เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 17
ที่บริเวณบ่อนหลังบ้านยามนั้น ลูกน้องนุ้ยถูกยิงล้มลงในห้องขายหวย ตำรวจเล็งปืนไปที่ลูกน้องนุ้ยอีกคนที่กำลังจะลุกขึ้นมาต่อสู้
“วางอาวุธ”
ลูกน้องนุ้ยวางปืนแล้วยกสองมือขึ้นเหนือหัว
“ยอมแล้วครับ...ยอมแล้ว อย่ายิงนะครับ”
ตำรวจคนที่เล็งปืน ส่งสัญญาณให้ตำรวจอีกคนเข้าไปรวบตัวลูกน้องนุ้ยและใส่กุญแจมือ
กำลังตำรวจอีกทีมบุกเข้าไปในบ่อนแล้ว ลูกน้องนุ้ยเห็นก็ตกใจร้องเสียงดัง
“เฮ้ย...ตำรวจ”
นักพนันได้ยินก็แตกตื่น วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เสียงวี้ดว้าย โวกเวก ดังสนั่นหวั่นไหว วุ่นวายมากๆ
ตำรวจยิงปืนขึ้นฟ้าหนึ่งนัด...ปัง!!!
“ทุกคนอยู่ในความสงบ ตำรวจปิดทางเข้าออกไว้หมดแล้ว ไม่มีทางหนีออกไปได้”
ตำรวจกรูกันเข้าไปจับลูกน้องนุ้ยใส่กุญแจมือ...แล้วรวบนักพนันไปรวมกันไว้ที่มุมห้อง
ส่วนในห้องทรงเจ้า ชาวบ้านตกใจเสียงปืน วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น นุ้ยมองไปรอบตัว นึกเอะใจ
“เสียงปืนของใครวะ”
ดวง กะก๋อย มองหน้ากันเลิ่กลั่ก...กลัวจนขี้ขึ้นสมอง แล้วพากันวิ่งไปหลบหลังนุ้ย
ร.ต.ท.ชูวัฒน์ที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้าน เข้ามาแสดงตัวพร้อมโชว์บัตรตำรวจกับนุ้ย...พร้อมกับลูกน้อง ตำรวจที่ชักปืนออกมาเล็งไปที่ลูกน้องนุ้ยที่กำลังจับตัวชิณไว้อยู่...ลูกน้องนุ้ยหน้าเหวอทันทีแต่ยังไม่ปล่อยชิณ
ร.ต.ท.ชูวัฒน์โชว์บัตรตำรวจ “นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
นุ้ยหน้าซีด...ดวง ก๋อยที่แอบอยู่ข้างหลังก็พลอยหน้าซีดไปด้วย
ตำรวจสั่งลูกน้องนุ้ย “ปล่อยผู้ชายคนนั้นซะ แล้วยอมให้จับซะโดยดี ตอนนี้ตำรวจล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว พวกแกหนีไม่รอดหรอก”
ลูกน้องนุ้ยสองคนที่ล็อคตัวชิณอยู่ยอมปล่อยชิณด้วยความกลัวตาย ชิณรีบวิ่งไปหากะละแม
“กะละแม” / “คุณชิณ”
ชิณกับกะละแมมองตากันซึ้งๆ ต่างคนต่างเป็นห่วงกัน
จักกายกับโทฟู่อึ้งที่เห็นตำรวจปลอมตัวอยู่ที่นี่ด้วย
“นี่มันละครชัดๆ” โทฟู่พูดขึ้นมาลอยๆ
นุ้ยหันไปมองกะละแมด้วยความแค้น
“นังกะละแม...ทำกูแสบนักนะมึง”
นุ้ยชักปืนออกมาแล้วเล็งไปที่กะละแม
ชิณเห็นก็ตกใจ...ชิณถลาเอาตัวไปขวางรับกระสุนแทนกะละแม
“กะละแม..ระวัง”
นุ้ยเหนี่ยวไก...ปัง! ชิณถูกยิงเลือดสาด ทรุดตัวลงต่อหน้ากะละแม กะละแมตกใจกรีดร้องสุดเสียง
“คุณชิณ”
นุ้ยกำลังจะยิงซ้ำ ตำรวจหันมายิงมือนุ้ยจนปืนตกพื้น แล้วตำรวจเข้าไปชาร์ทล็อคตัวนุ้ย
“โอ๊ย”
ดวงกะก๋อยตกใจ “ป๋า”
ตำรวจจากข้างนอกวิ่งกรูเข้ามาช่วยกันจับ ดวง ก๋อย และลูกน้อง แล้วลากออกไป
ดวงหันไปทางกะละแม “น้องกะละแมทำไมถึงทำแบบนี้กับพี่ดวง พี่ดวงจริงใจกับน้องกะละแมมาตลอด แล้วทำไมถึงทำกับพี่ดวงได้”
นุ้ยตะโกนด่าดวง “ไอ้ลูกเวร...ยังไปโอดครวญถึงมันอีก หยุดคร่ำครวญเดี๋ยวนี้เลย” หันมาขู่กะละแม “อีนังร่างทรง...กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่” แล้วขู่ตำรวจ “เฮ้ย...พวกมึงปล่อยกู มึงไม่รู้เหรอว่ากูเป็นใคร กูป๋านุ้ยนะเว้ย พวกมึงคอยดู กูจะเล่นงานให้หมดทั้งสำนักงานตำรวจเลย มึงรู้ไหมว่าใครเป็นแบ็คกู (สะบัด) ปล่อย...ปล่อย...ยังอีก...กูบอกให้ปล่อย...ปล่อยสิโว้ย”
ดวง นุ้ย ก๋อย และลูกน้องคนอื่นๆ โดนลากตัวไป
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ มองตามพวกนุ้ย ดวง ก๋อย ด้วยความสะใจและโล่งอกที่พวกนั้นถูกจับไปได้
กะละแมกอดชิณแล้วร้องไห้ ร.ต.ท.ชูวัฒน์สั่งงานลูกน้องให้จับพวกลูกน้องนุ้ยออไป ชาวบ้านวิ่งออกจากบ้านกันโกลาหล
“คุณชิณ...อย่าเป็นอะไรนะ...คุณชิณ”
ชิณฝืนยิ้ม “ฉันดีใจ...ที่ดูคนไม่ผิด”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย...” กะละแมตะโกน “ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลให้หน่อย...น้าโต๊ด พี่ติ่ง ตุ้งแช่ เรียกรถพยาบาลทีสิ” แล้วหันมาพูดกับชิณ “คุณเจ็บมากไหม...อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ...อดทนไว้ก่อนนะคุณชิณ” กะละกอดชิณร้องไห้ น้ำตาไหลพราก จักกาย โทฟู่รีบวิ่งเข้าไปดูชิณ
“ตำรวจเรียกรถพยาบาลให้แล้ว อีกเดี๋ยวก็มา หลบไป ฉันจะห้ามเลือดเบื้องต้นให้ก่อน”
กะละแมที่กอดชิณอยู่เงยหน้าขึ้นมามองจักกายกับโทฟู่งงๆ ‘ใครวะ’
โทฟู่เปิดผ้าคลุมหน้าออก จักกายดึงหนวดกับผ้าโพกหัวออก
กะละแมอึ้ง “ไอ้ฟู่...คุณจักกาย”
“ใช่ฉันเอง หลบได้ยัง มัวแต่อึ้ง เดี๋ยวคุณชิณเลือดออกหมดตัวกันพอดี”
“เคๆ หลบจ้ะ หลบ”
กะละแมถอยกรูดออกไป โทฟู่รีบห้ามเลือดให้ โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่ วิ่งเข้ามาดูชิณ
“ทำใจดีๆ ไว้นะคุณชิณ” โต๊ดซึ้งใจ “ขอบคุณมากที่ยอมเสี่ยงชีวิตช่วยนังกะละแมมัน”
กะละแมลูบหน้าชิณแล้วร้องไห้
“ฉันขอโทษ...เป็นเพราะฉันคนเดียว คุณถึงต้องมาเจ็บตัวแบบนี้...ฉันขอโทษ” กะละแมร้องไห้สะอึกสะอื้น
ชิณยกมือขึ้นจับมือกะละแมแล้วพูดเสียงแผ่ว
“กะละแม...” แต่ยังพูดไม่จบ สลบไปก่อน
ชิณยังไม่ทันได้พูดอะไร มือก็ตก...แล้วหมดสติไป...กะละแมกอดชิณร้องไห้
“คุณชิณ!!! คุณชิณ!!! อย่าตายนะ...คุณชิณ”
โทฟู่รีบจับชีพจรชิณ แล้วบอกกะละแม
“แค่หมดสติเพราะเสียเลือดมาก แต่ต้องรีบพาไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด”
เวลาผ่านไปอีกเล็กน้อย เสียงไซเรนรถพยาบาลดังแทรกเข้ามา ครู่หนึ่ง บุรุษพยาบาลก็หามเปลเข้ามา แล้วพาชิณออกไป
กะละแม จักกาย และโทฟู่ วิ่งตามชิณที่ถูกจับใส่เปลหามออกไป
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ กำลังจะตามกะละแมไป แต่ร.ต.ท.ชูวัฒน์กับลูกน้องเดินเข้ามาหาซะก่อน
“เชิญคุณสามคนไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยนะครับ ส่วนคุณกะละแมเราจะให้เจ้าหน้าที่ตามไปรับตัวที่โรงพยาบาล”
โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่ เดินตามร้อยตำรวจโทชูวัฒน์ออกไป
ร่างของชิณถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้ว กะละแมในชุดเข้าทรง นั่งร้องไห้อยู่ มีโทฟู่ ซึ่งใส่ชุดเมียแขกท้องโต กุมมือปลอบใจอยู่ข้างๆ
จักกาย ใส่ชุดแขกขายถั่ว เดินวนไปวนมาหน้าห้องด้วยความเป็นห่วงชิณ
ระหว่างนั้นฉายตะวันวิ่งเข้ามาพร้อมกับกิมเอ็ง มิ้ว และทรงวุฒิ
“กาย...ชิณเป็นยังไงบ้าง”
จักกายสีหน้าเป็นกังวล “หมอกำลังผ่าตัดเอากระสุนออกครับ”
“โธ่...ชิณลูกแม่” ฉายตะวันหันขวับไปทางกะละแม “เพราะเธอคนเดียว ชิณถึงได้เจ็บตัวแบบนี้”
กะละแมเงยหน้าขึ้นมองฉายตะวันด้วยน้ำตานองหน้า แล้วลุกขึ้นพูดพร้อมกับยกมือไหว้
“หนูขอโทษค่ะคุณนาย...หนูผิดเอง ถ้าคุณชิณไม่มาช่วยหนู เค้าก็คงไม่เป็นแบบนี้” กะละแมร้องไห้สะอึกสะอื้น
ฉายตะวันเชิดหน้าไม่รับคำขอโทษของกะละแม
กิมเอ็งเสนอหน้าด่าแทนเสียงขุ่น “ขอโทษแล้วคุณชิณหายเจ็บไหม ถ้าไม่...ก็เก็บคำขอโทษของเธอไว้ คุณพี่ไม่รับ” พอหันมาพูดกับฉายตะวันก็เปลี่ยนเป็นเสียงหวาน “ใช่ไหมคะคุณพี่”
ฉายตะวันเชิดหน้านิ่ง ไม่ตอบอะไร มิ้วมองชุดที่กะละแมใส่แล้วยิ้มเยาะ
“เธอใส่ชุดนี้ แสดงว่ากลับไปทำอาชีพเดิมจริงๆ ใช่มั้ย” หันมาฟ้องฉายตะวัน “คุณป้าดูสิคะ คนเราสันดานมันเป็นยังไง...ก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีทางเปลี่ยนได้หรอกค่ะ คราวนี้พี่ชิณจะได้ตาสว่างสักที”
ฉายตะวันปรายตามองชุดกะละแม แล้วเอ่ยขึ้น
“เธอคงกลับตัวไม่ได้แล้วจริงๆ”
กะละแมสะอึก...สะท้อนใจ พูดไม่ออก โทฟู่ลุกขึ้นมาโอบไหล่กะละแมให้กำลังใจ
“คุณป้าครับ...เรื่องเข้าทรงวันนี้ผมอธิบายได้...”
จักกายจะช่วยอธิบายแต่ยังพูดไม่จบคำประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกขัดจังหวะ...หมอเดินออกมา ฉายตะวันรีบปราดเข้าไปถามหมอ
“คุณหมอคะ...ลูกชายดิฉันเป็นยังไงบ้างคะ”
“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ” กะละแมโล่งอก “โชคดีที่กระสุนฝังแค่ในกล้ามเนื้อ ไม่มีกระดูกแตก ไม่มีหลอดเลือดใหญ่ฉีกขาด นอนพักดูอาการที่โรงพยาบาลสัก 2-3 วันก็กลับบ้านได้”
“ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ ดิฉันเข้าไปดูลูกได้แล้วใช่ไหมคะ”
“เดี๋ยวพยาบาลจะย้ายคนไข้ไปห้องพักฟื้น คุณแม่ค่อยไปดูอาการที่ห้องโน้นดีกว่า” หมอบอก
“ค่ะ...ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ”
หมอเดินไปพร้อมๆ กับที่พยาบาลเข็นเตียงชิณออกมาจากห้องไอซียู...ชิณนอนหน้าซีด ยังไม่ได้สติ ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง ทรงวุฒิ รีบวิ่งไปดูชิณ กะละแมจะตามไป...ฉายตะวันหันมาห้าม เสียงแข็ง
“อย่าเข้าใกล้ลูกชายฉัน” กะละแมชะงัก “เลิกยุ่งกับเขาสักที และอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก” แล้วหันมาพูดกับพยาบาล “เข็นไปเลยค่ะคุณพยาบาล”
พยาบาลเข็นเตียงชิณไป...ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง ทรงวุฒิเดินตามไป
กะละแม มองหน้าชิณที่นอนสลบอยู่บนเตียงซึ่งถูกเข็นห่างออกไปๆ ด้วยความเศร้า...แล้วน้ำตาก็ไหล
ตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามาหากะละแม
“เชิญไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยครับ”
กะละแมมองหน้าตำรวจทั้งน้ำตานองหน้า...สีหน้าเป็นกังวล
ตอนเย็นๆ โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ นั่งให้ปากคำอยู่กับร้อยตำรวจโทชูวัฒน์
“ขอบคุณพวกคุณมากที่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ จนสามารถจับไอ้ป๋านุ้ยได้ยกแก๊ง”
สาม ต. ยิ้มรับหน้าเจื่อน เพราะกลัวความผิดเรื่องต้มตุ๋นของตัวเอง
ระหว่างนั้นกะละแม จักกาย และโทฟู่ เดินขึ้นมาบนโรงพัก แล้วตรงเข้าไปหาพวกโต๊ด
“น้าโต๊ด พี่ติ่ง ตุ้งแช่...เป็นไงบ้าง” แล้วลดเสียงเป็นถามเบาๆ “ตำรวจจะจับพวกเราด้วยมั้ย”
ร.ต.ท.ชูวัฒน์ได้ยิน ตอบเสียงเข้ม “จับครับ”
กะละแม ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่หน้าซีด ตำรวจแอบยิ้มนิดๆ แล้วเก๊กขรึม
“ถึงแม้วันนี้พวกคุณจะทำความดี ช่วยตำรวจจับคนชั่ว แต่มันก็ไม่สามารถลบล้างความผิดที่พวกคุณทำไว้ได้”
กะละแม โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ หน้าซีดหนักเข้าไปอีก ‘ไม่รอดแน่’ โทฟู่ กับจักกายพลอยหน้าเสียไปด้วย
ร.ต.ท.ชูวัฒน์พูดต่อ “แต่ความผิดของพวกคุณไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า ตำรวจยังไม่มีหลักฐาน ไม่สามารถจับกุมพวกคุณตอนนี้ได้ ต้องรอให้มีเจ้าทุกข์มาแจ้งความซะก่อน ตำรวจถึงจะดำเนินคดีได้”
กะละแม ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่ ฟังแล้วยิ้มหน้าบาน ‘เฮ้อ...รอด’
“ขอบคุณคุณตำรวจมากค่ะ”
โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่ประสานเสียง “ขอบคุณมากครับ”
“อย่าทำผิดอีกก็แล้วกัน เพราะถ้ามีคนมาแจ้งความร้องทุกข์ ผมก็ต้องทำตามหน้าที่” ร.ต.ท.ชูวัฒน์ว่า
“ฉันสัญญาค่ะ ว่าพวกฉันจะไม่ทำผิดอีกเด็ดขาด”
กะละแมรับปากหนักแน่น
ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข
กะละแมมองหน้าโต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ ที่ยิ้มแย้มย่างมีความสุข แล้วก็ยิ้มตามนิดๆ เป็นรอยยิ้มที่มาจากความโล่งอก แต่ลึกๆ ในใจกะละแมกลับรู้สึกกังวล และหนักใจเรื่องระหว่างตัวเองกับชิณ...จะเป็นอย่างไรต่อไปหนอ?
ขณะเดียวกันโทฟู่กับจักกายนั่งรอกะละแมและคณะ อยู่ที่ม้าหินใต้ต้นไม้ข้างสถานีตำรวจ โทฟู่นั่งกระวนกระวายเป็นห่วงกะละแม
“ไอ้แมเข้าไปตั้งนานแล้ว ทำไมไม่ออกมาสักที”
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ออกมา”
จักกายบอกแล้วเหลียวไปเห็นกะละแม โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่เดินออกมาจากสถานีตำรวจพอดี
“นั่นไง...มากันแล้ว”
โทฟู่หันไปมองแล้วโบกมือพร้อมกับตะโกนเรียกกะละแม
“ไอ้แม...ทางนี้ๆ”
กะละแมยิ้มแล้วโบกมือตอบ
ทั้ง 4 คน เดินเข้ามานั่งกับโทฟู่และจักกายที่ม้าหินข้างสถานีตำรวจ กะละแมสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ...โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่ท่าทางโล่งอก
“ตำรวจเค้าว่ายังไงบ้าง เค้าจะจับพวกแกข้อหาหลอกลวงชาวบ้านด้วยหรือเปล่า” โทฟู่ถาม
“เค้าบอกว่ายังจับตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอให้มีเจ้าทุกข์มาแจ้งความก่อน”
“แต่ถึงไม่มีเจ้าทุกข์ ถ้าไอ้ป๋านุ้ยมันเอาคลิปความลับของพวกแกไปให้ตำรวจ แกก็...ผิดไม่ใช่เหรอ แล้วไอ้พวกนั้นมันจะเอาคลิปมาเล่นงานแกหรือเปล่า”
โต๊ดตอบยิ้มๆ “มันคงทำแบบนั้นไม่ได้แล้วหล่ะ เพราะ..บังเอิ๊ญ...บังเอิญ ว่าไอ้คลิปเจ้าปัญหามันหายไปไหนก็ไม่รู้ ตำรวจเค้าก็หาไม่เจอ”
โทฟู่ฉงน “หาไม่เจอ”
ติ่ง โต๊ด และกะละแม พยักหน้าหงึกๆๆ ตุ้งแช่โพล่งออกมา
“จริงๆ หาเจอ แต่เค้าลบทิ้งไปแล้ว”
โทฟู่พาซื่อ ไม่เก็ต แถมงงหนักกว่าเดิม “ลบทิ้ง ใครลบ แล้วลบได้ยังไง”
ติ่ง โต๊ด กะละแม ทำหน้าออกแนวเซ็ง “ฮึ่ยยย ไม่เก็ตเหรอวะ” พอจะบอกว่าตำรวจลบก็ไม่ได้ เดี๋ยวโดนตำรวจฟ้อง ไม่รู้จะพูดยังไง จักกายเลยพูดแทน
“จะลบยังไงก็ช่างเค้าเถอะ เอาเป็นว่าคลิปที่จะลากทุกคนเข้าคุกมันถูกลบทิ้งไปแล้ว และทุกคนก็ไม่ต้องติดคุกแล้ว รู้แค่นี้ก็พอ”
ทั้ง 4 คนประสานเสียง “เออ”
โทฟู่สะดุ้งนิดๆ..ไรวะ ตูผิดไรเนี่ย
จักกายหันมาถามทุกคน “ปัญหาไอ้ป๋านุ้ยก็จบแล้ว พวกคุณจะทำยังไงต่อ”
“ก็...กลับบ้าน” โต๊ดบอก
ติ่งฉุกคิด “เดี๋ยวน้า...บ้านไหน? ตอนนี้พวกเราไม่มีบ้านอยู่แล้วนะ”
โต๊ดคิดออก “เออว่ะ...บ้านไอ้ป๋านุ้ยก็กลับไปอยู่ไม่ได้ แล้วเราจะไปอยู่ไหนกันดีวะ”
โทฟู่มองหน้าจักกายเหมือนขอความช่วยเหลือ...จักกายบอกอย่างรู้ใจ
“ไปอยู่ที่คอนโดผมก่อนก็ได้”
โทฟู่ยิ้มพอใจ “ใช่...ทุกคนก็เคยอยู่มาแล้วน่าจะคุ้นที่ดี”
กะละแมคิดแล้วปฏิเสธ “ไม่ดีกว่า...ที่ผ่านมาแกกับคุณกายก็ช่วยเหลือพวกฉันมามากพอแล้ว ถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องดูแลตัวเอง”
“แล้วแกจะไปอยู่ที่ไหน”
ทุกคนมองกะละแมต่างอยากรู้คำตอบ
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 17 (ต่อ)
ไม่นานต่อมา ทุกคนอยู่ที่หน้าบ้านหลังเก่าในซอยมหาลาภ กะละแม โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ จักกาย โทฟู่ ยืนอยู่ มีข้าวของที่ขนมาจากบ้านป๋านุ้ยกองอยู่เต็มไปหมด ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่สีหน้าหวั่นวิตก
“แกแน่ใจเหรอ ว่ากลับมาอยู่ที่นี่จริงๆ” โต๊ดเป็นกังวล
ติ่งด้วย “ตอนนี้ชาวบ้านรู้กันหมดแล้วว่าพวกเราเป็นนักต้มตุ๋น ขืนกลับมาอยู่ที่นี่คงได้โดนรุมประชาทัณฑ์ตายแน่ๆ”
ตุ้งแช่อีกคน “นั่นสิพี่แม ฉันยังอายุน้อย ยังไม่อยากโดนกระทืบตาย”
โต๊ดถามย้ำ “แกจะอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอไอ้แม”
กะละแมตอบสุ้งเสียงหนักแน่น “จริง! ถึงเวลาที่เราต้องเผชิญหน้ากับความผิดที่เราทำไว้ ถ้าเราไม่กลับมาอยู่ที่นี่เพื่อสู้ความจริง”
สาม ต. โต๊ด ตุ้งแช่ ติ่ง เริ่มเห็นด้วย
“เราต้องกลับมาทำให้ทุกคนเห็นว่าเรากลับตัว เราต้องพิสูจน์ตัวเอง ดีกว่าต้องหนีไปตลอดชีวิต”
โทฟู่เดินมาให้กำลังใจ
“ฉันเชื่อว่าแกทำได้ ฉันจะเป็นกำลังใจให้แกเอง”
โทฟู่ยิ้มให้กำลังใจกะละแมอย่างน่ารัก
จักกายมองโทฟู่อย่างชื่นชมในความมีน้ำใจ
กะละแมเหลือบไปเห็นป้าย “สำนักทรงเจ้าแม่มหาลาภไทรทอง” ติดอยู่ที่กำแพงหน้าบ้านจึงเดินไป
หยุดอยู่ตรงหน้าป้าย มองป้ายแล้วเอ่ยขึ้น
“ต่อไปนี้จะไม่มีเจ้าแม่มหาลาภไทรทองอีกต่อไป”
กะละแมปลดป้ายออก แล้วทิ้งป้ายลงถังขยะ
ทุกคนมองป้ายที่ถูกทิ้งด้วยความโล่งอก ปนความหนักใจ และไม่รู้อนาคต โต๊ดมองป้ายแล้วก็ค่อยๆหันกลับมามองบ้าน เหมือนอนาคตที่รออยู่ข้างหน้า
กะละแมเชิดหน้าขึ้นฮึดสู้...เอาวะ ลอง (อีก) มันดูสักตั้ง!
เวลาต่อมา จักกายเดินมาส่งโทฟู่ที่หน้าร้านน้ำเต้าหู้ ก่อนที่โทฟู่จะหยุดแล้วหันมา
“ขอบคุณมากนะ..ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
จักกายยิ้มรับ โทฟู่มองหน้าจักกายแล้วก็พูดออกมา
“พูดตรงๆ นะ ทุกวันนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าทำไมไฮโซเนื้อหอมอย่างคุณ ถึงได้มาป้วนเปี้ยนอยู่ที่ซอยมหาลาภ แถมยังไปบุกถ้ำโจรกับฉัน กับไอ้แม แล้วก็ทำอะไรบ้าๆบอๆอีกตั้งเยอะแยะ คุณทำแบบนี้ทำไม”
จักกายมองจ้องหน้าโทฟู่ “คุณไม่รู้จริงๆว่าผมทำแบบนี้ทำไม”
โทฟู่ตอบออกมาเลย “ไม่รู้จริงๆ ตอนแรกฉันก็คิดว่าคุณคงชอบไอ้แม แต่คุณก็บอกเองว่าคุณไม่ได้ชอบมัน แล้วทำไมคุณยังไม่ไปไหนสักที”
จักกายขำๆ “ฮ่าๆ พูดเหมือนไล่นะเนี่ย ทำไม...มีผมอยู่ใกล้ๆ รำคาญนักหรือไง ถึงได้ไล่ให้ไปไกลๆ”
โทฟู่รีบบอก “เปล่านะ ฉันไม่ได้ไล่ ฉันก็แค่สงสัย ไม่ได้ไล่สักหน่อย”
จักกายยิ้มเผล่ “ไม่ไล่ งันก็แสดงว่าชอบที่ผมอยู่ใกล้ๆ” แล้วมองโทฟู่ทำตาตาวิ้งๆพร้อมกับยิ้มกริ่ม
โทฟู่สะอึก หน้าแดงด้วยความเขิน
“ฉัน..ไม่ได้หมายความว่ายังงั้นน่ะ อย่ามาเหมา คิดเองเออเองนะเนี่ย เอาเป็นว่า..ฉันไม่อยากรู้แล้วคุณจะมาทำอะไร มาเพื่ออะไรก็เรื่องของคุณ ที่จริงมันก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่ดี”
โทฟู่พูดจบก็หันหลังไป จักกายพูดสวนขึ้นทันที
“ทำไมจะไม่เกี่ยว”
โทฟู่ชะงักกึก...หยุดเดินแต่ยังยืนหันหลังอยู่ที่เดิม
จักกายเดินมาข้างหน้า “ที่ผมยังไม่ไปไหน มันเกี่ยวกับคุณเต็มๆ ว่าที่คุณหมอ..ผมรู้ว่าคุณรู้...ว่ามันเกี่ยวกับคุณยังไง” ท้ายประโยคจักกายยิ้มกริ่ม
โทฟู่มองหน้าจักกาย อึ้ง เขิน...ใจเต้นโครมคราม
“คุณเป็นคนฉลาด กตัญญู จริงใจ แล้วก็มีน้ำใจกับทุกคน คุณเป็นคนน่ารั...”
จักกายพูดยังไม่จบคำโทฟู่รีบเอามือปิดปากจักกาย
“ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันง่วง..จะไปนอนแล้ว..ฉัน..ไปก่อนนะ มีอะไรไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
โทฟู่พูดจบก็ก้มหน้าหลบตาเดินเข้าบ้านไปเลย
“อ้าวคุณ...ผมยังพูดไม่จบเลย”
โทฟู่ไม่ยอมฟัง เดินงุดๆ เข้าบ้านไปซะงั้น แถมพอเข้าบ้านปุ๊บปิดประตูใส่เลยด้วยความเขินอาย
จักกายมองตามงงๆ ขำๆ น่าเอ็นดู๊!
โทฟู่ปิดประตู แล้วก็หยุด...คิด..ยิ้ม เขินอ่ะ อิอิ
ส่วนจักกายยืนอยู่ที่เดิม ยิ้มๆ แล้วก็คิดได้ หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดส่งข้อความทางไลน์
โทฟู่กำลังจะเดินขึ้นบ้าน เสียงข้อความเข้าดังขึ้น แล้วก็กดอ่าน ที่หน้าจอเป็นชื่อจักกาย
“ส่งข้อความอะไรมาเนี่ย” ทำบ่น แต่ยิ้ม
โทฟู่กดอ่านหน้าจอขึ้นข้อความ “รัก...นะ”
โทฟู่ตกใจ อ่านตาม
“รัก..นะ”
หน้าจอมีตัวหนังสือขึ้นต่อ โทฟู่อ่านตามอีก
“เมื่อกี๊ผมยังพูดไม่จบ คุณมาปิดปากก่อน ผมเลยส่งคำที่เหลือมาให้”
โทฟู่คิดทวนหวนย้อนไปเมื่อกี๊นี้
“คุณเป็นคนฉลาด กตัญญู จริงใจ แล้วก็มีน้ำใจกับทุกคน คุณเป็นคนน่ารั...”
โทฟู่พูดต่อ
“รัก...นะ”
แล้วโทฟู่ก็หัวเราะขำออกมา
“คริคริ...มุกเนียนนะเนี่ย”
โทฟู่ยิ้มๆ ขำๆ อย่างมีความสุข แล้วก็พิมพ์ตอบกลับไป
“อย่ามาเนียน” พูดไปพิมพ์ไป “กลับบ้านไปนอนได้แล้ว” หยุดคิด คลี่ยิ้ม แล้วก็พิมพ์ต่อ “ฝันดี”
จักกายเดินอยู่ในซอยข้อความดังเข้ามา จักกายรีบเอามากดอ่าน แล้วก็ยิ้ม
จักกายและโทฟู่ยิ้มนิดๆ สุขเบาๆ กับความรักที่เติบโตอย่างมีสติ
คืนนั้นกะละแมกำลังจัดของอยู่ในห้องนอน เก็บของเข้าที่ แล้วก็หยิบหนังสือเรียน และรูปเก่าๆ ที่ชิณเคยเอามาคืน กะละแมยหยิบมาดูแววตาเศร้าๆ แล้วก็คิดถึงชิณ
ตอนที่ชิณเอาของมาคืน ตอนเขาตัวมาขวางกระสุนแทนกะละแม และตอนที่ชิณถูกเข็นออกมาจากห้องไอซียู แล้วฉายตะวันด่าว่าไม่ให้เข้าใกล้ชิณ และอย่ามาให้เห็นหน้าอีก
กะละแมค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง แล้วก็คิดเป็นห่วงชิณ
เวลาเดียวกันฉายตะวันยืนมองชิณที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงด้วยความสงสารลูก มิ้วกับกิมเอ็งยืนอยู่ใกล้ๆ ฉายตะวัน ทรงวุฒิยืนห่างออกไปทางปลายเตียง
ฉายตะวันสั่งกับทรงวุฒิ “ฉันจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วจะรีบกลับมานอนเฝ้าชิณ ฝากเธอดูแลชิณไปก่อนนะ”
“คุณท่านมาพรุ่งนี้เช้าก็ได้ครับ คืนนี้ผมอยู่เฝ้าคุณชิณเองครับ”
“ใช่ค่ะคุณพี่ กลับไปพักผ่อนที่บ้านสบายๆ ดีกว่า คุณหมอบอกว่ากว่าคุณชิณจะฟื้นก็พรุ่งนี้เช้า ถึงคุณพี่มานอนเฝ้าก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ” กิมเอ็งว่า
มิ้วคิดได้รีบเสนอตัว “แต่ถ้าคุณป้าเป็นห่วงพี่ชิณ เดี๋ยวมิ้วนอนเฝ้าให้เองก็ได้ค่ะ คุณป้าจะได้สบายใจ”
กิมเอ็งรีบหันมาพูดเชียร์ “ดีเลยค่ะคุณลูกขา คุณป้าจะได้เบาใจที่มีหนูมิ้วอยู่เฝ้าคุณชิณ” ก่อนจะหันมาทางฉายตะวัน “งั้นเรารีบกลับกันเถอะค่ะคุณพี่ ให้หนูมิ้วอยู่เฝ้าคุณชิณที่นี่แหละ” พูดจบก็ดึงแขนฉายตะวันจะกลับเลย
ทรงวุฒิมองมิ้วแล้วยิ้มกริ่ม “ดีเลยครับ...คืนนี้ผมจะได้มีเพื่อนนอน”
“ว้าย! ไอ้บ้า...ทะลึ่ง ลามปาม สามหาว” มิ้วด่าเป็นชุด
“มาเป็นชุดเลย...ผมหมายถึงจะได้มีเพื่อนนอนเฝ้าคุณชิณน่ะครับ...คิดลึกนะเนี่ย” ทรงวุฒิหัวเราะแหะๆ
กิมเอ็งคิด เริ่มเป็นห่วงความปลอดภัยของมิ้ว
“เอ่อ...คุณพี่ขา คุณน้องเปลี่ยนใจแล้ว...เราให้นายทรงวุฒิอยู่เฝ้าคนเดียวก็พอค่ะ เอาไว้พรุ่งนี้เราสามคนค่อยมากันใหม่ดีกว่า”
“เอาอย่างนั้นก็ได้” ฉายตะวันกำชับทรงวุฒิ “ฉันฝากดูแลชิณด้วยนะ ถ้ามีอะไรด่วนก็รีบโทรบอกฉันทันทีเลยนะ”
“ครับคุณท่าน”
ฉายตะวันย้ำ “ที่สำคัญ...ฉันขอสั่งห้าม ไม่ให้กะละแมมาวุ่นวายกับชิณเด็ดขาด ถ้าเด็กนั่นมาเมื่อไหร่ ก็ไล่กลับไปทันที...เข้าใจมั้ย”
ทรงวุฒิรับคำหนักแน่น “เข้าใจครับ”
ฉายตะวันเดินออกจากห้องไป มิ้วกับกิมเอ็งรีบเดินตาม
ทรงวุฒิหันกลับมามองชิณ แล้วส่ายหน้าพึมพำเบาๆ
“รักแท้แม่ไม่ปลื้มซะแล้วเจ้านาย”
ชิณนอนหน้าซีดไม่ได้สติอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือระโยงระยางดูน่าสงสาร
ที่บริเวณหน้าตลาดสดมหาลาภ เช้าวันต่อมา กะละแมกับติ่งยืนเลือกกับข้าวอยู่หน้าร้านป้าส้มลิ้ม โดยไม่รู้ตัวว่าป้าส้มลิ้มกำลังมองอยู่ด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
“ป้าส้มลิ้ม เอาแกงส้มกับไข่พะโล้อย่างละถุงจ้ะ”
ป้าสมลิ้มหยิบทัพพีขึ้นมาเคาะปากหม้อเสียงดัง...โป๊ก! แล้วพูดเสียงดังลั่น
“ไม่ขาย”
กะละแมกับติ่งเหวอไป ‘เกิดอะไรขึ้น?’
ป้าส้มลิ้มด่า “อย่าคิดว่าจะมาหลอกกินฟรีอย่างเมื่อก่อนได้นะเว้ย หน็อยๆๆๆ” พลางเอาทัพพีเคาะปากหม้อระรัวๆๆๆ “ไอ้เราก็หลงเคารพบูชา กราบไหว้ กับข้าวกับปลาก็ให้กินฟรี หวังจะทำบุญกับเจ้าแม่ ที่ไหนได้ มันก็เป็นพวกนักต้มตุ๋นหลอกกินฟรีนี่เอง”
กะละแมยกมือไหว้ “ฉันขอโทษจ้ะ ฉันผิดไปแล้ว แต่ฉันไม่เคยจะคิดหลอกกินของป้าส้มลิ้ม ฟรีๆ เลยนะจ๊ะ”
แม่ค้าและชาวบ้านแถวนั้นเริ่มมามุงดูกันเพียบ
แม่ค้าเสียงแหลม “ใช่ซี๊....ไม่ได้หลอกกกินฟรีอย่างเดียว แต่หลอกให้พวกฉัน...ฉัน...ฉัน...ฉัน” ชี้แม่ค้ารอบๆ เรียงตัว “เอาข้าวของไปถวายเจ้าแม่ แล้วเงินที่พวกฉันเอาไปทำบุญกับเจ้าแม่น่ะ มันก็คงจะไหลลงกระเป๋าพวกแกหมดใช่มั้ยห๊ะ”
กะละแมกับติ่งสะอึก เถียงไม่ออก เพราะเป็นความจริง
ป้าส้มลิ้มด่าซ้ำ “ฉันเห็นพวกแกมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ยังมาหลอกกันได้ลงคง พวกแกมันเลวจริงๆ เลวกันทั้งบ้าน ไปเลยนะ...ฉันไม่ขาย...ออกไปให้พ้นร้านฉัน...ไป๊”
“ใจเย็นๆ นะจ๊ะป้าส้มลิ้ม พวกฉันผิดไปแล้ว พวกฉันขอโทษจ้ะ” ติ่งยกมือไหว้ท่วมหัว
“ฉันขอโทษจริงๆ จ้ะป้าส้มลิ้ม ขอโทษ พี่ ป้า น้า อา ทุกคนด้วยจ้ะ” กะละแมไหว้ไปรอบทิศ “ถ้าฉันเลือกได้ ฉันก็ไม่อยากจะหลอกทุกคนเลยจริงๆ”
ป้าส้มลิ้มไม่ฟัง “ไม่ต้องมาแก้ตัวอะไรทั้งนั้น มันฟังไม่ขึ้นหรอกเว้ย ไปๆ ไปให้พ้นร้านฉัน แล้วไม่ต้องมาขอท่งขอโทษอะไรทั้งนั้น ฉันไม่ยกโทษให้!”
ชาวบ้านกับแม่ค้าแถวนั้นช่วยกันตะโกนไล่ติ่งกับกะละแมเสียงดังอื้ออึง
“ไอ้พวกต้มตุ๋น...หลอกลวง...พวกมารสังคม หน็อย...ทำเป็นพูดว่าเลือกไม่ได้ ทั้งที่แกเลือกจะหลอกพวกฉันเอง...ออกไป...ออกไป”
แม่ค้าขายพวงมาลัย หยิบเศษดอกไม้มาปาติ่งกับกะละแม แม่ค้าขายขายผักก็เอาผักปา...ชาวบ้านกับแม่ค้าแถวนั้นช่วยกันตะโกนด่าและขว้างปาข้าวของใส่ติ่งกับ กะละแมกันจ้าละหวั่น
ติ่งกับกะละแมยกมือขึ้นกันเป็นพัลวัน...ในขณะเดียวกันก็พูดเกลี้ยกล่อมชาวบ้านไปด้วย
“ฉันทำผิดไว้มาก ฉันอยากกลับตัวจริงๆ นะจ๊ะ ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะช่วยเหลือทุกคนได้ ขอให้บอก ท่อประปาแตก ปะยาง ตัดผม ซ่อมท่อ ฉันจะทำให้ฟรีๆ เลยจ้ะ ตอนนี้ฉันยังไงไม่มีเงินฉันก็จะเอาแรงงานชดใช้ให้ก่อน แต่ถ้าฉันรวยเมื่อไหร่ ฉันสัญญาเลยว่าจะชดใช้ให้ทุกคนให้ครบทุกบาททุกสตางค์เลยจ้ะ”
ชาวบ้านยังไม่หยุดปา
“ออกไป! ออกไป! ออกไป”
ติ่งเห็นท่าไม่ดีรีบกระซิบบอกกะละแม
“หนีก่อนดีกว่าไอ้แม ก่อนที่หัวจะแตก”
ติ่งพูดจบก็ลากแขนกะละแมวิ่งหนีออกไป โดยมีข้าวของของแม่ค้าลอยตามหลังมาเป็นระยะๆ
เวลาต่อมา ขณะที่กะละแมกับติ่งขี่จักรยานกลับมาที่หน้าบ้าน แล้วก็ตกใจที่เห็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่นำทีมโดยลุงมากกับเชอร์รี่ยืนตะโกนขับไล่โต๊ดกับตุ้งแช่อยู่หน้าบ้านเสียงดังอื้ออึง...มีอาม่ากับโทฟู่คอยช่วยเจรจากับชาวบ้าน
ลุงมากไล่ตะเพิด “ไอ้พวกหลอกลวง ออกไปจากที่นี่เลย...ไป๊ๆๆๆ”
โต๊ดพยายามไกล่เกลี่ย “ฉันขอโทษจริงๆจ้ะ ฉันขอโทษทุกๆ คน”
เชอร์รี่ไม่สน “ไม่ต้องมาขอโทษ ออกไปเลย พวกเราไม่ต้อนรับคนหลอกลวงใช่มั้ยพวกเรา”
“ใช่...ออกไปๆๆ” ชาวบ้านตะโกนไล่
กะละแมกับติ่งจอดจักรยานแล้วแหวกวงล้อมชาวบ้านเข้าไปยืนกับ โต๊ด ตุ้งแช่ อาม่า โทฟู่
กะละแมกระซิบถามโทฟู่
“เกิดอะไรขึ้น”
“ชาวบ้านรู้ว่าพวกแกกลับมา ก็เลยไม่พอใจพากันมาไล่ออกจากซอย ฉันกับม่าได้ยินเสียงเลยตามมาดู”
ชาวบ้านตะโกนขับไล่กันอื้ออึง ‘ออกไป...ออกไป’
อาม่าพูดกับชาวบ้าน “ใจเย็นๆ ฟังม่าก่อน พวกเราต้องให้โอกาสคนนะ ลองคิดดู...ถ้าอาโต๊ดกับลูกๆ หลานๆ ไม่สำนึกผิด พวกเค้าจะกลับมาที่นี่ให้พวกเรารุมด่าทำไม”
เชอร์รี่เสนอหน้า “มันกลับมาเพราะมันไม่มีที่ไป ถ้าพวกมันยังหน้าด้านอยู่ พวกฉันก็จะมาไล่ทุกวัน ดูสิว่าจะหน้าด้านไปได้นานแค่ไหน”
กะละแม โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่ หน้าสลด...รู้สึกผิดจริงๆ โทฟู่มองกะละแมด้วยความสงสาร อาม่าเห็นก็สงสาร
ชาวบ้านยังตะโกนต่อ “ออกไป ... ออกไป...ออกไป”
อาม่าหันมาพูดกับชาวบ้านอีกที
“ม่ารู้ว่าทุกคนโกรธ เกลียด ไม่พอใจ แต่...เราเป็นคนซอยเดียวกัน อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน เราก็รู้กันอยู่ว่าไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด ไอ้มาก” ลุงมากหันมา “ตอนแกเป็นหนุ่ม แกก็เคยแอบปีนขึ้นไปขโมยโทรทัศน์นังส้มลิ้มไปขายใช่มั้ย”
ลุงมากอึกๆอักๆ เอ่อ...แต่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฎิเสธ
“ส่วนนังเชอร์รี่เอ็งก็เคยไปกิ๊กกับผัวคนอื่น”
เชอร์รี่สะดุ้งหน้าเสีย “เอ๊ย ม่าก็... ฉันเลิกแล้วนะ ตอนนี้ฉันไม่ทำแล้ว”
“นั่นแหละ เห็นมั้ย คนทุกคนก็เคยทำผิดกันมาทั้งนั้น และเวลาที่เราสำนึกผิด สิ่งที่เราต้องการ..ก็คือการให้อภัยจากคนรอบข้าง”
ชาวบ้านเริ่มนิ่งฟัง อาม่าพูดต่อ
“และตอนนี้...พวกไอ้โต๊ดมันมายืนอยู่ตรงนี้ มันอยากกลับตัว อยากเริ่มต้นใหม่ พวกเราจะอภัยให้มันไม่ได้หรือไง”
ชาวบ้านอึกๆอักๆ อ่อนลงแต่ก็ยังไม่ยอมซะทีเดียว
“แต่มันก็หลอกพวกฉันไว้เยอะ” เชอร์รี่บอก ชาวบ้านพยักหน้าใช่ๆ
“ใช่ หลอกให้เชื่อ หลอกเอาเงินด้วย แต่ก็เอาเถอะเห็นแก่อาม่า พวกเราจะยอมกลับกันไปก่อน แต่อย่าคิดนะว่าพวกเราจะยกโทษให้ง่ายๆ ไม่มีทาง” ลุงมากหันไปทางชาวบ้าน “ไปพวกเรา วันนี้กลับกันก่อน”
ชาวบ้านยกขบวนกันกลับไป
กะละแม โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ อาม่า และโทฟู่ มองตามด้วยความโล่งอก
กะละแม ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ โทฟู่และอาม่า นั่งล้อมวงกันอยู่หน้าบ้าน
“ชาวบ้านรวมตัวกันขับไล่พวกเราขนาดนี้ จะอยู่ต่อได้ยังไง” ติ่งบ่น
กะละแมปลอบ “เราต้องอดทนนะพี่ติ่ง เราทำผิดกับพวกเค้าไว้มาก ถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องรับกรรม”
“แล้วเราต้องทนอีกนานแค่ไหนพี่แม” ตุ้งแช่สงสัย
“ก็จนกว่าชาวบ้านจะยอมยกโทษให้เรา”
อาม่าเห็นด้วย “แมพูดถูก ใช้ความจริงใจเข้าสู้ พิสูจน์ให้พวกชาวบ้านเห็นว่าพวกลื้อกลับตัวกลับใจแล้วจริงๆ ม่าเชื่อว่าสักวันชาวบ้านจะต้องให้อภัย”
“จ้ะม่า ฉันจะอดทน”
โต๊ดทำหน้าเครียดแล้วพูดขึ้น
“ทนอยู่น่ะทนได้ แต่อยู่แล้วจะทำมาหากินอะไร”
“คนเราถ้าขยัน สู้งาน ยังไงก็ไม่อดตายหรอก” อาม่าครุ่นคิด “ม่าคิดออกแล้ว ม่าจะให้อาวุธสำหรับมีชีวิตต่อ ช่องทางหาเงิน ทำได้ ทำดี...รวย!”
กะละแมงง “อะไรม่า”
“มันคือ...” อาม่าเชิดหน้ามั่นใจ “สูตรซาลาเปาต้นตระกูล”
ทุกคนร้องประสานเสียง “ซาลาเปาต้นตระกูล”
อาม่ายิ้มย่องดูมั่นอกมั่นใจมากๆ ‘ฮึ!! ถูกต้อง'
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 17 (ต่อ)
กะละแมนั่งอยู่ที่หน้าร้านน้ำเต้าหู้ อาม่ากับโทฟู่เดินออกมา แล้วโทฟู่ก็ยื่นกระดาษให้กะละแม
“อ่ะ ไอ้แม..สูตรซาลาเปา อาม่าบอกสูตร ฉันจดให้แล้ว”
กะละแมรับไป อาม่าอวดสรรพคุณซาลาเปาต้นตระกูล
“สูตรนี้เป็นสูตรลับเฉพาะของตระกูลม่าเลยนะ แป้งเนื้อนุ่มเคี้ยวเพลิน ไม่ฟูฟ่อง ไม่แข็งฝืดคอ มีทั้งไส้หมูแดง หมูสับไข่ต้ม หมูสับไข่เค็ม ถั่วแดง ถั่วดำ งาดำ ชาเขียว ถ้าไม่รักกันจริงม่าไม่ให้นะ”
อาม่าพูดพลางยิ้มให้กำลังใจ
กะละแมหน้าเศร้า “ทำขายแล้วใครจะซื้อ ชาวบ้านยังโกรธพวกฉันอยู่เลยนะม่า”
อาม่าสอน “ทำผิดไว้ก็ต้องทำใจ อดทนนะอาแม”
กะละแมยิ้มแห้งๆ มีหวังขึ้นมาอีกนิด
“ขอบคุณจ้ะม่า...แล้วฉันจะลองทำซาลาเปานี่ดู บางทีมันอาจจะทำให้พวกฉันได้กลับมามีชีวิตเหมือนคนปกติกับเค้าสักที ฉันไปนะม่า..ขอบคุณค่ะ”
โทฟู่ยกมือไหว้แล้วก็เดินไป จู่ๆ โทฟู่นึกบางได้ หันมาบอกอาม่า
“เดี๋ยวฉันมานะม่า” แล้วหันมาทางกะละแม “ไอ้แม”
โทฟู่เดินตามกะละแมไป
กะละแมเดินอยู่ในซอย โทฟู่วิ่งตามมา
“เดี๋ยวก่อนไอ้แม” กะละแมหันกลับมาหา “วันนี้แกจะไปเยี่ยมคุณชิณหรือเปล่า”
กะละแมชะงัก “คงไม่” โทฟู่ร้อง...อ้าว “คุณนายฉายตะวันเค้าไม่อยากให้ฉันเข้าใกล้คุณชิณ ถ้าเค้าเห็นฉันไปเยี่ยมลูกชายเค้า ก็คงไม่สบายใจ”
โทฟู่บิ้วท์สุดๆ “คุณชิณเค้าอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตช่วยแกนะ อย่างน้อยแกควรจะไปขอบคุณเค้าหน่อ”
“แต่ฉัน...” กะละแมหน้าเศร้า “ฉันไม่อยากสร้างปัญหา”
“ถ้าเจอคุณนายฉายตะวันแกก็กลับ ถ้าไม่เจอก็ขอบคุณคุณชิณแล้วค่อยกลับ แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว” กะละแมชะงักคิด “นะแก..ไปเยี่ยมเค้าหน่อย เชื่อฉัน”
กะละแมคิดๆ จะไปดีหรือไม่ไปดี
กะละแมเดินเข้ามาในโรงพยาบาลที่ชิณรักษาตัวอยู่ คิดในใจ ‘เอาวะ’ กะละแมตัดสินใจแล้วเดินเข้าไป
กะละแมเดินมาตามทางเดินในโรงพยาบาล มองซ้ายมองขวาหาห้องชิณ แล้วก็มาหยุดที่หน้าห้องที่มีป้ายชื่อชิณติดอยู่
กะละแมจะเปิดประตูเข้าไปแต่ก็ลังเล ‘เข้า...ไม่เข้า...เข้า...ไม่เข้า’ แล้วก็ตัดสินใจจะเปิดประตูเข้าไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ทรงวุฒิเปิดประตูออกมาพอดี
กะละแมตกใจทำหน้าไม่ถูก...พูดอะไรไม่ออก
“คุณกะละแม” ทรงวุฒิรีบปิดประตูแล้วเอาตัวบังไว้ “เข้าไม่ได้นะครับ...คุณท่านสั่งไว้ ไม่ให้คุณเข้าใกล้คุณชิณเด็ดขาด”
กะละแมหน้าจ๋อย “ฉันแค่อยากมาดูให้แน่ใจว่าคุณชิณไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ แล้วก็อยากมาขอบคุณเค้าด้วย”
“ขอโทษครับ...ผมให้เข้าไม่ได้จริงๆ คุณกะละแมรีบกลับไปดีกว่า ก่อนที่คุณท่านจะมา”
กะละแมขอร้อง “ฉันขอเข้าไปดูคุณชิณแค่แป๊บเดียว แค่เห็นว่าเค้าปลอดภัยดีฉันก็จะกลับ”
“ไม่ได้ครับ...ไม่ได้จริงๆ อย่าทำให้ผมต้องเดือดร้อนเลย”
กะละแมเศร้า “ก็ได้ค่ะ ฉันขอโทษที่ทำให้คุณทรงวุฒิลำบากใจ ฉันไปก่อนนะคะ”
กะละแมเดินคอตกออกไป...ทรงวุฒิมองด้วยความสงสารแล้วก็พูดขึ้น
“โอ๊ย...หิวน้ำ หิวข้าวจังเลย สงสัยต้องไปหาอะไรกินสักหน่อย ตอนไปกินข้าวใครจะเข้าไปเยี่ยมคุณชิณเราก็ไม่เห็น...ไม่เห็นก็ไม่ผิด พูดลอยๆ นะ ไปกินข้าวแหละ”
ทรงวุฒิพูดลอยๆ แล้วก็เดินไป กะละแมยิ้มดีใจที่ทรงวุฒิเปิดทางให้ และตื่นเต้นนิดๆ จะได้เจอชิณ
ชิณลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เรียกหาทรงวุฒิ
“พี่ทรงวุฒิ...พี่ทรงวุฒิ พี่ทรงวุฒิอยู่ไหน”
ประตูถูกเปิดเข้ามา ชิณหันไปมอง ทันใดนั้นกะละแมเดินเข้ามาในห้อง ชิณหันมาเห็นกะละแมก็ดีใจ
ชิณจะลุกขึ้นนั่ง “กะละแม” แต่เจ็บแผลร้อง “โอ๊ย”
กะละแมตกใจรีบวิ่งเข้าไปประคองชิณให้นอนลงเหมือนเดิม
“คุณชิณ...นอนลงก่อนนะคะ อย่าเพิ่งลุก”
กะละแมประคองชิณนอนลงเรียบร้อยแล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงชิณ
“เธอเป็นยังไงบ้าง พวกไอ้ป๋านุ้ยมันทำอะไรเธอหรือเปล่า”
“ฉันไม่เป็นไร ไอ้พวกนั้นมันถูกตำรวจจับไปหมดแล้ว ฉัน..ไม่เป็นไรอะไรแล้ว”
ชิณพยักหน้ารับรู้ด้วยความโล่งอกแทน กะละแมมองชิณด้วยความซาบซึ้งใจ
“คุณชิณ...ฉันขอบคุณคุณมาก ที่เสี่ยงชีวิตช่วยฉัน ฉันขอบคุณจริงๆ”
-ชิณมองกะละแม แววตาเต็มไปด้วยความจริงใจ และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันดีใจที่ได้ช่วยเธอ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันเอาตัวไปรับกระสุนแทน ทั้งๆที่ปกติฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวจะตาย ไม่เคยคิดถึงใครทั้งนั้น แต่ในวินาทีนั้น ฉันกลับรู้สึกว่า...ฉันอยากปกป้องเธอ”
ชิณยิ้ม กะละแมซึ้งใจ ยิ้มออกมา..แล้วก็ชะงัก ความรู้สึกผิดเด้งขึ้นมาอีก
กะละแมหุบยิ้มลงเล็กน้อย แววตาจ๋อยๆ
ทรงวุฒิยืนกินน้ำ และซื้อของที่ร้านขนมอยู่
“เอาอันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้ครับ”
ทรงวุฒิเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวตำรวจรวบตัวนุ้ย “พลเมืองดี ช่วยตำรวจรวบจับเจ้ามือหวยเถื่อน
เจ้าของบ่อนผิดกฏหมาย” ก็รีบหยิบมาส่งให้คนขาย
“เอานี่ด้วยครับ”
ทรงวุฒิรอจ่ายเงินไปก็ชะเง้อไปไม่เห็นว่าจะมีใครมา ทรงวุฒิโล่งอกนิดๆ
คนขายบอกราคา “250 ค่ะ”
“นี่ครับ”
ในจังหวะที่ทรงวุฒิหันมาจ่ายเงิน เห็นฉายตะวัน มิ้ว และกิมเอ็ง เดินมาพอดี๊...พอดี คลาดกันไปนิดเดียว ทรงวุฒิมองไม่เห็นเป้าหมาย
กะละแมอึกอักๆ หน้าเสียนิดๆ เมื่อคิดถึงความเป็นจริง กะละแมเบนสายตาหนี แล้วก็พูดพยายามเป็นปกติ
“ที่ฉันมาวันนี้ก็เพราะอยากจะขอบคุณ แล้วก็ขอโทษที่เป็นต้นเหตุทำให้ชีวิตคุณวุ่นวายแบบนี้ ฉัน...จะมาพูดแค่นี้แหละ ฉันกลับก่อนนะ”
พูดจบกะละแมหันหลังให้ขวับ ชิณเรียกไว้
“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป จะรีบไปไหน” ชิณพูดเสียงอ้อน “อย่าเพิ่งไปเลยนะ...นะ”
กะละแมหันมาทำใจแข็ง “ฉันไม่อยากให้แม่คุณมาเห็นฉันที่นี่ ฉันไม่อยากให้คุณเดือดร้อน ฉันไปก่อนนะคะ”
กะละแมเดินออกไปเลย
ชิณไม่ยอม “กะละแมอย่าเพิ่งไป กะละแมรอด้วย กะละแม”
ชิณพยายามจะลุกลงจากเตียงตามกะละแมไป แล้วก็ตกเตียง...โครม!!!
“โอ๊ย”
กะละแมตกใจมากหันมาเห็นชิณตกอยู่ที่พื้นก็ร้องขึ้น “คุณชิณ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า คุณชิณเจ็บมั้ย เป็นยังไงบ้าง”
กะละแมรีบเข้ามาช่วยประคองชิณ...สองคนมองตากัน จังหวะกำลังซึ้งเลย...ประตูห้องก็เปิดเข้ามา ฉายตะวันเห็นสองคนกำลังอยู่ในจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็ม ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ฉายตะวันเธอเข้ามาได้ยังไง !!!
กะละแมกับชิณหันไปมองทางประตู เห็นฉายตะวัน กิมเอ็ง และมิ้ว กำลังเดินตรงเข้ามาที่เตียงของชิณ
ด้วยสีหน้า ท่าทางไม่พอใจ
ฉายตะวันดึงมือชิณออกจากมือกะละแม “ออกไปห่างๆ ลูกชายฉันเดี๋ยวนี้”
ชิณตกใจ “แม่”
กะละแมหน้าเสีย...ถอยห่างออกจากชิณ
มิ้วรีบเสนอหน้าเข้าไปประคองชิณไว้แทน
“พี่ชิณเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ ระวังนะคะ มิ้วประคองเองค่ะ”
ชิณไม่สนใจมิ้ว มองกะละแมด้วยความเป็นห่วง
กะละแมไหว้ลา “สวัสดีค่ะคุณนาย”
ฉายตะวันไม่ยอมรับไหว้ “ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งกับลูกชายฉันอีก แล้วทำไมยังกล้ามา”
“หนูอยากมาขอบคุณที่คุณชิณช่วยชีวิตหนูไว้”
“ถ้าขอบคุณเสร็จก็เชิญกลับไปได้ และฉันขอร้องเธออีกครั้ง ว่าอย่ามายุ่งกับลูกชายฉันอีก”
“แม่!” ชิณคราง ฉายตะวันเชิดไม่สนใจ
กะละแมหันไปมองหน้าชิณอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วตัดสินใจเดินไปที่ประตูแล้วเปิดประตูออกไป
ชิณพยายามเรียก “กะละแม กะละแม..เดี๋ยวก่อนกะละแม”
กะละแมไม่หยุดรีบเดินออกไปเลย สวนกับทรงวุฒิที่กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับถือถุงขนม
ทรงวุฒิเห็นฉายตะวัน มิ้ว และกิมเอ็งอยู่ในห้องก็สะดุ้ง คิดในใจ‘งานเข้า’
ชิณจะตามกะละแมไป มิ้วจับตัวไว้ ชิณพยายามสะบัดตัวออกจากมิ้วทั้งๆ ที่เจ็บแผล...กิมเอ็งเห็นก็รีบเข้าไปช่วยมิ้วจับอีกคน
“พี่ชิณอย่าไปสนใจมันเลยค่ะ กลับไปนอนที่เตียงดีกว่านะคะ มิ้วพาไปค่ะ” มิ้วประคองไป
“ปล่อย...” ชิณดิ้นแล้วก็เจ็บแผลร้อง “โอ๊ย”
ฉายตะวันตกใจรีบเข้ามาดูชิณ
“ชิณเป็นไงบ้าง ถ้าเจ็บก็อยู่นิ่งๆ”
ชิณมองตามกะละแม “กะละแมอย่าเพิ่งไป...กะละแม!” จะตามไปให้ได้
มิ้วกับกิมเอ็งช่วยกันจับชิณกดนอนลงบนเตียง
“ตัวซวยแบบนั้น ปล่อยมันไปเถอะค่ะ ขืนอยู่ที่นี่นานๆ ไม่รู้จะมีใครเป็นอะไรไปอีกหรือเปล่า”
“พี่ชิณนอนอนพักนะคะ จะได้หายเร็วๆ”
ชิณยิ่งดิ้นใหญ่ “ปล่อย...ปล่อย..กะละแมกลับมาก่อน กะละแม”
ฉายตะวันเห็นชิณแผลงฤทธิ์ก็เครียด
กะละแมเดินออกมาจากห้องท่าทางอึ้งๆ แล้วสักพักน้ำตาก็ไหล เดินร้องไห้ไปตามทางเดินที่เงียบงันของโรงพยาบาล บรรยากาศดูเหงาๆ เศร้าๆ
ชิณนั่งอยู่บนเตียง ถูกล้อมด้วย ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง...ชิณพยายามจะอธิยายให้ฉายตะวันเข้าใจกะละแม
“แม่จะให้ผมอธิบายอีกกี่ครั้งว่า กะละแมร่วมมือกับตำรวจวางแผนจับไอ้ป๋านุ้ย ครั้งนี้เค้าไม่ได้ทรงเพราะต้องการหลอกชาวบ้านเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง”
ทรงวุฒิที่ถือหนังสือพิมพ์อยู่ รีบเสนอหน้าเข้ามาช่วยพูด
“ใช่ครับคุณท่าน ถึงผมจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่ผมก็ทราบดี เพราะเรื่องของคุณกะละแมลงข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์วันนี้ด้วยครับ” ทรงวุฒิยื่นหนังสือพิมพ์ให้)
ฉายตะวันรับหนังสือพิมพ์ไปดู แต่ยังมีอคติ กิมเอ็งชะโงกหน้ามาดูแล้วรีบดึงหนังสือพิมพ์ออกจากมือฉายตะวันแล้วโยนลงบนโต๊ะใกล้ๆ
“ไม่ต้องอ่านหรอกค่ะคุณพี่ ตำรวจจะจับใครอะไรยังไงก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือยัยร่างทรงนั่นเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง หลอกคุณพี่ หลอกคุณชิณมาตั้งแต่เจอกันครั้งแรก” กิมเอ็งปัด
มิ้วผสมโรง “ใช่ค่ะคุณป้า คุณป้าอย่าลืมนะคะว่ามันเคยหลอกลวงคุณป้า แล้วมันยังทำให้พี่ชิณถูกยิงจนเกือบตายด้วย คุณป้าอย่าใจอ่อนกับมันง่ายๆ นะคะ”
ชิณไม่พอใจ ฝืนตัวลุกขึ้นนั่ง ทั้งที่ยังเจ็บแผลอยู่
ชิณไม่เกรงใจอีกต่อไป “พอเถอะครับคุณป้า” กิมเอ็งชะงัก
“เอ่อ...คุณน้าค่ะไม่ใช่คุณป้า” น้ำเสียงกิมเอ็งเคืองๆ
“ทำไมจะไม่ป้า ก็ป้าหน้าแก่กว่าแม่ผมตั้งเยอะเรียกคุณพี่อยู่ได้” กิมเอ็งจับหน้าด้วยความตกใจ...ไม่จริ๊ง! “คุณป้ากับมิ้วเลิกยุ่งเรื่องนี้สักที นี่มันเป็นเรื่องในครอบครัว คนนอกไม่เกี่ยว”
ชิณโพล่งออกมาอย่างไม่ไว้หน้า ทุกคนเงียบกริบ ทรงวุฒิรู้ตัว
“งั้นผมขอตัวไปรอข้างนอกนะครับ”
ทรงวุฒิรีบเผ่นออกไปอย่างเนียนๆ แล้วก็รีบปิดประตูทันที บรรยากาศในห้องยังอึมครึม
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 17 (ต่อ)
คล้อยหลังทรงวุฒิออกไปแล้ว ในห้องพักฟื้นของชินบรรยากาศยังมาคุ กิมเอ็งเอ่ยขึ้น
“อุ้ย...คุณชิณว่าหนูมิ้วสาระแนได้ยังไงคะ” มิ้วสะดุ้ง “หนูมิ้วทำทุกอย่างเพราะหวังดีกับคุณชิณนะคะ หนูมิ้วอยากให้คุณชิณตาสว่าง เลิกเห็นอสรพิษเป็นนางฟ้าแสนดี”
“หวังดีหรือว่าหวังสมบัติผมกันแน่” มิ้วกับกิมเอ็งสะดุ้งโหยง “ผมรู้นะว่าที่คุณป้ากับมิ้วมาทำดีกับแม่ผม เดินตามแม่ผมต้อยๆ ทุกวันนี้ก็เพราะหวังจะจับผม”
มิ้วกะกิมเอ็งผงะ! ต๊าย! ไม่จริง...รู้ได้ยังไง
ฉายตะวันเอ็ด “ชิณมันจะหยาบคายมากไปนะลูก”
กิมเอ็งรีบแทรก เปลี่ยนสถานการณ์ “เอาเถอะค่ะคุณพี่..อย่าว่าคุณชิณเลย น้องเข้าใจ ตอนนี้เราทำอะไรก็ผิดไปหมด เพราะเราสองคนรู้ทันกะละแม และเป็นห่วงคุณพี่กับคุณชิณก็เลยพูดจาไม่เข้าหูคุณชิณไปบ้าง น้องไม่ถือสาค่ะ”
ชิณส่ายหน้าเอือมเต็มกลืน
มิ้วรีบเสริม “จริงค่ะ ตอนนี้พี่ชิณหน้ามืดตามัว ไม่เห็นความห่วงใยของพวกเรา แต่กลับไปเป็นห่วง เป็นเดือดเป็นร้อนแทนนังกะละแม แถมยังเอาตัวไปรับกระสุนแทนมันอีก พี่ชิณทำแบบนี้เพราะพี่ชิณชอบมันใช่มั้ยคะ”
ไม่มีใครคาดคิด ชิณโพล่งออกมาเลย “ใช่...พี่ชอบกะละแม”
ฉายตะวันอึ้งๆ กิมเอ็งกับมิ้วช็อกพอกัน
ชิณบอกกับฉายตะวัน “ผมรู้ว่ากะละแมไม่ใช่ผู้หญิงที่เพียบพร้อม สมบูรณ์แบบ เค้าไม่ใช่คนที่ดีไปทุกอย่าง แต่เค้ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผม “ยอม” คือ เค้ามีความมุ่งมั่น ความกล้าหาญ กะละแมสู้ชีวิตอย่างไม่เคยย่อท้อ ความเข้มแข็งของเค้าทำให้ผมใจอ่อนและยอมยกโทษให้กับทุกอย่างที่ผ่านมา...” ชิณมองฉายตะวันแล้วพูดอ้อนวอน “แม่ครับ..แม่ต้องเชื่อผมนะครับ”
ชิณกับฉายตะวันมองตากันแบบวัดใจ ฉายตะวันแอบลังเลนิดๆ
กิมเอ็งกับมิ้ว...มองชิณกับฉายตะวันแล้วก็มองหน้ากัน “ฉิบหายแล้ว”
เย็นนั้นกะละแมเดินหน้าเศร้าเข้ามานั่งที่ร้านน้ำเต้าหู้แล้วไม่พูดจาอะไร โทฟู่กำลังเช็ดแก้วอยู่หันมาถาม
“ไอ้แม...ตกลงแกได้ไปเยี่ยมคุณชิณมั้ย”
กะละแมพยักหน้าเศร้าๆ “ไปแล้ว...แล้วก็โดนคุณนายฉายตะวันด่ากลับมา”
โทฟู่ตกใจ รีบวางมือจากงานแล้วเข้าไปนั่งข้างๆ กะละแม
“คุณนายด่าอะไรแกบ้าง”
“เค้าก็ไม่ได้ด่าอะไรรุนแรงหรอก ก็แค่ย้ำว่าไม่ให้ฉันไปยุ่งกับคุณชิณอีก...ต่อไปนี้ฉันคงจะไม่เฉียดเข้าไปใกล้คุณชิณอีกแล้ว”
“แกจะเลิกกับคุณชิณง่ายๆ อย่างนี้เนี่ยนะ”
“ล่งเลิกอะไร ฉันกับเค้าไม่ได้เป็นอะไรกัน ใช้คำว่าเลิกไม่ได้”
“แกอย่าปฏิเสธเลย ฉันดูออกว่าแกกับคุณชิณรู้สึกยังไงต่อกัน”
กะละแมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “จะรู้สึกยังไงมันก็ไม่สำคัญหรอก เพราะตอนนี้เรื่องระหว่างฉันกับคุณชิณมันจบแล้ว ฉันไม่เห็นแก่ตัวมากพอที่จะดึงเค้ามาตกต่ำกับฉัน อีกอย่าง...ฉันไม่อยากทำให้คุณนายฉายตะวันไม่สบายใจมากไปกว่านี้ แค่นี้ฉันก็รู้สึกผิดจะแย่อยู่แล้ว ทางที่ดี...คุณชิณกับฉันไม่ควรเจอกันอีก”
กะละแมทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายแววตาเศร้าหมอง โทฟู่มองด้วยความเห็นใจ
คืนนั้นสองแม่ลูกอยู่ที่บ้าน มิ้วจิกตาแล้วพูดออกมาอย่างมาดมั่น
“มิ้วไม่มีทางยอมแพ้ ต่อให้พี่ชิณประกาศออกมาอีกร้อยรอบ ว่าชอบนังกะละแม มิ้วก็ไม่แคร์ ยังไงมิ้วก็ต้องหาทางเอาพี่ชิณมาเป็นของมิ้วให้ได้”
กิมเอ็งจิกตายิ้มร้ายไม่ต่างจากมิ้ว แล้ววางจดหมายเตือนจากธนาคารลงบนโต๊ะ...ปึง!
“ใช่ ลูก...เราถอยไม่ได้ ต้องใส่เกียร์เดินหน้าลุยอย่างเดียว ตอนนี้ธนาคารมีจดหมายแจ้งมาแล้วว่าจะยึดบ้านเรา ให้เราย้ายออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
มิ้วตกใจ “ยึดบ้าน แล้วเงินที่เราส่งๆ ไปล่ะคะ ที่เอากระเป๋าไปขายแล้วก็ส่งแบงค์ มันไม่ได้เหรอคะ”
“มันแค่ตัดดอกนิดๆหน่อยๆเอง แล้วเราก็ค้างเค้ามาตั้งนาน..จ่ายแค่นั้นมันไม่มีประโยชน์” กิมเอ็งหน้าจ๋อย)
มิ้วยิ่งตกใจ “ห๊ะ! แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนคะคุณแม่ เงินก็ไม่มี ญาติพี่น้องก็มีแต่จนๆ พึ่งพาใครก็ไม่ได้” มิ้วอยากร้องไห้
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณลูก ถ้าเราอยู่ที่นี่ไม่ได้ เราก็ไปอยู่บ้านคุณพี่ฉายตะวันกัน” กิมเอ็งบอกลูกสาว
มิ้วงง “เราจะไปอยู่ที่นั่นได้ยังไงคะคุณแม่ เราไม่ได้เป็นอะไรกับคุณป้านะคะ”
“ตอนนี้ยังไม่ได้เป็น แต่อีกหน่อยก็ต้องเป็น เพราะถ้าคุณลูกได้แต่งงานกับคุณชิณเมื่อไหร่ เราก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นได้สบายๆ”
มิ้วงงหนัก “พี่ชิณเพิ่งประกาศอยู่หยกๆ ว่าชอบนังกะละแม พี่ชิณคงไม่ยอมแต่งงานกับมิ้วง่ายๆ หรอกค่ะ นอกจากเราจะมอมเหล้าแล้วลากเข้าห้อง”
“วิธีนั้นมันละครเกินไปค่ะคุณลูกขา คุณแม่มีวิธีที่เนียนกว่านั้น”
กิมเอ็งจิกตาอย่างมาดมั่น
ฉายตะวันรู้เรื่องเข้าก็ตกใจ
“หาผู้หญิงมาแต่งงานกับชิณเพื่อเป็นไม้กันหมา”
กิมเอ็ง มิ้วนั่งเสนอหน้าอยู่
“ใช่ค่ะ...ตั้งแต่คุณชิณรู้จักกับยัยกะละแมก็มีแต่เรื่องให้เจ็บตัว นับวันก็ยิ่งเจ็บมากขึ้น ถ้าเด็กคนนั้นยังไม่เลิกยุ่งกับคุณชิณ สักวันคุณชิณอาจถึงตายได้ก็นะคะ”
ฉายตะวันได้ฟังก็ยิ่งเครียด
“ชิณดื้อจะตาย ไม่มีทางยอมให้ฉันบังคับแต่งงานกับใครง่ายๆ หรอก”
“เราก็ไม่ได้ให้แต่งจริงๆ นี่คะ แค่แกล้งปล่อยข่าวให้ลอยไปถึงหูนังกะละแมแค่นั้นเอง ถ้ามันยังพอมีศีลธรรมประจำใจอยู่บ้าง ก็คงไม่คิดแย่งสามีใคร แล้วก็คงจะเลิกยุ่งกับคุณชิณไปเอง คราวนี้คุณชิณก็จะปลอดภัย” กิมเอ็งกล่อม
ฉายตะวันชักเริ่มคล้อยตาม “วิธีนี้ก็น่าสนใจนะ...แล้วเราจะไปหาผู้หญิงที่ไหนมาแต่งกับชิณล่ะ”
“เอางี้แล้วกันค่ะคุณพี่...คุณน้องจะเสียสละเอง”
ฉายตะวันตกใจ
“คุณกิมเอ็งจะเสียสละตัวเองเหรอ”
กิมเอ็งเขิน “อุ๊ย...คุณพี่ก็ ถ้าคุณน้องยังสาวอยู่ก็ว่าไปอย่าง คุณน้องหมายถึงจะยอมเสียสละหนูมิ้วให้ค่ะ”
มิ้วแกล้งเล่นตัว “จะดีเหรอคะคุณแม่ขา...พี่ชิณดูไม่ค่อยจะสนใจมิ้วเท่าไหร่ มิ้ว คงจะไม่มีมารยาพอ แต่ถ้าคุณป้าต้องการ มิ้วยอมเสียสละเป็นมิ้วกันแมให้ก็ได้ค่ะ”
“มิ้วกันแม...อะไรเหรอหนูมิ้ว”
“มิ้วกันแม ก็ ไม้กันหมาไงคะคุณป้า” มิ้วหัวเราะร่วน...เล่นมุกเองขำเอง
กิมเอ็งหัวเราะผสมโรงไปด้วย ฉายตะวันมองสองแม่ลูกแล้วพึมพำเบาๆ
“ฉันต้องขำด้วยมั้ยเนี่ย” ก่อนจะถามกับกิมเอ็ง “เอ่อ...แล้วหนูมิ้วจะไม่เสียหายเหรอคุณกิมเอ็ง”
“ไม่เสียหายหรอกค่ะ เพราะเราแค่ปล่อยข่าวให้พวกนั้นรู้เท่านั้น”
ฉายตะวันครุ่นคิด “แล้วเราต้องทำยังไง กะละแมถึงจะรู้”
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณพี่ เดี๋ยวคุณน้องจัดให้”
กิมเอ็งกับมิ้วแอบสบตากันแล้วยิ้มให้กันด้วยความพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
มิ้วกับกิมเอ็งเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านกะละแม...บ้านเงียบมาก ไม่เห็นใครสักคน
มิ้วมองเข้าไปในบ้าน “บ้านเงี๊ยบเงียบ...สงสัยจะไม่มีใครอยู่มั้งคะคุณแม่ คุณแม่แน่ใจเหรอคะว่านังกะละแมมันจะกลับมาอยู่ที่นี่”
“ไม่แน่ใจ” กิมเอ็งบอก
“อ้าว”
“แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้มาดู เผื่อพวกมันจะไม่มีที่ไป กลับมาตายรัง”
กิมเอ็งสอดส่ายสายตามองเข้าไปในบ้าน เห็นบ้านดูสะอาดเรียบร้อย
“บ้านดูสะอาดเรียบร้อย น่าจะมีคนอยู่นะคะ” กิมเอ็งตะโกนเรียกจิกหัวเสียงดังลั่น “มีใครอยู่มั้ย? นังกะละแมอยูมั้ยห๊ะ นังกะละแม นังกะละแม”
กะละแมกับตุ้งแช่วิ่งออกมา กะละแมเห็นมิ้วกับกิมเอ็งก็ชะงักกึก รู้สึกแปลกใจ
“คุณนายกิมเอ็ง...คุณมิ้ว”
ตุ้งแช่มองกิมเอ็งกับมิ้วแบบไม่ไว้ใจ
มิ้วกับกิมเอ็งยิ้มเยาะใส่กะละแม
“คงไม่มีที่ไป ถึงได้ซมซานกลับมาอยู่ที่นี่”
ติ่งเดินมาจากหลังบ้าน ได้ยินเสียงมิ้วก็รีบเดินมาดู ตอนแรกจะเดินออกไปแต่ก็ชะงัก แอบฟังอยู่ห่างๆ ด้วยความเจ็บปวดที่เคยถูกมิ้วหลอกใช้
กะละแมเชิด “ฉันจะอยู่ที่นี่หรือที่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับพวกคุณ”
มิ้วรีบพูด “จริงๆ มันก็ไม่เกี่ยวหรอกนะ ถ้าบังเอิญเธอมาอยู่บนที่ดินของว่าที่สามีฉัน”
กะละแมชะงักอึ้ง....ห๊ะ ติ่งอึ้งเหวอไป
ตุ้งแช่มองกิมเอ็งกับมิ้วแบบไม่อยากจะเชื่อ
มิ้วหยิบการ์ดแต่งงานออกจากกระเป๋าแล้วส่งให้กะละแมดู
“ฉันกับพี่ชิณกำลังจะแต่งงานกัน นี่หลักฐาน...การ์ดแต่งงานของฉันกับพี่ชิณ ดูซะให้เต็มตา”
กะละแมรับการ์ดมาดูแบบอึ้งๆ เหวอๆ แต่พยายามไม่แสดงออก
ส่วนติ่งได้ยินว่ามีการ์ดแต่งงานก็เศร้าหนักเข้าไปอีก....แทบหมดแรงยืน
ฝ่ายตุ้งแช่ชะโงกหน้าไปดูการ์ดแต่งงงานในมือกะละแม ที่เป็นรูปตัดต่อแบบไม่เนียน โดยเอาหน้าชิณกับมิ้วไปแปะที่หน้านายแบบนางแบบคนอื่นที่ใส่ชุดแต่งงาน
“นี่มันรูปตัดต่อชัดๆ ตัดต่อก็ไม่เนียน หน้าดูลอยๆ สีผิวตรงหน้ากับแขนก็ไม่เหมือนกัน” หันมาทางมิ้ว “นี่เจ๊ให้เด็กอนุบาลที่ไหนทำให้เนี่ย ผีมือกระจอกมาก อีกอย่าง คุณชิณยังอยู่โรงพยาบาล จะลุกขึ้นมาถ่ายรูปแต่งงานได้ยังไง”
กิมเอ็งจิกตานางมารร้ายใส่ตุ้งแช่ “นี่...เด็กก็อยู่ส่วนเด็ก อย่ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่...สาระแน” แล้วหันขวับมาทางกะละแม “นี่กะละแม...ที่ฉันมาวันนี้ไม่ได้จะมาเชิญเธอไปงานแต่งงานหรอกนะ แต่จะมาบอกว่าคุณชิณเค้ามีเจ้าของแล้ว ถ้าเธอไม่อยากเป็นคนชั่วแย่งผัวคนอื่นก็ตัดใจซะ”
กะละแมเสียใจ แต่ก็ทำเป็นใจแข็ง
“ฉันรับรู้ทุกอย่างตามที่พวกคุณต้องการแล้ว ฉันจะเลิกยุ่งกับคุณชิณอย่างเด็ดขาด...พอใจหรือยัง? ถ้าเสร็จธุระแล้วก็เชิญคุณสองคนกลับไปได้”
“ไม่ต้องไล่ฉันก็กลับย่ะ” มิ้วจิกตามองกะละแม “แกเข้ามาอยู่ที่นี่บอกเจ้าของที่เค้าหรือยัง ถ้ายังไม่ได้บอก...เดี๋ยวฉันบอกให้เอง แต่พอคุณป้ารู้ก็เตรียมขนของออกไปได้เลย คุณป้าไม่ยอมให้พวกแกอยู่ที่นี่แน่!”
มิ้วยิ้มเยาะอย่างสะใจแล้วสะบัดหน้า เดินเชิดออกไปพร้อมกิมเอ็ง
กะละแมยืนเศร้า แล้วปล่อยการ์ดแต่งงานของมิ้วให้ร่วงลงสู่พื้น ตุ้งแช่เก็บการ์ดมาเพ่งดูด้วยความสงสัยว่าต้องไม่ใช่ของจริงแน่ๆ
การ์ดแต่งงานของมิ้วกับชิณ ถูกวางลงบนโต๊ะทำงานงานจักกาย ในขณะที่จักกายกำลังเซ็นเอกสารอยู่เงยหน้าขึ้นมอง เห็นโทฟู่เป็นคนวาง...จักกายหยิบการ์ดไปดูสีหน้าประหลาดใจ
“ไปเอามาจากไหน”
“คุณมิ้วกับคุณนายกิมเอ็งเอาไปให้ไอ้แมที่บ้าน ตุ้งแช่สงสัยว่าการ์ดนี่เป็นการ์ดตัดต่อ เลยเอามาให้ฉันช่วยดู”
จักกายมองการ์ด “การ์ดปลอมชัวร์” แล้วเงยหน้ามองโทฟู่ “กะละแมเห็นการ์ดนี่แล้วว่าไงบ้าง”
“มันก็บอกว่าจะเลิกยุ่งกับคุณชิณน่ะสิ ที่จริงถึงไม่มีการ์ดมันก็เลิกยุ่งกับคุณชิณอยู่แล้ว พวกนั้นไม่ต้องเสียเวลาคิดแผนตื้นๆ แบบนี้หรอก”
“ในเมื่อกะละแมรู้ว่ามันเป็นแผนตื้นๆ ของแม่ลูกคู่นี้ แล้วจะเลิกยุ่งกับชิณทำไม เรื่องนี้ไม่เห็นเกี่ยวกับชิณเลย”
“คือ... จริงๆ ไอ้แมมันไม่ได้แคร์สองคนนั้นหรอก แต่คนที่มันแคร์คือ...คุณนายฉายตะวัน”
ฟังโทฟู่บอก จักกายชะงักนิดๆ ใช้ความคิด ก่อนจะหันมาถาม
“คุณคิดว่า..ชิณจะรู้เรื่องการ์ด กับการแต่งงานเฟคๆ นี้หรือเปล่า”
นั่นสิ...โทฟู่กับจักกายคิดสงสัยเหมือนกัน
ติ่งนั่งครุ่นคิดอยู่ในบ้าน สีหน้าเศร้ามาก นึกถึงตอนที่มิ้วบอกว่ากำลังจะแต่งงานกับชิณ
และนึกไปถึงตอนโทร.หาแล้วถูกมิ้วด่า
“ที่โทรมานี่จะบอกแค่นี้ใช่มั้ย...ฉันจะบอกอะไรให้ จะได้หายโง่สักที...ฉันไม่เคยคิดพิศวาทแกเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างที่ผ่านมาฉันทำเพราะต้องการกำจัดนังกะละแมออกจากชีวิตของพี่ชิณ และตอนนี้ฉันก็ทำสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นแกอย่ามายุ่งกับฉันอีก...ฉันเกลียดแก...ฉันขยะแขยงคนจน รู้ไว้ซะด้วย”
ติ่งเศร้ามากกว่าเดิม
“คนที่ฉันรักและจะแต่งงานด้วยมีแต่พี่ชิณ และคนที่รวยกว่าพี่ชิณเท่านั้น น้ำหน้าอย่างแกอย่ามาสะเออะ”
ติ่งเศร้าอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนเป็นฮึด...เหมือนคิดอะไรได้ แล้วเดินออกจากบ้านไป
การ์ดแต่งงานของมิ้วถูกชิณฉีกไม่มีชิ้นดีแล้วโยนลงพื้น ชิณนั่งอยู่บนเตียงหน้าตาฉุนเฉียว...มีจักกายและทรงวุฒิยืนอยู่ข้างเตียง
“ฉันจะไปถามแม่ให้รู้เรื่อง ว่าแม่จะให้ฉันแต่งงานกับมิ้วจริงๆ หรือมิ้วแอบอ้าง”
ชิณจะลงจากเตียง ทรงวุฒิรีบเข้ามาห้ามจับตัวไว้
“คุณชิณไม่ต้องไปหรอกครับ เดี๋ยวคุณท่านมาแล้วค่อยถามก็ได้”
“ผมไม่รอ...ผมต้องไปถามแม่ให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้” ชิณเสียงดุมาก “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะพี่ทรงวุฒิ ถ้าไม่ปล่อยผมจะไล่ออก”
ทรงวุฒิกลัวรีบปล่อยมือ
“คะ...ครับ...ครับ...ปล่อยแล้วครับ” ทรุงวุฒิบ่นเบาๆ “แหม...เอะอะไรก็จะไล่ออกๆ”
ชิณลงจากเตียงแล้วรีบเดินออกจากห้องไป จักกายเดินตามชิณออกไป ทรงวุฒิยืนงงๆ อยู่ในห้อง ‘อะไรกันวะ’
ขณะที่ฉายตะวันกำลังจะออกไปรับชิณที่โรงพยาบาล แจ่มเดินเข้ามารายงาน
“คุณท่านคะ มีแขกมาพบค่ะ” แจ่มอ้อมแอ้มอึกอักนิดๆ
“อ้าว...ใครมาแต่เช้า ฉันกำลังจะรีบไปรับชิณออกจากโรงพยาบาล ไหนๆ เค้าก็มาแล้ว ไปตามเข้ามาก่อนไป”
“ค่ะ”
แจ่มเดินออกไป ฉายตะวันเดินไปนั่งรอที่โซฟา
เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง แจ่มก็เดินนำติ่งเข้ามาในห้อง ฉายตะวันมองติ่งด้วยสายตาเย็นชาไม่เป็นมิตร
ติ่งไหว้ทักทาย “สวัสดีครับคุณนาย”
แจ่มไปนั่งที่พื้นข้างๆ โซฟาที่ฉายตะวันนั่ง ติ่งจะนั่งที่พื้นเหมือนแจ่ม แต่ฉายตะวันให้นั่งข้างบน ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นั่งโซฟานั่นก็ได้ แล้วมีอะไรก็รีบๆ พูดมา ฉันมีเวลาไม่มาก แต่ถ้าจะมาพูดเรื่องน้องสาวเธอ ก็กลับไปได้ ฉันไม่อยากฟัง”
“ผมไม่ได้มาเพราะเรื่องไอ้แมหรอกครับ ผมมาเพราะเรื่องของคุณมิ้ว”
ฉายตะวันงง “เกี่ยวอะไรกับหนูมิ้ว”
“เอ่อ...จริงๆ ผมก็รู้ตัวนะครับว่าผมมันเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ บอกอะไรไปคุณนายก็คงจะไม่เชื่อ แต่ถึงยังไงผมก็อยากจะบอก เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะตอบแทนบุญคุณของคุณนาย ที่เคยช่วยเหลือครอบครัวผม”
ฉายตะวันเชิดหน้า “มีอะไรจะบอกก็บอกมา ไม่ต้องอ้อมค้อม”
“คุณมิ้วกับคุณนายกิมเอ็งไม่ใช่คนดี ที่เค้ามาทำดีกับคุณนายก็เพราะคิดจะจับคุณชิณ เค้ารักสมบัติคุณชิณ ไม่ได้รักคุณชิณ ถ้าคุณชิณเป็นคนจนๆ ที่มีแต่ตัวอย่างผม” พูดแล้วก็เจ็บจี๊ดในใจ “รับรองว่าคุณมิ้วไม่มีทางสนใจแน่”
“แล้วเธอมาบอกฉันทำไม”
“ผมได้ข่าวว่าคุณนายจะให้คุณชิณแต่งงานกับคุณมิ้ว ผมไม่อยากให้คุณนายเสียใจที่ถูกสองแม่ลูกนั่นหลอก เพราะผมรู้ว่าการโดนหลอกมันเจ็บปวดแค่ไหน”
“รู้ก็ดี” ฉายตะวันเชิด “ตอนเธอหลอกคนอื่น เค้าก็รู้สึกไม่ต่างกัน”
“ครับ...ผมยอมรับว่าที่ผ่านมาผมผิด เท่านี้แหละครับที่ผมอยากจะบอก เชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณนายจะพิจารณา ผมลาล่ะครับ”
ติ่งยกมือไหว้ฉายตะวันแล้วเดินออกจากบ้านไปด้วยอาการสงบ ฉายตะวันมองตามติ่งแบบไม่แน่ใจว่าควรจะชื่อหรือไม่เชื่อดี
ขณะที่ติ่งเดินออกไปที่หน้าบ้านมหาทรัพย์ไพศาลนั้น รถจักกายก็แล่นเข้ามาจอด ชิณลงจากรถแล้วรีบเดินเข้าบ้าน จักกายจะตามเข้าไปด้วย แต่ชิณห้ามไว้
“นายไม่ต้อง เรื่องนี้ฉันขอเคลียร์กับแม่เอง”
“มีอะไรที่ฉันช่วยได้ก็บอกแล้วกัน”
ชิณพยักหน้า “ขอบใจมาก” เดินเข้าไป แล้วเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้ จึงหยุดแล้วหันกลับมา “ฉันไม่รู้ว่านายมาช่วยฉันทำไม แต่ก็ขอบใจอีกครั้ง”
จักกายพยักหน้ารับยิ้มๆ ชิณรีบเข้าบ้านไป
จักกายโทร.หาโทฟู่ พูดโทรศัพท์ “เรื่องที่คุณให้ผมจัดการ เรียบร้อยแล้วนะ”
สีหน้าจักกายรายงานด้วยความพอใจ...เอาหน้านิดๆ
ชิณเดินเข้ามาในบ้านท่าทางขึงขัง ฉายตะวันกำลังจะออกไป หันมาเห็นชิณก็แปลกใจ
“ชิณ! มาได้ยังไง แม่กำลังจะไปรับพอดี
แจ่มที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ฉายตะวัน เห็นท่าทางขึงขังของชิณแล้วก็รู้สึกใจคอไม่ดี ชิณเดินเข้าไปหาฉายตะวัน
“ผมรีบกลับมา เพราะอยากถามเรื่องที่แม่จะให้ผมแต่งงานกับมิ้ว มันเป็นความจริงหรือเปล่าครับ”
ฉายตะวันชะงัก “ชิณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
ชิณส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง “ผมรู้ว่าแม่อยากให้ผมแต่งงาน แม่อยากอุ้มหลาน แต่ผมไม่คิดเลยว่าแม่จะใช้วิธีนี้”
ฉายตะวันจะอธิบาย “ชิณ...” ชิณขัดขึ้นอีก
“ผมไม่แต่งกับมิ้วเด็ดขาด เพราะผมไม่ได้รักมิ้ว และมิ้วก็ไม่ได้รักผม เค้ารักแต่เงินของผม ผู้หญิงแบบนี้แม่จะเอามาเป็นลูกสะใภ้ได้ยังไง”
ฉายตะวันของเริ่มขึ้น “ถ้าหนูมิ้วไม่ดี แล้วผู้หญิงที่ดีในสายตาชิณเป็นแบบไหน” และอดไม่ได้จึงพูดประชด “แบบกะละแมงั้นเหรอ ผู้หญิงที่หลอกลวงชาวบ้าน ตีหน้าซื่อให้คนสงสาร แบบนั้นเหรอที่ชิณมองว่าเป็นคนดี”
“ถึงกะละแมจะไม่ใช่คนดีเพียบพร้อม แต่ผมมั่นใจว่าถ้ากะละแมจะรักผม เค้าจะรักที่ตัวผม ไม่ใช่ที่ทรัพย์สมบัติ”
“แม่ไม่เชื่อ! ลองชิณเป็นผู้ชายตัวเปล่า ไม่มีสมบัติ ไม่มีเงินสักบาท กะละแมไม่มีทางสนใจแน่นอน” ฉายตะวันเชื่อมั่นฟันธงมาก
ชิณฟังแล้วทนไม่ได้...หยุดคิด พยายามควบคุมตัวเองไม่ใช้อารมณ์ แล้วพูดออกไป
“ผมจะพิสูจน์ให้แม่เห็นว่ากะละแมไม่ใช่คนแบบนั้น”
ชิณถอดนาฬิกา วางกระเป๋าสตางค์ มือถือ ของมีค่าทุกอย่างไว้บนโต๊ะ
ฉายตะวันงง “ชิณจะทำอะไร”
“ผมขอคืนทุกอย่างให้แม่ แล้วไปหากะละแมแต่ตัว ผมมั่นใจ ถึงผมไม่มีอะไรกะละแมก็ไม่รังเกียจผม”
ชิณประกาศอย่างมั่นใจเช่นกัน
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 18 อวสาน