ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 9
ตะวันฉายปัดฝุ่นชั้นวางทีวีในห้องรับแขกอย่างอารมณ์เสีย เก่งเดินเข้ามาเห็นก็มองอย่างงงๆ
“ไอ้ซัน....” เก่งเรียกดังขึ้น “ซัน”
ตะวันฉายสะดุ้ง “อ้าวพี่เก่ง ว่าไง”
“ปัดฝุ่นอะไรแรงขนาดนั้นวะ โมโหอะไรมาป่ะเนี่ย”
ตะวันฉายอึ้ “ไม่ได้โมโห ก็ตรงนี้ฝุ่นมันเยอะ ปัดไม่หมดซะทีนี่”
เก่งเอามือไปปาดชั้นวาง
“ไม่เห็นมีฝุ่นเลย น่า บอกมาเหอะว่าโมโหอะไรมา เผื่อพี่เก่งช่วยได้”
“คุณฟ้าเขาแย่งงานผมไปหมดเลย เหมือนแกจะไม่อยากให้ยุ่งกับคุณหมอกไงก็ไม่รู้”
“เอ้า...เขาแม่ลูกกันก็ต้องอยากดูแลกันสิวะ ว่าแต่ไม่ดีใช่ไหมที่ไม่มีงานทำอ่ะ”
“ดีไงล่ะ ผมสมัครมาทำงาน ถ้าไม่มีงานให้ทำเดี๋ยวก็โดนไล่ออกน่ะสิ”
“ถ้างั้นเอางานพี่ไปทำสิ พี่ไม่ว่า พี่ไม่หวง พี่มีน้ำใจ”
ตะวันฉายมองเก่งแล้วส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ แบบรู้ทัน
ทันใดนั้นเก่งก็เห็นเมฆ อิงฟ้า และหมอกเดินออกไปที่รถ เก่งสะกิดตะวันฉายแล้วลากแขนให้เดินมา
“เอาไปเลยครับชิ้นแรก ไปเปิดประตูให้คุณเมฆไปส่งคุณหมอกเลย”
เก่งผายมือแล้วโค้งให้ตะวันฉายเดินออกไป ตะวันฉายไม่ยอมเดินไป เก่งดันหลังให้ออกไป ตะวันฉายจึงจำใจต้องเดินไป
อิงฟ้าใส่รองเท้าให้หมอกโดยมีเมฆยืนยิ้มรออยู่ ตะวันฉายเดินผ่านทั้งสามเพื่อจะออกไปเปิดประตู
“ไปครับคนเก่ง วันนี้แม่ขอไปส่งที่โรงเรียนนะครับ” อิงฟ้าพูด
หมอกดีใจ “เย้ๆๆๆ ดีใจจังเลย”
ตะวันฉายได้ยินแบบนั้นก็หูผึ่งทันที เธอนึกถึงวันที่ไปค้นห้องทำงานแล้วเกือบได้เปิดซองสีน้ำตาล
แต่ดันได้ยินเสียงกริ่งเสียก่อน
ตะวันฉายถามเมฆกับอิงฟ้าซ้ำโดยทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ
“คุณอิงฟ้าจะไปส่งคุณหมอกด้วยเหรอครับ”
“ใช่น่ะสิ ฉันบอกแล้วไงว่าจะดูแลหมอกทุกอย่าง” อิงฟ้าแกล้งพูดเหน็บให้เมฆรู้สึกไม่ไว้ใจตะวันฉาย “ทำไมล่ะ ไม่มีใครอยู่แล้วจะแอบไปทำอะไรที่ไหนหรือไงจ๊ะ”
เมฆฉุกคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมา...
เมฆอุ้มหมอกเดินมาตามถนนหน้าบ้าน โดยมีเก่งเดินตาม
“เมื่อกี้ฉันเหมือนเห็นเหมือนไฟในห้องทำงานมันเพิ่งปิด” เมฆบอก
เก่งตกใจ “ผี เหรอครับ”
หมอกกอดเมฆแน่น “พ่อ...หมอกกลัวผีครับ”
เมฆลูบหน้าเก่งหนึ่งที “ไอ้บ้า ผีที่ไหนล่ะ เพ้อเจ้อ” เมฆพูดกับหมอก “ไม่ต้องกลัวนะครับหมอก ผีไม่มีหรอก อาจจะเป็นพี่ซันก็ได้”
“ไม่น่านะครับ ซันมันเอาเสื้อขึ้นไปเก็บข้างบน จะมาที่ห้องทำงานคุณเมฆทำไม” เก่งว่า
หมอกใส่รองเท้าเสร็จแล้วก็กระโดดโลดเต้นเสียงดัง
หมอกวิ่งไปที่รถ “ไปเร็วคับแม่”
อิงฟ้าเหลือบมองเพื่อเช็คเมฆ แล้วก็วิ่งตามเพื่อทำให้เห็นว่าเธอใส่ใจลูก “หมอก อย่าวิ่งเร็วสิลูก เดี๋ยวล้ม”
เมฆยืนอยู่กับตะวันฉาย ทั้งสองคนมองหน้ากัน ตะวันฉายหลบตา เมฆเข้าไปพูดใกล้ๆตะวันฉาย
“คิดจะทำอะไรตอนฉันไม่อยู่ใช่ไหม ถึงได้เช็คว่าฉันกับอิงฟ้าไม่อยู่บ้าน”
“โธ่..คุณเมฆ หน้าตาอย่างผมนี่น่ะเหรอครับจะทำอะไรไม่ดี”
“ใครจะไปรู้ นายอาจจะบ้าบิ่นทำอะไรที่คนอื่นคาดไม่ถึงก็ได้ เช่นปลอมตัวเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงเพื่อขโมยของ อะไรแบบนี้”
ตะวันฉายหัวเราะ “โห...คุณเมฆนี่เมื่อก่อนทำโรงน้ำแข็งหรือเปล่าครับ ปั้นน้ำเป็นภูเขาน้ำแข็งเลย”
เมฆกัดฟันด้วยความเจ็บใจที่โดนด่า อิงฟ้าที่คอยอยู่ในรถและมองทั้งสองคุยกันไม่พอใจจึงลงจากรถแล้วเดินมาหา
“จะไปหรือยังล่ะเมฆ เดี๋ยวหมอกไปโรงเรียนสาย”
ตะวันฉายยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมไปเปิดประตูนะครับ”
ตะวันฉายจะเดินไปแต่เมฆเรียกไว้
“ไม่ต้อง” เมฆพูด ตะวันฉายกับอิงฟ้ามองเมฆอย่างงงๆ “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว นายไปส่งหมอกกับฟ้าดีกว่า”
ตะวันฉายหน้าเสีย “หา...ผมไปส่ง”
อิงฟ้างง “เมฆ อะไรกัน ทำไมเราไม่ไปกันเองล่ะ”
ตะวันฉายและอิงฟ้ามองเมฆเป็นตาเดียว
“ผมมีงานต้องทำ” เมฆแกล้งดันตะวันฉายให้ขึ้นรถ
“เมฆ..” อิงฟ้างง
“รีบไปส่งลูกเถอะฟ้า เดี๋ยวรถติด” เมฆเดินไปเปิดประตูใหญ่ให้
ตะวันฉาย และอิงฟ้าเซ็ง อิงฟ้าจำใจขึ้นรถและสตาร์ทรถก่อนจะขับออกไป
เมฆเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน เขากำลังจะไปหยิบเอกสารแต่ได้ยินเสียงอิงฟ้าเรียก
“เมฆ”
เมฆหันไปเห็นอิงฟ้าก็แปลกใจ เขากำลังจะอ้าปากถาม แต่อิงฟ้าชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ซันเขาบอกว่าจะไปส่งหมอกเองค่ะ ดูเขาเหมือนไม่ค่อยอยากไปกับฟ้า ฟ้าก็เลยเรียกแท็กซี่ให้”
เมฆขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“เมฆกำลังจะทำอะไรเหรอคะ เดี๋ยวฟ้าช่วย” อิงฟ้าบอก
ตะวันฉายและหมอกนั่งอยู่ในแท็กซี่ รถยุทธการแล่นมาขนาบข้างแล้วเปิดกระจกก่อนจะโบกมือให้จอด ตะวันฉายทั้งตกใจและแปลกใจ
ตะวันฉายคุยกับยุทธการ
ตะวันฉายแปลกใจ “มาทำอะไรเนี่ยพี่ยุทธ”
“ก็พี่ห่วงน่ะซัน ซันจะไปอยู่บ้านเขาได้ยังไง พี่อยากรู้ว่า..”
ตะวันฉายตัดบท “พี่ยุทธ งั้นให้ซันไปส่งคุณหมอกก่อน แล้วค่อยคุยกันนะ”
“งั้นพี่ไปส่งให้” ยุทธการเห็นตะวันฉายลังเล “น่า..พี่ไม่ทำความแตกหรอก”
หมอกยืนกอดอกมองยุทธการตาเขม็ง ยุทธการหันไปเห็นก็สะดุ้งก่อนจะฉีกยิ้มให้และพยายามเป็นมิตรสุดๆ
“สวัสดีครับน้องหมอก เดี๋ยวอาไปส่งที่โรงเรียนนะ”
หมอกจ้องยุทธการ “ไม่ไปหรอก พ่อบอกไม่ให้ขึ้นรถไปกับคนแปลกหน้า”
ยุทธการหันมองตะวันฉายว่าจะเอายังไงดี ตะวันฉายยิ้มขำแล้วลงนั่งคุยกับหมอก
“อายุทธเป็นพี่ชายพี่ซันครับ อาเขาเป็นคนขับรถ”
ยุทธการเหวอ “คนขับรถ ?”
ตะวันฉายขยิบตาให้ยุทธการรับมุข
ยุทธการดึงตะวันฉายขึ้นมากระซิบ “แล้วลูกเขาจะไม่ไปฟ้องพ่อเหรอ คราวที่แล้วซันให้พี่เป็นชาวนา คราวนี้เปลี่ยนเป็นคนขับรถ”
ตะวันฉายยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วคุยกับหมอกต่อ “พี่ยุทธเขาขยันมากๆๆๆ พอทำนาเสร็จก็มาขับรถน่ะครับ แล้วพี่ชายพี่ซันก็เป็นคนดีมากๆด้วยครับ”
หมอกพยักหน้ารับรู้ก่อนจะยิ้ม “ถ้าเป็นคนดีก็รู้จักกันได้” หมอกยื่นมือจะให้เชคแฮนด์
ยุทธการยิ้มแล้วก็เชคแฮนด์กับหมอก ก่อนจะหันมายิ้มให้ตะวันฉาย ตะวันฉายยิ้มตอบเจื่อนๆ เพราะเธอกังวลว่ายุทธการจะทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้น
แฟ้มงาน นิตยสาร และเอกสารต่างๆกองเต็มพื้นห้องของเมฆ อิงฟ้ายืนอยู่ในห้องด้วย
“โห ของเยอะนะเนี่ย จะให้ฟ้าทำอะไรก่อนดี” อิงฟ้าถาม
“ไม่เป็นไร ฟ้านั่งรอก็ได้ ผมเก็บไม่นานหรอก”
ระหว่างที่เมฆจัดของ อิงฟ้าก็เดินไปรอบๆ หยิบนั่นหยิบนี่ไป แล้วก็ไปสะดุดตากับซองเอกสารซองหนึ่งจึงหยิบมาเปิดดูทำให้เห็นว่าเป็นใบมรณะบัตร
อิงฟ้าหน้าเจื่อนไป เธอเหลือบมองเมฆที่เก็บของอยู่ในใจไม่อยากจะให้เมฆเห็นเพื่อไปรื้อฟื้นความหลังซึ่งเธอเป็นต้นเหตุ อิงฟ้าจึงรีบเก็บแล้วสอดรวมเข้ากับกองเอกสารอื่นๆ ทำให้รูปอิงฟ้ากับเมฆสมัยที่ยังรักกันตอนเรียนหล่นลงมา ในรูปทั้งสองไปเที่ยวแล้วยิ้มดีใจ อิงฟ้าเลยถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องมาแซวเมฆแทน
“เมฆยังเก็บรูปพวกนี้ไว้อีกเหรอ น่ารักจัง”
“ก็...ไม่รู้จะทิ้งที่ไหน”
“ไม่อยากทิ้งก็บอกมาตรงๆเถอะ”
“...มันยากนะที่จะลืมใครสักคนได้ง่ายๆ”
“ฟ้าก็เหมือนกันค่ะ ไม่เคยลืมเมฆเลย”
“คราวนี้ฟ้าจะไม่ผิดสัญญาอีกแล้วนะ”
อิงฟ้ายิ้ม แล้วเข้าไปจูบแก้มเมฆเป็นการตอบ จากนั้นทั้งสองได้ยินเสียงกุกกักหน้าห้อง พอหันไปก็เห็นเก่งยืนถือกล่องใบหนึ่งยิ้มแหยๆ อยู่
เก่งพูดแก้เก้อ “ผมหากล่องมาเพิ่มครับ”
เก่งรีบเอากล่องครอบหัวทำท่าจะเดินออกไป เมฆเรียก
“เก่ง แล้วจะเอาไปไหน กล่องน่ะ”
เก่งรู้สึกเก้อจึงรีบวางกล่องแล้วเดินออกไป
ยุทธการยืนคุยกับตะวันฉายที่สวนสาธารณะ
“ซัน...พี่มาคิดๆดูแล้ว มันน่าจะมีวิธีอื่นที่ซันจะหาข้อมูลมาเขียนหนังสือได้ โดยไม่จำเป็นต้องปลอมตัว”
“โธ่พี่ยุทธ ต่อให้ไปสัมภาษณ์พี่เลี้ยงเด็กมันก็ไม่เท่ากับซันมาลงมือทำงานเองหรอก”
“พี่ว่ามันไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นซันเขียนตัวละครเป็นขโมย ซันไม่ต้องไปปล้นเขาจริงๆเหรอ”
ตะวันฉายอึ้งเพราะตอบไม่ได้ไปไม่ถูก ยุทธการจ้องหน้าคาดคั้น
“ตกลงซันจะบอกพี่ได้หรือยัง ว่าที่ซันเข้ามาบ้านนายเมฆเนี่ย ซันต้องการอะไร”
ตะวันฉายมองหน้ายุทธการนิ่ง
ตะวันฉายไม่รู้ว่าควรจะตอบยุทธการอย่างไรจึงเดินเลี่ยงหนีไป
“ชักจะร้อนแล้วล่ะพี่ยุทธ ซันว่าเรากลับกันเถอะ” ตะวันฉายเลี่ยง
ยุทธการดึงแขนตะวันฉายไว้ “เดี๋ยวก่อนได้ไหมซัน คุยกับพี่ให้จบก่อน อย่างน้อยบอกให้พี่หายข้องใจซะที... ทำไมต้องเป็นบ้านนายเมฆ!?” ตะวันฉายอึ้ง “ว่าไงล่ะซัน บอกพี่สิ ทำไมต้องเจาะจงให้เป็นบ้านนายเมฆด้วย!?”
ตะวันฉายอึ้งไปแล้วก็ฝืนยิ้มกลบเกลื่อน “พี่ยุทธก็ ซันไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นบ้านนายปากเป็ดนั่นซะหน่อย ก็แค่เขารู้จักกับนิคกะเอวา ซันก็เลยเลือกที่นั่น”
“แค่นั้นเหรอ??”
“พี่ยุทธไม่เชื่อก็ตามใจ”
“โอเค ได้พี่เชื่อ”
ตะวันฉายค่อยยิ้มออก
ยุทธการยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วก็จ้องหน้าตะวันฉาย ตะวันฉายมองงงๆ
“มีอะไรเหรอพี่ยุทธ”
ยุทธการยิ้มๆ แต่ไม่ตอบคำถาม “จะไปกันหรือยังล่ะ”
ตะวันฉายงงแต่ก็พยักหน้า “ไปสิ กลับบ้านช้า เดี๋ยวโดนเจ้านายจวกเอาอีก”
ยุทธการเดินไป ตะวันฉายเดินตาม
ตะวันฉายยืนงงอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก แล้วเธอก็หันไปถามยุทธการ
“อะไรเนี่ยพี่ยุทธ พาซันมาที่นี่ทำไม”
ยุทธการยังไม่ทันได้ตอบอะไร เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งก็เดินออกมาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะสารวัตรยุทธการ” เจ้าหน้าที่มองตะวันฉายอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “คนนี้หรือเปล่าคะ คุณตะวันฉาย ที่สารวัตรบอกว่าจะมาเป็นอาสาสมัครดูแลเด็กๆ”
ตะวันฉายเหวอและพูดไม่ออก
ยุทธการรับคำ “ครับ”
เจ้าหน้าที่เริ่มงง “เอ๊ะ สารวัตรบอกว่าผู้หญิง..ไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็ผู้หญิงน่ะสิครับ” ยุทธการย้ำ
“แหม พี่ก็ว่าแล้วเชียว หน้าหวานๆใสๆอย่างนี้ มองพลาดไปได้ยังไง”
ตะวันฉายยิ้มแหย
“เชิญข้างในดีกว่าค่ะ เดี๋ยวพี่จะพาไปแนะนำให้เด็กๆรู้จัก”
“สักครู่นะคะ เดี๋ยวตามไปค่ะ”
เจ้าหน้าที่ยิ้มรับแล้วเดินจากไป
ตะวันฉายหันขวับมามองหน้ายุทธการอย่างไม่เข้าใจ
“พี่ยุทธ! หมายความว่ายังไง”
ยุทธการพูดเล่น “ก็ซันอยากได้ข้อมูลการเป็นพี่เลี้ยงเด็กไม่ใช่เหรอ ที่นี่ไง เด็กเป็นร้อยเลย รับรองได้ข้อมูลแน่นปึ้ก”
“นี่พี่ยุทธกำลังทำอะไรกันแน่เนี่ย”
ยุทธการเริ่มพูดจริงจัง “ทำเพื่อซันไง”
ตะวันฉายอึ้ง ยุทธการอยากจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออกเพราะรู้ตัวว่านี่เป็นการมัดมือชก
เจ้าหน้าที่แนะนำยุทธการและตะวันฉายกับเด็กๆหลายสิบคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอฟังอยู่ โดยมีพี่เลี้ยงยืนอยู่รอบๆ
“เด็กๆจ๊ะ วันนี้เรามีพี่ตำรวจรูปหล่อมาเยี่ยมพวกเราด้วยนะ โตขึ้นใครอยากเป็นตำรวจบ้าง”
เด็กหลายคนยกมืออย่างแข็งขัน ยุทธการยิ้มให้เด็กๆ
“นอกจากพี่ยุทธการแล้ว ก็ยังมีพี่สาวคนสวยที่จะมาอยู่ประจำกับพวกเราอีกคนนึงค่ะ”
ตะวันฉายหน้าตื่นเพราะทำอะไรไม่ถูก
“เอ้า ปรบมือต้อนรับพี่..” เจ้าหน้าที่ผายมือไปทางตพวันฉายแต่ยังไม่ทันได้พูดชื่อ ตะวันฉายก็รีบแทรกขึ้นมา
“เดี๋ยวค่ะ”
เจ้าหน้าที่มองตะวันฉายอย่างงงๆ ตะวันฉายมองเด็กๆ พี่เลี้ยง เจ้าหน้าที่ และทุกคนมองมาที่เธออึ้งๆ แล้วตะวันฉายก็หันมองยุทธการ ก่อนจะดึงมือตัวเองแล้วเดินออกไปเลย ปล่อยให้ทุกคนมองตามอย่างไม่เข้าใจ
ตะวันฉายมายืนต่อว่ายุทธการที่สวนหย่อมของสถานรับเลี้ยงเด็ก
“พี่ยุทธ ซันไม่ชอบแบบนี้เลยนะ”
ยุทธการทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ทำไมล่ะซัน ถ้าไม่ชอบที่นี่ จะไปที่มูลนิธิเด็กติดเชื้อเอดส์ หรือที่ไหนก็ได้เอามั้ย”
“ซันไม่ไปไหน ซันจะกลับบ้าน” ตะวันฉายหันหลังจะเดินกลับ
“บ้านใคร บ้านนายเมฆน่ะเหรอ”
ตะวันฉายหยุดชะงัก
“ซันจะอยู่ที่นั่นอีกนานแค่ไหน หรือความจริง ซันอยากอยู่กับเขาตลอดไป” ยุทธการเดินมามองหน้าตะวันฉาย “อยู่กับนายเมฆ..ที่นั่น..ตลอดไป”
“พี่ยุทธ นี่มันเกินไปแล้วนะ”
“แล้วที่ซันทำอยู่นี่ไม่เกินไปเหรอ ถ้าพ่อแม่ซันรู้ก็คงห่วงซันเหมือนที่พี่ห่วง... ยังไงซันก็เป็นผู้หญิงนะ” ยุทธการกุมมือตะวันฉาย “ซัน พี่ขอร้องนะ ออกมาจากบ้านนั้นเถอะ ที่ซันต้องอยู่ใกล้หมอนั่น พี่ไม่ไว้ใจเลย”
ตะวันฉายข่มอารมณ์โกรธ “ซันรู้ ว่าพี่ยุทธเป็นห่วงซัน แต่ซันกำลังจะได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว อีกไม่กี่วันหรอก แล้วซันจะออกมาจากบ้านหลังนั้นแน่นอน”
ยุทธการมองหน้าตะวันฉายอย่างไม่เชื่อ
“ซันรู้ไหม ตำรวจอย่างพี่ ถ้าไม่เชื่อแล้วเราต้องทำยังไง” ยุทธการถาม ตะวันฉายชะงัก “สืบไงซัน พี่จะตามไปเฝ้าหน้าบ้านหมอนั่นทุกวันจนกว่าจะวางใจ”
ตะวันฉายโกรธขึ้นมาจนดึงมือออก “พี่ยุทธ ถ้าพี่ยุทธห่วงว่าซันจะไปชอบนายเมฆล่ะก็ เลิกคิดไปได้เลย เพราะหัวใจซัน ไม่ได้มีไว้ให้เขา...” ตะวันฉายหนักใจที่จะพูดต่อ
ยุทธการตั้งใจฟังอย่างมีความหวัง
“แต่ซันก็ไม่ได้มีหัวใจให้ใครทั้งนั้น ยกเว้น...” ตะวันฉายจำต้องพูดเพื่อให้ยุทธการตัดใจจากเธอเสียที “พี่ธีร์”
ยุทธการอึ้ง “..พี่ธีร์?...”
“ซันอยู่ที่นั่น เพราะซันกำลังตามหาหัวใจของซัน...คนที่เอามันไป คือพี่ธีร์ พี่ชายของนายเมฆค่ะ”
ยุทธการรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด เขาถึงกับนิ่งอึ้งไป
“พี่ยุทธอย่ารอซันอีกเลยนะ เพราะอีกไม่นานซันก็จะได้เจอกับพี่ธีร์แล้ว” ตะวันฉายร้องไห้ “ซัน..ไม่อยากให้พี่ยุทธเสียใจไปมากกว่านี้แล้ว ซันขอโทษที่โกหกพี่ยุทธมาตลอด ซัน...” ตะวันฉายพูดไม่ออก
“ซันกับเขา..รักกันมานานแค่ไหนแล้ว แล้วเขาไปอยู่ที่ไหน ทำไมปล่อยให้ซันต้องตามหาอยู่อย่างนี้ เขารักซันแน่เหรอ” ยุทธการถามกลับ
ตะวันฉายทั้งอึดอัดใจ ทั้งสงสารยุทธการ “พี่ยุทธ เราไม่พูดเรื่องนี้กันอีกแล้วได้มั้ยคะ ยิ่งพูดซันก็ยิ่งเสียใจ ที่ทำให้พี่ชายที่ซันรักที่สุดต้องเจ็บปวด เอาเป็นว่าเรื่องนี้ ซันจะจัดการเอง ซันกลับก่อนนะคะ” ตะวันฉายจะเดินไป
ยุทธการพูดอะไรแทบไม่ออก “ซัน...เอ่อ..พี่ไปส่ง”
“ไม่ดีกว่าพี่ยุทธ ซันอยากกลับเอง” ตะวันฉายเดินไปทันที
ยุทธการจะเดินตามแต่ก็หยุดเหมือนคนหมดแรงจนก้าวไม่ออก เขาได้แต่ยืนอึ้งมองตะวันฉายเดินไปแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเอง
ตะวันฉายเปิดประตูเล็กที่หน้าบ้านของเมฆเข้ามาด้วยสีหน้าซึมๆ แล้วปิดประตู เธอหันกลับมา ก้มหน้าเดินเข้าบ้านโดยไม่สังเกตอะไร แต่แล้วเธอก็หยุดเดินหันไปมองที่จอดรถทำให้เห็นว่ารถเมฆไม่อยู่ แล้วตะวันฉายก็นึกอะไรขึ้นมาได้จากที่ซึมเธอก็ยิ้มออกแล้วรีบเดินเข้าบ้านไป
เก่งนั่งหลับเฝ้าเครื่องซักผ้าที่กำลังปั่นอยู่ในสภาพอ้าปากหวอและกรนสนั่น ตะวันฉายยืนมองแล้วก็ยิ้มมุมปากอย่างมีแผน
ตะวันฉายรีบเดินเข้ามาในห้องทำงานของเมฆ แล้วเธอก็ตกใจที่เห็นว่าห้องทำงานโล่ง ตะวันฉายรีบไปดูที่โต๊ะทำงานก็เห็นว่าลิ้นชักเปิดทิ้งไว้ทั้งหมดแต่ไม่มีของอะไรในนั้นแล้ว ตะวันฉายเหวอไปทันที
ตะวันฉายปิดประตูห้องอย่างอารมณ์เสีย แล้วเธอก็ไปหยิบกุญแจห้องทำงานเมฆที่ปั๊มไว้ออกมาจากลิ้นชัก เธอมองกุญแจด้วยความเจ็บใจสุดๆ
“เพื่อ..?!!” ตะวันฉายขว้างกุญแจทิ้งด้วยความโมโห
เมฆกำลังขนของทั้งหมดมาไว้ที่บริเวณประตูบ้านธีรภพ อิงฟ้าเดินตามมามองบ้านอย่างกระอักกระอ่วนใจ แล้วเธอก็เปรยออกมา
“ไม่อยากกลับมาที่นี่เลย”
เมฆพูดเหน็บอิงฟ้า “ถ้าเป็นไปได้ อะไรที่เคยเป็นของพี่ธีร์ ผมก็อยากจะเอามาไว้ที่บ้านหลังนี้ให้หมดด้วยซ้ำ”
อิงฟ้ารู้ตัวก็ถึงกับหน้าเจื่อน “ฟ้าขอโทษที่พูดอย่างนั้น ความจริงฟ้าก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับบ้านหลังนี้หรอก เพราะมันก็เป็นบ้านเมฆด้วยเหมือนกัน”
เมฆเน้น “บ้านของพี่ธีร์ เรือนหอของฟ้าครับ”
“เมฆ..เมฆลืมเรื่องเก่าๆ แล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่ไม่ได้เหรอ”
เมฆมองรูปธีรภพที่ติดอยู่ในบ้าน
“ได้”
อิงฟ้ายิ้มดีใจแล้วจะเข้าไปกอดเมฆ แต่เธอก็ต้องชะงักกับคำที่เมฆพูดขึ้นมา
“เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”
อิงฟ้าจ๋อย เมฆเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจอิงฟ้า
ยุทธการเดินมาที่หน้าโรงเรียนสอนดนตรีของเอวา เขาเห็นโรงเรียนปิดไฟมืดและมีป้ายห้อยไว้ว่า “ปิดพักเที่ยง” ยุทธการทำหน้าเซ็งแล้วเขย่าประตูด้วยความหงุดหงิด เอวากับนิคเดินมาเห็นยุทธการเขย่าประตูอยู่ก็แปลกใจ
“พี่ยุทธอยากจะเข้าไปเหรอคะ”
ยุทธการหันมาเห็นทั้งสอง “นิค เอวา.. เราสองคนรู้เรื่องธีร์ พี่ชายนายเมฆน่ะด้วยใช่ไหม!?”
เอวากับนิคตกใจ ทั้งสองหันมองหน้ากันว่าจะเอายังไงดี
เอวาและนิคคุยกับยุทธการในห้องทำงานของเอวา
“ความจริงซันก็ไม่ได้โกหกหรอกครับ” นิคพูด “มันไปอยู่ที่บ้านพี่เมฆ เพราะต้องการจะเขียนหนังสือจริงๆ แต่ที่มากไปกว่านั้น คือซันต้องมีความรัก มันก็เลยไปตามหารักแรกและรักเดียวของมัน ซึ่งก็คือ...พี่ธีร์”
เอวากระทุ้งศอกใส่นิคให้หยุดพูดเพราะกลัวยุทธการจะเสียใจ
“พวกเราขอโทษพี่ยุทธนะคะที่ร่วมมือกับซันปิดเรื่องนี้ไว้” เอวาบอก
“พี่เข้าใจว่าพวกเราต้องช่วยเพื่อน แต่ที่พี่มานี่เพราะอยากรู้รายละเอียดเรื่องของธีร์..” ยุทธการซึมลง “มากกว่าเขาเป็นรักแรก รักเดียว..” ยุทธการพยายามทำเป็นปกติ “ซันเขาไม่ยอมบอกอะไรพี่อีก”
“เอวาเข้าใจซันค่ะ ซันมันแคร์พี่ยุทธมาก เอวาเองก็ไม่อยากบอกอะไรให้พี่ต้องเจ็บอีก พี่ยุทธรู้ไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกค่ะ”
“ดีสิ เพราะพี่จะได้ช่วยซันตามหาธีร์อีกแรง” ยุทธการบอก
นิคตกใจ “หา! พี่จะช่วยคนที่พี่รักตามหาคนที่เขารัก? โห ผมนับถือหัวใจพี่จริงๆ”
ยุทธการยิ้มบางๆ และไม่ตอบอะไรอีก เขาเหม่อมองไปทางอื่นพร้อมกับครุ่นคิดอะไรในใจ
นิคกับเอวามายืนส่งยุทธการที่หน้าโรงเรียน
“ขอบใจเราสองคนมากนะที่ช่วยพี่ แล้วเจอกันนะ” ยุทธการจะเดินไป
เอวารีบเรียกไว้ “พี่ยุทธคะ..” ยุทธการหันมา “ถ้ามีอะไร โทรหาเอวาได้ตลอดเลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”
ยุทธการยิ้มเศร้าก่อนจะพยักหน้า แล้วเดินจากไป
“นี่ถ้าพี่ยุทธช่วยให้ซันกับพี่ธีร์ได้คบกันนะ ฉันจะตบรางวัลให้พ่อพระยุทธการชุดใหญ่เลย” นิคพูดขึ้น
“แกจะให้อะไรเขา” เอวาถาม
“ฉันก็จะหาผู้หญิงดีๆให้พี่เขาสักคนน่ะสิ”
“แล้วแกรู้ได้ไงว่าพี่ยุทธเขาจะชอบด้วย”
“ก็แกเป็นคนดี ถ้าชั้นชี้ให้เห็นตรงจุดแบบจะๆ พี่เขาต้องเห็นแน่นอน”
“อะไร เกี่ยวอะไรกับชั้น ไม่ต้องมาชี้อะไรชั้นทั้งนั้น ชั้นไม่ได้อยากให้ใครมองเห็น แล้วแกก็ไม่ต้องเจ๋อไปยุ่งกับพี่เขาเลย” เอวาทำโมโหกลบเกลื่อนแล้วเดินหนีไป
นิคมองตามแล้วก็ถอนใจ
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ตะวันฉายเคาะกาละมังข้างหูเก่งที่ยังหลับอยู่ข้างเครื่องซักผ้า
“ตื่นเร็ว!! ไฟไหม้ พายุเข้า ภูเขาถล่ม น้ำท่วม ขโมยขึ้นบ้าน โลกาวินาศแล้ว!!”
เก่งตกใจตื่นขึ้นมาเหลียวมองรอบตัว
“โลกาวินาศ แย่แล้ว เก่งยังไม่อยากตาย!” เก่งโวยวาย
ตะวันฉายหัวเราะ “อะไรพี่เก่ง ละเมอเหรอ”
“นี่เอ็งแกล้งพี่เหรอ”
“ช่วยปลุกต่างหาก เครื่องซักผ้าปั่นเสร็จตั้งนานแล้ว”
“ขอบใจ ทีหลังไม่ต้อง”
“เออพี่ เมื่อกี๊ชั้นเข้าไปกวาดห้องทำงาน ทำไมของหายไปหมดเลยล่ะ”
รถเมฆแล่นเข้ามาพอดี ทั้งสองคนหันไปมองทางเสียง
“คุณเมฆเขามาแล้วไง อยากรู้ก็ไปถามเขาเองเถอะ” เก่งบอก
เมฆเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับอิงฟ้า โดยที่อิงฟ้าพยายามทำดีกับเมฆ
“เมฆนั่งพักก่อนนะ วันนี้ยกของตั้งเยอะ เดี๋ยวฟ้านวดให้”
“ไม่ต้องหรอกฟ้า ผมไม่ชอบนวด”
“งั้นฟ้าไปเอาน้ำมาให้นะ”
“ไม่เป็นไร ฟ้าไปพักเถอะ”
อิงฟ้าน้อยใจ “นี่เมฆจะเกลียดฟ้าไปจนตายเลยใชมั้ย”
ตะวันฉายถืออุปกรณ์ทำความสะอาดลงมาจากชั้นบน พอเมฆเห็นตะวันฉายเขาก็ทำเฉยๆ แล้วพูดกับอิงฟ้า
“น้ำสักแก้วก็ได้ฟ้า”
อิงฟ้าดีใจรีบเดินเข้าครัวทันที ตะวันฉายเข้ามาทำเป็นกวาดพื้นใกล้ๆ แล้วมองเมฆเพราะอยากจะถามเรื่องห้องทำงาน
“มีอะไร” เมฆถามขึ้น
“ไม่มีอะไรนี่ครับ ผมก็แค่เข้ามาทำความสะอาด”ตะวันฉายทำเป็นนึกได้ “อ๋อ คุณเมฆครับ คือผมเห็นของในห้องทำงานหายไปหมดเลย คุณเมฆจัดห้องทำงานใหม่เหรอครับ”
เมฆแอบยิ้ม “ไม่ได้จัดใหม่ แต่ย้ายไปไว้ที่อื่นต่างหาก”
ตะวันฉายงง “ทำไมต้องย้ายล่ะครับ”
“กลัวพวกสอดรู้สอดเห็นน่ะสิ ท่าทางอยากรู้นะเนี่ยว่าย้ายไปไหน”
ตะวันฉายทำกลบเกลื่อน “ผมจะอยากรู้ไปทำไม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมซะหน่อย ก็เห็นว่าของหายไป ผมก็ต้องช่วยเป็นหูเป็นตาให้ ก็เท่านั้น”
“เหรอ ขอบใจนะ”
อิงฟ้าเดินออกมาจากครัวพร้อมน้ำปั่น
“มาแล้วเมฆ น้ำปั่นสูตรของฟ้าเอง”
“ขอบคุณนะ แต่ฟ้าดื่มเถอะ ตอนนี้ผมอยากทำอย่างอื่นมากกว่า” เมฆหันมาหาตะวันฉาย “ไปซัน”
ตะวันฉายทำหน้างง ส่วนอิงฟ้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“ไปไหนครับ” ตะวันฉายถาม
เมฆพยักพเยิดไปทางห้องทำงาน “เข้าห้อง”
ตะวันฉายกับอิงฟ้าร้องออกมาพร้อมกัน “หา!”
เมฆลากตะวันฉายเข้าห้องทำงานไปทันที อิงฟ้าทั้งไม่เข้าใจและไม่พอใจ
พอเข้ามาปุ๊ป เมฆก็ล็อคห้องทำงานปั๊ป ตะวันฉายตกใจ
“ทำไมต้องล็อคห้องด้วยล่ะครับ”
“ต้องการความสงบ” เมฆบอก
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นตามด้วยเสียงอิงฟ้า
“เมฆ จะทำอะไรน่ะ ออกมาคุยกับฟ้าก่อน”
ตะวันฉายเหลือบมองไปทางประตู
เมฆถามเธอ “เข้าใจรึยัง”
ตะวันฉายพยักหน้า “แต่ก็ไม่เข้าใจว่าจะให้ผมเข้ามาทำอะไร”
“ก็ช่วยชั้นทำงานน่ะสิ”
อิงฟ้าที่อยู่หน้าห้องพยายามเคาะประตูและเปิดประตู แต่ประตูก็ล็อค อิงฟ้ารู้สึกหงุดหงิด เมฆนั่งดีดเปียโนเพลงที่เขากับตะวันฉายแต่งไว้
“ไหนร้องซิ” เมฆบอก
“ไม่มีอารมณ์” ตะวันฉายตอบ
เมฆหยุดเล่นแล้วหันมามองตะวันฉาย “ต้องมีอารมณ์ก่อนใช่มั้ย” เมฆแกล้งมองหน้าอกตะวันฉาย
ตะวันฉายตกใจรีบปิดหน้าอก
“อะไร..หันหลัง” เมฆสั่ง
ตะวันฉายงงๆ พอจะหันหลังเธอก็ตกใจรีบปิดก้น
“คุณเมฆ จะบ้าเหรอ เดี๋ยวผมฟ้องข้อหานายจ้างทำอนาจารหรอก”
“ชั้นให้หันหลังเดินไปหยิบกระดาษโน้ตกับดินสอให้หน่อย”
“อ่อ นึกว่าอะไร” ตะวันฉายเดินไปหยิบดินสอกับกระดาษโน้ตที่เมฆเขียนเพลงค้างไว้
เมฆแอบขำ
เมฆเล่นเปียโน ตะวันฉายร้องเพลงท่อนแรกที่แต่งไว้
“ทุกๆเช้าที่ตื่นมา ฮัมเพลงเดิมซ้ำไปมา เพลงที่แต่งแต่ไม่จบซักที เธอมาช่วยเติมคำร้อง ลงไปในท่วงทำนอง จนเกิดเพลงนี้ ฟังเพลงรักมามากมาย ฟังใจความซึ้งเท่าไหร่ ไม่รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้เธอ...”
ตะวันฉายร้องจนจบท่อน เมฆยังเล่นเปียโนต่อ
เมฆร้องเนื้อเพลงต่อ “รักที่เหมือนไกลสุดไกล ก็แค่เอื้อมมือไปได้ รออยู่เสมอเพียงแค่สบตา ก็เข้าใจกันทุกอย่าง”
“เดี๋ยวๆ” ตะวันฉายบอก เมฆหยุดเล่น “มันน่าจะ” ตะวันฉายร้อง “ไม่พูดอะไร ก็เข้าใจกันทุกคำ”
เมฆนึกๆ “โอเค งั้นร้องมาซิ”
ตะวันฉายร้อง “ไม่พูดอะไร ก็เข้าใจกันทุกคำ”
เมฆร้องต่อ “ไม่ต้องเอ่ยคำ ก็สื่อกันได้ตรงใจ”
“อี๋ ไม่เห็นดีเลย ผมว่า” ตะวันฉายร้อง “ ไม่เคยต้องถาม ก็ตอบมาได้ตรงใจ…อย่างเงี้ย ดีกว่าอีก”
เมฆเริ่มค้อนตะวันฉายแต่ก็เขียนเนื้อที่ตะวันฉายแก้ให้ลงไปในกระดาษโน้ต ตะวันฉายยื่นหน้ามามองแล้วก็อมยิ้มชอบใจ เมฆเล่นเปียโนต่อ
“ไม่ต้องเรียกร้อง ก็ได้รัก กับสิ่งที่ดีมากมาย เข้าใจเมื่อได้รักกัน” เมฆร้อง
ตะวันฉายรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ “โหย เข้าใจเมื่อได้รักเธอสิครับ”
เมฆตบคีย์เปียโนอย่างอารมณ์เสีย “นี่มันเพลงของชั้นนะ ถ้าชั้นแต่งไม่ดี นายเอาไปแต่งเองเลยมั้ย”
“อ้าว งอนซะละ ไหนบอกให้ผมมาช่วยทำงานไงครับ พอช่วยแล้วก็มาโกรธ”
“ก็นายเล่นแก้ตลอดเลยนี่ อารมณ์กำลังไหลๆ ก็ต้องสะดุดทุกที”
“ก็คำของคุณเมฆมันยังไม่โดนนี่ครับ นี่ผมแก้ให้ดีขึ้นนะ ถ้าคุณไม่ชอบก็ไม่ต้องใช้คำของผมสิ”
“พอๆเลิกๆ ไม่ตงไม่แต่งมันละ”
“อ้าว ทำไมอ่ะ”
“เซ็ง” เมฆว่า
“เสียเซลฟ์เหรอครับ”
“เปล่า แต่เซ็ง”
ตะวันฉายอมยิ้มแล้วก็กลั้นหัวเราะที่เห็นเมฆโกรธ เมฆมองตะวันฉายอย่างเข่นเขี้ยว
ยุทธการมานั่งที่โต๊ะทำงาน เขาดูชื่อ ธีรภพ พิพัฒนพงษ์สกุล ในมือ พร้อมเสียงของนิคกับเอวาดังขึ้นในหัว
“พี่ธีร์เป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย แล้วซันก็อยู่ชมรมถ่ายภาพที่มีพี่ธีร์เป็นประธาน” เอวาบอก
“ไอ้ซันมันปิ๊งเขาตั้งแต่ตอนนั้นล่ะครับ แต่มันก็ไม่เคยบอกพวกเรา” นิคเสริม
“พอพี่เขาเรียนจบ ก็เห็นว่าไปเรียนต่อเมืองนอก แล้วพี่เขาก็เป็นคนเปิดบริษัททัวร์ ทราเวิล ที แล้วตอนหลังนี่แหละที่พี่เมฆเป็นคนดูแลแทน”
“ส่วนพี่ธีร์ ซันก็สืบหาอยู่นี่แหละครับ”
ยุทธการคิดแล้วก็เครียดจึงลุกออกไปทันที
ยุทธการให้กระดาษที่เขียนชื่อธีรภพกับจ่าสม จ่าสมรับมาอ่าน
“ผมอยากให้จ่าช่วยสืบหาคนๆนี้ให้หน่อย”
“คดีอะไรเหรอครับ”
“คนหาย”
“ครับๆ ผมจะช่วยเต็มที่ สงสารคนที่ตามหานะครับ คงทรมานใจน่าดู”
ยุทธการยิ้มเศร้า “แต่คนที่ช่วยตาม ทรมานกว่า”
“หมายความว่ายังไงเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก เออ ว่าแต่เรื่องเอ็มม่า จ่าได้เบาะแสเพิ่มเติมหรือยัง” ยุทธการถาม
จ่าสมอึกอัก “ผมส่งรูปไปตามโรงแรมและแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติไปกันแล้ว แต่ยังไม่ได้เรื่องเลยครับ”
“แล้วถามไปที่ตม.หรือยัง”
“ยังเลยครับ”
“เอ ทำไมมันช้านักล่ะ จ่าเร่งมือหน่อยแล้วกันนะ”
“ครับ”
พูดจบยุทธการก็เดินออกไป จ่าสมเปิดดูรูปอิงฟ้าอีกครั้ง
“พ่อขอโทษนะลูก พ่อไม่อยากรักลูกจนต้องทำผิดอีกแล้ว ถ้าฟ้าเป็นคนดีความดีจะช่วยฟ้าเอง”
จ่าสมกดโทรศัพท์พูดกับลูกน้อง
“เอารูปเอ็มม่า เช็คกับทางตม.ซิ” จ่าสมวางสายด้วยสีหน้าเครียด
อิงฟ้านั่งอ่านแมกกาซีนที่ห้องรับแขกอย่างไม่มีสมาธิ เธอเปิดหนังสือแรงขึ้นแล้วก็ปิดลง ก่อนจะมองไปทางห้องทำงานเมฆด้วยความหงุดหงิด อิงฟ้าคิดแผนแล้วเดินไปเคาะประตู
“เมฆ ช่วยฟ้าด้วย ฟ้าปวดหัว”
เมฆเปิดประตูออกมา อิงฟ้ายิ้มดีใจแต่พอมองเข้าไปก็เห็นตะวันฉายยืนเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างหลัง
“ทำอะไรกันอยู่ตั้งนาน” อิงฟ้าถาม
“ทำงานไงฟ้า ผมบอกไปแล้วนี่” เมฆบอก
“แล้วซันล่ะ”
“เขาก็มาช่วยผมทำงาน”
“ซันเนี่ยนะ ช่วยเมฆทำงาน ถ้าอย่างซันช่วยได้ ฟ้าก็ช่วยได้” อิงฟ้าพูดกับตะวันฉาย “ซัน จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ เดี๋ยวชั้นจะช่วยคุณเมฆทำงานเอง”
“ครับ” ตะวันฉายจะเดินออกไป
เมฆคว้าแขนตะวันฉายไว้
“ฉันยังไม่ได้บอกให้นายไปเลยนะ”
ตะวันฉายมองอิงฟ้าทีแล้วก็หันมองเมฆทีด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ เธอมีสีหน้ากระอักกระอ่วน
เมฆพูดกับอิงฟ้า “ฟ้าไม่ต้องช่วยผมหรอก ผมมีซันก็พอแล้ว แล้วเขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้ผมทำงานได้ดีด้วย”
อิงฟ้ารับไม่ได้ “เมฆ นี่เมฆพูดเหมือนเมฆ..ฟ้าไม่อยากพูดออกมาเลย”
เมฆบอกแทน “ผมกับซันชอบกัน”
ตะวันฉาย และอิงฟ้าเหวอกันไป
“ไม่จริง ฟ้าไม่เชื่อเมฆหรอก เมฆพูดแบบนี้เพราะโกรธฟ้า ฟ้ารู้”
“ผมพูดจริง ฟ้าก็ดูๆไปก็แล้วกัน”
พอตะวันฉายจะพูดเมฆก็ลากแขนตะวันฉายออกไปทันที
เมฆดึงตะวันฉายออกมาหน้าห้องทำงาน
ตะวันฉายไม่พอใจ “ผมต้องไปเตรียมของว่างให้คุณหมอก ไม่มีเวลาให้คุณลากผมไปไหนมาไหนแล้วนะครับ”
เมฆปล่อยแขนตะวันฉาย “บอกดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องหน้าหงิกอย่างนี้เลย”
“ก็ผมไม่ชอบที่คุณเมฆพูดกับคุณอิงฟ้าแบบนั้นเลย”
เมฆแกล้งพูดย้ำ “พูดว่าเราชอบกันน่ะเหรอ เอ...หรือว่าเรารักกันดีนะ”
“คุณเมฆ!”
“ทำไมเล่า เราจะเป็นแฟนกันไม่ได้เหรอ”
ตะวันฉายงง “ตกลง คุณเมฆ...เป็นเกย์เหรอครับ”
“ไม่รู้สิ อยู่ไปนานๆก็เกิดเห็นนายตี๋ๆ ขาวๆ น่าเจี๊ยะซะงั้น ชั้นก็เลยไม่ชอบผู้หญิงแล้ว”
ตะวันฉายตกใจ “ฮ้า!..เอาจริงเหรอ”
“ลองไหมล่ะ” เมฆเข้าไปจับไหล่ตะวันฉายแล้วจ้องตาก่อนจะโน้มตัวไปจะจูบ
ตะวันฉายตกตะลึงและเริ่มใจไม่ดี แล้วทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงโครม เมฆและตะวันฉายหันไปเห็นเก่งทำกระบะเสื้อผ้าร่วงลงพื้น และกำลังยืนอึ้งเอามือปิดปากด้วยความตกใจอยู่
“ค..คุณเมฆเป็น Man for Men เหรอครับ”
เมฆมองตะวันฉายแล้วหันมาบอกเก่ง “ใช่”
เก่งและตะวันฉายตกใจ
“โอ้ บร๊ะเจ้า!!! เป็นไปได้...” เก่งตกใจ
ตะวันฉายวิ่งหนีไปเลย เก่งรีบโกยผ้าขึ้นมาแล้วก็รีบไป เมฆขำ แล้วเขาก็หันไปมองทางที่ตะวันฉายวิ่งไป ก่อนจะทำหน้าสะใจที่ได้แกล้ง เมฆเดินผิวปากออกไปจากบ้าน อิงฟ้าเดินออกมามองตามด้วยความไม่พอใจ
ตะวันฉายเดินออกมาเห็นต้นผักกาดที่แปลงหน้าบ้านกำลังโตก็ยิ้มด้วยความดีใจ เธอเข้าไปจะรดน้ำให้ เมฆขับรถเข้ามาจอดในบ้าน หมอกรีบลงจากรถแล้ววิ่งมาหาตะวันฉายทันที
“พี่ซันค้าบ..ให้หมอกรดน้ำด้วยคับ”
ตะวันฉายรีบขวางและบังต้นผักกาดไว้
“เดี๋ยวก่อนครับ”
หมอกงง “ทำไมล่ะคับ”
“พี่ซันอยากให้คุณหมอกดูผลงานตัวเองซะก่อน” ตะวันฉายเปิดทางให้หมอกได้เห็นต้นผักกาด
หมอกเห็นต้นผักกาดที่โตขึ้นมาแล้วก็รู้สึกดีใจ
“ต้นผักกาดโตแล้ว เย้ พ่อค้าบ ดูต้นผักกาดของหมอกสิคับ”
“โห ฝีมือลูกพ่อเก่งจริงๆ” เมฆชม
“เป็นเพราะคุณหมอกใส่ใจมันน่ะสิครับ มันถึงได้โตอย่างนี้ เดี๋ยวรออีกหน่อย คงได้เก็บไปกินแล้วล่ะ” ตะวันฉายบอก
เมฆเดินเข้ามากระซิบตะวันฉาย
“ที่รักของเขาเก่งเหมือนกันนะตะเอง”
ตะวันฉายหมั่นไส้และรู้สึกอยากซัดเมฆสักป้าบ
“อ๊ะๆ ห้ามใช้ความรุนแรงต่อหน้าเด็กนะ แล้วบอกไปแต่งเพลงรักต่อดีกว่าอารมณ์ดีจัง” เมฆเดินไป
ตะวันฉายมองตามแล้วก็ค้อนด้วยความหมั่นไส้ แต่เธอก็แอบยิ้มออกมา
ตะวันฉายกับหมอกช่วยกันรดน้ำต้นผักกาดด้วยกัน อิงฟ้าเดินมาหาแล้วส่งต้นผักกาดที่เติบโตสวยงามอยู่ในกระถางให้หมอก
“หมอก แม่ซื้อต้นผักกาดมาให้”
หมอกตื่นเต้นดีใจ “โห โตกว่าของหมอกอีกคับ”
“หมอกเอาต้นนี้ไปส่งครูสิลูก จะได้ไม่ต้องเสียเวลาปลูก” อิงฟ้าบอก
หมอกเริ่มงง “แต่คุณครูบอกให้ปลูกเองนะคับ”
ตะวันฉายบอกอิงฟ้า “ผมว่าน่าจะเอาต้นที่ปลูกเองส่งครูนะครับ”
“ชั้นจะให้หมอกเอาต้นที่ชั้นซื้อมานี่แหละส่ง จะมามัวรอให้มันโตก็ไม่รู้จะอีกนานแค่ไหน ต้นนี้ชั้นเลือกที่สวยที่สุดในร้านมาเลยนะ” อิงฟ้าพูดกับหมอก “หมอกจะได้เอาไปอวดเพื่อนได้ด้วยว่าหมอกปลูกเก่งแค่ไหน”
“เด็กรุ่นใหม่เขาปลูกฝังเรื่องโตไปไม่โกง คุณไม่น่าทำแบบนี้เลยนะครับ” ตะวันฉายพูดออกมา “ยิ่งกว่านั้นแล้วความภูมิใจของคุณหมอกล่ะครับ ความสุขในการดูแลต้นไม้มันก็ขาดหายไป การปลูกผักกาดมันไม่ได้แค่ผักกาด แต่คุณหมอกจะได้ความรับผิดชอบ ความรักในธรรมชาติ ได้อะไรอีกเยอะแยะที่คุณน่าจะเข้าใจ”
อิงฟ้าโกรธมาก “นี่นายกล้าดีมาสั่งสอนชั้นเลยเหรอ” อิงฟ้าหันไปพูดกับหมอก “หมอกครับ หมอกเลือกว่าจะเอาอะไร ระหว่างผักกาดสวยๆของแม่ กับผักกาดที่ซันปลูกให้ แม่ดูแล้วไม่รู้ว่ามันจะโตได้สวยเท่านี้หรือเปล่าเลย”
หมอกมองแล้วคิดก่อนจะตอบ
“ปลูกกับพี่ซันสนุกกว่า หมอกได้รดน้ำต้นไม้เองด้วยคับ”
อิงฟ้าไม่พอใจ เธอเอากระถางผักกาดเดินเข้าบ้านไปทิ้งถังขยะ หมอกได้แต่มองตามแม่ไปอย่างจ๋อยๆ ตะวันฉายมองหมอกด้วยความสงสาร
ตะวันฉายกำลังแกะกระดุมเสื้อให้หมอกเพื่อเตรียมจะพาไปอาบน้ำ แต่หมอกดูไม่สดใสร่าเริง
“คุณหมอกเสียใจเรื่องคุณแม่เหรอครับ” ตะวันฉายถาม
หมอกพยักหน้า “หมอกอยากไปหาคุณแม่แต่กลัวโดนดุ”
“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ คุณแม่รักคุณหมอกจะตาย เมื่อกี๊คุณแม่คงจะแค่น้อยใจเท่านั้นเอง”
“แต่คุณแม่ไม่ยอมมาอาบน้ำให้หมอก”
“คุณหมอกก็ให้คุณแม่เขาพักสักนิดนึงก่อน พอคุณหมอกอาบน้ำเสร็จ ก็ค่อยไปหาคุณแม่”
หมอกก้มหน้างุดเพราะยังเสียใจอยู่ ตะวันฉายจึงจับหมอกมานั่ง
“คุณหมอกเป็นคนเก่ง เป็นลูกผู้ชาย แล้วก็เป็นเด็กดี พี่ซันเชื่อว่าถ้าคุณหมอกเข้าไปหาคุณแม่อย่างสุภาพบุรุษ ไปดูแลคุณแม่ด้วยความรัก คุณแม่ต้องไม่โกรธคุณหมอก แล้วพี่ซันจะคอยแอบให้กำลังใจ”
หมอกสูดหายใจลึกๆ ทำท่าฮึดสู้
“งั้นเรารีบอาบน้ำแต่งตัว แล้วไปหาคุณแม่กันนะครับ”
“คับ”
ตะวันฉายพาหมอกที่เริ่มอารมณ์ดีแล้วไปอาบน้ำ
ตะวันฉายกับหมอกกำลังจะเดินลงบันไดซึ่งสวนกับเมฆที่กำลังจะเดินขึ้นมา
เมฆเข้าไปพูดแกล้งตะวันฉาย “อ้าว อาบน้ำให้หมอกเสร็จแล้วเหรอ” เมฆกระซิบ “อาบน้ำให้เค้าด้วยดิ เค้าจะไปทำงานแล้ว”
“ผมกำลังจะไปทำเรื่องดีๆ ไม่มีเวลามาทำเรื่องไร้สาระหรอก”
เมฆเบะปากหมั่นไส้ “แล้วจะไปทำอะไรที่ไหนกันล่ะเนี่ย”
“บอกไม่ได้คับ ภารกิจสำคัญ” หมอกบอก
เมฆงงจึงกระซิบกับตะวันฉาย “เดี๋ยวนี้สนิทกับลูกชายชั้นจังเลยนะ เตรียมตัวเป็นคนในครอบครัวเขาเหรอตะเอง”
ตะวันฉายยิ้มแล้วเดินเหยียบเท้าเมฆพาหมอกลงไป เมฆได้แต่ร้องจ๊ากเพราะเจ็บเท้าอยู่คนเดียว แต่เขาก็อยากรู้ว่าตะวันฉายจะทำอะไรเลยแอบเดินตามลงไปดู
หมอกเห็นอิงฟ้านั่งหน้าเซ็งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก หมอกที่ยืนอยู่กับตะวันฉายตรงทางจะเดินไปห้องรับแขกมีท่าทางกลัวๆ
“หมอกไม่ไปดีกว่าคับพี่ซัน เดี๋ยวแม่โกรธหมอกอีก”
“อย่ากลัวสิครับ เราเข้าไปทำดี คนทำดีไม่มีใครไม่ชอบหรอก สู้ๆ” ตะวันฉายให้กำลังใจ
ตะวันฉายส่งหมอกให้เดินเข้าไปหาอิงฟ้า เมฆเดินมาอยู่ข้างหลังแล้วชะเง้อมองตาม
หมอกเดินเข้าไปหาอิงฟ้า
“แม่คับ แม่โกรธหมอกเหรอคับ”
อิงฟ้านิ่งๆไม่ตอบอะไร
“หรือว่าแม่ไม่สบาย” หมอกจับหน้าผากอิงฟ้า “ตัวไม่ร้อนนี่”
อิงฟ้าเริ่มใจอ่อน “ขอบใจจ้ะลูก แม่ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”
“งั้นแม่ก็ยิ้มหน่อยสิคับ หมอกอยากเห็นแม่ยิ้ม แม่ยิ้มสวย แม่ยิ้มแล้วเหมือนนางฟ้า”
อิงฟ้าอึ้ง “แม่เหมือนนางฟ้าเหรอ”
“คับ แม่เป็นนางฟ้าของหมอก”
อิงฟ้าน้ำตาไหลแล้วเข้าไปกอดหมอก
“แม่ขอโทษนะที่แม่ใช้อารมณ์เรื่องปลูกผักกาด”
“ไม่เป็นไรครับ”
“หมอกชอบปลูกเองใช่ไหม”
หมอกพยักหน้ารับ “แต่อยากปลูกกับคุณแม่ด้วย”
“ได้สิ ต่อไปนี้แม่จะช่วยหมอกดูแลต้นผักกาดนะ” อิงฟ้าหอมแก้มหมอกเป็นการใหญ่ แล้วก็กอดหมอก
หมอกมองมาที่ตะวันฉายที่ยืนแอบดูอยู่แล้วหมอกก็ขยิบตาให้ ตะวันฉายยิ้มปลื้มแล้วยกนิ้วให้หมอก หลังจากนั้นเธอก็หันหลังจะเดินกลับแต่เห็นเมฆมาแอบอยู่ใกล้ๆ ตะวันฉายสะดุ้ง
“นายนี่เหมาะจะเป็นแม่คนจริงๆเลยนะ” เมฆบอก
ตะวันฉายตกใจ “คุณพูดอะไรน่ะ ผมเป็นผู้ชายจะเป็นแม่ได้ยังไง”
“เอ้า สมัยนี้ผู้ชายกลายเป็นผู้หญิงเยอะออก นายนี่ล่ะเหมาะเหม็งเลย”
ตะวันฉายเห็นเมฆจ้องเลยด้วยแววตาเจ้าชู้เลยรีบปฎิเสธ “ผมจะกลายเป็นผู้หญิงได้ไง คุณนั่นแหละ เพี้ยนไปคนเดียวเถอะ” ตะวันฉายรีบเดินหนีไปทันที
เมฆยิ้มขำ
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ตะวันฉายกำลังจะเปิดคอมพิวเตอร์ทำงาน แต่ได้ยินเสียงหมอกมาเคาะประตูแล้วร้องไห้
“พี่ซันคับ..”
ตะวันฉายตกใจมากจึงรีบไปเปิดประตู หมอกยืนร้องไห้อยู่หน้าห้อง
“คุณหมอก เป็นอะไรไปครับ”
“หมอกฝันร้าย ตื่นมาแม่หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ไปเรียกที่ห้องแม่ก็ไม่ออกมา”
ตะวันฉายกอดหมอก “มาครับ โอ๋ๆ พี่ซันพาไปนอนนะ” ตะวันฉายอุ้มหมอกไปที่ห้อง
ตะวันฉายกำลังห่มผ้าให้หมอกที่นอนอยู่บนเตียง
“เดี๋ยวพี่ซันเล่านิทานให้ฟังนะครับ”
“ไม่เอาคับ หมอกอยากให้พี่ซันนอนกอดหมอก หมอกกลัวผี”
ตะวันฉายงง “ผีอะไรเหรอครับ”
“ผีต้นผักกาดคับ มันออกมาจากกระถาง”
ตะวันฉายยิ้มขำ “โธ่” ตะวันฉายนอนกอดหมอก “โอเค พี่ซันจะกอดคุณหมอกไว้อย่างนี้นะครับ ทีนี้คุณหมอกก็หลับได้ ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วนะครับ”
หมอกหลับตา ตะวันฉายร้องเพลงกล่อมจนหมอกหลับ แล้วเธอก็เดินออกไป
ตะวันฉายออกมาจากห้องหมอกก็เจออิงฟ้าในชุดนอนบางเบาเดินออกมาจากห้องพอดี
“อ้าว มีอะไรเหรอ ทำไมออกมาจากห้องหมอก” อิงฟ้าถาม
“คุณหมอกฝันร้าย ผมเลยไปปลอบ ตอนนี้หลับไปแล้วครับ”
อิงฟ้ารู้สึกผิด “อ้าวเหรอ ชั้นเห็นหมอกหลับไปแล้ว เลยไปอาบน้ำ มารอเมฆกลับบ้าน ไม่คิดว่าหมอกจะตื่นมาอีก ยังไงก็ขอบใจช่วยดูแลหมอกให้”
“ไม่เป็นไรครับ”ตะวันฉายจะเดินกลับห้อง
อิงฟ้าพูดขึ้นมาก่อน “แต่ขอบใจแค่เรื่องหมอกนะ ส่วนเรื่องเมฆน่ะ ชั้นไม่มีวันยอมแพ้หรอก เพราะชั้นรู้ว่าที่เมฆทำกับนายน่ะ เขาแค่ประชดชั้นเท่านั้นเอง” พูดจบอิงฟ้าก็เดินลงไปรอเมฆ
ตะวันฉายถอนหายใจเพราะรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ
เมฆ นิค และเอวากำลังเล่นดนตรีอยู่บนเวทีในผับ แขกคนหนึ่งนั่งมองอยู่ด้านหลังจนกระทั่งทั้งสามเล่นจบ เมฆ เอวา และนิคกำลังจะลงจากเวที แต่ผู้จัดการร้านไปเรียกนิค
“นิค มีคนเขาอยากคุยด้วยแน่ะ”
“โหย เดี๋ยวนี้หญิงติดนะ” เมฆแซว
“ผู้ชาย” ผู้จัดการบอก
“หา! มีผู้ชายมาติดไอ้นิค” เอวาตกใจ
เอวามองหน้าเมฆ
“ไอ้บ้า คิดไปได้” นิคพูดกับผจก. “ขอบคุณครับพี่ โต๊ะไหนเหรอ”
ผจก.ชี้ไปทางหนึ่ง นิคมองตามแล้วเดินไป
เอวาพูดกับเมฆ “ไปแอบดูกันดีกว่าพี่”
ทั้งสองเดินตามนิคไป
ชายคนนั้นยื่นนามบัตรให้นิค นิคหยิบมาอ่าน
นิคทำตาโต “พี่เป็นโปรดิวเซอร์อยู่ที่นิวยอร์กเหรอครับ”
“ใช่ พี่เคยมาดูเราหลายครั้งแล้ว พี่ว่าเราเหมาะกับแนวเพลงที่พี่กำลังทำอยู่ ถ้าเราสนใจ พี่ก็จะให้เราไปอัดเสียงที่นิวยอร์ก แล้วถ้าเราเข้ากันได้ดี เราคงได้ร่วมงานกันอีกยาว”
“ผม..” นิคมองไปทางเอวากับเมฆที่ชะเง้อมองมาทางเขาอยู่ แล้วหันมาบอกโปรดิวเซอร์ “ผมยังไม่อยากไปไหนครับ”
“พี่ยังไม่รีบตอนนี้ เราไปคิดให้ดีก่อนก็ได้”
“ครับ ขอบคุณครับพี่”
นิคครุ่นคิดด้วยความสับสนและหนักใจ
นิคกลับมาเล่าให้เมฆกับเอวาฟัง เมฆกับเอวาดีใจมาก
“ไปเลยไอ้นิค ไม่ต้องคิดแล้ว พี่คนนี้ชั้นรู้ว่าเขาเก่งตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทยแล้ว” เมฆบอก
“เออ ไปเลยแก ชั้นอยากเห็นเพื่อนดัง” เอวาเชียร์
“แต่ผมต้องออกจากวง แล้วก็ไปอยู่ที่เมืองนอกเลยนะ ผมคงไม่มีเงินบินกลับมาบ่อยๆหรอก”
“นี่มันใช่เรื่องที่แกต้องคิดมั้ยเนี่ย พี่น่ะไม่มีปัญหาหรอกถ้าแกไม่อยู่ พี่อยากให้แกคิดเรื่องประสบการณ์ ความก้าวหน้าที่แกจะได้ดีกว่า พี่อยากให้แกได้ดีนะ”
นิคถามเอวา “แล้วแกล่ะเอวา อยากให้ชั้นไปไหม”
“อยากสิ ถามได้”
นิคยิ้มเศร้าแต่ไม่พูดอะไร
นิคกับเอวาเดินมาที่หน้าผับ ทั้งสองมองรถเมฆที่แล่นออกไป
“แกรอนี่แหละ เดี๋ยวชั้นไปเอารถมาให้” นิคบอก
เอวาพูดหน้าจ๋อยๆ “ไม่ต้องหรอก แกกลับไปก่อนเถอะ ชั้นมีธุระ”
นิคแปลกใจ “ธุระอะไร ดึกป่านนี้แล้ว”นิคคิดว่าเป็นเรื่องยุทธการแล้วเขาก็หน้าเจื่อน “อ๋อ หรือว่า...มีนัดกับ...ใคร”
“เปล่า ไม่ได้นัดกับใคร แกไปเถอะน่า”เอวาดันหลังนิคให้เดินไป
“เออๆ ไล่จัง จะไปไหนก็ขับรถดีๆล่ะ”
“รู้แล้ว”
นิคเดินไป เอวามองฟ้าแล้วถอนใจด้วยความเศร้าที่รู้ว่านิคกำลังจะไปต่างประเทศ
เมฆถอดเสื้อถอดกางเกงใส่ตระกร้าจนเหลือแต่บ็อกเซอร์ ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมฆหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาใส่แล้วเดินไปเปิดประตู อิงฟ้าเดินเข้ามาในห้องทันที
“ฟ้ามีอะไร” เมฆถาม
อิงฟ้าเข้ามากอดเมฆทันที เมฆตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“คืนนี้เราจะเป็นของกันและกันอีกครั้ง” อิงฟ้าพูด
เมฆพยายามแกะมืออิงฟ้าออก “ฟ้าปล่อยผม”
“ไม่ ฟ้ารู้ว่าเมฆไม่ใช่เกย์ เมฆเลิกแกล้งทำบ้าๆแบบนั้นเถอะ”
อิงฟ้าซบอกเมฆ เมฆยืนนิ่งไม่ไหวติงจนอิงฟ้ารู้สึกผิดปกติเลยเงยหน้าขึ้นมอง
“ทำบ้าๆเหรอ...ฮึ...บางที ที่ผมทำบ้าๆกับไอ้ซัน มันอาจจะทำให้ผมมีความสุขกว่าการอยู่กับฟ้าก็ได้นะ” เมฆบอก
เมฆแกะมืออิงฟ้าอีกครั้งแล้วเดินออกจากห้องไป
“เมฆ”
ตะวันฉายที่นอนหลับอยู่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะประตู
“คุณหมอกนอนไม่หลับอีกเหรอครับ” ตะวันฉายงัวเงียเดินไปเปิดประตู
ตะวันฉายเปิดประตูออกมาเจอเมฆที่อยู่ในชุดบ็อกเซอร์โดยมีเสื้อคลุมอาบน้ำแต่เสื้อเปิดอยู่เพราะเชือกรัดเสื้อหลุดไปแล้ว ตะวันฉายเห็นก็รีบปิดตาร้องกรี๊ด
“อ๊ายยยยย ผีเปรต น่ากลัวกว่าผีผักกาดอีก”
เมฆรีบเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู
“เงียบได้แล้ว เดี๋ยวก็ได้ตื่นกันทั้งบ้านหรอก”
“ก็คุณเมฆแก้ผ้าเข้ามาทำไมล่ะครับ”
เมฆรีบกระชับเสื้อคลุม “แก้ผ้าที่ไหนล่ะ ฉันใส่เสื้อแล้ว”
ตะวันฉายเปิดตามองแต่ก็ยังตกใจ
“เนี่ยนะ ใส่แล้ว” ตะวันฉายปิดตาอีกรอบ “ไปใส่เสื้อผ้าเถอะครับ แล้วไม่ต้องมาอีก ผมป่วย ผมจะนอน”
“ไม่ คืนนี้ฉันจะนอนห้องนี้”
“นอนห้องนี้ ทำไม”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังจากด้านนอก
“เมฆ...เมฆ เมฆเปิดเถอะ” เสียงอิงฟ้าดังขึ้น
เมฆยักไหล่แล้วชี้ให้ตะวันฉายมองที่ประตู
“คุณก็ไปนอนกับแฟนคุณก็ถูกแล้วนี่ครับ” ตะวันฉายบอก
“จำไม่ได้เหรอ เมื่อกลางวันชั้นเพิ่งบอกว่าเราชอบกัน เพราะฉะนั้นคนรักกัน ก็คือแฟนกัน”
ตะวันฉายรีบพูด “มั่ว”
“มั่วที่ไหน เดี๋ยวก็เนียนกันไปเองแหละ ตกลงคืนนี้ฉันนอนนี่นะแฟนหนุ่ม” เมฆยักคิ้วให้ แล้วกระโดดขึ้นเตียง ก่อนจะห่มผ้าอย่างดีแล้วหลับตาพริ้ม
ตะวันฉายยืนมองด้วยความเจ็บใจ
อิงฟ้ายืนเคาะประตูอยู่ด้านนอก
“เมฆ ฟ้าไม่สนุกแล้วนะ ออกมาคุยกันหน่อย เมฆ”
อิงฟ้าทุบประตูอย่างแรงด้วยความโมโห
เอวาอยู่ในอาการเมาแหกปากร้องเพลงแนวอกหักอยู่บนเวที เธอยื่นไมค์ให้แขกในร้านร้องด้วย สักพักนิคก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาสมทบกับบาร์เทนเดอร์ที่ยืนเหวอมองเอวาอยู่ที่บาร์เหล้า
“รั่วนานหรือยัง”
“เตกีล่า 3ช็อต จากนั้นไม่ถึง 3นาที เจ๊แกก็ขึ้นไปโซโล่ซะ 3เพลง วงพี่โจ้เขาจะเลิกก็เลิกไม่ได้ นี่ผมก็นึกว่าพวกพี่กลับกันไปหมดแล้วซะอีก”
นิคมองเอวาที่ยังร้องเพลงอย่างสุดเหวี่ยงแล้วก็ถอนใจ
นิคพึมพำ “แล้วมาโกหกว่ามีธุระ” นิคพูดกับบาร์เทนเดอร์ “ขอบใจนะที่โทรมาบอก” นิคเดินออกไป
เอวาร้องเพลงถึงท่อนจบ วงที่เล่นจะลุกขึ้นแต่เอวารีบกางแขนห้าม
“เดี๋ยวพี่ ยังไม่หมดแม็กเลย ขออีกเพลง”
นิครีบขึ้นมาบนเวทีเพื่อมารับตัวเอวาไป
“พอแล้ว” นิคพูดกับนักดนตรี “ขอโทษนะพี่”
นักดนตรีรีบเก็บของลงจากเวทีไปอย่างรวดเร็ว
เอวาหันมามองนิคแล้วพูดใส่ไมค์ “ไอ้นิค มาร้องเพลงฉลองที่แกจะโกอินเตอร์กับชั้นเร็ว เอาเพลงฝรั่งเลยนะ” เอวาร้องเพลง “แหบปี่เบิร์ทเดย์ทู้ยู..”
“ไม่ใช่วันเกิดเกิดฉัน โอ๊ย..ไปๆ” นิคประคองเอวาให้ลงจากเวที
“ไม่ไป แกต้องร้องเพลงกับชั้นก่อน”
“เฮ้อ..ให้ชั้นร้องให้แกฟังละกัน” นิคบอก
“ก็ได้”
“งั้นก็ไปนั่งฟังดีๆ อย่างสงบเสงี่ยม ไม่งั้นไม่ร้อง”
เอวาทำท่าถอนสายบัว “ค่ะ”
นิคทำท่าขนลุกกับท่าทางและคำพูดของเอวา เอวาลงจากเวทีมานั่งที่บาร์ ขณะที่นิคกำลังสะพายกีต้าร์เพื่อเตรียมเล่น
“เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมแต่งเอง คิดว่าจะแต่งไว้ร้องให้ตัวเองฟัง แต่วันนี้ผมอยากจะร้องให้เพื่อนที่ผมรักที่สุดฟัง”
แล้วนิคก็ร้องเพลงจากหัวใจ
เอวาที่เมาอยู่ฟังไปสักพักก็เริ่มนิ่ง แล้วคิดตามเพลงก่อนที่น้ำตาของเธอจะไหลออกมา
นิคเปิดประตูรถให้เอวาทางด้านคนนั่ง แต่เอวากลับปิดประตู
“อ้าว ทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่าแกจะขับเอง โดนตำรวจจับเป่าไม่รู้นะ” นิคว่า
“ชั้นยังไม่อยากกลับบ้าน อยากจะฉลองต่อ” เอวาบอก
“อะไรจะดีใจที่ชั้นจะไปขนาดนั้นวะ”
“เออน่า จะอยู่ต่อหรือไม่อยู่”
นิคถอนใจ “แกเป็นอะไร ถามจริง”
“เป็นอะไร ก็แค่อยากจะฉลอง”
“ฉันเบื่อกับอาการที่แกต้องปิดบังเรื่องอะไรต่อมิอะไรเต็มทีแล้วว่ะ ถ้าแกไม่พูดความจริง แกก็อยู่คนเดียวไปละกัน”
เอวาร้องไห้ออกมา “ก็นั่นแหละ ที่ชั้นไม่อยากกลับบ้าน ชั้นไม่อยากอยู่คนเดียว กลับไปก็เหงา ชั้นไม่มีใครเลย”
นิคอึ้งแล้วก็เข้าไปกอดเอวา
“โอเคๆ ชั้นจะอยู่กับแก” นิคบอก
ตะวันฉายนั่งเขียนนิยายอยู่ที่โต๊ะ ส่วนเมฆนอนตะแคงแกล้งถามตะวันฉาย
“มีสมาธิด้วยเหรอ”
“มีคนบอกว่าเราต้องตั้งสติเมื่อมีมารผจญ”
เมฆยิ้มๆ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง “ว้า หายง่วงซะละ ให้ชั้นช่วยอ่านงานนายให้มะ”
ตะวันฉายรีบโอบโน้ตบุ๊คไว้ “ไม่ต้อง ห้ามมายุ่งกับงานของผมเด็ดขาด”
“ทำไม ทีนายยังมาวุ่นเรื่องเพลงฉันได้เลย”
“อ้าว นั่นคุณขอให้ผมช่วยเองนะ แต่นี่งานผม คุณไม่ต้อง”
“เอาน่า แฟนกัน ก็ต้องช่วยกันสิ เดี๋ยวจะคอมเม้นท์ให้ดีๆเลย” เมฆเดินไปยืนคร่อมที่โต๊ะ
ตะวันฉายตกใจจะดิ้นหนี แต่แขนเมฆที่คร่อมลงมากั้นไว้ทั้งสองข้าง
“ออกไปนะคุณเมฆ”
“อยู่เฉยๆสิ ชั้นจะอ่าน นั่นๆ” เมฆชี้ไปที่หน้าจอ “ชั้นว่าคำพูดนางเอกมันเวิ่นเว้อไปนะ ตัดออกบ้างก็ได้”
ตะวันฉายหันมองที่หน้าจอตามเมฆ
“น่าจะให้มีแอ๊คชั่นบ้างนะ บทบรรยายมันเยอะไปหน่อยระวังจะน่าเบื่อนะ”
ตะวันฉายขยับแว่นแล้วเริ่มตั้งใจอ่าน เธอคิดตามที่เมฆคอมเม้นท์ เมฆเคาะแป้นพิมพ์ให้บรรทัดเลื่อนแล้วอ่านไปนิดนึงก่อนจะหัวเราะออกมา
“เฮ้ย นางเอกนี่มันบ้าหรือเปล่าเนี่ย เดี๋ยวก็รักกับคนสวน เดี๋ยวก็รักกับโจร”
ตะวันฉายโกรธจึงหันมาผลักเมฆออก “มาแต่งเองเลยไหม”
“แหม พอโดนวิจารณ์มั่งก็ของขึ้นเชียวนะ”
“ขอความกรุณาไปนอนหลับให้สนิท อย่าให้ผมได้ยินเสียงคุณอีกนะ ไม่งั้นก็ออกไปจากห้องผมได้แล้ว”
เมฆทำหน้าจ๋อยแล้วกลับไปนอน “มานอนด้วยกันสิ” เมฆขยับที่ให้ “ชั้นไม่ได้จะมาแย่งเตียงนายนอนคนเดียวหรอกนะ”
“ไม่”
“ก็ได้ กู๊ดไนท์”
เมฆแกล้งนอนกางแข้งกางขาให้ดูหวาดเสียวจนตะวันฉายต้องปิดตา
“อ๊ากก...”
เวลาผ่านไปจนถึงกลางดึก ตะวันฉายนั่งสัปหงกอยู่ที่โต๊ะพอจะลงไปฟุบก็สะดุ้งตื่นมาเห็นเมฆที่นอนกรน หลับสบายอยู่บนเตียงของตนแล้วก็เจ็บใจ
ตะวันฉายลุกไปแกล้งกระชากผ้าห่มออก แต่เมฆยังหลับตาพริ้มและดึงผ้ากลับมาห่มเหมือนคนละเมอ ตะวันฉายยิ่งอยากจะร้องกรี๊ดออกมาแต่ก็พยายามสงบสติอารมณ์แล้วไปนั่งที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง
“ห้ามหลับๆ” ตะวันฉายพยายามเขียนต่อ
ตะวันฉายเขียนนิยายไปสักพักแล้วก็สัปหงกอีก เธอร่วงลงมาฟุบกับโต๊ะ เมฆตื่นมาเห็นตะวันฉายนั่งหลับเลยเดินมาอุ้มตะวันฉายมานอนบนเตียงแล้วห่มผ้าให้ แว่นตะวันฉายจะหลุด เมฆจะดึงแว่นออกแต่แล้วก็เปลี่ยนใจจับใส่ให้อย่างดี แล้วเขาก็ไปนั่งอ่านนิยายของตะวันฉาย
เมฆอ่านไปยิ้มไป แล้วเขาก็พิมพ์คำแนะนำในสิ่งที่เขาสงสัยลงไปในนิยายของตะวันฉายเพื่อเป็นไกด์ให้เธอจนถึงเช้า
นิคกับเอวานั่งดูพระอาทิตย์กำลังขึ้นอยู่ที่โป๊ะริมน้ำแห่งหนึ่ง
“ขอบใจมากนะนิคที่แกอยู่เป็นเพื่อนชั้นจนเช้า” เอวาบอก
“สบายใจขึ้นหรือยังล่ะ คุยกันตั้งแต่เรื่องตอนเด็กยันตอนโตเลย ทำอย่างกับคนแก่เลยเนี่ยพวกเรา”
เอวาตอบทั้งที่ยังเศร้าอยู่ “ก็..สบายใจ”
นิคมองเอวาอย่างเป็นห่วง “เอวา ..แกอย่าโกรธชั้นเลยนะ ชั้นรอฟังแกระบายเรื่องในใจของแกมาทั้งคืน แต่แกก็ไม่พูดเรื่องนี้เลย ที่แกเมาเละเมื่อคืน จริงๆแล้ว แกเฮิร์ทเรื่องพี่ยุทธใช่หรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ ก็ปนๆกันแหละ”
“ปนกับอะไร”
เอวาตัดสินใจพูด “ใช่ ชั้นอกหัก ชั้นรู้ว่าเรื่องชั้นกับพี่ยุทธมันเป็นไปได้ยาก แล้วตอนนี้ชั้นก็รู้สึกเหมือนแกกำลังจะทิ้งชั้นไปอีก ชั้นเลยทำใจไม่ได้แต่ชั้นก็ไม่ได้ไม่อยากให้แกไปนะ มันสับสนไปหมด ชั้นก็ไม่รู้ว่าชั้นเป็นบ้าอะไร” เอวาปิดหน้าแล้วร้องไห้อีก
นิคโอบเอวา “ชั้นบอกแล้วไง ว่าชั้นจะอยู่กับแก”
เอวามองหน้านิค “นิค ขอบใจนะที่แกเป็นห่วงชั้น แต่ถ้าแกไม่ยอมไปเมืองนอก ชั้นก็คงยิ่งเสียใจเข้าไปอีก”
“เรื่องนั้นให้ชั้นเป็นคนคิดเถอะ ตอนนี้แกหยุดร้องไห้ได้แล้วนะ หน้าเยินไปหมดแล้ว”
เอวาหัวเราะ “ไอ้บ้า ปากเสียได้ทุกสถานการณ์”
นิคยิ้ม “ถ้าทำให้แกยิ้มได้ก็โอล่ะวะ”
“เออแก อัดเพลงที่แกร้องเมื่อคืนให้ชั้นหน่อยได้มั้ย ชอบว่ะ มันทำให้ชั้นคิดอะไรได้หลายๆอย่าง”
“โห ขนาดเมายังมีสติคิดได้อีกนะ ได้สิ แต่ถ้าเอาไปปล่อย ชั้นคิดค่าลิขสิทธิ์แกอ่วมแน่”
ทั้งสองคนหัวเราะด้วยกัน เอวากอดคอนิค ส่วนนิก็กอดคอเอวา
เช้าวันใหม่ ตะวันฉายรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจอย่างแสนสบาย แต่มือที่ยืดออกไปสัมผัสโดนใครบางคนทำให้ตะวันฉายชะงักเพราะนึกได้จึงหันไปมอง เธอเห็นเมฆนอนหลับอยู่ข้างๆอย่างสบาย ตะวันฉายแทบกรีดร้องออกมา แต่ก็ปิดปากตัวเองไว้ เธอเปิดผ้าห่มมองสำรวจตัวเองจนเห็นว่าทุกอย่างอยู่ครบ ตะวันฉายจับหน้าตัวเองก็พบว่าแว่นตาก็ยังอยู่
“ครบทุกชิ้น” ตะวันฉายหันไปจ้องเมฆ “คุณเมฆ ตื่น!!”
อยู่ๆเมฆก็นอนละเมอมาตะครุบตะวันฉายแล้วกอดไว้ ตะวันฉายตกใจ
“เฮ้ย จะทำอะไร ปล่อยนะ” ตะวันฉายพยายามผลักเมฆออก
ตะวันฉายยิ่งผลัก เมฆก็ยิ่งกอด ตะวันฉายจึงดันตัวเมฆออกไปสุดฤทธิ์
“คุณเมฆ บอกให้ตื่น!”
เมฆไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัว เขายิ่งดึงตะวันฉายมากอดไว้ ส่วนปากก็เคี้ยวน้ำลายดังจั๊บๆอย่างคนละเมอ ตะวันฉายดิ้นไม่หลุดจนรู้สึกเหนื่อยใจ เธอจึงยอมให้เมฆกอดอยู่อย่างนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนใจ อยู่ๆเมฆก็ลืมตาตื่นพอเห็นหน้าตะวันฉายอยู่ใกล้ก็ร้องตกใจ
“เฮ้ย!”
ตะวันฉายพลอยตกใจไปด้วย
“เฮ้ย!”
“นายมาให้ฉันกอดทำไม”
“หืม พูดมาได้ ผมมานอนอยู่บนเตียงได้ยังไงดีกว่า”
“อ๋อ ก็ชั้นเห็นนายหลับอยู่ที่โต๊ะก็สงสาร เลยอุ้มมานอนนี่ไงล่ะ ห่มผ้าให้อย่างดีด้วยนะ แต่นายก็นอนดิ้นเหมือนกัน มากอดชั้นตั้งหลายที ไม่รู้ว่าตอนชั้นหลับ” เมฆก้มมองสำรวจตัวเอง “นายฉวยโอกาสทำอะไรฉันรึเปล่า!?”
ตะวันฉายหมั่นไส้ “ผมจะไปทำอะไรคุณ มีแต่คุณนั่นแหละที่... “ตะวันฉายพูดไม่ออก
เมฆอมยิ้ม “ทำไมเหรอ ฉันทำอะไร”
ตะวันฉายเจ็บใจ “ช่างเถอะ ผมไม่ถือ คิดว่าคุณเป็นลูกหมาลูกแมวก็แล้วกัน”
เมฆยิ้มแล้วแกล้งร้องเหมียว ก่อนจะเอาหน้าซุกไซ้แขนตะวันฉายเหมือนเป็นแมว ตะวันฉายผลักหน้าเมฆออก
“คุณเมฆ!”
“เมี้ยว...” เมฆร้อง
“พอเลย คุณออกไปได้แล้ว เดี๋ยวผมจะได้ไปเตรียมอาหารเช้าให้คุณหมอก”
เมฆเอนตัวลงนอนต่อ “ยังไม่อยากลุกจากเตียงเลยอ่ะ”
ตะวันฉายหมดความอดทนจึงผลักเมฆจนแทบตกเตียง “ไปได้แล้ว ไปๆๆๆ”
เมฆเกือบตกเตียง เขาจำต้องลุกออกไป
“ไปก็ได้ ไอ้จอมโหด”
แล้วเมฆก็เดินออกไป ตะวันฉายมองตามแล้วต้องส่ายหัว ก่อนจะอมยิ้มอย่างอดไม่ได้
เมฆเดินออกมาจากห้องตะวันฉาย จนมาเจอกับอิงฟ้าที่เดินสวนมาพอดี ทั้งสองต่างมองหน้ากันแล้วก็ชะงักไป
“นี่ อย่าบอกนะ ว่าเมฆ... นอนห้องนี้ทั้งคืน” อิงฟ้าชี้ที่ห้องตะวันฉาย
“ไม่ให้บอกอย่างนั้น แล้วจะให้โกหกเหรอ” เมฆถาม
“นี่หมายความว่าเมฆ...”
“ใช่ ผมอยู่กับซันทั้งคืน มีความสุขมาก”
อิงฟ้าอึ้งเพราะพูดไม่ออก เมฆยิ้ม เหมือนสะใจ แต่พอหันกลับมาอีกทีสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เมฆเสียใจแต่ก็จำต้องทำเพราะเขาคิดว่าอิงฟ้าควรจะต้องรู้ว่ามันจบแล้ว
ตะวันฉายเก็บที่นอนจนเสร็จแล้วก็เดินไปเก็บคอมพิวเตอร์ แต่พอหน้าจอที่ดับไปติดขึ้นมา ตะวันฉายก็ชะงักเพราะในนิยายที่เธอแต่งมีตัวหนังสือสีแดงที่เป็นคอมเม้นท์ของเมฆเต็มไปหมด ตะวันฉายปรี๊ดแตกจึงกระชากเก้าอี้แล้วนั่ง แต่พอได้อ่าน สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นนิ่งขึ้น สงบขึ้น
“ช่วงที่นางเอกตามหาพระเอกน่าติดตามอยู่หรอก แต่พอเจอกันแล้วทำไมไม่ขยายความดีใจให้มากกว่านี้ จะทำให้คนอ่านเข้าถึงอารมณ์ของนางเอกได้มากกว่า”
ตะวันฉายคิดตามแล้วก็รู้สึกเห็นด้วยกับคอมเม้นท์ แล้วเธอก็เลื่อนอ่านต่อไป
“ช่วงนี้นอกจากจะบรรยายความรู้สึกของตัวร้ายว่าคิดอะไรอยู่ น่าจะทิ้งแผนการไว้ คนอ่านจะได้ลุ้นไปด้วย”
ตะวันฉายพยักหน้าเห็นด้วยแล้วก็นึกแปลกใจ เธอเลื่อนหน้าจอลงมาเรื่อยๆ งานเขียนของตะวันฉายมีอยู่หลายหน้า แต่ละหน้าล้วนมีคอมเม้นท์ตัวสีแดงของเมฆแทรกอยู่ ทั้งแบบหน้าต่อหน้าบ้าง สองหน้ามีหนึ่งครั้งบ้างจนหมดที่เธอแต่งไว้
“นายอ่านจนจบเลยเหรอเนี่ย...”
ตะวันฉายพิงพนักเก้าอี้พอคิดไปถึงความน่ารักของเมฆที่ทำเพื่อเธอ เธอก็ยิ้มออกมา
ตะวันฉายแต่งตัวให้หมอกไปโรงเรียน
“พี่ซันรู้ไหม วันแม่ปีนี้หมอกดีใจที่สุดเลย ที่หมอกมีแม่ไปงานที่โรงเรียน หมอกจะอวดคุณแม่กับเพื่อนๆ”
“คุณแม่คุณหมอกสวยมากนะครับ เพื่อนๆต้องอิจฉาแน่เลย... แล้วคุณหมอกต้องแสดงอะไรมั่งครับ”
“หมอกต้องเต้นกังนัมสไตล์ หมอกจะแด๊นซ์ให้กระจายเลย คุณแม่ต้องชอบแน่”
“ไหน คุณหมอกจะเต้นยังไง เต้นให้พี่ซันดูมั่งสิครับ”
“ได้เลย”
หมอกตั้งท่าแล้วทั้งร้องทั้งเต้นเพลงกังนัมสไตล์ ตะวันฉายปรบมือตามจังหวะเพราะสนุกไปด้วย หมอกเต้นจนจบท่อน
“คุณหมอกเก่งจังครับ อย่างนี้พี่ซันขอไปดูที่โรงเรียนด้วยได้ไหม”
“ไม่ได้”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
พี่ซันไม่ใช่แม่หมอก พี่ซันจะไปได้ไง”
ตะวันฉายชะงักในขณะที่เธอติดกระดุมเม็ดสุดท้ายให้หมอกเสร็จพอดี หมอกวิ่งออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไรตามประสาเด็ก ตะวันฉายอึ้งก่อนจะมองตามหมอกแล้วยิ้มเศร้ากับตัวเอง
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 9 (ต่อ)
จ่าสมนั่งพิมพ์รายงานเสร็จก็สั่งปริ๊นท์ ก่อนจะหยิบกระดาษที่ปริ๊นท์ออกมาดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ครุ่นคิด ก่อนจะลุกออกไป
ยุทธการกำลังอ่านเอกสารรายงานของจ่าสมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จ่าสมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ โต๊ะมีสีหน้าหนักใจ ครู่หนึ่งยุทธการก็วางแฟ้มรายงานลงบนโต๊ะ ภาพในแฟ้มที่กางออกเป็นรูปของเอ็มม่า และภาพของอิงฟ้าที่อยู่ในพาสปอร์ต
ยุทธการอึ้ง “หมายความว่า...” ยุทธการเงยหน้ามองจ่าสม
“ครับ... เอ็มม่าเป็นคนไทย มีชื่อไทยว่า อิงฟ้า” จ่าสมบอก
“แน่ใจเหรอจ่า”
จ่าสมพยักหน้า “ผมตรวจสอบจากข้อมูลของตม.อย่างละเอียดแล้วครับ ในรอบสองเดือนนี้ คนที่เดินทางจากเยอรมันเข้ามาในประเทศไทย อิงฟ้า พิพัฒนพงษ์สกุล นี่แหละครับ ที่เข้าข่ายต้องสงสัยที่สุด”
ยุทธการคิด “พิพัฒนพงษ์สกุล... นามสกุลนี้”
“นามสกุลเดียวกับคนที่หมวดให้ผมตามหาตัว นายธีรภพ พิพัฒนพงษ์สกุล เป็นสามีของอิงฟ้า ทั้งสองคนแต่งงานกันเมื่อห้าปีที่แล้ว พอบริษัทของธีรภพล้มละลาย อิงฟ้าเลยเดินไปเยอรมันนีและอยู่ที่นั่นจนกลับมาเมืองไทยเมื่อสองเดินที่แล้ว”
“แล้วนายธีร์อะไรนั่นล่ะ”
“เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุในช่วงที่บริษัทล้มละลาย ตอนหลังน้องชายคือคุณนภทีป์ เข้ามารับช่วงต่อ แล้วยังรับเลี้ยงลูกของธีรภพกับอิงฟ้า ชื่อ เด็กชาย ธีรดลด้วยครับ”
ยุทธการอึ้งไปกับข้อมูลที่เพิ่งรับรู้
ยุทธการนั่งอึ้ง จ่าสมวางแฟ้มอีกแฟ้ม
“รายละเอียดจากสถานีท้องที่วันที่ธีรภพประสบอุบัติเหตุ และรายงานจากนิติเวชครับ ส่วนอีกแฟ้มเป็นคดีล้มละลายของเขา”
ยุทธการเปิดแฟ้มดูสักพักแล้วก็ปิดแฟ้มด้วยสีหน้าคิดหนัก
“เอ่อ...สารวัตรครับ” จ่าสมเรียก ยุทธการสะดุ้ง “แล้วสารวัตรจะเอายังไงต่อครับ”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องอิงฟ้ากับธีรภพนี่ไงครับ”
“อ๋อ...ผมจะพาอิงฟ้ามาสอบสวนให้เร็วที่สุด”
จ่าสมตกใจ “สารวัตรรู้เหรอครับว่าเขาอยู่ที่ไหน”
ยุทธการส่ายหน้า “แต่ผมรู้จักน้องชายคุณธีร์ที่ดูแล Travel T อยู่ตอนนี้ คิดว่าคงจะหาเบาะแสจากเขา”
“สารวัตรคิดว่าอิงฟ้ากับธีรภพเกี่ยวข้องกับไอ้พวกค้ายาข้ามชาติเหรอครับ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ไงตอนนี้เราจะตัดใครออกคงไม่ได้ แม้แต่น้องชายของธีรภพ”
จ่าสมหน้าตาเครียดทันทีเพราะกลัวอิงฟ้าจะเกี่ยวกับพวกนี้ ขณะที่ยุทธการเองก็เครียดไม่แพ้กัน
ตะวันฉายรดน้ำพรวนดินต้นผักกาดให้หมอกด้วยความเซ็ง อิงฟ้าถือหนังสือเพื่อจะออกมาอ่านที่สระน้ำพอเห็นหน้าตะวันฉายเธอก็ไม่ชอบใจจึงจะเดินเข้า แต่รถเมฆแล่นเข้ามาพอดี อิงฟ้าเลยเปลี่ยนใจยืนรอรับที่สระน้ำ
พอเห็นอิงฟ้ายิ้ม เมฆก็ยิ้มให้แต่เขากลับเดินไปหาตะวันฉาย อิงฟ้าไม่พอใจ
“ดูแลต้นผักกาดให้ลูกของเราเหรอ” เมฆยิ้มหวาน
พอเห็นเมฆมาตะวันฉายก็จะเดินหนี แต่เมฆขวางไว้
“คุณเมฆ ผมว่าคุณเล่นเกินไปแล้วนะครับ” ตะวันฉายว่า
“ฉันน่ะเหรอเล่นเกินไป” เมฆขำ “ไม่คิดว่าบางอย่างนายอาจจะทำเกินไปกับฉันบ้างเหรอ”เมฆจ้องหน้าตะวันฉายอย่างมีนัยยะ
ตะวันฉายงง “คุณหมายความว่ายังไงครับ”
เมฆยักไหล่ “ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่านายไปเก็บของเตรียมย้ายมาอยู่ห้องเดียวกับฉัน”
ตะวันฉายตกใจ “ห๊า...ย้ายห้อง!”
เมฆพยักหน้า “ฉันชอบอยู่ก่อนแต่ง ไป...ฉันไปช่วยเก็บของ”
เมฆจูงมือตะวันฉายแล้วจะเดินไป แต่อิงฟ้าเดินมาขวางก่อนจะจ้องมองที่มือทั้งคู่ ตะวันฉายพยามจะดึงมือออกแต่เมฆจับไว้แน่น
“เมฆ ฟ้ารู้ว่าเมฆต้องการประชดฟ้า เมฆอาจจะได้ความสะใจแต่เมฆไม่มีความสุขหรอก ฟ้ารู้ เมฆไม่ใช่เกย์”
ตะวันฉายพูดสวนทันที “ผมก็ไม่ใช่ครับ”
เมฆแอบเหล่ตะวันฉายอย่างไม่พอใจที่ไม่ยอมช่วยกัน
“เมฆ เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ ฟ้ารู้ว่าเมฆยังรักฟ้า” อิงฟ้าพูด
“สายไปแล้วฟ้า ผมรักฟ้าไม่ได้อีกแล้ว เพราะผมมีซัน”
ตะวันฉายสะดุ้งหันขวับไปมองเมฆอึ้งๆ
“ผมรักซัน” เมฆพูด
“ไม่จริง เมฆโกหก” อิงฟ้าบอก
เมฆส่ายหน้าให้อิงฟ้าแล้วดึงตะวันฉายมาจูบโดยที่ตะวันฉายไม่ทันตั้งตัว
อิงฟ้าตกใจ “เมฆ!”
เมฆจูบตะวันฉายแล้วปล่อย ตะวันฉายยืนตะลึง
เมฆพูดกับอิงฟ้า “ถ้ายังจะคิดว่าผมโกหกอีกก็ตามใจนะ”
พูดจบเมฆยิ้มให้ตะวันฉาย ทันใดนั้นตะวันฉายก็เป็นลมร่วงไปจนเมฆต้องประคอง
“ซัน...ซัน”
เมฆอุ้มตะวันฉายมาวางลงที่โซฟาในห้องทำงาน แล้วเขาก็รีบไปเปิดแอร์พร้อมทั้งหยิบกระดาษมาพัดให้ตะวันฉาย
“ซัน...ซัน”
อิงฟ้าที่ยืนตรงประตูพอเห็นอาการเป็นห่วงเป็นใยของเมฆก็น้อยใจจึงเดินออกไป ส่วนเมฆมองตะวันฉายด้วยความรู้สึกสำนึกผิด
อิงฟ้าเดินกลับเข้าห้องมาแล้วเดินไปนั่งที่เตียงด้วยสีหน้าเครียด เธอเดินไปหยิบรูปของธีรภพที่ถ่ายกับเธอและหมอกตอนหมอกแรกเกิดมาดู อิงฟ้ามองรูปแล้วก็ร้องไห้
เมฆยังนั่งพัดให้ตะวันฉายจนตะวันฉายค่อยๆฟื้นขึ้นมา ตะวันฉายลืมตาขึ้นมาเห็นหน้าเมฆยิ้มอยู่ใกล้ๆ
เมฆดีใจ “ซัน...เป็นไงบ้าง”
ตะวันฉายรีบผลักเมฆออกด้วยความโมโหสุดๆ
“คุณเมฆ...คุณทำแบบนี้ทำไม”
เมฆหน้าเจื่อน “ฉันขอโทษ นายโกรธมาเลยเหรอ”
“สำหรับผมการที่เราจะจูบกับใครสักคนมันสำคัญมาก มันต้องมากจากความรู้สึกที่มีต่อกัน คนเห็นแก่ตัวไม่นึกถึงคนอื่น คนไม่มีหัวใจอย่างคุณน่ะไม่มีวันเข้าใจหรอก”
เมฆนั่งฟังตะวันฉายด่านิ่ง ตะวันฉายมองเมฆด้วยความรู้สึกขัดใจแล้วก็ลุกเดินออกไป ขณะที่ตะวันฉายเดินออกนอกห้องแล้วจะปิดประตูเมฆก็พูดขึ้นมา
“นายรู้ได้ไงว่าฉันไม่มีหัวใจ”
ตะวันฉายชะงักหันมามองเมฆที่มองเธออยู่
“ฉันเคยให้หัวใจกับคนๆหนึ่ง ให้เขาหมดทั้งใจ แต่ที่ฉันได้รับกลับมามันคืออะไรรู้ไหม การทรยศหักหลังไง นายเคยโดนไหม คนที่รักที่สุดหักหลัง คนที่รักที่สุดทรยศ”
เมฆลุกขึ้นเดินมาจ้องหน้าตะวันฉาย
“ตอนนี้ที่ฉันเกลียดและกลัวที่สุดก็คือความหลอกลวง ไม่จริงใจ การโกหกกัน”
ตะวันฉายเริ่มหลบตาเมฆ แต่เมฆก็จับคางตะวันฉายให้เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา
“ถ้าวันหนึ่งนายตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าอะไรๆรอบตัวล้วนเป็นเรื่องโกหก นายจะไม่พูดอย่างนี้” เมฆว่า
“เอ่อ...คุณเมฆ...เอ่อ...คือ...ผม”
เมฆเลื่อนประตูปิดแล้วล็อค
เมฆเดินมานั่งที่โซฟาด้วยสีหน้านิ่งเหมือนไม่อยากรู้สึกรู้สากับอะไรทั้งสิ้น สักพักก็มีเสียงเคาะประตูแต่เมฆก็ยังคงนั่งนิ่ง
ตะวันฉายเคาะประตูเรียก
“คุณเมฆ...คุณเมฆครับ...คุณเมฆ”
ตะวันฉายตัดสินใจวิ่งออกไปนอกบ้านทันที
ตะวันฉายวิ่งออกมาก็เห็นกระจกทุกบานถูกปิดม่านไปหมดแล้ว เธอเดินกลับเข้าบ้านไป ตะวันฉายเงื้อเมือจะเคาะประตูห้องทำงานของเมฆอีกแต่ก็ยังลังเลไม่กล้าเคาะ
ยุทธการกับจ่าสมนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน แล้วจู่ๆ ยุทธการก็วางช้อนทั้งๆที่ยังกินไม่หมด
“จ่า ถ้ามีคนๆหนึ่งเขาเฝ้ารอจะเจอคนที่เขารักมาก แต่เรารู้ว่าคนๆนั้นตายไปแล้ว เป็นจ่าๆจะบอกเขาไหม”
จ่าสมจ้องหน้ายุทธการอย่างใช้ความคิด “ถ้าเป็นผมๆจะเลือกเจ็บแรง...แต่จบเร็ว”
ยุทธการทวนคำ “เจ็บแรงแต่จบเร็ว”
“ชีวิตของเขาจะได้เดินต่อไงครับ ความจริงบางอย่างมันอาจจะไม่ได้ให้ความสุขกับเรา แต่มันก็คือความจริง รู้ช้ารู้เร็วมันก็เปลี่ยนความจริงไปไม่ได้”
“ถูกของจ่า ขอบคุณมากนะ”
ยุทธการรีบลุกเดินออกไป จ่าสมมองตามแล้วหยิบแฟ้มอิงฟ้ามาเปิดดูรูปอิงฟ้าด้วยสีหน้าหนักใจ
เมฆนั่งหน้าเปียโน แล้วพยายามจะแต่งเพลง แต่เขาเล่นไปสองสามโน้ตแล้วก็ไม่มีสมาธิ
เสียงตะวันฉายดังขึ้นในหัว “สำหรับผมการที่เราจะจูบกับใครสักคนมันสำคัญมาก มันต้องมาจากความรู้สึกที่มีต่อกัน คนเห็นแก่ตัวไม่นึกถึงคนอื่น คนไม่มีหัวใจอย่างคุณน่ะไม่มีวันเข้าใจหรอก”
เมฆหงุดหงิดจึงนั่งกุมขมับด้วยความโมโห
ตะวันฉายนั่งอยู่หน้าห้องเมฆ แล้วมองนาฬิกาที่ผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาบ่ายโมงครึ่ง
“เป็นลมตายหรือยังก็ไม่รู้”
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกมาพอดี ตะวันฉายรีบลุกขึ้นยืน เมฆมองตะวันฉายอย่างงงๆ
เมฆถามด้วยเสียงเย็นชา “มาทำอะไรตรงนี้”
“ก็..เอ่อ...ผม...ผมอยากขอโทษที่ว่าคุณน่ะครับ”
“นายพูดถูก ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ”
“เอาเป็นว่าเราเจ๊ากันไป”
“ขอบใจ”
เมฆจะเดินไปแต่ตะวันฉายเดินตาม
“คุณเมฆจะทานกลางวันเลยไหมครับ”
“ไม่อ่ะ ไม่หิว”
เมฆเดินออกไปโดยไม่สนใจตะวันฉาย ตะวันฉายยังคงวิ่งตามออกไป
เมฆเดินออกมาที่รถที่จอดอยู่ ตะวันฉายเดินตามมาติดๆจนเมฆมองด้วยความสงสัย
“จะตามมาทำไม” เมฆถาม
“คุณเมฆจะไปรับคุณหมอกใช่ไหมครับ ผมไปด้วยนะ”
“ไม่ต้อง”
“เฮ้อ...คุณเมฆครับ อย่าเป็นแบบนี้เลย”
“ตกลงนายจะเอาไง ตอนนี้ฉันก็ไม่ยุ่งกับนายแล้วไม่พอใจอีกเหรอ”
“แต่คุณมาโกรธผมอ่ะ”
“ก็นายมาด่าฉันนี่”
“ผมก็ขอโทษแล้วไง”
“เออ...นายขอโทษฉัน ฉันขอโทษนาย แล้วไงอีก”
“คุณก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมสิครับ คิดดูนะ ถ้าคุณโกรธผมไปนานๆ แล้วเกิดพาลไม่จ่ายเงินเดือนผม ชีวิตลูกจ้างของผมก็จบเห่น่ะสิครับ”
“อยากให้ฉันเหมือนเดิม” เมฆถาม ตะวันฉายพยักหน้า “ได้...แต่ต้องเป็นแฟนฉันนะ แล้วคืนนี้เรานอนด้วยกัน....เหมือนเดิม โอเคป่ะ”
“คุณนี่มันได้คืบเอากิโลเมตรเลยนะเนี่ย”
เมฆจ้องหน้าแล้วยิ้มกวนๆให้ตะวันฉาย ตะวันฉายไม่กล้าสู้ตา
“ว่าไง” เมฆถาม
“ก็ได้...แต่เราจะเป็นแฟนกันแค่ต่อหน้าคุณฟ้าเท่านั้นนะครับ”
“งั้นก็ไปรับลูกของเราสองคนกันเถอะ”
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของตะวันฉายก็ดังขึ้น ตะวันฉายหยิบขึ้นมาดู เมฆจะยื่นหน้ามาดูตะวันฉายรีบปิดหน้าจอ
“พี่ชายผม” ตะวันฉายกดรับ “ว่าไงครับพี่ยุทธ.....ตอนนี้เลยเหรอ”
ตะวันฉายมองหน้าเมฆ เมฆทำท่าปาดคอเหมือนว่าถ้านายไม่ไปตาย
“เอ่อ...คือ...คุณเมฆจะไปรับคุณหมอก ผมว่าจะไปด้วย”ตะวันฉายสงสัย “เรื่องสำคัญมาก...ได้ๆ...งั้นเดี๋ยวเจอกัน” ตะวันฉายกดวางสาย “คุณเมฆครับ คือ”
เมฆสวนทันที “ไปเลย ถ้าพี่ชายนายสำคัญกว่าฉัน”
“ขอบคุณครับ”
ตะวันฉายรีบวิ่งออกไปทันที เมฆอึ้ง
“เฮ้ย...ไรวะ ชิ...ไปหาพี่...อยากเจอแฟนตัวจริงก็บอกมาตรงๆก็ได้ แฟนปลอมอย่างฉันไม่ว่าหรอก “ เมฆนึกได้ “แฟนปลอมๆ”
เมฆคิดถึงสถานะตัวเองแล้วก็ฉุนจึงขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ตะวันฉายวางแฟ้มเกี่ยวกับธีรภพลงบนโต๊ะหน้าโซฟาในห้องรับแขกบ้านยุทธการ
“นี่พี่ธีร์เสียแล้วจริงๆเหรอเนี่ย”
“พี่เสียใจด้วยนะ”
ตะวันฉายยิ้มเศร้า “ขอบคุณมากนะคะพี่ยุทธ”
“แต่ถึงคุณธีร์ยังมีชีวิตอยู่ ซันก็ไม่มีสิทธิ์ในตัวเขา เพราะเขาคือพ่อของหมอก” ยุทธการบอก
“อะไรนะ พี่ธีร์คือพ่อของหมอก งั้นคุณอิงฟ้าก็ไม่ใช่แฟนนายเมฆ”
“พี่ก็ไม่รู้ว่ามีการเข้าใจอะไรผิดกันหรือเปล่านะ แต่จากหลักฐานที่เราได้ คุณธีร์กับคุณอิงฟ้าแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย คุณเมฆเป็นอาของหมอกไม่ใช่พ่อ”
ตะวันฉายนิ่งเพราะช็อคกับข้อมูลใหม่
“ตอนนี้ซันก็คงไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้วสิ”ยุทธการจับมือตะวันฉาย “เดี๋ยวพี่ไปช่วยย้ายของนะ”
“เอ่อ...พี่ยุทธคะ ซันขอเวลาสักหน่อยได้ไหมคะ”
ยุทธการงง “ซันจะรออะไรเหรอ”
“คือ...ซันคิดว่า มันกะทันหันเกินไป คนที่โน่นจะเตรียมตัวไม่ทัน”
“พี่ว่าไม่น่าเป็นอะไรนะ อิงฟ้าแม่ของหมอกก็อยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ พี่อยากให้ซันรีบออกมา เพื่อความปลอดภัยของซัน”
“ปลอดภัย พี่ยุทธหมายความว่ายังไง”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก คือถ้าซันออกมาช้า ความฝันเรื่องเป็นนักเขียนของซันก็จะช้าไปอีกนะ พี่พูดถูกไหม”
ตะวันฉายคิดหนัก เธอมองหน้ายุทธการ ยุทธการพยักหน้าให้เธอออกเต็มที่
นิคกับเอวามีสีหน้างงกับเรื่องที่ได้ฟังจากปากตะวันฉาย
“อะไรวะเนี่ย แล้วหมอกก็ไม่ใช้ลูกพี่เมฆ แถมยัยอิงฟ้าก็เป็นแฟนพี่ธีร์ แต่กลับมาแล้วแสดงตัวเป็นเจ้าของพี่เมฆ ในขณะที่พี่เมฆก็มาจูบแกและขอเป็นแฟนกับแกเพราะแกเป็นผู้ชาย เฮ้ย...ทำไมมันอลเวงงี้วะ” นิคงง
“นั่นสิ ก็ไหนแกบอกเคยเห็นรูปพี่เมฆกับอิงฟ้าสมัยเป็นนักศึกษาไม่ใช่เหรอ” เอวาถาม
“ก็ใช่ ฉันก็ว่าเหมือนแฟนนะ แต่มาคิดอีกที ดูแกสองคนสิ ถ่ายรูปทีไรกอดกันกลม ไม่เห็นเป็นแฟนกันเลย”
นิครู้สึกเขินกับการวิเคราะห์ของตะวันฉาย
“ก็จริงนะ แสดงว่าพี่เมฆนี่แอ๊บเก่งนะ” เอวาบอก
นิคไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปได้เหรอวะ”
“เรื่องพี่เมฆช่างเถอะ”เอวาจับมือตะวันฉาย “แล้วแกล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนแรกที่รู้ว่าพี่ธีร์เสีย ฉันก็ใจหายนะ แต่พอรู้ว่าเขามีครอบครัวแล้ว ฉันก็ไม่รู้ทำไมฉันไม่ยักรู้สึกว่าตัวเองอกหัก”
“เพราะแกไม่ได้รักไม่ได้ผูกพันไง แกแค่หลงที่เขาเป็นชายในฝัน” เอวาบอก
“ชายในฝันก็ต้องอยู่ในฝัน ฉันไม่น่าไปดึงพี่ธีร์มาสู่โลกความเป็นจริงเลย” ตะวันฉายเพิ่งเข้าใจ
“งั้นแกก็ต้องหาแรงบันดาลใจความรักใหม่อีกละสิเนี่ย” นิคถาม
ตะวันฉายถอนใจ “จะหาจากไหนอ่ะ”
“พี่ยุทธไง ถ้าแกลองเปิดใจ ฉันว่าแกจะได้คนที่ดีที่สุดคนหนึ่งเลยนะ” เอวาเชียร์
“โอ๊ย...ไม่เอา พี่ยุทธน่ะฉันเอาไว้บูชาแล้ว”
“พี่ยุทธก็ไม่ชอบ พี่ธีร์ก็เสียไปแล้ว งั้นก็เหลือพี่เมฆ ตัวเลือกสุดท้าย” นิคว่า
“จะบ้าเหรอ ก็ฉันเพิ่งบอกไปไงว่านายนั่นเป็นเกย์ แล้วเขาก็ชอบนายซัน พวกแกลองนึกดูนะ ถ้าฉันเป็นแฟนนายนั่นจะเป็นไง”
ตะวันฉายจับคอของนิคกับเอวาให้หันหน้าเข้าหาเธอ
ภาพในจินตนาการของตะวันฉาย ตะวันฉายอยู่ในสภาพผู้หญิงสวยเดินเข้าซอยเกย์มา ในมือถือโทรศัพท์มือถือเพื่อนำทาง หน้าจอเป็นแอพที่เมฆลงภาพแสดงสัญลักษณ์ว่าอยู่ในรัศมี 100 เมตร
“ซอยนี้ชัวร์”
ตะวันฉายเดินไปตามที่มือถือบอก ทุกคนที่ตะวันฉายเดินผ่านล้วนแต่มองตะวันฉาย ตะวันฉายยิ้มให้แล้วพยักหน้ารับ ทุกคนที่มองเธอเชิดใส่ ตะวันฉายกลืนน้ำลายเอื้อกด้วยความกลัว เธอเดินมาหน้าบาร์แล้วจะจ่ายเงินค่าเข้าสองร้อยบาท
พนักงานพูดเสียงหวาน “หนึ่งพันบาทฮ้า”
ตะวันฉายตกใจ “ห๊า...ทำไมมันแพงจังอ่ะพี่ แฟนหนูบอกสองร้อยอ่ะ”
พนักงานพูดเสียงหวาน “สองร้อยราคาผู้ชายค่ะ ดัชนีขึ้นลงตามความหล่อ แต่ผู้หญิงเราไม่ต้อนรับ แต่เราก็อยากได้เงิน เพราะฉะนั้นชะนีน้อยจะต้องจ่ายแพงเป็นห้าเท่าค่ะ” พนักงานเปลี่ยนเป็นตะคอก “จะเข้าไม่เข้ายะ หล่อนน่ะ กีดขวางคนอื่นดูสิ ถ้าไม่ติดหล่อนน่ะ เขาเก็บกันได้หลายไม้แล้ว เร็วๆ”
ตะวันฉายค้อนแล้วควักเงินมือไม้สั่นส่งให้หนึ่งพันบาท พนักงานรับไว้แล้วไม่ส่งบัตรเข้าให้
ตะวันฉายถามทันที ”บัตรดริ๊งค์หนูล่ะ”
“ไม่ต้องกิน เข้าไปเร็วๆเถอะ ป่านนี้สามีหล่อนเป็นภรรยาคืนอื่นแล้วมั้ง”
ตะวันฉายค้อนแล้วจะเดินเข้าด้านในแต่ก็นึกได้จึงย้อนกลับมาหาพนักงานแล้วยิ้มหวาน
“พี่ขา....พี่รู้ไหมคะ...พี่นี่ส้วยยยยยสวย สวยที่สุดตั้งแต่หนูเคยเห็นเก้งกวางบ่างชะนีไปจนหมีแพนด้าเลยค่ะ”
พนักงานเขินอาย “จริงเหรอคุณน้อง แหมพูดจาน่ารัก เอาดริ๊งค์ไปก็ได้”
พนักงานส่งบัตรดริ๊งค์ให้ตะวันฉาย ตะวันฉายรีบตะครุบ
“หนูยังพูดไม่จบ พี่อ่ะสวยที่สุดท้ายของประชากรซอยนี้ทั้งซอยเลยค่ะ”
พนักงานกรี๊ดลั่นตะวันฉายรีบวิ่งเข้าด้านในทันที
บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยเกย์แน่นคลับไปหมด ตะวันฉายเดินเข้ามาจะเบียดคนเข้าไปก็แน่นเหลือเกิน
“ขอโทษค่ะ ขอทางหน่อยค่ะ”
บรรดาเกย์หันมาแล้วก็ไม่สนยังคงยืนบังต่อเหมือนตะวันฉายเป็นอากาศธาตุ
ตะวันฉายฉุน “เล่นแบบนี้ใช่ไหม”ตะวันฉายตะโกน “ชะนีมาแล้วค๊า”
สิ้นเสียง ทุกคนแหวกทางให้ตะวันฉายเดินไปได้โดยสะดวก ตะวันฉายเดินมามองหา เธอจับหน้าคนนั้นหันที คนนี้หันทีแต่ก็ยังไม่เจอเมฆ
ตะวันฉายเดินหามาจนถึงในฟลอร์ที่เกย์บางคนเต้นอย่างรุนแรงมาก ตะวันฉายพยายามมองหน้าแต่ก็ไม่เห็นจึงต้องเต้นไปด้วยเพื่อฉวยโอกาสดูหน้าคนอื่น แต่พอเกย์แต่ละคนหันมาก็พบว่าแต่งหน้าเข้มกว่าตะวันฉายเสียอีก
ตะวันฉายแซว “โห...เจ๊ กะล้างหน้าตอนสิ้นปีเหรอคะ”
เมฆยืนยิ้มหว่านเสน่ห์อยู่ที่มุมหนึ่ง เกย์คนหนึ่งเดินมาหา
เมฆยิ้มรับ เกย์คนนั้นถาม “มีแฟนหรือยังครับ”
ตะวันฉายเดินฉับๆๆเข้าไปเกาะแขนเมฆทันที
ตะวันฉายกระแทกเสียงใส่ “มีแล้วค่ะ”
เมฆพูดกับชายเกย์ “แฟนผู้ชายยังไม่มีครับ”
ตะวันฉายโมโห “นายเมฆ”
“เอาน่า....วันนี้ข้างแรม เธอกลับบ้านไปรอข้างขึ้นแล้วกัน” เมฆไล่
แล้วเมฆก็จูงมือชายเกย์เดินหนีไป ตะวันฉายอึ้งและพูดไม่ออก
“โอ๊ย....ฉันมาทำไมเนี่ย”
ตะวันฉายโมโหจนร้องกรี๊ดออกมา
ตะวันฉาย เอวาและนิคนั่งหันหน้าไปทางเดียวคล้ายกำลังนั่งดูภาพในจินตนาการของตะวันฉายอยู่
เอวาเริ่มสงสาร “ซัน...ฉันไม่ให้แกเป็นแฟนพี่เมฆแล้วล่ะ”
“งั้นฉันเอาเอง” นิคบอก
ตะวันฉายกับเอวาหันขวับไปทางนิค
“แฮ่ะๆ ล้อเล่น”
“แล้วอย่างนี้แกจะออกจากบ้านนั้นเมื่อไหร่อ่ะ” เอวาถาม
ตะวันฉายเสียงอ่อย “นั่นสิ ฉันควรออกเมื่อไหร่”
ตะวันฉายโบกมือลาเอวากับนิคแล้วเดินออกไป เอวาจะเดินกลับเข้ามาในโรงเรียน นิคที่จะตามเข้ามาถามขึ้น
“แกคิดว่าไอ้ซันจะปฏิเสธพี่ยุทธไปได้ตลอดหรือเปล่า”
“ฉันก็ไม่รู้ แกถามทำไม” เอวาย้อนถาม
“ก็ถ้าพี่ยุทธทำให้ไอ้ซันเปลี่ยนใจได้ แกจะว่ายังไงล่ะ”
“ก็คงต้องทำใจน่ะสิ”
“จะทำได้จริงเหรอ” นิคถาม
“มันก็คงยากแต่ต้องทำให้ได้” เอวาตอบ
เอวายิ้มน้อยๆให้กับนิค
“ฉันอยากเห็นแกมีความสุขจังเลย” นิคบอก
“หืมมมม...ถ้างั้นแกทำอะไรให้ฉันสองอย่างสิ”
“อะไรเหรอ บอกมาเลย”
“อย่างแรก อย่าถามเรื่องพี่ยุทธกับฉันอีก”
นิคหน้าเจื่อนไปแต่ก็พยักหน้ารับปาก
“อย่างที่สอง แกไรท์เพลงที่แกแต่งให้ฉันหน่อยสิ ฉันชอบ เร็วๆด้วยนะ ไม่อยากรอ”
เอวาเดินเข้าโรงเรียนไป นิคมองตาม
โทรศัพท์ของเอวาที่วางอยู่มีสัญญาณการส่งเฟซไทม์ดังขึ้น เอวาวางมือจากงานในห้องเรียนมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู เอวามองหน้าจอเห็นนิคนั่งเก้าอี้ ถือกีตาร์กำลังมองมาที่หน้ากล้อง
“อะไรของแกวะ อยู่กันแค่นี้เอง” เอวาว่า
“เออ...น่า ก็แกอยากฟังเพลงเร็วๆไม่ใช่เหรอ...จัดให้คร๊าบ”
เอวายิ้มออกมาเมื่อเสียงกีตาร์อินโทรขึ้นมา
“ลองมองบนฟ้า มองให้ตะวันมันส่องตา...” นิคร้องเพลงที่แต่งแล้วก็ตั้งใจเล่นดนตรี
เอวานั่งฟังอย่างตั้งใจ
นิคยังคงเล่นดนตรีพร้อมร้องเพลงอย่างต่อเนื่อง
“...เหมือนความรัก บางทีก็ทำให้เราแสบตา...”
นิคตั้งมือถือไว้ที่มุมหนึ่งในห้องของเขาขณะที่กำลังเล่นดนตรีอย่างตั้งใจ เอวาก็ตั้งใจฟังนิคร้องเพลง เอวายิ้มให้นิคแล้วพูดแบบไม่มีเสียงแต่อ่านปากได้ว่า “ขอบใจนะ” นิคพยักหน้ารับและร้องเพลงต่อจนจบท่อนนั้น
รถเมฆแล่นเข้ามาจอดในบ้าน เมฆกับหมอกลงมาจากรถ หมอกมองไปที่กระถางผักกาดแล้วหันไปถามเก่งที่เพิ่งปิดประตูรั้วเสร็จ
“พี่ซันรถน้ำต้นไม้หรือยังอ่ะพี่เก่ง”
“พี่ซันยังไม่กลับมาเลยครับ” เก่งตอบ
“เหรอ...งั้นพี่เก่งไปช่วยหมอกรดน้ำนะครับ” หมอกชวน
เก่งกับหมอกพากันวิ่งไปที่กระถางต้นผักกาดที่อยู่ในสนาม เมฆมองตามไปแล้วยังไม่เดินเข้าบ้าน แต่กลับยืนรอพร้อมกับมองไปที่หน้าบ้าน อิงฟ้าเดินมาทางด้านหลังเมฆ
“เมฆไม่ไปเตรียมตัวไปเล่นดนตรีเหรอ” อิงฟ้าถาม
“ก็ว่าจะไปแล้วหละ”เมฆตอบ
เมฆหันมาเจออิงฟ้าก็ยิ้มแล้วจะเดินเข้าบ้านแต่อิงฟ้าทักขึ้นมาอีก
“นี่ถ้าซันไม่อยู่บ้านนี้ เมฆจะเป็นยังไง”
“ฟ้าหมายความว่าไง”
เมฆกับอิงฟ้ายืนจ้องหน้ากัน ทันใดนั้นหมอกก็วิ่งตะโกนมาหาอิงฟ้า
“แม่ครับ”
อิงฟ้าหันไปยิ้มรับหมอก
“พรุ่งนี้แม่อย่าลืมไปงานวันแม่กับหมอกนะครับ” หมอกชวน
“แม่ไม่ลืมแน่นอน มันเป็นงานสำคัญของแม่กับหมอกนี่ครับ” อิงฟ้าพูดกับเมฆ “เราจะไปกันสามคนพ่อแม่ลูกใช่ไหมเมฆ”
“ผมคงขอตัว อยากให้ฟ้ากับหมอกได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน”
อิงฟ้าหน้าเสีย “แล้วเมฆจะใช้เวลาอยู่กับใคร”
อิงฟ้าพูดจบก็รู้สึกน้อยใจจึงจูงหมอกเดินเข้าบ้านไป เมฆมองตามแล้วจะเดินเข้าบ้านแต่ก็ไม่วายหันไปมองที่หน้าบ้าน แล้วเดินแวะไปบอกเก่ง
“ไอ้เก่ง ถ้าซันกลับมาบอกบอกให้ไปหาฉันด่วนนะ”
“ครับ”
“อย่าลืมนะ” เมฆกำชับ
เมฆเดินเข้าบ้านไป เก่งมองตามแล้วขนลุก
“โอ๊ยย...อะไรจะรักกันลั่นเปรี้ยงขนาดนั้นวะ”