้อมกับส่งเสียงร้องติดต่อกันเหมือนคนไม่รู้สึกตัว
“เสือมาแล้ว...ทุกคนต้องตาย...”
เช้าวันใหม่ เมื่อกลับไปที่บ้านในชุมโจร เสือทศเดินพล่านไปด้วยความโมโห
“มันอะไรกันนักกันหนาวะ...โธ่เว้ย...”
ลูกน้องต่างก็ยังอยู่ในอาการหวาดกลัว
“ฉัน...ฉันก็ไม่รู้แต่มันน่ากลัวมาก” เสือเรืองบอก
“แล้วเราจะทำยังไงดีละพี่ทศ พวกเราตายไปแล้วสามคน ถ้ามีคนถามถึง พวกมันเราจะตอบว่าไง” อีกคนถาม
“ข้ากลัวว่าศพพวกมันที่เราทิ้งเอาไว้ จะทำให้พวกเราเดือดร้อนนะสิ”
ลูกน้องกังวล เสือทศยิ่งโมโห
“แล้วพวกเอ็งจะให้ข้าทำยังไงวะ แบกศพพวกมันกลับมาเหรอ เสือมันไล่ขบหัวเอาขนาดนั้นน่ะ”
สมุนนึกถึงเสือแล้วหวาดหวั่น
“เสือผีหรือเปล่าวะ ยิงมันไม่รู้กี่นัด ยังเอามันไม่อยู่เลย...”
ทุกคนหันไปมองสมุนคนนั้นพร้อมกัน เสือทศคิดๆ
“เสือผีเหรอ...”
สมุนอีกคนเห็นด้วย
“ฉันก็ว่ายังงั้นนะพี่ทศ เสือธรรมดาโดนเข้าไปขนาดนั้น มันไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต ล่ะ”
เสือทศพยักหน้า พลางถอนหายใจออกมา มองดูอาการบาดเจ็บของสมุนที่นั่งอยู่ในกระท่อม
“พวกเอ็งก็อย่าเพิ่งไปปากโป้งไปล่ะ ข้าไม่อยากโดนพ่อเสือตำหนิอีก”
ทันใดนั้นเสียงเสือใจก็ดังขึ้น
“ไม่อยากโดนตำหนิ เอ็งก็ไม่ควรที่จะทำอะไรโง่ๆแบบพละการอย่างนี้อีก”
ทุกคนหน้าตื่น หันขวับไปมองที่หน้ากระท่อมทันที เสือใจยืนอยู่ที่หน้าประตูกระท่อม โดยมี เสือดำ เสือเข้มและจงใจยืนอยู่เบื้องหลัง ท่าทางเอาเรื่อง เสือทศหน้าเสีย
“พ่อเสือ...”
สมุนสองคนของเสือทศที่นั่งอยู่บนม้ายาว ทรุดตัวลงนั่งยองๆกับพื้น ยกมือไหว้ปลกๆ ในขณะที่อีกคนซึ่งบาดเจ็บอยู่ ก็ยังตาลีตาเหลือกยกมือไหว้ด้วยความเกรงกลัว เสือใจก้าวเข้ามาในกระท่อม กวาดสายตามองไปยังลูกสมุนของเสือทศอย่างอ่อนใจ ก่อนที่จะหันกลับมาที่เสือทศซึ่งยืนคอตกอยู่เบื้องหน้า
“ข้าเคยเตือนเอ็งแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับหมู่บ้านนั้น”
เสือใจพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พลางสืบเท้าเข้าไปหาเสือทศ ซึ่งค่อยๆก้าวถอยหลังหนีอย่างช้าๆ
“ข้าเคยเตือนเอ็งแล้ว ว่าอย่าออกไปปล้นที่ไหน ถ้าข้าไม่สั่ง” เสือใจเสียงดัง โกรธจัด “แล้วทำไมเอ็งยังขัดคำสั่งข้าหา!”
เสือใจกระชากปืนออกมาจากเอว ทิ่มพรวดเข้าที่หน้าของเสือทศ ซึ่งถอยหลังมาจนถึงม้ายาว และค่อยๆทรุดตัวลงนั่ง ขณะที่สมุนอีกสองคน กระเถิบหนีไปคนละทาง เสือทศหน้าซีด เหงื่อแตกพลั่ก เพราะรู้ว่าเสือใจเอาจริง ยกมือไหว้ปลกๆ
“พ่อเสือ...ข้า...ข้าผิดไปแล้ว”
“ข้ายกโทษให้เอ็งหลายครั้ง ในสิ่งที่เอ็งกระทำ แต่เอ็งมันไม่มีสมอง ไม่มีสามัญสำนึกเอาเสียเลย แล้วดูสิ่งที่เอ็งทำคราวนี้สิ เอ็งพาพวกมันไปตาย แล้วเอ็งจะตอบกับลูกเมียพวกมันยังไง เอ็งมันสมควรตายจริงๆ”
“พ่อ...ใจเย็นๆสิคะ”
จงใจก้าวเข้ามารั้งแขนพ่อเอาไว้ สายตามองเสือทศอย่างตำหนิ ก่อนที่จะหันมาอ้อนวอนพ่อ
“เรามาหาทางช่วยแก้ไขเรื่องนี้ดีกว่า วันนี้เราเสียคนไปหลายคนแล้วนะจ๊ะพ่อ พ่ออย่าไปทำอะไรพี่ทศอีกเลย บทเรียนหนนี้ หนูคิดว่าพี่ทศคงจะเข็ดไม่กล้าขัดคำสั่งของพ่ออีกแล้ว”
เสือทศซึ่งมองจงใจด้วยสายตา เต็มไปด้วยความรัก
“จงใจ ขอบใจนะที่เข้าใจพี่ ข้าเสียใจ ข้าเสียใจจริงๆพ่อเสือ ข้ามันโง่เอง...”
เสือใจมองดูเสือทศที่ทำหน้าละห้อยอย่างอ่อนใจ ความโกรธเกรี้ยวคลายลง ภาพของเสือทศสมัยเด็กๆที่เสือใจเคยเอาขึ้นขี่คอเพราะรักเหมือนลูกในไส้ ผุดขึ้นมาในความคิด เสือใจค่อยลดปืนลงอย่างช้า พลางถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“ครั้งสุดท้าย...ข้าจะยกโทษให้เอ็งเป็นครั้งสุดท้าย...”
ขาดคำเสือใจก็หันหลังกลับ แหวกบรรดาสมุนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ออกไปจากกระท่อมอย่างรวดเร็ว จงใจมองดูเสือทศด้วยสายตาที่เฉยเมยแล้วตามพ่อไป
เมื่อเหลืออยู่แต่พวกตัวเอง เสือทศเตะลมวืดวาดเพื่อระบายความอัดอั้นในใจ
“โธ่เว้ย...แค่นี้ถึงกับจะยิงหัวกูเลยเหรอวะ!”
ประเดิมขับรถมาที่บ้านแม่หมอ พร้อมภราดรและระริน แม่หมอเดินมาส่งกินรีที่รถ
“กินรี...ก่อนจะตักน้ำขึ้นมาทำตามที่ยายบอกนะ” แม่หมอกำชับ
“จ้ะ...”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ” ภราดรให้ความมั่นใจ
ระรินรำคาญ
“จะสั่งเสียกันอีกนานไหม...น่ารำคาญจริงๆ”
“ขึ้นรถเถอะครับ”
ภราดรตัดจะให้มานั่งด้านหลังด้วยกัน แต่ระรินชิงเข้าไปนั่งก่อน กินรีจึงไปนั่งข้างหน้ากับประเดิม
สมรักษ์นั่งอยู่บนโซฟาในบ้านพัก แก้วเดินเอาน้ำดื่มมาวางให้
“ขอบใจนะแก้ว ขอบใจที่ดูแลฉัน”
แก้วยิ้มให้
“ไม่เป็นไรจ้ะ”
จ่าชิตแต่งเครื่องแบบครึ่งท่อน เดินเข้ามาในบ้าน กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งจนแก้วถึงกับต้องเอามือปิดจมูก สมรักษ์ส่ายหน้าเซ็งๆ
“เมามาอีกแล้วสิจ่า”
“เลิกงานแล้วนี่ครับหมวด ผมไม่เคยดื่มในเวลาทำงาน”
“ก็นั่นแหละ จ่าน่าจะเพลาๆลงมาบ้างนะ อย่างน้อยก็เพื่อสุขภาพของตัวเอง”
จ่าชิตทรุดกายลงนั่ง ตรงกันข้ามกับสมรักษ์ ยื่นสมุดรายงานให้
“รายงานทั้งหมดวันนี้ครับ ผมเอามาให้หมวดตรวจดู”
สมรักษ์รับมาอ่านอย่างเครียดๆ
“จ่าคิดว่าเป็นเสือตัวเดียวกับที่เล่นงานผมหรือเปล่า”
“ผมก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่คิดว่าน่าจะใช่”
“ในรายงานนี่บอกว่า พวกโจรปล้นโดนเสือกัดตายไปสามคนเหรอจ่า แล้วชาวบ้านล่ะ มีใครได้รับอันตรายบ้างมั้ย”
“ไม่มีเลยครับหมวด”
สมรักษ์พยักหน้ารับรู้
“หมวดไม่คิดว่ามันจะแปลกไปหรือครับ”
“แปลก...อะไร ยังไง...”
“ก็เสือตัวนี้นะสิครับ มันกัด ทำร้ายเฉพาะพวกโจรที่ขึ้นไปปล้นบ้านแม่หมอแต่มันไม่ได้เอาศพไปกินหรืออะไร แล้วพวกที่มาปล้น เห็นชาวบ้านเขาบอกว่า เป็นพวกโจรกลุ่มเดียวกับเสือใจ”
“รอให้ผมหายเจ็บก่อน เดี่ยวจะตามไปกวาดให้หมดทั้งก๊กเลย”
สมรักษ์บอกอย่างจริงจัง แก้วยืนหน้าซีดเมื่อได้ยินอย่างนั้น
จงใจนั่งอยู่หน้ากองไฟ เอามีดจิ้มมันเผาที่หมกอยู่ในนั้นขึ้นมายื่นให้กับหิน ที่ใบหน้ายังมีร่องรอยบาดแผลฟกช้ำอยู่ เขารับมันเผามาแล้วต้องกระดกมันเบาอยู่ในมือด้วยความร้อน
“โอ๊ย...ร้อนๆ”
จงใจหัวเราะ
“ก็ร้อนนะสิ เพิ่งเอาออกมาจากกองไฟเห็นๆ”
“ก็มันหอม...อยากกินไวๆ นี่ถ้าไอ้แก้วมันอยู่ มันก็คงเผาให้ข้ากินเหมือนที่พี่ทำนี่แหละ”
จงใจและหินหน้าสลดลงเมื่อพูดถึงแก้ว
“เอามานี่มา...พี่ทำให้”
หินส่งมันเผาให้ จงใจรับมากระดกอยู่ในมือด้วยความร้อน ก่อนที่จะแบะมันออกเป็นสองซีก แล้วใช้ปากเป่าเบาๆเพื่อไล่ความร้อน หินมองจงใจเป่ามันเผาแล้วยื่นมาให้ตนด้วยแววตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย จงใจมองเห็นหินตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้
“เอ้า...กินสิ จะมาทำตาแดงๆทำไม เดี่ยวพี่แย่งกินหมดนะ”
หินฝืนยิ้มให้ทั้งน้ำตา ก่อนที่จะบิมันเผาในมือเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย แล้วชะงักเมื่อเห็นเสือทศเดินมา
“กินอะไรกันน่ะ หอมดีจังเลย...”
จงใจเซ็ง หินลุกเดินหนีไปอย่างไม่พอใจ
“อ้าว...หิน เดี๋ยวก่อนสิ”
จงใจเรียกไว้ แต่หินไม่หันกลับมามอง จงใจลุกขึ้นยืนจะเดินตาม เสือทศรั้งมือเอาไว้ จงใจสะบัดเบาๆ พอหลุดจากการเกาะกุม
“อย่าเพิ่งไปได้มั้ยจงใจ”
“อะไรของพี่ทศอีกล่ะ ดูสิ พอพี่มา ไอ้หินมันก็หนีไปล่ะ”
“ช่างไอ้หินมันสิ ไอ้เด็กนั่นมันมีอะไรดีกว่าพี่งั้นเหรอ”
“นี่พี่ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ว่าพี่ทำอะไรลงไปบ้าง พี่เล่นงานไอ้หินเกือบตาย ตามล่าไอ้แก้วเหมือนหมาบ้า นี่หรือ...คนที่โตมาด้วยกัน เขาทำกันน่ะ”
“เออ...ข้าขอโทษ ถ้าทำอะไรผิดไปจนเอ็งไม่พอใจ”
“พี่จะมาขอโทษฉันทำไม ไปขอโทษไอ้หิน ขอโทษน้าแววโน่นที่พี่ไปทำกับลูกเขายังงั้นน่ะ”
“เอาเถอะ...เอาเถอะ ข้ามานี่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาทะเลาะกับเอ็งหรอกนะ”
“แล้วพี่มาทำไม ฉันสองคนกำลังมีความสุขกันอยู่ดี พี่ก็มาทำลายบรรยากาศหมดเลย”
“ข้า...ข้ามาเพื่อจะบอกเอ็งว่า ข้าขอบใจที่วันนี้เอ็งช่วยพี่ไว้ เพราะถ้าไม่ได้เอ็ง พี่คงต้องตายไปแล้วแน่ๆ”
จงใจมองเสือทศอย่างตำหนิ
“ฉันช่วยพี่ไว้ เพราะพี่เป็นพี่ชายฉัน แต่ที่พี่รอดตาย ไม่ใช่เพราะฉันขอร้องพ่อเสือหรอก พี่โตมากับพ่อ พี่น่าจะรู้ว่าพ่อรักพี่แค่ไหน ถึงยังไง พ่อก็ไม่มีวันฆ่าพี่ได้หรอก เพราะฉะนั้นที่ฉันขอร้องพ่อวันนี้ ก็เพราะต้องการหาทางออกให้พ่อ ไม่ใช่ช่วยพี่...”
“ไม่ว่าจะยังไง พี่ก็ต้องขอบใจจงใจอยู่ดี”
แววกับหินเดินเข้ามาหาทั้งสองคน
“จงใจ...พ่อเสือให้น้ามาตามหนู...ขึ้นบ้านได้แล้วจ๊ะ”
จงใจพยักหน้ารับรู้ พลางชำเลืองสายตาไปยังหินอย่างรู้หินต้องไปตามแววมา หินยิ้มๆ เป็นการยอมรับอยู่ในที
“ฉันไปล่ะ พี่ทศไปนอนคิดดูเอาก็แล้วกันในสิ่งที่ฉันพูด”
จงใจเดินจากไป พร้อมกับแววที่เดินตามหลังไปติดๆ เสือทศมองตามด้วยความรู้สึกเสียดายโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ครั้นพอมองเห็นหินยืนมองดูอยู่ด้วยสายตาที่รู้ทัน ใบหน้าของเสือทศก็เปลี่ยนไปเป็นโกรธเคืองทันที
เสือทศยกมือขึ้นมา ทำท่าเอานิ้วปาดคอตัวเอง ขู่หินว่า มึงตายแน่ หินมองอย่างชิงชัง รังเกียจ ก่อนที่จะถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างท้าทายไม่เกรงกลัว
แม่หมอเก็บผ้าอยู่ลานบ้าน หันไปมองพะอูที่ตักน้ำแล้วเอาขึ้นมาบนบ้านอย่างเข้าใจ
“เออ...เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้มันหน่อย...เวรกรรมจริงๆ”
พะอูเอาน้ำไปเช็ดหน้าเช็ดตาให้มะค่าด้วยความรักและห่วงใย ส่งเสียงคุยอื้ออ้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อย่างต้องการจะบอกว่าเขาอยู่ข้างๆแล้วไม่ต้องกลัว กินรีจะกลับมาช่วยมะค่าเอง แม่หมอมองขึ้นมาบนบ้านในใจรันทด แล้วมองไปบนภูเขา
“เมื่อไหร่มันจะจบซะที....”
ประเดิมขับรถมาตามถนนชายแดนมุ่งหน้าบ้านน้ำพุ เขามองฟ้าอย่างไม่สบายใจ
“วันนี้อากาศเป็นยังไงก็ไม่รู้นะครับหมอ เห็นแดดอยู่แป๊บๆ ไงครึ้มตลอดทางเลย”
“สงสัยคงจะเป็นฤทธิ์แม่มดมั้ง” ระรินโพล่งขึ้นมา
ภราดรรู้สึกไม่พอใจที่ระรินค่อนขอด แต่ไม่พูดอะไร เธอจึงพูดขึ้นมาอีก
“อีกไกลไหม ประเดิม”
“ก็ครึ่งทางน่ะครับ”
“โอย...อีกตั้ง 60 กว่าโล ทำไมคราวนี้เหมือนเดินทางช้าจัง”
ระรินบ่น ภราดรรู้สึกเหมือนกัน ทันใดยางหน้ารถระเบิดเสียงดัง รถส่ายไปส่ายมา ทุกคนตกใจ ประเดิมประคองรถไม่ให้คว่ำ ในที่สุดรถก็จอดอย่างสงบและปลอดภัย ทุดคนลงมายืนมองยางรถที่แบนอยู่
“อะไรกัน อยู่ดีๆยางก็ระเบิด...เพิ่งเปลี่ยนมาเดือนที่แล้วเอง” ประเดิมเซ็ง
“ช่างมันเถอะ ไปเอายางอะไหล่มาเปลี่ยนไป”
ภราดรบอก ประเดิมเดินไปที่ยางอะไหล่ กินรีจะเดินตาม
“ให้ฉันช่วยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกกินรี”
ประเดิมจับยางอะไหล่แล้วเซ็ง เดินกลับมาที่ภราดร โดยไม่มียางอะไหล่
“อ้าว ทำไมไม่รีบเปลี่ยนยางล่ะจะได้รีบไปกัน...หรือว่าไม่ได้เอายางอะไหล่มาด้วย” ภราดรแปลกใจ
“ยางอะไหล่น่ะมีครับ...แต่ไม่มีลม”
ระรินแทบกรี๊ด
“ตายแล้ว นายประเดิม ทำไมถึงชุ่ยอย่างนี้นะ”
กินรีช่วยหาทางออก
“ฉันว่าเราหาทางแก้ไขก่อนดีกว่าค่ะ เอ่อ...นี่ก็จะค่ำแล้ว”
“จริงสิ...เอาไงดีประเดิม” ภราดรหันไปมองรอบๆ
“ข้างหน้ามีหมู่บ้านใหญ่ เป็นแหล่งหยุดพักของพวกเดินทาง พอจะมีที่พักครับ”
“แล้วไอ้หมู่บ้านเนี่ย มันอีกไกลไหม” ระรินถาม
“ราว 10 กิโลเห็นจะได้ครับ”
เมื่อประเดิมบอกอย่างนั้น ระรินโวย
“หา...10 กิโล...โอยฉันเดินไม่ไหวหรอก...โธ่เอ๊ยเป็นเพราะนายคนเดียวเป็นคนขับรถประสาอะไร ไม่ดูแลเลย กลับไปฉันจะเสนอกับจังหวัดให้ไล่แกออก...”
ประเดิมไม่ใส่ใจที่ระรินบ่น เขายิ้มรับ
“ผมว่าแทนที่คุณระรินจะบ่นอยู่กลางป่าแบบนี้นะ น่าจะรีบเดินไปที่หมู่บ้านก่นจะค่ำนะครับ...โน่นดูโน่น คุณหมอกับกินรีไปโน่นแล้ว”
กินรีฉุกคิดแล้วหันไปมอง เห็นว่าภราดรเดินเคียงคู่กับกินรีไปไกลลิบ
“คุณหมอ...รอระรินด้วย”
ระรินรีบวิ่งตามไปอย่างขลุกขลัก ประเดิมมองตามอย่างขำๆ
จ่าชิตเข้ามาบนโรงพัก ตำรวจทัก
“อ้าวจ่าออกเวรแล้วไม่ใช่หรือ”
“ทำไมวะออกเวรแล้วมาไม่ได้หรือไง”
“ได้...แหมแต่ไม่นึกว่าจ่าขยันแบบนี้”
จ่าชิตยิ้มแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะสิบเวร เสี่ยรงค์กับเบิ้มเข้ามา
“เห็นตำรวจขยันแบบนี้ก็ชื่นใจ” เสี่ยรงค์เหน็บแนม
“เสี่ยรงค์...” จ่าชิตมองอย่างแปลกใจว่ามาทำไม
เสี่ยรงค์วางมาด แล้วมองไปรอบๆ
“โต๊ะพวกนี้เก่าหมดแล้วนี่เนอะ ว่างๆผมจะให้คนมาบริจาคใหม่”
จ่าชิตมองไม่พอใจ
“เสี่ยมีธุระอะไร”
“ได้ข่าวว่า จ่าเจอเสือใจหรือ”
“ใช่...”
เสี่ยรงค์ทุบโต๊ะเสียงดัง
“แล้วทำไมจ่าไม่จับมัน...หา..ปล่อยมันไปทำไม อย่างนี้มันเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นะ”
“พอดีมือไม่ว่าง...”
“อ๋อ...เดี๋ยวนี้ตำรวจกลัวโจรกันแล้วหรือ”
สมรักษ์ที่เพิ่งมาถึงขัดขึ้น...
“ตำรวจไทยไม่มีใครกลัวโจร...”
ทุกคนหันไปมอง เห็นสมรักษ์เดินเข้ามากับแก้ว
“ที่นี่โรงพัก มีไว้ดับทุกข์ร้อนของประชาชน ไม่ใช่ที่ๆจะให้ใครมาเบ่ง”
เสี่ยรงค์เย็นลงเมื่อเห็นสมรักษ์เอาจริง
“ได้...ถ้าตำรวจไม่ทำอะไร ผมก็จะตามล่าไอ้ใจมันเอง”
เสี่ยรงค์เดินกลับทันที เบิ้มเดินตาม สมรักษ์หันมามองจ่าชิ
“จ่าออกเวรแล้วนี่”
“ผมมาเบิกกระสุน”
พูดจบจ่าชิตก็เดินเข้าไปข้างใน สมรักษ์บ่นเบาๆ
“จะไปรบที่ไหนอีกเนี่ย...”
เสือสมิง ตอนที่ 5 (ต่อ)
ใกล้ค่ำ...ภราดรเดินไม่ค่อยจะไหวแล้ว หันไปมองกินรีที่ดินอย่างแคล่วคล่อง
“เป็นไง กินรีพอไหวไหม”
กินรีเฉยๆ ประเดิมที่เดินตามหลังมาบอก
“ผมว่ากินรีน่าจะเป็นฝ่ายถามคุณหมอนะ”
กินรียิ้ม ภราดรหัวเราะแก้เขินเบาๆ
“อีกไกลไหม”
“ไม่ไกลหรอกครับ น่าจะอีกสักกิโลเดียว หลุดโค้งนี่ไปก็ถึงแล้ว”
กินรีนึกอะไรขึ้นมาได้
“แล้วคุณระรินล่ะคะ”
“เออ...จริงสิ”
ทุกคนหันไปมองข้างหลัง เห็นระรินเดินอย่างอิดโรยและโซเซ ดูตลก ในมือถือรองเท้าส้นสูง ตะโกนเสียงแห้ง
“รอด้วย...”
ประเดิมร้องบอก
“นี่คุณเดินเร็วๆหน่อยสิ”
“โอย...ฉันไม่ใช่ม้านะ...ดูสิเท้าฉันบวมหมดแล้ว”
ประเดิมล้อเล่น
“ไม่ได้บวมซะหน่อย อย่างนี้เป็นอาการเริ่มต้นของการเท้ากลายเป็นกีบ”
“อย่ามาพูดบ้าๆนะ คนยิ่งเมื่อยอยู่ ขาจะหลุดแล้ว นี่ถ้านายดูแลรถดีๆเราก็ไม่เป็นแบบนี้”
ประเดิมรู้สึกสงสาร
“มาขึ้นหลังผม...มาสิ..อีกกิโลเดียวก็ถึงแล้ว ผมแบกคุณไปเอง”
ระรินไม่ค่อยกล้า ประเดิมแสดงสีหน้าจริงใจ เธอจึงตัดสินใจขึ้นหลังประเดิม เพราะเดินไม่ไหวแล้ว
แม่หมอทำกับข้าวเสร็จแล้วยกไปตั้งที่กลางบ้าน แล้วร้องเรียก...
“พะอู มากินข้าวได้แล้ว...พะอู”
ไม่มีเสียงตอบ แม่หมอลุกเดินไปมองทั่วบ้านอย่างกังวล
“มันไปไหนของมันนะ”
โรงเตี๊ยมไม้สองชั้นเก่าๆ ตั้งอยู่ใจกลางของตลาดชายแดน ประเดิมเดินนำเข้าไปที่เคาน์เตอร์ เจ้าของชาวจีนฮ่อ คอยต้อนรับ
“สวัสดีครับ มีอะไรใช้ครับ”
“เราอยากได้ห้องพักสัก 4 ห้องครับ” ภราดรบอก
เจ้าของหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“โอย...เราไม่มีห้องมากมายอย่างนั้นหรอก มีแค่สองห้องเท่านั้นแหละ”
ภราดรมองหน้าทุกคน ระรินหน้าเหย
“สองห้องก็สองห้อง ไม่ไหวแล้ว...เหนื่อยจะตาย...อยากอาบน้ำ”
ภราดรหันมาถามกินรี
“คุณสะดวกไหม”
“ค่ะ” กินรีตอบรับ
“งั้นตกลงครับเถ้าแก่”
“คืนละ 100 บาท สองห้องก็ 200”
ภราดรจ่ายเงิน แล้วหันมาบอกทุกคน
“ผมจะนอนกับประเดิม ส่วนคุณระรินนอนกับกินรี”
ระรินแว๊ดใส่
“ประสาทหรือไง ใครจะนอนกับนังชาวบ้านนี่...เหม็นสาบจะตาย”
กินรีหน้าสลด ภราดรช่วยแก้สถานการณ์ให้เธอ
“ก็ได้ครับ...งั้นคุณก็นอนตรงนี้ก็แล้วกัน...ไปกันเถอะ”
ภราดรยื่นกุญแจห้องให้กินรี แล้วพากันเดินข้นไปชั้นบนทิ้งระรินเอาไว้
“หมออ่ะ...”
ระรินงอนแล้วเดินตามขึ้นไป
เมื่อเข้าไปในห้องนอน ประเดิมเห็นว่ามีเตียงเดียวจึงหันมาบอกภราดร
“เชิญคุณหมอบนเตียงตามสบายครับ ส่วนผมตรงนั้นก็ได้”
ประเดิมเดินไปปูผ้า
“คุณหมอว่าห้องโน้นใครจะนอนบนเตียง”
ภราดรรู้อยู่แล้ว ได้แต่ถอนใจ
“เป็นห่วงกินรีจัง”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมว่ากินรีมีความอดทนพอ”
ภราดรคิดอย่างนั้น แต่ก็ยังเป็นห่วง
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น พรุ่งนี้ประเดิมไปหาช่างไปเอารถมาแต่เช้านะ”
กินรีปูที่นอนที่พื้น ระรินอาบน้ำเข้ามาแล้วแสดงอำนาจ
“นี่ไปนอนไกลๆหน่อยนะ ฉันเหม็นสาบ วันๆอาบน้ำบ้างไหมเนี่ย”
กินรีไม่ใส่ใจเธอเดินไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ ซึ่งอยู่ด้านนอก ระรินนำเอาเครื่องบำรุงผิวขึ้นมาทา ครู่ใหญ่กินรี เดินเข้ามาแล้วเอาสมุนไพรทาใบหน้า
“เธอใช้อะไรทาหน้าน่ะ” ระรินมองอย่างสนใจ
“เป็นสมุนไพรที่ยายทำให้ค่ะ”
“ระวังหน้าพังนะใช้อะไรผสมบ้างก็ไม่รู้”
กินรีกำลังเอามือทาที่ใบหน้า ทั้งสองมือปิดหน้าไว้มิด ระรินเดินเข้ามาดูใกล้ๆ
“ไหนดูซิว่าทาแล้วเป็นยังไง”
กินรีเปิดหน้าออกแล้วหันมาหาระริน สิ่งที่ระรินก็เห็นคือใบหน้าของกินรีเละเป็นผีดูน่าขยะแขยง ระรินกรี๊ด
“ผีหลอก”
ระรินรีบวิ่งออกจากห้องไปทันที กินรีมองตามงงๆ
ระรินวิ่งหน้าตื่นมาทุบประตูห้องภราดร
“ช่วยด้วยค่ะหมอ..ช่วยด้วยค่ะ...ผีหลอกค่ะ...หมอ..หมอ...”
ภราดรเปิดประตูออกมาอย่างรำคาญ
“มีอะไรครับ...คุณระริน ดึกแล้วยังไม่หลับไม่นอนอีกหรือครับ”
“ผะ..ผะ...ผีค่ะหมอ...ผีนังกินรีมันหลอกระริน”
“นี่คุณเลิกอคติกับกินรีเขาได้แล้ว กลับไปนอนซะพรุ่งนี้เราต้องเดินทางแต่เช้า”
“ไม่ค่ะ..ระรินจะขอนอนห้องหมอ เป็นตายยังไงระรินก็ไม่ไปนอนห้องโน้น”
“คุณจะบ้าหรือ นี่มันห้องผู้ชายนะ”
“จะใครก็ช่าง ระรินจะไม่ไปนอนห้องโน้นเด็ดขาด”
เมื่อเห็นท่าทีระรินเอาจริง ภราดรตัดสินใจ
“ก็ได้...คุณนอนห้องนี้กับประเดิม ผมจะไปนอนห้องโน้นกับกินรี”
“ดีค่ะ...” แล้วเธอก็นึกได้ “...ว้าย..ไม่ได้นะคะ อย่างนั้นหมอก็เสร็จนังแม่มดมันน่ะสิ ระรินยอมไม่ได้หรอก”
ภราดรสุดเซ็งและง่วงนอน
“ตกลงคุณจะเอายังไง...เอาอย่างนี้...ห้องใครห้องมัน”
ภราดรตัดบทแล้วปิดประตูลง
“คุณหมอ..คุณหมอ...”
ไม่มีเสียงตอบทุกอย่างเงียบ ระรินจำใจไปที่ห้อง
ระรินทำใจแข็งเปิดประตูเข้าไปอย่างกล้าๆกลัวๆ กินรีนอนหลับอยู่ที่มุมห้อง ระรินเห็นว่าไม่มีอะไรจึงตรงไปนั่งที่เตียง แล้วนอนลงโดยไม่ดับตะเกียง เธอหลับตาลง แต่เมื่อพลิกตัวหันไปอีกข้าง สายตาพลันไปเจอกับศพผีตาย ซากนอนอยู่
“ว้ายยย”
เสียงของระรินทำให้กินรีสะดุ้งตื่น
“มีอะไรคะคุณระริน”
ระรินเข้าไปกอดกินรีแน่น พลางหันหลังชี้ไปที่เตียงเนื้อตัวสั่นด้วยความกลัว
“ผี...ผี..อยู่บนเตียง”
กินรีมองไปบนเตียง เห็นว่างเปล่าทุกอย่างเป็นปกติ
“ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ”
“มี..มี.สิ...ผี..มันจ้องตาฉันด้วย”
“ใจเย็นๆสิคะ ตั้งสติหน่อยค่ะ...ไม่มีอะไรจริงๆ ดูสิคะ...ไม่มีอะไรจริงๆ”
ระรินรวบรวมความกล้าลืมตาดู แล้วไม่เห็นมีอะไร พร้อมกับรู้สึกตัวว่ากอดกินรีอยู่จึงผงะออก
“ยี้..มากอดฉันทำไมเนี่ย”
“งั้นฉันนอนก่อนนะคะ”
กินรีไม่ใส่ใจจะกลับไปนอนที่มุมห้อง ระรินเสียงอ่อน
“เดี๋ยว...เอ่อ...ฉันว่าเตียงนี่ก็ใหญ่อยู่นะ...นอนคนเดียวเหลือที่ตั้งเยอะ ฉันว่า...เธอน่าจะมานอนด้วยกันนะ”
กินรีมองระรินอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ตอบรับ
“ก็ได้ค่ะ”
ระรินยิ้มได้ที่ไม่ต้องนอนคนเดียว
กลางดึก...ชาวบ้านคนหนึ่ง เดินถือตำเกียงน้ำมัน พร้อมกับจอบที่แบกอยู่บนบ่าเข้าไปในป่า กระทั่งถึงต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นตระหง่านอยู่ใกล้ๆ จึงเดินไปวางตะเกียงน้ำมันลง แล้วตวัดจอบที่อยู่บนบ่าขึ้นมาขุดหลุมเล็กเบาๆ
นกแสกตัวหนึ่งโผวูบลงมาจับที่บนกิ่งไม้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น เสียงปีกของมันกระทบกันดังพรึ่บ ชาวบ้านสะดุ้งเฮือก จอบเกือบหลุดมือ ขณะ เงยขึ้นมองพอเห็นว่าเป็นนกแสกก็ถอนใจเฮือก
“ทำเสียเส้นหมดเลยไอ้เวรเอ๊ย...”
ชาวบ้านบ่น แล้วหันไปขุดหลุมต่อ ไม่ทันได้สังเกตว่ามีดวงตาสีเขียวเรืองรองคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองอยู่ทางด้านหลัง
เจ้าของดวงตาคู่นั้น คือเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่มหึมาที่ยืนรอจังหวะอยู่ มันส่งเสียงคำรามลั่น ชาวบ้านหันไปมองแล้วตาเหลือก แหกปากร้องด้วยความตกใจ
“เฮ้ย !”
เสือโคร่งกระโจนเข้าขย้ำชาวบ้านจนล้มลงกับพื้นจนตาย
ภราดรนอนหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย เขามองไปรอบๆในความมืด เห็นหน้าต่างบานหนึ่งเปิดอ้าอยู่ ม่านที่หน้าต่างปลิวสะบัดตามแรงลมอยู่ไหวๆ เมื่อหันกลับมาที่ประตู พบว่าประตูเปิดอ้าอยู่เช่นกัน มีใครคนหนึ่งยืนอยู่ ร่างนั้นดำทะมึนจังก้า ขณะที่ค่อยๆสืบเท้าก้าวเข้ามา ชายลึกลับคนนั้น เงื้อหอกยาวขึ้นสุดแขน พลางคำรามนั้น
“แกต้องตาย...!!!”
หอกอันนั้นพุ่งเข้ามาหา ภราดรร้องลั่น ด้วยความตกใจกลัว พยายามจะพลิกตัวหลบ แต่ไม่ทัน
“เฮ้ย !!! อย่า...”
หอกในมือชายคนนั้น พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ปักตรึงเข้าที่หน้าอกของภราดรจนมิดด้าม ร่างของภราดรกระเด็นไปกระทบกับฝาผนัง ก่อนที่จะค่อยๆรูดตัวลงไปนั่งกับพื้น คมหอกปักตรึงแน่นที่หน้าอกจนมิด เลือดสีแดงฉานไหลทะลักออกมา ภราดรพยายามที่จะชันกายลุกขึ้นยืน แต่ร่างกายอ่อนแรงเต็มที
งะดินเดในชุดนักรบพม่า ก้าวเข้ามาจับด้ามหอกเอาไว้
“บาเยงโบ...ถึงวันที่เจ้าต้องชดใช้กรรมแล้ว...”
ภราดรใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด สองมือตะปบรั้งคมหอกเอาไว้
“ทำไม...แกเป็นใคร...”
งะดินเดแหงนหน้า หัวเราะลั่นด้วยความเดือดดาลใจ
“เป็นใคร...นี่แกจำข้าไม่ได้เชียวรึ มันคงนานเกินไปแล้วใช่ไหม แต่สำหรับข้า มันไม่นานเลย มันเหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานด้วยซ้ำ”
งะดินเดหัวเราะทั้งน้ำตา ใบหน้าของนักรบเฒ่าทั้งเศร้าสร้อยและคลั่งแค้นระคนกัน
“กี่ปี กี่ชาติ กี่ภพแล้วที่ข้ารอคอยวันนี้ วันที่จะได้แก้แค้นให้ลูกๆของข้า แกอย่าอยู่เลย...”
งะดินเดตวาดเสียงกร้าว ขณะที่กำด้ามหอกที่ปักอกภราดรเอาไว้มั่น ผลักดัน ทิ่มแทงไปสุดแรง จนคมหอกทะลุออกด้านหลังแล้วร่างของงะดินเดสลายวูบ
ภราดรร้องด้วยความเจ็บปวดและตกใจสุดขีด !!!
ทันใด...ภราดรตื่นขึ้นแล้วผุดลุกขึ้นมานั่ง มองซ้ายมองขวาอย่างหวาดผวา ประเดิมสะดุ้งตื่นแล้วมองดูภราดรซึ่งเหงื่อแตกพลั่ก เพราะยังไม่หายตกใจ
“คุณหมอฝันร้ายอีกแล้วสิครับ”
ภราดรพยักหน้า
“ฝันว่าอะไรครับ”
“ฝันว่าใครไม่รู้ ใส่ชุดทหารโบราณ จู่ๆมันก็มาไล้แทงผมด้วยหอก บอกว่ามีความแค้นอะไรไม่รู้ ข้ามปีข้ามชาติ”
“ผมว่าคุณหมอ คงจะต้องไปหาพระ หาเจ้าหรือรดน้ำมนต์หรือไม่ก็ต้องกรวดน้ำ อุทศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรบ้างแล้วละครับ”
“นั่นสิ...ผมฝันแบบนี้ ครั้งนี้...ครั้งที่สองแล้ว”
“คุณหมอเชื่อเรื่องผีสางหรือเปล่าครับ”
“ผมเรียนหมอ มันเน้นวิทยาศาสตร์นะประเดิม”
“แต่ในบางครั้ง บางเรื่อง วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้นะครับคุณหมอ”
“ประเดิมกำลังจะบอกอะไรผมอย่างนั้นหรือ”
“มัน...ไม่มีความหมายอะไรหรอกครับคุณหมอ ผมเพียงแค่อยากอธิบายให้คุณหมอ เข้าใจ
เท่านั้น ว่าที่บ้านสางเนี่ย มันมีบางสิ่งบางอย่างที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้จริงๆ”
ภราดรถอนหายใจยาวๆ กวาดสายตามองไปรอบๆห้อง ความรู้สึกตื่นตกใจเมื่อครู่นี้ยังไม่จางไปไหน
“บางครั้ง ผมก็เคยสงสัยเหมือนกันนะ ว่าในความมืดที่เรามองไม่เห็น มันมีอะไรแอบแฝงอยู่บ้างหรือเปล่า แต่เพราะเราเป็นหมอ เราถูกสอนมาให้เชื่อวิทยาศาสตร์ แต่บางที ผมก็รู้สึกเหมือนกันว่าวิทยาศาสตร์มันจะให้คำตอบกับเราทุกเรื่องได้มั้ย”
“คุณหมออยู่ที่นี่นานๆ ก็อาจจะพบคำตอบนั้นได้เองล่ะครับ”
ประเดิมล้มตัวลงนอน ภราดรได้แต่ครุ่นคิดหนักใจว่าเกิดอะไรขึ้นแน่
เช้าวันใหม่...แม่หมอเข้าไปที่ห้องบูชา เห็นรูปปั้นเจ้าแม่หน้าทองมีรอยเลือดติดอยู่ที่มุมปาก ก็อึ้งไป รีบออกมาด้านนอก มองมะค่าที่นอนไม่ได้สติ ใกล้ๆกันนั้นพะอูนอนสั่นอยู่ในผ้าห่มด้วยท่าทางหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ที่มุมปากมีเลือดเปื้อนเหมือนรูปปั้น
“พะอูเอ๊ย...นี่มันอะไรกัน ไม่ต้องกลัวลูกเอ๊ย..ไม่ต้องกลัว”
แม่หมอลูบศีรษะพะอูปลอบโยน ด้านนอกจ่อยและชาวบ้านกลุ่มหนึ่งตีเกราะ ผ่านมา พะอูสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียง และรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว เนื้อตัวสั่นเทา
แม่หมอเดินออกที่นอกชานบ้าน เห็นจ่อยกับชาวบ้านหลายคนเดินผ่านมา
“มีอะไรกันหรือ” แม่หมอร้องถาม
จ่อยกับชาวยกมือไหว้ด้วยความนับถือ
“ไม่รู้เหมือนกันแม่หมอ ผู้ใหญ่สั่งให้ฉันมาตีเกราะบอกชาวบ้าน คงจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นละมั้ง ข้าไปก่อนนะแม่หมอ ต้องไปบอกชาวบ้านอีก”
“เออๆ เอ็งไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปบ้านผู้ใหญ่”
จ่อยกับชาวบ้านเดินจากไป พะอูเดินออกมาดู
“ไปล้างหน้าล้างตาไป”
พะอูเดินกลับเข้าไปในบ้าน แม่หมอมองไปยังยอดดอยสูงที่แลเห็นลิบๆอยู่เบื้องหน้าอย่างกังวล
แววเตรียมกับข้าวอยู่ในครัว จงใจคอยเป็นลูกมือ หินเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน พอมองเห็นแม่ ก็ชะงักนิดหนึ่งอย่างลังเล มองสบตากับจงใจเหมือนมีเรื่องจะคุยด้วย จงใจมองดูแววแล้วส่ายหน้า ใช้สายตาและสีหน้าบอกให้หินหลบไปก่อน
“ไปเล่นที่ไหนมาละเอ็ง มอมมาเชียว” แววถาม
“ข้าไปล่าสัตว์มานะแม่”
“ไปล่าสัตว์ แล้วได้อะไรมามั่งล่ะ ธนู ก็ไม่เห็นจะถือ”
“แหม...แม่ เดี๋ยวนี้เขาใช้ปืนกันแล้ว”
“ปืน...เอ็งไปเอาปืนมาจากไหน” แววถามอย่างตกใจ
“ก็ในคลังเก็บปืนไง”
จงใจไม่สบายใจ
“เอ็งไปขโมยมาหรือ พ่อเสือรู้เอ็งโดนถลกหนังตากแห้งแน่”
“ตายแล้วไอ้หิน..เอ็งนี่หาเรื่องไม่รู้จักจบจักสิ้น เอาไปคืนซะ” แววรีบบอก ไม่อยากให้มีเรื่องอีก
“ไม่...ข้าจำเป็นต้องมีมัน ข้าไม่ยอมให้ไอ้ทศมันข่มเหงเอาอีกแล้ว คนเรามันต้องมีเขี้ยวเล็บกันบ้าง”
จงใจเข้าใจและเห็นใจหิน แววก็เข้าใจ แต่ยังไม่เห็นด้วย
“หิน...เอ่อ...แม่...ว่าถึงยังไงหินก็ไม่น่าขโมยมา...เอาไปคืนเสียเถอะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน้าแวว ฉันเข้าใจความรู้สึกของหินมัน เรื่องปืนน่ะไม่มีใครรู้หรอก มันมีเยอะจนจำไม่หวัดไม่ไหว”
“ใช่แม่ อีกอย่างปืนพวกนี้เก่าทั้งนั้น ไม่ค่อยมีใครเอาไปใช้แล้ว”
แววพยักหน้าอย่างจนใจและปล่อยไปตามเรื่อง หินส่งสายตาให้จงใจว่าให้ตามออกไป แล้วเดินออกไปก่อน
กินรีออกมาจากห้องพัก ภราดรเห็นเข้าจึงทักทาย
“หลับสบายไหมครับ”
“สบายดีค่ะ”
ระรินที่ตามมาพูดทันที
“แต่ระรินไม่สบาย”
ภราดรหันมองระรินอย่างแปลกใจ
“อ้าวระริน ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ”
“ก็ระรินกลัวจนนอนไม่หลับนี่คะ...หมอกลับบ้านกันเถอะระรินว่ามันยังไงยังไงอยู่นะมัน...เอ่อ..น่ากลัวยังไงก็ไม่รู้”
กินรีรีบบอก
“ไม่ได้นะคะ มะค่ากำลังรอน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่”
“งมงาย...น้ำบ้าน้ำบออะไร จะช่วยให้คนฟื้นฉันว่ากลับไปเอาส่งโรงพยาบาลดีกว่า...กลับกันเถอะค่ะหมอ”
“ไม่ครับ เราจะไปกันต่อ”
“คุณหมอ...นี่คุณหมองมงายไปกับนางแม่มดแล้วหรือคะ...แก..แกใช้เวทมนต์กับหมอใช่ไหมนังกินรี”
ระรินโมโหตรงเข้ามาจะตบกินรี ภราดรร้องห้าม
“อย่านะระริน...อยากจะกลับก็กลับไปคนเดียว ผมจะไปกับกินรี”
ประเดิมที่ไปจัดการตามช่างไปซ่อมรถกระทั่งเสร็จ จะเข้ามาตาม ได้ยินอย่างนั้นก็รีบบอก
“นั่นสิ...ถ้าคุณระรินอยากจะกลับล่ะก็ ผมจะไปว่ารถให้เขาไปส่งให้ครับ...เอาไหมครับ”
ระรินเชิดและไม่ยอม
“ไม่...ฉันต้องไปดูแลหมอ...ฉันว่านังแม่มดนี่ต้องทำคุณไสยใส่หมอแน่”
พูดจบระรินก็เดินเชิดไปที่รถ กินรีมองตามสีหน้าหม่น ภราดรรู้สึกสงสาร
จงใจออกจากครัวมาคุยกับหิน
“ไหน มีอะไรรีบว่ามา” จงใจถามทันที
“เมื่อคืนนี้ ได้ข่าวว่ามีเสือกัดชาวบ้านตายที่หมู่บ้านสาง”
“อีกแล้วหรือ ทำไมหมู่นี้มีเสือออกมาอาละวาดบ่อยจัง”
หินส่ายหน้า เพราะไม่รู้เหมือนกัน
“แต่ เอ๊ะ...แล้วเสือมันจะมาเกี่ยวอะไรกะข้าล่ะ”
“เกี่ยวสิ ทำไมจะไม่เกี่ยว”
“เกี่ยวยังไง”
หินยิ้มกวนๆ
“ก็เพราะว่า ถ้ามีคนตาย ตำรวจก็ต้องมานะซี แค่เนี๊ยะ...คิดไม่ออก”
จงใจนิ่งคิดตาม แล้วดวงตาก็ค่อยๆเปล่งเป็นประกายสุกใสขึ้นมาทันที
“หมวดสมรักษ์...ใช่แล้ว....ทำไมสมองแกมันเจ๋งยังงี้”
จงใจคว้าร่างของหินมากอดเอาไว้ หมุนไปมา
“เบาๆสิ...เดี่ยวคนอื่นก็รู้หมดหรอก”
หินแกะมือจงใจที่กอดตนเองออก ถามขำๆ
“นี่แสดงว่าคิดถึงเขามากล่ะสิ”
จงใจหุบยิ้มอย่างเขินๆ
“ เอ๊ะ...ไอ้นี่ ดีด้วยแล้วเหลิงนะ”
“แล้วอยากไปมั้ยล่ะ”
จงใจยิ้มแทนตำตอบ
เสือใจนั่งดูทุกคนซ้อมมวย ซ้อมอาวุธกันอยู่ที่ศาลา จงใจยกกับแกล้มกับเหล้าขาวออกมาวางไว้ให้พ่ออย่างเอาใจ
“ทำไมยกมาเองละลูก แม่แววเขาไปไหน” เสือใจแปลกใจ
“น้าแววกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัวจ๊ะ”
“ให้ไอ้หินยกมาก็ได้ ไม่เห็นจะต้องถึงมือลูกพ่อเลยนี่หว่า มีอะไรหรือเปล่านี่”
เสือใจมองอย่างรู้ทัน จงใจหลบสายตาพ่อ
“หินมันไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหนแต่เช้าแล้ว”
“อืม...น่าสงสัย ปกติไม่เคยเอาอก เอาใจพ่อยังงี้เลยนี่นา”
“ก็ไม่มีอะไรนี่จ๊ะ แค่ยกออกมาให้พ่อเฉยๆ”
“ก็ดี...”
เสือใจพยักหน้า รู้ทัน แต่แสร้งทำเฉย
“พ่อ...”
“มีอะไรหรือ”
“หนู...”
“ไปทำผิดอะไรมา หรือเปล่า”
จงใจตัดสินใจพูดความจริง
“เปล่าจ๊ะ..เอ่อ...หนูอยากจะขอพ่อเข้าไปที่บ้านสาง”
“ไปบ้านสาง ไปทำไม ที่นั่นไม่มีอะไรแกไปสนใจ”
“พ่อไม่อยากรู้เหรอ ที่พี่ทศไปทำอะไรไว้ที่นั่น แล้วตอนนี้เรื่องมันไปถึงไหนแล้ว”
เสือใจนิ่งคิด จงใจเลยรุกต่อ
“แล้วเมื่อคืนนะหนูได้ข่าวว่ามีเสือ เข้าไปอาละวาดที่ในหมู่บ้านด้วยละ”
“เอ็งไปแล้วจะได้อะไรกลับมา”
“อย่างน้อยเราก็สามารถรู้ว่าเรื่องปล้น ตำรวจเขาตามล่าพวกเราไหม พ่อจะได้สั่งคนให้ระวังตัวได้”
“พ่อไม่อยากให้เอ็งไปเสี่ยงอันตราย”
“งั้นเอางี้พ่อให้หนูพาไอ้หินไปด้วยมั้ย พ่อก็รู้ว่าหินมันเก่งเรื่องหลบหนี มันรู้ลู่ทางในป่าได้ดีกว่าใครๆ”
“คนอื่นดีกว่ามั้ย”
“ถ้าเป็นคนอื่น แล้วเกิดมีใครจำได้ละพ่อ”
“อืม...นั่นสิ... เอางี้ แล้วพ่อจะบอกเอ็งอีกที”
“ไม่ได้แล้วพ่อ ต้องเข้าไปวันนี้”
“เฮ้ย...ทำไมจะต้องวันนี้ วันอื่นไม่ได้หรือ”
“วันอื่นมันก็ช้าไปแล้วนะสิพ่อ เกิดตำรวจตามคดีอยู่ แก้ไขไม่ทันไม่รู้ด้วยนะ”
เสือใจนิ่งเงียบ คิดไม่ตก ด้วยความเป็นห่วงลูกสาว
“นี่ถ้าไม่กลัวว่าจะมีปัญหาตามมาทีหลัง หนูไม่ไปเสี่ยงหรอก”
“เออๆๆ ตามใจ เอ็งจะทำยังไงก็ตามใจ แล้วระวังตัวด้วยละ”
จงใจยิ้มอย่างดีใจที่พ่ออนุญาต
สมรักษ์ จ่าชิตและตำรวจหลายนายมาที่บ้านชาวบ้านที่ถูกเสือฆ่า ผู้ใหญ่สนมาพร้อมจ่อย เสน และชาวบ้านจำนวนมากที่มามุงดูเหตุการณ์
ชาวบ้านคุยกันถึงเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งเกิดขึ้นกับครอบครัวผู้เคราะห์ร้าย เมียของผู้ตายนั่งร้อง ชาวบ้านผู้หญิงต้องช่วยกันปลอบ
จ่าชิตสวมถุงมือ จับศพพลิกให้ทุกคนเห็นว่า สภาพศพยังเป็นปกติดี เพียงแต่มีรอบแผลจากการขบขย้ำเท่านั้น
“จากบาดแผล เสือมันแค่กัดให้ตาย แต่มันไม่ได้กินเนื้อศพเลย”
“จ่าหมายความว่ายังไง” สมรักษ์สงสัย
“ปกติเสือมันจะฆ่า เพื่อล่า เพื่อกินเป็นอาหาร มันจะไม่กัดคนถ้าไม่จำเป็นแบบจวนตัว หรือว่าหิวโหย แต่เสือตัวนี้ มันบุกเข้ามาในหมู่บ้าน กัดคน แต่ไม่กินศพ มันดูแปลกเกินไปครับ”
“มันก็แปลกอยู่ คิดว่าจะเป็นตัวเดียวกับที่ฆ่าเมียผู้ใหญ่มั้ย”
ผู้ใหญ่สน สนใจทันที ขณะที่เสนเริ่มมีอาการคลุ้มคลั่ง
“เสือ...เสือกัดแม่ เสือเป็นคน คนเป็นเสือ...”
จ่าชิตหันไปมองดูเสนอย่างสะดูดหูในคำพูด
“เมื่อครู่นี้ เอ็งว่าอะไรนะไอ้หนู”
เสนพยายามหลบอยู่ข้างหลังพ่อ พร่ำบ่น
“แม่ตายแล้ว เสือกัดคน คนเป็นเสือ แม่ตายแล้ว...”
“เสือเป็นคน...คนเป็นเสือเหรอ...หมายความว่าไง” สมรักษ์ซัก
“เสือสมิงเหรอ...เอ็งกำลังจะบอกว่ามันเป็นเสือ สมิงเหรอไอ้หนู”
เสนร้องลั่นด้วยความตกใจ ก่อนที่จะผละออกจากข้างหลังพ่อ วิ่งหนีกลับบ้านทันที พร้อมกับตะโกนไปตลอดทาง
“ข้าไม่รู้...แม่ตายแล้ว เสือกัดคน คนเป็นเสือ แม่ตายแล้ว...”
เสนวิ่งไปร้องตะโกนไป ผู้ใหญ่สนมองตามหลังลูกไปอย่างมึนงง ชาวบ้านพากันตกใจไปด้วย
“เสือสมิงเหรอ ในโลกนี้ยังมีความเชื่อเรื่องเสือสมิงอยู่อีกหรือ” สมรักษ์ถาม
“ว่าไม่ได้นะครับ ในหมู่บ้านกลางป่า กลางดงอย่างนี้ เรื่องพวกนี้เราไม่รู้หรอกว่า มันจะเป็นจริงแค่ไหน”
“เหลวไหลนะจ่า เสือสมิงอะไรที่ไหนกัน”
“แล้วหมวดบอกได้มั้ยละครับว่า ทำไมเสือมันกัดคนแล้ว ถึงไม่กินเหยื่อ หรือว่าหมวดลืมเรื่องเสือตัวนั้นไปแล้ว ตัวที่มันกระโจนใส่หมวดจนตกน้ำ ตัวที่เราระดมยิงใส่ แต่มันไม่เป็นอะไรเลย หมวดว่ามันแปลกมั้ยละครับ”
สมรักษ์เถียงไม่ออก ได้แต่มองศพอย่างเครียดๆ
แม่หมอมองแก้วซึ่งแต่งตัวดีขึ้น ไม่มอมแมมเหมือนเดิม หน้าตาสดใส ผิดไปเป็นคนละคน
“ลมอะไรหอบเอ็งมาถึงที่นี่ได้ละไอ้หนู”
“พอดีข้าติดรถของหมวดสมรักษ์เข้ามาในหมู่บ้านนะจ๊ะ ก็เลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมยายด้วย”
แม่หมอยิ้มให้
“เห็นเอ็งหน้าตาสดใส ข้าก็พลอยหมดห่วงไปด้วย ผู้หมวดคนนั้นคงจะเป็นคนดีมากๆ”
“หมวดเป็นคนดีมากๆจริงจ๊ะยาย ถ้าไม่มีหมวด ข้าก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนเหมือนกัน”
แก้วหันไปมองดูมะค่าที่นอนนิ่งอยู่ ใบหน้าของมะค่าซีดเซียว
“มะค่า เป็นอะไร ไม่สบายเหรอครับ”
“มันถูกอาคม”
“เหรอครับ แล้วจะหายไหม”
แม่หมอคิดถึงกินรีอย่างมีความหวัง
“หายสิ...มันต้องหาย กินรีกำลังไปเอายา...แล้วนี่ผู้หมวดของเอ็ง เขาอยู่ทำอะไรอยู่ที่ไหนล่ะ เอ็งถึงได้แวะมาหาข้าได้”
“หมวดเขากำลังชันสูตรศพอยู่จ๊ะ ข้าก็เลยถือโอกาสมานี่”
“เออ...เอ็งมาก็ดีแล้ว ช่วยพายายไปที่บ้านนั้นที ยายว่าจะไปช่วยส่งวิญญาณให้อยู่เหมือนกัน”
“ได้จ๊ะยาย เดี่ยวข้าจะพายายไป แล้ว...พะอูไปไหนละยาย ไม่เห็นหน้าเลย”
แม่หมอส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างเอ็นดู เมื่อพูดถึงพะอู
“มันจะไปไหน มันก็ไปเล่นตามประสามันนั่นแหละ”
อ่านต่อเวลา 17.00น.
เสือสมิง ตอนที่ 5 (ต่อ)
พะอูนั่งอยู่บนโขดหิน เอาเท้าแช่น้ำอยู่ที่ลำธาร เขาครุ่นคิดเรื่องเลือดที่ติดปากมา จ่าชิตเดินเข้ามาข้างหลัง
“เอ็งมานั่งทำอะไรตรงนี้วะไอ้หนู”
พะอูสะดุ้งด้วยความตกใจ แล้วกระโดดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหันขวับเข้าไปหาจ่าชิต สีหน้าของพะอูดุร้ายน่ากลัวจ้องไปที่จ่าชิต แต่แล้วเหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้พะอูอ่อนลง
“ข้าไม่ทำอะไรเอ็งหรอก...แต่เอ็งมานั่งตรงนี้คนเดียวไม่กลัวเสือรึ...รู้หรือเปล่าว่าเมื่อคืนเสือมันกัดคนตาย”
พะอูส่งภาษาใบ้ว่ารู้
“รู้แล้วก็รีบกลับไปซะ”
พะอูพยักหน้ารับ แล้วทำท่าถามว่าจ่าชิตจะไปไหน
“ข้าก็จะไปจับเสือน่ะสิ”
พะอูพยักหน้าให้จ่าชิตแล้วเดินกลับเข้าไปในหมู่บ้าน ขณะเดียวกันที่พุ่มไม้ใกล้ๆกันนั้น คนรูสองผัวเมียซุ่มดูพะอูกับจ่าชิตที่เดินแยกกันไป มันส่งภาษาบอกกันว่าอย่าไปยุ่งกับสองคนนี้ดีกว่า แล้วคลานเข้าไปในป่า ลัดเลาะไปตามเส้นทางอย่างรวดเร็ว
จงใจกับหินซึ่งแต่งกายทะมัดทะแมง สะพายหน้าไม้และกล่องใส่ลูกดอก เหมือนกับพวกชาวเขาที่ออกจากหมู่บ้านมาล่าสัตว์ หาของป่าเดินลัดเลาะมาตามเส้นทางเดินป่า จงใจมองดูมีดเล่มยาวที่หินผูกสายคล้องไหล่เอาไว้กับข้างตัวอย่างสงสัย
“นั่นมีดอะไรของแก ข้าไม่เคยเห็น ด้ามสวยดี แต่ฝักมันเก่าๆน่ากลัวยังไงไม่รู้เลย”
หินมองดูมีดที่อองไชยให้มา หยิบมันขึ้นมาชมอย่างภูมิใจ
“มีนายพรานคนหนึ่งให้ข้าไว้ ตอนที่พวกไอ้ทศมันรุมทำร้ายข้า พรานคนนี้แหละที่ช่วยข้าไว้ แกถูกใจข้า เลยให้มีดไว้”
“ไหนดูสิ”
จงใจจะชักด้ามมีดออกจากฝัก หินถอยหลังกรูดด้วยความตกใจ
“เฮ้ย...อย่าพี่”
“อะไรของแกวะ แค่นี้ก็หวง”
“ไม่ใช่หวงพี่ แต่พรานเขาสั่งข้าไว้ ถ้าไม่มีอันตราย อย่าดึงมันออกจากฝักเด็ดขาด”
“มีงี้ด้วย...มีดอะไรวะ ห้ามชักออกจากฝัก แล้วถ้าเกิดจะหั่น จะตัดอะไรก็ชักไม่ได้สิ”
“ไม่รู้ ก็เขาสั่งเอาไว้อย่างนี้”
“ไหน เอามาดูสิ”
หินลังเล
“เอามาเถอะน่า ข้าไม่ทำอะไรหรอก แค่อยากดูว่าทำไมมันแปลกจัง”
หินปลดสายสะพายที่คล้องมีดออกส่งให้ จงใจรับมีดมาพลิกดูอย่างพิจารณา
“ทำไมต้องห้ามไม่ให้ชักออกจากฝักวะ”
จงใจสงสัย แล้วตัดสินใจ
“ลองดูก็ได้นี่”
จงใจจับด้ามมีดเอาไว้ อีกมือกระชากออก หินร้องลั่น
“พี่อย่า...”
ช้าไป...เพราะจงใจดึงมีดออกมาจากฝักเสียก่อน คมมีดซึ่งถูกดึงออกมาจากฝักขาววับ สะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่ลอดใบไม้ลงมา
ใบมีดสีขาวๆค่อยๆสะท้อนสงจนกลายเป็นสีเขียวเรืองๆ ขณะที่มีหมอกควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากฝักมีด ลอยวนขึ้นไปบนอากาศแล้วเกาะกันเป็นรูปเงาร่างมหึมา
จงใจ กับหินมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าอย่างกะทันหันด้วยความตกตะลึง นึกไม่ถึง จงใจถึงกับตกใจผงะถอยหลัง ปล่อยมีดและด้ามมีดหล่นลงกับพื้น
เงาควันสีดำที่รวมกันเหมือนร่างคน มีหน้ามีตา หันมาทางทั้งสองคน พลางเผยอปากออกมากรีดเสียงคำรามลั่น
เสียงคำรามของมัน สะท้อนก้องออกไปไกลในราวป่า นกกาแตกตื่นโผบินออกจากกิ่งไม้ด้วยความตกใจ ฝูงลิงค่าง ปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้ ส่งเสียงร้องเรียกกันก่อนที่จะเข้าไปซุกซ่อนอย่างหวาดกลัว
คนรูสองตัวที่คลานอยู่บนพื้น ชะงัก เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างน่ากลัวดังแว่วมาจากในป่า พวกมันพยายามชันตัวขึ้นมาให้สูงที่สุด เพื่อมองไปรอบๆตัว พลางส่งเสียงร้องงี๊ดง๊าด หน้าตาเลิกลั่กตกใจ คนรูตัวผู้ เงยหน้าขึ้นมา ใช้จมูกสูดหากลิ่นที่ลอยมาในอากาศ แล้วชี้ไปยังที่มาของต้นเสียง แล้วพุ่งปราดออกจากที่ไปยังเส้นทางนั้นอย่างรวดเร็ว คนรูตัวเมียตามไปติดๆ
จงใจกับหินตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หินได้สติรีบทรุดตัวลงเก็บมีดกับฝักขึ้นมา ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนจังก้า
มองดูเงาควันที่กำลังจ้องเขม็งไปยังจงใจ
“เฮ้ย...ทางนี้”
เงาควันนั้นหันขวับมามอง หินใช้มือมือจับด้ามมีดและฝักเอาไว้มั่น แล้วชูขึ้นสูงๆ ให้เงาร่างนั้นได้เห็น
“ กลับเข้ามา”
หินสอดคมมีดเข้าฝัก กระแทกเข้าหากัน เงาควันสลายออกจากกัน พุ่งวาบกลับเข้าไปในฝักมีด พริบตาเดียวหายหมด หินดันคมมีดเข้าไปจนสุดด้าม พร้อมๆกับที่เงาควันทั้งหมดนั้น หายวับเข้าไปในฝักมีดจนหมดพอดี
จงใจมองดูหินอย่างแปลกใจ
“แปลกดีจัง แกทำได้ไง แกสั่งมันได้”
หินมองดูมีดในมืออย่างไม่เข้าใจ
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่คิดว่ามันออกไปจากฝัก มันก็น่าจะกลับเข้าฝัก ถ้าเรียกมันน่ะ”
“แต่ก็ได้ผล...ไหน เอามาลองดูอีกทีสิ”
คราวนี้หินถอยกรูด พลางสั่นหัวยิกๆ
“ไม่เอาล่ะ ข้าไม่ให้พี่เล่นแล้ว น่ากลัวจะตาย เขาสั่งเอาไว้แล้วว่าอย่าดึงมันออกมา ถ้าไม่มีอันตราย เกิดพลาดอะไรไป แก้ไขไม่ได้ ข้าไม่เอาด้วยหรอก”
หินคล้องมีดเข้ากับสาย
“ไปกันต่อเถอะ พี่อยากจะเล่น หรือว่าอยากเจอตำรวจคนนั้น ก็เลือกเอาละกัน”
จงใจมองดูหินอย่างค้อนๆ
“เออ...ไปต่อก็ได้ ฝากไว้ก่อนนะเอ็ง”
หินหัวเราะขำๆ ก่อนจะพากันเดินไป
จงใจกับหินเดินมาจนถึงทางแยก ซึ่งมีต้นไม้ต้นใหญ่ขึ้นอยู่มากมาย ป่ารอบข้างรกชัฏ บรรยากาศวังเวง เปลี่ยวเสียจนทั้งสองคนต้องหันมาสบตากัน
“แปลก ทำไมเงียบจัง เสียงนกเสียงอะไรไม่มีเลย”
หินยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก ห้ามไม่ให้จงใจพูดอะไรออกมา ทั้งคู่ตวัดหน้าไม้ออกมาจากบ่า ใส่ลูกดอกเตรียมพร้อม แล้วก็เห็น กระรอกไต่ต้นเต่าร้างขึ้นไปบนต้นไม้
“ระแวงไปได้แกนี่”
จงใจส่ายหน้าขำๆ ทำท่าจะเอาลุกดอกใส่กลับกระบอกที่ด้านหลัง ทันใด คนรูตัวผู้กระโจนออกมาจากพุ่มไม้ เข้าใส่จงใจซึ่งไม่ทันระวังตัว กรงเล็บแหลมยาวในมือของมัน ตะกายนิ้วออก กะฉีกร่างจงใจออกเป็นชิ้นๆ หินหันมาเห็นพอดี
“พี่ระวัง”
หินตวัดหน้าไม้เล็งจะยิงแต่ไม่ถนัด เพราะกะทันหันเกิน ลูกดอกในมือหินพลาดเป้าไปกระทบกับต้นไม้ หินจึง
ถลันเข้ามา กระแทกจงใจจนกระเด็นไปอีกทาง หน้าไม้ในมือของหินตวัดฟาดเข้าใส่ร่างของคนรูตัวผู้อย่างสุดแรงเกิด
คนรูกระเด็นไปตกลงพื้น ดังแอ๊ก แต่ก็ม้วนตัวกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
จงใจพยายามจะลุกขึ้นมา คนรูตัวเมียปราดเข้าไปหา จงใจกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ เพราะเกิดมาไม่เคยพบเห็นอะไรน่าเกลียดน่ากลัวอย่างนี้
“หนีไปก่อนพี่”
หินร้องบอก จงใจหันรีหันขวาง กระเถิบถอยหลังไปอย่างตื่นกลัว
คนรูตัวเมียแยกเขี้ยว คลานเข้าไปหาจงใจอย่างดุร้าย สองมือของมันตะกุยเข้าใส่ ทันใดนั้น...อองไชยโผล่ออกมาจากข้างหลังโคนต้นไม้ พร้อมกับปืนในมือ
เปรี้ยง!
เสียงปืนดังสนั่น กิ่งไม้เหนือหัวคนรูตัวเมียหักกระจุย อองไชยตวาดไล่
“ไป...ไอ้เดียรรัจฉาน...ข้าไม่อยากทำบาป”
คนรูตัวเมีย ร้องวี๊ดๆ อย่างตกใจเมื่อเห็นหน้าอองไชย มันรีบตะกุยพื้นดินและใบไม้ที่ทับถมกันอยู่ มุดหนีหายไปทันที
“อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก..ไป...” อองไชยยิงปืนไล่หลังไป
คนรู้ตัวผู้ที่เตรียมจู่โจมใส่หินเมื่อเห็นตัวเมียมุดดินหนีไป ก็กระโจนเข้าพุ่มไม้หนีไปอีกตัว หินมองดูอองไชย และเห็นจงใจปลอดภัยแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง
แก้วเดินเอาห่อข้าวมาให้สมรักษ์ เมื่อทุกคนนั่งพัก แยกกันกินข้าวเที่ยงกันคนละมุม
“ข้าวเที่ยงจ้ะหมวด”
สมรักษ์ยิ้มให้
“ขอบใจมากแก้ว”
สมรักษ์รับมาแกะออก กำลังจะตักใส่ปาก แล้วหยุดชะงัก นึกถึงอดีต เมื่อครั้งที่จงใจเดินเอาห่อข้าวมาให้เขา ขณะที่นอนป่วยอยู่ แก้วมองดูสมรักษ์ซึ่งนั่งมองดูห่อข้าวในมือนิ่งอยู่อย่างแปลกใจ สมรักษ์ถอนหายใจ พลางหันมาทางแก้ว
“แก้ว...”
“จ๊ะ...”
“บ้านของแก้วอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ไม่ใช่หรือ”
“ครับ หมวดถามทำไมหรือจ๊ะ”
สมรักษ์คิดถึงชุมโจร ในใจคิดอยากไปอีกครั้งทั้งเรื่องจงใจและเสือใจ
“แก้วอยากกลับไปเยี่ยมบ้านมั้ย”
แก้วตกใจ รีบส่ายหน้าทันที
“ไม่เอาครับ หมวดอย่าไล่แก้วกลับไปที่นั่นนะ”
สมรักษ์คว้ามือของแก้ว ดึงให้นั่งลงข้างๆ
“แก้ว...วางใจ ฉันไม่ไล่แก้วกลับไปที่นั่นหรอก แค่ถามเฉยๆ แก้วไม่อยากกลับไปไม่เป็นไร ฉันเพียงแค่คิดถึงหิน คิดถึง...จงใจเท่านั้น”
แก้วเบือนหน้าหนีซ่อนหยาดน้ำตา เมื่อนึกถึงทุกคนที่บ้านที่ตนเองหนีจากมา
“จริงๆแล้วแก้วก็คิดถึงบ้านนะหมวด แต่เราสองคน คงหมดโอกาสกลับไปที่นั่นแล้วถ้ากลับไป เราต้องตายๆแน่ๆ”
สมรักษ์มองดูหน้าแก้วอย่างแปลกใจ พลางปลอบใจ
“ฉันเป็นตำรวจนะแก้ว ที่นี่ประเทศไทย ทุกคนอยู่ใต้กฎหมาย ไม่ได้อยู่ใต้กฎหมู่ของใคร ตอนนี้ฉันเกือบหายดีแล้ว ถ้าใครคิดจะฆ่าเราเหมือนตอนนั้น ฉันจะจับมันเข้าคุกเอง”
แก้วได้ยินคำว่าคุกก็ยิ่งลนลาน
“หมวดอย่าเข้าไปเลยนะ ที่นั่นมันชายแดน มันไม่ใช่ของไทย ไม่ใช่ของพม่า”
“แต่แก้วก็เป็นคนไทยนี่....”
“ใช่ แก้วเป็นคนไทย แต่หมวดอย่าเข้าไปเลยนะแก้วขอร้องล่ะ”
สมรักษ์ยิ้มอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของแก้ว
“โอเคๆ... ไม่อยากกลับไป ก็ไม่ต้องกลับไป ฉันไม่ได้ว่าอะไรนี่...”
“ขอบคุณนะหมวด”
แก้วก้มลงกราบสมรักษ์ประหลกๆ จนสมรักษ์ตกใจสะดุ้งโหยง รีบคว้ามือเอาไว้ พลางหัวเราะขำ
“เฮ้ย...เป็นอะไรไป ไม่ต้องกราบ...”
แก้วพลอยยิ้มได้ไปด้วย
ศพชาวบ้านที่ตายถูกห่อเอาไว้เตรียมตัวเผาตอนเย็น แม่หมอมองดูศพอย่างเวทนา แล้วเอาเครื่องบริกรรมมาวางแล้วท่องคาถา ทุกคนต่างมองจนแม่หมอทำพิธีเสร็จ ถอยออกมาจากศพ มาสมทบกับกลุ่มผู้ใหญ่สน
“ข้าส่งวิญญาณให้มันเรียบร้อยแล้ว เย็นนี้เอ็งจัดการเผามันได้”
เมียคนตายรับคำอย่างเศร้าๆ
“ขอบใจนะแม่หมอ”
แม่หมอพยักหน้ารับแล้วจะกลับบ้าน แต่ผู้ใหญ่สนท้วงเอาไว้
“ข้าไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆทำไมหมู่บ้านเรา ถึงมีเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ ดูท่ามันจะไม่จบง่ายๆนะ”
จ่อยกังวลใจและสงสัย
“นั่นสิแม่หมอ หรือว่าเป็นเพราะหมอภราดร...ที่เอ่อ...ทำหน้ากากตก”
“ทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้ว มันถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องยอมรับ ไม่มีใครแก้ไขได้นอกจากปล่อยมันไปตามกรรม” แม่หมอบอก
ผู้ใหญ่สนหนักใจ สมรักษ์เดินมามีแก้วตามหลัง เขาพูดสวนเข้ามาทันที
“ผมนี่แหละจะหยุดมันเอง”
ทุกคนหันไปมอง แม่หมอหัวเราะหยันๆ
“กลัวหมวดจะอยู่ไม่ถึงเป็นผู้กองน่ะสิ”
สมรักษ์บอกอย่างมุ่งมั่น
“แค่เสือตัวนึง ผมไม่เชื่อว่าจะจับมันไม่ได้”
“ข้าจะคอยดู”
แม่หมอพูดจบแล้วเดินออกไปอย่างเย็นชา ในใจปวดร้าว
หิน จงใจ อองไชย นั่งพักอยู่บนก้อนหินริมลำธาร ท่าทางจงใจและหินยังตื่นกลัวอยู่ เพราะคอยเหลียวมองไปรอบๆตัวอยู่ตลอดเวลา
“ไม่ต้องกลัว ไอ้ตัวประหลาดสองตัวนั่นมันหนีเปิดไปนานล่ะ แล้วแถวนี้มันมีน้ำอยู่ สองตัวนั่นมันกลัวน้ำ มันไม่กล้าเข้ามาหรอก”
อองไชย หัวเราะขำอากัปกริยาของทั้งสอง
“ถ้าไม่ได้ลุงพรานมาช่วย ข้ากับพี่คงแย่แน่ๆ” หินมองอองไชยอย่างขอบคุณ
จงใจหันไปหาอองไชย
“ขอบคุณลุงพรานมากๆนะจ๊ะที่ช่วยเราสองคน”
อองไชยยิ้มให้ทั้งสอง
“ไม่เป็นไร สงสัยดวงข้ากับไอ้หนูนี่ คงจะผูกพันกันไม่น้อย เจอกันสองหน ก็เกือบตายทั้งสองหนเลย”
จงใจยังติดใจสงสัย
“แล้ว...ไอ้ตัวนั่นมันเป็นตัวอะไร เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น คนก็ไม่ใช่ สัตว์ก็ไม่เชิง”
“เขาเรียกคนรู คนครึ่งสัตว์ปกติมันจะอยู่ในป่าลึก ไม่มีใครได้พบเห็นมันหรอก ยกเว้นว่าป่าแถวนั้น จะเป็นป่าอาถรรพณ์ที่มีอะไรสักอย่างดึงดูดใจพวกมันเข้ามา”
“ลุงพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่าป่าแถวนี้เป็นป่าอาถรรพณ์อย่างนั้นหรือจ๊ะ”
“ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าป่าแถวนี้มันมีอาถรรพณ์หรือเปล่า แต่ถ้ามีไอ้สัตว์พวกนี้ อาศัยอยู่ ก็ไม่แน่ว่ามันต้องผิดปกติอะไรสักอย่างแน่ๆ”
อองไชยหันไปมองป่ารอบๆที่เงียบสงัด จงใจกับหินมองตามแล้วรู้สึกเสียววูบ
“ขนาดกลางวัน ยังเสียวสันหลังวูบเลย” จงใจบ่น
หินหันมาถามอองไชยอย่างแปลกใจ
“แล้วลุงพรานมาเจอพวกข้าได้ยังไง สองหนแล้วที่ลุงช่วยข้า”
อองไชย มองดูมีดหมอที่หินคาดแขวนไว้ที่หน้าอก ด้วยสายตาตำหนิ หินมองตาม แล้วหลบสายตา ก่อนที่จะหันไปชำเลืองมองจงใจ
“ข้าบอกเอ็งแล้วไอ้หนู มีดเล่มนี้ ถ้าไม่มีอันตราย ก็อย่าชักมันออกมา”
จงใจแทรกเข้ามาทันที
“ความผิดของข้าเองละลุง อย่าไปว่าไอ้หินมันเลย ข้าเป็นคนชักมีดออกมาดูเอง หินมันห้ามแล้ว แต่ข้าไม่ฟังเอง”
อองไชยมองดูทั้งสองคน แล้วถอนหายใจ
“ช่างมันเถอะ ไหนๆข้าก็มาแล้ว ได้เจอเอ็งอีกที เห็นเอ็งปลอดภัยก็ดีแล้วไอ้หนู”
หินรู้สึกผิด
“ข้าขอโทษจริงๆลุงพราน แล้วนี่ลุงกำลังจะไปไหนหรือ”
“ข้ากำลังตามล่าเสือสมิงอยู่ ในป่าแต่บังเอิญว่าได้ยินมีดมันร้อง ก็เลยต้องตามเสียงมา ก็มาเจอพวกเอ็งพอดี”
หินหันไปสบตากับจงใจ ก่อนที่จะหยิบมีดที่คาดสะพายอกอยู่ขึ้นมามองดู แล้วบอกกับอองไชย
“มันเหมือนมีอะไรไม่รู้อยู่ในนี้”
อองไชยมองมีดเล่มนั้น ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“มีดเล่มนั่นมันเป็นมีดอาคม ข้าพกติดตัวมาตั้งแต่เด็กๆ ใช้มันสู้กับสัตว์ร้ายมาแล้วมากมาย เชือดเสือสมิงมาแล้วเป็นสิบตัว ข้าให้เอ็งพกไว้ติดตัว เพราะข้าชอบนิสัยเอ็ง ที่สู้คนไม่ถอย ทั้งที่ตัวเล็กแค่นี้ ข้าหวังว่าสักวัน มันอาจจะช่วยเอ็งได้”
หินขยับตัวลุกขึ้น เดินเข้าไปหาอองไชย กราบลงที่แทบเท้าของนายพรานอย่างตื้นตันใจ
“ข้าเองไม่รู้จะขอบคุณลุงพรานยังไง”
อองไชยลูบศีรษะหินอย่างเอ็นดู
“ไม่เป็นไรหรอกไอ้หนู ข้าถูกชะตากับเอ็ง ข้าถึงให้” อองไชยนึกขึ้นมาได้ “เออ...แล้วนี่พวกเอ็งสองคน กำลังจะไปไหนกันหรือ”
“พวกเราสองคนกำลังจะไปบ้านสางกันจ๊ะ ได้ข่าวว่ามีเสือกัดคนตายที่นั่น ก็เลยว่าจะไปดูสักหน่อย”
“นั่นแหละ เสือสมิงที่ข้ากำลังตามล่าล่ะ”
หินตกใจ จงใจถามหน้าตื่น
“จริงหรือลุง เสือนั่นเป็นเสือสมิงเหรอ”
อองไชยพยักหน้า ใบหน้าเคร่งเครียด
“ข้าเป็นพรานล่าเสือ แต่ไม่ฆ่าเสือธรรมดา ข้าล่าเฉพาะแต่เสือสมิงเท่านั้น ข้าตามมันมาจากฝั่งพม่า หลังจากที่รู้ว่า มีเสือมาอาละวาดที่แถวนี้”
หินทุบกำปั้นลงในฝ่ามือ
“เจ๋งไปเลยลุง ถ้าอย่างนั้น เราไปที่นั่นกัน ไปดูสิว่า เสือสมิงที่บ้านสางมันเป็นยังไง”
ภราดร กินรี ระริน และประเดิมเดินตรงมาที่บ่อน้ำพุร้อน บรรยากาศดูครึ้ม ลมพัดแรงพอสมควร ประเดิมบ่นอย่างแปลกใจ
“อะไรกันเนี่ย...เมื่อกี้ยังแดดแจ๋อยู่เลย”
ระรินหวาดๆ
“หมอคะ ระรินว่าบรรยากาศมันมาคุ มาคุยังไงไม่รู้นะคะ...เอ่อ...กลับกันก่อนดีไหมคะ”
“อะไรกันระริน เรามาถึงที่แล้วจะกลับทำไมโน่น บ่อน้ำพุอยู่ตรงโน้นไม่ใช่หรือ”
ภราดรมองหน้ากินรีอย่างให้กำลังใจ กินรียิ้มให้ ทั้งหมดเดินตรงไปที่บ่อน้ำพุ ระรินเกาะแขนภราดรแน่น
งะดินเดนั่งอยู่บนแท่นหินในถ้ำ ยิ้มอย่างพึงพอใจที่กลุ่มของภราดรเดินเข้ามาติดกับดัก
“เข้ามา...เข้ามาเลย...บาเยงโบ ชะเวมะรัตนังลูกอกกตัญญู วันนี้ข้าจะเด็ดหัวพวกเอ็งทั้งสองคน”
งะเดินเดนั่งบริกรรมคาถา
ภราดร กินรี ระริน ประเดิมเดินผ่านม่านหมอกมาที่ตั้งของบ่อน้ำพุแล้วต้องประหลาดใจเมื่อไม่เห็นมีบ่ออยู่ที่นั่น ภราดรกวาดตามองอย่างสงสัย
“บ่อน้ำหายไปไหน...”
ประเดิมมองหา
“นั่นสิหมอ...มาคราวที่แล้วยังอยู่เลย”
ระรินหวาดวิตกมองไปรอบตัว กินรีหันมาถาม
“แน่ใจหรือคะว่ามาถูกที่”
ภราดรมั่นใจ
“แน่ใจสิครับ ผมเพิ่งมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอง”
ทุกคนอยู่ในภาวะตกใจแล้วแปลกใจ ทันใดนั้นบรรยากาศค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นบรรยากาศกลางคืน ระรินตื่นกลัว
“เป็นบ้าอะไรกันเนี่ย จู่ๆก็มืด”
ภราดรมองไปรอบๆ กินรีวิตกกังวล ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงกรีดร้องของปีศาจและมีเงาปีศาจครอบคลุมทั้งบรรยากาศ ระรินร้องกรี๊ดกลัวสุดขีดแล้ววิ่งกระเจิงไป
“ไม่เอาแล้ว ใครจะไปก็ไป ฉันกลับแล้ว”
ภราดรเรียกไว้
“ระริน...ระริน...”
ระรินไม่ฟังวิ่งไปทันที ภราดรจะตามไปประเดิมห้ามไว้
“ผมไปตามเองครับคุณหมอ...คุณหมอรออยู่ที่นี่นะ”
“ฝากด้วยนะประเดิม”
ประเดิมวิ่งตามระรินไป กินรีมองรอบๆอย่างกังวล
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...หรือว่ามันจะเป็นอาเพศแบบที่ยายบอกจริงๆ”
“ช่างเถอะ เราไปช่วยกันหาบ่อน้ำพุร้อนดีกว่า มะค่ากำลังรอเราอยู่”
ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างวิตก ภราดรเอื้อมมือมาจับมือกินรีแล้วชวนเดินไป หญิงสาวรู้สึกอบอุ่น
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดจากอาคมของงะดินเด เขายิ้มแล้วพูดอย่างสะใจ
“หาบ่อน้ำพุร้อนหรือ...พวกเจ้ากำลังหาที่ตายมากกว่า พวกเจ้าต้องถูกขังอยู่ที่นี่จนตาย”
งะดินเดหัวเราะ จิตใจเต็มไปด้วยความอาฆาต
ผู้ใหญ่สน จ่อย สมรักษ์ แก้วเดินมาสมทบกับกลุ่มชาวบ้านและตำรวจ ผู้ใหญ่สนสั่งชาวบ้าน
“เอาล่ะพวกเราช่วยย้ายศพไปที่กลางลาน เย็นนี้จะได้เผามัน...ไป...ไป...”
สมรักษ์สั่งตำรวจทั้งหมด
“พวกเราก็ช่วยกันระวังให้แน่นหนาหน่อยนะเพิ่มกำลังมาดูแลที่บ้านสางนี่ด้วย ลำพังจ่าชิตคนเดียวคงเอาไม่อยู่หรอก”
ตำรวจทุกนายรับคำสั่ง สมรักษ์มองไปรอบๆไม่เห็นจ่าชิต
“มีใครเห็นจ่าชิตบ้างเนี่ย”
“เอ่อ...ไม่เห็นเลยครับ”
แก้วนึกสักพัก
“ผมไม่เห็นตั้งแต่ก่อนกินข้าวเที่ยงแล้วครับ”
“จ่าชิตนี่จริงๆเลย...เขาไปไหนของเขานะ...”
สมรักษ์ไม่พอใจจ่าชิต
จ่าชิตมุ่งหน้ามาที่ป่าทางขึ้นเขาแล้วมาหยุดที่ต้นไม้ใหญ่ที่สมรและเมียเขาถูกเสือกัดตาย เขาพบว่ามีรอยเลือดลากมาที่นี่จริงๆ
“อย่างที่ข้าคิดจริงๆ มันเอาหัวใจมาทิ้งไว้ที่นี่...”
จ่าชิตมองขึ้นไปบนเขาอย่างเครียดๆ
จงใจ หินและอองไชย เดินลัดเลาะมาตามแนวป่า จนเข้าเขตบ้านสาง ทั้งสามมองไปที่หมู่บ้านสาง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆตั้งอยู่ในหุบเขา
“ถึงเสียที นั่นแหละหมู่บ้านสาง ที่พวกเอ็งต้องการจะเข้าไปล่ะ”
“แล้วลุงพรานไม่เข้าไปกับพวกฉันด้วยหรือจ๊ะ” จงใจหันมาถาม
“ไม่ล่ะ ข้าขี้เกียจไปตอบคำถาม ข้าตะเวนอยู่รอบๆล่าเสือดีกว่า”
หินสงสัย
“ลุงพรานตามล่าเสือไปทำไม เอาหนังไปขายหรือ”
อองไชยหัวเราะในลำคอ
“ไม่ใช่หรอกไอ้หนู ข้าไม่ตามล่าเสือ แต่ข้าตามฆ่าเสือสมิง”
จงใจชะงัก
“ตามฆ่าเสือสมิง”
จงใจกับหินมองดูอองไชยอย่างแปลกใจ
“ในแผ่นดินของข้า ที่พม่า พวกพรานเชื่อกันว่า ถ้าใครได้ฆ่าเสือสมิงและกินหัวใจของมันสดๆครบ 12 ตัวเมื่อไหร่ คนๆนั้นก็จะไม่มีวันตาย มันเป็นยาอายุวัฒนะ”
หินตาโต
“โห...ยังงั้นเชียว แล้วนี่ลุงกินไปกี่ตัวแล้วเนี่ย”
อองไชยหัวเราะลั่น เมื่อมองเห็นสายตาของจงใจกับหินที่มองมายังตนด้วยความทึ่ง
“แล้วพวกเอ็งคิดว่า กี่ตัวแล้วล่ะ...ยังหรอก มันต้องกินพร้อมๆกัน”
ทั้งหินและจงใจส่ายหน้า
“อีกตัวเดียว...อีกตัวเดียวเท่านั้น มันก็จะครบแล้ว”
จงใจกับหินสบตากัน หินมองอองไชยอย่างนับถือ
“เสือสมิงตัวที่ข้าตามล่า มันยังไม่ตาย มันอยู่แถวนี้ พวกเอ็งก็ระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน”
จงใจกับหินยกมือไหว้อองไชย
“ไอ้หนู มีดที่ข้าให้เอ็ง มันเป็นมีดผีสิงที่ข้าใช้ปาดคอเสือสมิง เอ็งก็อย่าชักมันออกมาอีกล่ะ ถ้าไม่จำเป็น เพราะมันมีทั้งคุณและอันตราย”
จงใจแปลกใจ
“ทำไมหรือจ๊ะลุง”
“มันสามารถทำลายอาถรรพณ์ต่างๆได้ แต่ในขณะเดียวกัน ดวงวิญญาณที่สิงอยู่ในมีดนั้น มันก็อาจจะเรียกสิ่งที่เลวร้ายให้มาหาพวกเอ็งได้เหมือนกัน”
หินและจงใจพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“มิน่า ตอนที่พี่สาวข้าชักมีดออกมา ถึงได้มีอะไรแปลกๆ แล้วก็มีไอ้ตัวอะไรไม่รู้มาไล่ทำร้ายพวกเรา”
“นั่นแหละจำไว้ จวนตัวจริงๆ จึงจะใช้ และเมื่อเอ็งชักออกมา ข้าก็จะรู้สึกถึงอันตรายที่พวกเอ็งกำลังได้รับ ข้าก็จะกลับมา”
“ทำไมลุงถึงดีกับพวกฉันเหลือเกิน”
“ข้าไม่รู้หรอก ข้ารู้แต่ว่าดวงชะตาของข้ากับไอ้หนูนี่ มันต้องกัน ดูแลกันให้ดีล่ะ ข้าไปแล้ว”
อองไชยยกมือขึ้นลูบหัวหินอย่างเอ็นดู ก่อนที่จะหันหลังให้ เดินจากไปในราวป่าอย่างเงียบงัน...จงใจและหินมองตามหลังอองไชยที่เดินหายเข้าไปในป่า แล้วหันกลับมาทางหมู่บ้าน พยักหน้าให้กัน ก่อนที่จะเดินเข้าไปอย่างตัดสินใจ
ระรินวิ่งกระเจิงมาตามทางอย่างหวาดกลัวและขวัญเสีย
“ไม่เอาแล้วใครอยู่ก็อยู่...โอย...ทำไมมันเป็นแบบนี้”
ระรินเริ่มวิ่งเหยาะๆเบาๆเพราะเริ่มเหนื่อย สายตาพยายามเหลียวมองหลังอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เธอหันมาก็ต้องชนเข้ากับใครคนหนึ่ง หญิงสาวสะดุ้งร้องเสียงดัง ทรุดลงนั่งเอามือปิดตา
“ว้าย...กลัวแล้ว...อย่ามาหลอกมาหลอนเลย...ฮือ...ฮือ...”
คนที่ระรินชนก็คือประเดิมนั่นเอง
“คุณระริน...นี่ผมเอง...ประเดิม...ดูสิ...ดูให้ดี” ประเดิมพยายามเรียกสติ
ระรินยังคงปิดตาไม่รู้ไม่ชี้
“ไปเสียเถอะ ฉันจะทำบุญกรวดน้ำไปให้...อย่ามาหลอกหลอนกันเลย”
“คุณระริน...มีสติหน่อยสิครับ...”
ระรินยังคงเอามือสองข้างปิดตาดิ้นไปมาที่พื้นด้วยความกลัว ประเดิมตัดสินใจลงไปกอดเอาไว้เพื่อปลอบใจ
“ไม่...ออกไป...”
“คุณระริน...นี่ผมเอง...ดูดีๆสิ...”
ระรินรู้สึกอบอุ่นแล้วเย็นลงเอามือออกจากหน้ามองเห็นประเดิม
“ประเดิม...ช่วยด้วย ฉันกลัว”
ระรินเผลอตัวกอดประเดิม ชายหนุ่มรู้สึกดี
อ่านต่อตอนที่ 6