ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 7
ตะวันฉายรีบเดินจ้ำออกมาจากห้องทำงาน ก่อนจะหยุดแล้วหันไปมองทางห้องทำงาน พอคิดถึงตอนที่เมฆเอาหน้ามาใกล้แล้วเธอก็รู้สึกคันแก้มขึ้นมาทันที เก่งเดินเข้ามาเห็นอาการตะวันฉายก็งงๆ
“เป็นอะไรวะซัน”
“ผมอ่ะไม่ได้เป็นหรอกพี่เก่ง เจ้านายพี่มากกว่า”
เก่งตกใจ “คุณเมฆเป็นอะไร? ไม่สบายเหรอ เฮ้ย แล้วทำไมไม่รีบบอกพี่จะได้ไปประจบ ตายล่ะ ป่านนี้เป็นไงบ้างไม่รู้ ไหนๆคุณเมฆอยู่ไหน”
เก่งวิ่งวนหาตามซอกตามมุม ตะวันฉายเดินมาดึงคอเสื้อ
“โอ๊ยพี่เก่ง จะตื่นทำไม ร่างกายเขาสบายดี” ตะวันฉายว่า
เก่งงง “อ้าว...ตกลงเขาเป็นอะไร”
“เป็นตุ๊ดมั้ง พี่ระวังไว้หน่อยก็ดีนะ วันนี้เจ้านายเราดูแปลกๆไงก็ไม่รู้” ตะวันฉายขนลุก “อี๋ คิดแล้วคันหน้า”
แล้วตะวันฉายก็เดินออกไป เก่งเกาหัวด้วยความงง
ตะวันฉายป้อนข้าวหมอกที่อยู่ในชุดนอน อิงฟ้าในชุดใหม่เดินลงมา ตะวันฉายกับหมอกมองอิงฟ้าแล้วก็อึ้งในความสวย
“แม่สวยจัง” หมอกชม
อิงฟ้ายิ้ม “ปากหวานเหมือนกันนะเรา มาให้แม่ป้อนข้าวให้นะ”
อิงฟ้าเดินไปแทนที่ตะวันฉาย ตะวันฉายลุกขึ้นจะเดินออกไปแต่อิงฟ้าเรียกไว้
“จะไปไหน” อิงฟ้าถาม
“ถ้าคุณฟ้าป้อนข้าวคุณหมอก ผมก็จะไปล้างจานครับ”
“เดี๋ยวเมฆมาฉันก็จะไปแล้ว”
ตะวันฉายฟังแล้วก็งงๆกับท่าทีของอิงฟ้าแต่เธอก็ยืนอยู่ เมฆในชุดใหม่เดินมาที่โต๊ะอาหาร
“ฟ้ากำลังปรับตัวกับลูก หมอกน่ารักนะเมฆ ไม่ดื้อกับฟ้าเลย” อิงฟ้าบอก
เมฆพยักหน้ารับรู้
“หมอกครับ พ่อไปทำงานนะ เดี๋ยวหมอกทำการบ้านแล้วรีบนอนนะครับ”
อิงฟ้ารีบส่งช้อนให้ตะวันฉายแล้วเดินไปหาเมฆ
“ฟ้าแต่งตัวแล้ว ให้ฟ้าไปด้วยนะ” อิงฟ้าบอกเมฆ
เมฆงง “ฟ้าจะไปด้วย?”
“ฟ้ารู้ว่าเมฆไม่อยากให้ไป แต่ฟ้าอยากจะทลายกำแพงในใจเมฆ ให้ฟ้าไปเถอะนะ”
อิงฟ้ายิ้มให้เมฆแล้วจับมือเมฆ เมฆหันไปมองตะวันฉายก็เห็นตะวันฉายมองอยู่ก่อนที่เธอจะหลบตา อิงฟ้าเห็นเมฆเงียบยิ่งได้ใจจึงจับมือเมฆบีบแน่น แต่เมฆถอยห่าง
“ฟ้า...ปรับตัวกับลูกได้ดีนี่” เมฆบอก
อิงฟ้าดีใจ “เมฆเห็นแล้วใช่ไหม อีกไม่นานทุกอย่างจะต้องเป็นไปในทางที่ดี”
เมฆปล่อยมือจากอิงฟ้า “งั้นทำไมฟ้าไม่อยู่กับหมอกทั้งคืนล่ะ ทำหน้าที่แม่ที่กำลังไปได้ดี ผมเอาใจช่วยนะ”
“เมฆ”
เมฆพูดกับตะวันฉาย “ซัน...ไปกับฉัน”
ตะวันฉายยังไม่ทันจะพูดอะไร เมฆก็มาดึงมือตะวันฉายแล้วลากไปด้วยกัน อิงฟ้างง
“อะไรเนี่ย นี่เมฆจูงนายนั่นไปอีกแล้วเหรอ” อิงฟ้าจะเดินไป
“แม่ครับ” หมอกเรียก อิงฟ้าหันไป หมอกยืนช้อนข้าวให้ อิงฟ้าถอนใจแล้วเดินกลับไปนั่งป้อนข้าวหมอกอย่างเซ็งๆ
รถของเมฆแล่นเข้ามาจอดในลานจอด รถของผับ เมฆเดินลงมา แล้วตะวันฉายก็เดินตามลงมา
“คุณเมฆครับ คุณจะลากผมมาทำไม”
“ก็ลากมาฟังเพลงไง”
“แล้วผมออกมาอย่างนี้ คุณไว้ใจคุณอิงฟ้าให้ดูแลคุณหมอกเหรอครับ”
“อิงฟ้าเขาเป็นแม่แท้ๆของหมอกนะ ไอ้เก่งก็อยู่นายจะกลัวอะไร”
ตะวันฉายบ่น “แล้วถามผมสักคำไหมอ่ะว่าอยากฟังหรือเปล่า”
“บ่นอะไร ก็ตอนนี้ฉันอยากให้ฟ้ากับหมอกใกล้ชิดกัน นายมีปัญหาอะไร”
“ไม่มีครับ”
“เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ นายก็ปล่อยให้อิงฟ้าเขาดูแลหมอก ส่วนนาย ฉันอยู่ไหนก็มาอยู่กับฉัน”
ตะวันฉายตกใจ “หมายความว่าไง”
“ทำงง ก็นายต้องไปทุกที่ทุกหนทุกแห่งกับฉัน”
“ผมมาเป็นพี่เลี้ยงคุณหมอกนะครับ ไม่ได้มาเป็นพี่เลี้ยงคุณเมฆ”
“ถ้าไม่รับงานนี้ฉันก็คงไม่จ้างนาย เดี๋ยวให้เอวารับนายกลับไปเลย”
เมฆพูดจบก็จะเดินไป ตะวันฉายนึกเจ็บใจแต่ก็ต้องรีบวิ่งตามไป”
“ได้ครับ งั้นผมมาเป็นพี่เลี้ยงคุณก็ได้”
เมฆสะดุ้ง “เอาเป็นว่ามาเป็นคนตามดีกว่าไหม”
เมฆยื่นมือมาให้จับ ตะวันฉายลังเล เมฆยักคิ้ว ตะวันฉายเลยจำใจต้องจับมือกับเมฆ เมฆบีบมือแน่นจนตะวันฉายต้องหลบตา
“นายคิดถูกแล้ว ฉันรู้ว่าบ้านนายจนมาก ลำบากมาก แร้นแค้นมาก การทำงานกับฉันเป็นสิ่งที่นายต้องการที่สุด”
เมฆยิ้มแล้วเดินเข้าผับไป ตะวันฉายมองตามงงๆ แล้วก็ส่ายหน้าไม่เข้าใจ
หลังจากฟังตะวันฉายเล่า นิคกับเอวาก็ทำหน้าตื่นตกใจ
นิคกับเอวาพูดพร้อมกัน “พี่เลี้ยงพี่เมฆ?”
“เบาๆสิ ป่านนี้นายนั่นอยู่ในห้องน้ำล้มหัวฟาดโถฉี่แล้วมั้ง”
“นี่พี่เมฆเขาเอาแกเป็นไม้กันหมานะไอ้ซัน” นิคบอก
“ฉันรู้แล้ว แต่ก็แปลกนะ นายนั่นน่ะดูยังรักเมียอยู่มาก แล้วจะหนีทำไม”
“เรื่องนั้นน่ะช่างเถอะ แต่ถ้าเป็นอย่างงี้แกก็ลำบากละสิ”
“แต่มองอีกมุมก็ดีนะ การอยู่ใกล้พี่เมฆมันก็เท่ากับโอกาสได้ข้อมูลพี่ธีร์ง่ายขึ้น” เอวาบอก
“มันก็จริงอย่างเอวาว่านะ นึกแล้วก็ขำดีนะ สมัครไปเป็นพี่เลี้ยงลูก แต่ต้องมาเป็นพี่เลี้ยงพ่อซะงั้น” นิคเล่นมุก
“ตลกมากเลยนะนิค ฉันไม่ตลกนะเว้ย” ตะวันฉายเครียด
“ไม่ตลกแล้วแกจะร้องไห้เหรอ พูดยังกับแกมีทางเลือก”
ตะวันฉายทำหน้ามุ่งมั่นจริงจัง “มีสิ เพราะถ้าฉันได้ข้อมูลพี่ธีร์แล้วติดต่อพี่ธีร์ได้เมื่อไหร่ ฉันก็ไม่ต้องอยู่บ้านนั้น”
“ไอ้เมื่อไหร่ของแกน่ะเมื่อไหร่หา” เอวาถาม
ตะวันฉายตอบทันที “Tonight!”
พูดจบเมฆก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพักนักดนตรี ทั้งสามวงแตกรีบทำเป็นคุยเรื่องอื่น
“ซัน เสื้อใหม่เหรอ โห...หล่อนะเนี่ย” เอวาทำเป็นทัก
“ครับ...ขอบคุณครับคุณเอวา” ตะวันฉายตามน้ำ
เมฆเดินเข้ามาหา ทั้งสามรีบยิ้มให้เมฆ เมฆยิ้มตอบ
เมฆยิ้ม “เสื้อตัวนี้ซันมันใส่ตั้งแต่วันที่เอวากับนิคพามาบ้านพี่วันแรกไง จำกันไม่ได้เหรอ แปลกแฮะ” เมฆมองตะวันฉาย
ทั้งสามยิ้มรับเจื่อนๆ เมฆเดินไปนั่งเปิดโน้ตเพื่อเตรียมทำงาน
ภาพกราฟฟิครูปตะวันฉายจำนวนมากถูกดึงมาใส่ E-Card ที่มีรูปหัวใจและข้อความเขียนว่า “Happy Birthday my dearest Sun. With love you always, P’ Yuth.” ยุทธการนั่งมองการ์ดนั้นจากหน้าจอแล้วยิ้มอย่างมีความสุข ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ยุทธการรีบเปลี่ยนหน้าจอเป็นข่าวการเมืองทันที ก่อนจะรีบเดินไปเปิดประตู พงษ์พัฒน์กับมยุรีเดินเข้ามา พอเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์มยุรีก็ส่ายหน้า
“ตายแล้วลูกฉัน วันๆอ่านแต่ข่าว เดี๋ยวนี้เลิกโรแมนติคแล้วเหรอลูก”
“นั่นนะสิ ตั้งแต่เต้นรำใต้แสงจันทร์กับหนูซันคราวที่แล้ว ได้ทำอะไรไปอีกหรือเปล่า” พงษ์พัฒน์ถาม
“ก็ยังไม่มีโอกาสครับ” ยุทธการตอบ
พูดจบยุทธการก็ลอบถอนหายใจ มยุรีมานั่งข้างๆ แล้วพูดปลอบใจ
“งั้นแม่ก็พาโอกาสมาหาลูกแล้วล่ะ”
“คุณที่ไหนล่ะ ไอ้เกริกกับคุณรุ้งต่างหาก” พงษ์พัฒน์ขัดขึ้น
ยุทธการงง “คุณพ่อคุณแม่คุยอะไรกันครับ”
“อาทิตย์หน้ามีวันสำคัญอะไรจำได้ไหม”
“วันสำคัญ” ยุทธการนึก “วันพระใหญ่...ก็ไม่ใช่นี่ครับ”
พงษ์พัฒน์กับมยุรีกุมขมับ ยุทธการเห็นท่าทางของพ่อกับแม่ก็แอบหัวเราะ แต่พอพ่อกับแม่เงยหน้ามาเขาก็หุบยิ้มทันที
“ให้มันได้อย่างนี้สิลูกชาย เอ้าใบให้ อาทิตย์หน้ามีวันเกิดใครที่สำคัญมากๆ”
“สำคัญมากๆ....อองซานซูจี” ยุทธการแกล้งตอบ
มยุรีทำท่าหงายหลัง ยุทธการรีบประคองแม่มากอดแล้วพูดอ้อน
“ผมทราบครับว่าวันเกิดซัน”
มยุรีกับพงษ์พัฒน์มองหน้ากันด้วยความดีใจ
“แสดงว่าเตรียมของขวัญไว้แล้วสิ”
ยุทธการพยักหน้ารับ “แล้วเมื่อกี้ที่คุณพ่อคุณแม่กับอาเกริกอารุ้งบอกพาโอกาสมาให้ผมนี่คืออะไรครับ”
“เอาของขวัญให้น้องเขาไง” พงษ์พัฒน์บอก
“ผมไม่หวังจะได้เจอเขาหรอกครับ บางทีเขาอาจจะยุ่งอีกตามเคย แต่ผมก็จะไปฝากไว้ที่คอนโดนะครับ”
“ฝากทำไม อาเกริกกับอารุ้งจะมาที่นี่ แต่เราจะบุกไปเซอร์ไพรส์ซันกันที่คอนโดเลย”
“จะดีเหรอครับ” ยุทธการไม่แน่ใจ
“ดีสิ แล้วเซอร์ไพรส์ที่สองพ่อก็จะสู่ขอหนูซันซะเลยดีไหม” พงษ์พัฒน์ถาม
ยุทธการยิ้มดีใจจนเก็บความรู้สึกไม่อยู่ พงษ์พัฒน์กับมยุรียิ้มที่เห็นลูกชายมีความสุข
เมฆบรรจงพรมนิ้วลงบนคีย์เปียโน นิคกับเอวาต่างก็เล่นดนตรีประสานกันเต็มที่ ตะวันฉายยืนฟังเพลงอยู่ที่มุมหนึ่งข้างเวทีแล้วเผลออมยิ้ม ตะวันฉายมองเมฆที่เล่นดนตรีอย่างตั้งใจแล้วก็ยิ้ม เมฆมองกลับมาที่ตะวันฉาย ตะวันฉายรู้ตัวจึงรีบหุบยิ้มแล้วทำเป็นมองไปทางอื่น เมฆอมยิ้มขำแล้วเล่นต่อ
ยุทธการ Print การ์ดออกมาด้วยกระดาษอย่างดี แล้วนั่งดูการ์ดอย่างมีความสุข เขาเอาการ์ดใส่ซองแล้ววางบนโต๊ะ ยุทธการเปิดลิ้นชักหยิบกล่องออกมาเปิดดูกำไลเพชรที่อยู่ในกล่อง เขาปิดกล่องแล้วหยิบกระดาษห่อของขวัญมาวัดก่อนจะบรรจงตัด แล้วยุทธการก็ห่อของขวัญด้วยความตั้งใจ
หมอกวิ่งเล่นรอบบ้าน อิงฟ้าพยายามเรียกหมอกให้มาทำการบ้าน แต่หมอกไม่ยอมทำตาม อิงฟ้าเริ่มโมโห เก่งช่วยวิ่งไล่ อิงฟ้าเริ่มอารมณ์เสียมากขึ้นจึงวิ่งดักจะคว้าตัวแต่ก็จับตัวไม่ได้จึงหันไปดุเก่ง หมอกวิ่งยั่วอิงฟ้าอย่างสนุกสนาน อิงฟ้าตัดสินใจคว้าหมอกแต่ก็ล้มลงไปทั้งคู่
อิงฟ้าเงื้อมือจะตีหมอก เก่งปิดตาทันที แต่อิงฟ้าก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหมอกหัวเราะหน้าเป็นสนุกสนานแลดูน่ารัก หมอกเห็นอิงฟ้าชะงักก็เอามือจั๊กจี้ที่คออิงฟ้าจนอิงฟ้าต้องหัวเราะออกมา แล้วสองแม่ลูกก็เล่นจั๊กจี้กัน หมอกสู้อิงฟ้าไม่ได้จึงตัดสินใจกระโดดกอดอิงฟ้าแน่น
“หมอกยอมแล้วครับแม่ พอแล้วครับแม่”
อิงฟ้าถึงกับอึ้งไป เธอจับตัวหมอกมามองให้เต็มตา หมอกยิ้มให้เธอ อิงฟ้าละอายใจจึงรีบลุกขึ้น
“เก่ง พาหมอกไปนอนเถอะ” อิงฟ้าสั่ง
“หมอกอยากเล่นอีก” หมอกบอก
“พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนนะครับ” อิงฟ้าบอก
“งั้นพรุ่งนี้แม่มาเล่นกับหมอกอีกนะครับ”
อิงฟ้าพยักหน้า เก่งเดินมาจูงมือหมอก
เก่งพูดกับอิงฟ้า “คุณฟ้าไม่พาคุณเก่งขึ้นนอนด้วยเหรอครับ”
อิงฟ้าส่ายหน้า หมอกกระโดดขึ้นขี่หลังเก่งแล้วทั้งสองก็เดินร้องเพลงออกไป อิงฟ้าเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปด้วยความกลุ้มพร้อมกับเอามือจับสร้อยและจี้ที่คอของตัวเองไปด้วย
เมฆ ตะวันฉาย เอวา และนิคนั่งกินอาหารด้วยกันอยู่ที่ร้านอาหารริมถนน
“ผมว่าวันนี้พี่เมฆจัดหนักที่สุดเลยนะครับ คนดูชอบกันมากเลยครับ” นิคบอก
“ถ้าเราเล่นแบบปล่อยของกันทุกคืนอย่างนี้ ผู้จัดการคงรักเราแย่เลยนะคะ” เอวาพูด
“เฮ้ย...พี่ก็เล่นเต็มที่ของพี่อย่างนี้ทุกคืนนะ” เมฆบอก
“แต่วันนี้พี่เมฆดูมีความสุขเป็นพิเศษ” เอวาแย้งขึ้น
“งั้นเหรอ พี่ก็ปกตินะ มาเล่นดนตรี เสร็จแล้วก็กลับไปดูนายหมอกนอนหลับ นี่ล่ะความสุขของพี่”
นิคหลุดปาก “นึกว่ากลับไปหาแม่น้องหมอกซะอีก”
พูดจบทุกคนก็ชะงักในท่าถือช้อนส้อมค้างกันทั้งสี่คน
ตะวันฉายตาทำตาโตมองเอวา เอวามองนิค ส่วนนิคมองเมฆ เมฆมองตะวันฉาย ตะวันฉายทำช้อนตกทันที
รถของเอวาแล่นมาจอดหน้าคอนโดของเอวา นิคกับเอวาก้าวลงมา เอวาจ้องหน้านิคด้วยความไม่พอใจ นิคเดินมาง้อ
“เฮ้ย แกจะไม่พูดกับฉันจริงๆเหรอวะ โกรธเว่อร์ไปป่ะ พี่เมฆเขาก็เงียบดีไม่เห็นพูดอะไร”
“อย่างงี้สิน่ากลัว แกก็รู้นิสัยพี่เมฆ ถ้าเรื่องไหนเขาอยากให้เรารู้เขาบอกเอง แต่ถ้าเรื่องไหนไม่ให้เราสองคนรู้ ง้างไงก็ไม่เคยบอก” เอวาบอก
“ก็คนมันหลุดปากนี่หว่า”
“แกแค่หลุดปาก ไอ้ซันน่ะสิ ไม่รู้จะเป็นไงบ้าง งานนี้ไอ้ซันเล่นเผยความลับที่เขาเก็บงำมานานด้วย”
เอวารู้สึกเป็นห่วงเพื่อน
เมฆขับรถฟังเพลงอย่างอารมณ์ดีมาตามทางริมแม่น้ำ ตะวันฉายคอยเหลือบมองด้วยความสงสัยแต่ไม่พูดอะไร เมฆขับรถมาจอดที่ริมแม่น้ำ ตะวันฉายมองไปรอบๆด้วยความสงสัย
“ทำไมเรามาที่นี่ล่ะครับ” ตะวันฉายถาม
เมฆไม่สนใจตอบ เขาเปิดประตูเดินลงไปยืนดูแม่น้ำ ตะวันฉายมองเมฆจากในรถด้วยความหงุดหงิด แล้วเธอก็ตัดสินใจเปิดประตูเดินตามลงไปยืนใกล้ๆ
“วันนี้ขี้เกียจกลับบ้าน ไปเดินเล่นไหม” เมฆชวน
ตะวันฉายตกใจ “ตอนนี้น่ะเหรอครับ”
“ที่ฉันพูดน่ะหมายถึงเมื่อวานนี้มั้ง”
เมฆพูดจบก็เดินหนีไป ตะวันฉายมองตามแล้วรู้สึกอยากตบมากๆ แต่ทำได้แต่ทำท่าตบลมจากด้านหลังแล้วกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ พอได้สติเธอมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นใครก็เริ่มรู้สึกกลัว ตะวันฉายรีบจะเดินกลับไปขึ้นรถแต่ทันใดนั้นรถก็ล็อคทันที ตะวันฉายหันขวับไปเห็นเมฆยืนกดรีโมทแล้วเอาใส่กระเป๋าพร้อมกับยิ้มกวน
“อุ๊บส์...ลืมล็อครถ” เมฆว่า
เมฆเดินไป ตะวันฉายโมโหแต่ก็ต้องรีบเดินตามไป
เมฆกับตะวันฉายเดินอยู่ด้วยกัน เมฆเดินมองวิวนิ่งๆเงียบๆ จากบนสะพาน
“ถ้าคุณเมฆโกรธผมจะด่าว่าอะไรผมก็ได้นะครับ” ตะวันฉายบอก
“เรื่องอะไร” เมฆถามกลับ
“ก็ที่ผมพูดเรื่องคุณอิงฟ้าให้คุณนิคกับคุณเอวาฟัง”
“แล้วไง”
“คุณไม่โกรธเหรอ มันเป็นความลับของคุณนี่ครับ”
เมฆพูดเรื่องอื่นทำเหมือนไม่สนใจ “ตรงโน้นสวยดีเน๊อะ จะว่าไปเดินเล่นกลางคืนก็ดีนะ ฉันน่าจะจัดโปรแกรมทัวร์ให้แขกที่ jet lag มาเดินเล่นตอนกลางคืนนะ”
“กลัวจะเป็นโปรแกรมให้แขกมาโดนจี้ละไม่ว่า ถ้าผมเป็นลูกทัวร์ต่อให้ jet lag ตลอดโปรแกรมก็ไม่ยอมมาเดินแบบนี้หรอกครับ”
“รู้เหรอว่า jet lag คืออะไร” เมฆถามสวนไปทันที
ตะวันฉายนึกได้ “เอ่อ...ผมก็ไม่รู้หรอกครับ เห็นคุณพูดก็พูดตามๆไป”
เมฆยิ้ม “ฉันก็นึกอยู่แล้ว”
ตะวันฉายกับเมฆเดินไปด้วยกันต่อ
จู่ๆ เมฆก็พูดออกมา “มันก็ใช่นะ”
ตะวันฉายงง “อะไรครับ”
“การที่นายเคยเป็นคนของเอวามาอยู่ที่นี่ ฉันก็รู้แล้วว่าอาจจะปิดเรื่องบางเรื่องไว้ไม่ได้” เมฆยักไหล่ “ก็ต้องทำใจ”
“โห...คุณเมฆ จะเลี้ยวก็ช่วยเปิดไฟด้วยสิครับ เดี๋ยวคุยเรื่องโน้น เดี๋ยวกลับมาเรื่องนี้ ผมตามไม่ทันเลย”
เมฆหยุดเดินแล้วหันมาจ้องหน้าตะวันฉาย
“คนเราทุกคนมีความลับกันทั้งนั้น...ใช่ไหม”
ตะวันฉายชะงัก “เอ่อ...ไม่ทราบสิครับ”
“มันเป็นเรื่องปกติ คนอื่นอยากรู้ความลับฉัน ฉันก็อยากรู้ความลับคนอื่น มันขึ้นอยู่ว่าใครจะเก็บได้เก่งกว่ากัน และใครจะหาเจอก่อนกัน”
“คุณเมฆพูดอะไรผมไม่เข้าใจ”
ตะวันฉายเริ่มงงในสิ่งที่เมฆพูด เมฆเลยหัวเราะออกมา
“นายไม่ต้องต้องเข้าใจทุกอย่างที่ฉันพูดหรอก เอาเป็นว่าฉันชวนนายมาเดินเล่น ไม่ได้ชวนมาทำความเข้าใจอะไรมากมาย โอเคไหม”
เมฆเดินไปเลย ตะวันฉายยิ่งแปลกใจ
“เฮ้ย...อะไรของเขาวะ”
ทั้งสองคนเดินดูของที่ขายบนสะพาน ทั้งสองเดินผ่านขนม เมฆไม่สนใจ ตะวันฉายหยุดซื้อขนมกิน ตะวันฉายเดินดูดอกไม้ พอเห็นดอกไม้สวยเลยเผลอแวะดู แต่พอเห็นเมฆจ้องก็ทำเป็นเดินต่อ เมฆมองขำๆ
อิงฟ้าเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง เธอดูนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาตีหนึ่งกว่า อิงฟ้ารู้สึกหงุดหงิดแล้วก็ได้ยินเสียงรถจึงรีบเดินไปดูที่หน้าต่าง เธอเห็นรถเมฆแล่นเข้ามาจอด เมฆกับตะวันฉายลงจากรถ เก่งเดินหาวเข้าบ้านไปพร้อมกับตะวันฉาย เมฆหยิบของแล้วเดินตามเข้าบ้านไป อิงฟ้ามองแล้วยิ้ม เธอเดินกลับมาที่หน้าโต๊ะเครื่องสำอางก่อนจะบรรจงถอดเสื้อคลุนออกแล้วเอาน้ำหอมมาแต้มตามตัวแล้วยิ้มให้กระจก
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ตะวันฉายก็เดินเช็ดหัวเข้ามาในห้อง เธอแขวนผ้าเช็ดตัวแล้วเดินวนไปวนมาในห้อง ก่อนจะหยิบนาฬิกามากดดูเวลาแล้วยิ้มพอใจ เธอรีบหยิบกุญแจที่ปั๊มมาออกมาจากที่ซ่อนแล้วรีบออกไปจากห้องทันที
เมฆที่ยังไม่ได้อาบน้ำและเปลี่ยนชุดกำลังนั่งเล่นเปียโนแล้วแต่งเพลงอยู่ในห้องทำงาน ตะวันฉายค่อยๆ ย่องมาดูพอเห็นเมฆยังทำงานก็กระทืบพื้นด้วยความไม่พอใจ
“ฮึ่ยยยย!”
ตะวันฉายตัดสินใจหาที่ซุ่มนั่งรออยู่ใกล้ๆ
ทันใดนั้นอิงฟ้าในชุดนอนก็เดินลงมา อิงฟ้าพยายามจะเปิดประตูห้องทำงานแต่ประตูล็อค
อิงฟ้าเคาะ “เมฆ....เมฆ เปิดประตูให้ฟ้าหน่อย”
เมฆที่เล่นเปียโนอยู่ด้านในรู้สึกหงุดหงิดเลยเอาหูฟังมาใส่ อิงฟ้ายังเคาะประตูอยู่
“เมฆ ฟ้ามีเรื่องอยากคุยด้วย....เมฆ”
อิงฟ้าอารมณ์เสียจึงเดินไปที่มุมหนึ่งใกล้ๆกับที่ตะวันฉายแอบอยู่ ตะวันฉายตกใจจึงพยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดแล้วค่อยๆถอยออกมาก่อนจะรีบหนีไป อิงฟ้าเห็นหลังไวไว พอรีบวิ่งไปดูก็เห็นเป็นหลังของตะวันฉาย
“ซัน” อิงฟ้ามองด้วยความสงสัย
เช้าวันใหม่ หมอกนอนหลับอยู่บนเตียง ประตูห้องค่อยๆ เปิดเข้ามา ตะวันฉายเดินเข้ามาหาหมอกที่ข้างเตียง
“ตื่นได้แล้วครับคนเก่ง”
หมอกเอาผ้าคลุมโปงทันที
“นั่นแน่ นึกว่าจะหนีพี่ซันพ้นหรอ”
ตะวันฉายแกล้งจั๊กจี้หมอก
“นี่แน่ะๆๆๆ”
หมอกเปิดผ้าห่มออกแล้วดิ้นไปมา
“ไม่เอานะพี่ซัน ฮ่าๆๆๆ”
“จะตื่นมั๊ย จะตื่นมั๊ย”
ทันใดนั้นหมอกก็เผลอเตะเข้าที่ก้านคอตะวันฉายเต็มแรง
ตะวันฉายร้อง “โอ๊ยยยย!!!”
ตะวันฉายทรุดตัวลงบนเตียงพร้อมกับเอามือกุมคอ หมอกชะงักทันทีแล้วหันมาถามหน้าเหวอๆ
“พี่ซันเป็นไรครับ”
ตะวันฉายจูงหมอกในชุดนักเรียนเดินออกมานอกห้องพลางเอามือกุมคอไปด้วย
“พี่ซันยังไม่หายปวดหรอครับ” หมอกถาม
“จะหายได้ไงครับ ก็น้องหมอกเล่นเตะซะอย่างกับพี่ซันเป็นกระสอบทราย”
เมฆเดินผ่านมาเห็นหมอกและตะวันฉายกำลังคุยกันก็หันมาถามด้วยความสนใจ
“คอเป็นอะไรห๊ะซัน”
หมอกพูดหน้าตาเฉย “หมอกเตะก้านคอพี่ซันครับ”
“โอ้โห้ ยอมรับหน้าระรื่นอย่างนี้ อยากได้เข็มขัดแชมป์โลกหรอครับ” ตะวันฉายแซว
หมอกหัวเราะชอบใจ
“แล้วเป็นไงบ้าง ปวดมากหรือป่าว” เมฆถาม
“สงสัยคอจะเคล็ดมั้งครับ”
ทันใดนั้น เก่งก็เดินผ่านมาพอดี เมฆนึกอะไรได้จึงหันไปเรียก
“เก่ง”
“ครับคุณเมฆ”
“ไปเอายามานวดให้ซันไป คอมันเคล็ด”
ตะวันฉายชะงักรีบปฏิเสธอย่างลนลาน
“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเองได้”
“เถอะน่า ด๋ยวเกิดมันปวดหนักกว่าเดิมจะทำยังไงห๊ะ”
พูดจบเมฆก็แอบยิ้มกรุ่มกริ่ม
เก่งหัวเราะชอบใจสุดๆ ตะวันฉายหันมาค้อนทั้งเก่งทั้งเมฆแล้วแกล้งกระแทกเก่งจนตกลงสระว่ายน้ำ เก่งหันมาโวยวาย
“เฮ้ย ไอ้ซันนี่แกแกล้งฉันหรอ”
“อุ๊ย โทษทีพี่เก่ง ผมเดินสะดุด”
เมฆหมั่นไส้จึงลุกขึ้นก่อนจะหันมาคว้ามือหมอก
“ไปหมอก เข้าบ้านกันดีกว่าลูก”
เมฆจูงหมอกแล้วเดินสวนตะวันฉายก่อนจะแกล้งกระแทกตะวันฉายให้ตกน้ำบ้าง
“ ตู้ม”
ตะวันฉายหันมาโวยวาย
“เฮ้ย นาย เฮ้ย คุณเมฆ!!!”
เมฆกับหมอกขึ้นรถแล้วเมฆก็ขับออกไป เก่งวิ่งไปเปิดประตูให้ พอรถออกไปแล้ว ตะวันฉายก็รีบเดินไปหาเก่ง
“พี่เก่งครับ วันนี้ผมไปทำความสะอาดให้เหมือนเดิมนะครับ”
เก่งทำเป็นรำคาญ “ตกลงเอ็งมันหน้าที่อะไรกันแน่วะเนี่ย ยุ่งกับพี่จริงๆ”
“ตกลงคือพี่จะทำ?”
“เอ็งทำสองชั้นเลยนะ”
ตะวันฉายยิ้ม “ได้เลยพี่ พี่ไปทานข้าวให้อร่อยนะ เสร็จแล้วก็งีบต่อได้เลย”
เก่งจะเดินไปแล้วนึกได้ “อ้อ...แล้วระวังอย่างเสียงดังล่ะ เมื่อวานพี่ดูดฝุ่นคุณอิงฟ้าแกนอนไม่ได้ออกมาดุพี่ด้วยนะเว้ย”
“รับรองพี่ ผมจะไม่ให้ใครรู้เลย” ตะวันฉายบอก
ตะวันฉายเดินย่องมาที่ห้องทำงานของเมฆ เธอมองซ้ายมองขวาแล้วจะเปิดประตู แต่ประตูถูกล็อคจากด้านใน
“อ้าว..เฮ้ย ล็อคได้ไงอ่ะ”
ตะวันฉายขยับประตูพยายามจะเลื่อนเปิดแต่ก็เปิดไม่ได้ อิงฟ้าเดินลงบันไดมาเห็นตะวันฉายกำลังพยายามจะเปิดประตู อิงฟ้าชะงักแล้วแอบดู
ตะวันฉายพยายามคิดด้วยความหงุดหงิด เธอมองซ้ายมองขวาอีกครั้งแล้วตัดสินใจดึงกิ๊บที่ซ่อนจากด้านใน วิกผมออกมาพยายามไขประตูเข้าไป อิงฟ้าเห็นพฤติกรรมของตะวันฉายก็ตกใจ ตะวันฉายที่ยังเปิดประตูเข้าห้องไม่ได้โมโหหันหลังกลับแล้วเดินออกไป อิงฟ้าออกจากที่ซ่อนแล้วรีบกดโทรศัพท์โทรออกทันที
“เมฆ...ฟ้ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
เวลาผ่านไป เมฆกับอิงฟ้านั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก
“ฟ้าเห็นซันพยามจะเปิดประตูห้องทำงานของเมฆแต่เข้าไม่ได้”
“ผมปิดไว้เอง” เมฆบอก
“ใช่ แต่เมฆรู้ไหมว่าซันมันพกกิ๊บแล้วมันก็เอากิ๊บพยายามงัดห้องทำงาน”
เมฆตกใจ “ใช้กิ๊บงัดเลยเหรอ”
อิงฟ้าพยักหน้ารับ “ไม่ใช่แค่นี้นะ เมื่อคืนฟ้าก็เห็นซันแอบอยู่ด้านนอกห้องทำงานเมฆด้วย”
เมฆนั่งเงียบ
“เมฆ...ฟ้าว่านายซันนี่ไม่น่าไว้ใจ เมฆไล่เขาออกไปเถอะ”
“คงไม่มีอะไรหรอก”
อิงฟ้าตกใจ “ฟ้าเห็นขนาดนี้ เมฆยังบอกว่าไม่มีอะไรอีกเหรอ”
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้ผมตัดสินใจเอง”
เมฆลุกขึ้นจะเดินไปแต่ฟ้ารีบวิ่งมาดักไว้ด้วยความไม่พอใจ
“เมฆที่ฟ้าบอกเพราะฟ้าเป็นห่วงเมฆกับหมอกนะ”
“ห่วงผมกับหมอกเหรอ ฟ้ารู้สึกช้าไปถึงห้าปีเลยนะ”
อิงฟ้าจ๋อยและพูดไม่ออก แล้วเมฆก็เดินไป
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 7 (ต่อ)
เมฆไขกุญแจเปิดประตูเข้ามาแล้วมายืนที่โต๊ะก่อนจะมองไปรอบๆห้อง
“เธออยากได้อะไรในห้องนี้” เมฆพูดกับตัวเอง
เมฆมองไปที่ชั้นวางหนังสือแล้วเห็นแฟ้มของบริษัท Travel T เขาเดินไปหยิบแฟ้มมาเปิดดูแล้วคิด ก่อนจะตัดสินใจเก็บหนังสือแล้วหยิบแฟ้มของ Travel T ทั้งหมดมาวางลงบนโต๊ะ ทันใดนั้นตะวันฉายก็เดินเข้าห้องมาพร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาด
“ผมจะทำความสะอาดครับ”
“ได้สิ ฉันจะทำงาน นายจะทำอะไรก็ทำไป”
ตะวันฉายพยักหน้าแล้วเริ่มลงมือถูพื้น เมฆเดินไปนั่งแต่งเพลงที่เปียโน ระหว่างที่เมฆแต่งเพลง ตะวันฉายก็ถูรอบๆโต๊ะ แต่ตาของเธอเหลือบดูลิ้นชักไปด้วยโดยไม่ได้สนใจแฟ้มที่เมฆวางล่อไว้เลย เมฆเหลือบมาดูตะวันฉาย ตะวันฉายทำเป็นถูเนียนๆ พอตะวันฉายมองเมฆ เมฆก็หันมาแต่งเพลงต่อ ตะวันฉายถูไปจนถึงเปียโนแล้วหยุดยืนดู เมฆมองหน้าตะวันฉายด้วยความสงสัย
“คุณเมฆจะใช้คำนี้เหรอครับ “ฟังเพลงรักมามากมาย ฟังด้วยความซึ้งเท่าไหร่ ไม่รู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้เธอ” ตะวันฉายถาม
“ใช่...ทำไมเหรอ”
“ผมว่าไม่ดี”
“เก่งมาจากไหน ถึงมาติงานฉัน”
“ถ้าเนื้อเป็นว่า “ฟังเพลงรักมามากมาย ฟังใจความซึ้งเท่าไหร่ ไม่รู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้เธอ”ล่ะครับ มันน่าจะดีกว่านะครับ เพราะฟังด้วยความซึ้งมันเหมือนเรามีความรู้สึกมาก่อนที่จะฟัง แต่ถ้าฟังใจความซึ้ง มันหมายถึงว่าเรามาฟังเพลงที่มีความซึ้งซึ่งไม่ว่าเพลงนั้นจะซึ้งเท่าไหร่มันก็ไม่ดีเท่าได้ฟังกับเธอ”
เมฆอึ้งไปกับความคิดของตะวันฉาย
“คุณเมฆลองร้องดูสิครับ” ตะวันฉายบอก
“ฉันร้องไม่เป็น”
ตะวันฉายตกใจ “ห๊า...คุณไม่ร้องเพลงเหรอ แล้วเป็นนักดนตรีได้ไงครับ”
“นักดนตรี นักแต่งเพลง ไม่ใช่ นักร้อง”
“โห...ง่ายๆแค่นี้ก็ทำไม่ได้ งั้นคุณเมฆเล่น ผมจะร้องเอง”
อิงฟ้าเดินมาดูแล้วก็งง
เมฆเริ่มต้นบรรเลงเพลง ตะวันฉายเริ่มร้องตามโน้ต แต่ร้องเสียงหลงจนเมฆขำ ตะวันฉายร้องมาจนจบประโยคเจ้าปัญหา อิงฟ้าเดินออกไปด้วยความหงุดหงิด
“เป็นไงครับ ดีไหม” ตะวันฉายถาม
“เสียงนายน่ะเหรอ แย่” เมฆว่า
“โอเค...งั้นคุณเมฆก็แต่งต่อแล้วกันครับ ผมไม่ยุ่งแล้ว”
ตะวันฉายเดินไปทำงานต่อ เมฆมองตามแล้วยิ้มก่อนจะหันไปแต่งเพลงต่อ ตะวันฉายถูเสร็จแล้วก็เดินออกไป
เมฆมองให้แน่ใจแล้วเอาดินสอมาลบก่อนจะเขียนใหม่
เมฆอ่านออกเสียง “ฟังเพลงรักมามากมาย ฟังใจความซึ้งเท่าไหร่ ไม่รู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้เธอ”
เก่งกำลังอ่านการ์ตูนอยู่ในห้องนั่งเล่น อิงฟ้าเดินเข้ามาสะกิดเก่ง
เก่งพูดโดยไม่ทันดู “หายไปเลยนะไอ้ซัน”
อิงฟ้าเรียก “เก่ง”
เก่งสะดุ้งตกใจแล้วรีบพับการ์ตูนเก็บ
“คุณอิงฟ้ามีอะไรครับ แฮ่ะๆ ผมนึกว่าไอ้ซัน”
“ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ คุณเมฆกับนายซันเขาสนิทกันเหรอ”
“สนิท” เก่งงง “ไม่นี่ครับ ออกจะไม่ถูกกันซะมากกว่า”
“แน่ใจเหรอ”
“แน่คอดๆครับ ผมเห็นคุณเมฆดุด่า เขกหัวไอ้ซันประจำ ผมเนี่ยไม่เคยโดนเลยนะครับ ถ้าคุณอิงฟ้าถามว่าคุณเมฆสนิทกับผมหรือเปล่า อันนี้พอมีมูลครับ”
อิงฟ้าขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพราะไม่เชื่อเก่งแล้วเธอก็เดินไป เก่งมองตามก่อนจะเกาหัวด้วยความงง
“อะไรของเขาวะ”
ตะวันฉายกำลังทำความสะอาดเตียงของหมอก อิงฟ้าเปิดประตูมาแอบดูแล้วก็ขมวดคิ้วสงสัย
“นายมีดีอะไรทำไมเมฆถึงเข้าข้าง”
เมฆเดินวนไปเวียนมารอบๆห้องของจอมสยามอย่างใช้ความคิด จอมสยามมองตาม
“ขนาดผมวางแฟ้มที่จะใช้ประชุมประจำปีของบริษัท ยัยนั่นยังไม่สนใจเลย แสดงว่าเรื่องธุรกิจก็ตกไป”
“อยากเข้าห้องนั้น แต่ไม่สนเอกสารสำคัญ แปลกจริงๆ” จอมสยามว่า
“มีแปลกกว่านั้นอีกครับ ยัยตะวันฉายนี่ช่วยผมแต่งเพลงด้วยนะครับ” เมฆบอก
“เฮ้ย...จริงเหรอวะ งั้นก็ดีสิ นายก็ให้เขาแต่งเพลงให้เลย ถ้าใช้ได้พี่จะได้ดึงเข้าสังกัด”
“นี่พี่เมฆไม่อยากรู้แล้วเหรอครับว่าเขามาทำอะไรในบ้านผม”
“มันก็อยากรู้ แต่ก็อยากได้นักแต่งเพลงด้วย นายมันช้าเหลือเกินนี่”
“ผมก็ไม่อยากช้า แต่ยังหาวิธีจับผิดยัยนี่ไม่ได้”
เมฆคิดหนัก ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของเมฆก็ดังขึ้น
เมฆพูดกับจอมสยาม “แป๊บนะพี่ จากเลขาผม” เมฆกดรับ “ว่าไงครับ...จริงเหรอ ได้งั้นให้เขานัดวันมาเลย ผมจะไปพบได้ทุกวันเวลาที่เขาต้องการ ขอบคุณนะ”
เมฆกดวางสายแล้วยิ้มกว้าง
“มีอะไรเหรอ”
“พ่อแม่ตะวันฉายจะมาสัมมนาอาทิตย์หน้า เลยจะแวะมาเยี่ยมผมที่บริษัท” เมฆเล่า
“ฮึ...หรือพ่อแม่เขาจะมาติดตามผลงานลูกเขา” จอมสยามบอก
“ผมก็ไม่อยากมองไปในทางร้ายขนาดนั้น แต่ที่แน่ๆผมจะนัดให้สามคนพ่อแม่ลูกได้เจอกัน บางทีเราจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็คราวนี้”
“จะได้เรื่องเหรอวะ พ่อแม่ลูกกัน ก็น่าจะเล่นละครวิกเดียวกัน”
“จะยังไงก็ตาม อาทิตย์หน้าเราจะได้รู้กัน” เมฆมั่นใจ
ณ โรงเรียน Eva Music School เอวาที่อยู่ในห้องทำงานวางปากกาบนแฟ้มด้วยความตกใจ
“จริงดิ่...ฉันลืมไปเลย”
“ฉันก็นึกอยู่แล้วว่าแกต้องลืม เพราะทุกปีไอ้ซันมันต้องมาเตือนเราให้เตรียมของขวัญล่วงหน้าให้มันเป็นเดือน” นิคบอก
“ปีนี้คงยาก จะออกจากบ้านพี่เมฆมากินสุกี้กะเราสองคนสักมื้อก็ไม่น่าจะได้”
“งั้นเราให้ของขวัญมันก็พอเน๊อะ”
“อืมมม...ก็ได้ เรื่องเลี้ยงข้าวก็แล้วแต่มันแล้วกัน”
“เราจะไปซื้อของขวัญให้มันเมื่อไหร่ดีล่ะ” นิคถาม
เอวาคิดแล้วก็นั่งเหม่อ
นิคเรียก “เฮ้ย...เอวา”
“นิค แกว่าเราควรชวนพี่ยุทธไปซื้อด้วยกันไหม”
นิคอึ้งไปเล็กๆ แล้วรีบยิ้มกลบเกลื่อน
“ก็ดีนะ แกชวนสิ”
เอวารีบหยิบโทรศัพท์มากด นิคยิ้มรับเจื่อนๆ
ยุทธการกับเอวาเดินดูของในห้างสรรพสินค้า
“เสียดายนะนิคน่าจะมาด้วยกัน” ยุทธการบอก
“ไม่รู้มันสิคะ ตอนแรกก็มาชวน แต่พอจะมานี่ ดันปวดท้องท้องเสีย เอาเป็นว่าเราซื้ออะไรก็หารนิคมันเป็นหุ้นไปด้วยแล้วนะคะ” เอวาเสนอ
“ขอโทษนะ พี่คงไม่ได้หุ้นด้วย”
“พี่ยุทธซื้อไว้แล้วเหรอคะ”
ยุทธการพยักหน้ารับ
เอวาพูดกลบเกลื่อน “ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงก็ขอบคุณที่มาเดินเป็นเพื่อนเอวานะคะ”
ทั้งสองเดินไปด้วยกันจนมาถึงร้านเพชร เอวาเห็นกำไลเพชรโชว์อยู่ก็เดินเข้าไปดู
“โห...สวยจังเลย”
“เอวาว่าซันจะชอบกำไลแบบนี้ไหม” ยุทธการถามขึ้น
“แน่นอนค่ะ ซันน่ะเป็นคนชอบอะไรที่เรียบหรู แต่ต้องมีเก๋ๆเท่ๆนึดนึง” เอวานึกได้ “พี่ยุทธซื้อกำไลนี่ให้ซันเหรอคะ”
“ใช่...ที่จริงพี่ก็รู้นะว่าซันเขาชอบแบบไหน แต่อยากถามเอวาให้แน่ใจ”
เอวาฝืนยิ้ม “ซันต้องชอบแน่ๆค่ะ”
“พี่อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับซันเสมอ”
ยุทธการอมยิ้มอย่างมีความหวัง เอวาแอบสังเกตแล้วก็ถอนใจ
เอวาจ่ายเงินแล้วรับถุงของขวัญจากพนักงานที่ห่อให้ ยุทธการเข้ามาช่วยถือ
“ขอบคุณนะคะพี่ยุทธที่อุตส่าห์มาเป็นเพื่อนทั้งๆที่ซื้อของแล้ว” เอวาบอก
“ไม่เป็นไรหรอก แล้วเอวาจะให้ของซันวันไหน” ยุทธการถาม
“ก็ยังไม่รู้เลยค่ะ ต้องดูว่าซันมันจะหนี เอ่อ หมายถึงหนีงานได้เมื่อไหร่ พี่ยุทธถามทำไมคะ”
“คือปีนี้พี่มีเซอร์ไพรส์น่ะ ถ้าไงเอวาช่วยนัดซันให้อยู่คอนโดวันนั้นได้ไหม คือถ้าพี่ไปขอร้องซันจะจับได้”
เอวายิ้ม “ได้สิคะ พี่ยุทธขอร้องเอวาทำให้ได้อยู่แล้ว”
“ขอบคุณมากนะเอวา”
ยุทธการยิ้มให้แล้วเดินไปกับเอวา
เมฆ อิงฟ้า และหมอกนั่งกินอาหารเย็นด้วยกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“ที่จริงคืนนี้เมฆไม่ได้เล่นดนตรี เราน่าจะไปหาหนังดูกันนะ” อิงฟ้าเสนอ
หมอกรีบพูด “หมอกไปด้วย”
“ไม่ได้จ้ะลูก หมอกเป็นเด็กต้องนอนหัวค่ำนะครับ” อิงฟ้ายิ้ม
หมอกพูดกับเมฆ “พ่อครับ ให้หมอกไปด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องไปหรอกครับ เพราะพ่อก็จะไม่ไป” เมฆบอก
อิงฟ้าอึ้ง “ทำไมล่ะเมฆ ฟ้าอยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”
“ผมก็ไม่เคยกักขังฟ้านี่” เมฆสวน
อิงฟ้าถอนใจด้วยความเซ็ง
อิงฟ้าพยายามข่มอารมณ์ “เมฆ พรุ่งนี้พาฟ้าไปช้อปปิ้งหน่อยนะ ฟ้าอยากซื้อ”
เมฆสวนขึ้นมาทันที “พรุ่งนี้ผมไม่ว่าง”
“ได้ ฟ้าไปคนเดียวก็ได้”
อิงฟ้าไม่ค่อยพอใจ เธอลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วจะเดินไปแต่ก็ได้ยินเสียงเมฆพูดกับตะวันฉาย
“ซันพรุ่งนี้แกแต่งตัวเรียบร้อยหน่อยนะ ฉันจะพาไปบริษัท”
ตะวันฉายดีใจแต่อิงฟ้าหยุดเดินทันที
“อะไรนะเมฆ นี่จะพาซันไปแต่ไม่ให้ฟ้าไปงั้นเหรอ” อิงฟ้าโวย
“ฟ้าได้ยินแล้วนี่” เมฆบอก
อิงฟ้าจ้องหน้าเมฆด้วยความโกรธแล้วจะเดินหนีไป ตะวันฉายเดินมาหาเมฆแล้วถาม
“คุณเมฆจะให้ผมไปบริษัทจริงๆเหรอครับ”
“ดีใจมากเหรอ” เมฆถามกลับ
“เอ่อ...ป...เปล่าครับ ผมก็แค่ถามด้วยความสงสัย”
ตะวันฉายมีดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจจนเมฆแอบมองด้วยความสงสัย
ตะวันฉายพาหมอกเข้านอนโดยที่เมฆก็ยืนอยู่ด้วย แล้วตะวันฉายก็ถอยออกไปยืนใกล้ๆ เมฆ
เมฆพูดกับตะวันฉาย “ไปนอนเถอะ คืนนี้ฉันกล่อมหมอกเอง”
ตะวันฉายเดินออกไปจากห้อง เมฆเดินไปนั่งข้างเตียงหมอก
“คืนนี้อยากฟังนิทานเรื่องอะไรครับ” เมฆถาม
“อยากฟังพ่อร้องเพลงครับ” หมอกอ้อน “นะครับ นะๆๆๆ หมอกไม่ได้ฟังนานแล้ว”
ตะวันฉายเดินลงบันไดมาได้นิดนึงแล้วนึกเจ็บใจตัวเอง เธอจึงรีบเดินกลับไปใหม่ แต่พอจะเคาะประตูห้องหมอกก็ได้ยินเสียงดนตรีเล็ดลอดออกมา ตะวันฉายตกใจ
“นายปากเป็ดร้องเพลงเหรอ”
ตะวันฉายค่อยๆ แง้มประตูดู เธอเห็นเมฆนั่งเกากีตาร์แล้วร้องเพลงกล่อมหมอกอยู่ ตะวันฉาเปิดประตูกว้างขึ้นอีกเพื่อจะได้ฟังเพลงถนัดๆ ทำให้แสงลอดเข้าไป เมฆสังเกตเห็นจึงหยุดเล่นแล้วหันมา
“แอบฟังเหรอ”
ตะวันฉายเปิดประตูเข้ามา
ตะวันฉายขำ “ไม่ได้แอบครับ ผมลืมเอาผ้าเช็ดตัวคุณหมอกไปตาก”
ตะวันฉายเดินเข้ามาหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินยิ้มขำๆ
“หัวเราะอะไร” เมฆถาม
“เพิ่งเคยได้ยินคุณเมฆร้องเพลง ทำให้นึกถึงตอนที่คุณบอกผมว่าคุณเป็นนักร้อง นักแต่งเพลง ไม่อยากร้องเพลง ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง”
ตะวันฉายทำเสียงล้อเมฆ เมฆจ้องหน้าด้วยความฉุน ตะวันฉายจึงรีบวิ่งหนีไป
เช้าวันใหม่ ณ บริษัท Travel T ตะวันฉายนั่งเบื่อๆ อยู่ที่โซฟาในห้องทำงานของเมฆ ขณะที่วิวัฒน์กับเมฆกำลังนั่งคุยงานกัน
เมฆแกล้งพูดให้ตะวันฉายสนใจ “โห...กำไรจากโปรแกรมใหม่ของเรานี่เยอะมากเลยนะครับพี่วัฒน์”
“พี่ก็ไม่คิดว่าจะเยอะอย่างงี้”
เมฆเหลือบดูก็เห็นตะวันฉายนั่งนิ่งโดยไม่สนใจอะไร วิวัฒน์มองตามด้วยความสงสัย
“มีอะไรเหรอเมฆ”
“เอ่อ เปล่าครับ” เมฆเปิดเอกสารอื่นดูแล้วแกล้งพูดดังเหมือนเดิม “ Agreement กับทางโรงแรมก็ดีขึ้นนะครับ”
“ใช่ ช่วงนี้เราดีทุกอย่างเลย” วิวัฒน์บอก
ตะวันฉายรู้สึกเบื่อจึงลุกขึ้น
“ผมขอไปห้องน้ำนะครับ” ตะวันฉายบอกเมฆ
เมฆพยักหน้ารับ ตะวันฉายเดินออกไป
“นี่น่ะเหรอ ผู้ชายที่นายบอกว่ามาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก” วิวัฒน์ถาม
“พี่วัฒน์ว่าไงครับ” เมฆถามกลับ
“ดูตุ้งติ้งไม่เป็นชายดี” วิวัฒน์ขำ
“ผมก็คิดอย่างงั้นครับ”
เมฆหัวเราะไปกับวิวัฒน์
ตะวันฉายเดินมาถึงหน้าห้องน้ำแล้ก็วยืนลังเลระหว่างห้องน้ำชายกับห้องน้ำหญิงว่าจะเข้าห้องไหนดี เธอมองซ้ายมองขวาพอเห็นพนักงานเดินเข้าออกก็ยิ่งกลัว
เสียงเกริกไกรดังขึ้น “แม่ เดี๋ยวพ่อขอเข้าห้องน้ำแป๊บนะ”
เสียงสายรุ้งดังตามมา “งั้นเอากระเช้ามานี่แม่ถือเอง”
ตะวันฉายชะงักด้วยความตกใจ เธอค่อยๆหันหลังไปมองก็เห็นเกริกไกรกับสายรุ้งกำลังเดินตรงมา ตะวันฉายอึ้งไปทันที
ตะวันฉายยืนอึ้งเพราะทำอะไรไม่ถูก เธอยืนขวางหน้าห้องน้ำชายและไม่กล้าหันหลังกลับไป เกริกไกรเดินมาด้านหลังแล้วก็ยืนงงที่ตะวันฉายยืนบังทางเข้าห้องน้ำ
“ขอโทษครับ”
ตะวันฉายรีบหลบ เกริกไกรจะเดินเข้าห้องน้ำแล้วก็หันมา ตะวันฉายรีบหันหน้าหนีทันที
“ขอบคุณนะน้อง” เกริกไกรพูด
แล้วเกริกไกรก็เดินเข้าห้องน้ำ ตะวันฉายค่อยๆหันกลับไปจึงเห็นสายรุ้งยืนอยู่ด้านหลัง เธอไม่รู้จะทำยังไงดี
เมฆกับวิวัฒน์นั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงาน
“ตกลงพี่จะให้ฝ่ายการตลาดทำ Marketing Year Plan ของปีหน้าเลยนะ” วิวัฒน์บอก
เมฆรับคำ “ครับ”
วิวัฒน์ลุกขึ้นจะเดินออกจากห้องแล้วเขาก็หันมาถามเมฆ
“เออ...แล้วนายเอาพี่เลี้ยงนายหมอกมาที่นี่ทำไม”
เมฆยิ้ม “ก็ตอนเย็นต้องไปรับหมอกอยู่แล้ว เลยให้มารอที่นี่ซะเลย”
วิวัฒน์งง “มาตั้งแต่เช้าเนี่ยนะ ถ้าพี่เป็นหมอนั่นคงหนีไปเล่นแล้ว”
เมฆนึกได้ “จริงด้วย มันไปเข้าห้องน้ำที่ไหนเนี่ย”
เมฆกับวิวัฒน์เดินออกมาจากห้องทำงาน
“คุณหนิง เด็กพี่เลี้ยงผม เอ๊ย...พี่เลี้ยงลูกผมยังไม่มาเหรอ” เมฆถามเลขา
“ยังนี่คะ” หนิงตอบ
เมฆจะเดินไปแต่หนิงเรียกไว้
“เอ่อ...คุณเมฆคะ รีเซฟชั่นเพิ่งบอกว่าคุณเกริกไกรกับคุณสายรุ้งจาก Sunrise beach resort ที่นัดได้กำลังขึ้นมานะคะ”
เมฆแอบยิ้มพอใจ “เหรอ....ดี...งั้นผมไปตามหาพี่เลี้ยงลูกผมก่อนนะ”
เมฆรีบเดินออกไป หนิงกับวิวัฒน์มองหน้ากันด้วยความงง
“นายเมฆทำเหมือนกับจะให้พี่เลี้ยงเด็กมาพบลูกค้าด้วย” วิวัฒน์ว่า
สายรุ้งยืนถือกระเช้ารอเกริกไกรอยู่ ตะวันฉายตัดสินใจก้มหน้าเพื่อจะเดินผ่าน แต่สายรุ้งดันทำการ์ดหลุดมือปลิวไปขวางทางที่ตะวันฉายเดินจนเกือบจะก้าวเหยียบ
สายรุ้งตกใจ “ว๊าย...อย่าเหยียบค่ะ”
สายรุ้งเอามือกันไว้ ตะวันฉายยกเท้าค้าง สายรุ้งมองหน้าตะวันฉายแต่ตะวันฉายรีบหันหนี
“ขอโทษค่ะ” สายรุ้งก้มลงเก็บการ์ดแล้วยิ้ม “เกือบไปแล้ว”
สายรุ้งยิ้มให้แต่ตะวันฉายไม่มองหน้า ตะวันฉายเดินหันหน้าไปทางด้านข้างต่อ สายรุ้งมองตามอย่างงงๆ แล้วเธอก็เห็นตะวันฉายจะเดินไปชนเครื่องถ่ายเอกสาร
“อุ๊ยระวังค่ะ” สายรุ้งร้องเตือน
ตะวันฉายเดินชนเครื่องถ่ายเอกสารดังโครมแต่ก็รีบเดินหนี สายรุ้งขมวดคิ้วมองตามด้วยความสงสัย เกริกไกรเดินออกมาจากห้องน้ำมา
“มีอะไรเหรอแม่”
“ก็เด็กผู้ชายเมื่อกี้น่ะสิ ดูแปลกๆ” สายรุ้งบอก
“ที่ยืนหน้าห้องน้ำใช่ไหม พ่อก็ว่าแปลกเหมือนกัน”
ตะวันฉายเดินมาตามทางด้วยความตื่นเต้น พอจะเลี้ยวมุมก็เจอเมฆโผล่มาขวางไว้
“ไปไหนมาตั้งนาน” เมฆถาม
“ห้องน้ำครับ” ตะวันฉายตอบ
“ห้องน้ำอยู่ด้านโน้น เดินอ้อมมาตรงนี้ทำไม”
“เอ่อ...คือ...ผมหลงทาง”
“ไปงั้นฉันจะพานายกลับห้องทำงานฉันเอง”
เมฆยิ้มกริ่มแล้วเดินนำไป ระหว่างทางมีพนักงานเดินถือPlateกราฟฟิคโบรชัวร์มาให้เมฆดู
“คุณเมฆอยู่นี่พอดี ทางโรงพิมพ์เขาส่งเพลทโบรชัวร์โปรแกรมวินเทอร์มาให้ดูครับ คุณวัฒน์โอเคแล้ว บอกให้มาถามคุณเมฆ”
ตะวันฉายเห็นเมฆเผลอดูเพลท เธอก็ค่อยๆถอยแล้วกลั้นใจออกเดินจ้ำหนีทันที พนักงานมองตะวันฉายทำให้เมฆเงยหน้าขึ้นมองตามพอเห็นตะวันฉายเดินหนีก็โมโหทันที
“ซัน”
ตะวันฉายเลี้ยวพ้นมุมได้ก็วิ่งหน้าตั้งทันที เมฆรีบวิ่งตามไป
ตะวันฉายรีบวิ่งหน้าตั้งออกมาจากบริษัทแล้ววิ่งตรงไปที่หน้าบริษัท เธอยืนกระวนกระวายมองหน้ามองหลังเพราะหารถจะขึ้น ตะวันฉายเห็นมอเตอร์ไซค์แล่นมาจึงรีบกวักมือเรียก มอเตอร์ไซค์จอด ตะวันฉายรีบขึ้นทันที
“ไปเลยพี่”
คนขี่มอเตอร์ไซค์งง “ไปไหนน้อง พี่ไม่ใช่มอเตอร์ไซค์รับจ้างนะ”
ตะวันฉายหน้าแตกรีบก้าวลงมา “อ้าว แล้วจอดทำไมอ่ะ”
“จะถามว่านี่ใช่บริษัท Travel T หรือเปล่า”
“โอ๊ย...ป้ายจะทิ่มหน้าอยู่แล้วพี่ ข้างในโน่น”
ตะวันฉายหันหน้าจะชี้บอกทางแต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเมฆวิ่งออกมามองหาทั้งซ้ายทั้งขวา ตะวันฉายรีบวิ่งหลบไปที่กำแพงแล้วเธอก็เห็นมอเตอร์ไซค์วิ่งมาอีกคัน ตะวันฉายกวักมือเรียก
“พี่รับจ้างใช่ไหม”
“เอ้า...ใช่สิ จะไปไหน”
“ไปจากตรงนี้ก่อนเร็ว”
ตะวันฉายกระโดดขึ้นซ้อน คนขี่มอเตอร์ไซต์ส่งหมวกกันน็อคให้
“เพื่อความปลอดภัยของท่าน ก่อนออกเดินทาง กรุณาใส่หมวกนิรภัยพร้อมทั้งดึงสายรัดให้แน่น”
ตะวันฉายรีบรีบมาใส่อย่างทุลักทุเล
“ไปได้แล้วพี่”
ทันใดนั้นเมฆก็วิ่งออกมาเห็นรถที่ตะวันฉายซ้อนแล่นออกไป เมฆวิ่งตาม
“ซัน...ซัน...กลับมาเดี๋ยวนี้นะ”
เมฆวิ่งตามไปสักพักแต่ก็ไม่ทัน เมฆทั้งเจ็บใจทั้งเหนื่อยหอบ
เมฆนั่งซับหน้าไปหอบไปและมีสีหน้าไม่เป็นมิตรกับเกริกไกรและสายรุ้ง เกริกไกรกับสายรุ้งเห็นแบบนั้นก็มีสีหน้าไม่ค่อยดี
“เอ่อ...เหมือนวันนี้คุณนภทีป์จะอารมณ์ไม่ดีนะครับ” เกริกไกรว่า
เมฆหอบ “ใช่ครับ”
เกริกไกรกับสายรุ้งสะดุ้ง
“ถ้าคุณนภทีป์ยังโกรธเรื่องเก่าๆอยู่ ทางเราก็อยากจะขอโทษอีกครั้งนะคะ และวันนี้เราถึงได้เดินทางมาเพื่อดูแล Travel T เป็นพิเศษเลยค่ะ” สายรุ้งบอก
“เรื่องเก่าน่ะผมไม่สนใจหรอกครับ ไม่อย่างนั้นผมยกเลิกสัญญาไปแล้ว” เมฆบอก
“แสดงว่ามีเรื่องใหม่เหรอครับ”
เมฆสงสัย “คุณสองคนไม่ทราบเรื่องจริงๆเหรอครับ”
“ผมเรียนตรงๆว่าไม่ทราบครับ อาจจะเป็นความผิดของทางลูกน้องผมที่ไม่ได้รายงาน ยังไงรบกวนช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมครับว่ามีปัญหาอะไร” เกริกไกรบอก
เมฆมองสองสามีภรรยาอย่างพิจารณา
“คุณส่งใครมาสอดแนมบริษัทผมหรือเปล่า” เมฆถามขึ้น
เกริกไกรกับสายรุ้งพูดพร้อมกัน “สอดแนม!”
เมฆพยักหน้ารับ
เกริกไกรงง “ผมส่งใครมาหรือครับ”
“นั่นเป็นคำถามของผมครับ”
เกริกไกรชักจะเริ่มรู้สึกไม่พอใจ
“คุณนภทีป์ครับ ถึงเราจะเพิ่งทำธุรกิจกันเพียง 3-4 ปี แต่จากชื่อเสียงของรีสอร์ททั้งในและต่างประเทศ ทางเราไม่ทำอะไรที่จะทำลายตัวเองแน่ๆ”
สายรุ้งพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ใช่ค่ะ เราเป็นคู่ค้าธุรกิจ พึ่งพาอาศัยกัน เราไม่ใช่คู่แข่งของคุณ เราจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรคะ”
เมฆขมวดคิ้วเพราะคิดหนัก เกริกไกรกับสายรุ้งก็เริ่มมีสีหน้าไม่พอใจ
ห้องนอนเอวาปิดม่านจนมืดสนิท เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เอวางัวเงียตื่นขึ้นมากดเปิดไฟหัวเตียงเพื่อรับสาย
“ซันเหรอ เดี๋ยวเที่ยงฉันตื่นแล้วโทรหานะ”
ตะวันฉายคุยโทรศัพท์ขณะที่กำลังซ้อนอยู่บนมอเตอร์ไซค์
ตะวันฉายเผลอตีไหล่คนขี่มอเตอร์ไซค์เพราะฉุนเอวา “ไม่ได้ ต้องคุยเดี๋ยวนี้”
“แต่ฉันง่วง...” เอวาบอก
ตะวันฉายตีคนขี่มอเตอร์ไซค์อีก “นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายของฉันนะ”
เอวาถอนใจ “อ่ะว่ามา”
“คืองี้ เมื่อกี้นี้....”
ตะวันฉายยังไม่ทันจะพูดต่อ รถมอเตอร์ไซค์ก็เบรกเอี๊ยด ตะวันฉายงง
“เพื่อไม่ให้รบกวนการสื่อสารขอพี่กับหอบังคับการการบิน กรุณางดใช้อุปกรณ์สื่อสารในขณะเดินทางด้วยน้อง” คนขี่มอเตอร์ไซต์บอก
พูดจบคนขี่มอเตอร์ไซค์ก็จ้องหน้าจนตะวันฉายกลัว
ตะวันฉายจ๋อย “เดี๋ยวแกไปรับนิคมาเจอที่คอนโดฯฉันนะ กัปตันดุฉันน่ะ”
ตะวันฉายกดปิดโทรศัพท์ คนขี่มอเตอร์ไซค์ยิ้มแล้วออกรถต่อ
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 7 (ต่อ)
หลังจากฟังเรื่องราวจากตะวันฉาย นิคกับเอวาก็มีสีหน้าตกใจ
“อะไรนะ พ่อกับแม่แกมากรุงเทพฯ” นิคทวนคำ
“แล้วตอนนี้ก็อยู่ที่บริษัทพี่เมฆ” เอวาพูดต่อ
“ก็ใช่น่ะสิ เมื่อกี้เกือบจะเจอกันพร้อมหน้าแล้ว ดีว่าฉันหนีมาได้ก่อน พ่อกับแม่ก็จริงๆเลย จะมากรุงเทพฯทำไมไม่บอกฉัน”
นิคพูดกับเอวา “อันนี้อยู่ในแผนพี่ยุทธหรือเปล่าวะ”
ตะวันฉายหันขวับไปหาเอวาเช่นกัน เอวาหน้าเสียทันที
“แผนอะไรเหรอ?” ตะวันฉายถาม
“คือวันนี้พี่ยุทธขอให้ฉันบอกแกให้อยู่คอนโดอ่ะเขาจะมีเซอร์ไพรส์วันเกิดแก ฉันก็กะว่าจะโทรบอกแกอยู่เหมือนกัน แต่เรื่องพ่อกับแม่แกนี่ฉันไม่รู้ว่าอยู่ในโปรแกรมหรือเปล่านะ” เอวาบอก
ตะวันฉายนึกได้ “วันนี้วันเกิดฉันนี่” ตะวันฉายถอนใจ “ไม่ต้องสงสัย พ่อแม่ฉัน include แน่นอน ไม่งั้นต้องโทรมาหาฉันแต่เช้าแล้ว”
“พวกเราจะทำยังไงต่อกันดีวะ ไหนจะพ่อแม่แกที่มาแล้ว วันนี้ก็คงจะต้องค้างที่นี่ ไหนจะงานวันเกิดแกอีก แล้วไหนแกจะต้องกลับบ้านพี่เมฆอีก ไอ้ซันเอ๊ย...งานนี้แกศพไม่สวยแน่” เอวาบอก
“สวยไม่สวย ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องรอดชีวิตให้ได้”
พูดจบตะวันฉายก็ทำหน้าเครียดและกลัดกลุ้ม
เมฆ เกริกไกร และสายรุ้งนั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน
“ช่วงนี้มักจะมีคนแปลกๆเข้ามาสืบถามข้อมูลเชิงลึกของบริษัทอยู่บ่อยๆครับ ผมก็เลยต้องระวังตัวสักหน่อย” เมฆเล่า
“อย่างข้อมูลแขกวีไอพีของทาง Travel T ถ้าเรานำไปให้บริษัทอื่น คุณก็ย่อมรู้ว่าไปจากเรา ซึ่งเราจะเสียลูกค้ารายใหญ่ไปทำไมล่ะคะ” เกริกไกรบอก
“ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ”
เกริกไกรยิ้ม “คราวหน้าถ้าคุณนภทีป์อยากทราบอะไร ก็ถามเราสองคนได้โดยตรงเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
เมฆยิ้ม “งั้นผมอยากถามว่าคุณตะวันฉายผู้จัดการแผนกต้อนรับเขาเป็นลูกสาวของคุณเกริกไกรกับคุณสายรุ้งเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ มีอะไรเหรอคะ” สายรุ้งถามกลับ
“คือกรุ๊ปที่เพิ่งออกจากรีสอร์ทอาทิตย์ที่แล้ว เขาชอบบริการเลยอยากจะส่งของขวัญให้แผนกฟร้อนท์น่ะครับ แต่พนักงานบอกว่าผู้จัดการลายาว”
“คือลูกสาวผมเขาอยากเป็นนักเขียนมาก เลยขอลาเพื่อไปลองทำในสิ่งที่เขารัก ถ้าไม่สำเร็จเขาก็จะกลับมาทำงานของครอบครัวครับ” เกริกไกรบอก
“ลาไปเป็นนักเขียนเหรอครับ” เมฆทวนคำ
“ค่ะ ประมาณหนึ่งปี”
“งั้นช่วงนี้คุณสองคนก็คงไม่ค่อยได้พบลูกสาวสิครับ” เมฆถามต่อ
“ค่ะ” สายรุ้งถอนใจ “เห็นว่ายุ่งๆหาข้อมูลอะไรนี่แหล่ะค่ะ ก็เลยตามตัวเขาอยากหน่อย ถ้าคุณนภทีป์มีอะไรให้ทางเรารับใช้ก็บอกดิฉันกับสามีได้นะคะ เราจะดูแลแทนลูกสาวเอง”
“ครับ ถ้ามีอะไร ผมแจ้งคุณเกริกไกรกับคุณสายรุ้งแน่นอนครับ”
เมฆ เกริกไกร และสายรุ้งนั่งกินข้าวกันต่อ แต่เมฆลอบมองเกริกไกรกับสายรุ้งอย่างจับสังเกต
อิงฟ้านั่งอ่านหนังสือที่ริมสระว่ายน้ำในบ้าน แล้วเธอก็รู้สึกหงุดหงิด อิงฟ้าเดินเข้าไปหาเก่งที่กำลังตัดหญ้าอยู่
“ตกลงเมฆกับซันเขาจะกลับกี่โมงบอกหรือเปล่า” อิงฟ้าถาม
“ถ้าบ่ายขนาดนี้ คงรอรับคุณหมอกกลับมาด้วยเลยมั้งครับ” เก่งว่า
อิงฟ้าถอนใจเซ็ง แล้วเธอก็เห็นตะวันฉายเดินเข้าบ้านมา
“นั่นไงครับไอ้ซันกลับมาแล้ว” เก่งชะเง้อมอง “แต่คุณเมฆไม่เห็นครับ”
“ฉันเห็นแล้ว”
อิงฟ้าเดินเข้าไปหาตะวันฉาย
“เมฆล่ะ” อิงฟ้าถาม
“ไม่ทราบครับ ผมกลับมาก่อน” ตะวันฉายบอก
“แล้วเมฆเอานายไปที่ทำงานทำไม”
“ก็ไม่ทำไมครับ ให้ผมนั่งเฉยๆ ผมเบื่อเลยกลับมาก่อนครับ”
อิงฟ้ามองตะวันฉายอย่างงงๆ
“ผมไปได้หรือยังครับ” ตะวันฉายถาม
อิงฟ้าพยักหน้า ตะวันฉายเดินเข้าบ้านไป อิงฟ้ามองตามด้วยความสงสัย
“เมฆเอาไปทำไม”
ตะวันฉายเดินเข้ามาในห้องนอนแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงนอนก่อนจะก่ายหน้าผากด้วยความกลุ้มใจ ตะวันฉายนอนกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วกลับมานอนท่าเดิม เธอลุกขึ้นเปิดตู้หยิบเป้มาใส่ของรูดซิบแล้วจะเดินไปแต่ก็ต้องชะงัก
“เกิดหนีไปคืนนี้แล้วนายนั่นไม่ให้กลับมาล่ะ”
ตะวันฉายกลับมาโยนเป้ลงที่เดิมแล้วนั่งเซ็งที่เตียงเหมือนเดิม
ยุทธการที่นั่งคุยกับเอวากับนิคที่โรงเรียนของเอวายิ้มดีใจ
“ตกลงซันเขาจะอยู่ที่คอนโดแน่นะ” ยุทธการถาม
“แน่นอนค่ะ” เอวาตอบ
ยุทธการยิ้ม “วันนี้ซันคงมีความสุขที่สุด รู้ไหมว่าอาเกริกกับอารุ้งมาด้วยนะ”
เอวากับนิคยิ้มรับเจื่อนๆ เพราะไม่กล้าบอกว่ารู้แล้ว ยุทธการหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก
“สวัสดีครับ ผมยุทธการนะครับ จะโทรมาคอนเฟิร์มดินเนอร์วันเกิดคุณตะวันฉายเย็นนี้ครับ อาหารก็ตามที่ลิสต์ไว้ ส่วนดอกไม้ในงานเดี๋ยวผมจะให้เขาเข้าไปสักห้าโมงเย็นนะครับ........” ยุทธการจะวางสายแล้วก็นึกขึ้นได้ “อ้อ...แล้วเรื่องปิดสระน้ำก่อนเวลาจัดการแล้วใช่ไหมครับ....ขอบคุณมากครับ”
ยุทธการกดวางสายแล้วยิ้มให้นิคกับเอวาอย่างมีความสุข
“นิคกับเอวาก็มาด้วยนะ” ยุทธการชวน
“แต่เราสองคนต้องเล่นดนตรีนะคะ” เอวาบอก
“ลาได้ไหม พี่ขอร้อง พี่อยากให้ซันมีความสุขที่สุดในคืนนี้ ถ้านิคกับเอวาไม่มา ซันคงไม่ประทับใจ”
“เอ่อ...ก็ได้ค่ะ” เอวาพูดกับนิค “เดี๋ยวฉันเรียกไอ้หมีกับไอ้เอิ๊กมาเล่นแทน”
“งั้นฉันจะโทรบอกพี่เมฆเอง” นิคบอก
ยุทธการดีใจ “ขอบใจมากนะนิค เอวา คืนนี้ซันจะต้องมีความสุขมาก”
ยุทธการยิ้มมีความสุขจนแก้มแทบปริ เอวาพยายามฝืนยิ้ม นิคแอบมองเอวาด้วยความสงสาร
ยุทธการเดินออกมาจากโรงเรียน โดยมีนิคกับเอวาเดินมาส่ง พอยุทธการเดินไปแล้วเอวาก็มองตาม
“เหมือนงานเย็นนี้เราทำเพื่อพี่ยุทธมากกว่าไอ้ซันอีกนะ” นิคพูดขึ้น
เอวารีบทำกลบเกลื่อน “บ้า...ทำไมแกคิดอย่างนั้นล่ะ”
“หรือแกไม่คิดเหมือนฉัน” นิคถาม
นิคมองหน้าเอวา เอวาไม่อยากตอบ
“เพ้อเจ้ออีกแล้วนะแก ไปโทรบอกพี่เมฆเร็ว เดี๋ยวฉันจะตามไอ้หมีกับไอ้เอิ๊ก”
เอวารีบเดินเข้าข้างใน นิคมองตามแล้วส่ายหน้า
“ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าแกทำเพื่อใคร เพราะฉันก็ทำเพื่อแกเอวา” นิคพูด
จ่าสมนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาเปิดแฟ้มคดีออกมาก็เห็นว่ามีรูปอิงฟ้าอยู่ในนั้น จ่าสมหยิบรูปอิงฟ้าออกมามองด้วยความสงสัย
“ยัยฟ้าไปเกี่ยวข้องอะไร” จ่าสมงง
จ่าสมทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก
“ฮัลโหล...ผมจ่าสมนะครับ มีเรื่องรลกวนอยากถามเกี่ยวกับคดียาเสพติดคดีนึงครับ”
ณ แฟลตตำรวจเก่าๆ ที่จ่าสมพัก แฟ้มวางอยู่บนโต๊ะ จ่าสมนั่งเครียดมองแฟ้มแล้วลุกขึ้นเดินวนไปวนมาอย่างใช้ความคิด สักพักเขาก็เดินกลับมาที่โต๊ะหยิบแฟ้มมาเปิดแล้วดึงสำเนาบัตรประชาชนมาแล้วตัดสินใจฉีกทิ้งก่อนจะถอนใจด้วยความเครียด
จอมสยามนั่งจ้องหน้าเมฆ
“นายเชื่อเหรอว่าพ่อกับแม่เขาจะพูดความจริง ถ้าคนมันจะมาล้วงความลับใครจะบอกว่า “ใช่ครับผมส่งลูกสาวปลอมตัวเข้าบ้านคุณ” จอมสยามบอก
“แต่ถ้าพวกเขาร่วมมือกันทำไมซันจะต้องหนีด้วย เขาจะต้องรู้มาก่อนสิว่าพ่อแม่เขาจะมา” เมฆพูด
“ก็คือนายเชื่อเรื่องที่ว่าลูกสาวเขาหายตัวไปเป็นนักเขียน”
“ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อหรอกครับ นอกจากจะมีอะไรมาพิสูจน์ให้ผมเห็นกับตาว่ายัยตะวันเฉานั่นเป็นนักเขียน”
“นายมีวิธีเหรอ”
“มีครับ ไว้ผมทำสำเร็จแล้วจะบอกพี่จอมคนแรกเลย”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเมฆก็ดังขึ้น เมฆกดรับ
“ว่าไงนิค....เฮ้ย...ลาทั้งสองคนเลยเหรอ?”
นิคยืนคุยโทรศัพท์กับเมฆที่หน้าโรงเรียนเอวา
“ครับพี่เมฆ คือผมกับเอวาจะไปงานวันเกิดเพื่อนนะครับ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ เอวามันเรียกคนมาแทนแล้ว”
“ก็ได้ ส่งโน้ตเพลงประจำที่เราเล่นบ่อยๆให้เขาด้วยนะ”
เมฆกดวางสายแล้วครุ่นคิด
“มีอะไรเหรอ”
“นิคกับเอวาลางานคืนนี้ครับ แปลกแฮะ สองคนนี่ไม่เคยลางานกระทันหัน” เมฆสงสัย
รถเมฆแล่นเข้ามาจอดในบ้าน อิงฟ้ายืนรออยู่ หมอกเปิดประตูลงมาอิงฟ้าเดินเข้าไปรับ
“เป็นไงบ้างลูก ไปโรงเรียนสนุกไหม” อิงฟ้าถาม
“สนุกครับ” หมอกตอบ
อิงฟ้าไม่ค่อยสนใจหมอก เธอกลับหันไปถามเมฆ
“ตกลงเมฆพาซันไปที่ออฟฟิศทำไม”
“แม่ครับ ถามหมอกแล้วทำไมไม่สนใจฟัง คุณครูบอกเสียมารยาท” หมอกว่า
อิงฟ้าอึ้งไป พอเธอมองเมฆก็เห็นสายตาตำหนิจากเมฆ อิงฟ้าต้องรีบยิ้มให้หมอก
“ฟังสิครับ แต่แม่ขอคุยกับคุณพ่อก่อนนะ” อิงฟ้าพูดกับเมฆ “ว่าไงเมฆที่ฟ้าถาม”
อิงฟ้าจ้องหน้าเมฆ เมฆเห็นเก่งที่ปิดประตูรั้วเสร็จแล้วเดินมาจึงเลี่ยงเดินไปหาเก่ง
เมฆถามเก่ง “ซันกลับมาหรือยัง”
“กลับมาแล้วครับ อยู่ในห้อง ให้ผมไปตามไหมครับ”
“ไม่ต้อง ฉันไปเอง” เมฆเดินไปทันที
“เมฆ เดี๋ยวสิ รอฟ้าด้วย”
อิงฟ้าจะเดินตาม แต่หมอกดึงแขนอิงฟ้าไว้
“แม่อาบน้ำให้หมอกนะครับ” หมอกขอ
อิงฟ้ามองหมอกแล้วถอนใจเซ็งแต่ก็ไม่กล้าตามเมฆไป
ตะวันฉายเดินวนไปวนมาด้วยความกระวนกระวาย เธอใช้ตามองเป้แล้วจะหยิบเป้แต่ก็เปลี่ยนใจอีก พอจะเปิดประตูแล้วก็เปลี่ยนใจกลับมาหยิบเป้สะพายแล้วก็จะเปิดประตู แต่จังหวะที่เปิดเป็นจังหวะที่เมฆจะเคาะประตูพอดีทำให้เมฆเคาะพลาดมาโดนหัวตะวันฉายพอดี
“โอ๊ยยยย...คุณเมฆ เคาะหัวผมทำไม”
“ก็เปิดมาก่อนฉันเคาะทำไมล่ะ” เมฆว่า
ตะวันฉายงง “มีงี้ด้วย คุณเมฆมีธุระอะไรครับ”
เมฆมองตะวันฉายก็เห็นว่าเธอสะพายเป้อยู่ เมฆเลยผลักตะวันฉายเข้ามาในห้องปิดแล้วประตูดังปัง ตะวันฉายสะดุ้งตกใจและเริ่มกลัว เมฆเดินเข้ามา แล้วจ้องจนตะวันฉายต้องหลบตา
หมอกยืนให้อิงฟ้าแกะกระดุมเสื้อให้ อิงฟ้าแกะไปก็หงุดหงิดไป สุดท้ายทนไม่ไหวอิงฟ้าจึงเรียกเก่ง
“เก่ง...นายเก่ง”
เก่งวิ่งเข้ามาหา
“ครับคุณอิงฟ้า”
“อาบน้ำให้หมอกหน่อยนะ”
หมอกถามทันที “แม่จะไปไหน”
“ไปตามคุณพ่อมาดูหมอกด้วยกันไงครับ ดีไหม”
หมอกยิ้มแฉ่ง อิงฟ้าลูบหัวหมอกแล้วเดินออกไป เก่งเดินยิ้มเข้ามา หมอกยิ้มเจ้าเล่ห์ เก่งเห็นแบบนั้นก็เริ่มกลัว
“คุณหมอกยิ้มแบบนี้หมายความว่า....”
“หมายความว่าพี่เก่งเสร็จแน่ วันนี้หมอกจะเป็นไอ้มดแดงปราบผู้ร้าย จ๊ากก”
หมอกวิ่งไล่ชกเก่งแล้วลากขึ้นเตียงนอน แล้วทั้งสองก็เล่นต่อสู้กันอย่างสนุกสนาน
เมฆยืนจ้องหน้าตะวันฉายจนตะวันฉายรู้สึกอึดอัด
“คุณเมฆมีอะไรจะให้ผมทำไหมครับ ถ้าไม่มีผมจะขอลาไป...”
ตะวันฉายยังพูดไม่จบ เมฆก็สวนขึ้น “วันนี้หนีฉันทำไม”
ตะวันฉายตีหน้าซื่อ “หนี?...อ..อ๋อ...ผมไม่ได้หนีครับ”
“ฮึ...ฉันเห็นนายวิ่งหน้าตั้งอกแอ่นขนาดนั้น ถ้าไม่หนีแล้ววิ่งรับลมหรือไง”
ตะวันฉายแอบค้อน “พอดีพ่อกับแม่ผมมาจากต่างจังหวัด เขาโทรมาตามบอกหลงอยู่ที่สถานีขนส่ง ผมเลยรีบไปรับครับ”
เมฆยิ้มกวนแล้วเดินเข้าหา ตะวันฉายถอยจนเผลอล้มลงไปนั่งที่เตียง
“แล้วพ่อแม่อยู่ไหน”
“ก็...ก็ให้พักที่บ้านคุณเอวาครับ ไม่เชื่อโทรถามสิครับ”
เมฆนั่งลงข้างๆ แล้วจ้องตาตะวันฉายก่อนจะยิ้มเจ้าชู้ให้
เมฆพูดเสียงนิ่ม “โทรทำไม นายเป็นคนดีฉันเชื่อใจ แล้วนี่จะไปหาพ่อกับแม่ละสิ”
“ครับ ผมว่าจะขอ....”
“ค้างคืน?...กี่คืน”
“ก็น่าจะคืนเดียวครับ”
“สัญญาได้ไหมว่าแค่คืนเดียวจริงๆ ห้ามเถลไถล”
“ก็...ก็ได้ครับ งั้นผมไปนะครับ”
ตะวันฉายจะลุกแต่เมฆดึงแขนให้เธอลงนั่งแล้วเขยิบมาชิดอีก
“คุณเมฆนั่งห่างๆก็ได้ครับ”
“ทำไม เพื่อนผู้ชายนั่งด้วยกันจะเป็นไรไป”
พูดจบเมฆก็เอามือโอบไหล่ตะวันฉายทันที ตะวันฉายสะดุ้ง ทันใดนั้นอิงฟ้าก็เดินเข้าห้องมา อิงฟ้าเห็นทั้งคู่จ้องตากันอยู่ก็เคาะประตูให้เกิดเสียงขึ้น
“คุยอะไรกันอยู่”
ตะวันฉายเห็นอิงฟ้าก็รีบเขยิบห่างเมฆ แต่เมฆเขยิบตาม
“ซันเขาจะขอลางานไปหาพ่อกับแม่” เมฆบอก
อิงฟ้าดีใจ “เหรอ...ไปนานไหม ไม่ต้องห่วงทางนี้นะฉันดูแลได้ ไปเถอะนะ”
ตะวันฉายรีบลุกขึ้น เธอเห็นเมฆยังมองอยู่ก็แกล้งทำเหวี่ยงเป้ขึ้นมาสะพายจนเป้ไปฟาดหน้าเมฆ แล้วเธอก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“ขอบคุณครับคุณอิงฟ้า” ตะวันฉายหันกลับไปหาเมฆที่ยังนั่งหน้าหันอยู่ “ผมไปนะครับคุณเมฆ”
ตะวันฉายรีบเดินออกไป อิงฟ้ามองตามแล้วยิ้มดีใจก่อนจะเดินไปหาเมฆ แต่เมฆลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที อิงฟ้ารีบเดินตามไป
เมฆเดินมาที่ห้องรับแขก เขามองออกไปหน้าบ้านก็เห็นตะวันฉายกำลังเดินออกจากประตูรั้วไป อิงฟ้าเดินตามมาหาเมฆ
“ดีจัง เวลามีคนนอกมาอยู่ในครอบครัวเราเยอะๆ ฟ้าว่ามันไม่สะดวกเลยเมฆว่าไหม” อิงฟ้าถาม
เมฆจะเดินไป อิงฟ้าจับมือเมฆไว้
“ฟ้าจะทำอาหารเย็น เมฆอยากทานอะไรก่อนไปเล่นดนตรี เดี๋ยวฟ้าทำให้ เอาเป็นไข่เจียวกุ้งสับไหม เมฆเคยบอกว่าฟ้าทำอร่อยที่สุดในโลก ฟ้าทำให้นะ”
“พอดีผมมีธุระ ฟ้าดูแลหมอกก็พอ”
เมฆแกะมืออิงฟ้าออกแล้วรีบเดินออกไป อิงฟ้าอึ้งและหงุดหงิดเพราะไม่ได้อย่างใจ เธอยืนมองเมฆแล้วเดินออกไปขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที
รถของเมฆวิ่งออกมาแล้วจอดซุ่มอยู่ข้างทาง เมฆเดินลงจากรถไปแอบซุ่มดู เขาเห็นตะวันฉายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังเรียกแท็กซี่แล้วก็ขึ้นรถไป เมฆรีบวิ่งมาขึ้นรถแล้วเลี้ยวรถขับตามไปห่างๆ ก่อนจะกดโทรศัพท์เพื่อโทรออก
นิคเซ็นการ์ดเสร็จก็ส่งให้เอวา เอวาเอาการ์ดใส่ซองแล้ววางบนของขวัญ
“เดี๋ยวฉันไปเติมหน้าก่อนแล้วเราค่อยออกไปนะ”
นิคพยักหน้ารับ ระหว่างนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น นิคหยิบมาดูแล้วก็สงสัย
“พี่เมฆว่ะ” นิคกดรับสาย “ครับพี่...” นิคงง “อ้าว...พี่เมฆก็จะลาเหรอครับ......ได้ครับ งั้นเดี๋ยวพวกผมโทรบอกไอ้หมีกับไอ้เอิ้กเอง....ไม่มีปัญหาหรอกครับ มันก็เล่นเพลงที่มันสองคนดูเอ็ทกันประจำได้อยู่แล้ว ผมว่ามันจะชอบเอาด้วย ไม่ต้องหารเงินเยอะ” นิคหัวเราะ “โอเคครับพี่”
นิควางสาย
“พี่เมฆก็ไม่ไปเหรอ” เอวาถาม
นิคพยักหน้ารับ “บอกมีธุระ”
“ธุระอะไรวะ”
นิคยักไหล่ “ไม่ได้บอก คงอยู่กับครอบครัวเขามั้ง แกโทรบอกไอ้สองคนนั่นให้หน่อยแล้วกัน”
เอวาเดินไปกดโทรศัพท์เพื่อโทรออก
รถแท็กซี่แล่นเข้ามาจอดหน้าคอนโดของตะวันฉาย ตะวันฉายลงจากรถแล้วเดินเข้าล้อบบี้ รถของเมฆแล่นเข้ามาแล้วหาที่จอดด้านหน้าห่างไปเล็กน้อย เมฆลงมาจากรถมองตัวตึกมองรอบๆ แล้วรีบเดินเข้าไป
ตะวันฉายเดินผ่านพนักงาน พนักงานยกมือไหว้ทักตะวันฉายกันหมด เมฆเดินตามห่างๆ เข้ามาในล้อบบี้ ตะวันฉายใช้คีย์การ์ดเปิดประตูแล้วเดินเข้าด้านในก่อนจะกดลิฟท์ เมฆเดินมาที่พนักงานต้อนรับ
“ขอโทษนะครับ ที่เพิ่งเข้าไปนี่คุณซัน...เอ่อ..ตะวันฉายหรือเปล่าครับ” เมฆถาม
พนักงานรับคำ “ค่ะ”
“พอดีผมจะมาหาเขาครับ ช่วยเปิดประตูให้หน่อยได้ไหมครับ”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่ดิฉันทำให้ไม่ได้ค่ะ”
“ผมเป็นเพื่อนเขาจริงๆนะครับ แค่เปิดประตูเอง”
“ถึงเข้าประตูไปได้ ก็ใช้ลิฟท์ไม่ได้ค่ะ เพราะลิฟท์แต่ละชั้นจะเป็นส่วนตัว เอาอย่างนี้ไหมคะ คุณลองไปใช้ House Phone ดูนะคะ จะเป็นระบบเห็นหน้า ถ้าคุณตะวันฉายจะให้คุณขึ้นเธอก็จะปลดล็อคจากห้องเธอค่ะ”
เมฆพึมพำ “จะหรูไปไหนเนี่ย” เมฆเคาะโต๊ะแล้วใช้ความคิด “งั้นเธออยู่ห้องเบอร์อะไรครับ”
พนักงานมองอย่างไม่ไว้ใจ “เบอร์ห้องคุณต้องเป็นคนขอจากเจ้าของห้องเองค่ะ”
เมฆถอนใจด้วยความเซ็ง
“เอาอย่างนี้ไหมคะ เดี๋ยวดิฉันจะโทรแจ้งคุณตะวันฉายให้ แล้วจะขอให้เธอลงมาพบคุณ”
พนักงานหยิบโทรศัพท์จะโทรออกแต่เมฆรีบห้าม
“เออ...ไม่ต้องดีกว่าครับ งั้นผมเดินเล่นแถวๆนี้รอก็ได้ ยังไงเย็นนี้ก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว คุณไม่ต้องแจ้งหรอกครับ”
เมฆยิ้มแล้วเดินออกไปนอกตึก พนักงานมองตามอย่างไม่ค่อยไว้ใจ พอเดินออกมาด้านนอกเมฆก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออก
“พี่จอมครับ ว่างหรือเปล่า ผมอยากจะชวนพี่จอมมากระชากหน้ากากยัยตัวแสบของผม”
ยุทธการ เกริกไกร สายรุ้ง พงษ์พัฒน์ และมยุรีเดินออกมาจากบ้านของยุทธการเพื่อจะมาขึ้นรถตู้ด้วยกัน
“ตายุทธ เช็คแน่นอนแล้วนะว่าลูกสาวอาอยู่บ้านแน่ ไม่ใช่ไปเก้อล่ะ” เกริกไกรถาม
“เช็คให้แล้วครับ รับรองว่าอยู่แน่” ยุทธการบอก
“เป็นไงล่ะ ชอบเซอร์ไพรส์ดีนัก ตอนนี้ละกลัวซะเอง” สายรุ้งแซว
“ถ้าไม่เซอร์ไพรส์ก็ไม่สนุกสิแม่” เกริกไกรบอก
“ว่าแต่หนูซันอยู่แน่นี่ไม่ใช่รู้ตัวก่อนนะ” มยุรีถาม
“มือระดับผมแล้ว ซันไม่มีทางรู้ตัวก่อนหลอกครับ” ยุทธการดูนาฬิกาข้อมือ “ไปกันเถอะครับ ตอนนี้ซันคงถึงคอนโดฯแล้ว”
“เด็กสองคนนี่รู้ความเคลื่อนไหวกันตลอดเลยนะ” พงษ์พัฒน์เปรยขึ้น
“ลงอีแบบนี้ถ้าไม่จับแต่งงานด้วยกันแล้วจะไปอยู่กับใครได้” เกริกไกรตบไหล่ยุทธการ “จริงไหมยุทธ”
พวกผู้ใหญ่หัวเราะสนุกสนานแต่ยุทธการยิ้มรับเจื่อนๆ
สายรุ้งตีแขนเกริกไกร “ออกนอกหน้าอีกแล้วนะพ่อ เราเป็นฝ่ายหญิงอย่าลืมสิ”
“เอ้า ก็ทีอยู่บ้านเห็นแม่ก็เชียร์จัดเต็มตลอดนี่ เอ้า...ถ้าอายก็ขึ้นรถไปเร็วๆเลยแม่ จะได้รีบไปให้ฝ่ายไอ้เกี๋ยงมันสู่ขอไวไว”
แล้วทั้งหมดก็ก้าวขึ้นรถตู้ไป
จอมสยามยืนฟังเมฆเล่าที่ลานจอดรถหน้าคอนโดตะวันฉายจนจบ
“พี่ว่าเรารอนานไปแล้วว่ะ คนของนายคงไม่ลงมาแล้ว” จอมสยามบอก
“เป็นไปไม่ได้ ก็วันนี้นิคกับเอวาลาเพื่อจะมางาน แล้วพ่อแม่เขาก็มาที่กรุงเทพฯ ยังไงก็ต้องมีงานวันเกิดสิครับ” เมฆมั่นใจ
“นิคกับเอวามันอาจจะไปงานอื่นก็ได้ แล้วถ้าพ่อแม่เขามาก็คงจะอยู่ข้างบนแล้ว นายกับพี่ก็ขึ้นไม่ได้ จะอยู่เฝ้าจนเช้าก็คงไม่ได้อะไร”
เมฆเดินวนไปวนมาที่รถเพราะไม่รู้จะเอายังไงดี เขาเดินมายืนพิงรถแล้วมองไปที่ประตูทางเข้าล๊อบบี้จนเห็นรถตู้ของยุทธการแล่นมาจอดแต่เมฆยังไม่รู้ว่าเป็นรถใคร
“ไปครับ กลับก็กลับ” เมฆบอก
เมฆถอนใจเซ็งแล้วจะเดินขึ้นรถ พอหันกลับไปเห็นรถตู้แล่นออกไปโดยมีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ เมฆมองอีกครั้งแล้วหันกลับไปที่รถแล้วก็นึกได้จึงหันกลับไปที่หน้าตึกครั้ง
“เฮ้ย...”
เมฆเห็นยุทธการ เกริกไกร สายรุ้ง พงษ์พัฒน์ มยุรียืนคุยกันที่หน้าทางเข้า
“มีอะไร” จอมสยามถาม
เมฆนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาพบกับยุทธการ
“ขอโทษนะครับ ผมชื่อเมฆเป็นรุ่นพี่ของเอวาครับ” เมฆแนะนำตัว
“ครับสวัสดีครับ ผมยุทธการครับ”
“พี่เมฆมีอะไรคะ” เอวาถาม
“พี่เห็นว่าคุณยุทธการเป็นเพื่อนของนิคกับเอวา พี่เลยจะขอเซ็นลดให้”
เอวายิ้ม “ดีจังเลย ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นหรอกครับ ผมเกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ ผมยินดี” เมฆบอก
เมฆนึกถึงเหตุการณ์นั้นแล้วก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“นั่นมันเพื่อนนิคกับเอวา ทำไมมากับพ่อแม่ยัยตะวันเฉาล่ะ”
“พี่ว่าเราต้องติดตามตอนต่อไปซะแล้ว” จอมสยามบอก
ยุทธการ เกริกไกร สายรุ้ง พงษ์พัฒน์ และมยุรีเดินไปที่พนักงาน พนักงานไหว้ทุกคน
“ลูกสาวผมอยู่ใช่ไหม” เกริกไกรถาม
“ค่ะท่าน” พนักงานตอบ
พนักงานต่อโทรศัพท์แล้วส่งให้แต่เกริกไกรส่งให้ยุทธการคุย
“ซันเหรอ สุขสันต์วันเกิดนะ” ยุทธการยิ้ม “พี่มารอรับไปทานข้าว ซันไปกับพี่นะ...ได้สิพี่รอได้ เดี๋ยวเราไปเจอกันที่สระน้ำนะ”
ยุทธการส่งโทรศัพท์คืนให้พนักงาน
เมฆกับจอมสยามเดินก้มหน้าเข้ามาในล๊อบบี้แล้วก็เดินไปนั่งหลบที่มุมเสา
พนักงานอีกคนเดินเอาช่อดอกไม้ช่อใหญ่มาส่งให้ยุทธการ พวกผู้ใหญ่ต่างยิ้มปลื้ม
“นี่แอบสั่งดอกไม้ไว้ด้วยเหรอลูก” มยุรีถาม
“ครับ”
“เฮ้ย...ไม่เบานี่ลูกพ่อ”
“แบบนี้ยัยซันต้องปลื้มยุทธแน่”
เมฆกับจอมสยามนั่งแอบดูอยู่
“พี่ว่าไอ้รูปหล่อนั่นคงไม่ใช่แค่เพื่อนเอวากับนิคแล้วว่ะ สงสัยจะเป็นแฟน” จอมสยามบอกเมฆ
เมฆเบ้ปาเหมือนจะดูถูกตะวันฉาย
ยุทธการ เกริกไกร สายรุ้ง พงษ์พัฒน์ และมยุรีนั่งที่โต๊ะริมสระน้ำ นิคกับเอวาเดินถือของขวัญเข้ามาแล้วไหว้ทักทายผู้ใหญ่ เมฆกับจอมสยามแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่งโดยมองผ่านกระจก
“นั่นไง งานวันเกิดยัยนี่จริงๆด้วย” เมฆบอก
“ยิ่งเห็นคอนโด เห็นครอบครัวแฟนเขาแล้ว พี่ก็ยังงงว่าเขาจะอยากได้อะไรจากนายวะ” จอมสยามงง
เมฆยักไหล่เพราะไม่รู้เหมือนกัน
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 7 (ต่อ)
สักพักเมฆก็เห็นตะวันฉายในชุดสวยเดินลงมา เมฆถึงกับมองจนตาค้าง
“คนนี้เหรอ โห...สวยว่ะ” จอมสยามชม
ตะวันฉายเดินผ่านมาแล้วจะหันไปมองบริเวณที่เมฆนั่งอยู่เพราะรู้สึกว่ามีคนจ้องอยู่ จอมสยามรีบเอาเมนูกางแล้วแนบหน้าเมฆทันที ตะวันฉายเดินผ่านไป เมฆทำเมนูตกแล้วมองตาม จอมสยามมองเมฆก่อนจะขมวดคิ้วสงสัย
ตะวันฉายเดินออกมาแล้วเจอทุกคน ตะวันฉายทำเป็นตกใจ
“พ่อแม่ อาเกี๋ยง อารี นิค เอวา อะไรกันเนี่ย”
ยุทธการเดินมายืนดอกไม้ให้ตะวันฉาย “สุขสันต์วันเกิดนะซัน”
“ขอบคุณนะพี่ยุทธ โอ๊ย...ตายแล้ว ตกใจ...แล้วพ่อกับแม่มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
เมฆกับจอมสยามนั่งมองเหตุการณ์นั้นตลอด
“พี่จอม ผมว่าพ่อแม่เขาคงไม่โกหกผมแล้วล่ะ เพราะวันนี้ยัยนี่วิ่งหนีพ่อกับแม่ แล้วตอนนี้ก็ทำเป็นไม่รู้ว่าพ่อแม่มา” เมฆว่า
“งั้นคนที่สมรู้ร่วมคิดก็จะเหลือแค่นิคกับเอวา” จอมสยามบอก
“แล้วก็อาจจะมีแฟนยัยนั่นด้วย” เมฆสงสัย
อิงฟ้านั่งดูหมอกระบายสีการบ้านด้วยความเบื่อหน่ายสุดๆ
“เสร็จแล้ว....สวยไหมครับ” หมอกถาม
“เนี่ยเหรอ? แม่ดูไม่ออกอ่ะครับว่ารูปอะไร”
“ก็รูปพ่อ แม่ หมอกไงครับ”
อิงฟ้ายิ้มเจื่อนๆ “เหรอครับ งั้นก็สวยดี ไปๆนอนกัน”
“แม่ค๊าบบบ หมอกอยากเล่นของเล่น ขอเล่นแป๊บนึงนะครับ”
อิงฟ้าพยักหน้ารับ แล้วลุกเดินไปหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก หมอกหยิบของเล่นแล้ววิ่งไปหา
“แม่เล่นกับหมอกนะครับ
“ขอแม่โทรตามพ่อก่อนนะ”
“พ่อเล่นดนตรีไม่รับสายหรอก”
อิงฟ้าถอนใจ “ก็ได้ครับ เล่นแป๊บเดียวนะ”
หมอกกับอิงฟ้านั่งเล่นด้วยกัน แต่อิงฟ้ามองหมอกเล่นของเล่นแบบไม่ค่อยสนุกไปกับลูก
พงษ์พัฒน์ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะที่ตะวันฉายและทุกๆ คนนั่งอยู่หยิบแก้วมาเคาะ
“เอ...จำได้ว่า สมัยเรียนเคยเห็นนายยุทธกับหนูซันร้องเพลงด้วยกันใช่ไหมแม่” พงษ์พัฒน์ถาม
“ใช่...ไม่ยินนานแล้วเน๊อะ” มยุรีบอก
นิคกับเอวาตกใจ “ซันร้องเพลง!”
“ตอนนั้นก็หัดกับพี่ยุทธที่เล่าให้ฟังไง” ตะวันฉายบอก
“อยากฟังแล้วสิ” นิคพูด
“อุ๊ย ไม่ดีมั้ง” ตะวันฉายหันไปพูดกับพ่อแม่ของยุทธการ “คุณอาคะวันนี้ซันไม่ได้เตรียมตัว”
“ไม่ได้นะซัน ยังงี้ก็เสียคอนเซปสวย เก่ง ของลูกพ่อหมดน่ะสิ” เกริกไกรบอก
“แหม..พ่อสวยเก่งน่ะมันก็ใช่ แต่ไม่ได้ซ้อมนี่มันไม่ไหวนะ”
“เอาน่า เดี๋ยวพี่ช่วยประคองให้ ร้องเพลงกับพี่สักเพลงนะ” ยุทธการขอ
ยุทธการลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้ตะวันฉาย ทุกคนปรบมือ แล้วยุทธการกับตะวันฉายก็เดินไปที่เปียโนและกีตาร์ที่วางไว้ ตะวันฉายนั่งลงที่เปียโน ส่วนยุทธการเล่นกีตาร์ แล้วทั้งสองคนก็เริ่มร้องเพลงด้วยกันืนิคกับเอวานั่งดูตะวันฉายกับยุทธการร้องเพลง แล้วเสียงมยุรีที่คุยกับสายรุ้งก็ลอยมาเข้าหู
“แหม...ดูยังไงเด็กสองคนนี่ก็เหมาะกันในทุกๆด้านเลยนะคะคุณรุ้ง” มยุรีบอก
สายรุ้งยิ้มปลื้ม “ค่ะ ตายุทธก็ดูแลซันดีมาตั้งแต่เด็กจนโตเลย”
“ถ้าคุณรุ้งปลื้มแบบนี้ คงต้องให้ตายุทธดูแลซันตลอดไปแล้วล่ะค่ะ”
เอวารู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที นิคแอบมองเธอด้วยความสงสาร ยุทธการกับตะวันฉายร้องเพลงด้วยกันอย่างมีความสุข ยุทธการคอยพยักหน้าให้สัญญาณประคองจังหวะให้ตะวันฉายตลอด
เมฆกับจอมสยามต้องเดินออกมาหามุมหลบแอบฟัง
“เฮ้ย...ร้องเพลงใช้ได้ทั้งคู่เลยนะ เข้าใจแล้วที่นายบอกว่ายัยนี่ช่วยแต่งเพลงได้ หรือจะต้อนเข้าสังกัดดีวะ” จอมสยามถาม
“ได้ไงพี่ นี่อาจจะเป็นศัตรูผมก็ได้นะ” เมฆบอก
จอมสยามเซ็งเพราะเสียดายตะวันฉายกับยุทธการ
เวลาผ่านไป ตะวันฉาย ยุทธการและทุกคนนั่งที่โต๊ะ พนักงานเข็นรถเค้กที่จุดเทียนแล้วเข้ามาที่โต๊ะ ทุกคนร้องเพลงสุขสันต์วันเกิด ตะวันฉายเป่าเทียนที่ปักบนเค้ก ทุกคนปรบมือยินดี เกริกไกรกับสายรุ้งมากอดแล้วให้ของขวัญ นิคกับเอวาให้ของขวัญ พงษ์พัฒน์กับมยุรีก็ให้ของขวัญตะวันฉาย
เมฆกับจอมสยามยังแอบดูอยู่ จอมสยามเริ่มเซ็ง
“พี่ว่าเรากลับเถอะว่ะ”
“อย่าเพิ่งสิพี่” เมฆขัด
“แล้วจะคอยอะไรวะ จะกระชากหน้ากากน้องซันคนสวยนั่นเหรอ? แต่พี่ดูๆแล้วพวกเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เรากลับไปหาวิธีอื่นดีกว่า ตอนนี้พี่จะเป็นไข้เลือดออกแล้ว”
เมฆจะเดินไปกับจอมสยามแต่ได้ยินเสียงพงษ์พัฒน์เคาะแก้วอีก เมฆกับจอมสยามชะงัก
“ยุทธ อย่าบอกนะว่าปีนี้มีของขวัญให้ซันแค่ดอกไม้” พงษ์พัฒน์ถาม
ยุทธการเขิน “เอ่อ...คือผม...ผมยังมีอีกครับ”
ยุทธการหยิบกล่องและการ์ดออกมาให้ตะวันฉาย ตะวันฉายเปิดอ่านแล้วเปิดดูของด้านในก็เห็นว่าเป็นกำไลเพชรแสนสวย ยุทธการหยิบออกมาสวมให้ตะวันฉาย
“สุขสันต์วันเกิดนะซัน”
ทุกคนปรบมือยินดี พงษ์พัฒน์พูดเสริม
“ทนไม่ไหวแล้ว ไอ้เกริก คุณรุ้ง ผมขออนุญาตสู่ขอหนูซันให้ลูกชายผมเลยแล้วกัน”
ยุทธการ ตะวันฉาย เอวา และนิคชะงัก ในขณะที่พวกผู้ใหญ่ยิ้ม
เมฆกับจอมสยามนิ่ง แล้วโทรศัพท์ของเมฆก็สั่นขึ้น จอมสยามสะกิด แต่เมฆนิ่ง จอมสยามจึงต้องสะกิดใหม่
จอมสยามกระซิบ “โทรศัพท์”
เมฆหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดปิดเครื่องไปเลย จอมสยามเหวอ
อิงฟ้าพยายามโทรศัพท์แต่ได้ยินสัญญาณปิดเครื่อง หมอกเดินมาหา
“แม่ครับ ไปเล่นอีกนะครับ”
“ไม่ได้แล้วหมอก ไปนอนเถอะ”
“ไม่เอา หมอกไม่ง่วง”
อิงฟ้าตวาด “เอ๊ะ...อะไรกันนักกันหนา น่ารำคาญจริง ไม่เห็นหรือไงคนกำลังโทรศัพท์”
หมอกตกใจแล้วถอยออกมาก่อนจะเดินคอตกออกไป
“หมอก ไปไหน” อิงฟ้าถาม
อิงฟ้าถอนใจด้วยความรำคาญ พอจะกดโทรศัพท์ก็เป็นห่วงหมอก สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจเดินตามหมอกไป
หมอกเดินมาใกล้ถึงบันได อิงฟ้าเดินจ้ำตามมาแล้วจับตัวหมอก
“หมอก รอแม่ด้วยสิ”
หมอกหยุดเดิน
“จะไปไหน”
“ก็แม่บอกให้หมอกไปนอนนี่ครับ”
“แล้วนี่เป็นอะไร เมื่อกี้ยังหัวเราะอยู่เลย”
“หมอกกลัวแม่ แม่ดุ”
อิงฟ้าอึ้งไปแล้วเธอก็นั่งที่บันไดพร้อมกับมองหน้าหมอก
“คือ...คือแม่...แม่ไม่ได้ตั้งใจ แม่แค่ยังไม่คุ้นกับหมอก ก็เลยนึกว่าหมอกน่าจะนั่งเล่นคนเดียวได้ แม่ไม่ได้ตั้งใจจะดุ”
“แม่ครับ หมอกเหงา หมอกอยากเล่นกับพ่อกับแม่”
อิงฟ้าจ้องหน้าหมอกแล้วค่อยๆเอามือจะจับตัวหมอกแต่ก็ไม่ค่อยคุ้น จะจับหน้า จับไหล่หรือจับแขนก็ดูขัดเขินไปหมด หมอกมองว่าแม่จะทำอะไรอย่างงงๆ สุดท้ายอิงฟ้าก็ดึงหมอกเข้ามากอดแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเอง
“ดึกแล้ว ไปนอนกันนะครับ แม่จะกล่อมหมอกเอง” อิงฟ้าบอก
อิงฟ้ากอดหมอกอยู่ที่หน้าบันได
อิงฟ้านั่งอ่านนิทานให้หมอกฟัง อยู่บนเตียง ส่วนหมอกนอนกอดเอวอิงฟ้า
“นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....ความรักของแม่...ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด” อิงฟ้าน้ำตาไหล
อิงฟ้าปิดหนังสือนิทานแล้วมองหมอกก็เห็นว่าหมอกนอนหลับสนิทไปแล้ว อิงฟ้าค่อยๆวางหนังสือนิทานแล้วก้มลงลูบแก้มหมอกก่อนจะหอมแก้มหมอก อิงฟ้าเลื่อนตัวลงนไปอนข้างหมอกพร้อมกับกอดหมอกและมองหน้าหมอกที่หลับอยู่ไม่วางตา
“ยกโทษให้แม่นะครับหมอก”
เมฆกับจอมสยามเดินมาที่รถที่จอดอยู่ จอมสยามดึงไหล่เมฆ
“เฮ้ย เป็นอะไร เงียบไปเลย” จอมสยามถาม
เมฆพยายามหาเหตุผล “เอ่อ...คือ..ผมกำลังคิดว่าจะทำไงกับยัยนั่นต่อดี”
“ทำไง นี่คือทำอะไรวะ”
“ผมก็ยังคิดไม่ออกไงพี่”
“แต่ที่เราคุยกันไว้คือนายจะพิสูจน์ไม่ใช่เหรอว่าเขาเป็นนักเขียนจริงหรือเปล่า แล้วต่อไปเราก็หาว่าเขาเข้ามาบ้านนายทำไม นายลืมเหรอ?”
“เอ่อ...ใช่ๆ... เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมจะเริ่มแผนของผมเลย”
“ไป งั้นเรากลับกันเถอะ”
เมฆขึ้นรถแล้วขับออกไป จอมสยามมองตาม
“ยังไงๆวะไอ้นี่”
จอมสยามส่ายหน้าเพราะไม่เข้าใจแล้วเขาก็ขึ้นรถตัวเองก่อนจะขับออกไป
เกริกไกรกับสายรุ้งในชุดนอนนั่งดื่มนมอุ่นอยู่ด้วยกัน สักพักตะวันฉายในชุดนอนก็เดินออกมา
“พ่อกับแม่ยังไม่นอนอีกเหรอ”
“นานๆพ่อกับแม่จะเข้ากรุงเทพฯสักทีขอสูดอากาศพิษให้สมใจอยากหน่อยแล้วกัน” สายรุ้งเล่นมุก
“แม่ นั่นมุกพ่อจะเตรียมเล่นเลยนะ” เกริกไกรบอก
“แล้วให้ไหม” สายรุ้งถาม
“อะจ้า....ใครกล้าหือล่ะ”
เกริกไกรจับมือสายรุ้งขึ้นมาหอม ตะวันฉายมองแล้วอมยิ้ม
“พ่อกับแม่นี่ฮาแมนติกได้ตลอดนะคะ”
“อยากมีแบบนี้สักคนไหมล่ะ” สายรุ้งถาม
“แม่...ไม่ต้องถาม ทางโน้นเขาขอมาแล้ว กำหนดวันแต่งกันเลย” เกริกไกรบอก
“โอ๊ย...พ่อกับแม่อ่ะ จะไล่ซันไปให้คนอื่นอีกแล้วเหรอ”
“คนอื่นที่ไหน พี่ยุทธของเรานั่นแหล่ะแม่กับพ่อรู้หมดแหล่ะว่า อยู่กรุงเทพฯน่ะ ตายุทธคอยดูแลซันทุกวันเลยใช่ไหม”
ตะวันฉายหน้าเจื่อนไป “เอ่อ...ค่ะ”
“แม่เห็นว่าจบแล้ว เลยไม่โทรตามกวนใจ แค่แอบถามตายุทธแทน” สายรุ้งยิ้ม
“นี่ ถึงพ่อกับแม่จะหัวสมัยใหม่ แต่ก็ห้าม Featuring กันก่อนแต่งงาน” เกริกไกรบอก
“ว๊าย...พ่ออ่ะ พูดน่าเกลียด” ตะวันฉายอาย
“น่าเกลียดที่ไหน เรื่องแบบนี้ถ้าพ่อแม่มัวแต่เหนียมอาย เด็กๆตัดสินใจกันเองมันถึงได้เป็นปัญหาสังคมไง”
ตะวันฉายเดินไปนั่งแทรกกลางระหว่างเกริกไกรกับสายรุ้งแล้วกอดทั้งสอง
“ถ้าวันหนึ่งซันมีคนรักที่ไม่ใช่พี่ยุทธ พ่อกับแม่จะว่ายังไงคะ” ตะวันฉายถาม
เกริกไกรับสายรุ้งมองหน้ากันอย่างอึ้งๆ
“ตกลงมันยังไงกันแน่ ลูกมีคนรักแล้วเหรอ” สายรุ้งถาม
“ยังหรอกค่ะ แค่ลองถามดู เพราะว่า...ซัน..ซันไม่ได้รักพี่ยุทธแบบนั้น” ตะวันฉายบอก
“ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร ใช่ยุทธการหรือไม่ ถ้าเป็นคนที่ลูกรักและเขาดีกับลูก พ่อกับแม่ก็ไม่ขัดใจลูกหรอก” สายรุ้งบอก
“ซันดีใจที่พ่อกับแม่จะรักคนที่ซันรัก”
“แต่พ่อว่าพี่ยุทธของซันนี่น่ะดีแล้ว” เกริกไกรบอก “ เพราะคนที่ดีกว่ายุทธการก็คงมี แต่พ่อว่าเขาไม่น่าจะมองลูกสาวพ่อนะ”
“กรี๊ดดดดด พ่ออ่ะ”
ตะวันฉายวิ่งไล่จี๋เอวเกริกไกรไปรอบห้อง เกริกไกรมาหลบหลังสายรุ้ง สายรุ้งช่วยบังให้อย่างสนุกสนาน
เมฆเดินเข้ามานั่งตรงบันไดที่มืดๆ ภายในบ้านแล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่ได้เห็นในวันนี้...
ยุทธการหยิบกล่องและการ์ดออกมาให้ตะวันฉาย ตะวันฉายเปิดออกและเปิดของดูเห็นเป็นกำไรเพชรแสนสวย ยุทธการหยิบออกมาสวมให้ตะวันฉาย
“สุขสันต์วันเกิดนะซัน”
ทุกคนปรบมือยินดี
เมฆหน้าจ๋อยไปแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินเข้าบ้าน
ตะวันฉายล้มตัวนอนลงบนเตียง แล้วอมยิ้มคนเดียว
ในความฝันของตะวันฉาย ตะวันฉายยืนดูธีรภพถ่ายรูปอยู่ ธีรภพหันมาเห็นเธอก็ยิ้มให้ ตะวันฉายเอียงอาย ธีรภพเดินเข้ามาหาแล้วจับมือตะวันฉาย
“ซัน...รู้ไหมว่าพี่แอบรักซันมาตลอด” ธีรภพพูด
“จริงเหรอคะพี่ธีร์ นี่ซันฝันไปใช่ไหม” ตะวันฉายถาม
“ถ้านี่เป็นความฝัน พี่ก็จะขอเข้าไปอยู่ในฝันของซันทุกราตรี ซันจะยินดีกับพี่ไหม
ตะวันฉายอาย “ถ้าพี่ธีร์อยากมาก็มาสิ ซันเป็นผู้หญิงจะพูดอะไรมากก็ไม่ได้ ซันคงบอกได้เพียงว่า ซันอยากแต่งงาน อยากเป็นภรรยาพี่ธีร์ อยากดูแล อยากแก่ไปกับพี่ธีร์ และซันก็ไม่อยากให้พี่ธีร์มองใคร รักซันคนเดียว ซันพูดได้แค่นี้จริงๆ อ้อ...ซันขอเพิ่มอีกนิดนะคะ คือซันไม่อยากให้มันเป็นแค่ความฝัน ซันอยากให้มันเป็นจริง”
ธีรภพยิ้ม “งั้นซันหลับตาสิ”
“ทำไมคะ”
“พี่จะออกจากความฝันไปอยู่กับซันในโลกความเป็นจริงไง”
ตะวันฉายตื่นเต้น “จริงเหรอคะ พี่ธีร์จะมาอยู่กับซันเหรอ พี่ธีร์จะมาเมื่อไหร่ มาตอนนี้เลยหรือเปล่า ซันตื่นเต้นจังเลย.....”
ตะวันฉายพูดไม่หยุด ธีรภพเอามือข้างหนึ่งปิดปากตะวันฉาย แล้วเอามือหนึ่งปิดตาของตะวันฉาย
ตะวันฉายนอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข เงาของชายคนหนึ่งเดินมาจากมุมห้องมืดๆ แล้วค่อยๆเดินมาจนถึงข้างเตียงที่ตะวันฉายนอนหลับตาพริ้มรออยู่
“พี่ธีร์มาแล้วเหรอคะ”
ชายในเงามืดค่อยๆย่อตัวลง ตะวันฉายค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วก็หุบยิ้มทันทีเพราะเห็นว่าเป็นเมฆกำลังยิ้มแฉ่งอยู่
ตะวันฉายตกใจ “ไอ้ปากเป็ด”
ตะวันฉายถีบยอดอกเมฆจนเขาล้มตึง
เมฆตกเตียงร้องโอ๊ยด้วยความเจ็บ ตะวันฉายสะดุ้งร้องกรี๊ด เมฆพยุงร่างลุกขึ้นมา ในขณะที่ตะวันฉายสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมานั่งขวัญเสีย ตะวันฉายชิงพูดก่อน
“อี๋...ตาบ้า...ตามมาหลอกฉันถึงในฝันเลยเหรอ”
เมฆนั่งลงบนเตียง
“ฮึ...ยัยตะวันเฉา ขนาดในฝันยังถีบซะแรงเลย แสบจริงๆ”
ทั้งสองล้มตัวลงนอนแต่นอนไม่หลับทั้งคู่ ทั้งคู่ลุกจากเตียงเดินไปที่ระเบียงของห้องตัวเองพร้อมกัน ทั้งสองมองพระจันทร์ดวงเดียวกัน เมฆเห็นพระจันทร์เป็นหน้าตะวันฉาย ส่วนตะวันฉายเห็นพระจันทร์เป็นหน้าเมฆ ทั้งสองสะดุ้งแล้วรีบวิ่งขึ้นเตียงไปนอนคลุมโปงทันที
ยามเช้า เก่งรถน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เมฆงัวเงียปิดนาฬิกาแล้วจะนอนต่อ แต่ก็นึกได้จึงสะดุ้งตื่น
“ซันไม่อยู่นี่”
เมฆเดินหาวออกจากห้องไป
เมฆเดินมาถึงห้องนอนหมอก เขาจะเปิดประตูแต่ได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานของหมอกจึงค่อยๆแง้มประตูดู เมฆเห็นอิงฟ้ากำลังวิ่งไล่ทาแป้งให้หมอกที่นุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่
“เร็วเข้าหมอก วันนี้เราสายกันแล้วนะลูก แม่ต้องลงไปเตรียมอาหารเช้าให้อีกนะ” อิงฟ้าบอกลูกชาย
หมอกวิ่งมาหยุดยืนตรงแต่พออิงฟ้าจะทาแป้ง หมอกก็วิ่งหนีอีก อิงฟ้าส่ายหน้าแต่ก็วิ่งตาม เมฆมองแล้วอมยิ้มอย่างมีความสุข หมอกเห็นเมฆเลยตะโกนเสียงดัง
“พ่อมาแล้ว”
หมอกวิ่งไปเปิดประตู เมฆเดินเข้ามาอุ้มหมอก
“พ่อมาเล่นกับหมอกกับแม่นะครับ” หมอกชวน
เมฆกับอิงฟ้ามองหน้ากัน อิงฟ้ายิ้มให้ เมฆทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่หลบตา
“ไม่ได้ครับ หมอกต้องไปโรงเรียน ไปให้แม่เขาแต่งตัวให้นะครับ” เมฆบอก
เมฆปล่อยหมอกลง
“พ่อช่วยแม่แต่งตัวให้หมอกนะครับ” หมอกขอ
เมฆยิ่งนิ่ง อิงฟ้าส่งกางเกงหมอกให้เมฆ แล้วหมอกก็ยืนกางแขนให้อิงฟ้าใส่เสื้อส่วนเมฆใส่กางเกง แล้วหมอกก็กอดคอทั้งเมฆและอิงฟ้าพร้อมกัน เมฆกับอิงฟ้ามองหน้ากัน เมฆเขิน ส่วนอิงฟ้ายิ้มอย่างมีความสุข
หมอกกับเพื่อนๆ ยืนร้องเพลงชาติที่แถวที่สนามโรงเรียนจนจบ แล้วทั้งหมดก็ค่อยๆเดินแถวเข้าห้อง หมอกหันมามองเห็นเมฆกับอิงฟ้าที่ยืนอยู่ด้วยกันแล้วก็โบกมือบ๊ายบายก่อนจะเดินเข้าห้องไปกับเพื่อนๆ
เมฆกับอิงฟ้ายืนโบกมือตอบ แล้วเมฆก็แอบหันมามองอิงฟ้า อิงฟ้ายิ้มให้หมอกแล้วพออิงฟ้าหันกลับมามองเมฆ เมฆก็หลบตาแล้วเดินไปที่รถ อิงฟ้าอมยิ้มด้วยความพอใจแล้วเดินตามไป
เมื่อมาถึงลานจอดรถ อิงฟ้าเดินมาจับมือเมฆให้หันมามองหน้าเธอ
“ขอบคุณนะเมฆ” อิงฟ้าเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณ....เรื่องอะไร”
“ขอบคุณที่ให้โอกาสฟ้าได้อยู่กับลูก”
เมฆยิ้มรับแล้วจะขึ้นรถแต่อิงฟ้าดึงไว้อีก
“ฟ้ารู้แล้วว่าคงจะไม่ไม่มีวันจะเอาชนะใจเมฆได้ แต่ฟ้าไม่เสียใจนะ เพราะตอนนี้ฟ้ารู้แล้วว่าความสุขของฟ้ามันไม่ได้อยู่ที่เมฆรักฟ้าหรือเปล่า แต่มันอยู่ที่ฟ้าต้องการจะรักเมฆตลอดไป”
“ฟ้า”
อิงฟ้ายิ้ม “หมอกเขาสอนให้ฟ้าคิดแบบนี้”
เมฆกับอิงฟ้ายืนมองหน้ากัน
“เดี๋ยวเราแวะซื้อของหน่อยได้ไหม ถ้าวันนี้เมฆไม่ได้ไปไหนก็อยู่บ้านทานข้าวฝีมือฟ้าหน่อยนะ หมอกเขาบอกว่าอยากทานข้าวหน้าไก่อบน่ะ”
เมฆยิ้มแล้วเปิดประตูให้อิงฟ้าขึ้นรถ แล้วเขาก็รีบวิ่งไปขึ้นรถฝั่งคนขับแล้วขับออกไป
ตะวันฉาย เกริกไกร และสายรุ้งนั่งกินอาหารเช้าอยู่ด้วยกันที่คอนโด
“ตกลงพ่อกับแม่จะกลับเมื่อไหร่คะ” ตะวันฉายถาม
“อะไรกัน พ่อกับแม่ไม่ได้เจอซันตั้งนาน จะรีบไล่แล้วเหรอ” เกริกไกรว่า
“นั่นสิแม่น้อยใจนะ ว่าจะอยู่เที่ยวกับลูกให้นานๆหน่อยก็มาไล่กันแล้ว”
ตะวันฉายตกใจ “พ่อกับแม่จะเที่ยวเหรอคะ?”
เกริกไกรหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาโชว์ ส่วนสายรุ้งหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาใส่ แล้วทั้งสองก็โพสท์ท่าถ่ายรูปคู่กันแบบแบ๊วๆ
“ก็ซันเคยบอกว่าต้องหาข้อมูลเขียนนิยายใช่ไหม ลูกก็ไปหาข้อมูล พ่อกับแม่ก็ถือโอกาสไปเที่ยวด้วย” สายรุ้งบอก
ตะวันฉายตกใจ “ห๊า...พ่อกับแม่จะไปกับซันเหรอ”
เกริกไกรกับสายรุ้งพูดพร้อมกัน “ใช่”
ตะวันฉายจ๋อย “เอ่อ...แต่ว่า ซันไปทำงาน ซันกลัวพ่อกับแม่จะเบื่อ” ตะวันฉายนึกได้ “เอางี้ไหมคะไว้คราวหน้าพ่อกับแม่บอกซันล่วงหน้า ซันจะได้จัดเวลาแล้วอยู่กันหลายๆวันเลยดีไหม”
เกริกไกรกับสายรุ้งพูดพร้อมกัน “ไม่ดี”
ตะวันฉายสะดุ้ง
ทันใดนั้นเสียงยุทธการก็ดังขึ้น “ไม่เป็นไรหรอกซัน ให้พี่รับหน้าที่ดูแลคุณอาทั้งสองเอง”
ตะวันฉายหันไปมองก็เห็นยุทธการเดินยิ้มเข้ามา แล้วเธอก็หันขวับไปมองเกริกไกรกับสายรุ้ง
“พ่อเรียกมาเอง ก็เห็นยุทธเขาเคยบอกว่าไปกับซันทุกวันๆ วันนี้ก็ต้องมาสิ”
ตะวันฉายถอนใจด้วยความเครียดและอยากจะเป็นลมเพราะตอบอะไรไม่ถูก ยุทธการรีบช่วยแก้ตัว
“วันนี้เราจะเริ่มที่ไหนกันดีล่ะซัน”
ตะวันฉายยิ้มเจื่อนๆ ให้ยุทธการ
เมฆกับอิงฟ้าเดินซื้อของด้วยกัน ในซูเปอร์มาร์เก็ต เมฆเข็นรถตาม อิงฟ้าเดินเลือกซื้อของอย่างมีความสุข อิงฟ้าเห็นของแล้วดีใจจึงรีบจูงมือเมฆให้มาช่วยเลือกของ
อิงฟ้าจะหยิบกระป๋องนมขนาดใหญ่ที่หนักมาก เมฆที่ยืนที่รถตัดสินใจเข้าไปช่วยยกทำให้ต้องกุมมืออิงฟ้าไว้โดยปริยาย อิงฟ้ามองตาเมฆแล้วยิ้ม เมฆรีบยกของใส่รถเข็นทันที เมฆแอบมองอิงฟ้าเวลาเลือกของแล้วก็เผลอยิ้มออกมา
เวลาผ่านไป เมฆนั่งที่เปียโนในห้องทำงาน เขามองโน้ตเพลงตรงหน้าส่วนในมือถือดินสอ เมฆเล่นเปียโนแล้วจะใส่เนื้อร้องแต่พอจะเขียนก็คิดไม่ออก สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจปิดเปียโนแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานก่อนจะไขกุญแจเปิดลิ้นชักแล้วหยิบรูปที่เคยถ่ายกับอิงฟ้ามาดู
เมฆนึกย้อนไปถึงอดีต...
วันนั้นเมฆในชุดนักศึกษาสบาย กำลังนั่งเล่นทำนองพอจะแต่งเนื้อก็เขียนไม่ออก เขานั่งกุมขมับด้วยความเครียด ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เพื่อนคนนึงเปิดพรวดเข้ามา
“เฮ้ย...เคาะประตูน่ะช่วยรอไปเปิดด้วยดิ่” เมฆว่า
เพื่อนเมฆพูดเหนือ “ขอสูมาเต๊อะ หมู่เฮาจะถามว่าเนื้อเพลงได้ก่อ”
“ยังไม่ได้เลย”
เพื่อนอีกคนพูดกลาง “ใกล้ประกวดแล้วเว้ย จะให้วงเราซ้อมแต่ทำนองเหรอ”
เมฆรู้สึกผิดแต่ก็พูดไม่ออก ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก ทั้งสี่คนมองหน้ากันด้วยความงง“ใครอีกวะ” เมฆตะโกน “เข้ามาเถอะห้องไม่ได้ล็อค”
ประตูเปิดออก อิงฟ้าถือกระเป๋าเปิดเข้ามา เมฆเห็นก็ดีใจจึงลุกขึ้นไปรับ
“ฟ้า...มาได้ไง ทำไมไม่บอกก่อนผมจะไปรับที่ท่ารถ”
“ก็ฟ้าคิดถึงเมฆน่ะสิ เห็นเป็นวันหยุดยาวสี่วันเลยรีบมาหา”
เพื่อนอีกคนพูดเหนือแ”หมดกัน แม่หญิงไอ้เมฆมาแบบนี้ สงสัยต้องรออีกสี่วัน”
เมฆกับอิงฟ้ายืนจับมือและมองหน้ากัน
หลายวันผ่านไป เมฆกับอิงฟ้าใส่เสื้อกันหนาวขี่รถรอบคูเมืองด้วยกันอย่างมีความสุข แล้วทั้งคู่ก็มานั่งกินขันโตกด้วยกันอย่างมีความสุข
เมฆนั่งเล่นเพลงให้อิงฟ้าฟังด้วยคีย์บอร์ดอยู่ในหอพัก แล้วเมฆก็นั่งแต่งเพลงไปด้วย
เมฆหันมาเห็นอิงฟ้านั่งหลับอยู่หน้าทีวี เขาเดินมาจับตัวให้อิงฟ้านอนแล้วห่มผ้าให้พร้อมกับหอมหน้าผากเธอ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่คีย์บอร์ด เมฆมองอิงฟ้าหลับแล้วยิ้มแล้วก็หันกลับไปนั่งแต่งเพลงต่อ เมฆแต่งเพลงตั้งแต่มืดจนถึงสว่าง
วันต่อมา เมฆยื่นเนื้อเพลงให้เพื่อนทั้งสาม เพื่อนๆ รับไปอ่านเนื้อแล้วตาโตด้วยความตื่นเต้น
เพื่อนคนแรกพูดเหนือ “โห...สุดยอดเลยไอ้เมฆ วันก่อนยังไม่เสร็จท่อนแรกเลย วันนี้มาไง”
เพื่อนอีกคนพูดเหนือขึ้นมา “ก็ไอ้เมฆมันมีแรงบันดาลใจไง สังเกตดูสิ นี่เพลงที่สี่แล้วนะ ที่ฟ้ามาปุ๊บมันแต่งเสร็จปั๊บ ไม่งั้นรอเป็นเดือน”
เพื่อนอีกคนพูดกลาง “เออ...จริงว่ะ” เขาหันไปพูดกับฟ้า “สงสัยพวกเราต้องดึงฟ้าเข้าวงแล้ว ให้นั่งเฉยๆเป็นแรงบันดาลใจให้ไอ้เมฆ”
อิงฟ้าหัวเราะ “เมฆดูสิเพื่อนแซวใหญ่แล้ว”
“พวกมันพูดจริงนี่” เมฆบอก
อิงฟ้าเขิน เพื่อนๆ ยิ่งแซวกันใหญ่
ที่เหตุการณ์ปัจจุบัน เมฆเอารูปเก็บใส่ลิ้นชักแล้วปิดกุญแจ เขากลับไปที่เปียโนแล้วนั่งแต่งเพลงต่อแต่ก็คิดไม่ออก เก่งเปิดประตูเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาด
“เอ่อ...ผมรบกวนหรือเปล่าครับ ถ้ารบกวนคุณเมฆ ผมมาทำเวลาอื่นก็ได้ครับ” เก่งบอก
“ไม่ต้องเลยไอ้เก่ง เมื่อวานก็มุขนี้ แล้วก็ไม่ทำ”
เมฆเดินไปลากคอเก่งเข้ามา
“อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะว่าหลังๆน่ะแกให้ซันมันทำงานแทน”
“ก็มันขอนี่ครับ มันกล้าขอผมก็กล้าให้ครับ แมนๆ”
“อย่ามาโม้ นึกว่าฉันไม่รู้จักนิสัยแกหรือไง”
“โธ่...จริงๆครับคุณเมฆ ไอ้ซันมันขอจริงๆ โดยเฉพาะห้องนี้ มันแทบผูกขาดเลยครับ ไม่รู้ติดใจอะไร ยิ่งเมื่อก่อนที่คุณเมฆยังไม่ล็อคห้องนี้ เก่งเห็นมันลับๆล่อๆแถวหน้าห้องในห้องประจำ”
เมฆครุ่นคิดตามที่เก่งพูด