ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 12
เมฆค่อยๆลืมตาขึ้นมาเห็นตะวันฉายฟุบอยู่ข้างเตียง พอรู้สึกตัวเห็นมือตะวันฉายจับมือตัวเองอยู่ก็อมยิ้ม เขาแอบบีบมือตะวันฉาย
“ซัน...ซัน”
ตะวันฉายงัวเงียตื่นขึ้นมาพอเห็นเมฆฟื้นก็ดีใจ
“คุณเมฆฟื้นแล้วเหรอครับ”
ตะวันฉายกำมือที่จับมือเมฆแล้วก็เผลอยกขึ้น พอรู้สึกตัวเธอก็รีบปล่อย เมฆยิ้ม
ตะวันฉายรีบถามเปลี่ยนเรื่องเพื่อแก้เขิน “คุณเมฆเป็นไงบ้างครับ เจ็บไหม”
“เจ็บเหรอ” เมฆนึกได้ “โอ๊ยย...เจ็บ...เจ็บมากเลย”
ตะวันฉายตกใจ “จริงเหรอครับเจ็บตรงไหน”
ตะวันฉายรีบก้มดูแผลที่ท้องของเมฆ แล้วทั้งสองก็หน้าใกล้กัน ทั้งสองมองตากันแล้วก็ผงะ
“แต่พอมีนายมาอยู่ใกล้ๆ ความเจ็บก็หายไปหมด”
ตะวันฉายเขินจึงนั่งลง
“คุณหลอกผม”
“ถ้าหลอกแล้วรู้สึกดีๆต่อกัน ฉันก็ว่าหลอกกันต่อไปจะดีไหม”
ตะวันฉายก้มหน้าหลบตา
ตะวันฉายถอนใจ “คุณว่าการหลอกกันมันจะเป็นความสุขที่แท้จริงเหรอครับ”
เมฆยิ้ม “ซัน ถ้านายไม่มีความสุขกับการหลอก ก็มาอยู่กับความจริงสิ”
ตะวันฉายเงยหน้ามองเมฆเพราะยังตามเมฆไม่ทันว่าเขาพูดถึงอะไร
“ผมไม่เข้าใจครับ”
“แต่ฉันเข้าใจคุณนะ คุณตะวันฉาย”
ตะวันฉายตกใจแล้วรีบกลบเกลื่อน “เอ่อ...เอ่อ...คุณ...คุณเมฆพูดอะไรครับ”
“คุณบอกเองว่าไม่อยากจะหลอกกันอีกแล้วไม่ใช่เหรอ”
“นี่คุณรู้ว่าฉันคือ..”
เมฆตอบทันที “ผู้หญิง”
ตะวันฉายหน้าเจื่อน “คุณรู้เหรอ รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่.....คะ!”
เมฆยิ้มให้ตะวันฉาย
เมฆเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต...
หมอกกระโดดบนเตียง
“เฮ้...ดีใจจะได้กลับบ้านแล้ว”
“หมอกไม่เอาลูก เดี๋ยวตกนะ” เมฆเตือน
“ก็หมอกดีใจนี่ เฮ้ๆๆๆ”
หมอกกระโดดอีกครั้งแล้วก็ลื่น เมฆกับตะวันฉายรีบเข้ามารับ ทำให้เมฆกับตะวันฉายตัวชนกัน หมอกกอดคอเมฆกับตะวันฉายเอาไว้ ตะวันฉายตาโตตกใจที่หน้าอกของเธอไปโดนอกของเมฆ เมฆมองหน้าตะวันฉายด้วยสีหน้านิ่ง ตะวันฉายเหลือบตามองลงล่างแล้วค่อยๆถอยออกมา เมฆกับตะวันฉายค่อยๆประคองให้หมอกนั่งบนเตียง
เมฆเล่าต่อ แต่ตะวันฉายปิดตาด้วยความอาย
“อ๊ายยยยย....พอแล้ว ไม่ต้องเล่าแล้ว” ตะวันฉายค้อนใส่เมฆ “นี่แสดงว่าตลอดเวลาคุณก็หลอกฉัน”
“อ้าว...ก็คุณหลอกผมก่อนนี่”
ตะวันฉายจ๋อย “ก็จริงนะ ฉันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน....แล้วคุณไม่โกรธฉันเหรอ”
“ตอนที่ไม่รู้ว่าคุณเข้าบ้านผมมาทำไมก็โกรธนะ แต่พอรู้แล้วก็ไม่โกรธ”
ตะวันฉายตกใจ “เรื่องนี้คุณก็รู้เหรอคะ”
เมฆพยักหน้าแล้วยิ้ม “แต่ผมก็ไม่เข้าใจนะ ว่าการปลอมตัวมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กมันจะได้ข้อมูลอะไรนักหนากับนิยายที่คุณเขียน ไม่เห็นว่าในเรื่องจะมีเด็กสักคน”
ตะวันฉายอึกอักเพราะพูดไม่ออก
“หรือคุณเข้ามาด้วยจุดประสงค์อื่น” เมฆถาม
“เอ่อ....ไม่ใช่ค่ะ ฉันก็เข้ามาหาข้อมูลจริงๆ”
“นั่นไงผมถึงไม่โกรธคุณ เพราะคิดว่าคุณคงติงต๊องแยกไม่ออกระหว่างชีวิตจริงกับนิยาย”
ตะวันฉายฉุนจึงตรงเข้ามาหยิกแขนเมฆจนร้องจ๊าก แต่ตะวันฉายก็ไม่ปล่อย
“มาว่าฉันติงต๊องเหรอ ที่เกาะบ้านฉันน่ะ ฉันน่ะสวย แสนซน ปนน่ารัก เรื่องอะไรมาว่าฉันติงต๊อง”
“โอ๊ยยยย..ผมยังพูดไม่จบ ถึงคุณจะติงต๊องแต่ผมก็ชอบคุณนะ”
ตะวันฉายอึ้งและหยุดหยิกทันที เมฆจับมือตะวันฉายมาหอม
“คุณชอบไหมครับ”
ตะวันฉายอึ้งและกลอกตาไปมาเพราะไม่กล้าสบตาเมฆ เมฆเลยหอมมือตะวันฉายอีก ตะวันฉายยิ่งอายจนหน้าแดง
“ว่าไงล่ะ ผมรอฟังความจริงจากคุณอยู่”
ตะวันฉายจะอ้าปากพูดแต่เสียงเคาะประตูดังขึ้น นิค เอวา และหมอกเปิดประตูเข้ามา เมฆกับตะวันฉายรีบปล่อยมือออกจากกันทันที หมอกดีใจรีบวิ่งไปหาเมฆ
“พ่อครับ พ่อตื่นแล้ว”
สองพ่อลูกกอดกันหอมกัน ทุกคนมองอย่างมีความสุข
เกริกไกรและสายรุ้งเดินเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยความร้อนใจ ยุทธการลังเลเพราะไม่อยากเดินตามไป
“เอ้า...เร็วสิยุทธ อาเป็นห่วงซันนะ”
“เอ่อ...แต่ผมบอกแล้วไงครับว่าซันไม่เป็นอะไรแล้ว” ยุทธการย้ำ
“ไม่เป็นไร แต่บอกถูกยิง” เกริกไกรพูด
“คือมันแค่ถากนิดเดียวครับ”
“ถ้านิดเดียวทำไมไม่กลับคอนโด ทำไมอยู่โรงพยาบาล” เกริกไกรถามทันที
“เอ่อ...คือ....”
“ตกลงมันมีอะไรหรือเปล่า ทำไมดูเราไม่อยากให้เจอยัยซัน”
“ไม่มีครับ ไม่มีอะไรครับ”
“งั้นก็รีบพาไปสิ”
เกริกไกรกับสายรุ้งรีบเดินไป ยุทธการถอนใจด้วยความเครียด
“โอ๊ย...จะบอกซันไงดีวะเนี่ย”
ยุทธการพาเกริกไกรกับสายรุ้งมาถึงหน้าห้องแล้วจะเคาะประตู แต่สายรุ้งดึงมือยุทธการไว้
“เดี๋ยวนะยุทธ ทำไมชื่อหน้าห้องเป็นชื่อคุณนภทีป์ล่ะ” สายรุ้งถาม
เกริกไกรเพ่งมองป้ายชื่อ
“คือคนโดยยิงหนักน่ะคุณเมฆครับ ของซันแค่โดนถากๆ” ยุทธการอธิบาย
เกริกไกรงง “แล้วซันกับคุณนภทีป์ไปเกี่ยวข้องกันยังไง?”
ยุทธการอึดอัดไม่อยากตอบ แต่ก็เคาะประตูเข้าไปทันที
เมฆ ตะวันฉาย หมอก นิค และเอวานั่งคุยกันอยู่ในห้อง แล้วทั้งหมดก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ทุกคนหันไปมอง ยุทธการเดินนำเกริกไกรกับสายรุ้งเข้ามา ต่างฝ่ายต่างตกใจ
“พ่อ...แม่” ตะวันฉายตกใจ
นิคพูดกับเอวา “ชิบ...หายละไอ้ซัน”
เกริกไกรกับสายรุ้งเห็นตะวันฉายในชุดผู้ชายก็อึ้งและงงมาก
“ซัน”
“นี่มันอะไรกัน”
“แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้” สายรุ้งถาม
“คุณเมฆทำไมมาโดนยิงกับเรา” เกริกไกรถามต่อ
“แล้วเราไปอยู่กับคุณเมฆได้ไง”
ยุทธการรีบออกตัว “ซัน พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่ขอโทษ”
“พ่อ แม่ ฟังซันก่อน” ตะวันฉายบอก
ทั้งสองตั้งหน้าตั้งตารอฟังความจริง ตะวันฉายกับเมฆมองหน้ากัน
ตะวันฉายเล่าเรื่องทั้งหมดจนจบ
“งั้นที่บอกแม่ว่าหาข้อมูลอะไรนั่นก็เรื่องโกหกสินะ” สายรุ้งถาม
“ซันขอโทษพ่อแม่ อาเกี๊ยง อารีด้วยนะคะ ตอนนั้นซันไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เข้าใจวิธีการหาข้อมูลของซัน”
“ปลอมตัวเป็นผู้ชาย มาเป็นคนใช้ในบ้านคนอื่นเพื่อเขียนนิยาย ชีวิตลูกนี่มันนิยายชัดๆเลย ไปจำมาจากนิยายเล่มไหนมาน่ะ” เกริกไกรว่า
ตะวันฉายหลบตาแล้วพึมพำ “จริงๆมันก็หลายๆเล่มรวมกัน”
เกริกไกรพูดเสียงเข้ม “ซัน พ่อกับแม่ไม่ตลกด้วยนะ”
ตะวันฉายจ๋อย
“ตายุทธ เราก็เหมือนกัน น่าจะปรามน้องบ้าง แต่นี่ไปสนับสนุนซะงั้น” สายรุ้งว่า
ยุทธการบอก “ผมขอโทษครับคุณอา”
“พี่ยุทธไม่ผิดหรอกค่ะ เขาก็เพิ่งรู้เรื่อง”
สายรุ้งมองตะวันฉายหงุดหงิด
“เอาล่ะๆ ไหนๆเรื่องร้ายๆก็ผ่านไปแล้ว พ่อว่าซันก็คงได้ข้อมูลเยอะ กลับไปเขียนงานที่บ้านเราแล้วกันนะ”
ตะวันฉายอึ้ง “เอ่อ...แต่ว่าคุณเมฆยังป่วยอยู่นะคะ”
สายรุ้งสงสัย “นี่ซันไม่อยากกลับบ้านเหรอ”
ตะวันฉายไม่รู้จะตอบยังไง เกริกไกรกับสายรุ้งมองหน้ากันแล้วมองตะวันฉายเหมือนจะจับความรู้สึกของลูกสาวได้
เมฆรู้สึกกระวนกระวาย นิคกับเอวากำลังอธิบายให้หมอกเข้าใจ
“งั้นที่พี่ซันต้องปลอมเป็นผู้ชายก็เพราะกลัวพ่อของหมอกจะรู้ว่าเป็นคนที่เคยทะเลาะด้วย” หมอกถามกลับ
“ถูกต้องค่ะ น้องหมอกที่ฉลาดจัง” เอวาชม
“แล้วน้องหมอกโกรธพี่ซันไหมครับที่ไม่ได้บอกความจริง” นิคถาม
หมอกส่ายหน้า “พ่อบอกว่าคนเราเขาจะเป็นอะไรก็ช่างแต่ต้องเป็นคนดี พี่ซันเป็นคนดียังไงหมอกก็รัก” หมอกหันไปพูดกับเมฆ “ใช่ไหมครับพ่อ”
นิค เอวา และหมอกหันไปก็เห็นเมฆยังมองไปที่ประตูเพราะลุ้นเรื่องตะวันฉาย
“ทำไมเขาไปคุยกันนานจัง นิค ไปช่วยดูหน่อยได้ไหม” เมฆพูดขึ้น
ทันใดนั้นยุทธการก็เดินเข้ามากับตะวันฉาย
“ซัน พ่อกับแม่คุณล่ะ” เมฆถาม
“กลับไปแล้วค่ะ”
“ท่านว่ายังไง”
“ท่านก็อนุญาตให้ซันดูแลคุณต่อน่ะสิครับ”
เมฆกับตะวันฉายยิ้มให้กันอย่างดีใจ
ยุทธการ นิค เอวา และหมอกเดินออกจากโรงพยาบาลมาด้วยกัน
“แปลกแฮะ ทำไมพ่อกับแม่ไอ้ซันถึงยอมให้ซันอยู่ต่อ” นิคงง
“แปลกเหรอ แต่พี่ว่าถ้าไม่ให้อยู่สิถึงจะเรียกว่าแปลก” ยุทธการพูด
“พี่ยุทธหมายความว่ายังไงคะ” เอวาถาม
“พี่รู้จักครอบครัวนี้ดีมาก คุณพ่อคุณแม่ซันน่ะยังไงก็เคารพการตัดสินใจของซัน ดีไม่ดีพี่ว่าท่านดูออกนะว่าสองคนนั่นรู้สึกยังไงต่อกัน แล้วคุณเมฆแกก็คงเป็นที่ประทับใจของอาเกริกกับอารุ้งอยู่บ้างแหล่ะ”
“ก็จริงนะ ถ้าใครที่รู้เรื่องของพี่เมฆแล้วไม่รักก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว”
“แบบนี้ อีกไม่นานเตรียมรอข่าวดีได้เลย” นิคว่า
“พี่ซันกับพ่อจะแต่งงานกันเหรอครับ” หมอกถามขึ้น
“เฮ้ย...หยุดฉลาดบ้างก็ได้นะน้องหมอก อีกหน่อยพวกพี่ไม่กล้านินทาใครแล้ว” นิคบอก
ทุกคนหัวเราะกันสนุกสนานระหว่างเดินออกไปจากโรงพยาบาล
ตะวันฉายยังคงดูแลเมฆที่อยู่ในโรงพยาบาล ทั้งป้อนข้าว เช็ดตัว เข็นรถพาเมฆไปที่ต่างๆ ในโรงพยาบาล พัฒนาการของเมฆดีขึ้น ตะวันฉายยิ้มพอใจ
เวลาผ่านไป ตะวันฉายพยุงเมฆเข้าบ้าน หมอกวิ่งมารับด้วยความดีใจ
เมฆ ตะวันฉายในชุดผู้หญิงปกติ และยุทธการนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกที่บ้านเมฆ เมฆส่งกล่องเล็กๆกล่องหนึ่งให้ยุทธการ ยุทธการรับมาเปิดดูแล้วเห็นว่าเป็นจี้เพชรของอิงฟ้า
“น่าจะเป็นจี้อันนี้นะครับที่พวกมันต้องการ อิงฟ้าเขาให้หมอกแต่ผมเห็นว่ามันเป็นจี้สำหรับผู้หญิงก็เลยเอามาเก็บไว้ครับ”
“มันจะเอาจี้นี่ไปทำไม” ตะวันฉายนึกได้ “หรือว่าบรรจุยาเสพติดเอาไว้”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องส่งให้เขาพิสูจน์อีกที” ยุทธการบอก
“แล้วคุณฟ้าจะ....เอ่อ....จะเป็นไงบ้างอ่ะพี่ยุทธ”
“ตอนนี้พี่ก็ยังตอบอะไรไม่ได้จริงๆ” ยุทธการมองจี้เพชร “ขึ้นอยู่กับเจ้านี่แล้ว”
ทุกคนมองหน้ากันด้วยความเครียด
ตะวันฉายทำแผลให้เมฆเสร็จพอดี
เมฆพยักหน้ารับ “ผมอยากรู้ผลเร็วๆว่าไอ้จี้นั่นมันคืออะไร”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ พี่ยุทธบอกแล้วว่าถ้าได้เรื่องยังไงจะรีบบอกเรา” ตะวันฉายบอก
ตะวันฉายเก็บอุปกรณ์ทำแผล
“เดี๋ยวนายหมอกกลับมาแล้วเราออกไปหาอะไรอร่อยๆทานกันนะ”
“ฉันขับรถให้นะคะ”
“ไม่ต้องหรอก ผมแข็งแรงแล้ว”
ตะวันฉายแกล้งจับบริเวณแผลผ่าตัด เมฆร้องโอดโอย
“เนี่ยนะแข็งแรง”
“เล่นแกล้งกันนี่ ต้องแก้แค้น”
เมฆหอมแก้มตะวันฉายทันที
ตะวันฉายเงื้อมือจะตี “เดี๋ยวเถอะ ฉันจะตีให้แผลอักเสบเลย”
เมฆรีบปิดแผล “อย่านะ เดี๋ยวผมตายคุณจะเสียคนรักดีๆไปหนึ่งคน”
ตะวันฉายขำแล้วก็นึกได้
“เอ๊ะ...นี่น้องหมอกทำไมยังไม่กลับอีก จะสี่โมงครึ่งแล้วนะคะ”
เมฆหันไปมองนาฬิกาแล้วมองหน้าตะวันฉายอย่างเห็นด้วย
เมฆกับตะวันฉายยืนคอยหมอกหน้าบ้านด้วยความเป็นห่วง สักพักเก่งกับหมอกก็เดินเข้ามา หมอกที่อยู่ในชุดนักเรียนมีสีหน้าเฉยๆนิ่งๆ
เมฆดุ “ไอ้เก่ง พาหมอกไปไหนมา ทำไมกลับช้า”
“คุณหมอกน่ะสิครับ ไม่ยอมกลับบ้าน แกอยากจะให้ผมพาไปเอ่อ....” เก่งอึกอัก
“ไปไหน”
“หมอกอยากไปหาแม่” หมอกพูดออกมา
เมฆกับตะวันฉายมองหน้ากันอย่างอึ้งๆ หมอกเดินมาจับแขนเมฆกับตะวันฉาย
“พ่อครับ พี่ซัน พาหมอกไปหาแม่หน่อยสิ หมอกอยากเจอแม่”
“ไม่ต้องห่วงนะครับหมอก อีกไม่นานหมอกได้เจอกับแม่แน่” เมฆบอก
“พ่อหลอกหมอก หลอกมาหลายวันแล้ว”
ตะวันฉายนั่งลง “น้องหมอกครับ คุณพ่อก็ยังไม่สบายอยู่ รอให้คุณพ่อหายก่อนนะครับ”
“พี่ซันล่ะ พี่ซันพี่เก่งก็พาไปได้นี่”
ทุกคนนิ่งเพราะพูดไม่ออก หมอกเดินนิ่งๆเศร้าๆเข้าบ้านไป เก่งรีบวิ่งตามเข้าไปทันที
ตะวันฉายนำหมอกสวดมนต์ พอตะวันฉายกับหมอกกราบหมอนเสร็จ ตะวันฉายจะลงจากเตียงแต่หมอกยังนั่งพนมมือต่อ
“เอ...วันนี้ที่โรงเรียนสอนบทสวดมนต์เพิ่มเหรอครับ” ตะวันฉายถาม
หมอกหลับตาแล้วพูด “หลวงพ่อครับ หมอกอยากเจอแม่ หมอกคิดถึงแม่ หลวงพ่อพาแม่กลับมาหาหมอกเร็วๆนะครับ”
หมอกก้มลงกราบหมอนสามครั้ง
ตะวันฉายลงไปนั่งข้างๆหมอก แล้วดึงหมอกมากอดด้วยความรัก
“น้องหมอกครับ พี่ซันจะช่วยขอหลวงพ่อให้พาคุณแม่กลับมาเร็วๆอีกคนนะครับ”
หมอกยิ้ม “งั้นเราบอกให้พ่อกับพี่เก่งช่วยกันขอหลวงพ่อด้วยนะครับ”
ตะวันฉายกับหมอกยิ้มให้กัน แล้วหมอกก็นอน ตะวันฉายห่มผ้าให้ เมฆที่ยืนแอบดูอยู่ตรงประตูน้ำตาไหลเพราะสงสารหมอก
จ่าสมดึงจี้ออกมาจนเห็นชิปคอมพิวเตอร์ เขานำไปเปิดกับคอมพิวเตอร์ ยุทธการนั่งอยู่ด้วย เฮลมุทที่ถูกควบคุมตัวนั่งอย่างทะนงตัวและยิ้มเยาะ บนหน้าจอเป็นรายชื่อคนเต็มไปหมด
เฮลมุทพูดภาษาอังกฤษ “คุณจะจับผมเพราะผมมีรายชื่อไม่ได้นะ”
เฮลมุทชูมือที่ถูกใส่กุญแจมืออยู่ขึ้นมา
เฮลมุทพูดภาษาอังกฤษ “ผมจะให้ทนายทำเรื่องฟ้องพวกคุณ”
ยุทธการพูดภาษาอังกฤษ “มันเป็นสิทธิ์ของคุณครับ อย่าลืมฟ้อง FBI ด้วยแล้วกัน”
“ไม่ต้องมาขู่ผม FBI มาเกี่ยวอะไรด้วย”
“เกี่ยวเต็มๆเลยล่ะครับ คุณคงไม่รู้ว่าตอนนี้คุณถูกหมายจับในฐานะที่เป็นผู้ร้ายข้ามแดน”
“อะไรวะเนี่ย”
“ส่วนรายชื่อพวกนี้ก็เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญสำหรับการขยายผลการจับกุมต่อด้วย”
“บ้าที่สุด”
“อ้อ...แล้วถ้าอยากได้คดีในประเทศผม ผมจะจัดคดีลักพาตัว กักขัง ทำร้ายร่างกาย และพยามฆ่าให้นะ”
จ่าสมพาเฮลมุทเดินออกไป เฮลมุททำเป็นฮึดฮัดแต่ก็ถูกจ่าสมพาตัวออกไปในที่สุด
ยุทธการใส่ชุดตำรวจนั่งดูแฟ้มโดยมีอิงฟ้านั่งอยู่ตรงหน้า จ่าสมยืนอยู่ข้างๆอิงฟ้า
“ทางเฮลมุทยอมสารภาพว่าคุณอิงฟ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมด เขาเพียงแต่หลอกใช้คุณ” ยุทธการพูด
“รายชื่อลูกค้าและเอเย่นต์ของขบวนยาเสพติดที่มันเก็บไว้ในจี้แล้วฝากไว้ที่ฟ้า โดยใช้โค้ดว่าเปเปอร์” จ่าสมพูดต่อ
“ฮึ...ฟ้าโง่เอง นึกว่ามันรักฟ้า ที่แท้ฟ้าก็ไม่ต่างอะไรกับลูกน้องของมัน”
“เท่าที่รู้เฮลมุทมีปัญหากับกลุ่มค้ายาเลยขโมยรายชื่อพวกนี้มาเก็บไว้ หวังจะเอาไปสร้างกลุ่มใหม่ แต่พอคุณอิงฟ้าหนีมาเมืองไทยมันก็เลยต้องตามหาคุณ”
“เอ๊ะ...ถ้าอย่างนั้นฟ้าก็ไม่ได้พ้นผิดคนเดียวน่ะสิ เพราะแค่รายชื่อมันเอาผิดอะไรกับเฮลมุทไม่ได้นี่คะ”
“เฮลมุทก็พูดเหมือนคุณอิงฟ้าครับ”
อิงฟ้าหน้าเสียขึ้นมาทันที
“แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ มีคนช่วยให้พวกนั้นไม่มาราวีกับคุณอิงฟ้าได้อีก”
“ใครคะ”
ยุทธการกับจ่าสมพาอิงฟ้าเดินมาที่หน้าตึก เฮลมุทถูกควบคุมตัวอยู่และกำลังจะถูกส่งขึ้นรถตำรวจ อิงฟ้าเดินมาหาเฮลมุท เฮลมุทจ้องหน้าอิงฟ้าด้วยความแค้นก่อนจะโดนควบคุมตัวขึ้นรถผู้ต้องหาไป
“ตำรวจ FBI จะมารอรับตัวเฮลมุทไปดำเนินคดีต่อที่อเมริกา เพราะทางโน้นได้หลักฐานว่าเฮลมุทส่งยาเสพติดเข้าประเทศ” ยุทธการบอก
อิงฟ้าหันกลับมามองจ่าสมแล้วจะร้องไห้ จ่าสมจับไหล่อิงฟ้าเพื่อปลอบ
“ต่อจากนี้ก็ตั้งต้นใหม่นะลูก”
“พ่อให้โอกาสฟ้าใช่ไหมคะ”
จ่าสมยิ้มอิงฟ้าโผเข้ากอด ยุทธการมองสองพ่อลูกกอดกันแล้วก็ยิ้มดีใจ
หมอกเอาแต่นั่งที่สระน้ำพร้อมกับมองไปที่ประตูเพื่อรอแม่ โดยมีเก่งนั่งปาดเหงื่อไปด้วย
“คุณหมอกครับ เข้าบ้านทานข้าวเถอะครับ ป่านนี้คุณซันทำอาหารเสร็จแล้ว มานั่งตรงนี้ร้อนออกครับ”
“ไม่กิน หมอกจะนั่งนี่” หมอกบอก
ตะวันฉายประคองเมฆเดินออกมา
“หมอก ทำไมทำอย่างนี้กับพี่เก่งละลูก” เมฆถาม
“ก็หมอกจะรอแม่นี่ครับ หมอกอยากเจอแม่พ่อก็ไม่พาไปหาแม่”
ตะวันฉายนั่งข้างๆ หมอกแล้วกอดหมอก หมอกร้องไห้
“ที่พ่อไม่พาไปเพราะแม่เขากลับมาแล้วไงครับ นั่นไง” เมฆว่า
หมอกหยุดร้องไห้แล้วมองไปที่ประตู เขาเห็นอิงฟ้าเดินเข้ามา
หมอกตะโกน “แม่”
หมอกวิ่งไปหาอิงฟ้า ทั้งคู่กอดกันแน่นแล้วก็ร้องไห้
ตะวันฉายพูดกับเมฆ “นี่เป็นภาพที่ซันประทับใจที่สุดเลยค่ะ”
อิงฟ้าได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมองตะวันฉาย
“เอ๊ะ...นี่”
อิงฟ้ามองตะวันฉายที่เป็นผู้หญิงด้วยแววตาสงสัย
ตะวันฉายที่ยืนนอกบ้านพยายามจะหาทางฟังให้ได้ว่าเมฆกับอิงฟ้าคุยอะไรกัน สักพักหมอกก็วิ่งมาดึงแขนเธอ
“พี่ซัน ไปเล่นกันเถอะ”
“น้องหมอก น้องหมอกไม่คิดถึงคุณแม่เหรอ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน” ตะวันฉายถาม
“คิดถึงครับ แต่แม่บอกว่าเดี๋ยวคุยกับพ่อเสร็จแล้วจะอยู่กับหมอกทั้งคืนเลย”
หมอกจะดึงตะวันฉายไปแต่ตะวันฉายก็ยังไม่อยากไป
“แล้วน้องหมอกไม่อยากรู้เหรอครับว่าคุณพ่อกับคุณแม่คุยอะไรกัน”
“พ่อบอกว่าคนที่ชอบแอบฟังคนอื่นคือคนไม่มีมารยาท”
ตะวันฉายแอบค้อนใส่ประตูห้อง
“ก็ได้งั้นเราไปเล่นกันก็ได้”
หมอกดึงตะวันฉายออกไป ตะวันฉายจำใจเดินตามหมอกไป
เมฆกับอิงฟ้านั่งคุยกัน
“ฟ้ายอมรับว่าช็อคไปเหมือนกันที่กลับมาแล้วรู้ว่าซันเป็นผู้หญิง แต่มองอีกมุมก็ดีเหมือนกัน เพราะมันแสดงว่าเมฆไม่ได้เป็นเกย์” อิงฟ้ายิ้ม
“แต่เรื่องของเรามัน” เมฆพูด
อิงฟ้าสวนขึ้น “จบไปแล้ว ที่ฟ้าอยากจะบอกคือ ฟ้าดีใจที่เมฆกับคุณซันรักกัน คุณซันเขาเป็นคนดี เขาเหมาะที่จะเป็นแม่ให้หมอกมากกว่าฟ้า”
เมฆอึ้งมองอิงฟ้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เมฆกับคุณซันรักกันใช่ไหม” อิงฟ้าถาม
“ใช่”
“ฟ้าดีใจด้วยจริงๆค่ะ จากนี้ไปฟ้าอยากให้เมฆได้พบกับความสุขซะที แล้วคุณซันก็คงจะเป็นคนที่ทำให้เมฆมีความสุขได้”
อิงฟ้ายื่นมือมาให้เมฆเช็คแฮนด์
“ยินดีด้วยนะคะ เพื่อนที่ดีที่สุดของฟ้า”
ทั้งสองจับมือกันแล้วยิ้มให้กัน
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 12 (ต่อ)
อิงฟ้าสอนหมอกทำการบ้าน หมอกวิ่งเล่นกับอิงฟ้า ตะวันฉาย และเก่ง เมฆมองอย่างมีความสุข
เมฆ ตะวันฉาย อิงฟ้า และหมอก กินข้าวด้วยกัน โดยที่อิงฟ้าดูแลหมอกเป็นอย่างดี
ตะวันฉายเปิดประตูห้องนอนหมอกเข้ามาก็เห็นอิงฟ้ากำลังเก็บหนังสือนิทานเพราะหมอกหลับไปแล้ว
อิงฟ้าลุกขึ้นแล้วเดินยิ้มมาหาตะวันฉาย ก่อนจะดึงตะวันฉายออกไปข้างนอกห้อง
“ขอคุยอะไรหน่อยได้ไหมคะ” อิงฟ้าบอก
ตะวันฉายพยักหน้ารับ
อิงฟ้าเดินนำตะวันฉายมาที่สนามแล้วหยุดก่อนจะหันมามองจ้องตะวันฉาย ตะวันฉายรู้สึกผิด
ตะวันฉายเริ่มใจไม่ดี “เอ่อ...คุณฟ้ามีอะไรจะคุยกับซันหรือคะ”
“เป็นเพราะฟ้าคนเดียวที่ทำให้ทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด”
“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรอก”
อิงฟ้าเดินมาจับมือตะวันฉาย
“ฟ้าขอบคุณคุณซันนะคะที่ช่วยดูแลเมฆกับหมอกมาตลอด แม้ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ฟ้าเห็นเมฆเขารักคุณซันมากจนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยคุณแล้ว....ฟ้าดีใจแทนคุณนะคะ”
“เอ่อ...คุณฟ้า”
“ฟ้าไม่คิดอะไรกับเมฆแล้วค่ะ เพราะจริงๆสิ่งที่เมฆทำฟ้าก็เคยได้รับจากผู้ชายคนหนึ่ง เขาให้ฟ้ามาก แต่ฟ้าไม่เห็นค่าในสิ่งที่เขาให้เอง”
“พี่ธีร์ใช่มั้ยคะ”
“คุณรู้เรื่องนี้ ?”
“ค่ะ แต่ซันก็รู้แค่ว่าพี่ธีร์กับคุณมีน้องหมอก แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ธีร์หลังจากนั้น คุณฟ้าพอจะเล่าได้มั้ยคะว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
อิงฟ้าคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ
อิงฟ้าเล่าเรื่องในอดีตให้ตะวันฉายฟัง...
ธีรภพนั่งทำงานหน้าเครียดโดยพิมพ์คอมพิวเตอร์ไปคิดไป แล้วเขาก็หยิบสมุดบัญชีมาเปิดดูก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องไป อิงฟ้าที่ท้องแก่นั่งถักถุงมือให้เด็กอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ธีรภพเดินมานั่งด้วย อิงฟ้ายิ้มให้
“เป็นอะไรคะพี่ธีร์หมู่นี้หน้าเครียดจัง เดี๋ยวลูกออกมาเครียดตามคุณพ่อนะคะ”
ธีรภพถอนใจ “มันมีปัญหาเรื่องงานน่ะ”
“เรื่องงานก็ต้องไว้ที่บริษัทสิคะ อย่าเอามาบ้าน”
“แต่มันจำเป็นน่ะสิฟ้า”
อิงฟ้าเริ่มวางงานแล้วหันมาจ้องหน้าธีรภพ
“มีอะไรร้ายแรงเหรอคะ”
“บริษัทเราติดตัวแดงมาระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ปัญหาภายในประเทศทำให้เราไม่มีกรุ๊ปทั้ง Inbound และ outbound เลย”
“ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้บ้างเลยเหรอคะ”
“มันก็พอมีนะ” ธีรภพจับมืออิงฟ้า “ฟ้าจะว่าอะไรไหมถ้าผมจะเอาเงินของเราไปช่วยพยุงบริษัท”
“เท่าไหร่คะ”
“ทั้งหมด”
“ไม่ได้นะคะพี่ธีร์ นี่มันเงินของเรา ฟ้าไม่ยอม”
“ฟ้า ผมแค่ขอยืม”
“แล้วถ้าเกิดพี่ธีร์ทำไม่สำเร็จล่ะคะ เงินเราก็จะสูญน่ะสิ”
“ไม่หรอก พี่จะทำให้ดีที่สุด”
“ไม่ค่ะ ยังไงฟ้าก็ไม่ยอม”
“แต่ว่า...”
อิงฟ้าสวนขึ้น “เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก”
อิงฟ้าลุกขึ้นธีรภพรีบลุกมาพยุงอิงฟ้า
“สมุดบัญชีอยู่ไหน ฟ้าจะเอามาเก็บเอง”
อิงฟ้าจะก้าวเดินแต่ก็รู้สึกปวดครรภ์
“ฟ้าเป็นอะไร”
“พี่ธีร์ฟ้าเจ็บท้อง”
ธีรภพทั้งตกใจและดีใจ “ห๊า...เจ็บท้องเหรอ งั้นเราไปโรงพยาบาลนะ”
อิงฟ้าพยักหน้าแล้วก็เจ็บท้องอีก ธีรภพค่อยๆประคองอิงฟ้าเดินออกไป
อิงฟ้าอุ้มหมอกในวัยทารกเข้ามาในห้อง โดยมีธีรภพเดินถือของเข้ามา อิงฟ้าอุ้มหมอกลงวางบนที่นอนเด็กที่ถูกเตรียมไว้ ธีรภพวางของแล้วเดินมานั่งดูหน้าหมอก
“เป็นไงครับหมอกลูกพ่อ บ้านเราสวยไหม นี่คือบ้านของพ่อกับแม่แล้วก็ของหมอกนะครับ”
อิงฟ้ามองธีรภพที่เล่นกับหมอกแล้วตัดสินใจพูดขึ้น
“พี่ธีร์คะ แล้วเรื่องเงินที่จะไปช่วยบริษัท เอ่อ...พี่ธีร์ว่าไงคะ”
“ไม่ต้องห่วงนะฟ้า ช่วงที่ฟ้าอยู่โรงพยาบาล ผมคุยกับไอ้วัฒแล้ว เราจะลองหาเงินจากทางอื่นมาช่วย”
อิงฟ้ายิ้ม “แต่ยังไงพี่ธีร์ก็ต้องรีบทำให้ฐานะมั่นคงโดยเร็วนะคะ เพราะตอนนี้เรามีหมอกแล้ว ความเป็นอยู่เราต้องดีกว่าเดิม เพื่อลูกนะคะ”
คนรับใช้เดินเข้ามานั่งคุกเข่า
“คุณธีร์คะ คุณวัฒน์มาพบค่ะ”
“อ้าว...แล้วอยู่ไหนล่ะ ไปพามานี่สิ บอกว่าหลานอยู่ห้องนี้”
“บอกแล้วค่ะ แต่คุณวัฒอยากให้คุณธีร์ไปคุยข้างนอกค่ะ”
ธีรภพกับอิงฟ้ามองหน้ากันด้วยความสงสัย
อิงฟ้าแอบย่องออกมาหน้าบ้านแล้วมาหลบที่กำแพง เธอค่อยๆแอบดูและแอบฟังธีรภพกับวิวัฒน์คุยกันที่สนาม
“ฉันคุยกับคุณศุภเดชแล้ว แกบอกว่าไม่อยากให้เรากู้เงิน แต่จะขอเป็นซื้อหุ้นแทน แล้วแกจะจัดการเรื่องหนี้สินทั้งหมด” วิวัฒน์บอก
“เฮ้ย...นี่มันเท่ากับเข้ามายึดบริษัทของพวกเราชัดๆ”
“งั้นแกจะทำไงวะ กู้คนอื่นก็ไม่มีใครปล่อย ขายหุ้นก็ไม่ขาย ไอ้ธีร์เรากำลังจะล้มละลายกันอยู่แล้วนะเว้ย”
“ฉันจะไม่ยอมให้บริษัทที่ฉันสร้างมากับมือต้องพังลงไปต่อหน้าต่อตา”
“แล้วแกจะทำไง อย่าบอกว่าให้ฉันไปยืมพ่อฉันอีกนะเว้ย”
“ฉันจะเอาเงินครอบครัวฉันมาให้บริษัทยืม” ธีรภพบอก
“เฮ้ย..จะดีเหรอ ก็ไหนแกบอกว่าอิงฟ้าไม่เห็นด้วย”
“ฉันจะไม่บอกเขา เพราะบัญชีที่เราเปิดด้วยกันแค่ใครคนใดคนหนึ่งเซ็นก็ถอนได้ เมื่อสถานการณ์บริษัทดีขึ้น เราจะค่อยๆทยอยใช้หนี้”
วิวัฒน์ยิ้มออกแล้วตบไหล่ธีรภพด้วยความดีใจ
“ไอ้ธีร์ขอบคุณมากเพื่อน ถ้าผ่านวิกฤติคราวนี้ไปได้ฉันว่าต่อไปบริษัทเราต้องรุ่งแน่”
ธีรภพยืนเครียดเพราะคิดหนัก โดยไม่รู้ว่าอิงฟ้าที่ยืนแอบดูรู้สึกเจ็บใจมาก
ธีรภพกับอิงฟ้านอนกับหมอกอยู่บนเตียง สักพักอิงฟ้าก็ลุกขึ้นมองธีรภพกับหมอกที่หลับไปแล้วแล้วตัดใจลุกออกจากเตียงไป
อิงฟ้าในชุดเดินทางเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน แล้วตรงไปที่ไขกุญแจที่ลิ้นชักเอกสาร เธอค้นหาก่อนจะหยิบสมุดฝากเงินออกมาเปิดดู เธอเห็นตัวเลขในบัญชีเกือบๆสามล้านบาท อิงฟ้ารีบเก็บสมุดใส่กระเป๋าถือ แล้วเธอก็หยิบปากกาขึ้นมาเขียนจดหมาย
“พี่ธีร์คะ ฟ้ารู้เรื่องหมดแล้ว ฟ้าเสียใจมากที่พี่ธีร์ไม่สามารถดูแลฟ้ากับลูกได้ และฟ้าก็จะไม่ยอมให้พี่ธีร์เอาเงินก้อนนี้ไปอีกแล้ว ฟ้าต้องการใช้มันในการตั้งต้นชีวิตใหม่ เมื่อฟ้าทำสำเร็จฟ้าจะกลับมารับลูกไปอยู่ด้วยกัน ฝากดูหมอกด้วยนะคะ”
อิงฟ้าเขียนเสร็จก็เปิดประตู กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ตั้งอยู่หน้าห้อง แล้วอิงฟ้าก็ลากกระเป๋าเดินจากไป
สีหน้าของอิงฟ้าที่กำลังเล่าเรื่องสะเทือนใจอย่างหนัก
“หลังจากนั้นไม่นานฟ้าก็ได้ข่าวว่าเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ฟ้าเป็นห่วงหมอกอยากจะกลับมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่พอรู้ว่าเมฆรับหมอกเป็นลูกบุญธรรมและยังกอบกู้บริษัทให้กลับมาอีกครั้งฟ้าก็วางใจว่าเมฆต้องดูแลหมอกเป็นอย่างดีไปตลอดจนกว่าเขาจะดูแลตัวเองได้”
“ถ้าคุณไว้ใจคุณเมฆ แล้วคุณกลับมาทำไมล่ะคะ” ตะวันฉายถาม
“ฟ้าหนีเฮลมุทกลับมาค่ะ”
“เขาคงทำไม่ดีกับคุณมากใช่มั้ยคะ”
“ค่ะ ฟ้าควรจะรู้ตัวเร็วกว่านี้ด้วยซ้ำ”
“แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็จบลงด้วยดีแล้วนะคะ”
“ใช่ค่ะ จบลงด้วยดีที่คุณกับเมฆรักกัน ฟ้าขอให้คุณสองคนมีความสุขมากๆนะคะ”
ตะวันฉายกับอิงฟ้ายิ้มให้กันอย่างมีไมตรี
วันใหม่ ตะวันฉายเดินเข้าร้านอาหารมา พอมองเห็นเกริกไกรกับสายรุ้งที่กินอาหารอยู่เธอก็รีบเดินเข้าไปหา พอถึงโต๊ะก็ยิ้มหวานทันที แต่เกริกไกรกับสายรุ้งกินอาหารนิ่งๆ ทำเหมือนไม่สนใจ
“อ่ะแฮ่ม” ตะวันฉายทำกระแอม ทั้งสองยังนิ่ง “แฮ่มๆๆๆ”
เกริกไกรกับสายรุ้งยังเฉยอีก
“โอเคค่ะ งั้นซันลาพ่อกับแม่เลยนะคะ” ตะวันฉายไหว้ลาแล้วจะลุกขึ้น
“เอ้ยๆๆๆ จะรีบไปไหนล่ะ” เกริกไกรถาม
“แหม...ก็คุณเกริกไกร คุณสายรุ้งเล่นไม่สนใจซันเลย”
เกริกไกรกับสายรุ้งแอบขยิบตาให้กัน
“แม่โกรธเราอยู่นี่” สายรุ้งบอก
“เรื่องอะไรคะ”
“ยังไม่รู้ตัวอีก ก็เราน่ะสิไม่กลับคอนโดเลยนะ จนพ่อแม่จะกลับวันนี้แล้วถึงได้ยอมมาให้เห็นหน้า”
“ก็คุณเมฆเขายังไม่หายนี่คะ ซันก็ต้องเฝ้าเขา”
“ได้...ถ้าชอบอยู่ที่อื่นมาก งั้นพ่อจะขายคอนโดฯ”
“ดีค่ะ โอนคอนโดเสร็จก็โอนตังเข้าบัญชีซันเลยนะคะ”
เกริกไกรสะดุ้ง “เย้ยยยย พ่อประชด”
ตะวันฉายขำ “ขอโทษค่ะพ่อกับแม่ แต่พ่อกับแม่ก็รู้นี่ว่าคุณเมฆเขาบาดเจ็บหนักเพราะช่วยชีวิตซัน ซันก็ต้องตอบแทนบุญคุณเขา”
“แค่ตอบแทนบุญคุณเหรอ” สายรุ้งถาม
“ค่ะ” ตะวันฉายหลบตา
“ถามจริงๆลูกชอบคุณเมฆเขาใช่ไหม” เกริกไกรถาม
ตะวันฉายหน้าเสียเพราะเกริกไกรจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“ทำไมพ่อถามอย่างนี้ล่ะ”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ตกลงว่าไง”
ตะวันฉายเอียงหน้าหลบตา เกริกไกรกับสายรุ้งเอียงคอตาม ตะวันฉายเหลือบตาเจอสายตาของทั้งคู่ก็หันเอียงหลบอีก เกริกไกรกับสายรุ้งเอียงตามอีก
“พ่อกับแม่ว่าไงคะ” ตะวันฉายถามกลับ
เกริกไกรกับสายรุ้งมองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา
ตะวันฉายมายืนส่งเกริกไกรกับสายรุ้งที่หน้าร้าน ตะวันฉายกอดทั้งสองคนแน่น
“เสร็จธุระแล้วรีบกลับบ้านนะ” สายรุ้งบอก
เกริกไกรกับสายรุ้งก้าวขึ้นรถ ตะวันฉายยืนโบกมือส่ง รถแล่นออกไป
เกริกไกรกับสายรุ้งที่นั่งอยู่ในรถยิ้มให้กัน
“ดูพ่อจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ” สายรุ้งแซว
เกริกไกรยิ้ม “คุณนภทีป์เขาเป็นคนดี ไหนจะรักลูกเรามากจนยอมสละได้แม้แต่ชีวิต พ่อว่าโชคดีของซันแล้วที่มีคนแบบนี้มารักและลูกเราก็รัก”
“ซันนี่โชคดีเหมือนแม่เลยเนอะ”
เกริกไกรกับสายรุ้งจับมือแล้วยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
เมฆกับตะวันฉายนั่งคุยกันอยู่ในห้อง
“พ่อกับแม่บอกว่าพอคุณเมฆหายแล้วให้ฉันรีบกลับเกาะ”
เมฆใจไม่ดี “ท่านไม่พอใจงั้นเหรอ”
“ไม่หรอกค่ะ แค่กลับไปเยี่ยมท่านบ้าง”
“ไม่หลอกผมนะ”
“ไม่แล้ว ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าการโกหกมันเหนื่อย เพราะต้องคอยระวังกลัวความลับแตก ไม่เอาอีกแล้วล่ะ”
“ ตอนนี้ผมมีความสุขที่สุดเลยรู้ไหม”
ตะวันฉายยิ้ม เมฆเลยหอมแก้มตะวันฉาย
โปรดิวเซอร์ยื่นซองเอกสารให้นิค
“เอกสารการเดินทางกับ work permit ทั้งหมดนี่ เก็บไว้ให้ดีนะ อย่าทำหายล่ะ ไม่งั้นละเราไม่ได้ทำงานด้วยกันแน่”
“ขอบคุณมากครับพี่”
“ใกล้ๆวันเดินทางแล้วเอวาจะช่วยเตือนอีกแรงนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะพี่” เอวาบอก
“ขอบคุณมากนะครับคุณ เอวา พี่ไปก่อนนะ”
โปรดิวเซอร์เดินออกไป นิคมองซองเอกสารหน้าเศร้าๆ
“ทำหน้าให้มันดูมีความสุขหน่อยได้มั้ยเนี่ย ฉันล่ะพลอยหดหู่ตามไปด้วย” เอวาว่า
“ถ้าฉันไป เราก็คงไม่ได้เห็นหน้ากันทุกวันอย่างนี้สินะ” นิคบอก
“ก็สไกป์สิ ไม่เห็นจะยากเลย”
“มันไม่เหมือนกันหรอก มันอดใจหายไม่ได้จริงๆ หรือแกจะไม่คิดถึงฉัน” นิคถาม เอวามองหน้า “ฉันหมายถึงคิดถึงกันแบบเพื่อนอ่ะ”
เอวานิ่งไป “ฉันคงคิดถึงแกน่าดูเลยเน๊อะ”
นิคมองหน้าเอวา เอวายิ้มให้
“งั้น ฉันไม่ไปก็ได้นะ” นิคบอก
“บ้าเหรอ..ถ้าแกไม่ไป ฉันก็จะโกรธแกมากกว่านี้อีกนะ”
“แปลว่าดีใจที่เห็นฉันไปใช่มั้ย”
“มันก็ไม่ดีใจหรอก แต่ฉันอยากเห็นแกใช้โอกาสนี้ทำความฝันให้เป็นจริง จำได้ไหม ตอนเราเข้าปีหนึ่ง พวกพี่ปีสี่บอกให้เราพูดความฝันที่ทำให้พวกเรามาเรียนดนตรี”
“จำได้สิ ฉันบอกว่าฉันอยากเป็นนักดนตรีที่มีอัลบั้มเพลงเป็นของตัวเอง ส่วนแกก็อยากเป็นครูสอนกลองหญิงที่เก่งที่สุด”
“ตอนนี้ความฝันของแกใกล้เข้ามาแล้วนะ”
“ไม่หรอก แค่ไปเล่นร่วมให้เขาเท่านั้นเอง”
“เอาน่า ถ้าไม่ก้าวแล้วมันจะใกล้เหรอวะ”
“ขอบใจนะเอวา แกเป็นกำลังใจให้ฉันเสมอเลย”
นิคยิ้มอย่างเข้าใจ เอวาเข้าไปกอดนิค นิคยิ้มอย่างมีความสุข ส่วนเอวายิ้มแบบสุขปนเศร้า
เมฆนั่งเล่นดนตรีอยู่ในห้อง ตะวันฉายเดินเข้ามานั่งฟัง เมฆหยุดเล่นแล้วหันมายิ้มให้
“ผมโทรบอกนิคกับเอวาแล้วนะว่าคืนนี้จะไปเล่นดนตรี” เมฆบอก
ตะวันฉายตกใจ “แต่คุณยังไม่หายดีนะคะ”
“ไม่เป็นหรอก ให้ผมนั่งนอนอยู่บ้านเบื่อจะตาย”
“งั้นให้ฉันไปด้วยนะ ขับรถให้ก็ได้”
“เอ่อ...ไม่ต้องดีกว่า ผมไปเองได้ คุณอยู่ดูหมอกเถอะ”
“คุณฟ้าก็ยังอยู่ ให้ฉันไปนะคะ ฉันเป็นห่วงคุณ”
“ผมไปเองได้จริงๆ”
“นี่แอบนัดกิ๊กป่ะเนี่ย”
เมฆขำก๊ากทันที
“ยังไม่ทันไรมีหึงแล้วเหรอเนี่ย”
“ไม่รู้ล่ะ ตกลงฉันไป ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจก็อย่าขวาง”
เมฆคิดหนักเพราะไม่อยากให้ไป ตะวันฉายจ้องหน้า เมฆเลยยิ้มรับเจื่อนๆ
เมฆกับตะวันฉายเดินเข้ามาในห้องพักนักดนตรี นิคกับเอวาเห็นก็รีบเข้าไปหา
“ซัน ไม่เห็นบอกเลยว่าแกจะมา” เอวาว่า
“ก็ฉันเห็นคุณเมฆยังไม่แข็งแรงดีก็เลยขับมาให้” ตะวันฉายบอก
“อ้าว...ไม่ใช่กลัวผมนัดกิ๊กเหรอ” เมฆถาม
ตะวันฉายตีแขน “นี่คุณ...ที่ฉันพูดเพราะกลัวคุณไม่ให้มาหรอก”
“อ๋อ...เหรอ”
เมฆกับตะวันฉายยิ้มให้กันแบบคู่รักที่หยอกกัน
นิคกับเอวามองอาการสนิทสนมของเมฆกับตะวันฉายไม่วางตาจนตะวันฉายรู้ตัวก็เริ่มอาย
ตะวันฉายพูดกับเมฆ “เอ่อ...เดี๋ยวซันไปรอข้างนอกนะคะ”
ตะวันฉายรีบเดินออกไป นิคกับเอวารีบมาประกบเมฆทันที
“รู้สึกตอนนี้พี่เมฆจะมีความสุขมากนะครับ”
“รู้ดีนะเรา” เมฆบอก
“ยังไง ตอนพี่เมฆแต่งงานกับซัน เราสองคนจองเล่นดนตรีในงานให้นะคะ” เอวาบอก
“เฮ้ย...นี่เล่นคิดข้ามช็อตแล้วเหรอ”
“อ้าว...นี่พี่เมฆยังไม่คิดไปถึงแต่งงานเหรอครับ” นิคถาม
“ใครว่า...พี่คิดไปไกลกว่านั้นแล้ว”
“ห๊า...พี่คิดถึงตอนส่งตัวเหรอพี่”
เมฆตบหัวนิค
“ทะลึ่ง...พี่คิดไปถึงตอนที่พี่แก่ไปกับเขาต่างหาก” เมฆบอก
นิคกับเอวาทำตาซึ้ง “หวานอ่ะ”
“ถ้าพี่คิดไปถึงนั่นแล้วจริงๆ แสดงว่าการขอแต่งงานก็ต้องเตรียมไว้แล้วสิ” เอวาถาม
“ก็เตรียมไว้แล้ว พี่ถึงอยากเจอเราสองคนวันนี้ไง แต่ซันเขาเกิดห่วงพี่เลยขอตามมาด้วย”
“พี่เมฆจะทำอะไรเหรอครับ”
เมฆถอนใจ “ยังบอกตอนนี้ไม่ได้ เพราะพี่ยังอยากได้อีกคนมาร่วมทีม”
นิคกับเอวาสงสัย “ใคร?”
เมฆอมยิ้มไม่ยอมพูด นิคกับเอวาพยามเซ้าซี้ถาม
เมฆ นิค และเอวาเล่นดนตรีบนเวที เมฆยิ้มมาให้ตะวันฉาย ตะวันฉายที่นั่งอยู่ด้านล่างยิ้มตอบ นิคกับเอวาเห็นสองคนส่งสายตากันแล้วทั้งสองก็ยิ้มมีความสุขไปกับเพื่อน
ดึกสงัด เมฆค่อยๆย่องเดินออกจากบ้าน แล้วเปิดประตูบ้านออกไป
ที่ร้านอาหาร นิคกับเอวาเห็นยุทธการหาวก็เกรงใจ
“พี่ยุทธง่วงเหรอคะ”
“นิดหน่อยอ่ะ แล้วรู้ไหมว่าคุณเมฆนัดพวกเรามาทำไม” ยุทธการถาม
นิคกับเอวามองหน้ากันเพราะไม่กล้าพูดตรงๆ
“นั่นไงพี่เมฆมาแล้วครับ” นิครีบบอก
ทุกคนมองไปก็เห็นเมฆลงจากรถแท็กซี่แล้วจ่ายเงิน เมฆเดินมานั่งด้วยกันในร้าน
“ขอโทษที่มาช้า ต้องรอให้แน่ใจว่าซันหลับก่อน”
ยุทธการงง “ตกลงนี่มันอะไรกันครับ ทำไมต้องปกปิดซันไม่ให้รู้ด้วย”
เมฆยิ้ม “คืนที่ผมเรียกทุกคนมา ก็เพราะว่าผมอยากจะให้ทุกคนช่วยผมจัดเซอร์ไพรส์ขอซันแต่งงาน”
เมฆพูดจบก็มองหน้ายุทธการ นิคกับเอวาสะกิดกันดูหน้ายุทธการ
นิคกับเอวายืนที่รถ ทั้งสองมองไปที่เมฆกับยุทธการที่ยืนคุยกันอยู่ห่างออกไปที่ตลาดขายดอกไม้
“แกคิดไงวะเอวา”
“ไม่รู้สิ แต่ฉันว่าคงไม่มีอะไรมั้ง”
เมฆกับยุทธการยืนคุยกันอยู่
“ผมขอโทษ ที่บอกคุณวันนี้ แต่ผมรักซันจริงๆ” เมฆว่า
“ผมทราบครับ ที่จริงคุณเมฆไม่ต้องขอโทษผมหรอก”
“แต่ผมรู้ว่าผู้ใหญ่ของคุณกับของซันต้องการให้คุณสองคนแต่งงานกัน”
“เรื่องแต่งงานมันต้องเป็นความต้องการของคนสองคนเท่านั้นครับ ซันเขาไม่ได้รักผม เขารักคุณ”
เมฆได้แต่ยิ้มไม่กล้าพูดอะไร
“ยังไงผมก็ยินดีกับคุณเมฆนะครับ ผมฝากซันไว้กับคุณด้วย ผมรู้ว่าคุณจะดูแลซันได้ดีที่สุด และซันก็จะมีความสุขมากที่ได้เป็นคู่ชีวิตของคุณ”
“ผมสัญญาว่าจะดูแลเขาให้ดีที่สุดครับ” เมฆบอก
ยุทธการยิ้ม “ต่อไปคุณก็จะเป็นน้องเขยผมแล้วนะครับ”
ยุทธการกับเมฆจับมือกัน
นิคกับเอวาเห็นทั้งสองคนจับมือกันแล้วก็ถอนใจโล่งอกก่อนจะยิ้มให้กัน
“แฮปปี้เอ็นดิ้งจนได้” เอวาบอก
เมฆกับยุทธการเดินมาสมทบกับนิคและเอวา
“พร้อมจะลุยกันหรือยัง” เมฆถาม
ยุทธการ นิค และเอวายิ้มรับกับเมฆ
เช้าตรู่ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ตะวันฉายรีบลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินออกไปจากห้อง
ตะวันฉายในชุดใหม่เดินมาเคาะประตูห้องเมฆแล้วเปิดประตูเข้าไป เธอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง ตะวันฉายงงแล้วก็เดินออกไป
ตะวันฉายเคาะประตูห้องหมอกแล้วเปิดประตูเข้าไปก็เห็นห้องไม่มีคนอีก
ตะวันฉายมาเคาะประตูห้องอิงฟ้าแต่ไม่มีเสียงตอบ
ตะวันฉายเคาะอีก “คุณฟ้า คุณฟ้าคะ....ไปไหนกันหมด”
ตะวันฉายเดินลงมาจากชั้นบนมาถึงบริเวณที่พักครึ่งทางของบันไดแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นดอกกุหลาบเต็มพื้นห้อง ตะวันฉายเผลอยิ้ม เธอเดินลงมาตามขั้นบันไดจนถึงชั้นล่างก็เห็นซองจดหมายวางอยู่ที่พื้น ตะวันฉายหยิบมาเปิดอ่าน
“มีคนเคยบอกผมว่า ในโลกกลมๆใบนี้มันต้องมีสักคนที่พร้อมจะรักเราและเขาก็อาจจะกำลังตามหาเราอยู่ แต่หลังจากที่ผมต้องผิดหวังกับความรัก ผมก็ไม่คิดจะเปิดใจให้ใครอีก และไม่คิดว่าจะมีใครที่พร้อมจะรักผมและตามหาผมเหมือนที่ผมเคยวิ่งตามหา แต่วันนี้ผมได้คุณ ตะวันฉาย คุณคือคนที่ผมวิ่งตามหาและพร้อมที่จะรัก ถ้าคุณคิดเหมือนผมช่วยเดินมาหาผมที่สระน้ำ ผมรอคุณอยู่ที่นั่น”
ตะวันฉายปิดจดหมายแล้วเดินไปเปิดม่านออกก็เห็นเมฆยืนรออยู่พร้อมดอกกุหลาบอีกช่อ ส่วนอีกมือก็จูงมือหมอกไว้ ยุทธการ อิงฟ้า นิค เอวา และเก่งยืนอยู่ด้านหลังเมฆ
ตะวันฉายเปิดประตูกระจกแล้วเดินออกไป เมฆยื่นช่อดอกไม้ให้ ตะวันฉายมองหน้าทุกคนแล้วยิ้มเขินอาย
“ตะวันฉาย คุณ....”
“ไม่ใช่ฉัน...แต่เป็นคุณต่างหากที่ฉันวิ่งตามหาและพร้อมที่จะรัก คุณเมฆ”
เมฆกับตะวันฉายโผเข้ากอดกัน ทุกคนปรบมือให้
“แต่งงานกับผมนะ” เมฆบอก
หมอกเดินเอาแหวนมาให้เมฆ เมฆหยิบแหวนมาสวมที่นิ้วของตะวันฉาย ทั้งสองคนกอดกันอีกครั้ง ยุทธการ อิงฟ้า นิค และเอวายิ้มปลื้ม ส่วนเก่งร้องไห้
ทุกคนมานั่งที่โต๊ะอาหาร
“นี่ทุกคนร่วมมือกันแกล้งซันเหรอ” ตะวันฉายถาม
“ฟ้า หมอก เก่ง เพิ่งรู้เมื่อเช้าค่ะ เมฆเขาไปปลุกขึ้นมาเตี๊ยมกัน” อิงฟ้าบอก
“ถ้างั้นพี่ยุทธ นิค เอวาก็ต้องรู้มาก่อน ร้ายจริงนะพวกนี้”
“อะไรกัน อยากเห็นเพื่อนมีความสุขนี่คือร้ายเหรอ งอนแล้วนะ” เอวาแกล้งงอน
ตะวันฉายเข้าไปกอดเอวา
“ขอโทษจ้าเพื่อนรัก งั้นเปลี่ยนเป็นขอบคุณก็ได้”
ตะวันฉายกับเอวายิ้มให้กัน นิคยกแก้วยื่นให้ตะวันฉาย
“ซัน ฉันยินดีกับแกด้วยนะ ในที่สุดแกก็มาไม่เสียเปล่า”
หลังจากนิคพูด ตะวันฉาย เอวา และยุทธการก็นิ่งไป เมฆกับอิงฟ้ามองนิคงงๆ
“นิค หมายความว่าไง พี่ไม่เข้าใจ” เมฆถาม
เมฆมองตะวันฉายเป็นเชิงถาม แต่ตะวันฉายหน้าเจื่อนเพราะพูดไม่ออก เอวาส่งสายตาตำหนินิค ยุทธการเห็นท่าไม่ดีจึงรีบช่วยแก้สถานการณ์
“เอ่อ...นิคหมายถึงว่าแค่ซันจะเข้ามาหาข้อมูลแต่ในที่สุดก็ได้พบกับควารักที่ดีที่สุดจากคุณเมฆไงครับ”
เมฆจับมือตะวันฉายแล้วยิ้ม “จริงเหรอซัน”
ตะวันฉายยิ่งตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เธอคิดว่าเมฆถามเพราะไม่เชื่อใจ
“ดูสิ เมฆ คุณซันอายใหญ่แล้ว” อิงฟ้าบอก
“อ้าว...ผมทำให้ซันอายเหรอเนี่ย ผมขอโทษนะ ผมแค่อยากรู้ว่าซันได้รับความรักที่ดีที่สุดจากผมจริงๆเหรอ แค่นั้น”
ตะวันฉายยิ้ม “คุณเมฆคะ คุณคือความรักที่ดีที่สุดของซันจริงๆ”
เมฆโอบไหล่ตะวันฉายมากอด นิคกับเอวาลอบถอนใจอย่างโล่งอก
“พ่อหอมแก้มพี่ซันด้วยสิ” หมอกบอก
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 12 (ต่อ)
เมฆกับอิงฟ้าที่อยู่ในบ้านมองไปที่ตะวันฉายที่กำลังยืนส่งยุทธการ นิค และเอวาที่รถ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะฟ้า ตอนแรกที่ผมเจอซัน ผมไม่รู้สึกชอบเขาเลย” เมฆบอก “คิดแต่ว่าเมื่อผมออกจากรีสอร์ทแล้วก็อย่าได้พบได้เจอกันอีก แต่ในที่สุด...”
“เมฆกับคุณซันก็รักกัน”
เมฆยิ้มรับ
“ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ บางอย่างเราอาจจะกำหนด แต่หลายอย่างเราพยายามจะกำหนดแต่มันก็กำหนดไม่ได้ เพราะถ้าทุกคนขีดเส้นทางให้ชีวิตตัวเองได้ ฟ้าคงเป็นคนแรกที่มีความสุข”
เมฆกับอิงฟ้ายิ้มให้อย่างคนเข้าใจชีวิต
ตะวันฉายยืนส่งยุทธการ นิค และเอวาที่รถ
“ขอบคุณนะคะพี่ยุทธที่ช่วยซันวันนี้”
“ถ้าขอบคุณพี่ยุทธก็ต้องคู่กับประทุษร้ายไอ้นิค” เอวาพูดกับนิค “แกนะแก ปากพาซวยแล้วไหมล่ะ”
“ขอโทษว่ะซัน ฉันก็ลืมนึกไปเลยว่าจริงๆแกเข้ามาตามหาพี่ธีร์” นิคบอก
“แกเป็นอย่างงี้ประจำเลยไอ้นิค”
“อย่าไปตำหนินิคเลยเอวา ยังไงเรื่องก็ผ่านไปแล้ว แต่ต่อไปนิคก็อย่าเผลอหลุดอีกแล้วกัน” ยุทธการเตือน
“คร๊าบผม รับรองจากนี้จนวันตายผมจะปิดเรื่องของไอ้ซันกับพี่ธีร์ให้ตายไปกับตัวเลย”
ยุทธการกับเอวาหัวเราะขำนิค แต่ตะวันฉายยืนนิ่งคิดจนยุทธการสังเกต
“เป็นอะไรเหรอซัน” ยุทธการถาม
“เอ่อ...เปล่าค่ะ ซันแค่คิดว่าเดี๋ยวจะต้องเอาต้นฉบับไปให้บอกอซักที”
ยุทธการเอามือจับไหล่ตะวันฉายด้วยแววตาชื่นชม
“พี่ดีใจกับซันด้วยนะ ที่ซันมีวันนี้ วันที่ซันมีทั้งความรัก และความฝันของซันก็ใกล้จะสำเร็จด้วย”
“อย่าเพิ่งดีใจสิคะ ซันยังไม่รู้เลยว่า นิยายของซันจะได้ตีพิมพ์รึเปล่า”
“อะไรที่เกิดจากความรัก พี่เชื่อว่าคนต้องเห็นคุณค่าของมัน”
ตะวันฉายยิ้มรับด้วยความซาบซึ้ง
“ขอบคุณนะคะพี่ยุทธ พี่ยุทธดีกับซันจริงๆ”
“ก็ซันเป็นน้องสาวที่พี่รักนี่”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันด้วยไมตรีที่ดีของพี่กับน้อง
“งั้นพี่กลับก่อนนะ” ยุทธการจับหัวตะวันฉายด้วยความเอ็นดู “แล้ววันแต่งงานพี่จะมาช่วยอีกนะ”
ยุทธการกับตะวันฉายยิ้มให้กัน แล้วยุทธการก็ขึ้นรถ นิคกับเอวาผลัดกันเข้ามากอดตะวันฉายแล้วขึ้นรถยุทธการไป ตะวันฉายมองตามแล้วรถที่วิ่งจากไปแล้วถอนใจเพราะคิดมาก
พอตะวันฉายหันกลับเพื่อเดินเข้าบ้านก็เห็นเมฆยืนรออยู่ด้วยรอยยิ้ม ตะวันฉายตัดสินใจยิ้มให้แล้วเดินไปหาก่อนจะจูงมือกันเดินเข้าบ้านไป
เมฆเดินเข้ามาในบ้าน พลันเหลือบไปมองต้นฉบับนิยายของตะวันฉายที่ปริ๊นเข้าเล่มเป็นปึกแล้วก็แอบเหลียวซ้ายแลขวา พอไม่เห็นตะวันฉายเขาก็หยิบมาเปิดดูผ่านๆ สักพักเมฆก็เหลือบไปเห็นท้ายของเล่มมีข้อความเขียนอยู่เขาก็ชะงักทันที
“หนังสือนิยายเรื่อง ตะวันฉายในม่านเมฆ เป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิตของซัน มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ถ้าขาดคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งในชีวิต เขาคนนั้นคือ “ธีรภพ” หรือพี่ธีร์ ....”
เมฆชะงักทันทีเพราะแปลกใจก่อนจะก้มลงอ่านต่อ
“เคยมีคนบอกว่า “รักครั้งแรกคือแบบพิมพ์ที่จะหล่อหลอมหัวใจของเราให้กับความรักครั้งต่อๆไป” พี่ธีร์คือแบบพิมพ์ชิ้นนั้นของซัน แต่ทว่าแบบพิมพ์ความรักของซันได้หายไปจากชีวิตซันเมื่อหลายปีก่อน มันทำให้ซันไม่สามารถบอกเล่าเรื่องราวความรักผ่านตัวหนังสือได้อย่างลึกซึ้งและเป็นจริงได้ ซันจึงต้องกลับไปตามหาแรงบันดาลใจของซันคืนมา ด้วยการปลอมตัวเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กในบ้านของพี่ธีร์”
เมฆหน้าเสียด้วยความช็อค เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมฆก้มลงอ่านอีกครั้ง
“เพราะพี่ธีร์ทำให้ซันได้พบกับรักแท้ เพราะพี่ธีร์ทำให้ซันเขียนหนังสือเล่มนี้ได้จนจบ และเพราะพี่ธีร์ทำให้ซันได้รู้ความหมายของคำว่ารัก ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะบ้านหลังนี้ ขอบคุณพี่ธีร์ที่ทำให้ซันมีวันนี้ ไม่ว่าตอนนี้พี่ธีร์จะอยู่ที่ไหน ถ้าพี่ธีร์สัมผัสได้อยากให้พี่ธีร์รู้ว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พี่ธีร์จะอยู่ในใจของซันเสมอ....”
เมฆปิดหนังสือลงช้าๆ น้ำตาของเขาค่อยๆไหลออกมาด้วยความรู้สึกเหมือนฟ้าได้ถล่มลงตรงหน้า ราวกับว่าหัวใจของเขาได้แตกสลายลงกับความจริงที่ว่าตะวันฉายไม่ได้รักเขาเลย
จังหวะนั้นเองหมอกและตะวันฉายก็เดินยิ้มเข้ามา
“พ่อครับ หมอกขอไปสำนักพิมพ์กับพี่ซันได้มั้ยครับ”
เมฆชะงักรีบปาดน้ำตาแล้วก็ลุกไปอุ้มหมอกขึ้นมา
“ไปกับพ่อ”
เมฆเดินออกไปทันที ขณะที่ตะวันฉายเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อ้าว คุณจะพาหมอกไปไหนคะคุณเมฆ”
“ขอโทษด้วยนะ ผมคงไปส่งคุณที่สำนักพิมพ์ไม่ได้แล้ว คุณไปคนเดียวแล้วกัน”
เมฆอุ้มหมอกออกไปทันที
ตะวันฉายมองตามเมฆด้วยความงงเป็นไก่ตาแตก
หมอกนั่งอยู่ในรถ ขณะที่เมฆขึ้นรถมาแล้วปิดประตูเต็มแรง
หมอกหันมาถามด้วยความสงสัย “พ่อจะพาหมอกไปไหนครับ”
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เมฆสตาร์ทรถแล้วขับออกไปทันที
เวลาผ่านไป เมฆนั่งมองเวิ้งน้ำตรงหน้าด้วยสีหน้าเศร้าๆ ขณะที่หมอกนั่งแหมะอยู่ข้างๆ หมอกหันมาถามเมฆด้วยความสงสัย
“พ่อเป็นอะไร ทำไมไม่พูดเลยครับ”
เมฆดึงหมอกมากอดด้วยความเศร้า
“หมอกครับ หมอกรักพ่อมั้ย”
“รักครับ”
“แล้วหมอกอยู่กับพ่อสองคน หมอกมีความสุขมั้ยครับ”
“มีความสุขครับ พ่อน่ารัก พ่อใจดี พ่อเล่นกับหมอกสนุกจะตายไป”
เมฆเอามือขยี้ผมหมอกอย่างเอ็นดู
“ถ้าเรากลับมาอยู่ด้วยกันสองคนเหมือนเดิม หมอกจะอยู่ได้มั้ย”
หมอกชะงักแล้วก็มีสีหน้างงๆ
“แล้วพี่ซันล่ะครับพ่อ”
เมฆหันกลับไปมองเวิ้งน้ำตรงหน้าเพราะไม่อยากให้หมอกเห็นแววตาเจ็บปวด
“พ่อไม่อยากให้เค้าต้องฝืนใจมาอยู่กับพ่อ ทั้งที่จริงเค้าอาจจะไม่เคยรักพ่อเลยด้วยซ้ำ”
เมฆตอบหมอกไปอย่างเจ็บปวด
ตะวันฉายนั่งชะเง้อมองไปที่หน้าประตูด้วยความกังวล สักพักอิงฟ้าเดินเข้ามาเห็นตะวันฉายนั่งอยู่เธอจึงเดินเข้ามาคุยด้วย
“มานั่งทำอะไรตรงนี้ แล้วเมฆกับหมอกไปไหนล่ะคะ”
ตะวันฉายหันมาสีหน้ากังวล
“นั่นสิคะ อยู่ๆก็ออกไป มือถือก็ดันปิดอีก”
“ทะเลาะอะไรกันรึเปล่าคะ”
“เปล่านี่คะ เมื่อเช้ายังดีๆอยู่เลย แล้วทำไมอยู่ๆก็เป็นแบบนี้ก็ไม่รู้”
อิงฟ้าจับบ่าตะวันฉายเพื่อปลอบใจ
“อย่าคิดมากเลยค่ะ บางทีเมฆอาจจะมีเซอร์ไพรซ์อะไรคุณก็ได้”
“แค่นี้ก็เซอร์ไพรซ์แล้วล่ะค่ะ ทำแบบนี้ฉันไม่ชอบเลย มันเหมือนเค้าปิดบังอะไรฉันอยู่ เห็นสีหน้าเค้าแล้วฉันไม่สบายใจยังไงไม่รู้”
“คุณสองคนผ่านอะไรด้วยกันมากตั้งมากมาย ฟ้าว่าไม่มีอะไรจะทำให้คุณสองคนต้องผิดใจกันอีกแล้วล่ะค่ะ”
ตะวันฉายเห็นอิงฟ้าปลอบใจเธอก็ยิ้มรับ
“ขอบคุณมากนะคะ ฉันจะพยายามไม่คิดมากค่ะ”
อิงฟ้ายิ้มรับแล้วเดินออกไป ตะวันฉายยังคงมองที่หน้าประตูแล้วก็รู้สึกกังวลอยู่ดี
เวลาผ่านไป ตะวันฉายยังคงคอยเมฆตามที่ต่างๆในบ้าน ตะวันฉายนั่งรอเมฆอย่างกระสับกระส่ายในห้องรับแขก ตะวันฉายเดินวนไปวนมาบริเวณริมสระน้ำส่วนตาของเธอก็มองไปที่ประตู
ตะวันฉายเดินวนหน้าประตูแล้วมองออกไปนอกบ้านด้วยความหวังจะเห็นแสงไฟหน้ารถของเมฆ อิงฟ้าเดินออกมาดูตะวันฉายด้วยความสงสาร
ดึกสงัด ตะวันฉายนั่งหลับอยู่ที่โซฟา สักพักเมฆอุ้มหมอกที่หลับอยู่ก็เดินเข้ามา ตะวันฉายได้ยินเสียงก็สะดุ้งตื่นทันที
“คุณไปไหนมาคะ มือถือก็ติดต่อไม่ได้ รู้มั้ยว่าฉันเป็นห่วงแค่ไหน” ตะวันฉายถาม
สักพักอิงฟ้าก็เดินเข้ามา เธอเห็นทั้งสองคนคุยกันอยู่ก็เข้ามาคุยด้วย
“คุณซันเค้ารอเมฆทั้งวันเลยรู้มั้ยคะ จริงๆไปไหนคุณน่าจะบอกบ้างนะ” อิงฟ้าว่า
“ผมขอโทษ” เมฆพูดจบก็จะเดินขึ้นบ้าน
ตะวันฉายไม่พอใจจึงเดินเข้าไปขวาง
“เป็นอะไร ทำไมไม่พูด ทำแบบนี้ฉันไม่สบายใจเลยนะ”
“เปล่านี่ ผมแค่พาหมอกออกไปหาอะไรกิน ตามประสาพ่อลูก” เมฆบอก
“แล้วฉันล่ะ ฉันเป็นส่วนเกินรึไง” ตะวันฉายถาม
เมฆไม่ตอบแล้วจะเดินหนี
“คุณเมฆ มีอะไรไม่พอใจฉันก็พูดมาเลยดีกว่า อย่าทำแบบนี้”
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณรอ ผมขอตัวพาหมอกไปนอนก่อนนะ”
เมฆเดินขึ้นบันไดบ้านไปทันที ตะวันฉายกระฟัดกระเฟียด อิงฟ้าเข้ามาแล้วพยายามไกล่เกลี่ย
“ใจเย็นๆก่อนนะคะ เดี๋ยวฟ้าคุยกับเมฆให้เอง”
อิงฟ้าพูดจบก็เดินขึ้นบันไดตามเมฆไป
เมฆเดินออกมาจากห้อง อิงฟ้าเห็นก็ปราดเข้าไปคุย
“บอกฟ้าได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณทำแบบนี้”
เมฆสีหน้านิ่งเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง
“พูดไปคุณก็ไม่เข้าใจหรอกฟ้า”
“แต่ยิ่งคุณไม่พูด ฟ้าก็ยิ่งไม่รู้อะไรเลย เมฆคะ คุณกับตะวันฉายเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆกันมาด้วยกัน ฟ้ารู้ว่าคุณสองคนรักกันมากแค่ไหน แล้วอะไรที่ทำให้อยู่ๆคุณก็เป็นแบบนี้คะ”
“ไม่รู้สิ บางทีเราอาจจะไม่ได้รักกันอย่างที่คุณเห็นก็ได้”
ตะวันฉายเดินขึ้นบันไดมาได้ยินพอดี
“คุณพูดอะไรออกมาหาห๊ะเมฆ” อิงฟ้าว่า
“ความจริงผมกับเค้าไม่ควรเจอกันตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ถ้าผมย้อนเวลาไปได้ ผมจะไม่รับเค้าเข้าทำงาน ไม่ยอมให้เค้าเข้ามาอยู่ในบ้าน ไม่ให้เค้าเข้ามาใกล้หมอก ไม่ให้เค้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแบบนี้”
เมฆพูดไปด้วยความน้อยใจจนน้ำตาแทบไหล
ตะวันฉายที่ฟังอยู่รู้สึกปวดใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เช่นกัน
“ฟ้าว่านี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะคะ คุณน่าจะปรับความเข้าใจกับคุณซันเค้าซะ อย่าปล่อยให้อะไรมันบานปลาย มันจะไม่ดีต่อคุณทั้งคู่”
ตะวันฉายเดินเข้ามาพูดด้วยความปวดใจ
“ถ้าเค้าไม่อยากพูดก็ช่างเค้าเถอะค่ะ เพราะเท่าที่ฉันได้ยิน มันก็มากเกินพอแล้ว”
ตะวันฉายพูดจบก็เดินออกไปทันที
อิงฟ้ารีบเรียกไว้ “เดี๋ยวค่ะ คุณซัน” อิงฟ้าคะยั้นคะยอเมฆ “ไปง้อเค้าสิเมฆ”
เมฆยืนนิ่งไม่ยอมเดินไป อิงฟ้าทนไม่ไหวจึงรีบตามตะวันฉายไปแทน
ตะวันฉายเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู เธอทรุดลงกับพื้นแล้วร้องไห้ด้วยความเสียใจ แล้วตะวันฉายก็ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเสื้อผ้ามาเปิดแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าก่อนจะโกยเสื้อผ้าในตู้ลงกระเป๋าพร้อมกับปาดน้ำตาด้วยความน้อยใจเมฆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ในจังหวะที่ตะวันฉายปิดกระเป๋าแล้วเตรียมจะออกจากห้องพอดี ตะวันฉายเดินไปเปิดประตูทำให้เห็นว่าอิงฟ้าเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าร้อนใจ
“คุณซันคะ” อิงฟ้าเห็นกระเป๋าก็ตกใจ “นี่คุณจะไปไหนคะ”
ตะวันฉายยกกระเป๋าเตรียมออกจากห้อง
“ไปจากที่นี่ค่ะ” ตะวันฉายบอก
อิงฟ้าพยายามทำใจเย็นเพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้
“โอ๊ยยย มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะคะ ฟ้าขอร้องล่ะค่ะ คุยกันดีๆ อย่าประชดกันแบบนี้เลย”
“ฉันไม่ได้ประชดนะคะ ฉันจะไปจริงๆ เท่าที่ได้ยินมันก็ชัดแล้วว่า เมฆเค้าไม่ได้รักฉัน แล้วฉันจะอยู่ที่นี่ทำไม”
“อยู่ปรับความเข้าใจกันไงคะ” อิงฟ้าบอก
“ป่วยการเปล่าๆค่ะ บางทีที่คุณเมฆเค้าพูดมันอาจจะจริงๆก็ได้ว่า เราอาจจะไม่ได้รักกัน”
“คุณซัน ทำใจเย็นๆแล้วฟังฟ้านะคะ เมื่อเช้าคุณสองคนยังรักกันอยู่เลย กับแค่คำพูดไม่กี่คำ อย่าให้มันทำลายความรักของคุณสองคนสิคะ”
“ถ้ามันมาจากปากคนอื่น ฉันจะไม่แม่แต่จะสนใจฟัง แต่นี่มันมาจากปากเค้า มันมีน้ำหนักมากพอที่ฉันจะตัดสินใจไปจากที่นี่คะ ขอโทษนะคะคุณฟ้า แต่ฉันต้องไปจริงๆ”
ตะวันฉายผละจากอิงฟ้าพร้อมกับยกกระเป๋าเดินออกไป อิงฟ้ามองตามด้วยความอ่อนใจ
รุ่งเช้า เมฆกำลังป้อนข้าวให้หมอก ขณะที่เก่งคอยรินน้ำให้ข้างๆ สักพักอิงฟ้าก็เดินเข้ามาชักสีหน้าใส่เมฆอย่างไม่พอใจ
“เมื่อคืนหลับสบายมั้ยคะเมฆ”
เมฆป้อนข้าวหมอกจนหมดจานแล้วก็เช็ดปากให้หมอก แล้วเขาก็ตอบอิงฟ้าโดยทำเป็นไม่เป็นอะไร
“ก็หลับนี่”
“ดีนะ แฟนหนีไปทั้งคนยังหลับได้” อิงฟ้าว่า
หมอกได้ยินก็ชะงักแล้วหันมาทางอิงฟ้า
“ใครหนีไปไหนเหรอครับแม่”
เมฆรีบหันไปบอกเก่งทันที
“เก่ง เดี๋ยวพาคุณหมอกไปรอที่รถนะ เดี๋ยวฉันตามไป”
“พ่อยังไม่ตอบหมอกเลยว่าใครหนีไปไหน แล้วพี่ซันไปไหน ยังไม่ตื่นเหรอครับ” หมอกถาม
“เดี๋ยวพ่อเล่าให้ฟังนะครับ ไปกับพี่เก่งก่อนนะ”
“ไปกันครับคุณหมอก วิ่งแข่งกันนะ ใครไปถึงรถก่อนคนนั้นชนะ” เก่งว่า
เก่งรีบวิ่งนำไป หมอกวิ่งตาม อิงฟ้าหันมาถอนหายใจด้วยความเอือมระอาเมฆ
“ไหนๆคุณซันเค้าก็ไปแล้ว คราวนี้เมฆเล่าให้ฟ้าฟังได้มั้ยคะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เอวาพยายามต่อโทรศัพท์หาตะวันฉายแต่ก็เป็นสัญญาณปิดเครื่อง เอวาปิดเครื่องอย่างอารมณ์เสีย ยุทธการกับนิคอยู่ในห้องทำงานของเอวาด้วย
“ที่คอนโดก็บอกไม่ได้กลับไป มือถือก็ปิด” เอวาบอก
“ไอ้ซันนี่ก็แปลก เพิ่งจะสวีทหวานกันอยู่หยกๆ มาติสแตกหนีออกจากบ้านเค้าเฉยเลย ไม่รู้มันคิดอะไรของมัน” นิคว่า
“เอวาว่าเราไปคุยกับพี่เมฆให้รู้เรื่องดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เอวาเสนอ
“พี่ว่าไม่มีประโยชน์ ขนาดคุณอิงฟ้าถามคุณเมฆยังไม่ยอมบอก ทางเดียวคือเราต้องตามหาซันให้เจอ”
“แล้วจะไปตามที่ไหนล่ะครับ หรือว่ามันกลับเกาะ” นิคสงสัย
“พี่ว่าไม่นะ เพราะตอนมาที่นี่พี่โทรไปถามที่รีสอร์ทแล้ว ไม่มีการส่งเรือมารับใครพิเศษนอกจากกรุ๊ปปกติ”
“แสดงว่าซันก็ไม่ได้คิดจะกลับเกาะ แล้วมันไปไหน”
“พี่คิดว่าพี่รู้นะว่าซันจะไปไหน”
นิคกับเอวามองหน้ายุทธการเป็นเชิงถาม
ตะวันฉายนั่งเหม่ออยู่ที่ศาลาริมน้ำของบ้านสวน ภาพตอนที่เธอแอบได้ยินเมฆพูดจาตัดรอน ปรากฏขึ้นในความคิดของเธอ....
ตะวันฉายเดินขึ้นมาได้ยินพอดี
“คุณพูดอะไรออกมาหาห๊ะเมฆ” อิงฟ้าถาม
“ความจริงผมกับเค้าไม่ควรเจอกันตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ถ้าผมย้อนเวลาไปได้ ผมจะไม่รับเค้าเข้าทำงาน ไม่ยอมให้เค้าเข้ามาอยู่ในบ้าน ไม่ให้เค้าเข้ามาใกล้หมอก ไม่ให้เค้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแบบนี้”
ตะวันฉายคิดถึงตรงนี้แล้วก็ร้องไห้ออกมาอีก
ทันใดนั้นก็มีมือมาจับไหล่ตะวันฉาย ตะวันฉายตกใจหันไปมองก็เห็นนิค เอวา และยุทธการยืนอยู่
“เอวา!!!”
ตะวันฉายลุกขึ้นโผเข้ากอดเอวาแล้วก็ร้องไห้
ตะวันฉาย ยุทธการ นิค และเอวานั่งอยู่ที่ชุดรับแขก โดยที่ตะวันฉายยังคงมีสีหน้าเศร้า
“พี่เมฆเนี่ยนะ บอกเลิกแก เค้าอำแกรึเปล่า” นิคสงสัย
“นั่นสิ พี่ว่าต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ เค้าพูดว่าอะไร ไหนซันเล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ พี่เป็นผู้ชายอาจจะเข้าใจมากกว่าซันก็ได้”
“เค้าไม่ได้บอกเลิกซันตรงๆหรอกค่ะ แต่สิ่งที่เค้าพูด มันก็ไม่ต่างอะไรกับบอกเลิกอยู่ดี” ตะวันฉายบอก
“แล้วแกจะยอมให้มันจบแบบนี้เหรอซัน มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอห๊ะ” เอวาถาม
“คนไม่รักกันมันจบแบบอื่นได้ด้วยเหรอ”
เอวาเงียบที่โดนตะวันฉายย้อน
“แล้วนี่ซันจะเอาไงต่อ จะกลับไปพักที่เกาะไหม” ยุทธการถาม
“ไม่ดีกว่าค่ะ ตอนนี้ซันต้องการอยู่ที่นี่ เพราะที่นี่เป็นที่ๆเขากับซันไม่เคยมีอดีตร่วมกัน บางทีซันอาจจะลืมเขาได้”
“ซัน แกแน่ใจนะว่าที่นี่จะทำให้แกหนีตัวแกเองพ้นน่ะ” เอวาถาม
“ฉันจำเป็นต้องทำให้ได้” ตะวันฉายบอก
เอวาลูบไหล่ตะวันฉายด้วยความเห็นใจ
ยุทธการ นิค และเอวาเดินออกจากบ้านมาตามทางเดิน ยุทธการนิ่งเพราะคิดหนัก
“พี่ยุทธกำลังคิดอะไรครับ” นิคถาม
“พี่ไม่เชื่อว่าคุณเมฆพูดจริง มันต้องมีอะไรไปกระทบใจเค้า ทำให้เค้าพูดแบบนั้นแน่ๆ”
“ทำไมพี่ยุทธถึงเชื่ออย่างนั้นครับ” นิคถามต่อ
“การกระทำไง คุณเมฆเค้ายอมถูกยิงแทนซัน แล้วเค้าจะไม่รักซันได้ยังไง” ยุทธการบอก
“เอวาก็คิดเหมือนกันค่ะ คนที่ยอมตายแทนกันถ้าไม่เรียกว่ารักกันแล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
“ถ้างั้นแสดงว่าพี่เมฆก็ยังรักไอ้ซัน เพียงแต่ดันมีเรื่องไม่เข้าใจกัน” นิคเริ่มเข้าใจ
“เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำให้สองคนนี้เข้าใจกันไง” เอวาบอก
“จริงด้วย” นิคเห็นด้วย
นิคกับเอวาดีใจ
“แล้วเอวากับนิคจะทำอะไรล่ะ” ยุทธการถาม
นิคกับเอวาชะงักไป
“แฮ่ะๆๆ ตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออกค่ะ พี่ยุทธนึกออกไหมคะ” เอวาถาม
“พี่ก็ถนัดแต่แผนจับโจร แต่ยังไงเราก็ต้องทำให้สองคนนี้ปรับความเข้าใจกันให้ได้นะ”
นิคกับเอวามีสีหน้าเครียดเพราะคิดหาทาง
เมฆที่แต่งตัวเตรียมไปเล่นดนตรีเดินออกมาจากห้องของตัวเอง เขาเดินผ่านห้องนอนตะวันฉายแล้วก็หยุดชะงัก อิงฟ้าจูงหมอกที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จและอยู่ในชุดนอนเดินออกมาจากห้อง เธอเห็นเมฆเหม่อยืนมองห้องตะวันฉายก็พูดกับหมอก
“หมอกครับ เดี๋ยวลงไปบอกพี่เก่งให้ตั้งโต๊ะนะครับ เดี๋ยวแม่คุยกับคุณพ่อแล้วจะตามไป”
หมอกรีบวิ่งลงไป อิงฟ้าเดินมาหาเมฆแล้วมองไปในห้องของตะวันฉาย
“คราวนี้คุณซันคงรีบ เลยไม่ได้เก็บห้อง อย่างว่าละถูกไล่ไปนี่” อิงฟ้าเปรย
“ผมไม่ได้ไล่” เมฆบอก
“จริงเหรอเมฆ”
“เขามาที่นี่เอง แล้วเขาก็ไปเอง บางทีนี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกที่สุดของเค้า”
“ฟ้าเชื่อคุณซันเค้าไม่อยากไปจากที่นี่หรอก แต่เป็นเพราะเมฆนั่นแหละ ทำให้เค้าตัดสินใจอย่างนั้น คุณซันเขารักเมฆมากนะ เมฆสัมผัสไม่ได้เหรอ”
“เพราะเค้าไม่รู้ตัวไงว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่ ผมถึงต้องช่วยตัดสินใจแทนเค้ายังไงล่ะ”
เมฆพูดจบแล้วก็เดินลงบันไดไป อิงฟ้ามองตามเมฆไปโดยไม่เข้าใจในสิ่งที่เมฆบอก
เมฆ นิค และเอวากำลังเล่นดนตรี นิคพยักหน้าบอกเอวาให้ดูเมฆที่เล่นดนตรีเหมือนไม่สนใจนิคกับเอวา ทั้งสามคนเล่นดนตรีจนจบแล้วโค้งให้คนดู จากนั้นเมฆก็รีบเดินหนีไปทันที
เมฆเก็บของอยู่ในห้องพักนักดนตรี นิคกับเอวาเดินมาหา
“พี่เมฆครับ เอ่อ....พี่พอมีเวลาคุยกับผมกับเอวาหน่อยได้ไหมครับ”
“ขอโทษนะ พี่จะรีบกลับ” เมฆบอก
“พี่เมฆคะ ขอห้านาทีก็ได้”
“งั้นพี่ก็ขอห้านาทีนี้ให้คนที่มีค่ากับชีวิตพี่ได้ไหม”
เอวางงเพราะไม่รู้ว่าเมฆมาไม้ไหน “เอ่อ...ได้ค่ะ”
“ดี...เพราะพี่จะกลับไปใช้ห้านาทีนี้กับหมอกนะ” เมฆบอก
“นี่พี่เมฆโกรธซันเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ขอโทษนะนิค แต่พี่ไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว”
นิคกับเอวาไปต่อไม่เป็น เมฆยิ้มแล้วเดินออกไปทันที
“เหมือนพี่เมฆโกรธเราสองคนด้วย” เอวาบอก
“ไม่ใช่เหมือนหรอก โกรธเลยล่ะ แต่จะว่าโกรธที่เราช่วยซันมันปิดเรื่องปลอมตัวมันก็ไม่น่าจะใช่นะ เพราะถ้าโกรธเรื่องนี้ก็น่าจะโกรธตั้งนานแล้ว”
“ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่ เราต้องรีบหาทางทำให้สองคนนั้นคืนดีกันนะนิค”
นิคกับเอวามองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา
วันต่อมา ยุทธการยื่นกล่องของขวัญกล่องหนึ่งให้เมฆ เมฆมองกล่องของขวัญด้วยสีหน้าแปลกใจ
“อะไรเหรอครับ”
“ซันเค้าให้ผมเอามาให้คุณ เปิดดูสิครับ” ยุทธการบอก
เมฆเปิดกล่องออกมาดูก็เห็นว่าคือ นาฬิกาทราย
“เค้าให้ผมทำไม”
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 12 (ต่อ)
เอวาและนิคนั่งอยู่ในรถ โดยเอวาพูดโทรศัพท์เพื่อพากษ์บทให้ยุทธการฟังไปด้วย
“คุณลองพลิกนาฬิกานั่นสิ แล้วคุณจะรู้ว่า เวลาสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ”
นิคชูนิ้วโป้งให้เพื่อบอกเอวาแจ๋วมาก
ยุทธการขยับบลูธูทพยายามตั้งใจฟัง
“เวลาสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ” ยุทธการพูดตาม
เมฆหยิบนาฬิกาทรายขึ้นมาดูด้วยสีหน้าครุ่นคิด แล้วเขาก็มีสีหน้าอ่อนลง
“เค้าเชื่ออย่างนั้นจริงๆเหรอครับ”
เอวารีบพากษ์บทต่อ
“ถ้าไม่เชื่อเค้าคงไม่ให้ผมเอามันมาให้คุณหรอกครับ ผมถึงอยากให้คุณให้โอกาสซันอีกครั้ง ลองปรับความเข้าใจกันดู”
ยุทธการพูดตามเอวา
“ผมถึงอยากให้คุณให้โอกาสซันอีกครั้ง ลองกลับเข้าไปในรู” ยุทธการพูดเองแล้วก็ชะงักแปลกใจ “เอ๊ะ ว่าไงนะ”
เมฆชะงักแปลกใจเพราะงงกับอาการของยุทธการ
“คุณว่าอะไรนะครับ”
เอวารีบบอกอย่างลนลาน
“ปรับความเข้าใจกันดูค่ะ ไม่ใช่เข้าไปในรู”
ยุทธการสะดุ้งโหยงแล้วรีบแก้ตัว
“ผมหมายถึง ปรับความเข้าใจกันดูน่ะครับ”
เมฆพลิกนาฬิกาทรายกลับไปกลับมาอย่างครุ่นคิดตัดสินใจ
“เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณยังไม่ต้องให้คำตอบผมตอนนี้ก็ได้ ถามใจตัวเองดีๆ ว่ายังรักซันอยู่มั้ย ถ้ายังรัก ผมอยากให้คุณให้โอกาสซัน และให้โอกาสตัวเองอีกครั้ง ไปเจอซันนะครับ”
เมฆมีสีหน้าอ่อนลงเพราะใจอ่อนลงไปมาก ยุทธการเป่าปากด้วยความโล่งอก
ประตูรถเอวาเปิดออก ยุทธการก้าวเข้ามาในรถแล้วก็ปาดเหงื่อเพราะตื่นเต้นมาก นิคหันมาถามด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน
“เป็นไงครับพี่ยุทธ”
“ไม่รู้เหมือนกัน” ยุทธการบอก
เอวากับนิคส่ายหน้าเซ็งๆ
“อ้าว พี่เมฆเค้าไม่ตกลงเหรอคะ” เอวาถาม
“ยัง แต่พี่ว่าเค้าจะต้องไปแน่ๆ พี่อ่านสายตาเค้าออก”
“ผมเชื่อสายตาพี่ยุทธครับ แต่ผมจะไม่เชื่อหูพี่ยุทธอีกแล้ว” นิคแซว
“นั่นสิ เกือบทำพี่เมฆจับได้แล้วมั้ยล่ะ” เอวาว่า
ยุทธการยิ้มเจื่อนๆอย่างรู้สึกผิด
“ก็บลูธูทพี่มันเก่าแล้ว เลยได้ยินไม่ชัดน่ะสิ”
“แต่ยังไงก็ถือว่าเราพยายามเต็มที่แล้ว คราวนี้คนต่อไปที่เราต้องจัดการต่อก็คือซัน”
ยุทธการแอบลุ้นในใจ
“หวังว่าเราจะทำสำเร็จนะ”
เอวาและนิคพลอยลุ้นไปด้วย
ตะวันฉายรับช่อดอกไม้มาจากมือเอวาด้วยสีหน้าแปลกใจ
“จากใครเหรอ” ตะวันฉายถาม
“ก็จากคนที่รักแกเท่าชีวิตไง” เอวาบอก
“พ่อกับแม่ฉันเนี่ยนะ”
เอวาและนิคถอนหายใจเอือมๆ
“แกลืมคนที่เสี่ยงชีวิตช่วยแกแล้วรึไงห๊ะ” นิคถาม
ตะวันฉายชะงักไปทันที
“เค้าให้ดอกไม้ฉันทำไม” ตะวันฉายถาม
“ให้แกเอาไปขายสี่แยกไฟแดงล่ะมั้ง ถามได้ เค้าก็ง้อแกน่ะสิ” เอวาบอก
ตะวันฉายหน้างอเพราะไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ ขับไล่ไสส่งฉันขนาดนั้นแล้วจะมาง้อด้วยดอกไม้แค่ช่อเดียว”
“ช่อเดียวไม่พอ แกจะเอาทั้งไร่เลยรึไง อุตส่าห์ง้อแกแล้วก็ดีๆกันเถอะว่ะ”
ตะวันฉายยื่นดอกไม้ให้เอวา “ไม่ล่ะ ฉันฝากเอาไปคืนเค้าด้วยแล้วกัน”
เอวาและนิคอ่อนใจมาก
“ซัน แกจะเล่นตัวไปถึงไหนวะ พี่เมฆเค้ารักแกมากนะเว้ย” เอวาว่า
“คนรักกันเค้าไม่พูดแบบนั้นหรอก” ตะวันฉายบอก
“ก็เค้าสำนึกผิดแล้วไง แกไม่คิดจะอภัยให้เค้าหน่อยเหรอ”
ตะวันฉายตอบทันที “ไม่!!!!”
เอวาและนิคเบือนหน้าหนีกันอย่างระอา
“ฉันพูดตามตรงนะ ฉันเห็นสายตาเย็นชาของเค้า มันทำให้ฉันไม่อยากกลับไปเจอเค้าอีก แกคิดดูสิ ขนานฉันหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านเค้า เค้ายังไม่สนใจไยดีเลย แล้วแกคิดว่าฉันควรจะกลับไปหาคนแบบนั้นอีกมั้ย”
“ควรหรือไม่ควรคนที่จะตอบคือแก ไม่ใช่พวกฉัน แต่ที่ฉันจะบอกแกคือ พี่เมฆเค้าอยากเจอแกมาก ถ้าแกรักเค้ามากพอที่จะอภัยให้เค้าได้ ก็อย่าปล่อยให้เค้ารอเก้อก็แล้วกัน”
ตะวันฉายชะงักทันทีเพราะเธอก็เริ่มใจอ่อนไปไม่น้อย
เมฆนั่งคิดอยู่ที่เตียง เขาดูรูปเก่าๆของตะวันฉายในไอแพดแล้วก็เผลออมยิ้ม แต่สุดท้ายเมฆก็ตัดใจปิดเครื่องไป
ตะวันฉายนั่งมองเหม่อไปนอกหน้าต่างที่บ้านสวน ทันใดนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ตะวันฉายรีบวิ่งไปดู แล้วเธอก็สีหน้าผิดหวัง ตะวันฉายนอนลงบนเตียงแล้วก็นอนไม่หลับ ส่วนเมฆเองก็นอนกระสับกระส่ายเช่นกัน
ยุทธการ นิดและเอวาเดินเครียดเป็นหนูติดจั่นเพราะลุ้นสุดๆ อยู่ในสวนแห่งหนึ่ง
“เมื่อไหร่จะมากันซักทีนะ” ยุทธการกระวนกระวาย
“เดี๋ยวก็คงมามั้งพี่ยุทธ” นิคบอก
“แล้วถ้าแผนเราไม่ได้ผลล่ะ” ยุทธการถาม
“ก็ต้องหาทางจนกว่าจะได้ผลสิคะ” เอวาบอก
ทันใดนั้นรถของเมฆก็แล่นมาจอด นิคหันไปเห็นก็ตื่นเต้นมาก
“นั่นไง พี่เมฆ”
ทั้งสามคนรีบหลบทันที
เมฆลงมาจากรถแล้วเดินไปนั่งรอที่ม้านั่งริมน้ำด้วยสีหน้าเครียด เขาถือกล่องนาฬิกาทรายเอาไว้ด้วย
สักพักรถแท็กซี่ก็แล่นมาจอด ตะวันฉายลงมาจากรถ ยุทธการ เอวา และนิคตีมือกันด้วยความดีใจ ตะวันฉายเห็นเมฆนั่งอยู่ก็เดินเข้าไปหา
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา” ตะวันฉายบอก
เมฆชะงักแล้วหันไปหาตะวันฉาย
“ผมมาเพราะอยากเอาของมาคืนคุณ”
ตะวันฉายชะงักด้วยความแปลกใจ
“ของอะไร”
เมฆยื่นนาฬิกาทรายคืนให้ตะวันฉาย
“ขอบคุณสำหรับนาฬิกาและความรู้สึกดีๆที่มีให้ผมมาตลอด แต่ครั้งนึงผมเคยเจ็บหนักกับการตกเป็นตัวสำรอง ผมไม่อยากกลับไปอยู่ในสภาพนั้นอีกแล้ว”
ตะวันฉายงงเป็นไก่ตาแตก
“คุณพูดอะไรของคุณห๊ะคุณเมฆ แล้วนี่นาฬิกาใคร “
เมฆชะงักเพราะงงไปอีกคน
“ก็คุณเป็นคนเอามาให้ผมไม่ใช่เหรอ”
“บ้าเหรอ ฉันจะให้คุณทำไม ฉันไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะให้ของคนที่พูดจาแย่ๆกับฉันแบบนั้นหรอกนะ คุณเองต่างหากที่ส่งดอกไม้มาให้ฉัน ฉันถึงต้องมาที่นี่”
เมฆทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะนึกขึ้นได้
“เข้าใจแล้วล่ะ ตกลงว่าคุณไม่ให้ฝากนาฬิกานี่มาให้ผม” เมฆถามอีกครั้ง ตะวันฉายพยักหน้ารับ “ผมก็ไม่ได้ส่งดอกไม้ให้คุณเหมือนกัน สรุปว่าเราโดนหลอกทั้งคู่”
ตะวันฉายได้ยินก็โกรธมาก
“หมายความว่าถ้าคุณไม่โดนหลอกมา คุณก็ไม่คิดจะเจอฉันอีกแล้วสิ”
เมฆมองตะวันฉายอย่างอาลัยแต่ก็พยายามปากแข็ง
“ใช่”
ตะวันฉายสะเทือนใจกับคำๆนี้จนน้ำตาคลอขึ้นมาทันที
“งั้นก็ดี ถือว่านี่เป็นการพบกันเพื่อลา ต่อไปนี้ขอให้เราเป็นแค่คนที่ไม่เคยรู้จักกัน ฉันจะถือว่าเราไม่เคยเจอกัน ไม่เคยใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่เคยรักกัน”
ตะวันฉายพูดทั้งน้ำตาก่อนจะหันหลังเดินจากเมฆไป เมฆมองตามหลังจะวันฉายแล้วทำท่าจะเดินตามไปเรียกไว้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ทำและได้แต่มองตามตะวันฉายไปด้วยความเสียใจ
ยุทธการ เอวา และนิคที่แอบอยู่ถึงกับสลดไป
เอวา นิค และยุทธการนั่งเครียดอยู่ที่ห้องรับแขกในบ้านสวน
“อยู่ในห้องไม่ยอมออกมาอย่างนี้เอวาใจคอไม่ดีเลยค่ะพี่ยุทธ” เอวาว่า
ยุทธการมีสีหน้าเป็นกังวลไม่แพ้กัน
“เอวาลองเข้าไปดูหน่อยดีมั้ย” ยุทธการบอก
“เพิ่งก่อเรื่องอย่างนี้ จะมีหน้าเข้าไปหาไอ้ซันอีกเหรอครับ ได้โดนมันเตะส่งออกมาพอดี” นิคบอก
“แต่ปล่อยไว้แบบนี้ก็แย่ไม่แพ้กันนะนิค ที่เราทำไปทั้งหมดก็เพราะหวังดีกับซัน พี่มั่นใจว่าซันต้องเข้าใจ แต่ที่พี่กังวลก็คือ ซันจะทำใจได้รึเปล่า”
เอวาลุกพรวดขึ้นทันที
“งั้นเอวาจะไปดูซันเองค่ะ”
ทันใดนั้นเสียงตะวันฉายก็ดังขึ้น
“ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
ยุทธการ นิค และเอวาหันมาเห็นตะวันฉายยืนอยู่ตรงหน้า
“ซัน”
ตะวันฉายเดินเข้ามาจับมือเอวา ก่อนจะหันไปยิ้มให้ยุทธการและนิค
“ขอบคุณทุกคนที่พยายามช่วยซัน ตอนนี้ซันคิดได้แล้วค่ะว่า ทุกอย่างมันคงจบแล้วจริงๆ ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องมานั่งเศร้าโศกเสียใจ อกหักได้ ก็หายได้ ยังไงชีวิตคนเราก็ต้องดำเนินต่อไปค่ะ”
ยุทธการ เอวา และนิคมีสีหน้าแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยินมากๆ
“พี่ดีใจนะที่ซันเข้มแข็งแบบนี้” ยุทธการบอก
“เพราะซันมีพี่ยุทธ เอวา แล้วก็นิคไงคะ แค่ผู้ชายงี่เง่าคนเดียว ซันไม่สนใจแล้วค่ะ แต่ต่อไปนี้ขอร้องว่าอย่าพยายามทำให้ซันกับเค้าคืนดีกันอีกนะคะ ซันไม่อยากรู้สึกอย่างวันนี้อีกแล้ว”
ยุทธการ เอวา และนิคสะอึกแล้วก็หน้าเจื่อนกันไปหมด
หลายวันต่อมา เมฆกำลังเล่นดนตรีอย่างบ้าคลั่งอยู่ในห้องทำงาน อิงฟ้าและหมอกยืนมองเมฆพร้อมกับถอนหายใจเอือมๆ
“แม่ครับ ทำไมเดี๋ยวนี้พ่อไม่เล่นกับหมอกเลย” หมอกถาม
“พ่อเค้าเหนื่อยน่ะลูก”
“เมื่อก่อนพ่อก็เหนื่อย แต่ไม่เห็นพ่อจะเป็นแบบนี้ หมอกอยากได้พ่อแบบเดิม หมอกคิดถึงพี่ซัน ทำไมพี่ซันต้องไปด้วยครับแม่”
อิงฟ้าก้มลงกอดหมอกด้วยความสงสาร
หลายวันต่อมา อิงฟ้าคุยกับยุทธการ นิค และเอวาด้วยสีหน้าเป็นกังวลมาก
“ฉันมั่นใจค่ะว่าเมฆยังรักคุณซันอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมเค้าถึงไม่ยอมปริปากพูดซักทีว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดจากอะไร”
“ถ้าเค้าอยากบอกเค้าคงบอกนานแล้วมั้งคะ แต่มันคงเป็นเรื่องที่เค้าไม่อยากพูดจริงๆ” เอวาบอก
“ทุกวันนี้เมฆอยู่อย่างซังกะตาย ถ้าขืนปล่อยไว้ ต้องเป็นโรคซึมเศร้าแน่ๆ สงสารตาหมอก ถามทุกวันว่าพ่อเป็นอะไร แล้วพี่ซันไปไหน ฉันก็ไม่รู้จะบอกลูกยังไงดี” อิงฟ้าเล่า
“อย่าว่าแต่คุณเมฆเลยครับ ซันเองก็เหมือนกัน ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมดูออกว่าซันเองก็ยังรักคุณเมฆมากเหมือนกัน” ยุทธการพูด
“งั้นเราต้องทำให้เค้ารู้ว่าต่างคนต่างยังรักกันอยู่” นิคเสนอ
ยุทธการมีสีหน้าเครียดเพราะอ่อนใจ
“แต่ซันห้ามไม่ให้พวกเรายุ่งกับเรื่องนี้แล้วนี่”
“แล้วพี่ยุทธจะยอมให้ซันตรอมใจตายเหรอคะ” เอวาย้อนถาม
ยุทธการหน้าเสียเพราะกังวลเหมือนกัน
“ฟ้าว่า ที่เอวาพูดก็ถูกนะคะ ถึงจะโกรธก็คงต้องยอมแล้วล่ะค่ะ เพื่อความสุขของเค้าสองคน อยู่ที่ว่าเราจะทำยังไงต่างหาก”
เอวาครุ่นคิดก่อนจะนึกขึ้นได้
“เอวานึกออกแล้วค่ะ”
หลังจากคุยกับจอมสยามและอิงฟ้าที่ผับ เมฆก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ
“อะไรนะครับพี่จอมจะให้ผมมีแฟนใหม่”
“ใช่สิ ก็นายไม่ชอบซันอยู่แล้วนี่ ก็มีแฟนไปเลยสิ” จอมสยามบอก
“ดีเหมือนกันนะเมฆ ฟ้าเห็นเมฆไม่มีความสุข ฟ้าก็ไม่สบายใจ อีกอย่าง ถ้าเมฆมีใครซักคน หมอกจะได้มีเพื่อนเล่นแทนที่คุณซันไง” อิงฟ้าสนับสนุน
“แต่ผมยังไม่ได้คิดเรื่องนั้น แล้วผมก็ยังไม่พร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับใครด้วย”
“ไม่คิด งั้นก็คิดเลยสิ” จอมสยามตัดบท “เอางี้เดี๋ยวพี่จะจัดการเรื่องนี้เองนะ พี่มีสาวแจ่มๆจะแนะนำให้แก ไม่ชอบไม่เป็นไร ลองไปเจอก่อน อย่างน้อยแกจะได้เปิดหูเปิดตาซะบ้าง”
พูดจบจอมสยามก็ลุกขึ้นเดินหนีออกไปทันทีโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของเมฆ
“พี่จอม เดี๋ยว พี่จอมฟังผมก่อน” เมฆพูดกับอิงฟ้า “ฟ้า”
อิงฟ้ายักไหล่ทำไม่รู้ไม่ชี้ “ฟ้าขอตัวก่อนนะคะ”
อิงฟ้าเดินออกไปเลย เมฆถอนหายใจด้วยความลำบากใจมากๆ
อิงฟ้าและจอมสยามที่เดินออกมาด้านนอกหันมายิ้มให้กัน
ตะวันฉายนั่งคุยกับเอวาแล้วก็ปฏิเสธเสียงแข็ง
“จะบ้ารึเปล่าอยู่ๆจะให้ฉันมีแฟนเนี่ยนะ”
“ก็ฉันกลัวแกเฉาตายนี่หว่า ฉันว่าแกควรจะออกไปเจอโลกภายนอกได้แล้วนะ แกฝันอยากจะเป็นนักเขียนไม่ใช่เหรอ คนเป็นนักเขียนต้องมีประสบการณ์ชีวิตเยอะๆ”
“ถูก จะได้ใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนหนังสือไงวะ” นิคเสริม
“ไปเถอะน่าซัน ไม่ได้แฟน อย่างน้อยแกก็ได้รู้ว่า เค้านัดบอดกันยังไง ดีกว่าอยู่เฝ้าบ้านสวนเป็นผีบ้านผีเรือนแบบนี้น่ะเว้ย” เอวาคะยั้นคะยอ
ตะวันฉายสีหน้าเครียดแล้วก็ครุ่นคิด
“ไม่ต้องคิดมากหรอก ถือว่าทำเพื่อพวกฉัน เพื่อนจะได้สบายใจ ทำให้ฉันเห็นหน่อยว่า แกเข้มแข็งจริง และพร้อมจะเปิดใจกับใครได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะถือว่าแกยังรักพี่เมฆอยู่” เอวาบอก
ตะวันฉายชะงักไปทันที
“ก็ได้ งั้นฉันจะไป ที่ไหน เมื่อไหร่ แกนัดมาเลย”
เอวาและนิคแอบยิ้มให้กัน
ที่หน้าห้องจัดนัดบอด เมฆเดินมาที่โต๊ะลงทะเบียนอย่างงงๆ แล้วถามพนักงาน
“สวัสดีครับ คือคุณจอมสยามบอกให้ผมมาติดต่อคุณ...”
พนักงานพูดสวนทันที “อ๋อ...คุณนภทีป์ที่จะมานัดบอดใช่ไหมคะ”
เมฆตกใจ “ห๊า นัดบอดเหรอครับ”
“ค่ะ”
ตะวันฉายเดินมาพอเห็นเมฆเธอก็ตกใจ
“เอ๊ะ นี่คุณ”
“คุณตะวันฉายใช่ไหมคะ งั้นเชิญคุณสองคนตามดิฉันมาเลยค่ะ” พนักงานบอก
พนักงานจูงมือทั้งสองเดินเข้าห้องจัดเลี้ยงไปทันที ตะวันฉายและเมฆเหวอๆ เพราะตั้งตัวไม่ทัน
ยุทธการ นิค และเอวาที่แอบดูอยู่ยิ้มขำสะใจ
“โห...พี่ยุทธแผนสุดยอดอ่ะ” นิคชม
“เดี๋ยวสองคนนั่นก็ต้องกินข้าวกัน บรรยากาศดีๆโรแมนติค คราวนี้คงรักกันแน่” เอวาบอก
“เราไปแอบดูกันเถอะ”
“พี่ว่าอย่าเลย เกิดเห็นพวกเราเขาจะเขิน ไปหากาแฟดื่มฆ่าเวลาดีกว่า” ยุทธการชวน
ยุทธการมองไปทีห้องจัดงานอย่างมีความหวัง แล้วเขาก็เดินนำนิคกับเอวาไป
พนักงานพาเมฆกับตะวันฉายเดินเข้ามาในห้องจัดงาน
เมฆกระซิบ “คุณมาทำอะไรที่นี่ห๊ะ”
ตะวันฉายโกรธ “ไม่ได้มาหาคุณละกัน”
เมฆสะอึกแล้วก็หน้าเจื่อนลง
“ผมลืมไปว่าคุณมองผมเป็นคนอื่นไปแล้ว”
ตะวันฉายชะงักหน้าเสียนิดๆ แต่พยายามทำปากแข็ง
“รู้ตัวก็ดี”
พนักงานพาทั้งสองมาที่โต๊ะ
“นี่เป็นโต๊ะของพวกคุณค่ะ”
เมฆกับตะวันฉายอึ้ง
“เอ่อ...คุณคะ ฉันขอเปลี่ยนคู่ได้มั้ยคะ” ตะวันฉายบอก
“ผมก็เหมือนกัน ผมคิดว่าผมคงไปกับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แน่ๆ” เมฆรีบพูด
ตะวันฉายสะอึก
“ใช่ค่ะ เพราะฉันก็ไม่มีวันจะคบผู้ชายคนนี้แน่นอน”
เมฆสะอึกเพราะรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยอีกคน
ตะวันฉายกับเมฆพูดพร้อมกัน “ช่วยเปลี่ยนให้เราด้วยครับ/ ค่ะ”
พูดจบทั้งสองคนก็หันหน้าหนีกัน
พนักงานพาตะวันฉายเดินมาที่โต๊ะตัวหนึ่งที่มีผู้ชายกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ ตะวันฉายเริ่มกลัวๆ
“เขาตายหรือเปล่าค่ะ” ตะวันฉายถาม
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นทำให้เห็นว่าเป็นเสี่ยหนุ่มที่ส่งยิ้มแป้นให้ตะวันฉาย ตะวันฉายยิ้มรับ เสี่ยผายมือให้นั่ง ตะวันฉายนั่งแล้วทั้งคู่ก็ยิ้มให้กัน
พนักงานพาเมฆมานั่งที่โต๊ะ ผู้หญิงฝั่งตรงข้ามกำลังเปิดกระเป๋าเครื่องสำอางใบโตแต่งหน้าทำให้เมฆมองไม่เห็นหน้า
“รอแป๊บนะคะ” สาวคนนั้นพูด
“ตามสบายครับ”
“อุ๊ย เสียงหล่อจัง”
กระเป๋าเครื่องสำอางถูกปิดทำให้เมฆเห็นหน้าสาวหน้าหมวยเต็มๆจนเขาแทบกระโดดหลบ
“เสียงเพราะแล้วหน้ายังหล่ออินเทรนด์เกาหลีอีก” สาวหมวยชม
สาวหมวยเดินมานั่งตักเมฆทันที
“ยินดีที่เราจะได้ใช้ชีวิตคู่กันค่ะ”
“เอ่อ...ผมว่าเบื้องต้นเอาแค่รู้จักกันก่อนดีไหมครับ” เมฆบอก
เมฆพูดเสร็จก็พยายามผลักสาวหมวยออก แล้วตัวเองก็แอบมองหาตะวันฉาย
ที่โต๊ะตะวันฉาย เสี่ยหนุ่มยังยิ้มแป้นให้จนตะวันฉายอึดอัด
เสี่ยหนุ่มถามเสียงห้วนๆ “ชื่ออะไรอ่ะเรา”
ตะวันฉายรู้สึกสะดุดหู “ซันค่ะ”
“มีผัวมายัง”
“นี่...ถามดีๆหน่อยสิ” ตะวันฉายว่า
ที่โต๊ะเมฆ สาวหมวยทำเสียงชื่นชม
“ชื่อเมฆเหรอคะ กรี๊ดดดด รูปหล่อ เสียงเพราะ ชื่อเท่ อ๊ายยยย อยากเป็นหงอคงจะได้ขี่เมฆ”
เมฆได้แต่ยิ้มรับแล้วมองไปเห็นตะวันฉายกับเสี่ยหนุ่มก็หมั่นไส้
“ฮึ...ระริกระรี้เลยนะ”
“ใครคะ ฉันเหรอ” สาวหมวยถาม
“เอ่อ....เปล่าครับ”
“ว้า...ไม่ใช่เหรอ แต่ฉันระริกระรี้นะคะ อยากได้มาก คุณเมฆอ่ะ อยากได้จริงๆนะ”
สาวหมวยกัดฟันทำท่าเซ็กซี่ เมฆเห็นแล้วแทบอยากเป็นลม
ที่โต๊ะตะวันฉาย
“แล้วนี่มาหาผัวนี่จะจับคนรวยใช่ป่ะ” เสี่ยหนุ่มถาม
“นี่คุณ ถ้าพูดไม่ดีอีกคำเดียวฉันไม่ไว้หน้านะ”
เสี่ยหนุ่มลุกเดินมาหาตะวันฉายแล้วจับหน้าตะวันฉาย
“อย่าเล่นตัวเลย ผู้หญิงคนไหนไม่ชอบเงิน ฉันมีเงินนะ แต่งงานกันเลยไหม อยากได้เท่าไหร่บอกมา”
ตะวันฉายลุกขึ้นทันที “นี่ ไอ้อ้วนฟังนะ หน้าแบนๆหุ่นเตี้ยๆอย่างนี้ ฉันไม่แต่งด้วยหรอก จะเอาไปเฝ้าบ้านยังคิดแล้วคิดอีกเลย กลัวเห่าไม่ดัง”
“เฮ้ย...มาด่ากันได้ไง ปากเสียนี่”
ตะวันฉายยิ้ม “ก็ใครเสียก่อนฉันก็เสียกลับแหล่ะ”
ตะวันฉายจะเดินไปแต่เสี่ยหนุ่มรีบจับมือไว้
“ไปไหนล่ะ ฉันยังอยากคุยต่อ สวยๆดุๆแบบนี้ชอบ อยากได้”
“ปล่อยมือฉัน”
“ไม่ปล่อย มือนุ่มดี...ชอบ”
ตะวันฉายโมโหจึงเอาส้นสูงตอกเท้าเสี่ยจนร้องจ๊าก แล้วตะวันฉายก็ตอกอีกข้างจนครบสองเท้า เสี่ยงอตัวลงไปจับเท้าตัวเอง
“เธอรู้ไหมฉันลูกใคร” เสี่ยหนุ่มถามทันที
“ลูกใครฉันไม่รู้ แต่ประโยคแบบนี้พวกมีพ่อเลวๆจะพูดกัน”
ตะวันฉายจะเดินไปแต่เสี่ยหนุ่มคว้าตัวมากอดทันที
เมฆเห็นเหตุการณ์ก็รีบลุกไปทันที สาวหมวยรีบเดินตามไป เมฆพุ่งมาที่โต๊ะเสี่ยหนุ่มแล้วแกะมือเสี่ยออกจากตัวตะวันฉายก่อนจะชกทันที
“มึงเป็นใครวะ ถอยไป อย่ายุ่ง” เสี่ยหนุ่มว่า
“แกนั่นแหล่ะ ห้ามยุ่งกับผู้หญิงคนนี้” เมฆเสียงแข็ง
“ใหญ่มาจากไหนวะถึงกล้ามาสั่ง”
เสี่ยหนุ่มจะเข้าไปแต่เมฆขวางไว้แล้วชกอีก
“ตำรวจ ใครเรียกตำรวจที” เสี่ยหนุ่มตะโกนลั่น
“ดี...เรียกมาเลย ฉันจะฟ้องว่าคุณทำอะไรฉันบ้าง กล้องวงจรปิดก็มี” ตะวันฉายบอก
เสี่ยหนุ่มหุบปากไปทันทีแล้วก็จะเดินหนีแต่ไปปะหน้ากับสาวหมวย ทั้งสองมองตากันซึ้งแล้วจูงมือกันไปนั่งคุยกันที่โต๊ะของสาวหมวย
พอเห็นเสี่ยหนุ่มไปกับสาวหมวยแล้วเมฆกับตะวันฉายก็หันมามองหน้ากัน แล้วเมฆก็ตัดสินใจจูงมือตะวันฉายเดินออกไปทันที