แรงปรารถนา ตอนที่ 9
ในเวลากลางคืนต่อมา ภายในผับ ภูวดลดื่มเหล้า แทงสนุ๊กฯ นัวเนียกับคิตตี้และผู้หญิงอีกสองสามคน ปาร์ตี้อย่างสุดเหวี่ยง
นักสืบยังคงแอบถ่ายรูปภูวดล รัวชัตเตอร์ไม่หยุด
ที่คอนโดฯ เวลาเช้า ภูวดลนอนบนโซฟาในสภาพเมาค้าง เสียงเมสเสจดังขึ้นหลายครั้ง ภูวดลคว้ามือถือที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา ก่อนจะลืมตาในสภาพงัวเงียและมึนมาก ภูวดลกดเปิดเมสเสจแล้วก็ตกใจที่เห็นภาพตัวเองกับคิตตี้ ถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ตาสว่างทันที...แล้วก็ไล่ดูภาพที่ส่งมาหลายรูปด้วยความอึ้ง
ไม่นานเสียงมือถือดังขึ้น รวีพรรณที่โทรเข้ามา ภูวดลรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือรวีพรรณ เลยรีบกดรับสาย
“ได้รับครบทุกรูปรึเปล่า”
“ทำแบบนี้ทำไม!” ภูวดลตวาด
รวีพรรณกอดอกสีหน้ากระหยิ่มยิ้มได้ใจ
“คุณอยากเล่นงานฉันก่อนทำไม ถ้าคุณทำร้ายพิทอีก ฉันจะเอาภาพทั้งหมดให้คุณย่าของคุณดู”
ภูวดลชะงัก รวีพรรณสีหน้ามีความสุขมาก
“ถ้าท่านเห็น ท่านคงจะผิดหวังในตัวหลานชายคนนี้มาก บางทีท่านอาจจะเปลี่ยนใจไม่ยกที่ดินให้กับคุณ แล้วเมื่อถึงตอนนั้นคุณก็จะกลับมาไม่มีค่าในสายตาพ่อของคุณอีกครั้ง”
ภูวดลกำมือถือแน่นด้วยความโมโหสุดๆ
“คุณร้ายกาจกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะ!”
รวีพรรณสีหน้าร้ายมาก
“ประสบการณ์สอนให้ฉันรู้จักป้องกันตัวเอง จำไว้ว่านี่แค่บทเรียนบทที่หนึ่ง”
รวีพรรณกดวางสาย ภูวดลอึ้งที่เธอย้อนคำของเขา ภูวดลปามือถือลงบนโซฟาสีหน้าโมโหอย่างที่สุดและเป็นกังวลเรื่องภาพถ่าย
เวลาบ่าย สุอาภาพยุงพิทยาเข้ามานั่งที่โซฟาภายในบ้านพัก
“ฉันช่วยพูดกับหมอจนหมออนุญาตให้นายกลับบ้านวันนี้ได้ เพราะฉะนั้นนายต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตัวตามที่ฉันบอก ตกลงรึเปล่า”
พิทยาอมยิ้มแล้วกวนกลับ
“ถ้าผมไม่ตกลงล่ะ”
สุอาภารีบพูด
“ถ้าไม่ตกลง นายต้องโดนทำโทษ”
“คุณจะทำโทษผมยังไงไม่ทราบ”
สุอาภายิ้มเจ้าเล่ห์เปิดกระเป๋าสะพาย หยิบปากกาหมึกดำออกมาวาดหนวดแมวที่หน้าพิทยา พิทยาชะงัก สุอาภาหัวเราะชอบใจ
“ก็แบบนี้ไง”
สุอาภาหัวเราะ พิทยามองสุอาภาที่หัวเราะก็คิดย้อนกลับไป
ภายในสวน บ้านสุอาภา ทั้งคู่ใส่ชุดออกกำลังกาย และอยู่ในวัยมัธยม สุอาภากำลังวาดหนวดแมวที่หน้าพิทยา เธอหัวเราะดังลั่น
“นายวิ่งแพ้ฉัน เพราะฉะนั้นนายต้องโดนทำโทษ”
สุอาภาวงกลมรอบตาพิทยา
“หยุดเถอะน้องแต หน้าพี่เลอะหมดแล้ว”
สุอาภาส่ายหน้า
“แน่ใจว่าไม่หยุด” พิทยาว่า
สุอาภาพยักหน้า พิทยาแย่งปากกาจากมือ เธอตกใจ
“เฮ้ย!”
พิทยาวาดหน้าสุอาภาเป็นการเอาคืน สุอาภาวิ่งหนี พิทยาวิ่งไล่
“ไม่เล่นนะพิท ไม่เอา...”
พิทยาจับสุอาภาได้ เธอเลยโดนวาดหน้า เขาหัวเราะสะใจ
ภายในห้องรับแขก พิทยาหัวเราะ สุอาภาแปลกใจ
“หัวเราะอะไร”
“ผมคิดถึงเมื่อก่อน ตอนนั้นเราวิ่งแข่งกัน ผมแพ้ คุณก็ทำโทษด้วยการวาดหน้าผมแบบนี้”
สุอาภาชะงัก
“ยังจำได้อีกเหรอ”
“ผมไม่เคยลืมเรื่องของเรา”
สุอาภาอึ้ง พิทยามองหน้าสุอาภา
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมไม่ยอมคุณง่ายๆแบบนี้หรอก แต่ครั้งนี้...ผมยอม”
สุอาภารู้สึกเขินกับคำพูดของพิทยาเลยเปลี่ยนเรื่อง
“ฉันว่านายขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”
พิทยามองสุอาภาแล้วก็ยิ้ม ก่อนจะลุกเดินไปขึ้นบันได แต่เดินไม่ถนัดทำท่าเหมือนจะล้ม สุอาภาตกใจรีบเข้าไปประคอง
“พิท!ระวัง”
พิทยากับสุอาภาหันมาหน้าใกล้กัน สุอาภารีบเบือนหน้าหนี
“ฉันช่วยพยุงนายขึ้นไปดีกว่า”
สุอาภาประคองพิทยาพาเดินขึ้นบันได เขาหันไปลอบมองเธออย่างรู้สึกดี
สุอาภาประคองพิทยาพาเข้ามาในห้องน้ำ พิทยาหันไปเห็นหน้าตัวเองในกระจกที่สุอาภาวาดหน้าก็ชะงัก
“สงสัยต้องล้างหน้าก่อนแล้วล่ะ”
สุอาภาหันไปมองเห็นหน้าพิทยาแล้วก็ขำ
สุอาภาเอาที่คาดผมคาดผมให้พิทยา แล้วก็บีบโฟมล้างหน้าใส่มือตัวเอง เอามือมาถูไปตามหน้า เขามองเธออย่างรู้สึกดี สุอาภาเขิน พิทยาอมยิ้มมีความสุข
ล้างหน้าเสร็จ สุอาภาเอาผ้าขนหนูซับหน้าให้ รอยหมึกบนหน้าหายไป
“เรียบร้อย...นายอาบน้ำเถอะ”
พิทยาแกะกระดุมเสื้อ สุอาภากำลังจะออกไปก็เห็นพิทยาถอดเสื้อแต่ไม่ถนัด
“ฉันช่วย”
สุอาภากับพิทยาเขินด้วยกันทั้งคู่ สุอาภาถอดเสื้อให้พิทยาเสร็จ
“ฉันว่านายแช่อ่างอาบน้ำดีกว่า จะได้สบายตัว ฉันเปิดน้ำให้”
สุอาภาเปิดน้ำใส่ในอ่างอาบน้ำ
“อุณหภูมิขนาดนี้ ร้อนพอเหรอยัง”
พิทยามายืนข้างๆสุอาภา แล้วยื่นมือไปโดนน้ำ
“กำลังดีเลย”
สุอาภาหันมาหน้าใกล้กับพิทยา สองคนมองหน้ากัน แล้วสุอาภาก็รีบผละออกห่าง
“งั้นนายก็อาบน้ำเหอะ ถ้าจะเอาอะไรก็เรียกล่ะ ฉันจะอยู่หน้าห้อง”
“อื้อ”
สุอาภาหันหลัง เปิดประตูแล้วก็หันมาอีก
“แล้วก็ไม่ต้องล็อกประตูนะ เกิดนายเป็นไรขึ้นมา ฉันจะได้เข้ามาช่วยได้ทัน”
“คร๊าบ”
สุอาภาพยักหน้าอย่างสบายใจแล้วก็เดินออกไป พิทยาแกะกระดุมกางเกงกำลังจะถอด แต่สุอาภาพรวดเข้ามาอีก พิทยารีบจับกางเกงเอาไว้ด้วยความตกใจ
“นายมีผ้าขนหนูแล้วใช่มั๊ย”
“มีแล้ว”
“โอเค...”
“ไม่ต้องเข้ามาอีกแล้วนะคุณแต ผมจะแก้ผ้าแล้ว”
สุอาภาหน้าแดงซ่านแล้วก็รีบเดินออกไป พิทยาส่ายหัวแล้วก็ยิ้มด้วยความเอ็นดูสุอาภา
พิทยาเดินใส่กางเกงตัวเดียวออกมาจากห้องน้ำในมือถือเสื้อ เห็นสุอาภานั่งอยู่ที่โซฟา เธอหันมา
“ช่วยผมใส่เสื้อหน่อยได้มั๊ยครับ”
สุอาภาไม่พูดอะไร ลุกเดินมาช่วยพิทยาใส่เสื้อจนเสร็จก็เดินมาตรงหน้า...ติดกระดุมเสื้อให้
เขามองเธอแล้วยิ้มน้อยๆอย่างรู้สึกดี
สุอาภาเขินกับสายตาของพิทยาเลยเอาแต่ก้มหน้าทำให้ติดผิดติดถูก รีบผละออกมา
“เสร็จแล้ว”
พิทยาก้มมองเห็นกระดุมติดผิด ก็ขำ
“แน่ใจนะว่าเสร็จแล้ว”
สุอาภาแปลกใจ เงยหน้าเห็นว่าตัวเองติดกระดุมข้ามไปอันหนึ่งก็ยิ่งอาย พิทยาอมยิ้ม
“ฉันติดให้ใหม่”
สุอาภาแกะกระดุม...ติดให้พิทยาอีกครั้ง พิทยาเอาแต่มองสุอาภาตาไม่กระพริบ สุอาภาทำเสร็จก็ผละออกมา
“ถ้าไงคืนนี้นายนอนในห้องเนี่ยแหละ”
“ไม่เป็นไร”
สุอาภาพูดแทรก
“เชื่อฉันสิ นอนบนเตียงมันสบายตัวกว่านอนบนโซฟา อยากถูกลงโทษอีกเหรอไง”
“ก็ได้”
ทั้งคู่ยิ้มให้กัน
ภายในออฟฟิศ ปวีณากับกรองทิพย์กลับมาที่โต๊ะ เห็นถุงกระดาษวางอยู่ก็แปลกใจ กรองทิพย์เสนอหน้าเข้ามาดูด้วยความอยากรู้
“อะไรอ่ะ”
ปวีณาไม่ตอบ เปิดถุงเห็นเป็นกล่องรองเท้า มีกระดาษโน๊ตแปะอยู่หน้ากล่อง ปวีณาหยิบออกมาอ่าน กรองทิพย์ชะโงกหน้าเข้ามาดูข้างๆ
“ผมซื้อรองเท้ามาใช้คืนให้คุณ”
ปวีณารู้ทันทีว่าบวรเป็นคนซื้อมาให้เธอ แต่กรองทิพย์ไม่รู้ก็เลยตื่นเต้น
“ใครซื้อรองเท้ามาให้เธอ”
ปวีณาไม่ตอบ แต่รู้สึกดีกับบวรขึ้นมานิดนึง
ภายในออฟฟิศ บวรเดินมาตามทาง เจอปวีณาเดินมา ทั้งคู่หยุดกึก
“ขอบคุณนะคะ เรื่องรองเท้า ความจริง คุณไม่ต้องซื้อคืนฉันก็ได้”
“ไม่ได้หรอก ถึงผมจะไม่ค่อยชอบคุณซักเท่าไหร่ แต่ผมเป็นคนแยกแยะ”
“แล้วคุณรู้ได้ไง ว่าฉันใส่รองเท้าไซส์อะไร”
“ผมเอาหน้าคุณเป็นมาตรฐาน”
บวรตกใจที่หลุดปาก ปวีณาโมโห
“นี่คุณเอาหน้าฉันไปเทียบกับเท้าเหรอ”
“เออ...มะไม่ใช่”
“ไม่ใช่อะไร คุณเพิ่งพูดอยู่หยกๆ”
บวรทำเป็นดูเวลาแล้วบอก
“ลืมไปว่านัดลูกค้า ไปนะ”
บวรยิ้มแหยแล้วรีบวิ่งออกไป แป๋วหันไปมองตามด้วยความโมโห
เวลากลางคืน ภายในห้องนอน บ้านพิทยา สุอาภาห่มผ้าให้เขาที่นอนอยู่บนเตียง
“กู๊ดไนท์”
สุอาภาเดินไปจะนอนที่โซฟา พิทยามองลังเลแล้วก็ตัดสินใจเรียก “คุณแต”
สุอาภาหันมา เขาพูดต่อ
“ผมว่าคุณมานอนกับผม เอ๊ย..มานอนเตียงเดียวกันเถอะนะครับ เอาหมอนกั้นไว้แบบนี้ คุณจะได้สบายใจ
สุอาภานิ่งมองไปที่เตียงที่พิทยาเอาหมอนข้างมาวางไว้ตรงกลางด้วยสีหน้าครุ่นคิด
สุอาภานอนอยู่กับบนเตียงกับพิทยา มีหมอนข้างกั้นตรงกลาง สองคนนอนตัวตรงกันมาก ประมาณว่านอนไม่หลับ เพราะรู้สึกแปลกๆ แล้วสุอาภากับพิทยาก็หันมามองหน้ากันพร้อมกัน สองคนตกใจ
“ยังไม่หลับอีกเหรอ”
“กำลังจะหลับแล้วคุณล่ะ”
“ฉันก็กำลังจะหลับ”
สุอาภารีบนอนหันหลังให้ พิทยาเองก็นอนหันหลังให้สุอาภา แต่สองคนยิ้มออกมาพร้อมกันอย่างรู้สึกดี
เช้าวันถัดมา ภายในห้องนอน พิทยากับสุอาภาหันหน้ามาชนกัน โดยที่หมอนข้างยังกั้นอยู่ แต่ไม่ได้ปิดหน้าคนทั้งคู่ ไม่นานพิทยากับสุอาภาก็ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกัน ทันทีที่เห็นหน้าก็ชะงักงันกันไปนิดนึง
สุอาภารีบเอาผ้าห่มมาปิดปาก
“มอร์นิ่ง”
พิทยาเอาผ้าห่มปิดปากเช่นกัน
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
สุอาภาลุกขึ้นนั่ง
“เออ...ฉันใช้ห้องน้ำก่อนนะ”
พิทยาพยักหน้า สุอาภาลุกเดินออกไปอย่างเขินๆ พิทยาเองก็เช่นกัน
ในเวลาต่อมา สุอาภาประคองพิทยามานั่งที่โต๊ะอาหาร
“ค่อยๆนั่ง ฉันจะทำข้าวต้มสูตรคุณหนูกระแตให้ทาน”
“ครับ”
สุอาภาเปิดตู้เย็น แต่พบว่าไม่มีของอะไรเหลือในตู้เย็น
“ของหมดทุกอย่างเลย...คงต้องออกไปซื้อแล้วล่ะ”
“ผมไปเป็นเพื่อน”
“ไม่ต้อง...นายอยู่บ้าน ฉันไปเอง”
พิทยาพยักหน้า สุอาภาเดินออกไป
ผ่านเวลาเล็กน้อย สุอาภากำลังโทรศัพท์ พลางเปิดประตูโรงรถไปด้วย
“พราว..แกช่วยฉันหน่อยสิ ฉันต้องซื้อของมาทำข้าวต้ม แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องซื้ออะไรยังไงบ้าง ถ้าไงเจอกันที่ซุปเปอร์แถวบ้านพิทนะ”
สุอาภาวางสาย หันไปเห็นรวีพรรณเดินเข้ามาก็ชะงักไปนิดนึง
“คุณรวี”
“ฉันไปหาพิทที่โรงพยาบาล แต่เค้าบอกว่าพิทกลับมาบ้านแล้ว ฉันก็เลยแวะมาเยี่ยมค่ะ”
“คุณรวีมาก็ดีแล้วค่ะ ฉันกำลังจะออกไปซื้อของ ฝากดูพิทด้วยนะคะ”
รวีพรรณดีใจแต่ต้องทำนิ่ง
“ได้ค่ะ ฉันจะดูแลให้ดีที่สุด”
สุอาภาไม่ติดใจอะไร ขึ้นรถแล้วขับออกไป รวีพรรณสีหน้ามีความสุขมาก
ที่โต๊ะอาหาร รวีพรรณนั่งลงข้างพิทยา เห็นหน้าเขามีรอยฟกช้ำ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ รวีพรรณจับหน้าพิทยา
“พิทโดนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย เจ็บมากมั๊ย”
ลึกๆแล้ว รวีพรรณรู้สึกผิดที่พิทยามาเจ็บเพราะตัวเอง
“ไม่ค่อยเจ็บแล้วครับ”
“รวีขอโทษนะคะ”
พิทยานิ่วหน้า
“รวีขอโทษทำไม”
รวีพรรณผงะไปเล็กน้อย แล้วรีบแก้ตัว
“เออ...รวีรู้สึกแค่ว่ารวีน่าจะได้เป็นคนดูแลพิท แต่...พิทได้คุณแตดูแลก็ดีแล้วล่ะค่ะ เพราะตอนนี้คุณแตเป็นภรรยาของพิท”
รวีพรรณยิ้มเจื่อนอย่างรู้สึกผิดกับพิทยาจริงๆ
ภายในซูเปอร์มาร์เก็ต พราวพิไลกำลังโวยใส่สุอาภาที่เดินเข็นรถอยู่ข้างๆ
“แกปล่อยให้นังแฟนเก่ามาดูแลคุณพิทได้ไง! แกลืมไปรึเปล่าว่าแกเป็นเมียเค้า”
“ฉันต้องออกมาซื้อของ”
“ก็เข้าทางมันเลยไง นี่แกไม่เชื่อที่ฉันพูดจริงๆใช่มั๊ย ฉันชักจะทนกับความโง่ของแกไม่ไหวแล้วนะ”
“นี่ไอ้พราว พูดแรงไปป่ะ ฉันไม่ได้โง่นะ”
“เออเออ เปลี่ยนคำพูดก็ได้ แกน่ะมันซื่อ มองอะไรด้านเดียว แกไม่เคยดูละครเหรอ เวลาที่ตัวละครตัวหนึ่งโดนกระทำเยอะๆ จากขาวก็เปลี่ยนเป็นดำได้”
“แต่นี่มันชีวิตจริงไม่ใช่ละคร”
สุอาภาเดินออกไป พราวพิไลหงุดหงิดแล้วก็ตามสุอาภาไปติดๆ
พิทยากำลังทำงานที่โต๊ะอาหาร...รวีพรรณนั่งที่โซฟา หันไปมองเห็นพิทยามีสมาธิกับการทำงานมากก็คิดนิดนึง
“คุณแตไปนานจังเลยนะคะ พิทหิวมั๊ย ให้รวีไปซื้ออะไรมาให้ทานก่อนเอามั๊ยคะ”
“ไม่เป็นไร ผมจะรอคุณแตกลับมาทานพร้อมกัน”
พิทยาหันไปทำงานต่ออย่างไม่สนใจ รวีพรรณเซ็งมาก แล้วพิทยาก็รู้สึกปวดตัวลุกขึ้นหยิบหลอดยานวดขึ้นมา รวีพรรณเห็น
“พิทจะทำอะไรคะ”
“ผมจะทายาน่ะครับ รู้สึกปวดๆ”
รวีพรรณรีบลุกเดินมาหา
“รวีทาให้ค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมทำเอง”
พิทยาเปิดเสื้อแล้วบีบยาใส่มือ..เอี้ยวตัวจะทาหลังแต่ไม่ถนัด
“รวีว่ารวีทาให้พิทดีกว่าค่ะ”
รวีพรรณถือวิสาสะทายาให้พิทยาที่หลัง พลางลอบมองพิทยาแล้วก็ยิ้มพอใจ ค่อยๆลูบไล้ไปตามตัว
ทันใดนั้นสุอาภากับพราวพิไลหิ้วถุงกลับเข้ามา สุอาภากับพราวพิไลผงะไปกับภาพที่เห็น พราวพิไลอ้าปากกำลังจะด่า แต่สุอาภาจับมือพราวพิไลแน่นไม่ให้พูด
รวีพรรณกับพิทยาหันมาเห็น รวีพรรณยิ้มพอใจที่สุอาภาเห็นพอดี พิทยารีบผละออกห่างรวีพรรณแล้วเดินไปหาสุอาภากับพราวพิไลทันที
“ผมช่วย”
“ไม่ต้อง นายทำงานเถอะ ฉันกับพราวจัดการเอง”
พิทยาพยักหน้า รวีพรรณคิดนิดนึง
“ให้รวีช่วยด้วยนะคะ”
สุอาภา พราวพิไล พิทยาหันไปมองรวีพรรณ
สุอาภา พราวพิไลเอาของมาวางในครัว รวีพรรณยืนอยู่ข้างหลัง
“คุณแตจะทำอะไรให้พิททานค่ะ”
สุอาภากับพราวพิไลหันมามอง
“ข้าวต้มค่ะ”
“ฉันทำให้ก็ได้นะคะ ฉันรู้ดีว่าพิทชอบรสชาติแบบไหน”
“ตอนนี้พิทเค้าไม่ทานรสเดิมแล้วค่ะ”
พราวพิไลหันไปมองเพื่อนแล้วก็ลอบยิ้ม รวีพรรณชะงัก
“ฉันกับพิทคิดข้าวต้มสูตรใหม่ขึ้นมา เป็นสูตรที่ฉันกับพิทจะทานกันได้แค่สองคนเท่านั้น”
รวีพรรณอึ้ง พราวพิไลรีบพูดต่อทันที
“มีข้าวต้มสูตรของตัวเองกันด้วย โรแมนติกจังเลย ถ้างั้นแบบนี้ก็ต้องเรียกว่าข้าวต้มคู่รักสิ ประมาณว่าใครไม่เกี่ยวก็ต้องไม่ได้กิน จริงมั๊ยคะคุณรวี”
รวีพรรณหน้าเจื่อน แต่ต้องฝืนยิ้มออกมา
“ค่ะ”
สุอาภากับพราวพิไลหันไปทำข้าวต้มต่อ รวีพรรณมองกำมือแน่นด้วยความโมโห
สุอาภานำข้าวต้มสูตรคุณหนูกระแตถูกวางบนโต๊ะ ซึ่งมีพิทยา รวีพรรณ กับพราวพิไลอยู่ด้วย พราวพิไลหันไปทางพิทยา
“เห็นแข็งๆแบบเนี้ย ก็หวานกับเค้าเหมือนกันนะคะเนี่ย”
“หวานอะไรเหรอครับ”
“ก็ข้าวต้มคู่รักหม้อนี้ยังไงล่ะคะ”
รวีพรรณหงุดหงิดกับสิ่งที่พราวพิไลพูด
พิทยาหันไปมองสุอาภาแล้วก็ยิ้ม
“อ๋อ...ข้าวต้มสูตรคุณหนูกระแต”
พราวพิไลหันไปทางสุอาภา
“ข้าวต้มสูตรคุณหนูกระแต แกเป็นคนตั้งชื่อเหรอ”
“อือ...มีปัญหาเหรอ”
“ว๊าย...ใครจะกล้ามีปัญหากับคุณหนูกระแตล่ะคะ ถ้าใครกล้ามีเรื่องกับแกก็โง่แล้ว” พราวพิไลพูดพลาง ปรายตามองรวีพรรณ
รวีพรรณชะงักไปกับคำพูดของพราวพิไล พราวพิไลนึกอะไรออกรีบพูดต่อ
“แต่จะว่าไป...คุณพิทไม่ต้องไปทำงานแบบนี้ แกกับคุณพิทน่าจะถือโอกาสไปฮันนีมูนด้วยกันนะคะ”
รวีพรรณผงะ สุอาภากับพิทยามองหน้ากัน
“ไปไม่ได้หรอกครับ ผมต้องทำงาน”
“เอางานไปทำก็ได้นี่คะ เปลี่ยนบรรยากาศจะได้คิดงานออก ไม่เห็นจำเป็นต้องทำที่บ้านเลย”
พิทยาฟังแล้วก็สนใจ รวีพรรณรีบพูด
“พิทจะไปไหวเหรอคะ ท่าทางพิทยังดูไม่ค่อยดี” รวีพรรณบอก
“ไม่ได้ไปปีนเขา หรือตะกายหน้าผาซักหน่อยนี่คะ คุณพิทก็เลือกไปที่ที่มันสบายๆ ชิลๆ รับลมเย็นๆ เผลอๆร่างกายคุณพิทจะฟื้นเร็วขึ้นด้วยซ้ำ”
รวีพรรณพูดไม่ออก
“มันก็จริงของพราว แล้วเราจะไปไหนกันดี”
“ผมอยากไปภูเขา”
สุอาภาเบ้หน้า
“แต่ฉันอยากไปทะเล”
“แต่ผมอยากไปภูเขา”
สุอาภาไม่พอใจยืนกอดอก
“ถ้านายอยากไปภูเขา นายก็ไปคนเดียว”
“เอาแต่ใจอีกแล้วนะคุณแต”
“ถ้าไม่เอาแต่ใจ ก็ไม่ใช่ฉันสิ ไปทะเลนั่นแหละ”
“แต่ผมเป็นคนป่วย คุณต้องตามใจผมสิ”
รวีพรรณรู้สึกตัวเองเป็นส่วนเกินมากๆ พราวพิไลอมยิ้ม แล้วก็รีบห้ามพิทยากับสุอาภา
“หยุดก่อนค่ะหยุด! ให้พวกเราสองคนกลับก่อนค่อยเถียงกันนะคะ เรากลับกันเถอะค่ะคุณรวี”
รวีพรรณชะงัก
“กลับ”
รวีพรรณหน้าเหวอ พราวพิไลจับแขนรวีพรรณหมับ
“ก็กลับน่ะสิคะ จะอยู่ทำไม ปล่อยให้ผัวเมียเค้าตกลงกัน คนนอกอย่างเราไม่เกี่ยว ไปก่อนนะแต ไปนะคะคุณพิท” พราวพิไลรีบตัดบททันที รวีพรรณจำต้องไปด้วย
“แล้วรวีจะมาเยี่ยมใหม่นะคะ”
“ครับ”
รวีพรรณฝืนยิ้มแล้วก็หันไปยิ้มให้สุอาภา ก่อนจะเดินออกไปกับพราวพิไล สุอาภากับพิทยาหันมาเถียงกันต่อ รวีพรรณหันมามองด้วยสีหน้าไม่พอใจ
พราวพิไลจับแขนรวีพรรณลากออกมา รวีพรรณหัวเสียมากสะบัดแขนออกจากพราวพิไล พราวพิไลหันไปมองรวีพรรณอย่างรู้ทัน
“อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าคุณคิดจะทำอะไร”
รวีพรรณทำนิ่งไม่สบตา
“ถ้าคุณทำให้เพื่อนฉันกับคุณพิทแตกแยกกันเมื่อไหร่ ฉันเล่นงานคุณแน่”
รวีพรรณหันมาทำหน้าแสนดี
“คุณกำลังเข้าใจผิด ฉันกับพิท เราเป็นเพื่อนกัน”
“จำคำพูดของตัวเองเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
รวีพรรณยังยืนนิ่ง
“ยืนอยู่ทำไมล่ะคะ กลับสิคะ”
รวีพรรณหัวเสียแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะต้องสร้างภาพ ได้แต่ฝืนใจเดินออกไป พราวพิไลแบะปากไล่หลัง
เสียงนพ บวร วรรณวดี และณีดังลอดออกมาจากมือถือที่เปิดสปีคเกอร์โฟน ทำเอาสุอาภากับพิทยาผละออกห่างแทบไม่ทัน
“ไปฮันนีมูน!”
ทุกคนมองหน้ากันด้วยความดีใจแล้วก็แย่งกันพูด
“ไปที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง ไปกี่วัน”
สุอาภากับพิทยาหันมาขำกันเอง
“โอ๊ย! พูดทีล่ะคนได้มั๊ยคะ แตกับพิทฟังไม่รู้เรื่อง”
นพรีบยกมือ คนอื่นเงียบ
“ให้ป๋าพูดก่อน เพราะว่าป๋าอาวุโสที่สุด จะไปฮันนีมูนที่ไหน”
“อย่าเรียกว่าฮันนีมูนเลยค่ะป๋า เรียกว่าพาพิทไปเปลี่ยนที่ทำงานดีกว่า”
สุอาภาหันไปยิ้มให้พิทยา
“เราจะไปทะเลกันครับ”
ณีจะพูด แต่เจอบวรแย่งถาม
“แล้วไปเมื่อไหร่”
“อาจจะอีกซักวันสองวันน่ะครับ”
ณีจะถามต่อ เจอวรรณวดีแย่งถามอีก
“แล้วไปกี่วัน”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ พิททำงานของคุณทาคาโน่เสร็จเมื่อไหร่ก็คงจะกลับเมื่อนั้น”
ณีจะถามแล้วก็เงียบ นพ บวร วรรณวดีแปลกใจ
“ทำไมไม่ถามล่ะณี”
“ก็ไอ้ที่ณีจะถาม พวกคุณๆถามกันไปหมดแล้วนี่คะ”
ณีหน้างอ คนอื่นหัวเราะชอบใจ
“เอาเป็นว่า ขอให้คุณพิททำงานสำเร็จ แล้วก็ขอให้คุณแตมีหลานกลับมาให้ป้าเลี้ยงก็แล้วกันนะคะ”
ทุกคนหัวเราะชอบใจ
สุอาภากับพิทยาหน้าแดงซ่าน
“ป้าอ่ะ..พูดอะไรก็ไม่รู้ แค่นี้นะคะ”
สุอาภารีบกดวางสาย หันไปเจอพน้าพิทยาก็ยิ่งเขินสุดๆ
“นายอย่าไปฟังที่ป้าณีพูดนะ ป้าแกชอบพูดไปเรื่อยแบบนี้แหละ”
พิทยาพยักหน้า สุอาภาเดินออกไป เขาหันไปมองตามเธอแล้วก็ยิ้ม
แรงปรารถนา ตอนที่ 9 (ต่อ)
ค่ำวันเดียวกัน ภูวดลเดินหน้าจ๋อยเข้ามาหาภาสันต์กับศรีพิไล
“คุณพ่อครับ คุณแม่ครับ”
ภูวดลเข้ามาใกล้แล้วก็ตัดสินใจ
“ผมมีเรื่องจะสารภาพ”
ภาสันต์กับศรีพิไลมองภูวดลอย่างแปลกใจ เขายื่นมือถือให้ ภาสันต์รับมือถือมา ศรีพิไลชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วย แล้วทั้งคู่ก็ตกใจที่เห็นรูปภูวดลกับน้องคิตตี้
ภูวดลมีแผนการบางอย่าง แต่พอพ่อกับแม่หันมาก็แกล้งทำหน้ารู้สึกผิด
“คุณรวีเห็นภาพพวกนี้ก็เข้าใจผมผิด คิดว่าผมไปเที่ยวผู้หญิง แต่จริงๆแล้วผู้หญิงคนนี้เข้าหาผมเอง ผมจะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะเพื่อนคะยั้นคะยอ ตอนนี้คุณรวีโกรธผมมาก”
ภาสันต์โมโหสุดๆลุกขึ้นยืน
“แล้วแกไปเที่ยวทำไมห๊ะ! ถ้าเกิดหนูรวีเปลี่ยนใจไม่แต่งงานกับแก จะทำยังไง แล้วไหนจะมีคุณย่าอีก ถ้าเห็นรูปพวกนี้เค้า คุณย่าไม่ยกที่ดินให้แกแน่”
ภูวดลถึงกับยอมคุกเข่าตรงหน้าภาสันต์พร้อมบีบน้ำตาร้องไห้ กอดขาพ่อ
“ผมผิดไปแล้วครับพ่อ ผมขอโทษ พ่อช่วยผมด้วยนะครับ นะครับพ่อ”
ภาสันต์เครียด ศรีพิไลเห็นใจลูกมาก ลุกมาจับแขนภาสันต์
“ช่วยลูกด้วยนะคุณ”
ภาสันต์มองภูวดลครุ่นคิด ภูวดลลอบยิ้มร้ายกาจที่มุมปาก
เช้าวันใหม่ ในห้องรับแขก สุอาภาเดินลงบันไดมา มองไปรอบๆไม่เห็นพิทยาก็แปลกใจ
“พิทหายไปไหนแต่เช้า”
สุอาภานึกเป็นห่วงเลยเอามือถือออกมากดโทรออก
พิทยากำลังเดินเข้ามาในออฟฟิศ เสียงมือถือดังขึ้น พิทยาหยิบออกมากดรับสาย
“ครับคุณแต”
“นายออกไปไหน”
พิทยาเดินไปคุยโทรศัพท์ไป
“ผมเข้ามาเคลียร์งานแล้วก็เอางานของคุณทาคาโน่ที่ออฟฟิศนิดหน่อยน่ะครับ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับ”
สุอาภาน้ำเสียงกังวลใจ
“ทำไมไม่ปลุกฉัน ฉันจะได้ขับรถให้”
พิทยายิ้มอย่างรู้สึกดี
“ผมขับไหว คุณไม่ต้องห่วง”
สุอาภาไม่พอใจ
“ถ้านายทรุดลงไปอีก นาย...”
พิทยาพูดสวนกลับทันที
“ต้องโดนลงโทษ”
สุอาภาชะงักที่พิทยารู้ทันที
“ทำเป็นรู้ดี รีบกลับมาล่ะ”
พิทยายิ้มมีความสุข
“รับทราบครับพ้ม”
สุอาภาวางสายแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างรู้สึกดี
ฝ่ายรวีพรรณเดินออกมาที่ห้องรับแขกเห็นภาสันต์ ศรีพิไล ภูวดล นั่งอยู่กับรมณีและณรงค์ก็แปลกใจมาก ไม่รู้ว่าภูวดลจะมาไม้ไหน รมณีลุกเดินมาหาลูกสาว
“พวกเรารู้เรื่องภาพถ่ายนั่นแล้ว”
รวีพรรณยังไม่เข้าใจ ภูวดลแสร้งเดินทำหน้าสำนึกผิดเข้ามาจับมือ รวีพรรณผงะ
“ผมขอโทษนะครับที่ผมทำตัวไม่ดี ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น”
รวีพรรณอึ้งมากที่ภูวดลใช้วิธีนี้เพื่อแก้เกมของเธอ ภาสันต์รีบเดินมาสมทบ
“ลูกชายอาสำนึกผิดแล้วจริงๆ ที่ทำลงไปเพราะถูกเพื่อนบังคับ ดลเสียใจมากที่ทำให้หนูไม่พอใจ”
ศรีพิไลตามมาอีกคน
“น้ายืนยันด้วยอีกคนว่า พ่อดลรู้สึกแย่มากจริงๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เค้ากังวลใจอย่างที่สุด กลัวหนูจะไม่แต่งงานด้วย”
รวีพรรณมองภูวดลทึ่งจนพูดอะไรไม่ออก ภูวดลรีบพูดต่อทันที
“มันไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่าที่คุณเห็น ยกโทษให้ผมนะครับ ผมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ผมทำให้คุณเสียใจ”
รวีพรรณโมโหที่ตามเกมส์ภูวดลไม่ทันจนพูดอะไรไม่ออก ณรงค์ลุกเดินมาหารวีพรรณ
“พ่อดลเค้ายอมขนาดนี้แล้ว ก็ยกโทษให้พ่อดลเค้าเถอะ”
“คนเรามันทำผิดพลาดกันได้ และแม่ก็มั่นใจว่าจากนี้ไป จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นขึ้นอีก” รมณีว่า
ทุกคนช่วยกันพูดให้ภูวดล ยิ่งทำให้รวีพรรณโกรธ ภูวดลเข้ามาสวมกอด รวีพรรณอึ้ง
ภูวดลกระซิบข้างหูรวีพรรณด้วยน้ำเสียงเหี้ยมก่อนเปลี่ยนเสียงเป็นน่าสงสาร
“อภัยให้ผม ยังไงคุณก็หนีผมไม่รอดหรอก - - อภัยให้ผมนะครับคุณรวี”
รวีพรรณได้แต่กำมือแน่นด้วยความโกรธแค้นสุดๆ ภูวดลลอบยิ้มร้ายอย่างพอใจ
รวีพรรณเข้ามาในห้องสีหน้าโกรธเกรี้ยว เอาหมอนขึ้นมาฟาดบนเตียงไม่หยุด
“ไอ้บ้า! บ้าบ้าบ้าบ้า! ฉันเกลียดแกไอ้ภูวดล ฉันเกลียดแก”
รวีพรรณระเบิดอารมณ์สุดแรง
พิทยากำลังเก็บของใส่กระเป๋าเอกสาร ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น พิทยาหันไป
“เชิญครับ”
ปวีณาเปิดประตูเข้ามา สีหน้าไม่สู้ดี
“คุณพิทคะ ไซต์งานที่เขาใหญ่มีปัญหาค่ะ”
พิทยานิ่วหน้า
“มีอะไร”
“ผู้รับเหมาไม่ทำตามแบบ วิศวกรบอกให้รื้อก็ไม่ยอม สถานการณ์ไม่ค่อยดีเลย แล้วคุณใหญ่ก็ไม่อยู่ด้วย”
พิทยาฟังแล้วก็เป็นกังวลขึ้นมาทันที
ภายในห้องรับแขก สุอาภาดูนาฬิกาเห็นว่า เที่ยงกว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืนสีหน้าไม่สบายใจ
“ไหนบอกแป๊บเดียว ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก”
สุอาภากดโทรศัพท์หาพิทยาอีกครั้ง
พิทยากำลังขับรถออกนอกเมือง เสียงมือถือดังขึ้น พิทยากดรับสายผ่านทางบลูทู๊ด ยังไม่ทันพูด เสียงสุอาภาก็ดังออกมา
“เสร็จงานเหรอยัง”
“พอดีไซต์งานที่เขาใหญ่มีปัญหา ผมต้องรีบไปดูครับ”
สุอาภาตกใจ
“นี่นายขับรถไปถึงเขาใหญ่เลยเหรอ แล้วนายไปกับใคร”
“ผมมาคนเดียว คิดว่าจัดการไม่นานคงกลับได้”
สุอาภาถอนใจ
“เมื่อกี้นายก็บอกว่าแป๊บเดียว หวังว่าคราวนี้คงจะไม่นานอย่างที่พูดจริงๆนะ ขับรถดีดีล่ะ ฉันเป็นห่วง”
พิทยายิ้ม
“ผมจะดูแลตัวเองอย่างดี แค่นี้นะครับ”
พิทยาวางสายแววตาเป็นประกายอย่างรู้สึกดีมากๆ
รวีพรรณสีหน้าไม่สบอารมณ์อยู่กับสินีนาฎที่ร้าน
“เท่าที่ฉันฟังเธอเล่าเรื่องคุณภูวดล เค้าไม่มีทางยกเลิกงานแต่งงานกับเธอแน่ เธอทำใจเรื่องพิทซะเถอะ เธอกับพิทคงไม่ได้เกิดมาเพื่อคู่กัน”
“ฉันไม่มีวันยอมแพ้ ไม่ว่าจะเป็นภูวดลหรือสุอาภา มันต้องมีทางที่จะทำให้ฉันไม่ต้องแต่งงานสิ”
รวีพรรณพยายามนึกหาทาง แล้วก็คิดถึงคำพูดของภูวดลที่พูดกับแม่าที่ร้านเวดดิ้ง
“หลังจากที่คุณย่าให้ที่ดินกับผมเป็นของขวัญแต่งงาน และผมโอนเป็นชื่อคุณพ่อเรียบร้อย ผมก็หย่ากับคุณรวีได้ใช่มั๊ยครับ”
รวีพรรณยิ้มมุมปากแล้วบอก
“ฉันนึกออกแล้วว่าจะทำยังไงเรื่องนายภูวดล”
สินีนาฎมองรวีพรรณที่มีสีหน้าเจ้าเล่ห์อย่างสงสัย
บ่ายวันนั้น ที่บ้านสวนจันทร์จำนง … รวีพรรณวางถุงใส่ชาไว้ตรงหน้าจันทร์จำนง
“รวีซื้อชามาฝากคุณย่าค่ะ นี่เป็นชาคาโมไมล์จะช่วยให้คุณย่าผ่อนคลายและนอนหลับสบาย”
“ขอบใจหนูมากนะจ๊ะ”
“คุณย่าลองดมดูสิคะ”
รวีพรรณหยิบซองชาออกมาให้จันทร์จำนง
“ยังไม่ได้ชงก็หอมแล้ว”
“หอมจริงๆด้วย แค่นี้ก็รู้สึกผ่อนคลายแล้ว”
รวีพรรณยิ้มแล้วก็มองจันทร์จำนงอย่างหยั่งเชิง ทำเป็นพูดลอยๆขึ้นมา
“เห็นคุณภูวดลบอกว่าคุณย่าจะให้ที่ดินคุณภูวดลเป็นของขวัญวันแต่งงาน”
จันทร์จำนงชะงัก
“พ่อดลรู้ได้ยังไง ฉันไม่เคยบอก”
รวีพรรณทำหน้าตาย
“รวีก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คุณภูวดลบอกรวีแค่นี้”
จันทร์จำนงนิ่งไปอย่างครุ่นคิดแล้วก็นึกออก
“คุณแม่ครับ...ที่ดินของคุณแม่แถวนนท์ฯ คุณแม่มีโครงการจะทำอะไรเหรอยังครับ” ภาสันต์ถาม
“ถามทำไม”
“ผมสนใจอยากสร้างห้างสรรพสินค้า เพราะแถวนั้นยังไม่มีห้างฯใหญ่ รับรองถ้าสร้างเสร็จเมื่อไหร่...ได้กำไรเน้นๆเต็มๆเลยนะครับ”
“แม่ไม่สนใจ เพราะแม่จะเก็บที่ดินตรงนี้ให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของพ่อดลกับหนูรวี”
จันทร์จำนงรู้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร รวีพรรณเห็นสีหน้าจันทร์จำนงก็ลอบยิ้มอย่างพอใจ
ภาสันต์กำลังเดินอยู่ พลันเสียงมือถือดังขึ้น ภาสันต์หยิบมือถือออกมากดรับสาย
“ครับคุณแม่...ให้ผมเข้าไปหาเดี๋ยวนี้!”
ภาสันต์ชะงัก สีหน้าไม่สู้ดี
ผ่านเวลาไม่นาน จันทร์จำนงสีหน้าเอาเรื่องนั่งตรงข้ามกับภาสันต์
“ลูกบอกพ่อดลเรื่องที่ดินที่แม่จะยกให้เหรอ”
ภาสันต์อึ้งแต่ทำนิ่ง
“ใช่ครับ ผมเผลอหลุดปากออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ”
“แม่ขอบอกเราไว้ตรงนี้ว่า แม่ยกที่ดินผืนนี้ให้เป็นทรัพย์สินของหลาน แต่ถ้าลูกยังดึงดันที่จะเอาไปสร้างห้างสรรพสินค้าตามที่เคยบอกแม่ไว้ล่ะก้อ..แม่ก็คงต้องคิดอีกทีว่า แม่จะยกที่ดินตรงนี้ให้เป็นของขวัญพ่อดลเค้าดีรึเปล่า”
ภาสันต์อึ้ง แต่พยายามไม่แสดงอาการ
“เข้าใจที่แม่พูดใช่มั๊ย”
ภาสันต์กัดฟันตอบ
ครับ”
ภาสันต์ไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่กำมือแน่น
ในเวลาต่อมา ภาสันต์พรวดเข้ามาในห้องทำงานของถูวดล ทำเอาเขาตกใจ
“แกไปบอกอะไรคุณย่าเรื่องที่ดิน”
ภูวดลลุกขึ้นยืนหน้าเหวอ
“ผมไม่ได้พูดอะไรเลยนะครับ”
“ไม่ได้พูด! แล้วทำไมคุณย่าถึงดักคอไม่ให้ฉันสร้างห้างสรรพสินค้าบนที่ตรงนั้น”
ภูวดลอึ้งมาก
“ผมไม่รู้จริงๆครับพ่อ”
ภาสันต์โมโหสุดๆ กระชากคอเสื้อภูวดลที่อยู่ในอาการกลัวเข้ามาใกล้
“แกจะรู้หรือไม่รู้ ฉันไม่สน แต่แกต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้ ถ้าฉันไม่ได้ที่ดินตรงนั้นไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่ออีก”
ภาสันต์พูดจบก็ปล่อยมือจากภูวดลแล้วจ้ำเดินออกไป ภูวดลทั้งโมโหทั้งเสียใจและไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ที่เขาใหญ่ พิทยาเดินเข้ามาในไซต์งาน เห็นว่ากำลังสร้างรีสอร์ต ทันทีที่เขาเดินเข้าไป วิศวกรก็รีบเดินมาหาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลใจ
“ขอบคุณมากนะครับที่คุณพิทมา ผมพูดจนปากเปียกปากแฉะ เค้าก็ไม่ยอมรื้อท่าเดียว แถมยังจะเอาเรื่องผมอีก”
“ผมจัดการเอง”
พิทยากับวิศวกรเดินไปหาผู้รับเหมามาดเก๋า หน้าตาเอาเรื่อง ดูมีอายุที่ยืนอยู่กับคนงาน พิทยาพูดกับวิศวกร
“ขอแบบให้ผมดูหน่อย”
วิศวกรรีบเอาแบบให้พิทยาดู เขาดูแบบสลับกับมองรีสอร์ตที่กำลังสร้าง เขาเดินเข้าไปดูตรงที่ทำโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ก่อนจะหันมาทางผู้รับเหมา
“ในแบบระบุว่าโครงสร้าง ทั้งเสาและคานเป็นเหล็ก 16 มม. ทำไมคุณถึงใช้เหล็กแค่ 12 มม.”
“ต่างกันนิดเดียว ไม่เป็นไรหรอก”
“ถ้าไม่เป็นไร วิศวกรคงระบุไปตั้งแต่ในแบบแล้วว่าสามารถใช้เหล็กขนาด 12 มม. ได้”
ผู้รับเหมาไม่พอใจ
“นี่ไอ้หนุ่ม คุณอยู่ในวงการนี้มากี่ปี ทฤษฎีมันก็แค่ทฤษฏี จะมาสู้คนมีคนมีประสบการณ์ 40 ปีอย่างผมได้ไง”
“เหล็กเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 มม มีน้ำหนักเท่ากับ 1.578 กก/เมตร ขณะที่เหล็กเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 มม มีน้ำหนักเท่ากับ 0.888 กก/เมตร น้ำหนักต่างกันครึ่งหนึ่ง”
ผู้รับเหมาหน้าเสีย พิทยาพูดต่อ
“ถ้าคุณใช้เหล็กขนาด 12 มม บ้านมีปัญหาทั้งหลังแน่ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นคนมีประสบการณ์ 40 ปีอย่างคุณ จะรับผิดชอบไหวมั๊ย”
ผู้รับเหมาพูดไม่ออก
“รื้อทั้งหมดเดี๋ยวนี้!”
“เสียเวลาตาย”
“ถ้าคุณไม่ทำก็เชิญออกไป คนทำงานมา 40 ปีอย่างคุณคงไม่ตกงานหรอก”
ผู้รับเหมาไม่กล้าเมื่อเห็นพิทยาเอาจริง
สุอาภานั่งอ่านนิตยสารอยู่ในห้องรับแขกภายในบ้าน พลันเสียงมือถือดังขึ้น สุอาภามองหน้าจอแล้วยิ้มออกมา เธอกดรับสายถาม
“กลับมาเหรอยัง”
ที่ไซต์งาน พิทยาสีหน้าไม่สู้ดีบอกสุอาภา
“งานมีปัญหามากกว่าที่คิด ไม่รู้จะได้กลับกี่โมงครับ”
สุอาภาชะงัก เริ่มหงุดหงิด
“อีกแล้วเหรอ ทำไมนายถึงไม่ห่วงตัวเองบ้างห๊ะ ห่วงแต่งานงานงานอยู่นั่นแหละ แล้วอีกอย่างนายต้องกินยานะ”
“ไม่กินวันนึง ก็ไม่เป็นไรมั๊งครับ”
“ได้ไงล่ะ เดี๋ยวดื้อยาแล้วไม่หาย นี่นายอยู่ที่ไหน”
“เขาใหญ่”
“ฉันรู้แล้วว่าเขาใหญ่ แต่เป็นเขาใหญ่ตรงไหน ฉันจะเอายาไปให้”
พิทยาผงะ
“ไม่ต้องหรอกคุณแต”
สุอาภาสีหน้ามุ่งมั่นมาก
“ฉันจะไป นายห้ามฉันไม่ได้หรอก”
พิทยาสีหน้าอ่อนใจบอก
“อย่าดื้อน่าคุณแต ถ้าผมเคลียร์งานเสร็จจะรีบกลับทันที คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ” พิทยาพูดพลางหันไปคุมงานต่อหันไปมองตรงที่คนงานกำลังรื้องานอยู่ก่อนวางสาย
“ฮัลโหล เดี๋ยวสิพิท... ได้ ถ้านายไม่ยอมบอก ฉันถามทางพี่ใหญ่เองก็ได้” สุอาภามองโทรศัพท์ท่าทางหงุดหงิด ท่าทางเธอไม่ยอมแพ้กดโทรศัพท์หาบวรทันที
รถสุอาภาแล่นอยู่บนถนน สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งนา เมฆฝนตั้งเค้าฟ้าเริ่มมืด เธอขับรถไปก็มองท้องฟ้าด้วยสีหน้าไม่ดี
“อย่าเพิ่งตกนะฝน ขอให้ฉันถึงก่อน”
สุอาภารีบเหยียบคันเร่ง ขับเร็วขึ้น
พิทยายืนดูคนงานกำลังรื้อถอนเหล็กเส้น...เสียงฟ้าร้องดัง พิทยาสีหน้าเป็นกังวลเงยหน้ามองท้องฟ้า เสียงโทรศัพท์พิทยาดังขึ้น เป็นเบอร์สุอาภาโทรมา
“ครับ คุณแต อะไรนะ ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมา ทำไมคุณถึงได้ดื้ออย่างนี้เนี่ย”
พิทยาสีหน้าตกใจ โมโหและเป็นกังวลมาก
“โอ๊ย อย่าบ่นนักเลยน่า ก็นายต้องกินยาให้ครบนี่!”
พิทยาถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
“แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน”
สุอาภาค่อยยิ้มออกบอก
“อีกประมาณ 10 กิโล น่าจะถึงไซต์”
แล้วสายก็หลุดไป... “ฮัลโหล...พิท”
สุอาภาเอามือถือขึ้นมาดูเห็นหน้าจอดับ เปิดก็ไม่ติด
“แบตหมด เฮ้อ”
พิทยากดโทรหาสุอาภาอีกครั้ง แต่ติดต่อไม่ได้แล้ว พิทยาใจเสีย
“ทำไมติดต่อไม่ได้แล้ว”
พิทยากังวลใจมากขึ้นแล้วฝนก็เริ่มตกลงมา เปาะแปะๆ พิทยาเงยหน้ามองท้องฟ้า
เวลากลางคืน ฝนตกลงมาหนักมากขึ้น รถสุอาภาแล่นฝ่าสายฝนมาตามทาง เธอขับรถมาจนถึงทางแยก..ก็เบรก..หันไปมองทางซ้ายกับทางขวา
“แย่แล้ว...จำไม่ได้ว่าพี่ใหญ่บอกให้เลี้ยวทางไหน”
สุอาภาคิดตัดสินใจเลี้ยวไปทางซ้าย
ที่ไซต์งาน พิทยายืนหลบฝนอยู่ในเต็นท์กับวิศวกร
“บอกทุกคนให้กลับมาทำต่อวันพรุ่งนี้” พิทยาสั่ง
“ครับ” วิศวกรรับคำ
วิศวกรวิ่งฝ่าสายฝนออกไปบอกคนงาน พิทยาเอามือถือโทรหาสุอาภาอีกครั้งแต่ก็ยังติดต่อไม่ได้
พิทยากังวลใจมากขึ้น คิดไปต่างๆนานา
“อีก 10 กิโลเอง ทำไมยังมาไม่ถึง”
พิทยาเป็นห่วงสุอาภามากๆ
ฝนตกหนักราวกับฟ้ารั่ว... สุอาภาขับรถมาตามทาง แต่ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อและไม่มีไฟถนน เธอมองสองข้างทางเห็นแต่พงหญ้าสูงชัน ก็ชักเอะใจ
“เรามาผิดทางรึเปล่า”
สุอาภาหยิบมือถือมา แล้วก็นึกได้
“โทรศัพท์ดันมาแบตหมดอีก”
สุอาภาเริ่มกลัวและนอยด์ ฟ้าผ่าเปรี้ยง!!อย่างแรง
เธอตกใจมาก แล้วทันใดนั้นกิ่งไม้ขนาดใหญ่ก็ตกลงมาหน้ารถ สุอาภาเห็นก็หน้าตาตื่นตระหนกตกใจสุดขีด
“อ๊าย!”
ความรีบร้อนอย่างลนลานทำให้พิทยาทำกุญแจรถหล่นข้างรถ เขารีบก้มลงหยิบขึ้นมากดรีโมทเปิดรถ ขึ้นไปนั่ง ก่อนจะสตาร์ทและขับรถบึ่งออกไปทันที
บนถนนเปลี่ยว สุอาภากางร่มลงจากรถ เห็นกิ่งไม้ขนาดใหญ่ทับฝากระโปรงรถก็หน้าเสีย..เธอพยายามจะยกกิ่งไม้ออก แต่ยกไม่ไหวจนลื่นล้มนั่งแปะไปกับพื้น ร่มหลุดมือแถมเธอยังทับร่มพังอีก
“โอ๊ย!”
สุอาภาเปียกฝนไปทั้งตัว พยายามจะลุกแต่ก็เจ็บขา เธอหันไปมองรอบตัวที่มืดสนิท ไม่มีแม้กระทั่งแสงไฟจากบ้านคนก็ยิ่งหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
พิทยาขับรถมาถึงแยกที่สุอาภาเลี้ยวซ้าย
“คุณแตบอกว่า 10 กิโลจะถึงไซต์งาน ถ้านับจากไซต์งาน ก็น่าจะมาหยุดตรงแยกนี้”
พิทยามองไปรอบๆ หันไปทางซ้าย ทางขวา... ไม่มีรถวิ่งมาซักคัน พิทยาคิด
“หรือว่าคุณแตจะไปผิดทาง”
พิทยาตัดสินใจตรงขึ้นไปซึ่งเป็นทางที่สุอาภาเลี้ยวซ้าย
สุอาภานั่งหน้าเครียดอยู่ในรถ ตัวสั่นเพราะหนาว ฟ้าร้องฟ้าผ่าไม่หยุด สุอาภาหลับตาปี๋ด้วยความกลัว หน้าแย่ ไม่รู้จะทำยังไง
ทันใดนั้นเสียงเคาะกระจกดังปังปังปัง! สุอาภาสะดุ้งเฮือก หันไปเห็นพิทยายืนข้างรถก็ดีใจสุดๆ
“พิท!”
สุอาภารีบเปิดประตูลงจากรถ แล้วโผกอดพิทแน่น พิทเองก็กอดสุอาภาด้วยความโล่งใจที่เห็นว่าสุอาภาไม่เป็นอะไร
พิทยากับสุอาภาต่างตัวเปียกปอนนั่งอยู่ในรถ
“ผมจะลองเช็กดูว่าแถวนี้มีอู่รถรึเปล่า”
พิทยาเอามือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแต่มือถือเปียกไปหมด พิทยาชะงัก เปิดมือถือไม่ติด
“มือถือเปียก เปิดไม่ได้”
สุอาภาเซ็งมาก
“แล้วทีนี้จะทำไง”
“ทิ้งรถคุณไว้ที่นี่ แล้วเรากลับรีสอร์ตกันก่อน”
สุอาภาพยักหน้า พิทยาถอยรถออกไป
พิทยาขับรถ สุอาภานั่งข้างๆ สีหน้าตื่นกลัวเพราะฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก เธอเริ่มหนาวสั่นแต่พยายามอดทน พิทยาเหลือบมองเธอแล้วหันกลับไปมองทางอย่างกังวล … อยู่ดีๆ รถก็เกิดติดหล่ม สุอาภาตาโตด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
พิทยาพยายามเร่งเครื่องแต่ก็ไม่สำเร็จ พิทยาหน้านิ่วหันมามองสุอาภา
“รถน่าจะติดหล่มครับ เดี๋ยวคุณแตเปลี่ยนมาขับแทนผม ผมจะลองลงไปดันดู”
พิทยาเปิดประตูลงไปอย่างรวดเร็ว สุอาภาเห็นเขาวิ่งฝ่าสายฝนไปท้ายรถก็รีบเปลี่ยนที่นั่งมาตรงที่คนขับแทน
พิทยาพยายามดันรถขึ้นจากหล่มท่ามกลางฝนที่ตกหนัก … เธอเร่งเครื่องขับขึ้นจากหล่ม เหลือบมองกระจกหลังเป็นห่วงเขาที่ตากฝน เธฮพยายามเหยียบคันเร่งแต่รถก็ไม่ขึ้น
พิทยาพยายามออกแรงดันอีกพร้อมๆ กับที่เธอเร่งเครื่องแต่ล้อกลับติดหล่มลึกลงไปอีก … พิทยาถอนหายใจเมื่อเห็นว่าไม่สำเร็จ หันมองไปรอบๆ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นแสงไฟข้างหน้าลิบๆ พิทยาเพ่งมองอยู่ครู่แล้วตัดสินใจวิ่งกลับเข้ามานั่งในรถ
สุอาภานั่งหน้าเครียด ทั้งกังวลทั้งเซ็ง
“อะไรกันเนี่ย มือถือฉันแบตหมด มือถือนายพัง รถฉันเสีย รถนายยังมาติดหล่มอีก ฝนก็ตกหนัก หนาวก็หนาว ขาเจ็บอีกต่างหาก มันจะมีอะไรอีกมั๊ยเนี่ย เราจะเอายังไงกันต่อดีพิท”
“ผมเห็นแสงไฟข้างหน้าอาจจะเป็นบ้านคนก็ได้ ผมว่าเราทิ้งรถไว้ที่นี่แล้วลองเดินไปดูกันดีกว่าครับ อาจจะพอขอความช่วยเหลือจากเขาได้”
สุอาภามองตามแล้วพยักหน้าตกลงอย่างไม่มีทางเลือก
นพ บวร และต่ายนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในห้องรับแขก วรรณวดีกดโทรศัพท์สีหน้าไม่สู้ดี
“ติดต่อไม่ได้ทั้งคู่เลยค่ะ”
ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างกังวล
“ยัยแตโทรมาถามทางไซต์งานที่เขาใหญ่ตั้งแต่ตอนบ่าย ป่านนี้น่าจะถึงแล้วนะ”
“ถึงแล้วก็น่าจะโทรมาบอกนะคะ...หรือจะเกิดอุบัติเหตุ ขานั้นชอบขับรถซิ่งอยู่ด้วยเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง”
วรรณวดีท่าทางร้อนรนจนนพต้องเบรกไว้
“อย่าเพิ่งคิดไปไกลเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นป๋าว่า ยังไงพิทก็ไม่ปล่อยให้แตเป็นอะไรง่ายๆหรอก”
บวรกับวรรรวดีมองหน้านพที่มีสีหน้าเชื่อมั่น
พิทยาประคองสุอาภาที่เจ็บขา เดินทุลักทุเลท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา สุอาภาจะลื่นล้มอีก แต่เขาก็โอบเอวเอาไว้ได้ทัน เธอเริ่มหงุดหงิด
“ฉันว่าเรากลับไปนั่งรอในรถไม่ดีกว่าเหรอ”
“ไม่ดีหรอกครับ มันอันตราย อาจจะถูกปล้นหรือถูกรถพุ่งเข้ามาชนได้ คุณแตทนหน่อยนะครับ อีกนิดก็ถึงแล้ว”
สุอาภาเห็นสายตาปลอบใจที่พิทยามองมาก็นิ่งไปนิดก็จะพยักหน้ารับ
พิทยากระชับมือที่เอวเพื่อช่วยให้สุอาภาเดินสะดวกขึ้น เธอมองมือพิทยาที่โอบเอวแน่นก็แอบเขินๆ
“ไม่ต้องจับแน่นขนาดนี้ก็ได้”
“ได้ไง เดี๋ยวคุณล้มไป แล้วเกิดเจ็บขาอีกข้างขึ้นมา ผมพาคุณขี่หลังไม่ไหวนะ”
สุอาภาเหวอ
“นี่...นาย”
“รีบไปเถอะครับ เดี๋ยวโดนฟ้าผ่าล่ะแย่แน่”
สุอาภามองค้อนแบบฝากไว้ก่อน พิทยาแอบอมยิ้มแล้วประคองสุอาภาเดินต่อ เธอมองเสี้ยวหน้าด้านข้างและแววตามุ่งมั่นของพิทยาแล้วแอบลอบยิ้มอย่างตื้นตันใจ … เขาประคองสุเธอเดินฝ่าสายฝนด้วยกันไปตามทาง
พิทยาเปิดประตูเดินเข้ามากับสุอาภา เห็นมีม้าอยู่ข้างใน สุอาภาเหวอมาก หันมาทางพิทยา
“ไหนนายบอกว่าบ้านคนไง!”
พิทยาหน้าเหวอไปด้วย
“ผมก็ไม่รู้”
“แล้วทีนี้จะทำไงล่ะ ฉันเดินต่อไม่ไหวแล้วนะ”
พิทยาหันมองสุอาภาที่ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง
“ผมว่าคืนนี้เรานอนที่นี่กันไปก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าเราค่อยออกไปหาคนมาช่วย”
“คอกม้าเนี่ยนะ”
“อดทนอยู่ไปก่อนนะคุณแต แค่คืนเดียว”
สุอาภาถอนหายใจด้วยความกลุ้ม แต่ยอมเดินเข้าไปในคอกม้า แล้วฟ้าก็ร้องเปรี้ยง!! อย่างแรง ตามมาด้วยไฟดับพรึ่บ!!
“ว๊าย!”
สุอาภาโผเข้าหาพิทยา เขาโอบเธอเอาไว้ พอเธฮรู้สึกตัวว่ากอดเขาอยู่ก็อายๆ แล้วผละออกห่าง หันมองรอบๆ คอกม้าที่มืดสนิท
“มืดจัง”
แรงปรารถนา ตอนที่ 9 (ต่อ)
พิทยาหันไปมองรอบๆ เห็นโต๊ะไม้เล็กๆเก่าๆวางอยู่ บนนั้นมีตะเกียง ไม้ขีด แล้วก็ผ้าขาวม้าแขวนอยู่ที่ข้างฝา พิทยาจะเดินไป สุอาภาหันมา
“จะไปไหน”
“ผมจะไปจุดตะเกียง”
“ฉันไปด้วย”
สุอาภาเข้ามาควงแขนเขาแน่น พิทยาจับมือเธอปลอบใจ แล้วสองคนก็เดินไปด้วยกัน
พิทยาเอาตะเกียงที่จุดไฟแล้ววางบนพื้น ก่อนจะหันมาเอากองฟางมาวางแผ่ๆ แล้วก็หันไปทางสุอาภา
“นั่งได้แล้ว”
สุอาภานั่งกอดอกหนาวเนื้อตัวหนาวสั่น พิทยาเห็นเลยเดินไปเอาผ้าขาวม้าที่แขวนอยู่ แล้วกลับมานั่งลงข้างๆ ก่อนจะเอาผ้าขาวม้าคลุ่มไหล่ให้สุอาภา
“เอานี่คลุมตัวไว้ก่อน ตอนดึกๆจะยิ่งหนาว”
“แล้วนายล่ะ”
“ผมไม่เป็นไร”
“แต่นายก็เปียกเหมือนกัน”
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ คุณเอาไปเถอะ”
“งั้นแบ่งกัน”
พิทยาชะงัก สุอาภาแบ่งผ้าครึ่งนึงให้พิทยา สองคนแบ่งผ้าขาวม้ากันคลุมตัวกัน แต่เพราะผ้าผืนเล็ก ทำให้พิทยากับสุอาภาต้องขยับมานั่งติดกัน สองคนเก้อเขินทำหน้ากันไม่ถูก แต่ก็แอบหันไปลอบยิ้มอย่างรู้สึกดี
ผ่านเวลา..ฝนก็ยังไม่หยุด...พิทยาพิงกำแพงหลับตา ส่วนสุอาภาสัปหงก หัวโงนเงนไปมา เขาเอามือจับหัวเธอให้มาซบที่ไหล่ตัวเองทั้งๆที่หลับตา สุอาภาชะงัก เหลือบมองเขาที่ยังหลับตาอยู่ก็แอบยิ้ม แล้วก็ซบไหล่พิทยานอนหลับ … พิทยาแอบลืมตามองเธอแล้วก็ยิ้ม ก่อนจะหลับตา
เช้าสดใสของวันใหม่ ชาวบ้านเปิดประตูเข้ามาในคอกม้าก็ชะงักเห็นพิทยากับสุอาภานอนซบกันอยู่
ในเวลาต่อมา พิทยากับสุอาภาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดชาวบ้านเดินออกมา ชาวบ้านผัวเมียหันไปมอง
“ขอบคุณมากนะครับที่ให้พวกเรายืมเสื้อผ้า แล้วก็ขอโทษที่เราเข้าไปนอนในคอกม้าโดยพลการด้วย”
“ไม่เป็นไร พวกคุณมาจากไหน” ชาวบ้านชายถาม
“ผมเป็นสถาปนิกของรีสอร์ตที่กำลังต่อเติมทางด้านโน้นน่ะครับ”
ชาวบ้านสองผัวเมียพยักหน้าเข้าใจ
“ส่วนนี่ก็..ภรรยาผมครับ”
สุอาภากับพิทยาหันมายิ้มให้กัน
“แล้วทำไมถึงไปนอนในคอกม้ากันได้ล่ะ” ชาวบ้านหญิงถาม
“เมื่อคืนฝนตกหนักมาก รถผมติดหล่มห่างจากนี้ 2 กิโลได้ครับ เราเลยทิ้งรถไว้แล้วเดินกันมา”
“แล้วมาเจอคอกม้าพอดีซินะ งั้นเดี๋ยวฉันพาไปส่งที่รีสอร์ตละกัน ไปๆ”
พิทยายิ้ม
“ขอบคุณมากครับ”
ชาวบ้านชายเดินออกไปเอารถ พิทยาจะเดินตาม
“เดี๋ยว ถ้ากลับไปที่รีสอร์ต เราจะไปพักกันที่ไหน อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันไปพักรวมกับคนงานน่ะ”
“งั้นเดี๋ยวผมเปิดห้องให้คุณแตพักก็ได้”
สุอาภาครุ่นคิด
“แต่ฉันว่าเราไปพักที่อื่นกันดีกว่า”
สุอาภายิ้มกริ่ม พิทยามองหน้าสุอาภาอย่างงงๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ชาวบ้านชายก็เดินมาตาม
“ไปกันได้แล้ว พ่อหนุ่ม ยัยหนู”
สุอาภาเสียงใส “ค่า”
สุอาภาวิ่งไปหาชาวบ้านชาย บอกจุดหมายปลายทางที่จะให้ไปส่ง ชาวบ้านชายพยักหน้าตกลง สุอาภายิ้มตอบ เขาขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย สุอาภาหันมากวักมือเรียก พิทยาก็เดินตามไป
พิทยากับสุอาภานั่งห้อยขาอยู่ท้ายรถกระบะขนหญ้า มีชาวบ้านผู้ชายเป็นคนขับ พิทยากับสุอาภายิ้มให้กัน แล้วมองบรรยากาศสองข้างทางที่มีแต่ต้นไม้และพงหญ้าอย่างรู้สึกดี
จู่ๆ รถของชาวบ้านผู้ชายก็เบรกหลบข้างทางกะทันหัน เพราะมีวัวเดินข้ามถนนตัดหน้า สุอาภาไม่ทันระวังเลยเซไปหอมแก้มพิทยาเต็มๆ ทั้งสองคนทั้งเหวอทั้งเขิน ชาวบ้านชายโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างรถบอก
“โทษทีนะ ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
พิทยากับสุอาภาผละออกจากกันแล้วตะโกนตอบ
“ครับ / ค่ะ”
พิทยากับสุอาภาตอบพร้อมกันพอดีก็หันมามองหน้ากัน แล้วต่างคนต่างก็มองไปทางอื่นด้วยความเขิน
ชายชาวบ้านขับรถออกไป … สุอาภานั่งนิ่งเอามือข้างหนึ่งเกาะมัดหญ้าไว้แน่น เพราะกลัวเซไปทางพิทยาอีก
พิทยาเห็นท่าทางของสุอาภาก็แอบยิ้ม
รถกระบะขนหญ้าวิ่งมาจอดหน้าบ้าน พิทยากับสุอาภากระโดดลงจากท้ายกระบะแล้วเดินมาหาชาวบ้านผู้ชายที่ยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างรถ
“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”
“ไม่เป็นไร แล้วเรื่องรถคุณล่ะให้ฉันช่วยมั๊ย”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมให้คนงานไปดูเอง ขอบคุณพี่มากๆนะครับ”
“งั้นฉันไปล่ะ โชคดีนะพ่อหนุ่ม แม่หนูด้วย”
“ขอบคุณนะคะ”
พิทยากับสุอาภายืนโบกมือส่งชาวบ้านผู้ชายที่ถอยรถออกไป
สุอาภาหันกลับมามองตัวบ้านพักตากอากาศของครอบครัวแล้วอมยิ้มออกมา พิทยาหันกลับมามองตาม
“คิดถึงจัง ไม่ได้มาที่นี่นานมากเลย”
พิทยามองตัวบ้านนิ่ง คิดถึงเรื่องราวในอดีต
นอกบ้านพักตากอากาศหลังนี้ในอดีต ตอนนั้นพิทยา อายุ 12 ขวบ ส่วนสุอาภาแค่ 7 ขวบ บรรยากาศ
โดยรอบร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่หลายชนิด พิทยากำลังเดินมองซ้ายขวาด้วยท่าทางร้อนรน
พิทยาป้องปากตะโกนเรียก
“น้องแต! น้องแต”
พิทยาสีหน้าหนักใจ ก่อนจะชะงักเพราะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก พิทยาพยายามมองหาที่มา แล้วเงยหน้าไปมองข้างบน พิทยาเบิกตากว้างที่เห็นสุอาภานั่งห้อยขากัดชมพู่มะเหมี่ยวอยู่บนกิ่งไม้ มองมาที่พิทยาท่าทางสนุกสนาน
“น้องแต!”
“ว้า เจอซะแล้ว กำลังสนุกเลย”
“ขึ้นไปทำอะไรบนนั้น! ลงมาเดี๋ยวนี้เลย”
สุอาภาไม่สนใจ
“พิทมีอะไร ตามหาแตทำไม”
“คุณอาให้พี่มาตาม น้องแตลงมาก่อน มันอันตราย”
สุอาภาหน้างอบอก
“ลงก็ได้ พิทรับด้วยนะ”
พิทยาตกใจยังไม่ทันได้ตั้งหลัก สุอาภาก็กระโดดลงมาทับพิทยาซะก่อน
“โอ๊ย!”
พิทยาหงายหลังล้ม จมลงไปในกองใบไม้ใต้ต้นชมพู่มะเหมี่ยว ลืมตามาเห็นสุอาภาฟุบอยู่บนตัวก็ตาโต
“น้องแต! เป็นอะไรหรือเปล่า น้องแต! น้องแต”
พิทยาใจเสีย พยายามเขย่าตัวสุอาภา แต่อยู่ๆ สุอาภาก็เงยหน้ามายิ้มให้
“แฮ่!โดนหลอกแล้ว”
พิทยาชะงักกึก หน้าสุอาภาอยู่ห่างกันแค่คืบ พิทยาจ้องหน้าสุอาภาที่ส่งยิ้มร่าเริงมาให้เหมือนตกอยู่ในภวังค์
ใบหน้าของสุอาภาอยู่ตรงหน้าพิทยา เธอขมวดคิ้วงงๆ โบกมือเรียกสติพิทยาที่ยืนเหม่ออยู่
“พิท พิท!”
พิทยาคืนสติ
“ครับ ครับ”
“เหม่ออะไรน่ะ”
“เอ่อ เปล่าครับ แค่... แค่คิดเรื่องงานน่ะ ผมว่าเราเข้าบ้านกันดีกว่า แดดเริ่มร้อนแล้ว”
พิทยารีบเดินนำสุอาภาเข้าไป เธอแหงนหน้ามองฟ้าที่ไม่มีแดดสักนิด ก่อนจะขมวดคิ้วสงสัยแล้วเดินเข้าบ้านตามไป
พิทยาเดินหายเข้าไปข้างใน ทิ้งให้สุอาภาเดินดูบรรยากาศในตัวบ้าน เธอมองไปรอบๆ เห็นกรอบรูปบนชั้นวาง สุอาภาเดินเข้าไปดูใกล้ๆ มีทั้งรูปครอบครัว รูปสุอาภาเดี่ยว และรูป สุอาภาที่ถ่ายกับพิทยาตอนเด็กตรงระเบียงหน้าบ้าน หน้าตามอมแมมเล็กน้อย
สุอาภาหยิบกรอบรูปขึ้นมามองแล้วไล้นิ้วลงไปที่ใบหน้าพิทยาตอนเด็ก
ในอดีต ใบหน้าพิทยาในสภาพมอมแมมมีเศษใบไม้ติดหัว ยืนมองหน้านพอย่างรู้สึกผิด ข้างๆ มีสุอาภาในสภาพมอมแมมไม่ต่างกันยืนทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว นพมองสภาพเยินๆ ของพิทยากับสุอาภาก็ถอนหายใจเซ็งๆ แล้วหันมามองคาดโทษลูกสาว
“ซนใหญ่แล้วนะยัยแต ถ้าพิทรับไม่ทันจะทำยังไง”
สุอาภายิ้มอ้อนรีบเข้ามากอดขานพอย่างประจบทันที
“พิทเก่งจะตาย ต้องรับแตได้อยู่แล้ว แล้วป๋าให้พิทไปตามแตทำไมคะ”
“รีบเปลี่ยนเรื่องเชียวนะ”
สุอาภายิ้มหวานทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ นพถอนหายใจแล้วขยี้หัวสุอาภาอย่างอ่อนใจก่อนจะยิ้มให้ แล้วปัดเศษใบไม้เศษดินตามหัวตามตัวออกให้
“ป๋ากำลังเห่อกล้องใหม่ เมื่อกี้ถ่ายใหญ่กับต่ายไปแล้ว เหลือแค่แตกับพิทที่ยังไม่มีรูป.. มาถ่ายรูปกันดีกว่า พิทด้วย มานี่สิ”
นพกวักมือเรียกพิทยา พิทยาเดินเข้ามาหาอย่างเกร็งๆ นพเห็นเลยยิ้มให้แล้วปัดเศษใบไม้เศษดินออกให้เหมือนกัน ก่อนจะดันให้พิทยาไปยืนข้างสุอาภา แล้วหยิบกล้องออกมา
“เอ้า พูดว่า ชีส นะ หนึ่ง สอง สาม ชีส”
สุอาภาพูดเสียงดัง “ชีส”
พิทยาทำแค่ยิ้มบางๆ ให้กล้อง
นพมองพิทยากับสุอาภาผ่านหน้าจอแล้วกดชัตเตอร์
สุอาภายืนถือรูปแล้วมองแล้วอมยิ้ม พิทยาเดินออกมาพร้อมเสื้อผ้าในมือ
“คุณแต ในตู้มีเสื้อผ้าทิ้งไว้นิดหน่อย คุณแตเอาไปเปลี่ยนก่อนนะครับ”
สุอาภาสะดุ้ง รีบวางกรอบรูปแล้วเดินมารับเสื้อผ้า
“ขอบคุณนะ”
สุอาภายิ้มให้พิทยาแล้วเดินหายเข้าไปในบ้าน พิทยาเดินไปที่โทรศัพท์บ้าน แล้วหยิบมากดโทรออก
บวรคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้ายินดี
“แกกับแตอยู่ที่บ้านพักตากอากาศ !”
“ครับ เมื่อคืนคุณแตขับรถมาหาผมที่ไซต์งานแล้วเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย”
บวรตกใจ
“แล้วแตเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
นพ วรรณวดี และณีที่นั่งฟังอยู่ท่าทางตกใจตาม
“ไม่เป็นอะไรมากครับ แค่เจ็บขานิดหน่อย” พิทยาบอก
บวรถอนหายใจโล่งอก
“รถคุณแตผมให้คนเอาเข้าอู่ให้แล้วคงต้องซ่อมอีกหลายวัน แล้วตอนนี้ที่ไซต์งานก็ยังไม่เรียบร้อย ผมกับคุณแตคงจะพักอยู่ที่นี่ซัก 2-3 วันนะครับ”
บวรยิ้มกรุ้มกริ่มบอก
“ไหนๆแกสองคนก็อยู่ที่นั่นแล้ว ถือโอกาสเปลี่ยนที่ฮันนีมูน..เอ๊ยเปลี่ยนที่ทำงานจากทะเลมาเป็นภูเขาแทนเลยสิ”
พิทยาขมวดคิ้วครุ่นคิด
“แต่คุณแตไม่ชอบภูเขา”
บวรยิ้มขำ
“งั้นเอาไว้ฮันนีมูนครั้งที่ 2 พวกแกก็ค่อยไปทะเลแบบที่ยัยแตชอบก็ได้ ครั้งนี้ก็เป็นภูเขาแบบที่แกชอบไปก่อน”
“แต่ว่า”
“เอาน่า ... เชื่อฉัน แค่นี้นะ ฉันไม่อยากกวนเวลาจู๋จี๋ เอ้ย..กวนเวลาทำงานของแก โชคดีนะน้องรัก”
บวรวางสายแล้วหัวเราะกับนพ วรรณวดีและณี … พิทยาวางโทรศัพท์ ครุ่นคิดอยู่ครู่แล้วถอนใจอย่างช่วยไม่ได้
สุอาภาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เธอเดินลงมามองหาพิทยา สุอาภาได้ยินเสียงพูดคุยกันและเสียงรถที่หน้าบ้าน กำลังจะเดินออกไปดู แต่พิทยาเดินผ่านประตูเข้ามาพอดี ในมือมีโน้ตบุ๊ก กระเป๋าแบบ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงาน พิทยาเห็นสุอาภาก็ยิ้มให้
“คนงานเอารถมาส่งพอดีเลยครับ”
พิทยาเดินเอาของไปวางที่โต๊ะ
สุอาภาดีใจบอก
“เหรอ ดีเลย งั้นเดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อเสื้อผ้า ของใช้ แล้วก็อาหารนะ นายอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“คุณแตจะไปคนเดียวเหรอครับ ให้ผมไปเป็นเพื่อนมั๊ย”
“นายทำงานเถอะ ลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันมันช็อปปิ้งมาเนียตัวแม่ แค่นี้สบายมาก ตกลงนายไม่เอาอะไรนะ”
“ครับ ขับรถดีๆนะครับ”
สุอาภายิ้มรับแล้วเดินออกไป พิทยามองตามอย่างเป็นห่วง ก่อนจะตัดใจหันมาตั้งใจทำงาน
ภายในห้างสรรพสินค้า สุอาภาเดินเลือกซื้อของกินของใช้อย่างตั้งใจ หยิบนู่นนี่ใส่รถเข็นเป็นว่าเล่น
เธอเดินเข้าออกร้านเสื้อผ้า เลือกเสื้อผ้าให้ตัวเองและพิทยาอย่างสนุกสนาน เธอหิ้วของเต็มสองมือเดินผ่านแผนกชุดชั้นในสุภาพบุรุษ สุอาภาชะงัก ฉุกคิดขึ้นมาได้แล้วทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“รู้งี้ให้พิทมาด้วยก็ดี”
สุอาภายืนลังเลอยู่หน้าแผนก ก่อนจะพยักหน้าแววตามุ่งมั่น
“เอาวะ”
สุอาภาเดินตรงกำลังจะเข้าไปในแผนก แต่พอมีลูกค้าผู้ชายสองคนเดินตัดหน้าเข้าไปก่อน สุอาภาก็เกิดใจฝ่อ เบรกกึก แล้วเลี้ยวไปแอบยืนตั้งหลักอยู่ตรงมุมแทน สุอาภาถอนหายใจ สีหน้าหนักใจปนเซ็ง
“โอ๊ย แค่กางเกงในผู้ชายเองนะ ไม่เห็นมีอะไรน่าอายเลย คุณหนูกระแตซะอย่างจะมากลัวอะไรกะแค่การซื้อกางเกงในให้สามี เอ้ย...”
สุอาภาทำตาโตตกใจที่หลุดปาก
“...ให้ ให้พิท ใช่ ให้พิท โอเค รีบซื้อรีบกลับ ลุย!”
เธอเรียกกำลังใจให้ตัวเองเสร็จ สุอาภาก็เดินตรงดิ่งเข้าไปในแผนกทันที
สุอาภาเดินหน้าตามุ่งมั่นเข้ามา พยายามกลบความอายไว้สุดฤทธิ์ เหลือบไปเห็นพนักงานหญิงกำลังเดินผ่านมา สุอาภายิ้มโล่งกำลังจะเดินเข้าไปหา แต่พนักงานหญิงดันเดินไปหาลูกค้าชาย 2 คนที่เข้ามาก่อนหน้า สุอาภาเซ็ง พนักงานชายรีบเดินเข้ามาหาทันที
“สวัสดีครับคุณผู้หญิง รับอะไรดีครับ”
สุอาภามองหน้าพนักงานชายที่ยิ้มต้อนรับเต็มที่ก็เกิดฝ่อขึ้นมาอีก พูดอึกอัก
“ฉันจะมาซื้อ...เอ่อ...ซื้อ...”
สุอาภาเขินไม่กล้าพูดเลยชี้ไม้ชี้มือไปที่กางเกงในในหุ่นแทน พนักงานชายมองตามแล้วพยักหน้ายิ้มๆ
“อ๋อ กางเกงในคุณผู้ชาย ต้องการแบบไหนไซส์ไหนดีครับ”
สุอาภาตาโตก่อนจะกลืนน้ำลายเอื๊อก ยิ้มแหยๆให้พนักงานชายที่ยิ้มมองมา เธอทำเป็นมั่นใจ
“แล้วมันมีแบบไหนบ้างล่ะ”
“รอสักครู่ครับ”
พนักงานชายหยิบกางเกงในแต่ละแบบมาวางเรียงราย
“เรามีทั้งแบบ ฮาล์ฟบรีฟ บิกินี่ บ๊อกเซอร์ แทงก้า แล้วก็จีสตริง”
สุอาภาตาโต เสียงดัง
“จีสตริง!”
ลูกค้าชายที่เลือกสินค้าอยู่หันมาสองสุอาภาแบบยิ้มๆ สุอาภาอายมาก
“ได้เลยครับ รับกี่ตัวดีครับ”
“เอ่อ คือ ไม่ใช่ ฉันเอาแบบ...”
สุอาภาหันซ้ายหันขวา เห็นหุ่นโชว์ แล้วรีบชี้ไปที่กางเกงในในหุ่น
“แบบ...แบบนั้น แบบนั้นแหละ! ไซส์นั้น สีนั้นเลยละกัน
พนักงานชายผายมือไปทางหุ่น
“คุณผู้หญิงตาถึงมากครับ นี่เป็นรุ่นล่าสุดของเรา ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐาน เนื้อผ้านาโนอิออนผสมผ้าไรคราและอีลาสติกไฟเบอร์ มีความหนาเพียง 0.3 มิลลิเมตร ออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง โปร่งสบายไม่บีบ…”
สุอาภาตัดบทเสียงดัง
“โอเค! ฉันเอาอันนี้แหละ เอามาสองโหลเลย รีบๆ จัดให้หน่อยนะ ฉัน เอ่อ ฉันรีบ”
พนักงานชายยิ้มหวาน
“ได้ครับ”
พนักงานชายเดินออกไป สุอาภาถอนหายใจอย่างโล่งอก
สุอาภาเก๊กหน้านิ่งรับถุงจากพนักงานชายแล้วรีบเดินออกมาด้านหน้าแผนก ก้มมองถุงในมือแล้วอดเขินไม่ได้
เวลาต่อมา ภายในบ้านพักตากอากาศ สุอาภาเก๊กหน้านิ่งยื่นถุงเสื้อผ้าให้พิทยา พิทยารับมาเปิดดูแบบผ่านๆแล้วยิ้มให้สุอาภา
“ขอบคุณนะครับ”
สุอาภาไม่ยอมสบตาเขา สายตามองไปทางอื่นแทน
“ฉันกะๆไซส์นายมา ไม่รู้ว่าจะพอดีหรือเปล่า ลองใส่ดูละกัน”
สุอาภาเหลือบมามองพิทยาที่ยิ้มให้ แล้วหลบสายตาอย่างเขินๆ
สุอาภากำลังเก็บของเข้าตู้เย็น พิทยาในชุดที่สุอาภาซื้อให้ก็เดินเข้ามา เธอมองแล้วยิ้มอย่างพอใจ
“ใส่ได้พอดีทุกอย่างเลยครับ คุณแตเลือกเก่งจัง”
สุอาภามองพิทยาที่ชมแถมยิ้มวิบวับแปลกๆ ให้ก็เขินจัด เธอยิ้มเจื่อนๆ แล้วหันไปเทน้ำยกขึ้นดื่มแก้เขิน
“แต่บางอย่างคราวหลังไม่ต้องซื้อมาเยอะก็ได้นะครับ คุณจะให้ผมเปลี่ยน เช้า กลางวัน เย็น หรือจะให้อยู่ที่นี่ต่อทั้งเดือนเลยเหรอไง”
สุอาภาที่ดื่มน้ำอยู่ถึงกับสำลัก มองหน้าพิทยาสีหน้าเหรอหราด้วยความอาย … พิทยาเห็นก็อมยิ้มขำๆ กับท่าทางไปไม่ถูกของสุอาภา … เธอเหมือนจะนึกคำแก้ตัว แต่อยู่ดีๆ ก็จามออกมาใส่พิทยาเต็มๆ พิทยาชะงัก
“เอ่อ...ฉันขอโทษ...ฉัน...”
สุอาภาจามออกมาอีก ... พิทยารีบเดินเข้ามาหา แล้วเอามือแตะหน้าผากวัดไข้อย่างเป็นห่วง เธอมองพิทยาอึ้งๆ
“ตัวรุมๆ สงสัยจะไม่สบายแล้วจริงๆ เมื่อคืนก็ตากฝน แล้ววันนี้ก็ออกไปตากแอร์ทั้งวันอีก”
พิทยาชะงักเมื่อก้มลงมาสบตาสุอาภาที่มองมา เธอเขินเลยขยับตัวออกห่าง
“เอ่อ... เดี๋ยวผมทำอะไรให้ทานดีกว่า คุณแตจะได้กินยา”
“งั้นฉันไปรอข้างนอกนะ”
สุอาภารีบเดินลิ่วๆออกไปทันที พิทยาพรูลมหายใจอย่างโล่งอก แล้วตั้งสติหันไปหาวัตถุดิบทำอาหาร
สุอาภานั่งรออยู่ที่โซฟา พยายามเก็บอาการไม่ให้เขินแต่คิดแล้วก็แอบยิ้มออกมาจนได้ ผ่านเวลาเล็กน้อย พิทยาเดินออกมาพร้อมถาดข้าวต้ม 2 ชาม สุอาภารีบเก๊กหน้านิ่งๆ พิทยาวางชามนึงหน้าสุอาภา
“ได้แล้วครับ”
“นายก็กินด้วยกันสิ”
สุอาภาชวนแล้วตักข้าวต้มเข้าปาก พิทยามองตามแล้วลงมือกินเหมือนกัน
ผ่านเวลา..ข้าวหมดชาม สุอาภาดื่มน้ำเรียบร้อย พิทยาก็ยื่นยาให้ทันที เธอมองแล้วยู่หน้า
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกน่า”
“ยังไงก็ต้องกินครับ กันไว้ก่อน เดี๋ยวจะเป็นหนักกว่านี้”
“จริงๆ นายก็ต้องกินนะ นายก็ยังไม่แข็งแรงเหมือนกัน ถ้าร่างกายไม่หายดี เดี๋ยวนายก็คิดงานไม่ออกหรอก”
“ถ้าคุณแตป่วย ผมก็คิดงานไม่ออกเหมือนกัน”
สุอาภาชะงัก สบตาพิทที่มองมาอย่างจริงจัง เธอแอบเขินทำหน้าไม่ถูก … พิทยายื่นยาให้ ส่งสายตาดุแกมบังคับ
“ถ้าคุณไม่ยอมกินแล้วเป็นหนักกว่านี้ต้องโดนจับฉีดยานะ”
สุอาภาเห็นท่าทางพิทยาก็แอบกลัวแต่ก็ยังนิ่ง
“หรือจะให้ผมจับกรอก”
พิทยาขยับตัว ทำท่าจะพุ่งเข้ามา สุอาภารีบพูดทันที
“กินด้วยกันสิ!”
“แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่”
“ก็กันไว้ก่อนไง”
พิทยาเห็นเธอลอยหน้าลอยตาตอบก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาพยักหน้าอย่างจำยอม สุอาภาเลยเชิดหน้าใส่ รับยามามองอย่างแหยงๆ แต่พอเห็นพิทยามองอยู่ เธอทำเป็นกินอย่างสบายๆ แต่กลับกลืนอย่างยากลำบากแล้วรีบดื่มน้ำตามจนแทบสำลัก … พิทยาหัวเราะออกมา สุอาภามองตาเขียว
“ยังกินยายากเหมือนเดิม”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง นายก็ต้องกิน กินเดี๋ยวนี้เลย”
พิทยาหัวเราะแล้วกินยาอย่างสบายๆ เสร็จแล้วยักคิ้วให้เธออย่างกวนๆ สุอาภามองค้อน
เขาหัวเราะออกมา สุอาภามองตาเขียว
“กินยาแล้วก็ต้องห่มผ้าอุ่นๆด้วย”
พิทยาเดินไปหยิบผ้าห่มมาห่อตัวสุอาภา เธอเหมือนตกอยู่ในอ้อมกอดของพิทยา เธอตกใจแต่เขาก็ยังคงกอดเธอไว้ สุอาภาเขินมากแต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างที่สุด
“คุณแต...ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ขับรถเอายามาให้ผมด้วยตัวเอง ผมดีใจจริงๆนะครับที่คุณแตเป็นห่วงผม”
สุอาภาเขินจัด แต่พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึก
“ใครว่าฉันห่วงนาย ฉันกลัวนายป่วยจนเสียงาน แล้วบริษัทพ่อฉันจะเสียชื่อไปด้วยต่างหาก”
พิทยารู้ว่าสุอาภาปากไม่ตรงกับใจก็แอบอมยิ้ม สุอาภารู้สึกเขินแปลกๆเลยรีบตัดบท
“นายไปทำงานต่อได้แล้ว เดี๋ยวก็เสร็จไม่ทันหรอก”
พิทยาคลายอ้อมกอดเหลือบมองเธอที่หลบตาแล้วเดินเขินๆออกไป
สุอาภาเหล่มองตามเขาก่อนจะอมยิ้ม ดึงผ้าห่มมาปิดหน้าด้วยความเขิน
พิทยานั่งทำงานอย่างขมักเขม้น ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกา แล้วหันไปมองทางประตูอย่างเป็นห่วง
พิทยาวางงานในมือแล้วลุกเดินออกไป
พิทยาเดินออกมาเห็นสุอาภาหลับอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก พิทยาเดินมานั่งมองหน้าเธออย่างเคลิ้มๆ ยิ้มอย่างเป็นสุขพลางปัดไรผมให้พ้นจากหน้า ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลงหอมหน้าผากสุอาภาอย่างอ่อนโยน พิทยาพึมพำ
“ถ้าคุณเป็นอะไรไป ผมคงไม่ให้อภัยตัวเอง”
เช้าสดใสวันต่อมา พิทยานอนอยู่บนโซฟา โดยมีสุอาภากอดซุกอยู่ข้างๆ บนตัวทั้งสองคนมีผ้าห่มห่มเอาไว้ สุอาภารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแบบงัวเงียพอเห็นว่า ตัวเองนอนกอดกับเขาอยู่บนโซฟาก็ตกใจมาก
พิทยาลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี เห็นเธอนอนกอดอยู่กับเขาก็ชะงัก ต่างคนต่างจ้องหน้ากันเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เธอเขินมากจะพลิกตัวลุกจากโซฟาแต่ก็เสียหลักจะหงายตกโซฟา พิทยารีบกอดเอาไว้แน่นด้วยสัญชาตญาณ ทั้งสองคนยิ่งอยู่แนบชิดกันมากกว่าเดิม หน้าผากของสุอาภาชนกับแก้มของพิทยาอย่างไม่ตั้งใจ … สุอาภาจะลุกขึ้น
“เดี๋ยวครับ”
เขาเอามือมารั้งศีรษะของสุอาภาแนบแก้มเขาเอาไว้เบาๆ
สุอาภาขืนตัวไว้แบบเขินๆ ใจเต้นแรง
“ไข้ลดลงแล้ว”
พิทยากอดสุอาภานิ่งไว้ครู่หนึ่ง สุอาภาเงยหน้าขึ้นสบตา พิทยาจ้องสุอาภาอย่างเผลอไผลจะจูบ
สุอาภาเคลิ้มไปตามอารมณ์ จังหวะที่ปากจะแตะกัน สุอาภาก็หงายหลังตกโซฟาไปจริงๆ
“โอ๊ย”
พิทยาตกใจ
“คุณแต!เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
พิทยารีบลุกตามจะเข้าไปประคอง
“ไม่ต้อง ฉันไม่เป็นอะไร”
พิทยาชะงัก สุอาภาเก๊กหน้านิ่ง ยันตัวลุกแต่เอามือกุมสะโพกไว้ … เขาเองก็เก๊กหน้านิ่ง พยายามไม่หลุดเขิน
“ผมขอโทษ แน่ใจนะว่าคุณไม่ได้เป็นอะไร”
“แน่ใจ...งั้น ฉันไปอาบน้ำก่อนละกัน”
พิทยาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ สุอาภารีบหันหลังเดิน แต่ก็เจ็บสะโพกจนต้องร้องโอ๊ยออกมา
พิทยาจะเข้าไปประคอง
“คุณแต”
สุอาภาหันมาโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ต้องๆ ฉันไหว”
พิทยาหยุดยืนนิ่ง สุอาภาพยายามเดินให้เป็นปกติออกไปแล้วก็ยิ้มกว้างออกมาแบบเขินมาก พิทยามองตามแล้วแอบยิ้มออกมาเหมือนกัน
แรงปรารถนา ตอนที่ 9 (ต่อ)
ในเวลาต่อมา พิทยาเอางานออกมานั่งทำตรงโต๊ะในห้องรับแขก พิทยานั่งทำงานต่ออย่างอารมณ์ดี
สุอาภาเดินถือถาดอาหารเช้าเข้ามาเป็นพวกไข่ดาว ไส้กรอก แฮม ขนมปัง
“อาหารพร้อมแล้ว”
พิทยามัวสนใจอยู่กับงาน
“คุณแตกินก่อนเลยครับ ผมยังไม่หิว”
“ไม่หิวไม่ได้ นายต้องกินข้าว แล้วก็กินยาตามเวลา”
“แต่ผมดีขึ้นแล้วนะคุณแต”
“ถึงจะดีขึ้นยังไงก็ต้องกินยาตามที่หมอสั่งให้ครบ”
-พิทยายังคงนั่งทำงานต่อไม่สนใจ สุอาภาหน้างอ มองอย่างอยากจะเอาชนะ
“พิท”
พิทยามัวสนใจอยู่กับงานไม่ยอมหันมา
“ครับ”
สุอาภาเริ่มเสียงดังขึ้น
“พิท!”
พิทยาสนใจอยู่กับงานไม่ยอมหันมา
“ครับ”
“ครับ แล้วก็หันมาสิ!”
พิทยาถอนหายใจ ยอมหันกลับมา
“ผมกำลังทำงานอยู่นะครับ คุณต...(คุณแต)”
สุอาภาเอาแฮมยัดใส่ปากพิทยาแบบไม่ทันตั้งตัว … พิทยาชะงักแฮมคาปาก สุอาภาหัวเราะพลางทำหน้าประมาณว่าในที่สุดนายก็ต้องกิน …พิทยาหน้านิ่ง อาศัยจังหวะสุอาภาเผลอเอาแฮมยัดใส่ปากสุอาภาอย่างรวดเร็ว
สุอาภาหน้าเหวอ พิทยาขำ … ทั้งสองคนเปิดฉากแข่งเอาอาหารป้อนกันอย่างขำๆ ทั้งไข่ดาว ไส้กรอก วิ่งไล่กันไปมา เสียงหัวเราะลั่นบ้าน ... พิทยาหยิบขนมปังแผ่นขึ้นมา เธอทำตาโตหน้าเหวอ เขายิ้มเจ้าเล่ห์วิ่งเข้าหา เธอร้องห้าม รีบวิ่งหลบแต่ไม่ทัน เขาเอาขนมปังยัดใส่ปากเธอได้ทันพอดี
สุอาภาโมโหหันมาจะแก้แค้นทั้งขนมปังที่คาอยู่ที่ปาก พิทยาก็หันมาพอดี หน้าทั้งสองคนใกล้กันมาก ทั้งสองคนต่างคนต่างอึ้งเหมือนจูบกันผ่านขนมปัง
นพ บวร และวรรณวดีที่เดินเข้ามาในบ้านพักตากอากาศ ทุกคนเหวอมากกับภาพที่เห็น บวรกระแอมบอก
“สวีทกันแต่เช้าเชียวนะ”
สุอาภาและพิทยารีบผละออกจากกัน ขนมปังร่วงลงมา พิทยาคว้าไว้ได้ทันแล้วเอาไปแอบไว้ข้างหลัง
“ป๋า พี่ใหญ่ พี่ต่าย!”
สุอาภากับพิทยาหน้าแดงมากด้วยความเขิน
“เป็นไงยัยต่าย เลิกห่วงยัยน้องสาวสุดเลิฟได้รึยัง”
วรรณวดียิ้มแซวบอก
“หายห่วงเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ”
สุอาภารีบเดินเข้าไปกอดและหอมนพแบบอ้อนๆ
“ป๋ามาได้ยังไงคะเนี่ย”
“ก็อยากมาดูให้เห็นกับตาว่าลูกๆ ของป๋าสบายดีหรือเปล่า ถามแบบนี้ไม่อยากให้ป๋ามาใช่มั้ย … งั้นพวกเรากลับ” นพแกล้งหันหลังกลับ
“ใครบอกล่ะคะ แตดีใจต่างหากที่ทุกคนมา”
ทุกคนหันมายิ้มให้สุอาภากับพิทยา
“นี่แกจะไม่ถามสามีแกหน่อยเหรอว่าเขาโอเคด้วยหรือเปล่า”
บวรแกล้งพยักเพยิดแบบแซวๆไปทางพิทยา ทุกคนหันไปมองเขาแบบยิ้มๆ
พิทยาอมยิ้มบอก
“อยู่ด้วยกันหลายคนก็สนุกดีครับ”
บวรแซว
“ดีเลย งั้นฉันขอขนมปังสัก 3 แผ่นนะ ฉันขับรถมาตั้งไกล หิ๊ว หิว”
“พี่ใหญ่!”
สุอาภากับพิทยาหันมาสบตากัน ต่างฝ่ายทำหน้าแทบไม่ถูกเพราะยังเขินกันอยู่ สุอาภาไล่ตีบวรที่วิ่งหลบ นพ ต่าย และพิทยา บรรยากาศสนุกสนาน
พิทยากับนพกำลังเดินดูไซต์งานที่เขาใหญ่ คนงานกำลังเอาเหล็กเส้นที่ตรงตามที่ระบุไว้ในแบบมาลงใหม่ไปบ้างแล้วบางส่วน ทุกอย่างดูราบรื่นไปด้วยดี
“ถ้าเกิดเจรจาไม่ได้หรือปล่อยให้สร้างไป มีหวังบริษัทเราคงโดนฟ้องอานแน่”
“ผมว่าคราวหน้าเขาคงไม่กล้าแล้วล่ะครับ”
นพหยุดเดินหันมามองพิทยา
“ขอบใจมากนะพิท ทั้งเรื่องงาน แล้วก็ขอบใจที่ปกป้องดูแลยัยแตเป็นอย่างดี”
“คุณอาไม่ต้องเป็นห่วงครับ อะไรที่ผมรับปากแล้ว ผมจะทำให้ดีที่สุด”
นพมองพิทยาอย่างภูมิใจในตัวพิทยามาก
บ้านสวนในเวลากลางวัน ภูวดลก้มกราบเท้าจันทร์จำนง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าที่อมทุกข์มาก จันทร์จำนงมองหลานด้วยความเห็นใจ
“คุณย่าโกรธผมเรื่องที่ดินรึเปล่าครับ”
“ย่าไม่โกรธเราเลย ถ้าจะโกรธก็โกรธพ่อเรามากกว่า นี่ถ้าหนูรวีไม่บอกย่าก็ไม่มีทางรู้”
ภูวดลชะงักที่รู้ว่ารวีพรรณเป็นคนบอก
“คุณรวีมาหาคุณย่าเหรอครับ”
“จ๊ะ...ตอนที่หนูรวีบอก ย่าถึงนึกขึ้นมาได้ว่าพ่อเราเคยมาขอสร้างห้างสรรพสินค้า แต่ย่าไม่ให้ ย่าไม่นึกว่าพ่อเราจะใช้วิธีนี้”
ภูวดลไม่พอใจรวีพรรณแต่ไม่แสดงออก เพราะตอนนี้เรื่องภาสันต์สำคัญกว่า
“คุณย่าครับ ผมมีเรื่องจะขอร้อง”
จันทร์จำนงมองหน้าภูวดลอย่างสงสัย
“คุณย่าอนุญาตให้คุณพ่อทำห้างสรรพสินค้าจะได้มั๊ยครับ”
จันทร์จำนงไม่พอใจภาสันต์
“พ่อเราบังคับให้เรามาพูดกับย่าใช่มั๊ย”
“ไม่ใช่ครับ ผมมาพูดกับคุณย่าเอง ตอนนี้โครงการได้ดำเนินการไปแล้ว ถ้าพ่อไม่ได้ที่ตรงนี้ พ่อจะต้องชดใช้ให้กับหุ้นส่วนหลายร้อยล้าน โทษฐานที่ทำผิดสัญญา และถ้ามันเป็นอย่างนั้น พ่อฆ่าผมตายแน่”
ภูวดลมีความหวาดกลัวในแววตา จันทร์จำนงผงะ
“ฟังนะพ่อดล...ไม่มีพ่อคนไหนทำร้ายลูกได้ลงคอ”
“ยกเว้นพ่อของผม”
จันทร์จำนงอึ้ง ภูวดลพูดต่อ
“คุณย่าก็รู้ว่าพ่อไม่เคยรักผม ในสายตาของพ่อ ผมคือลูกที่ไม่เอาไหน ไม่เคยทำอะไรสำเร็จ พ่อไม่เคยชื่นชมหรือส่งเสริมไม่ว่าผมจะทำอะไร ผมไม่ได้อยากปิดบังคุณย่าเรื่องนี้เลยนะครับ แต่ที่ผมต้องทำเพราะผมต้องการให้พ่อหันมามองผมบ้าง”
ภูวดลขยับมาใกล้จันทร์จำนง แล้วจับมือย่าขึ้นมาแนบกับหน้า น้ำตาคลอเบ้า
“คุณย่าอย่าเกลียดผมนะครับ เพราะในชีวิตนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่จะรักผมนอกจากคุณย่า”
ภูวดลน้ำตาไหล จันทร์จำนงมองหลานชายด้วยความสงสาร เธอดึงหลานเข้ามากอดแน่น ภูวดลกอดจันทร์จำนงตอบ ร้องไห้เงียบๆ ดูน่าสงสาร
ในเวลาต่อมาที่ออฟฟิศ ภาสันต์กำลังทำงาน สีหน้าหงุดหงิดเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
ประตูเปิด … ภูวดลประคองจันทร์จำนงเข้ามาในห้อง ภาสันต์แปลกใจลุกเดินมาหา
“คุณแม่”
ภาสันต์หันไปมองภูวดลสงสัย แต่ภูวดลไม่พูดอะไร
“แม่ตกลงจะให้เราทำห้างสรรพสินค้า”
ภาสันต์ดีใจสุดๆ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
“ขอบคุณมากครับคุณแม่”
“แต่แม่มีข้อแม้...”
ภาสันต์นิ่วหน้า จันทร์จำนงพูดต่อ
“ลูกต้องยกหุ้นที่ลูกได้ให้เป็นของพ่อดลครึ่งนึง”
ภาสันต์หน้าเจื่อนลงทันที หันไปมองภูวดลที่ยังคงนิ่งไม่แสดงออกใดใด
“แต่แม่ครับ...ดลยังอ่อนประสบการณ์เรื่องธุรกิจ แล้วนี่ก็เป็นงานใหญ่”
จันทร์จำนงสวนกลับทันที
“ลูกทำไม่เป็นเราก็ต้องสอน ไม่อย่างนั้นเมื่อไหร่พ่อดลจะเก่งซักที ทันทีที่พ่อดลแต่งงานกับหนูรวี...แม่จะเซ็นต์โอนที่ดินให้เป็นชื่อของพ่อดลเพียงคนเดียว พ่อดลไม่มีสิทธิ์ยกที่ดินนี้ให้กับใคร ถ้าเราไม่ทำตามที่แม่บอกก็เตรียมหาเงินชดใช้ให้กับหุ้นส่วนได้เลย”
ภาสันต์อึ้งพูดไม่ออก หันไปมองภูวดลไม่พอใจ
ภูวดลกับภาสันต์ออกมาส่งจันทร์จำนงขึ้นรถ สองคนยกมือไหว้ จันทร์จำนงรับไหว้ ภูวดลเข้ามากอดและหอมแก้มย่า ก่อนจะผละออกจากกัน
“ต่อไปนี้ก็ตั้งใจทำงานนะลูก”
“ครับ”
จันทร์จำนงลูบหัวภูวดลแล้วก็ยิ้มก่อนจะขึ้นรถ รถแล่นออกไป ภูวดลหันมา
“ฉันประมาทแกต่ำเกินไป แกฉลาดกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ ทำอีท่าไหน คุณย่าถึงช่วยแกมากขนาดนี้”
“ผมไม่ได้ทำอะไร แต่เป็นเพราะคุณย่าท่านเห็นค่าในตัวผม”
ภาสันต์แค่นยิ้ม
“เห็นค่า แกมีค่าตรงไหน”
ภูวดลกำมือแน่นจ้องภาสันต์ด้วยตาแข็งกร้าว
“แล้วผมจะทำให้พ่อเห็น พ่อจับตาดูผมให้ดีก็แล้วกัน”
ภาสันต์ไม่พอใจ ภูวดลเดินออกไป
เวลาต่อมา ภูวดลเดินมาหารวีพรรณที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ รวีพรรณชะงักที่เห็นภูวดล
“ขอบคุณมากนะครับคุณรวี”
รวีพรรณนิ่วหน้าถาม
“ขอบคุณฉันเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่ผมได้เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนโปรเจ็กต์ร้อยล้านของพ่อผมน่ะสิ นั่นเป็นเพราะคุณแท้ๆ ที่ไปบอกคุณย่าเรื่องที่ดิน”
รวีพรรณหน้าถอดสี ภูวดลขยับมาใกล้ กระชากแขนเธอเข้ามาแล้วพูดเสียงเหี้ยม เบาพอได้ยินกันสองคน
“ตอนแรกผมก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับคุณ ถ้าไม่ใช่เพราะโดนบังคับ แต่ว่าตอนนี้..ผมเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราสองคนต้องแต่งงานกัน”
“ฉันไม่แต่ง!”
“ยิ่งคุณไม่อยากแต่ง ผมก็ต้องแต่งกับคุณให้ได้! เพราะอะไรรู้มั๊ย เพราะผมต้องการเห็นความทุกข์ทรมานของคุณ ผมต้องการเห็นคุณเจ็บปวดอยู่อย่างไม่มีความสุข อย่าหาว่าผมใจร้าย ที่มันเป็นแบบนี้เพราะคุณเล่นงานผมก่อน”
ภูวดลดวงตากร้าวจ้องรวีพรรณ แล้วก็ปล่อยมือ ก่อนจะทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็เดินออกไป รวีพรรณทั้งเครียดทั้งโมโหที่ทำอะไรภูวดลไม่ได้
ภายในห้องน้ำ รวีพรรณวักน้ำจากก๊อกเข้าหน้าเป็นการดับความโมโห แล้วก็หยุด..ยืนนิ่งเมื่อรู้สึกสงบลง ก่อนจะหันไปดึงทิชชู่มาซับที่หน้า แล้วก็หยิบมือถือออกมา..กดชื่อ “พิท” รวีพรรณกดโทรออก แต่ปลายสายเข้าบริการรับฝากข้อความ
รวีพรรณกดวางสายด้วยความโมโหมาก รู้สึกมืดแปดด้านไปหมด
นพ บวร วรรณวดี สุอาภาช่วยกันจัดปาร์ตี้บาร์บีคิว บวรเล่นกีต้าร์ร้องเพลงสร้างบรรยากาศครึกครื้น เพลงจบลงพอดีทุกคนปรบมือให้
“พี่ว่าให้แตกับพิทร้องบ้างดีกว่า”
สุอาภากับพิทยาทำสีหน้าเหรอหรา
“อย่าดีกว่าค่ะ ให้พี่ใหญ่ร้องต่อน่ะดีแล้ว”
“เฮ้ย เจ้าแม่ปาร์ตี้อย่างคุณหนูกระแตปฏิเสธได้ไง เถอะน่า ฉันร้องจนคอแห้งแล้วเนี่ย”
สุอาภาหันมาขอความเห็นใจจากนพ แต่นพกลับยิ้มสนับสนุน
“ป๋าไม่ได้ฟังแตกับพิทร้องเพลงด้วยกันนานแล้ว ร้องให้ป๋าฟังหน่อยนะ”
สุอาภากับพิทยามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี สุดท้ายก็ยอมทำตามเสียงเชียร์ บวรยื่นกีต้าร์ให้พิทยา
พิทยากับสุอาภานั่งคู่กัน พิทยาเล่นกีต้าร์ สุอาภากับพิทยาร้องด้วยกัน เนื้อหาเพลงบ่งบอกความในใจที่ต่างฝ่ายต่างแอบรักกัน ทั้งคู่ส่งสายตาให้กันซึ้งๆเหมือนจะบอกความในใจ
ทุกคนเห็นสายตาที่พิทยากับสุอาภามองกันก็แอบอมยิ้ม บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข
ปาร์ตี้เลิกแล้ว พิทยา สุอาภา วรรณวดีและ บวรช่วยกันเก็บกวาดอยู่มุมหนึ่ง พิทยาช่วยสุอาภาเก็บจาน เธอหยิบจานหลายใบมาซ้อนเรียงกัน แล้วยกขึ้น แต่ยกไม่ไหวจานด้านบนไถลเกือบจะหล่นลงมา สุอาภาสีหน้าตกใจ แต่พิทยามารับไว้ได้ทัน
“ระวังหน่อยสิคุณแต”
สุอาภานิ่งไปคิดว่าพิทยาเป็นห่วง
“จานนี่ใบตั้งหลายบาทนะ”
สุอาภาเหวอ แอบงอน
“ก็ฉันไม่ได้ตั้งใจนี่”
“งั้นเอามานี่เลย ผมถือเองดีกว่า”
พิทยาคว้าจานไปจากมือ สุอาภาทำหน้าบึ้ง แต่สุดท้ายแอบยิ้มออกมา วรรรวดีสะกิดบวรให้ดูความหวานของทั้งคู่แล้วแอบอมยิ้ม
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์บวรดังขึ้น บวรหยิบขึ้นมาดู เห็นชื่อปวีณาก็ชะงัก
“ใครโทรมาเหรอคะ” วรรณวดีถาม
บวรอึกอักบอก
“เพื่อนน่ะ ขอตัวแป๊บนะ”
บวรเดินออกไป วรรณวดีมองตามแล้วส่ายหัวยิ้มๆ กับท่าทีแปลกๆ ของบวร
บวรเดินเลี่ยงออกมาคุยโทรศัพท์อยู่อีกมุมหนึ่ง เขากดรับสาย
“มีอะไร”
ปวีณามีสีหน้าดูลังเลที่จะถาม
“ฉันติดต่อคุณพิทไม่ได้”
“ทำไม งานมีปัญหาเหรอ”
“เปล่า คือฉันเห็นคุณพิทไปดูงานที่เขาใหญ่ตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ก็ไม่เข้าออฟฟิศ ก็เลย...”
“เป็นห่วง” บวรต่อให้ก่อนหันไปมองพิทยากับสุอาภาที่ยังกระหนุงกระหนิงกัน
“เธอไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้พิทมันสบายดี แฮปปี้มาก เลยถือโอกาสอยู่ต่อฮันนีมูนที่นี่ซะเลย” บวรพูดต่อ
ปวีณาเงียบไป
“คุณพิทไปกับคุณแตเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ สามีก็ต้องมาฮันนีมูนกับภรรยาสิ หรือจะให้มากับพนักงานในบริษัทล่ะ”
“แล้วคุณมาประชดฉันทำไมเนี่ย ตอบง่ายๆ สั้นๆ ก็ได้ ฉันเข้าใจ”
“อ้าว ก็เธอถาม ฉันก็ตอบตามจริง มันผิดตรงไหน ถ้าทนฟังไม่ได้ วันหลังก็ไม่ต้องโทรมา”
“เออ จะไม่โทรอีกเลย”
ปวีณาตัดสายไปด้วยความหงุดหงิด บวรนิ่งไปอย่างรู้สึกผิดที่กวนประสาทเธอ และเริ่มรู้ว่าปวีณามีใจให้กับพิทยา
ภายในครัว วรรณวดีล้างจาน สุอาภาช่วยเอาผ้าเช็ดจานให้แห้ง
“ตั้งแต่แต่งงานไปเนี่ย ดูเป็นแม่บ้านแม่เรือนขึ้นนะเรา”
“ได้ยังไงละคะ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าป๋ากับพวกพี่ๆ สอนแตมาไม่ดี”
“พี่เห็นแตกับพิทดีกันแบบนี้ พี่ก็สบายใจ บอกตรงๆนะว่าตอนแรกที่เราแต่งงานกัน พี่กังวลใจมาก กลัวเราจะตีกันตาย”
สุอาภายิ้มๆ วรรณวดีจับแขนน้องสาว
“แตรู้มั๊ยว่าครั้งล่าสุดที่ป๋าไปตรวจสุขภาพ หมอบอกว่าหัวใจของป๋ากลับมาแข็งแรงเหมือนคนอายุ 40 นั่นเป็นเพราะแตกับพิทแท้ๆ ยิ่งถ้าแตมีหลานให้ป๋าอุ้มเมื่อไหร่ ป๋าคงอยู่กับเราไปอีกนาน”
นพเดินผ่านมาพอดี ได้ยินสองพี่น้องคุยกันจึงหยุดยืนฟังอยู่ห่างๆ ... สุอาภานิ่งไป หน้าสลดลง
“มันคงไม่มีวันนั้นหรอกพี่ต่าย เพราะคนที่พิทรักคือคุณรวี ไม่ใช่แต”
“แต่แตกับพิทแต่งงานกันแล้วนะ”
“มันไม่สำคัญหรอกพี่ต่าย แตมองออก สายตาที่เค้ามองกัน มันยังมีเยื่อใยอยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณรวีไม่ต้องแต่งงานกับนายภูวดล บางทีเค้าสองคนอาจจะคืนดีกันก็ได้”
สุอาภาหน้าเศร้าลงไปอีก ... ต่ายชะงักอึ้งไปอย่างเป็นห่วงความรู้สึกของน้องสาว
“แต่ป๋าว่า เรื่องที่มันผ่านไปแล้ว อย่าเอามันมาเป็นทุกข์ที่คอยทำร้ายตัวเองเลยนะลูก”
สุอาภากับวรรรวดีหันไปมองนพที่เดินเข้ามา
“ป๋า!”
“ลูกของป๋าควรจะเข้มแข็ง แล้วเดินต่อไปข้างหน้าให้ได้...อีกอย่าง ลูกสาวป๋าไม่ดีตรงไหน ทำไมพิทจะรักไม่ได้”
“ยังไงพิทก็ไม่มีวันจะรักคนที่ทำร้ายเขาได้หรอกค่ะป๋า ที่พิททำอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะสัญญาที่พิทให้ไว้กับป๋า ป๋าเลี้ยงพิทมา ป๋าน่าจะรู้ว่าพิทเป็นคนรักษาสัญญาแค่ไหน”
“การใช้ชีวิตคู่น่ะ เราต้องไว้ใจและเชื่อใจคู่ชีวิตของเรา อย่าเอาแต่คิดเองเออเอง หรือยึดเอาแต่ความคิดของเราฝ่ายเดียว มีอะไรก็คุยกันตรงๆ สิลูก”
นพส่งสายตาให้กำลังใจลูกสาว วรรณวดีเข้ามากอดน้องสาวไว้เหมือนให้กำลังใจ แววตาสุอาภายามนี้ทั้งหวั่นไหวทั้งสับสน ทั้งพ่อกับพี่สาวมองมาอย่างห่วงใย
ตรงบริเวณระเบียงบ้านเวลานั้น พิทยาเก็บเตาปิ้งบาร์บีคิวเสร็จเรียบร้อยพอดี นพเดินเข้ามาหา
“ฉันขอคุยอะไรหน่อยได้มั้ย”
พิทยานิ่งไป พยักหน้าตอบรับ
“ครับ”
“ที่เธอยอมแต่งงานกับยัยแต ไม่ใช่แค่เพื่อแก้ปัญหาชั่วครั้งชั่วคราวหรอกใช่มั้ย”
“ผมไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่นๆ ผมจะไม่ทำให้คุณแตต้องเสียชื่อ หรือเสียใจเด็ดขาด คุณอาอย่าห่วงไปเลยครับ”
“ขอบใจ...แล้วเธอเคยถามตัวเองบ้างมั้ย ว่ารู้สึกยังไงกับยัยแต”
พิทยานิ่งไป
“คุณแตเธอเป็นทั้งเพื่อน แล้วก็น้องสาวคนเดียวที่ผมมี”
นพมองสบตาพิทยาก็รู้ว่าจริงๆ แล้วพิทยาก็รู้สึกดีๆ กับสุอาภาเหมือนกัน
“เธอคิดแค่นั้นจริงๆ เหรอพิท”
นพมองพิทยา พิทยาเงียบ
“เธอไม่ต้องตอบฉันก็ได้ แต่ตอบตัวเองให้ได้ก็พอ…ที่สำคัญอย่ามัวแต่เก็บงำความรู้สึกของตัวเอง จนสายเกินไป มันไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรที่เราจะยอมรับความรู้สึกของตัวเอง และแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของเราให้คนคนนั้นได้รับรู้”
นพยิ้มเป็นกำลังใจให้พิทยา ... เขานิ่งฟังอย่างครุ่นคิด
พิทยานั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านครุ่นคิดประมวลคำพูดของนพ และความรู้สึกที่มีต่อสุอาภา เช่นเดียวกับ
สุอาภาที่อยู่ในห้องนอน เธอนอนไม่หลับเพราะครุ่นคิดถึงคำพูดของและและประมวลความรู้สึกที่มีต่อพิทยาเช่นกัน
ทั้งคู่ คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา...
สุอาภาเกือบถูกภูวดลปล้ำ พิทยาตามมาช่วยด้วยความเป็นห่วงมาก
พิทยาโดนซ้อมป่วยอยู่โรงพยาบาลสุอาภาไปคอยเฝ้าดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำอย่างเป็นห่วง
สุอาภาติดฝนโดนต้นไม้ล้มทับหน้ารถ พิทยาก็รีบตามหาสุอาภาด้วยความร้อนใจ
สุอาภากับพิทยาเบียดกันแนบชิดในคอกม้า
พิทยาเอาผ้าห่มมาห่มรอบตัวให้สุอาภาแล้วกอดเอาไว้
พิทยากับสุอาภานอนกอดกันที่โซฟา
พิทยากับสุอาภาแย่งกันป้อนอาหาร แล้วจูบกันผ่านขนมปังอย่างไม่ได้ตั้งใจ
พิทยานิ่งคิดเหมือนเริ่มรู้หัวใจตัวเองว่ารักสุอาภา
สุอาภาเดินออกมาที่ระเบียงหน้าบ้านพอดี เธฮสบตากับเขา
“คุณแต”
“ฉันนอนไม่หลับน่ะ ก็เลยออกมาเดินเล่น...ป๋า พี่ใหญ่ พี่ต่ายล่ะ”
“เข้านอนกันไปหมดแล้ว”
พิทยากับสุอาภาจ้องหน้ากันนิ่งไปครู่หนึ่ง ในใจต่างลังเลกันมาก แล้วพูดขึ้นพร้อมกัน
“คือผม - คือฉัน”
“คุณแตพูดก่อนละกัน”
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงจะดี ฉันคงไม่ทำตัวงี่เง่าทำลายความรักของนายกับคุณรวีแบบนั้น”
“คุณรู้ตัวด้วยเหรอว่าทำตัวไม่ดี”
สุอาภาชะงักและอึ้งไป
“เมื่อก่อนฉันคงนิสัยเสีย งี่เง่า เอาแต่ใจมากสินะ”
“มาก”
สุอาภาเหวอไม่คิดว่า พิทยาจะตอบตรงขนาดนี้ เธอมองค้อนเขา
“ตอบตรงไปรึเปล่าเนี่ย”
“ถึงคุณจะงี่เง่าเอาแต่ใจไปบ้าง แต่บางทีคุณก็น่ารักเป็นเหมือนกัน”
พิทยายิ้มให้ สุอาภาเขินขึ้นมาทันทีแต่ก็พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึก
“แล้วนายล่ะ เคยคิดอยากจะกลับไปแก้ไขอะไรบ้างมั้ย”
“เคย ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะทำในสิ่งที่ผมไม่กล้าทำในตอนนั้น”
“อะไรเหรอ”
“ทำตามหัวใจตัวเอง”
เขาสบตาเธอแบบมีความหมายมาก เธอรอฟัง หัวใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
“แต่เราย้อนเวลากลับไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญสำหรับผมตอนนี้ก็คือปัจจุบัน และผมก็จะทำมันให้ดีที่สุด”
พิทยาเลื่อนมือมากุมมือสุอาภาเอาไว้และยิ้มให้อย่างอบอุ่น เธอยิ้มตอบเขา ในใจมีความสุขมาก ทั้งสองคนยืนดูดาวที่ระเบียงด้วยกันอย่างมีความสุข
เช้าวันถัดมา พิทยาและสุอาภายืนส่ง นพ บวร และวรรณวดีที่หน้าบ้านตากอากาศ ทั้งสามคนจะเดินทางกลับกรุงเทพก่อน เขากับเธอมองตากันไปมา ท่าทางดูสวีทหวานมากกว่าเดิม นพ บวร และวรรณวดีมองแล้วอมยิ้มอย่างมีความสุข
“ฉันฝากงานของคุณทาคาโน่ด้วยนะ”
“ครับ ตอนนี้ผมแก้ไขงานเกือบเสร็จแล้ว ทันตามที่คุณทาคาโน่กำหนดไว้แน่นอนครับ”
บวรยิ้มกรุ้มกริ่ม
“นี่ ไอ้น้องเขย ไหนๆ ได้มาฮันนีมูนกันทั้งที ใช้เวลาให้มันคุ้มค่าหน่อย อย่ามัวทำแต่งาน หาเวลาทำการบ้านบ้าง”
พิทยาหันไปมองหน้าสุอาภาอย่างเขินๆ
สุอาภาตีแขนเพี๊ยะ
“พี่ใหญ่อ่ะ ดีแต่แซวคนอื่น อย่าให้ถึงตาตัวเองบ้างละกัน”
วรรณวดีแกล้งแซวบ้าง
“พี่ว่าแตคงจะได้เวลาเอาคืนเร็วๆ นี้ละมั้ง เดี๋ยวนี้เห็นพี่ใหญ่ชอบแอบคุยโทรศัพท์แบบมีลับลมคมในบ่อยๆ”
ทุกคนหันมามองบวรอย่างแปลกใจกันเป็นตาเดียว บวรถึงกับเหวอ
“เฮ้ย ไม่มีอะไร แกอย่ามาเบี่ยงประเด็นเลยยัยต่าย ไปกันดีกว่า สายแล้วเนี่ย”
บวรกลบเกลื่อนทำเป็นเดินไปขึ้นรถ ... ทุกคนหัวเราะขำที่แกล้งเอาคืนบวรได้สำเร็จ
“ป๋าไปก่อนนะ”
นพกับวรรณวดีเดินไปขึ้นรถ บวรลดกระจกรถลง
“ขับรถดีดีนะคะ”
“จ้ะ”
ทุกคนโบกมือให้ สุอาภาโบกมือตอบ บวรขับรถออกไป … พิทยากับสุอาภาหันมายิ้มให้กันอย่างซึ้งๆ