ชิงนาง ตอนที่ 17
ในเวลาต่อมามะขิ่นกำลังเร่งมือตำสมุนไพรไป ปากก็พร่ำบ่นเพราะห่วงลูกสาวไป มะยอนอนตะแคง เปิดไหล่เสื้อไว้รอยาพ่อ มีเหนือฟ้านั่งกังวลอยู่ใกล้ๆ
“ใครมันช่างเลวทรามต่ำช้า ลอบกัดผู้หญิงได้อย่างนี้” มะขิ่นตำๆๆ แล้วก็ตำ ปากก็บ่นงึมงำไม่หยุด “ขอให้มันไม่ตายดี ตายไปก็ขอให้เป็นผีเปรตไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
มะยอลอบมองเหนือฟ้าอย่างสงสัย แต่ยังไม่พูดอะไรออกมา
มะขิ่นตำเสร็จแล้ว “เอาล่ะ..โปะสมุนไพรนี่ไว้ ไม่นานก็คงจะหาย”
“พามะยอไปโรงพยาบาลไม่ดีกว่าเหรอมะขิ่น” เหนือฟ้าบอก
“โอย..ไม่ต้องล่ะ สมุนไพรผีบอกสูตรนี้ พวกเราใช้กันมาหลายชั่วคนแล้ว รับรอง เอ้า! อ้ายเหนือช่วยหน่อย”
เหนือฟ้าเลิ่กลั่ก มะขิ่นรีบบอก “เปิดเสื้ออีนังมะยอให้หน่อย”
เหนือฟ้ากับมะยอร้อง “เฮ่ย” พร้อมกัน
“แขนเสื้อ แค่แขนเสื้อ ปัทธ่อ ลูกสาวข้า ข้าก็หวง”
เหนือฟ้าพยักหน้าหงึกๆ ค่อยๆ ดึงเสื้อเปิดไหล่มะยอให้กว้างขึ้น มะยอรู้สึกดีนิดๆ แต่ก็ยังมีฟอร์ม
“ทนหน่อยนะมะยอ กัดฟันนิดเดียว”
มะยอพยักหน้าอย่างใจเด็ด
มะขิ่นโปะยาลงไปที่แผล มะยอกัดฟันแน่น ยินเพียงเสียงร้องรอดไรฟัน เหงื่อแตกพลั่ก มือจิกแขนเหนือฟ้าแน่นด้วยความเจ็บ เหนือฟ้าโผเข้ากอดมะยอให้กำลังใจโดยอัตโนมัติ มะยอกอดเหนือฟ้าแน่น เจ็บเจียนตาย จนไม่สนอะไรแล้ว
มะยอเจ็บปนเหนื่อยหอบจนหมดแรงในอ้อมกอดเหนือฟ้าที่มองอย่างสงสาร
ครู่ต่อมามะขิ่นเอายาน้ำในกระบอกไม้ไผ่ป้อนมะยอ
“ตามด้วยยานี่อีกสูตรนึง..รับรอง..หาย”
มะยอทำหน้าขมปี๋
“หวานเป็นลม ขมเป็นยาเว๊ย..อีนังมะยอ” มะขิ่นว่า
มะยอเอนหลังพิงกับต้นไม้
เหนือฟ้าถาม “ว่าแต่...มะยอจำหน้าไอ้คนที่มันทำร้ายมะยอได้มั้ย”
มะยอมองจ้องหน้าเหนือฟ้า บอกอย่างมั่นใจ “จำได้”
มะขิ่นแค้น “หน้ามันต้องเหมือนหมา เพราะว่ามันเป็นหมาลอบกัด”
มะยอพูดขึ้นมาลอยๆ “เหมือนผีมากกว่า”
“ห๊า” มะขิ่นตกใจ
“หน้าตามันเละ..เหมือนผี” มะยอย้ำ
เหนือฟ้ามองจดจ่อรอฟัง
มะยอมองจ้องเหนือฟ้าอีก “อ้ายเหนือ...เอ็งชื่อ ‘เหนือฟ้า’ รึเปล่า”
เหนือฟ้าอึ้ง มะขิ่นก็ตกตะลึง พูดเสียงดุทันควัน “อีนังมะยอ”
มะยอมองหน้าเหนือฟ้า ก่อนจะบอกต่อ “มันฝากข้ามาบอกคนชื่อ เหนือฟ้า ว่ามันจะไม่ยอมปล่อยให้เหนือฟ้าโชคดีอีกเป็นครั้งที่ 2”
ในขณะที่เหนือฟ้าตะลึง มะขิ่นรีบถามทันควัน “มันเป็นใคร อีนังมะยอ! มันบอกรึเปล่าว่ามันชื่ออะไร”
มะยอมองเหนือฟ้าอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้น “มันชื่อ...วันชัย”
เหนือฟ้าตื่นตะลึงด้วยความตกใจ มะขิ่นหันมามองเหนือฟ้าครางออกมา “อ้ายเหนือ”
มะยอมองเหนือฟ้าหน้าตางวยงง
จากตกใจแววตาเหนือฟ้าเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์ นิ่งคิด เหมือนจะบอกตัวเองว่า...จากนี้ไปก็ตาต่อตา ฟันต่อฟันล่ะ..ไอ้วันชัย!!
วินาทีนั้นเหนือฟ้าพูดขึ้นมาลอยๆ “มะขิ่น...” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงเข้ม “ถึงเวลาแล้ว”
มะขิ่นฮึดสู้สุดๆ มะยอมองจ้องเขม็ง สีหน้าเหนือฟ้ายามนี้พร้อมสู้เพื่อชำระแค้นในใจเต็มที่
เช้าวันเดียวกันนั้น หนูนาหอบตะกร้าผ้าจะเอาลงไปซักข้างล่าง แวะมายืนมองภูผาที่ยังหลับอยู่บนเตียงในสภาพเมาปลิ้นท่าเดียวกับเมื่อคืน
“นอนไปก่อนนะคุณ”
หนูนาส่ายหน้า แล้วเดินออกไป ทิ้งภูผาขี้เมาไว้อย่างนั้น
ด้านเมฆากำลังผูกเนคไทด์เตรียมจะไปทำงาน พยายามจะเก็บเน็คไทเข้าคอเสื้อด้านหลัง ทันใดนั้นวงเดือนยื่นมือเข้ามาช่วย เมฆาชะงักอึ้ง มองอย่างซาบซึ้ง และมองอยู่อย่างนั้นจนวงเดือนจัดคอเสื้อให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
เมฆาหันกลับมามองวงเดือน “ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีใครทำให้ นอกจากคุณแม่...ขอบคุณมากนะเดือน”
วงเดือนหลบตา “ไม่เป็นไรค่ะ”
เมฆาถามเสียงนุ่มหู “เมื่อคืนหลับสบายมั้ย”
วงเดือนพยักหน้าหงึกๆ “แต่เดือนไม่อยากให้คุณเมฆาต้องลำบากไปนอนโซฟาแบบนั้นเลย”
เมฆายิ้มแหย่พูดเย้า “งั้นก็ให้ผมนอนบนเตียงด้วยสิ”
วงเดือนตกใจจะโวย
เมฆารีบพูด “ผมล้อเล่น”
วงเดือนถอนหายใจโล่งอก
เมฆาจับมือวงเดือนมากุม “แค่คุณยอมแต่งงานกับผม มันก็มากเกินพอ ผมไม่กล้าขออะไรคุณมากกว่านี้อีกแล้ว นอกจากจะรอจนกว่าคุณจะให้”
วงเดือนเปลี่ยนเรื่องดีกว่า “ไปทำงานเถอะนะคะ เดี๋ยวจะสาย”
เมฆายิ้ม ว่าง่าย “ครับ” ชะงักกึกเหมือนนึกบางอย่างได้ “อ้อ! เดี๋ยวก่อน”
วงเดือนเลิกคิ้ว ฉงน “ลืมอะไรเหรอคะ”
“เกือบลืมครับ” พูดจบเมฆาก็หอมแก้มวงเดือนฟอดหนึ่ง วงเดือนตกใจ
“ต้องซ้อมไว้ จะได้เนียนๆ คุณพ่อคุณแม่จะได้เชื่อ” เมฆาอ้าง
วงเดือน...เอ๋อ เหวอ ขณะเมฆายิ้มน่ารัก
“ผมไปนะ”
เมฆารีบออกจากห้องไป วงเดือนเพิ่งจะตั้งตัวติด เดินตามออกไปส่งที่หน้าห้อง มองตามเมฆา ก่อนจะเอามือลูบแก้มตัวเองหน้าเศร้าๆ แล้วชะงักมองประตูห้องฝั่งตรงข้าม นึกวูบว่า “เค้าทำอะไรกันอยู่น้า” ในที่สุดตัดใจจะเดินกลับเข้าห้อง แต่ได้ยินเสียงดังตุ้บ เหมือนของหนักๆ หล่นพื้น วงเดือนสะดุ้ง ชะงักหันกลับไปมอง แล้วนึกจะไม่ยุ่ง แต่ดันมีเสียงแก้วแตกดังเพล้งตามมา
วงเดือนสะดุ้ง “หนูนา”
วงเดือนรีบพุ่งเข้าไปที่หน้าห้องเคาะเบาๆ แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องภูผาทันที
วงเดือนก้าวเข้าห้องมา กวาดตามองไปเห็นภูผานอนกองอยู่กับพื้น มีแก้วน้ำตกแตกอยู่ใกล้ๆ เหมือนภูผาพยายามจะหยิบแก้วน้ำ แล้วทำหล่น
วงเดือนตกใจร้องเรียก “คุณภูผา”
วงเดือนรีบเข้าประคองภูผาที่ยังแฮ้งค์ๆ อยู่ ได้กลิ่นเหล้าหึ่ง
“คุณเมาเหรอเนี่ย”
วงเดือนส่ายหน้าก่อนจะพยายามลากภูผากลับขึ้นไปนอนบนเตียง ปรากฎว่าวงเดือนเสียหลักล้มทับภูผาลงไปบนเตียงด้วย หน้าสองคนใกล้ชิดกัน ภูผาลืมตาขึ้นจ้องวงเดือน
เรียกเสียงอ่อยๆ “เดือน...”
วงเดือนมองนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
เมฆาเดินลิ่วมาที่รถจะรีบไปโรงพยาบาล พอจะดูเวลา จึงนึกขึ้นได้ว่าลืมนาฬิกาข้อมือก็เลยเซ็ง ก่อนจะรีบเดินกลับจะไปเอานาฬิกาที่ห้อง
วงเดือนและภูผายังกอดกันอยู่ในท่าเดิม
ภูผามองวงเดือนสายตาน้อยใจ น้ำเสียงตัดพ้อ “รักมันจริงเหรอ”
“คุณยังไม่สร่างเมานะคะ”
วงเดือนจะดันตัวออก ถูกภูผากอดรัดไว้แน่น
ภูผาเสียงแข็งขึ้น “ตอบฉันมาก่อน”
วงเดือนแข็งขืน “ปล่อยเดือน”
ภูผาเริ่มโกรธ “รังเกียจฉันมากนักเหรอ”
วงเดือนไม่ตอบ ตั้งหน้าตั้งตาทุบอก “บอกให้ปล่อย”
ภูผาทั้งโกรธทั้งเมาค้างอยู่ “ไม่ปล่อย”
พูดจบก็ระดมจูบๆๆ รัวเร็วแบบขาดสติ วงเดือนทั้งผลักทั้งทุบ สุดท้ายตบหน้าเผียะ ภูผาชะงัก วงเดือนชะงัก ภูผาโกรธจัดฟัดวงเดือนจมที่นอนไปเลย
วงเดือนตกใจตาค้าง “คุณภูผา”
ในขณะที่เมฆาเดินมารีบๆ แต่ก็ต้องชะงักเพราะโฉมไฉไลโผล่มายืนขวางทาง
“จะรีบไปไหนแต่เช้าคะ..เจ้าบ่าวป้ายแดง”
เมฆาเซ็ง “หลีกไป..ผมรีบ”
“อะไรกันเนี่ย! เพิ่งจะแต่งเมียแท้ๆ แต่วันนี้รีบเผ่นออกจากบ้านตั้งแต่เช้า” มองเหล่จับอาการ “มันชักจะยังไงๆ ซะแล้วนะเนี่ย”
เมฆาอ่อนใจ “ไม่อะไร ยังไง หรอกโฉมไฉไล มันเป็นเรื่องปกติของคนที่เค้ามีการมีงานทำ ไม่ใช่ล่องลอยไร้สาระไปวันๆ เหมือนคุณ”
โฉมไฉไลเจอด่ารับอรุณก็โกรธตาขวาง “เมฆา”
“หลีกไปดีกว่า อย่าทำตัวถ่วงเวลา เวลาของผมมีค่ามาก”
เมฆาผลักไหล่โฉมไฉไลแล้วรีบเดินไปเลย
โฉมไฉไลตาขวาง “หึ้ย!! แล้วซักวันคุณจะต้องมาคุกเข่าตรงหน้าโฉม เมฆา”
เมฆารีบวิ่งมาตามทางจนถึงหน้าห้องนอน ผลักประตูเข้าไป ชะงักนิดหนึ่ง มองหาวงเดือนแต่ไม่เห็น
“เดือน..เดือน”
เมื่อเห็นว่าไม่อยู่ก็คิดนิดหนึ่ง ก่อนจะปรี่ไปหยิบนาฬิกาข้อมือมาใส่แล้วเดินหาวงเดือนในห้องต่อ
“เดือน...” เมฆานิ่งคิดนึกสงสัย “ไปไหนแล้ว”
เมฆาเดินออกมาหน้าห้องปิดประตู หมุนตัวจะเดินออกแล้วต้องชะงัก มองไปที่ประตูห้องภูผา มองนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักหนึ่ง ก่อนจะรีบเดินออกไปทำงาน
หนูนานั่งซักผ้าอยู่ที่ลานซักผ้าหลังบ้าน ชอุ่มเดินมาเห็นก็พุ่งมาหา
“หนู...เอ๊ย! คุณหนูนาคะ ไม่ได้ค่ะ!! ห้ามเด็ดขาด!! ลุกเดี๋ยวนี้!! ชอุ่มซักเองค่ะ”
หนูนาพูดท่าทีสบายๆ “ใจเย็นน้า! ให้ฉันทำเถอะ วันๆ ได้แต่นั่งๆ นอนๆ เบื่อจะตายชัก”
“ดีแล้วค่ะ ยิ่งกำลังท้องกำลังไส้ นั่งๆ นอนๆ น่ะดีแล้ว คุณหนูในท้องออกมาจะได้จ้ำม่ำ ฮิฮิ” ชอุ่มหัวเราะคิกคัก
“ไม่ไหวละ ตะก่อนตอนอยู่ที่ไร่เคยทำงานทั้งวัน เฮ้อ! พูดแล้วก็คิดถึง”
ชอุ่มมองอย่างสงสาร “นี่ใจคอจะกลับไปอยู่ที่นู่น ไม่อยู่ด้วยกันที่นี่จริงๆ เหรอคะ”
หนูนาพยักหน้า
ชอุ่มหน้างอ “ชอุ่มก็อดเห็นหน้าคุณหนูตอนคลอดอ่ะสิคะ”
หนูนายิ้มๆ เลี่ยงไม่อยากพูดเรื่องนี้ ลุกขึ้นจะตากผ้า ชอุ่มแย่งตะกร้ามาถือไว้จนได้
“ชอุ่มเองค่ะ คุณหนูนาน่าจะไปดูแลคุณภูผาดีกว่านะคะ ว่าแต่ป่านนี้แล้ว...คุณภูผายังไม่ตื่นอีกเหรอคะ”
หนูนาเลิกคิ้วคิดตาม...เออ! นั่นสิ?!
วงเดือนนอนหันหลังให้ภูผา น้ำตาไหลพราก วงเดือนจะขยับตัวออก ภูผากระชับอ้อมกอดไว้แน่น
“ปล่อย”
“ฉันจะไม่ปล่อยเธออีกแล้ว”
วงเดือนหันมาประจันหน้า พยายามผลักไส “บอกให้ปล่อย”
“เธอร้องไห้ ทำไม?” น้ำเสียงน้อยใจ “เธอเสียใจมากเลยเหรอเดือน”
วงเดือนประชด เสียงแข็ง “ใช่! เดือนเสียใจที่สุด”
ภูผาเริ่มพาลเสียงแข็งใส่มั่ง “แล้วทีกับไอ้เมฆาล่ะ ดีใจจนตัวสั่นเลยใช่มั้ย”
วงเดือนโกรธมาก “คุณภูผา”
“ฉันไม่นึกเลยว่าเธอจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”
วงเดือนขัดขึ้นทันที “คุณเองก็เหมือนกัน! หยาบคาย! ใจร้าย! คุณไม่ใช่คุณภูผาที่เดือนเคยรู้จักอีกแล้ว”
ภูผาจ้องหน้าอาฆาต “ก็เพราะเธอไง! ก็เพราะเธอ!”
วงเดือนเถียงแรง “เพราะตัวคุณเองต่างหาก ที่แท้คุณมันก็ผู้ชายใจร้าย เห็นแก่ตัว แล้วก็หยาบคายที่สุด”
ภูผาสวนทันควัน “เธอมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันหรอก ปากก็บอกว่ารักฉันคนเดียว แล้ววันนี้เป็นไง กลายเป็นเมียไอ้เมฆาไปแล้ว”
วงเดือนตบหน้าอีกเผียะ!!
ภูผาหน้าหัน ค่อยๆ หันกลับมา มองเขม็งด้วยสายตาหยามเหยียด “แล้วก็เพิ่งเป็นเมียฉันไปหมาดๆ ด้วย”
วงเดือนเงื้อจะตบ ภูผาจับมือไว้ พูดใส่หน้าอย่างกัดฟันกรอด
“ฝากขอบใจไอ้เมฆามันด้วย ที่แบ่งเมียให้พี่ชายมัน”
วงเดือนหัวใจจะสลาย “คุณ” น้ำตารื้นขึ้นมาอีก
“แล้วก็ฝากบอกมันด้วย ว่าฉันคงไม่รับแบ่งถาวร เพราะฉันก็มีเมียของฉันเองอยู่แล้วเหมือนกัน”
วงเดือนปล่อยโฮออกมาเสียใจเหลือแสน “คุณภูผา”
ภูผาผลักวงเดือนออกแล้วผลุนผลันลุกไปจากเตียง ปล่อยให้วงเดือนร้องไห้โฮจนฟุบลงกับเตียงด้วยหัวใจบอบช้ำแสนสาหัส
ขณะเดียวกันหนูนาเดินมาเรื่อยๆ ภูผาซึ่งเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อย เดินเร็วๆ เหมือนกำลังตามหาหนูนา จนมาเจอกันตรงมุมหนึ่ง
“หนูนา” ภูผาเรียก
หนูนายิ้มแฉ่ง วิ่งเข้ามาหาหน้าระรื่น “สร่างเมาแล้วเหรอคุณ”
“เราจะกลับบ้านกันแล้วนะหนูนา”
หนูนาชะงัก ตาโต ก่อนจะดีใจ “ไชโย้”
หนูนากระโดดกอดภูผาแน่น ภูผากอดตอบหนูนาพอเป็นพิธี สีหน้านิ่งเฉยในใจแท้จริงรู้สึกผิดในสิ่งที่เพิ่งทำลงไป ไม่กล้าสู้หน้าวงเดือนและไม่กล้าสู้หัวใจตัวเองที่จะหวั่นไหว
เพราะถึงยังไง...วงเดือนก็แต่งงานกับเมฆาไปแล้ว
หลังอาบน้ำเสร็จ วงเดือนติดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายเสร็จ มองตัวเองในกระจก แล้วซบหน้าลงกับฝ่ามือ ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างคับแค้นใจ
ตอนค่ำวันนั้นอนุต ศรีดารา ภูผา หนูนา โฉมไฉไล นั่งรอทานอาหารค่ำอยู่
“เมฆากับวงเดือนล่ะ” อนุตถาม
ภูผาอึ้งไปนิดหนึ่ง
ชอุ่มรายงาน “คุณเมฆายังไม่กลับจาก รพ. ส่วนคุณวงเดือนกำลังมาค่ะ”
ภูผาขยับท่าทีมีพิรุธ
ศรีดารายิ้ม “อ้าว! มาพอดีเลย”
วงเดือนเดินมีพิรุธเข้ามา
ศรีดาราทัก “ไงจ๊ะเดือน? หายเหนื่อยรึยัง? มาทานข้าวด้วยกันจ้ะลูก”
วงเดือนเหลือบมองภูผา เป็นจังหวะเดียวกับที่ภูผามองมาเช่นกัน
“ค่ะ”
โฉมไฉไลแซวไปโดยไม่รู้เรื่อง “แหม...วันนี้เห็นหมกตัวเงียบอยู่ในห้องตั้งแต่เช้าจรดเย็น สงสัยจะเหนื่อยมากสิจ๊ะ..วงเดือน” หัวเราะขำคิกคัก
วงเดือนสะดุ้ง มองภูผา? ใจหล่นวูบอดคิดในในใจไม่ได้ว่า โฉมไฉไลแอบรู้อะไรหรือเปล่าเนี่ย?
ชอุ่มทนไม่ไหว “อยู่ติดห้องได้มั่งก็ดีนะคะ ดีกว่าพวกนี้ วันๆ เอาแต่ร่อนไปนู่นไปนี่ ไม่เคยอยู่เป็นที่เป็นทาง”
โฉมไฉไลปรี๊ด “ชอุ่ม เธอว่าใคร” โดยไม่รอฟัง ฟ้องเลยทันที “คุณพ่อคุณแม่ขา..ดูสิคะ..ชอุ่ม”
อนุตตัดรำคาญ “ตักข้าวได้แล้ว..ชอุ่ม”
ชอุ่มยิ้มสะใจ “ค่ะ..คุณผู้ชาย”
“จะไม่รอคุณเมฆาก่อนเหรอคะ”
ภูผาตาเขียวทันที
โฉมไฉไลกัด “ว๊าย! เป็นห่วงสามี!”
วงเดือนอึดอัด ภูผาจ้องหน้าวงเดือน วงเดือนกลัวใจภูผามาก ไม่รู้จะทำอะไรระห่ำๆ กลางโต๊ะอาหารรึเปล่า?
โฉมไฉไลเขี่ยต่อเลย “หนูนาจ๊ะ...เธอเองก็ต้องหัดเอาอกเอาใจสามีเธอเหมือนอย่างวงเดือนเค้าบ้างนะจ๊ะ ไม่งั้นถ้าเกิดต้องเสียใจภายหลังแล้วจะหาว่าคุณโฉมไฉไลไม่เตือน”
วงเดือน ภูผาร้อนตัวทันที ทั้งที่โฉมไฉไลก็ไม่ได้ตั้งใจ
วงเดือนปิดปากด้วยการเชือดนิ่มๆ “เสียใจเหมือนคุณโฉมไฉไลน่ะเหรอคะ”
โฉมไฉไลปรี๊ด ลืมตัวลุกพรวดขึ้นอย่างเอาเรื่อง “วงเดือน”
อนุตโวย “อะไรกันเนี่ย นี่ยังเห็นหัวฉันกันอยู่รึเปล่า”
สองคนชะงัก โฉมไฉไลฮึดฮัด วงเดือนสงบอารมณ์
ระหว่างนั้นเมฆาเดินเริงร่าเข้ามา
“คุยอะไรกันอยู่ครับ”
ศรีดาราดีใจ “เมฆา...หิวมั้ยจ๊ะลูก”
เมฆาเดินมาเกาะไหล่วงเดือน “หิวสิครับ” มองอาหารบนโต๊ะ “โอ้โห..กับข้าวน่าอร่อยจังเลย” แต่พอเห็นสีหน้าแต่ละคนในโต๊ะก็ชะงัก “เอ่อ...”
อนุตตัดบท “ชอุ่ม”
ชอุ่มรู้งานทันที “ค่ะ..คุณผู้ชาย”
ชอุ่มปรี่เข้าตักข้าวให้อนุต ทุกคนก้มหน้าก้มตาทานอาหาร เมฆาไล่สายตามองทุกคนแล้วมองวงเดือนอย่างจับกิริยา วงเดือนหลบตา เมฆามองภูผา ภูผาเบือนหน้าไปตักกับข้าวให้หนูนา เมฆาสงสัยตะหงิดๆ
วงเดือนอยู่ในชุดนอนนั่งหวีผมอยู่ เมฆาซึ่งสวมชุดนอนเช่นกันเดินเข้ามาหา
“เกิดอะไรขึ้นที่โต๊ะอาหารรึเปล่าเดือน”
วงเดือนชะงัก “ไม่มีอะไรนี่คะ”
เมฆาพูดดักคอ “พี่ภูผา”
วงเดือนชะงัก หลบตา แล้วส่ายหน้า
เมฆาเดาต่อ “โฉมไฉไล”
วงเดือนถอนใจเฮือกใหญ่
“นั่นไง” เมฆาส่ายหน้าเซ็งๆ “โฉมไฉไล”
“นิดหน่อยค่ะคุณเมฆา ก็ประสาคุณโฉมไฉไล..เธอก็พูดไปเรื่อย ไม่หนักหนาอะไร”
เมฆาสะดุ้งนิดๆ กังวลว่าโฉมไฉไลจะปูดเรื่องที่เคยแอบมีอะไรกันครั้งที่ 2 พอได้ทีก็ขอสกัดไว้ก่อนซะเลย “เดือน...คุณต้องหนักแน่นนะ อะไรที่โฉมไฉไลพูดก็อย่าไปฟังอย่าไปเชื่อ คนๆ นี้พูดจาอะไรเชื่อไม่ได้”
วงเดือนเมียงมองท่าทีของเมฆาที่ดูซีเรียสเกินเหตุ
เมฆารู้สึกตัว “ผมก็แค่เตือนไว้” ยิ้มกลบเกลื่อน “ไม่อยากให้คุณต้องมีอะไรรกสมอง”
วงเดือนค่ะ..เดือนจะหนักแน่น
เมฆายิ้มแฉ่ง “ผมดีใจ..ที่คุณเชื่อผม”
วงเดือนพยักหน้าให้จบๆ “เดือนเชื่อคุณค่ะ”
เมฆารวบตัววงเดือนมากอดแน่น ยิ้มร่าชื่นใจเหลือเกิน แต่สีหน้าวงเดือนทั้งเบื่อทั้งเซ็ง ชีวิตตัวเองเต็มกลืน
ชิงนาง ตอนที่ 17 (ต่อ)
เมฆาเดินตรงมาเหมือนจะมาหยิบน้ำดื่ม แต่แล้วชะงักเมื่อเจอโฉมไฉไลในชุดนอนแสนบางเบา เมฆาจะเดินหนี โฉมไฉไลดักไว้ พูดเสียงหวานยั่วเย้า
“กระหายน้ำกันขนาดนี้เลยเหรอคะ..เมฆา”
“จะตามหลอกหลอนกันไปถึงไหน”
“ต๊าย! ตั้งแต่แต่งเมียแล้วชักจะปากจัด โฉมไม่ใช่ผีนะคะ แต่โฉมเป็นเมียคุณ”
เมฆาเข้นขี้ยว “โฉม”
“เมียที่ไม่ได้แต่ง” โฉมไฉไลยั่ว “แต่เป็นเมียก่อนนังเมียแต่งนั่นตั้งนานแน่ะ”
เมฆาตะคอกใส่ “เลิกพูดจาเพ้อเจ้อซะที”
โฉมไฉไลสวนคำทันที “เพ้อเจ้อที่ไหน โฉมพูดเรื่องจริง อีนังวงเดือนมันก็รู้อยู่เต็มอกว่าเราเป็นอะไรกัน...หน้าด้าน”
เมฆาบันดาลโทสะจับร่างโฉมไฉไลกระแทกข้างฝาทันที
“อย่าหยาบคายกับวงเดือนอย่างนั้นอีก แล้วก็หุบปากให้สนิท ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
โฉมไฉไลกลัวที่ไหน “เฮอะ! เจ็บซะหน่อยก็ดีนะคะ ไม่เจ็บมาตั้งนานแล้ว” ลูบไล้คางเมฆา “มันเหงา
“คุณนี่มัน” เมฆาส่ายหน้าอิดหนาระอาใจ
โฉมไฉไลย้อน “หึ...กลัวใช่มั้ย?! กลัวนังวงเดือนมันจะรู้ใช่มั้ยว่าคุณแอบนอนกับโฉมตั้ง 2 ครั้ง 2 หน น่ะ”
เมฆาโกรธจัด “บอกว่าอย่าพูด! แล้วผมก็ไม่ได้แอบ แต่คุณเข้ามาตอนที่ผมเมา”
“แล้วไงล่ะ? สรุปว่านอนรึเปล่า” โฉมไฉไลลอยหน้าลอยตาใส่
เมฆาจนปัญญา โกรธแทบอยากจะฆ่า “โฉม..ผมขอแนะนำว่า ทางที่ดี คุณควรเอาเวลาไปตกลงเรื่องชีวิตครอบครัวของคุณกับพี่พฤกษ์ดีกว่า อย่ามายุ่งกับชีวิตครอบครัวของผมกับเดือนอีกต่อไป”
เมฆาผลักโฉมไฉไลให้หลีกทางก่อนจะเดินหนีไป
โฉมไฉไลมองตามยิ้มเยาะ “เกรงว่าจะไม่ยุ่งไม่ได้น่ะสิ” จิกหน้าร้ายขณะพูดกับตัวเอง “เชอะ! ชีวิตครอบครัวเหรอ? อย่าหวังเลยว่าชาตินี้คุณกับอีนังวงเดือนนั่นจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน!”
เช้านั้นที่กระต๊อบของโสภี พฤกษ์ตกใจนิดๆ ที่ภูผามาบอกว่าจะกลับขึ้นเหนือแล้ว
“ว่าไงนะ! แกจะขึ้นเหนือแล้วเหรอภูผา”
ภูผาพยักหน้า
พฤกษ์ถอนใจ “เดือนรู้แล้วรึยัง”
ยินชื่อวงเดือนภูผาอึ้งไป
พฤกษ์พูดต่อ “นึกๆ ไปก็สงสารเดือนนะ ชีวิตของเค้าแต่เค้าเลือกเองไม่ได้”
ภูผานิ่งฟัง
พฤกษ์มองจ้องภูผา “ชีวิตแกล่ะ..แกเลือกแล้วจริงๆ เหรอภูผา”
ภูผาฉงน “พี่หมายถึงอะไร”
“แกเลือกที่ชีวิตนี้แกจะไม่มีเดือนแล้วจริงๆ เหรอ”
ภูผาอึ้ง นิ่งงันไปอีก ก่อนจะบอกออกมา “...ทุกอย่างมันเลยเถิดไปไกลแล้วพี่พฤกษ์ เดือนเค้า..แต่งงานกับเมฆาแล้ว”
พฤกษ์ฟังนิ่งๆ “พี่เองก็แต่งงานแล้ว..กับโฉมไฉไล..แต่สุดท้ายพี่ก็เลือกโสภี”
ภูผามองพฤกษ์ แล้วหันไปมองโสภีที่นั่งปลื้มใจอยู่อีกมุม
“ชีวิตมันเป็นของเรานะภูผา อย่าเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ใช่” จับไหล่น้องปลุกปลอบให้กำลังใจ “เรื่องบางเรื่องน่ะ..มันก็ต้องใช้ใจนำทางบ้างเหมือนกัน”
ภูผาอึ้งไปก่อนจะพูดออกมาอย่างปลดปลง “แต่เส้นทางของผมกับเดือนมันเป็นเหมือนเส้นขนานกันไปแล้ว” นึกถึงวงเดือนยิ่งเศร้า “คงไม่มีวันที่เราจะได้กลับมาเจอกันอีกแล้ว”
พฤกษ์สงสารน้อง ภูผาหน้าเศร้า
วงเดือนกำลังปิดประตูห้อง แต่พอหันมาเจอกับภูผาที่ยืนรออยู่ วงเดือนจะเดินหนี ภูผาดึงมือไว้
วงเดือนสะบัดสุดแรง “ปล่อย”
“ฉันจะไปแล้ว”
วงเดือนชะงักกึก ใจแป้ว แต่ปากแข็ง “ก็เรื่องของคุณ”
ภูผาน้อยใจในท่าทีของวงเดือน
ภูผาปากแข็งใส่บ้าง “ก็แค่อยากจะบอก” ปล่อยมือสุดแรง “ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น”
พูดจบก็เดินออกไปทันที ปล่อยให้วงเดือนน้อยใจ เสียใจอยู่ตรงนั้น
ภูผาเดินอารมณ์เหวี่ยงมาเจอหนูนายืนอยู่
“ทำไมคุณถึงไม่พูดจาดีๆ กับคุณวงเดือน”
ภูผาเหวี่ยงใส่ “แล้วมันเรื่องอะไรของเธอด้วย”
หนูนาส่ายหน้า “คุณนี่มันอารมณ์คุณหนูจริงๆ”
“อย่ายุ่ง” ภูผาจะเดินหนี
“ไม่เข้าใจเลยว่าคนที่ปากกับใจไม่ตรงกัน ชีวิตมันจะมีความสุขตรงไหน”
ภูผาชะงัก หยุดกึก
“ไม่ลองเอาอย่างฉันมั่งเหรอ รักก็บอกว่ารัก อยากทำอะไรก็ทำ มันโคตรจะมีความสุขเลยนะคุณ”
ภูผาส่ายหน้ารำคาญ จะเดินต่อ
“ถึงแม้ว่าคุณจะไม่รักฉันเลยซักนิด”
คำพูดจากใจนั้นทำเอาภูผาชะงักกึก หันมามองหน้า หนูนามองตอบ
“จนถึงวันนี้...ฉันรู้ดี...ว่าหัวใจของคุณ...มีแต่คุณวงเดือนคนเดียวเท่านั้น”
หนูนาเดินออกไปอย่างเจียมตน ทิ้งให้ภูผายืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
วันต่อมามะยอพยายามโปะยาที่แผลบนไหล่เอง ซึ่งแผลทุเลาลงเยอะแล้ว แต่ไม่ค่อยถนัด ทันใดนั้นมีมือยื่นเข้ามาช่วย มะยอชะงัก เป็นเหนือฟ้านั่นเอง
มะยอถือดีสะบัดไหล่พรืดจะหลบ แต่ไม่ระวังจนไหล่พลิกร้องลั่น “โอ๊ย”
“เจ็บแล้วยังจะอวดดี มานี่” เหนือฟ้าจับไหล่มะยอให้นิ่งๆ “อยู่เฉยๆ”
จากนั้นจึงค่อยๆ โปะยาให้อย่างแผ่วเบา มะยอแสบแผล แต่ก็แอบรู้สึกดีในความอารีและอ่อนโยนของเหนือฟ้า จนสีหน้ามะยอเริ่มผ่อนคลายขึ้น แต่ก็หายเคลิ้มปลิดทิ้ง เมื่อเหนือฟ้าเอ่ยออกมา
“ก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับเธอเท่าไหร่หรอกนะ..มะยอ แต่กลัวไม่มีอาจารย์ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้ก็เท่านั้น”
มะยอเซ็ง
“อ่ะ เสร็จแล้ว” เหนือฟ้าบอก
มะยอขยับใส่เสื้อติดกระดุมให้เรียบร้อย เหนือฟ้าขยับจะลุกขึ้น
“ทำไมเอ็งต้องปลอมตัวด้วย...เหนือฟ้า”
เหนือฟ้าชะงัก
มะยอรุกต่อ “ไอ้วันชัยเป็นใคร มันเป็นศัตรูกับเอ็งใช่มั้ย”
เหนือฟ้าตัดสินใจยอมรับ “ใช่” นั่งลงข้างมะยอ “วันชัยเป็นคนสนิทของฉัน และมันก็เป็นคนทำร้ายฉันจนตกลงมาจากหน้าผา มันต้องการจะฆ่าฉันให้ตายเพื่อยึดไร่เหนือฟ้า”
มะยอฟังหน้านิ่ง “ข้าเคยบอกแล้ว..คนเราจะไว้ใจใครได้”
เหนือฟ้าพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะหันมองมะยอ “ฉันขอโทษนะมะยอที่เป็นต้นเหตุทำให้เธอต้องบาดเจ็บแบบนี้”
มะยอยักไหล่ยักหน้านิดๆ แบบสบายๆ ไม่ถือสา เหนือฟ้าตาลุกวาว
“ฉันสัญญา...ว่าฉันจะเอาคืนไอ้วันชัยให้เธอ แต่เธอต้องสัญญากับฉันก่อนว่า..จะช่วยฉัน..เต็มที่”
มะยอหันมามอง เหนือฟ้ามองจดจ่อ..รอคำตอบ
มะขิ่นแอบฟังอยู่อีกมุมหนึ่ง หน้าตามุ่งมั่นเอาใจช่วยเหนือฟ้าเต็มที่
ในเวลาต่อมา ที่กลางป่าลึก มะยอยืนคุมเหนือฟ้าฝึกอาวุธอยู่กับมะขิ่น ทั้ง ยิงธนู, การใช้มีด บางจังหวะที่เหนือฟ้าพลาด ถูกมะยอดุโวยวายเอา
มะยอโชว์การขว้างมีดให้ดู แม้จะยังมีอาการเจ็บแผลนิดๆ ต่อมาสอนเป่าลูกดอก เหนือฟ้าทำตามได้ดี มะยอแอบค้อน
หลายวันผ่านไป จนแผลมะยอหายสนิทแล้ว มะยอกับเหนือฟ้า แอบซุ่มดูอยู่ มะขิ่นย่องมาโดยไม่เห็นสองคน ทั้งคู่จู่โจมล็อกคอ มะขิ่นแพ้ มะยอ กับเหนือฟ้า มองหน้ากันอย่างผู้ชนะ
เวลาผ่านไปอีก มะยอ และเหนือฟ้า ประฝีมือต่อสู้กันมันส์หยด มะยอลีลาเกินตัว ตวัดมีดเกี่ยวเสื้อเหนือฟ้าขาดวิ่น เหนือฟ้าถอดเสื้อปาทิ้ง แล้วหันมาสู้ฟัดกับมะยอ สุดท้ายล็อกคอมะยอไว้ได้ มะขิ่นเฮลั่นสะใจ มะยอเซ็ง เหนือฟ้ายิ้ม จ้องข่มมะยอใกล้ สองคนมองตากัน
เช้าวันหนึ่งศรีดาราออกอาการตกใจที่ฟังภูผาบอก
“ว่าไงนะภูผา ลูกจะกลับไปที่ไร่? ลูกจะไม่อยู่กับแม่แล้ว”
“ครับแม่...”
อนุตใจแป้วแต่ยังวางฟอร์ม
“ผมทิ้งไร่มานานแล้ว คงต้องกลับไปดูแล”
โฉมไฉไลหลุดปากพูดลอยๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “ว้า! อย่างนี้ก็หมดสนุกอ่ะสิ”
ทุกคนหันมองเป็นตาเดียว
โฉมไฉไลสะดุ้ง รู้สึกตัว “เอ่อ...โฉมหมายความว่า..ว่า..มีคุณภูผากับหนูนาอยู่ด้วย แสนสมุทรดูคึกคักขึ้นเยอะน่ะค่ะ ถ้าคุณ 2 คนกลับไปอยู่บ้านนอก แสนสมุทรคงเงียบเหงาไปเยอะ”
ศรีดาราพยายามจะรั้งลูกชายไว้ “แต่หนูนาท้องอย่างนี้ ไม่น่าเดินทางไกลนะลูก แล้วยังไปอยู่บนเขาบนดอย แม่เป็นห่วงหลานแม่นะภูผา”
หนูนาหลบวูบ โฉมไฉไลอิจฉาทันที
ในที่สุดอนุตก็อดไม่ได้ “นั่นสิ..มดหมอก็ไม่รู้จะมีรึเปล่า? ถึงวันคลอดจะทำยังไง”
หนูนามองหน้าภูผาเป็นเชิงบอกว่า ไม่อยู่
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ พวกเราก็อยู่กันไปตามประสาของพวกเรา”
อนุตฉุนบ่นพึมพำตามประสา “อวดดี”
ภูผามองพ่อสายตาน้อยใจ?
โฉมไฉไลแจ๋ “คุณพ่อคุณแม่อย่ากังวลไปเลยนะคะ เรื่องหลาน น่ะ..โฉมจะรีบมีหลานให้คุณปู่คุณย่าอุ้มให้เร็วที่สุดเลยล่ะค่ะ”
อนุตและศรีดารามองหน้ากันเซ็งๆ
ชอุ่มทนไม่ไหวแล้ว “ประทานโทษนะคะ..พาคุณพฤกษ์กลับมาบ้านให้ได้ก่อนดีมั้ยคะ..คุณโฉมไฉไล?”
โฉมไฉไลปรี๊ด ขึ้นเสียงใส่ “นังชอุ่ม”
อนุตตวาดอย่างรำคาญ “พอแล้ว”
“ว่าแต่...ลูกจะกลับขึ้นเหนือกันเมื่อไหร่จ๊ะ..ภูผา” ศรีดาราถามอีก
“พรุ่งนี้ครับ” ภูผาบอกด้วยสีหน้ามั่นใจยิ่งแล้ว
“พรุ่งนี้” ศรีดาราหน้าหมองลง ใจหายนัก
ตรงอีกมุมไม่ไกลนัก วงเดือนยืนฟังนิ่งๆ...น้ำตาล้นเอ่ออยู่โดยไม่มีใครเห็น
วงเดือนทรุดนั่งลงอย่างหมดแรง หัวใจสลาย
คำพูดทำร้ายทำลายหัวใจของภูผาพรั่งพรูในหัวราวกับสายน้ำไหน ทั้งคู่โต้เถียงกันตามแรงอารมณ์ จนสุดท้ายภูผาฟัดวงเดือนจมที่นอนในเช้าวันนั้น
วงเดือนสะอื้นจนตัวโยน ยกมือกอดอกโอบตัวเองไว้แน่น
คำพูดถากถางดูหมิ่นเหยียดหยามของภูผาผุดขึ้นมาหลอกหลอนอีกครั้ง
“ฝากขอบใจไอ้เมฆาด้วยที่แบ่งเมียให้พี่ชายมัน”
วงเดือนร้องไห้ ซบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเอง โดดเดี่ยวเดียวดาย และเคว้งคว้างเหลือเกินแล้ว
ยามค่ำวันเดียวกันนั้น หนูนานั่งพับผ้าเตรียมเก็บกระเป๋า เหลือบมองภูผาที่นั่งเหม่ออาการเซ็งอยู่
หนูนาพับไป พูดถามไป “แน่ใจนะ..ว่าอยากกลับจริงๆ”
ภูผาหงุดหงิดใส่ “พูดมาก!! อยากอยู่ที่นี่นักรึไง”
“ก็ไม่อยาก” มองเหล่ “ว่าแต่คุณเหอะ”
ภูผารำคาญลุกพรวด “ถ้ายังไม่หยุดพูด ก็จะทิ้งไว้เนี่ย... รำคาญ”
พูดจบก็เดินออกไปเลย
หนูนามองตาม “จี้ใจดำ..ทำเป็นเหวี่ยง” แลบลิ้นใส่
หนูนาถอนใจเฮือก เข้าใจภูผาและเห็นใจตัวเอง
ตกกลางคืนภูผาเดินเศร้าสร้อยมาตรงมุมหนึ่ง ชะงักกึก เมื่อเห็นวงเดือนนั่งเศร้าๆ อยู่เช่นกัน ภูผามองนิ่งอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจจะก้าวเท้าเข้าไปหา แต่ก็ชะงักเพราะเมฆาในชุดทำงาน เพิ่งกลับมา และเดินเข้ามาหาวงเดือนซะก่อน ภูผาวูบหลบฟัง
“เดือน..ดึกแล้ว...ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้”
วงเดือนหลบตา
เมฆายิ้มแหย่ ”มารอผมล่ะสิ” พลางเชยคางวงเดือนขึ้นมามองจ้องตา “ใช่มั้ย”
วงเดือนอึดอัด แต่ไม่รู้จะยังไง พยักหน้าไปงั้นๆ
ภูผามองภาพตรงหน้าใจหล่นวูบ
เมฆายิ้มกริ่มนึกว่าจริง โอบไหล่ไว้ “ผมขอโทษนะ...วันนี้มีผ่าตัดใหญ่ 2 เคส กว่าจะเสร็จก็เลยดึก เดือนอย่าโกรธผมนะ”
“ไม่ค่ะ..เดือนจะไปโกรธคุณได้ยังไงคะ”
เมฆากอดแน่นขึ้น “น่ารักที่สุด..เมียผม”
ภูผาได้ยินคำว่า ‘เมียผม’ ก็ทนไม่ไหวแล้ว ผลุนผลันจะหันหลังกลับ แต่ดังพลาดไปเตะเปรี้ยงเข้ากับอะไรซักอย่างตรงนั้น
สองคนหันขวับเห็นเป็นภูผา เมฆายิ้มสะใจ ตะโกนเรียกทันที
“พี่ผา”
ภูผากำลังจะเดินออก ชะงักกึก ยืนนิ่งไม่หันมา เมฆารีบคว้าข้อมือวงเดือนเดินไปหาทันที
เมฆาเชือดนิ่มๆ ยิ้มพิฆาตใส่ “มาแอบดูผัวเมียเค้าจู๋จี๋กันอย่างนี้ได้ไงเนี่ย...” ทำเป็นแหย่ขำๆ “เสียมารยาทนะพี่”
ภูผาพูดไม่ออก จะเดินหนี เมฆาลากวงเดือนมาดักหน้า
“ชอุ่มบอกว่าพี่ผากับเมียจะกลับเหนือแล้ว ใช่มั้ยครับ”
“ใช่” ภูผาบอกอย่างเสี่ยไม่ได้
“น่าเสียดาย..ผมนึกว่าจะได้อยู่ในห้องคลอดด้วยในวันที่หลานคลอด”
ภูผาเริ่มอารมณ์มาเป็นริ้วๆ ของขึ้น จ้องหน้าเมฆาเขม็ง
เมฆายั่วตาใส ทำเป็นจริงใจ “แต่ไม่เป็นไร...หนูนาคลอดเมื่อไหร่ หวังว่าพี่จะส่งข่าวมาบ้าง ถ้าไม่ติดอะไร ผมกับเดือนอาจจะขึ้นไปเยี่ยม ดีมั้ยเดือน”
วงเดือนอึกอัก ลำบากใจ
ภูผาเดือดปุดๆ ระอุมากแล้ว แต่ต้องข่มอารมณ์สุดฤทธิ์
เมฆารุก กดดันหนัก “ว่าไงเดือน ทำไมไม่ตอบ?” ทำเป็นขำ “อย่าบอกนะว่าไม่อยากไป”
วงเดือนอ้ำอึ้งอึกอัก พูดไม่ออก “เอ่อ...”
ภูผาโพล่ง “ไม่ต้องไปหรอก! ขอบใจ”
พูดจบภูผาก็จ้ำพรวดออกไปเร็วรี่ เมฆายิ้มสะใจ วงเดือนเหมือนร่างจะแหลกสลายลงตรงนั้น
พอเดินพ้นรัศมีสองคนมาภูผาก็ยัวะสุดขีด เตะต่อยชกอะไรไปให้หายบ้า ภูผาหอบหายใจแรงๆ เหนื่อยทั้งกาย เจ็บที่ใจ
ค่ำคืนเดียวกันนั้น ผีพนันตัวแม่...อนงค์เดินอารมณ์เสียมาตรงทางเดินเปลี่ยวๆ คนเดียว ไม่บอกก็รู้ว่าเสียไพ่มาหมดตูด ปากก็บ่นโทษลมแล้งไป ตาก็สอดส่ายมองซ้ายแลขวาอย่างระแวงไปด้วย
“โอย! ช่วงนี้ดาวอะไรย้ายวะ?! ดวงถึงได้ซวยอย่างนี้ แทงกี่ตาๆ ก็โดนเจ้ามือมันกินหมด” มองซ้ายแลขวาสายตาระแวงๆ แล้วออกเดินไวขึ้นกลัวจะมีคนตาม
“ยัยโฉมนะยัยโฉม หมู่นี้ก็ไม่มีทุนสนับสนุนแม่มั่งเล๊ย..แย่จริงๆ”
จู่ๆ ลูกน้องเสี่ยเส็งก้าวพรวดมาขวางทางไว้ อนงค์ตกใจตาโต
“บ่นอะไร? เจ๊” ลูกน้องเสี่ยถาม
“ว๊าย เปล่าๆๆ เปล่าบ่น” อนงค์กลัวจับจิต
“ถ้างั้น..จะรีบไปไหน??
“เปล่าๆๆๆ..ไม่ได้รีบ..ไม่ได้รีบซักกะนิด”
ลูกน้องเสี่ยหัวเราะใส่กันขำๆ ก่อนจะปราดเข้ากระชาก 2 แขนซ้ายขวา พูดขู่
“รีบหน่อยก็ดีนะ! รีบไปหาเงินมาใช้หนี้เสี่ยเส็งซะ วันก่อนกู้ไปเล่นตั้ง 3 หมื่นยังไม่ใช้ วันนี้เอาอีก 3 หมื่น เสี่ยบอกว่าถ้าพรุ่งนี้เอามาใช้ไม่หมดจะบวกดอกเบี้ยอีก 3 หมื่น เป็น 9 หมื่น! เข้าใจมั้ย”
อนงค์ลืมตัวของขึ้น “จะบ้าเรอะ?! ดอกเบี้ยบ้านแกสิ 9 หมื่น”
ลูกน้องเสี่ยเส็งพร้อมใจกันเหวี่ยงร่างอนงค์ลงกองกับพื้น
“กู้เงินเค้าไปแล้วยังจะมาปากดีอีก? ตอนกู้ล่ะไม่โวยวาย แต่ไอ้ตอนต้องใช้คืนทำเป็นเรื่องมาก” ปรี่เข้าไปกระชากแขนขู่ “กู้เงินเค้าก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยเค้าสิเจ๊ ของฟรีมีในโลกซะที่ไหนห๊า” ก่อนจะชี้หน้าคาดโทษ “จำไว้ พรุ่งนี้ 9 หมื่น ถ้ายังไม่หามาใช้..มะรืนก็เป็นแสนสอง แล้วก็อย่าคิดเบี้ยว ไม่งั้น...”
ลูกน้องหน้าเหี้ยมทำท่าเชือดคอ
อนงค์ตาเหลือก สยองสุดขีด
ลูกน้องหัวโจก เหวี่ยงอนงค์สุดแรง “ไปเว๊ย” เดินกร่างออกไป
อนงค์มองตาม กลัวจนตัวสั่น แต่ยังทำเป็นปากกล้าตะโกนไล่หลัง
“ไอ้พวกหน้าเลือด! ยืมนิดยืมหน่อยก็โขกดอกเบี้ยซะแพงเลย! โธ่เว๊ย กะอีเงินแค่หมื่นแค่แสน กระจอกเว๊ย ไม่รู้เรอะ..ข้าเป็นแม่ยายใคร เชอะ” นั่งหอบๆ แล้วก็เริ่มจ๋อย “แล้วไงวะเนี่ย..จะหาเงินที่ไหนมาใช้มันวะ? โอ๊ย” อนงค์กลุ้มหนัก ใบหน้าลูกสาวคนดีลอยมา
ไม่นานต่อมาโฉมไฉไลแทบช็อก พอฟังความจบ
“อะไรนะหม่าม้า? 9หมื่น”
“ใช่! แต่ถ้าพรุ่งนี้ไม่เอาไปจ่าย มะรืนก็แสนสอง”
โฉมไฉไลแทบลมจับ อยากบ้าตาย “แสนสอง!! บ้าแล้ว”
โฉมไฉไลกระชากอนงค์มาเข้ามุมลับตาอันมิดชิด กลัวใครได้ยิน
“หม่าม้าทำบ้าอะไรของหม่าม้าห๊า? หนี้งวดก่อนโฉมก็อุตส่าห์เคลียร์ให้หมดแล้ว ทำไมยังกลับไปเล่นอีก เมื่อไหร่จะเลิกซะที นี่กะจะล้างผลาญกันให้หมดเนื้อหมดตัวเลยรึไงเนี่ย”
อนงค์ย้อนเข้าให้ “แกหมดซะที่ไหนล่ะ ถ้าจะหมดก็แสนสมุทรต่างหากที่หมด”
“โธ่! หม่าม้า ทำยังกะว่าตอนนี้โฉมล้างผลาญพวกมันได้งั้นแหละ ไม่มีพฤกษ์ซักคน โฉมจะไปสูบเงินจากใครได้”
อนงค์เสี้ยม “ก็เหลือใครล่ะ! เมฆา? ภูผา? แกก็จับใครซักคน รึจะเหมาสองเลยก็ได้นี่ยัยโฉม”
โฉมไฉไลหงุดหงิดหนัก “โอ๊ย!! หม่าม้าอ่ะ”
อนงค์ด่า “นี่! ยัยโฉม อย่ามากระแดะ” ชี้หน้าคาดโทษ “ชั้นได้ยินเต็ม 2 รูหูนะที่นังโสภีนั่นมันด่าแกว่าแกนอนกับผู้ชายมาแทบจะทั้งเมืองแล้วน่ะ”
โฉมไฉไลหน้าแตก “หม่าม้าาา!!” รีบเฉไฉ “ไหนหม่าม้าเคยบอกให้โฉมทำตัวเป็นนางเอก ไงล่ะ ขืนทำอย่างหม่าม้าว่า...โฉมก็ ‘นางร้าย’ น่ะสิ”
“ถึงตอนนี้ มัวแต่นางเอกไม่ไหวแล้วยัยโฉม! แล้วแกจะยังมาทำสะดิ้งอะไรกับอีแค่ผู้ชาย 2 คนนี้ ที่สำคัญมัน 2 คนก็ทั้งหล่อล่ำ หนำซ้ำยังรวยซะ ไม่เห็นจะน่ารังเกียจตรงไหน”
โฉมไฉไลหน่ายใจ “โธ่..หม่าม้า ไอ้ทางเราน่ะ ก็ไม่รังเกียจหรอก แต่ทางเค้าน่ะสิ..” นึกแล้วก็เคืองเดือดปุดๆ “เชอะ!!...ทุกวันนี้เห็นโฉมยังกะเห็นกิ้งกือไส้เดือน”
ยอดแห่งมารดานามอนงค์คิดนิดหนึ่งแล้วโพล่งออกมา “ปล้ำมันซะเลย”
โฉมไฉไลหลุดปากออกมาทันที “ก็ปล้ำแล้ว”
อนงค์ตาเหลือก “ห๊า”
โฉมไฉไลสะดุ้ง รีบเอามือปิดปาก เผลอหลุดปากจนได้
“ยัยโฉม... นี่แก...”
อนงค์ยังไม่ทันจะพูดพ่นด่าอะไรออกมา จู่ๆ โฉมไฉไลก็คลื่นไส้อย่างแรง
โฉมไฉไลขย้อนเอามือปิดปาก “อ้วก”
อนงค์ตกใจ “ยัยโฉม เป็นอะไร”
โฉมไฉไลพูดไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้าแล้วขย้อนจะอ้วกอีก
โฉมไฉไลร้อง “อ้วก”
“ใจเย็นก่อน ใจเย็น” อนงค์รีบมองหาถังขยะมารองรับ
โฉมไฉไลโก่งคอปล่อยพรวดอ้วกออกมา...ชุดใหญ่
อ้วกแล้วก็อ้วกอย่างหนัก จนหมดแรง ทรุดลงนั่ง
อนงค์มองนึกสงสัย “ยัยโฉม..แกเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
โฉมไฉไลส่ายหน้า พูดไม่ออก
อนงค์จ้องเขม็ง ซักต่อ “เดือนที่แล้ว...ประจำเดือนแกมารึเปล่า”
โฉมไฉไลนิ่งนึก แล้วทำตาโต รู้ทันว่าแม่หมายถึงอะไร
อนงค์ยิ้มแฉ่ง “ใคร!...บอกมาซิ...แกคิดว่าใคร”
โฉมไฉไลนิ่งนึก แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มเป็นยิ้มเต็มใบหน้า
แม่และลูกชั่วดาวเด่นแห่งแสนสมุทร ตีมือกันดังเผียะ ยิ้มระรื่นให้กัน ฉลองความสำเร็จ
เวลาเดียวกัน เมฆาเอนตัวนั่งสบายๆ บนโซฟาที่นอนประจำ ทอดสายตามองวงเดือนที่นั่งหวีผมอยู่ที่หน้ากระจก
“เดือน”
วงเดือนเหลียวมามอง “คะ”
เมฆาเอามือตบโซฟาเบาๆ “มานั่งกับผมหน่อยสิ”
วงเดือนเมียงมอง
เมฆายิ้มแย้ม “ผมแค่อยากคุยกับคุณน่ะ”
วงเดือนลุกเดินมานั่งลงข้างๆ เมฆามองหน้า พร้อมกับเอามือเขี่ยผมที่ปรกหน้าผากให้วงเดือน
“เริ่มรักผมบ้างรึยัง”
วงเดือนไม่รู้จะตอบยังไง?
เมฆายิ้มบางๆ “ก็แค่ถาม...ไม่ต้องตอบก็ได้”
วงเดือนอายเหมือนกันที่เมฆารู้ทัน
“ถึงคุณจะยังไม่เริ่มรู้สึกรักผมเลยซักนิด” ลูบเรือนผมวงเดือนอย่างอ่อนโยน “แต่ก็รู้ไว้นะ ว่าผมรักคุณมากขึ้นทุกวัน..ทุกวัน”
วงเดือนฟังแล้วรู้สึกสงสาร “คุณไม่โกรธเดือนนะคะ”
เมฆาส่ายหน้าพลางบอก “ไม่โกรธ..ไม่เคยโกรธ”
วงเดือนสะท้อนใจ “ทำไมคุณถึงต้องรักเดือนขนาดนี้ ผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างคุณ ไม่จำเป็นต้องมารักเดือนก็ได้”
เมฆาได้ยินคำถามแล้วยิ้ม “อืมม์...แต่ก็ไม่ใช่ผมคนเดียวไม่ใช่เหรอ? ใครๆ เค้าก็อยากจะชิงหัวใจของเดือนกันทั้งนั้น”
วงเดือนหลบตา ไม่รู้จะว่ายังไง
“วันนี้..ผมชิงตัวคุณมาได้แล้ว ก็เหลือแต่หัวใจที่ไม่รู้เมื่อไหร่คุณจะยกให้ผมซะที” เมฆาพูดจริงจัง ตัดพ้ออยู่ในที
วงเดือนครางเสียงอ่อยๆ “คุณเมฆา”
“ไม่เร่งรัดหรอก..ผมบอกแล้ว นานแค่ไหนผมก็จะรอ ขออย่างเดียว” ยิ้มเยื้อน “อย่าให้ผมตายซะก่อน”
วงเดือนตกใจ “คุณเมฆา” รีบเอามือตะปบปากเมฆาทันควัน “ทำไมพูดอะไรแบบนั้นคะ?
เมฆาเอามือวงเดือนมากุมไว้ จ้องหน้ายิ้มปลื้ม “นี่เดือนไม่อยากให้ผมตาย เป็นห่วงผมเหรอ”
“ก็..ก็..พูดจาแบบนั้นมันไม่ดีค่ะ ไม่เป็นมงคล”
เมฆายิ้มย่องรวบเอววงเดือนมากอดอย่างรักล้นใจ
“โอเค.ผมไม่พูดแล้ว” มองจ้องวงเดือน “พรุ่งนี้พี่ผาก็จะกลับบ้านเค้าแล้ว ผมหวังว่าจากนี้ไป คงจะไม่มีอะไรมาทำให้เดือนอึดอัดใจ ไม่สบายใจอีก”
วงเดือนใจแป้ว
“คงจะไม่มีใครมาทำให้เราวุ่นวายใจอีกต่อไป”
เมฆาพึมพำพร่ำเพ้อฝันวาดหวัง ขณะที่วงเดือนฝันสลาย
รุ่งเช้า ภูผาวางกระเป๋าเดินทางของหนูนาและกระเป๋าเป้ของตัวเองลง
ศรีดาราสะอื้น “จะไปจริงๆ เหรอลูก”
ภูผาเหลือบมองหน้าวงเดือนที่นั่งอยู่กับเมฆา วงเดือนเบือนหน้าทันที
ภูผายิ่งตอบเสียงดังฟังชัด “ครับ”
เมฆายิ้มแย้ม วงเดือนกลืนกินก้อนสะอื้นที่จุกตรงอก
ภูผาคุกเข่าลงตรงหน้าอนุต และศรีดารา “ผมไปก่อนนะครับพ่อ”
ภูผากราบเท้าอนุต วินาทีอนุตแอบแปล๊บขึ้นมาในใจ หนูนากราบตาม
ภูผาหันมากราบเท้าศรีดารา “ผมไปนะครับแม่”
ศรีดาราสะอื้น กอดภูผาแน่น กอดหนูนาด้วย
ศรีดาราสั่งเสียกับหนูนา “คลอดหลานแม่เมื่อไหร่ช่วยส่งข่าวแม่ด้วย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็กลับมานะลูก”
หนูนาซาบซึ้ง และสงสารศรีดารามาก
“พ่อครับ...ดูแลสุขภาพด้วย”
อนุตพยักหน้าให้น้อยๆ ใจหายเหมือนกัน
ภูผากับหนูนา ลุกขึ้น ภูผาหยิบกระเป๋าเป้ ก่อนจะออกจึงหันมามองเมฆาและวงเดือน
ภูผาพูดอย่างจำใจ “ฉันไปก่อน”
วงเดือนกลืนกินก้อนสะอื้นไว้แน่น
เมฆาโล่งใจ ยิ้มแย้มอย่างยินดี “ขอให้พี่โชคดี...หนูนาด้วย”
ภูผามองเหมือนรอว่าวงเดือนจะพูดอะไรมั้ย? เมื่อไม่พูด? ภูผาจึงจับมือหนูนาเดินหันหลังออกไปท่ามกลางทุกคนมองตาม แม้แต่ชอุ่มก็เช็ดน้ำตาป้อยๆ
ภูผาหยุดชะงักนิดนึง หนูนามองภูผางงๆ? ภูผาตัดใจเดินต่อ
เมฆายิ้มดีใจ โล่งใจ วงเดือนใจจะขาดแต่แสดงออกไม่ได้
วันเดียวกัน ตรงมุมหนึ่งในบ้าน อนงค์ออกอาการลิงโลดดีใจล้นพ้นเมื่อรู้ข่าว
“หมดก้างขวางคอไปหนึ่ง”
โฉมไฉไลนั่งจิกกินของเปรี้ยวแก้คลื่นไส้อยู่ด้วยมาดคุณนายแสนสมุทร
“ในเมื่ออีนังเด็กดอยมันเผ่นกลับขึ้นเข้าไปแล้ว แกก็เหลือศัตรูอีกแค่คนเดียวคืออีนังวงเดือนหน้าจืด”
โฉมไฉไลทำหน้าเชิดใส่เป็นเชิงบอกมารดาว่า “กระจอกมาก!” แล้วกินต่อ
“ซึ่งก็ถือว่าเป็นศัตรูที่กระจอกมาก เพราะตอนนี้ลูกโฉมของแม่มีแต้มต่อเหนือกว่ามันตั้ง 1 แต้ม”
โฉมไฉไลยิ้มกริ่ม
“แม้จะแค่ 1 แต้ม แต่ก็เป็น 1 แต้มที่เฉือนอีนังวงเดือนขาดลอย” ตาวาว “เพราะ 1 แต้มที่ว่านี้ คือ ทายาทของแสนสมุทร” อนงค์ยิ้มระรื่น
โฉมไฉไลเน้นคำ “ที่เกิดจากคุณหมอเมฆา..ผู้เป็นความหวังเดียวของบ้านแสนสมุทร”
สองแม่ลูกมองหน้ากัน แล้วหัวเราะร่าอย่างผู้ชนะ อนงค์หยิบของเปรี้ยวมาชนฉลองกับโฉมไฉไล แต่พอเอาใส่ปากก็รับรู้รสเปรี้ยวปรี๊ด ต้องคายทิ้งแบบไม่ทัน
โฉมไฉไลจิกตาวาววับร้ายกว่าที่เคยร้าย “ทีนี้ล่ะ..จะได้รู้กันซะทีว่า โฉมไฉไล แน่แค่ไหน”
ชิงนาง ตอนที่ 17 (ต่อ)
ขณะที่ชอุ่มเดินถือตะกร้าผ้าเช็ดน้ำตาป้อยๆ มาทางหลังบ้านเพื่อจะลานซักผ้า แต่แล้วต้องชะงักที่เห็นวงเดือนนั่งอยู่
“คุณเดือน...ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้คะ?
วงเดือนยิ้มเศร้าๆ “เดือน..เหงาน่ะจ้ะ..เลยมาหาน้าชอุ่ม”
ชอุ่มอย่างมองเข้าใจ ถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วขยับมานั่งใกล้ๆ
“คิดถึงคุณภูผานะคะ คุณหนูนาด้วย”
วงเดือนเงียบกริบ
“นึกๆ แล้วก็เหลือเชื่อนะคะ ชอุ่มเห็นคุณ 5 คนมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่น่าเชื่อว่าโตขึ้นแล้ว...”
วงเดือนมองชอุ่ม
“เอ่อ...ชีวิตของแต่ละคนจะเปลี่ยนแปลงกันไปได้ขนาดนี้ คุณอรุณก็...” ถอนใจอีกเฮือก “คุณพฤกษ์ก็...” ส่ายหน้า “ส่วนคุณภูผา..ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องไปมีลูกมีเมียอยู่บนไร่บนดอย”
วงเดือนหน้าเศร้าๆ
“แต่ที่พลิคล็อคที่สุดก็ต้องคุณเมฆานะคะ ไม่เคยคิดเล๊ยว่าสุดท้ายคุณเมฆากับคุณเดือนจะได้มาแต่งงานกัน”
ฟังแล้วน่าปีติ แต่วงเดือนยิ่งเศร้าหนัก
ชอุ่มยิ้มแย้ม “แต่ชอุ่มก็เห็นด้วยกับคุณผู้ชายนะคะ คุณเมฆากับคุณเดือนเท่านั้นที่จะเป็นความหวังเดียวของแสนสมุทร” จ้องหน้าพร้อมกับจับมือ “รีบมีคุณหนูให้คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงเร็วๆ นะคะ แสนสมุทรจะได้กลับมาสงบสุขซักที”
จังหวะนั้นเสียงโฉมไฉไลก็แหลมเข้ามา “แน่นอนจ้ะ..ชุอ่ม”
ทั้งสองคนหันขวับ เห็นโฉมไฉไลยืนยิ้มอยู่ ในมือถือจานของเปรี้ยว
“คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงของชอุ่มจะต้องได้อุ้มหลานเร็วๆ แน่นอน” มองมาที่ชอุ่มแต่พูดเย้ยวงเดือน “อาจจะเร็วกว่าที่เธอคิดด้วยซ้ำ..ชอุ่ม”
ชอุ่มงง “พูดแปลกๆ คุณโฉมหมายความว่ายังไงไม่ทราบ”
โฉมไฉไลยักไหล่พรืด “โง่ๆ อย่างเธอก็จงโง่ต่อไปเถอะย่ะ” ยื่นจานของเปรี้ยวที่ยังมีเศษๆ เหลืออยู่ชิ้นสองชิ้นทิ่มไปตรงหน้าชอุ่มกับวงเดือน “เอาผลไม้มาเพิ่มให้ฉันอีก” ย้ำคำ “เอาแค่พวกเปรี้ยวๆ” จงใจพูดใส่หน้าวงเดือน “พวกจืดๆ ไม่ต้องเอามา....จะอ้วก”
วงเดือนฉุนมองโฉมไฉไลตาเขม็ง โฉมไฉไลมองตอบเย้ยๆ
โฉมไฉไลทำท่าเหมือนจะสั่งชอุ่ม แต่พูดกระแทกหน้าวงเดือน “แล้วก็.....อย่าช้า!! เดี๋ยวจะไม่ทันกิน! ฮ่าๆๆๆๆ”
โฉมไฉไลหัวเราะร่าอย่างสะใจในชัยชนะเดินตัวปลิวออกไป
วงเดือนและชอุ่มมองตามงงๆ
“ยิ่งนับวันยิ่งเพี้ยนนะยัยโฉมจัญไร” ชอุ่มด่าแล้วมองที่จานไม่คิดอะไร “แต่วันนี้เพี้ยนอะไร? ถึงได้ลุกมากินแต่ของเปรี้ยวๆ ...อึ๋ยย์ย์”
ชอุ่มทำท่าขนลุกขนพองเปรี้ยวแทน ขณะที่วงเดือนมองอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
ในวันต่อมา บรรยากาศที่ไร่เหนือฟ้ายามนั้นแสนสดใสสองลุงหลาน สว่างและดอย ทำงานเสร็จเดินมานั่งพักจะกินกลางวัน
ดอยเปิดฉากบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ไม่ไหวแล้วนะลุงหว่าง ป่านนี้นายกะลูกพี่ยังไม่ยอมกลับบ้านเลย สงสัยจะหลงกลิ่นปลาทะเลจนลืมกลิ่นใบชาซะแล้ว”
สว่างควักข้าวเหนียวยัดปาก “เคี้ยวข้าวเหนียวไป ปากจะได้ไม่ว่าง แหม..เอ็งนี่นับวันจะแก่แดดแก่ลมใหญ่แล้วนะไอ้ดอย”
ดอยเคี้ยวไปเม้าท์ไป “เอ๊า! ก็จริงมั๊ยล่ะ อ่ะ! ลุงหว่างว่ามั๊ย”
สว่างชะงักกึก เงยหน้ามองใครบางคนที่เข้ามายืนข้างหลังดอย
ดอยเม้าท์ไม่หยุด “แหม...ทำเป็นเอาธุรกิจมาอ้าง ฉันจะเอาใบชาไปให้ลูกค้าดู” ทำเสียงล้อภูผา
สว่างหน้าแหย
คราวนี้ดอยทำเสียงหนูนา “ดีจ้ะ..คุณภูผา!! ใบชาไร่เหนือฟ้าของเราจะขายได้แล้ว”
สว่างหน้าแหยอีก
ดอยไม่หยุด “ไอ้เราก็หลงนึกว่าจะเอาใบชาไปขาย ที่ไหนได้ ป่านนี้จู๋จี๋ดู๋ดี๋เล่นน้ำทะเลกันเพลินไปแล้ว”
“แฮ่!! กรูไม่เกี่ยว” สว่างว่า
“ฮึ!! คนอะไรใจดำชะมัด ปล่อยให้ไอ้ดอยคิดถึงใจจะขาด นายนะนาย...ไม่เห็นใจกันมั่งเล๊ย”
เสียงภูผาบอก “เห็นใจสิดอย”
ดอยเม้าท์เพลิน “ไม่ต้องเลย ไม่เชื่อหรอกเชอะ! ลูกพี่ก็อีกคน”
เสียงหนูนาพูดต่อ “ฉันก็เห็นใจดอยเหมือนกัน”
สว่าง...หน้าจ๋อยหัวเราะแหะๆ
ดอยแว๊ด “ขำอะไรลุงหว่าง?! ยังจะมีหน้ามาขำอีก”
สว่างอยากจะร้องไห้ “ข้าก็ไม่อยากจะขำาาา
ดอยมองหน้าลุง “แน้!! ทำหน้าตายังกะเห็นผี”
สว่างเงยหน้ามองภูผาและหนูนาที่ยืนอยู่ มีกระเป๋าหนูนา เป้วางอยู่ด้วย
สว่างบอกดอย “ข้าว่า..น่ากลัวกว่าผีเยอะ..ไอ้ดอยเอ๊ย”
ดอยโม้ต่อประกาศก้อง “ไหน! ในโลกนี้ยังจะมีอะไรน่ากลัวยิ่งกว่าผีอีก” ลุกยืนพรวด “ออกมาเล๊ย...ออกม๊า! ออกมาให้ไอ้ดอยเห็นหน่อยเซะ”
พูดจบก็ต้องชะงักกึกเพราะรู้สึกเหมือนมีใครยืนขนาบอยู่ซ้ายและขวา ดอยหันขวับไปเห็นเป็นหนูนายืนเหล่อยู่ ก็หันขวับกลับมาหน้าตรง
ดอยพูดไปข้างหน้า “แฮ่..ลูกพี่”
หันอีกขวับไปอีกข้าง เห็นเป็นภูผายืนเหล่อยู่ ดอยก็หันขวับกลับมาหน้าตรง พูดไปข้างหน้า
“แฮ่.. นาย”
ดอยเสียงสั่นมองหน้าสว่าง ขณะที่สว่างส่งยิ้มแหยๆ ให้
“เออ..น่ากลัวกว่าผีจริงด้วยอ่ะลุง ไปล่ะ” โกยแน่บฝุ่นตลบ
ภูผาและหนูนาเงื้อมะเหงกใส่ดอย แต่ดอยออกตัวเผ่นแนบไปซะก่อน หนูนาวิ่งไล่จับดอยให้ภูผาเขกหัว ดอยวิ่งหลบหลังสว่าง 4 คนวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน
ที่บนเรือน หนูนารินน้ำใส่แก้วยื่นให้ภูผาดื่มแก้เหนื่อย ภูผาจิบแล้วยื่นคืนให้หนูนาดื่ม
“หื้ม...ชื่นใจ ชาที่ไหนก็ไม่ชื่นใจเท่าชาของไร่เรา จริงมั้ยคุณ”
ภูผาพยักหน้ายิ้มๆ
สว่างและดอยมองหน้ากันแบบเอาไงดี?!
สว่างตัดสินใจ “นายครับ...หนูนา...ตอนที่นายกับหนูนาไม่อยู่....”
สองคนชะงัก
ภูผาสงสัย “ทำไม ตอนฉันไม่อยู่..มีอะไรเหรอนายสว่าง”
หนูนาก็สงสัยด้วย “มีอะไรลุง? รีบบอกมาสิ”
“คือ..ตอนที่นายกับหนูนาไม่อยู่ มีคนมาเผาโรงเก็บชาไร่เหนือฟ้าครับ”
ภูผาและหนูนาประสานเสียงกัน “ห๊า? เผาโรงเก็บชา”
หนูนาของขึ้นทันควัน “ใคร มันเป็นใคร”
ภูผาซักต่อ “รู้ตัวมั้ย จับตัวมันได้มั้ย”
สว่างส่ายหน้า “ไม่รู้ครับ จับตัวไม่ได้ด้วย”
ภูผาพยายามประเมินเหตุการณ์ “ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ นายสว่างมีรับคนงานใหม่มาทำงานบ้างมั้ย”
“ไม่มีครับ”
“ถ้างั้น มีใครไปมีเรื่องบาดหมางอะไรกับใครที่ไหนกันบ้างรึเปล่า”
สว่างนึก “ก็ไม่มีอีกนะครับ”
ภูผาถอนใจก่อนพูดออก “ถ้าอย่างนั้น..จะมีใครที่จะโกรธแค้นถึงกับจะต้องทำกับไร่เหนือฟ้าแบบนี้”
นั่นเองที่สะดุดใจสว่าง “ถ้าจะมี..ก็มีอยู่คนเดียวล่ะครับนาย”
ภูผาและหนูนามองสว่างรอฟัง สว่างก็มองสองคนสลับกันแล้วพูดออกมาด้วยความเคียดแค้น
“ไอ้วันชัย”
หนูนาตะลึง ภูผาชะงัก หันไปมองหนูนาอย่างห่วงความรู้สึก
ภูผาพยายามพูดให้หนูนาสบายใจ “แต่ไอ้วันชัยมันก็ตายไปแล้ว”
“ยังไม่มีใครพบศพมันนะครับ” สว่างบอก
ภูผาอึ้ง หนูนาเบือนหน้าหนี ทั้งแค้นทั้งชิงชัง ภูผาลูบผมปลอบใจหนูนา
“นายสว่าง”
“ครับ”
“จัดเวรยามเฝ้าระวังไร่ของเราตลอดเวลา”
“ครับนาย”
“แล้วอีกอย่าง..จัดคนออกตามล่าหาไอ้วันชัยอีกครั้ง”
ภูผาสั่งการเสียงเข้มสีหน้าเคร่ง จนหนูนาตะลึง
“ไม่ว่าตัวเป็นๆ หรือว่าจะเป็นซากศพ ก็ต้องหาให้พบ”
สว่างรับคำเสียงเข้ม “ครับพ้ม”
ทุกคนมีแต่ความเคียดแค้น ยกเว้นดอยที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกกะใครเขา
วันเวลาผ่านไป
ในตอนเช้าวันหนึ่ง ชอุ่มกำลังเสิร์ฟผลไม้ อยู่ที่มุมนั่งเล่นหลังตึกใหญ่ในบ้าน อนุต ศรีดารา เมฆา และวงเดือน นั่งอยู่ด้วยกัน
ศรีดารามองอนุตแล้วเอ่ยขึ้น “หมู่นี้คุณดูซูบๆ ไป ทานผลไม้หน่อยนะคะ มีวิตามินบำรุงร่างกาย”
อนุตมองผลไม้ด้วยสีหน้าเบื่อๆ แล้วหันไปมองเมฆาแทน “ขอวิตามินบำรุงจิตใจให้พ่อหน่อยได้มั้ยล่ะ..คุณหมอเมฆา?
เมฆาเลิกคิ้ว? ก่อนจะอมยิ้มรู้ว่าพ่อหมายถึงอะไร?
“ว่าไงเดือน? คุณพ่อเร่งแล้ว?”
วงเดือนอึ้ง ที่ถูกโยนลูกให้ ไม่ได้อยู่ในข้อตกลง
เมฆาพูดเองเออเอง รีบแก้ต่างให้วงเดือน “คุณพ่อครับ..ใจเย็นหน่อยสิครับ...ของอย่างนี้เร่งกันได้ด้วยเหรอครับ”
ศรีดาราช่วยพูดเร่งอีกแรง “พักนี้คุณพ่อชอบบ่นว่าเหงานะจ๊ะ บ้านช่องเงียบไม่มีเสียงเด็กๆ วิ่งเล่น เจี๊ยวจ๊าวเหมือนเมื่อก่อนตอนที่ลูกยังเล็กๆ กันอยู่” พูดเองก็ชะงักเอง
ทุกคนต่างอึ้งกันไปหมด
โฉมไฉไลโผล่เข้ามา เสียงแหลมนำเข้ามาก่อน
“ทำไมต้องเศร้ากันขนาดนี้ด้วยล่ะคะ”
เมฆากับวงเดือนออกอาการเซ็ง
โฉมไฉไลนั่งประกบข้างเมฆาเฉย “ได้ยินแว่วๆ ว่าคุณพ่อบ่นเหงาเพราะไม่มีเสียงเด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าว” หันมาถามเมฆา “จริงรึเปล่าคะเมฆา”
เมฆาเบือนหน้าไปทางวงเดือน
โฉมไฉไลทรุดตัวลงไปเกาะเข่าอนุต พูดประจบ “อย่ากังวลไปเลยนะคะคุณพ่อ โฉมรับรองได้เลยว่าอีกไม่นานบ้านแสนสมุทรจะต้องกลับมาคึกคัก มีชีวิตชีวาอีกครั้ง”
โฉมไฉไลจิกตาไปมองเมฆา ในจังที่เมฆาหันขวับมามองโฉมไฉไลพอดี
โฉมไฉไลพูดในขณะที่จ้องตาเมฆา “เพราะโฉมมั่นใจว่าเร็ว ๆ นี้ คุณพ่อคุณแม่จะต้องได้อุ้มหลานปู่หลานย่าจากคุณหมอเมฆาแน่นอน”
เมฆาตะลึง อนุตและศรีดารามองงงๆ
วงเดือนนึกสงสัย เมฆารีบตะปบจับมือวงเดือนไว้แน่น มองตาวงเดือนเป็นเชิงบอกว่า ‘อย่าไปเชื่อมัน!’ แล้วหันไปจ้องโฉมไฉไลอย่างกับจะฆ่า
โฉมไฉไล ไม่สะท้านสักนิด มั่นใจว่าตนถือไพ่เหนือกว่า
ครู่ต่อมาตรงมุมลับตาคน ในบ้านแสนสมุทร โฉมไฉไลถูกผลักกระเด็นไปติดข้างฝาเมฆาเข้าประชิดบีบแก้มแน่น
“พูดอะไร? เมื่อกี้เธอพูดอะไร...โฉมไฉไล”
“จะพูดอะไร? โฉมก็พูดเรื่องจริงน่ะสิ”
เมฆาบีบแรงขึ้นอีก “เรื่องจริงอะไรของเธอ”
โฉมไฉไลรู้สึกเจ็บ ปัดจนมือเมฆาหลุด “ก็เรื่องจริง...ที่ทุกคนต้องแสดงความยินดีกับโฉม..อุ๊ย...ไม่ใช่สิ...ทุกคนต้องแสดงความยินดีกับเราตะหาก” ยิ้มเป็นนัย
เมฆาอึ้ง กลิ่นชักไม่ค่อยดี กัดฟันถาม “พูดมา..ว่าเรื่องอะไรกันแน่” ชี้หน้าคาดโทษ “แต่ฉันขอเตือนเธอไว้ก่อน ว่าถ้าขืนพูดจาอะไรไม่คิด...เธอตายแน่”
โฉมไฉไลตาวาววับ ปัดมือเมฆาออก แล้วชี้หน้าเมฆาอย่างท้าทาย “ถ้าคุณกล้า...ก็เอาสิเมฆา”
เมฆาอึ้ง นิ่งงันไป
โฉมไฉไลหันมือมาชี้หน้าตัวเอง “ถ้าโฉมตาย” แล้วชี้ไปที่ท้องตัวเอง “ลูกคุณก็ตายด้วย”
เมฆาช็อกคาที่! เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางหัวกลางวันแสกๆ
โฉมไฉไลยิ้มหยัน “และบ้านแสนสมุทรก็จะไม่มีทายาทมาวิ่งเล่นให้คุณปู่คุณย่าชื่นใจหายเหงา” เปลี่ยนเสียงเป็นตะคอก “ถ้าคุณกล้าก็เอาเซ่”
เมฆายังอึ้งอยู่ “ไม่...ไม่จริง”
โฉมไฉไลตะคอกใส่หน้า “จริง! จริงซะยิ่งกว่าจริง!” ย้ำคำหนักแน่น “โฉมท้อง”
เมฆาได้แต่พึมพำ ไม่อยากจะเชื่อ “ท้อง”
โฉมไฉไลมองอาการเมฆาอย่างสะใจ
จังหวะนั้นเมฆาค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าเป็นเยาะเย้ย “คุณท้องกับใคร”
โฉมไฉไลช็อกบ้าง จนพอตั้งสติได้ก็ตวาดลั่น “เมฆา”
เมฆาได้ที “นอกจากเค้าจะรู้กันดีกว่าคุณแต่งงานเป็นเมียของพี่พฤกษ์ พี่ชายคนโตของแสนสมุทรแล้ว ชาวบ้านเค้ายังรู้กันให้ทั่วว่าคุณน่ะมัน...” เมฆาจงใจพูดกระแทกใส่หน้า “มั่วขนาดไหน”
โฉมไฉไลกรี๊ดแตก ตัวสั่น “เมฆา”
เมฆายิ้มเยาะ “ผมขอเตือนในฐานะที่อย่างน้อยคุณก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกบ้านแสนสมุทรว่า อย่าได้คิดโพนทะนาเรื่องนี้จะดีกว่า รับรองว่าคุณจะต้องเป็นฝ่ายอับอายขายหน้า เพราะไม่มีใครหน้าไหนเค้าจะเชื่อคำพูดของคุณ”
โฉมไฉไลโกรธแทบอยากจะฆ่า แต่แล้วกลับนึกได้ “มีสิ คุณพ่อคุณแม่ไง โฉมจะฟ้องคุณพ่อคุณแม่”
เมฆาส่ายหน้าพูดเย้ย “ก็ให้มันรู้กันไป ว่าระหว่างลูกชายคนโปรด กับลูกสะใภ้ที่ไม่เอาไหน คุณพ่อคุณแม่ผมท่านจะเชื่อใคร”
เมฆายิ้มเยาะ แล้วเดินหนีไปทันที
โฉมไฉไลลั่นวาจาคำหนึ่งออกมา “นังวงเดือน”
ยินคำนี้ เมฆาชะงักกึก หันขวับกลับมาทันที
โฉมไฉไลยิ้มอย่างผู้มีชัย “ใครต่อใครอาจจะไม่เชื่อ แต่นังวงเดือนมันต้องเชื่อแน่”
เมฆาโกรธจนตัวชา ยืนแข็งทื่อเป็นหุ่นปั้น
โฉมไฉไลได้ที เดินเข้าไปหา “โฉมจะแฉให้นังวงเดือนมันฟัง อย่าลืมสิคะเมฆา...นังวงเดือนมันรู้นะว่าเราสองคนเคยมีอะไรกัน เพราะฉะนั้นมันต้องเชื่อแน่ว่าลูกในท้องของโฉมเป็นลูกของ...”
เมฆาตัดบทขึ้นมาทันที “หุบปากได้แล้ว!! นัง...” พูดไม่ออก
โฉมไฉไลเชิดหน้ากวนบาทาต่อ เหมือนอยากจะถามว่า...นังอะไรคะ?
เมฆาโกรธจนหอบ “ตั้งแต่เกิดมา ฉันยังไม่เคยเจอะเคยเจอผู้หญิงคนไหนที่ชั่ว..ชั่วเหลือเชื่อ เหมือนเธอมาก่อนเลย..โฉมไฉไล”
นอกจากจะไม่ระคายผิว โฉมไฉไลยังยักคิ้วให้ “เชื่อเถอะค่ะเมฆา..โฉมแฉแน่”
เมฆาเค้นคำพูดทุกคำ อย่างคั่งแค้น “อย่า-ยุ่ง-กับ-วงเดือน..เป็นอันขาด”
โฉมไฉไลมองจ้อง แล้วยิ้มยั่ว “มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอคะ..เมฆา ทำไมโฉมจะต้องทำตามคำสั่งคุณด้วยไม่ทราบ”
เมฆาจ้อง “เธอต้องการอะไร” ขบกรามแน่น “โฉมไฉไล”
โฉมไฉไลยิ้มกว้าง ชนะใสๆ เมฆามองอย่างอาฆาตแค้น
ในเวลาต่อมา ซองเงินปึกใหญ่ถูกโยนลงตรงหน้าอนงค์ ทำเอาอนงค์มองในอาการงวยงง ก่อนจะหันไปมองโฉมไฉไลที่ยืนกอดอกอยู่
“อะไรของแกเนี่ยยัยโฉม”
“เปิดดูเอาเองสิ..หม่าม้า”
อนงค์เปิดดู แล้วตาลุกวาว หยิบเงินขึ้นมา มือไม้สั่น “เงิน! นี่มันเงินนี่ยัยโฉม”
โฉมไฉไลยิ้มกริ่ม ลงนั่งไขว่ห้างสบายใจ “ใช่ เงิน หม่าม้ารีบเอาไปใช้หนี้ที่บ่อนซะ ก่อนที่จะโดนมันฆ่าปาดคอเอา”
อนงค์ค้อนวงหนึ่งก่อนจะยิ้มระรื่น “ต๊าย!! ปากคอเหลือเกินนะแก” รีบเทเงินออกมาดู มือไม้ยังสั่น “ตายแล้วลูกรัก! เงินตั้งเยอะตั้งแยะแกไปเอามาจากไหนยัยโฉม”
โฉมไฉไลชี้ที่ท้องตัวเอง “หลานหม่าม้าไง..หลานหม่าม้านำโชค”
อนงค์ตาโต “ห๊า นี่แกเริ่มไถเมฆาแล้วเหรอยัยโฉม”
“ใช่” โฉมไฉไลบอก
อนงค์อึ้ง “แล้วทำไมไถมาแค่นี้”
“ใครบอกว่าแค่นี้” โฉมไฉไลยกมือขึ้น กระดิกโชว์แหวนเพชรพลอยที่นิ้ว แล้วยังกำไลทองที่ข้อมืออีก “ไง? สวยมั้ยหม่าม้า”
คราวนี้อนงค์อึ้ง “แล้วทำไมแกไม่เอามาให้ฉัน”
กระโดดจะตะครุบมือ โฉมไฉไลรู้ทันรีบเอี้ยวตัวหลบ
“เฮ่ย!! อะไรน่ะหม่าม้า”
“จะอะไร? ฉันก็จะเอาไปทำทุนไง โห..ทั้งแหวนทั้งกำไลแอร่มแจ่มจ้าซะขนาดนี้เห็นทีจะนำโชค เฮงแน่ๆ”
“ไม่ๆๆๆ ไม่นะหม่าม้า โฉมจะเอาไว้ใส่ของโฉมมั่ง ไปไหนมาไหนสะใภ้ใหญ่จะได้เริ่ดกว่าสะใภ้คนรองอย่างนังวงเดือนมัน”
อนงค์เซ็ง “ว่าแต่ไงเนี่ย? ท้องทั้งที ไถเมฆามาได้แค่เนี้ยนะ”
โฉมไฉไลฝันหวาน “แค่นี้ก็โง่สิ ใครบอกว่าโฉมจะไถแค่นี้ คนอย่างโฉมไม่มีคำว่าพอหรอกหม่าม้า” ทำตาลุกวาว “โฉมจะเอาอีก โฉมจะเอาให้เมฆาต้องกระอัก ให้สาสมกับที่เมฆาไม่ยอมรักโฉม แต่ดันโง่ไปรักนังวงเดือนนั่น!”
แม่เลวดาวเด่นอย่างอนงค์ ชูจั๊กแร้สนับสนุนลูกสาวเต็มที่
“ดีมากลูก!! ถูกต้องที่สุด”
โฉมไฉไลผุดยิ้มแสนร้ายกาจออกมา
ขณะที่วงเดือนในชุดนอนเปิดประตูห้องออกมา แต่แล้วตกใจเพราะโดนเมฆารวบตัวไว้แน่นพร้อมกับดันเข้าห้อง
เมฆาจ้องอย่างกลัวว่าจะสูญเสียเธอไป “เดือน”
วงเดือนตกใจ “อะไรคะเนี่ย...คุณเมฆา” จมูกได้กลิ่นเหล้าโชยมา “นี่คุณเมา”
เมฆามองหน้าวงเดือนอย่างตัดสินใจ..ก่อนจะซุกไซร้ใบหน้าวงเดือน
วงเดือนตกใจมาก “คุณเมฆา ปล่อย ปล่อยเดี๋ยวนี้”
เมฆาเหมือนคนหน้ามืด “เป็นของผมเถอะนเดือน!! เป็นของผม” ซุกไซร้ต่อ
วงเดือนปัดป้อง “ไม่นะ ปล่อยนะ ปล่อย”
เมฆากอดรัดวงเดือนไว้แน่น แล้วกระชากร่างมานอนลงพร้อมกันบนเตียง
ร่างเมฆายังทับอยู่ด้านบนขณะพูด “ขอร้อง เป็นของผม”
เมฆาซุกไซร้ วงเดือนดิ้นรนขัดขืน ก่อนจะได้โอกาสตบเผียะเข้าที่ใบหน้าเมฆาสุดแรง เมฆาชะงักอึ้งไป วงเดือนสบฏอกาสผลักเมฆาแล้ววิ่งหนีไปยืนอีกมุมทันที
วงเดือนเสียใจ “คุณเมฆา” เริ่มน้ำตาไหล “ทำไมคุณทำอย่างนี้”
เมฆายังท่าเดิมอยู่ที่เตียง
“คุณโกหกเดือน! คุณไม่รักษาสัญญาว่าเราจะแต่งงานกันแค่ในนามเท่านั้น!”
เมฆาคอตก
วงเดือนสะอึกสะอื้น “คุณรังแกเดือน! ต่อไปนี้เดือนจะไม่เชื่ออะไรคุณอีกแล้ว”
วงเดือนจะวิ่งออก เมฆาโผไปทรุดตัวคุกเข่าลงกอดเอววงเดือนไว้ไม่ยอมให้ไป
“อย่าไปเดือน! ผมขอร้อง”
วงเดือนยืนนิ่ง เชิดหน้า ไม่ยอมใจอ่อน
“อย่าโกรธผมนะ ผมขอโทษ ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว เดือนต้องเชื่อผม! เดือนต้องไม่เชื่อใคร! เดือนต้องเชื่อผมคนเดียว”
เมฆาปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น ทั้งเมา ทั้งเหนื่อยล้า หมดแรง ระคนเสียใจ วงเดือนได้สติ รู้สึกสงสารเห็นใจว่าเมา
วงเดือนเสียงอ่อนลง “คุณเมามาก รอให้หายเมาก่อน แล้วเราค่อยคุยกัน”
วงเดือนเดินลับตัวไป เมฆาทรุดตัวลงไปกองกับพื้น
“เดือนอย่าไป...” ร้องคร่ำครวญด้วยความเมา “เดือนอย่าไป..อย่าทิ้งผมไป”
เมฆานอนกองอยู่กับพื้น หมดสภาพ
วงเดือนตบหมอน จัดที่นอน โดยมีชอุ่มยืนมอง
“จะดีเหรอคะคุณเดือน จู่ๆ ก็ทิ้งคุณเมฆาให้นอนคนเดียวซะงั้น” เหล่มอง “ชอุ่มถามจริงๆ เถอะค่ะ..มีปัญหาอะไรกันเหรอคะ”
วงเดือนจัดที่นอนเสร็จพอดี จึงหันมา “เดือนง่วงแล้วค่ะ..น้าชอุ่ม”
ชอุ่มรู้ว่าโดนไล่ทางอ้อม “ค่ะๆ” จะออก แล้วหันมา “เอ่อ..ว่าแต่..ถ้าคุณผู้ชายกะคุณผู้หญิงถาม จะให้เรียนท่านว่าไงดีคะ”
วงเดือนบอกดักคอนิ่งๆ “ท่านคงไม่ถาม ถ้าน้าชอุ่มไม่บอก”
ชอุ่มจุกที่วงเดือนรู้ทัน แต่ยังไม่วาย “เอ่อ..ค่ะๆ แต่จะดีเหรอคะ ทิ้งให้คุณเมฆา..”.
วงเดือนปรามเสียงขุ่น “น้าชอุ่ม”
“แฮ่! ค่ะๆ...ไปก็ได้ค่ะ..ไปแล้วค่ะ”
ชอุ่มออกไป วงเดือนถอนหายใจเฮือก นั่งเศร้าทดท้อกับชะตาชีวิตตัวเอง
เช้านั้นพอวงเดือนเปิดประตูเดินออกมา แล้วชะงักกึก เห็นเมฆานอนคุดคู้อยู่บนม้านั่งหน้าห้อง เมฆาอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อคืน
“คุณเมฆา”
วงเดือนถอนหายใจเฮือกก่อนจะเดินไปปลุกเบาๆ
“คุณเมฆา..ตื่นเถอะค่ะ..ขึ้นไปนอนบนห้องนะคะ”
เมฆาค่อยๆ ลืมตาตื่น พอเห็นเป็นวงเดือนก็โผจะกอด แต่ชะงักเปลี่ยนเป็นรวบมือวงเดือนมาแทน กลัววงเดือนจะโกรธอีก
“ยกโทษให้ผมนะเดือน...จะลงโทษผมยังไงผมก็ยอม”
วงเดือนนิ่งไป
“ผมไม่ดีเอง ผมไม่น่าไปดื่มเหล้า เมื่อคืนผมเมาจริงๆ”
วงเดือนเสียงอ่อนเหมือนให้โอกาส “คุณมีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอคะถึงต้องไปดื่มเหล้า? บอกเดือนได้มั้ย?”
เมฆาอึ้ง “ผม..เอ่อ...ไม่มีอะไร”
วงเดือนมอง สีหน้าบอกว่าไม่เชื่อ
เมฆาพยายามคิดหาคำแก้ต่าง “ก็แค่..ช่วงนี้งานผมหนักมาก..ก็เลยเครียดๆ”
“แล้วดื่มเหล้ามันจะช่วยให้หายเครียดเหรอคะ เหล้ามันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหานะคะ คุณเองก็น่าจะรู้ดี”
เมฆาหลบตาวูบ
“เวลามีปัญหา เราก็ต้องไปแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา เหล้ามันช่วยอะไรไม่ได้หรอกค่ะ”
เมฆารีบพูดเอาใจ “ตกลงเดือน ผมจะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุให้ได้ ผมสัญญา ว่าแต่..คุณไม่โกรธผมแล้วใช่มั้ย?” พร้อมกับจับมือวงเดือนแน่น “ยกโทษให้ผมนะ”
วงเดือนพยักหน้าน้อยๆ จะสวมกอดแล้วชะงัก กลัวโกรธอีก
“ขอบคุณมากเดือน..ขอบคุณมาก” เมฆายิ้มดีใจ
วงเดือนถอนหายใจ ในขณะที่เมฆามองวงเดือนอย่างหวงแหน จะไม่ยอมให้ใครมาพรากนางอันเป็นที่รักคนนี้ไปเด็ดขาด
เวลาผ่านไป
หนูนาอยู่ที่ไร่เหนือฟ้า นั่งเหม่อลอยนึกถึงเหนือฟ้า ภาพความหลังเมื่อครั้งเหนือฟ้าเอาผ้าห่มมาห่มให้ และตอนคุยเล่นกันถึงชีวิตตอนเด็กๆ ผุดขึ้นในหัว
หนูนายิ้มบางๆ อย่างสุขใจ
ก่อนที่ภาพความหลังตอนเหนือฟ้าจะลงใต้ และบอกว่ารักหนูนา มาจนถึงตอนที่ทนายของเหนือฟ้าอ่านพินัยกรรมบอกยกไร่เหนือฟ้าให้ตัวเองผุดขึ้นมาอีก
หนูนาถอนใจเฮือกใหญ่ ดึงตัวเองกลับมารำพึงรำพัน
“ขอโทษนะเหนือฟ้าที่ฉันดูแลไร่ให้นายไม่ดีพอ ต่อไป..ฉันจะไม่ทิ้งไร่เหนือฟ้าไปไหนอีกเด็ดขาด”
ภูผามาทันได้ยินพอดี “ฉันเองก็เหมือนกัน”
หนูนาหันไปเห็นภูผายืนอยู่ ก่อนเดินมาหา
“มันเป็นความผิดของฉัน ถ้าฉันไม่อยู่แสนสมุทรนานขนาดนั้น โรงเก็บชาก็คงไม่โดนเผา”
“ไม่เกี่ยวหรอกคุณ คนมันจะเผายังไงมันก็ต้องเผา” จ้องหน้าภูผา ก่อนจะตัดสินใจถาม “คุณว่า..ไอ้วันชัยมันตายไปรึยัง?”
ภูผานิ่งงันไป “ตอบตรงๆ นะ..ฉันยังไม่แน่ใจ”
หนูนาหน้าหงิก โกรธขึ้นมาทันควัน
“ทำไมคนเลวๆ มันถึงตายยากนัก ทีคนดี ๆ อย่างไอ้เหนือฟ้าทำไมถึงต้องตายก่อนไอ้วันชัย”
“ขนาดนรกก็ยังไม่อยากรับคนเลวอย่างไอ้วันชัยไง”
หนูนายิ่งคิดก็ยิ่งแค้น “แต่ถึงยังไงก็ต้องส่งมันลงนรกให้ได้”
ภูผาอึ้ง ลูบหัวหนูนาอย่างอ่อนโยนด้วยความเห็นใจ
“ไม่ต้องห่วง เจอมันเมื่อไหร่ฉันไม่เอามันไว้แน่! แม้แต่ศพมัน..ถ้าเจอ..ฉันก็จะป่นให้มันเป็นผุยผง”
หนูนากอดซบภูผาเหมือนจะขอความอุ่นใจ
ดอยพรวดเข้ามาโดยไม่รู้เวลา
“ลูกพี่” ตะลึงหนังรักตรงหน้า “อ๊ะจึ๋ยย์ย์!!...มาผิดจังหวะอีกแระเรา”
สองคนผละจากกัน “มีอะไร..ไอ้ดอย”
“ครือออ..ว่า...” ดอยลีลา
ภูผารำคาญ “ว่าอะไร”
“คือว่า ลุงหว่างขาขอเชิญลูกพี่กะนายภูผาไปที่ไร่เหนือฟ้าอ่ะจ้ะ”
สองคนมองหน้าดอย จนดอยบอกย้ำ “ด่วนจี๋ เดี๋ยวนี้เลยจ้ะ”
ภูผากับหนูนา มองหน้าด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน
ชิงนาง ตอนที่ 17 (ต่อ)
ภูผาและหนูนาเดินเร็วรี่มากับดอยที่หอบแฮ่กๆ ตามหลังมาไกลๆ ภูผาและหนูนาปรี่เข้ามาหาสว่างที่ยืนหน้าเข้มอยู่กับลูกน้อง คนงานไร่ 4-5 คน โดยมีชายรูปร่างผอมแกรน แต่งตัวคล้ายชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยง 1 คน โดนล็อกแขน และโดนล้อมวงอยู่
มันคือลูกน้องที่วันชัยให้มาเผาโรงเก็บชา
“นี่มันเรื่องอะไรกันนายสว่าง?”
สว่างชี้หน้าชายคนดังกล่าว “ไอ้นี่ล่ะครับนาย มือวางเพลิงเผาโรงเก็บชาไร่เหนือฟ้า”
ชายคนนั้นฮึดฮัด โดนสว่างอัดเปรี้ยง จุกไป “นี่แน่ะ! ยังจะมีฤทธิ์”
“แล้วมันเป็นใคร” ภูผาถาม
“มันมาจากฝั่งโน้น มันบอกว่ามีคนใช้ให้มันมาเผา แต่ยังปากแข็ง ไม่ยอมบอกว่าใคร”
ภูผาพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะหันไปจ้องลูกน้องวันชัย แล้วตวัดสายตาไปมองมีดพร้าที่ชาวไร่เหน็บหลังไว้ ภูผาหยิบหมับมาถือไว้ แล้วจ้องลูกน้องวันชัยด้วยสายตาเลือดเย็น
ภูผาถามเสียงเย็นเยือก “ใครใช้แกมา”
มันไม่ยอมตอบ
ภูผาถีบขาพับจนขามันพับลง แล้วถีบหลังซ้ำจนลูกน้องวันชัยหน้าทิ่มนอนคว่ำลงกับพื้น
ภูผาสั่งคนงาน “จับมัน”
ขณะเดียวกัน ภูผาก็กดมือข้างขวาของลูกน้องวันชัยไว้ ถามเสียงเข้ม “ข้างนี้ใช่มั้ยที่เผา”
ลูกน้องวันชัยยังปิดปากเงียบ แต่สายตาหวาดหวั่น
ภูผาตะคอก “ข้างนี้ใช่มั้ย”
“อย่าา” มันร้องลั่น
ภูผาไม่ฟังเสียง เงื้อมีดขึ้นสุดแขน
ลูกน้องวันชัยแหกปากร้องลั่น “อย่า”
ภูผาไม่สน เงื้อแขนขึ้นไปอีก แล้วทำท่าเหมือนจะสับ
ในที่สุดลูกน้องวันชัยก็แหกปากลั่น “บอกแล้ว ฉันบอกแล้ว”
ภูผามอง “ใคร? ใครใช้ให้แกเผาโรงเก็บชา”
ลูกน้องวันชัยเสียงสั่น “คนต่างถิ่น..ชื่อ..วันชัย”
ทุกคนตะลึงทั้งแถบ
ภูผาแค้นจัด “ไอ้วันชัย” กระชากคอลูกน้องวันชัย “มันอยู่ที่ไหน? พาฉันไปเด็ดหัวมันเดี๋ยวนี้”
“ตอนนี้มันไปไหนแล้วก็ไม่รู้ มันไม่เคยอยู่เป็นที่” ลูกน้องวันชัยว่า
สว่างตะคอก “อยากตายเหรอวะ”
“ฉันไม่รู้จริงๆ ..ให้ฉันสาบานก็ได้”
“คนอย่างเอ็งน่ะนะ..สาบาน? ถุ้ย!! ตายซะเถอะวะ”
สว่างจะกระทืบ ลูกน้องวันชัยยกมือไหว้ปลกๆ “อย่าฆ่าฉันเลย..ฉันไม่รู้จริงๆ”
หนูนาคิดออก “ลุงหว่าง...ฉันว่ามันคงไม่รู้จริงๆ น่ะ ถ้าเราจะต้องมีบาปติดตัวเพราะฆ่าใครซักคน ก็ขอให้คนๆ นั้นเป็นไอ้วันชัย จะคุ้มกว่ามั้ยลุง”
สว่างได้สติ “อืมม์..จริงของเอ็งว่ะ..ไอ้หนูนา”
“แต่ถึงยังไง แกก็ต้องนำทางฉันไปที่ๆ ไอ้วันชัยมันเคยใช้กบบดาน” ภูผาบอก
“คุณ” หนูนาอึ้ง
“หนูนา..เธออยู่กับนายสว่างดูแลไร่นี้ให้ดี”
หนูนากับสว่างพูดขึ้นพร้อมๆ กัน “ไม่! ฉันจะไปด้วย” /“ไม่! ผมจะไปด้วย”
ไม่ได้” ขึ้นเสียง แล้วหันมาพูดกับหนูนา “มันไม่ปลอดภัยสำหรับเธอ”
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฉันจะรู้สึกปลอดภัยก็ต่อเมื่อได้อยู่กับคุณ”
ภูผาอึ้ง
“ให้ผมไปด้วยเถอะครับนาย ให้ผมได้ยิงหัวไอ้วันชัยมันซักนัด ไม่งั้นชีวิตนี้ผมคงตายตาไม่หลับ”
ภูผาเงียบกริบ เข้าใจความรู้สึก
ดอยมีสีหน้าสยองปนงง ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย เด็กน้อยเกาหัวแกรกๆ พลางบอก “ดอยไม่ไปได้มั้ยจ๊ะ...ดอยกลัวผี”
“เอ็งน่ะอยู่เฝ้าไร่ไปเลยไอ้ดอย” สว่างว่า
ภูผาสั่งเฉียบขาด “ดอยอยู่ดูแลหนูนาที่นี่ นายสว่างเตรียมอาวุธให้พร้อมแล้วไปกับฉัน”
สว่างยิ้ม หนูนาไม่พอใจ ตั้งท่าจะโวย “คุณภูผา”
ภูผาจ้องหน้านิ่ง พูดสวนคำ “ฉันเป็นห่วงเธอนะหนูนา”
เจอไม้นี้เข้า หนูนาอึ้งงวยงง
“รอฉันอยู่ที่นี่ ฉันสัญญา..ว่าฉันจะกลับมาหาเธอ หลังจากล้างแค้นไอ้วันชัยให้เธอได้สำเร็จ”
หนูนาอึ้ง รู้ว่ายากนักที่จะขัดใจภูผา
หนูนามอง อย่างเป็นห่วง “คุณต้องสัญญานะ...ว่าจะกลับมา”
สีหน้าภูผามั่นใจ “ฉันสัญญา”
หนูนาโผเข้ากอดภูผา กอดเอาไว้อย่างแนบแน่น
“ฉันจะรอ..ฉันจะรอคุณนะ..คุณภูผา”
สองคนกอดกันแน่น
รุ่งเช้าวันต่อมาเมฆาเดินเร็วๆ จะไปทำงาน โฉมไฉไลยืนกอดอก มองมา รออยู่นานแล้ว
“จะรีบไปไหนคะ..ผัวขา....”
เมฆาชะงักกึก
“จะไม่ทักทายเมียกะลูกหน่อยเรอะคะ”
เมฆาโผนเข้ามาดึงตัวโฉมไฉไลเข้ามุมลับตาทันที “ผีเจาะปากรึไง? เดี๋ยวใครก็มาได้ยินเข้า”
โฉมไฉไลกวนต่อ “เอ๊า! ก็ไหนว่าไม่แคร์ไงคะ? ไหนว่าใครๆ ก็ไม่มีทางเชื่อโฉมไง”
เมฆาเหนื่อยใจ ตัดสินใจยิงตรงเลยดีกว่า “จะเอาอะไรอีก”
โฉมไฉไลก็ตอบตรง “รถใหม่หนึ่งคัน..พร้อมคนขับรถ”
เมฆาฉุนจนตาลุกวาว “นี่! มันไม่มากเกินไปหน่อยเรอะคุณ”
โฉมไฉไลตาโตใส่? “มากเกินไป? มันน้อยเกินไปด้วยซ้ำ” ยิ้มอย่างผู้ชนะ “สำหรับ...คุณหนูน้อยๆ ของแสนสมุทร ที่เป็นผลผลิตจากคุณแม่โฉมไฉไลกับคุณพ่อเมฆา”
เมฆากัดฟันกรอด พูดรอดไรฟัน “อย่ามาพูดเพ้อเจ้อ”
“อ่ะ! งั้นพูดใหม่ก็ได้ มันน้อยเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับการที่โฉมจะยอมไม่แฉให้นังวงเดือนสุดที่รักของคุณได้รู้” สีหน้าเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม “เรื่องของเรา” มองจ้องตาแป๋ว “เมฆาว่าจริงมั้ยคะ”
เมฆายืนนิ่ง กดข่ม และระงับอารมณ์ร้อนดั่งไฟภายในใจ ก่อนจะพูดตัดบทแบบไม่มองหน้า
“หุบปากให้สนิท แล้วฉันจะจัดการให้”
โฉมไฉไลร้อง “ว้าว” ยิ้มแฉ่ง “ขอบคุณค่ะผัวขา” กระโดดหอมแก้มฟอดใหญ่ “น่ารักที่สุด”
เมฆาผลักกระเด็นไปอย่างรังเกียจ “ไปให้พ้น” แล้วเดินหนีทันที
โฉมไฉไลมองตาม กอดอก ยิ้มเยาะ “ไปก็โง่สิคะ...ผัวขา”
โฉมไฉไลหัวเราะอย่างสะใจ
ขณะเดียวกันชอุ่มกำลังนั่งซักผ้าในกาละมัง และขยี้ผ้าอย่างแรงๆ อย่างกับจะฉีกให้ขาดเลยทีเดียว
“นี่แน่ะๆๆ”
วงเดือนที่นั่งพับผ้าอยู่ใกล้ๆ มองอย่างตกใจ “น้าชอุ่ม! ขยี้แรงอย่างนั้น เดี๋ยวผ้าก็ขาดหมดหรอก”
“ดีค่ะ! ขาดซะได้ก็ดี” ชอุ่มยกชูให้ดู “นี่มันผ้าของยัยโฉมจัญไรค่ะ” ขยี้ๆๆ “หมั่นไส้นัก จิกหัวใช้ชอุ่มยังกะทาส ทีตัวเองไม่เห็นทำอะไร วันๆ เอาแต่เดินแรดไปแรดมา”
เสียงโฉมไฉไลดังก้อง “แกว่าใคร นังชอุ่ม”
วงเดือนกับชอุ่ม สะดุ้งหันขวับ เห็นโฉมไฉไลยืนถือตะกร้าผ้าจ้องมองอยู่
โฉมไฉไลปรี่เข้ามาเอาเรื่องชอุ่ม “ตอบมาว่าตะกี๊แกว่าใคร”
ชอุ่มเชิด “ว่าใครก็ได้ที่แรด ใครอยากจะรับเป็นแรด ก็เชิญรับไปตามสบายค่ะ”
“หึ้ย” โฉมไฉไลโยนตะกร้าผ้าใส่ชอุ่ม “ปากดีนัก เอาไปซักอีกจะได้หมดแรงนินทาเจ้านาย”
ชอุ่มย้อนเข้าให้ “ชอุ่มไม่เคยนินทาเจ้านายของชอุ่ม แต่ไอ้คนที่ไม่ใช่เจ้านายชอุ่ม อันนี้ก็ไม่แน่”
โฉมไฉไลปรี๊ดแตก “แล้วอีนังเด็กเก็บมาเลี้ยงไว้ก้นครัวอย่างนังวงเดือนน่ะล่ะ..เจ้านายแกเหรอ”
“ใช่ค่ะ! คุณวงเดือนเป็นเจ้านายของชอุ่ม” ชอุ่มตอบอย่างภาคภูมิ
โฉมไฉไลโกรธจนตัวสั่น ก่อนจะค่อยๆ เดินมาจ้องหน้าวงเดือนใกล้ๆ แล้วพูดเยาะๆ
“ฉันไม่เข้าใจเลยนะวงเดือนว่าทำไมใครๆ ในแสนสมุทรถึงได้รักเธอกันนักหนาแม้แต่นังบ่าวนี่”
ชอุ่มเคืองแทน
โฉมไฉไลจ้องหน้าเหยียดยิ้ม “สวยรึก็สวยสู้ฉันไมได้ซักนิด เทียบไม่ติดแม้กระทั่งขี้เล็บ” ส่ายหน้าอย่างดูแคลน “ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
ชอุ่มเหลืออดแล้ว “เอางี้...ชอุ่มจะบอกคุณให้หายโง่ละกันนะคะ คือว่า...บางครั้งเนี่ยความสวยมันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะคะ จริงอยู่ที่ว่าคุณวงเดือนอาจจะหน้าตา สวยสู้คุณไม่ได้ แต่ถ้าเรื่องจิตใจน่ะ คุณวงเดือนชนะขาดแพ้น็อค ไม่ต้องนับ”
โฉมไฉไลปรี๊ด ตวาดแว๊ด “นังชอุ่ม”
ชอุ่มต่ออีกดอก “ยังค่ะ ยังไม่จบ ต่อให้หน้าตาสวยยังกะนางเอกละคร แต่นิสัยร้ายยิ่งกว่านางอิจฉา อันนี้ผู้ชายร้อยทั้งร้อยก็ต้องขออำลา ยกตัวอย่างเช่นคุณโฉมไฉไลที่ไฉไลแต่โฉม ส่วนนิสัย..” ชอุ่มส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “เฮ้อ! ประทานโทษค่ะ...จัญไรมาก”
โฉมไฉไลเข่นเขี้ยว โกรธจนตัวสั่น “นังชอุ่ม” ตบเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้าชอุ่มทันที ชอุ่มหน้าหัน วงเดือนตกใจมาก
โฉมไฉไลชี้หน้าด่า “แกบังอาจเกินไปแล้ว ฉันต้องสั่งสอนแก”
ชอุ่มสุดจะทน ถกผ้าถุงสู้ตาย “มาสิวะ ชอุ่มก็สู้นะเว้ย ตายเป็นตายล่ะวะวันนี้”
สองคนปรี่เข้าหากันเตรียมประวิชาฟ้อนเล็บ วงเดือนพุ่งเข้ากอดรัดชอุ่มไว้ ร้องห้ามลั่น
“อย่านะชอุ่ม! คุณโฉมคะ หยุดได้แล้ว”
แต่ 2 คนไม่หยุด ยังฟัดเหวี่ยงกันนัว
“นังหน้าจืดอย่ามายุ่ง”
โฉมไฉไลผลักวงเดือนกระเด็นลงไปกองกับพื้น
“คุณเดือน” ชอุ่มโกรธเหลียวหันไปมองโฉมไฉไลอย่างเอาเรื่อง “นังหมาบ้า! แกต้องโดนอย่างนี้”
จบคำชอุ่มเอากะละมังซักผ้าที่มีฟองฟ่อดสาดโครมเข้าเต็มหน้าโฉมไฉไล
โฉมไฉไลกรี๊ดลั่น “อร๊าย....” โกรธจนตัวสั่นเร่าๆ ชี้หน้าด่าชอุ่ม “นังชอุ่ม แกกล้าทำกับฉันอย่างนี้ได้ยังไง”
“ยิ่งกว่านี้ก็กล้าทำเว๊ย” ชอุ่มยกอีกกะละมังขึ้นมา “จะล้างน้ำอีกซักกะละมังมั้ย?”
“อร๊าย...” โฉมไฉไลกระโดดหนีไปห่าง ๆ ชี้หน้า คาดโทษ “แก...คอยดูนะ อย่าคิดว่าจะลอยนวลอยู่ได้! เรื่องนี้ต้องถึงคุณพ่อคุณแม่แน่! คอยดู๊”
ชอุ่มไม่ใส่ใจ เงื้อกะละมังทำท่าเหมือนจะสาดใส่อีกโครม
โฉมไฉไลร้อง “แอร๊ย...” วิ่งหางจุกตูดหนีไปอย่างเร็วรี่
ชอุ่มมองตาม เห็นคู่อริไปลับตัวแล้วจึงวางกะละมังลง ปาดเหงื่อ
“โธ่เอ๊ย! นึกว่าจะแน่”
ชอุ่มหันมามองวงเดือนที่ยังนั่งกองอยู่กับพื้น แต่หน้าตาอมยิ้ม มองชอุ่มอย่างทึ่ง
ชอุ่มเลิกลั่ก ขวยเขิน “ยิ้มอะไรคะ..คุณเดือน”
วงเดือนยิ้มขำๆ “ก็..ตลกดี..ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ไม่เคยเห็นน้าชอุ่มอารมณ์นี้เลย”
ชอุ่มเขินๆ “เอ่อ..ก็..แหม ของมันขึ้นนี่คะ เค้าเรียกว่าร้อนปรอทแตก..เคยเห็นมั้ยคะ..คุณพยาบาล”
สองคนหัวเราะขำกันไปมา
ครู่ต่อมาชอุ่มเข้าไปพยุงวงเดือนให้ลุกขึ้น “เห็นมั้ยคะคุณ เป็นคนดีเกินไปน่ะไม่ได้ มันต้องร้ายมั่ง แรงมั่ง เราถึงจะอยู่รอด ไม่มีใครกล้ามารังแก”
วงเดือนวิตกเป็นกังวลขึ้น “แต่ถ้าเรื่องถึงคุณพ่อคุณแม่ น้าชอุ่มต้องแย่แน่ๆ น้าชอุ่มต้องมาเดือดร้อนเพราะเดือนแท้ๆ”
“โอ๊ย! เรื่องแค่นี้...สบายมากค่ะ ชอุ่มไม่กลัว เพราะชอุ่มไม่ผิด” ชอุ่มมั่นใจมาก
แต่แล้ว ไม่นานหลังจากนั้นอนงค์ก็ก้าวพรวดเข้ามา ตวัดเสียงใส่
“ผิดสิ! ทำไมจะไม่ผิด”
สมาชิกแสนสมุทร ทุกคนนั่งอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ในห้องโถงใหญ่กลางบ้าน ส่วนชอุ่มนั่งพับเพียบก้มหน้าอยู่ที่พื้น
“ผิดตั้งแต่เกิดมาเป็นบ่าวแล้ว” อนงค์ด่าจิก
ชอุ่มฮึดของขึ้น
ศรีดาราปราม “ชอุ่ม”
ชอุ่มนิ่ง
“ใช่ค่ะ..เป็นบ่าวไม่อยู่ส่วนบ่าว กลับมาก้าวร้าวเจ้านาย”
ชอุ่มอ้าปากจะเถียง วงเดือนแตะแขนชอุ่มเป็นเชิงบอกไม่ต้องเถียง ชอุ่มเจ็บใจ
“เรื่องนี้...คุณพ่อคุณแม่ต้องจัดการให้โฉมนะคะ” ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ขอความเป็นธรรมให้โฉมด้วย”
อนุตอ่อนอก เหนื่อยใจ “ว่าไง..ทำจริงรึเปล่า ชอุ่ม”
ชอุ่มยืดอกรับ “จริงค่ะ ชอุ่มทำจริง แต่คุณโฉมเธออยากมาว่าคุณเดือนก่อน...”
เมฆามองโฉมไฉไลอย่างตกใจ กลัวใจว่านางมารร้ายจะพูดอะไรออกมา แล้วหันไปมองวงเดือน
โฉมไฉไลรีบสวน “โฉมไม่ได้ว่านะคะ โฉมแค่ชมว่าทำไมทุกคนในบ้านนี้” จิกสายตาใส่เมฆา “ถึงได้รักวงเดือนกันทุกคนก็แค่นั้นเองค่ะ” จดสายตาอำมหิตจ้องเมฆา แต่เสียงหวานเจี๊ยบ “จริงมั้ยคะ...เมฆา”
เมฆาสะดุ้งโหยง
โฉมไฉไลบี้ ขยี้ต่อทันที “เมฆาว่าโฉมผิดมั้ยคะ? ที่พูดแบบนี้”
อนงค์ผสมโรง “นั่นสิ...เมฆา!” จ้องตาจิก “ช่วยตัดสินหน่อยสิจ๊ะว่า โฉมไฉไลผิดหรือไม่ผิด”
เมฆาอึ้ง สองแม่ลูกประสานพลังจ้องด้วยตาพิฆาต อย่างเป็นต่อ
ชอุ่มผวาตัวเกาะขาเมฆา มั่นใจมากว่าเมฆาต้องช่วยเพราะรักเดือนมาก “บอกเค้าไปเลยค่ะคุณเมฆาว่าชอุ่มไม่ผิด”
โฉมไฉไลจ้องจิกแบบถือไพ่เหนือกว่า “ว่าไงคะ..เมฆา”
อนุตรำคาญเต็มทน ถือโอกาสตัดบท “อ่ะ! ก็ดี เรื่องนี้ให้เมฆาว่าไป ชั้นเพลียจะแย่แล้ว” หันมาพูดกับศรีดารา “ไปคุณ...ผมอยากไปพัก”
“ค่ะ” ศรีดาราพาอนุตลุกเดินออกไป
ชอุ่มฮึกเหิมท้าทาย “เอาซี้… ให้มันรู้กันไปว่าไผเป็นไผ”
โฉมไฉไลเหยียดยิ้ม “แกได้รู้แน่นังชอุ่ม” ตวัดสายตาไปที่เมฆา “ว่าไงคะ..เมฆา ระหว่างโฉมไฉไลกับนังชอุ่ม ใครผิด”
เมฆามีท่าทีแปลกไป อึดอัดอย่างเห็นได้ชัด
วงเดือนมองจับกิริยาของเมฆาเขม็ง
“ฉันว่า..ชอุ่มก็ทำเกินไป”
คำพูดเมฆา ทำเอาชอุ่มอึ้ง ขณะที่โฉมไฉไลและอนงค์ยิ้มร่า
วงเดือนท้วง “แต่..คุณเมฆาคะ...”
เมฆาสวนอยากให้เรื่องจบ “เรื่องนี้ ขอให้มันจบๆ ไปได้มั้ย...โฉมไฉไล”
โฉมไฉไลแว้ดทันที “ไม่ได้! จบๆ ไปไม่ได้ นังชอุ่มต้องขอโทษโฉม มันต้องกราบเท้าโฉม”
ชอุ่มตาค้าง “ห๊า”
วงเดือนสงสาร “น้าชอุ่ม” หันมาทางเมฆา “คุณเมฆาคะ”
โฉมไฉไลจ้องเมฆา แต่ถามชอุ่ม “จะกราบรึไม่กราบ”
ชอุ่มสะอื้นออกมา
วงเดือนอ้อนวอน “คุณเมฆา..เดือนขอร้อง...” หันไปทางโฉมไฉไล “คุณโฉมคะ...”
โฉมไฉไลสวนคำออกมา “ถ้าไม่กราบ โฉมจะ..” โฉมไฉไลค้างคำว่าแฉเท่านั้น
เมฆาพูดแทบเป็นตะคอก “กราบเดี๋ยวนี้”
วงเดือนตกใจ ไม่อยากเชื่อ “คุณเมฆา”
ชอุ่มปล่อยโฮออกมา โฉมไฉไลยิ้มแฉ่ง
“ชอุ่ม” เมฆาเสียงแข็ง “กราบเท้าคุณโฉมไฉไลซะ”
วงเดือนโผลงไปกอดชอุ่ม “น้าชอุ่ม...” เงยหน้ามองเมฆาสายตาอ้อนวอน “คุณเมฆา”
เมฆาเบือนหน้าหนี
โฉมไฉไลไฉไลยื่นเท้าไปข้างหน้าข้างหนึ่ง “กราบซะ..นังบ่าวชอุ่ม”
ชอุ่มกลืนกินความแค้นลงไป ค่อยๆ ก้มลงกราบเท้าโฉมไฉไลทั้งน้ำตา
โฉมไฉไลสะใจ “ดีมาก ต่อไปนี้..รู้ซึ้งแล้วใช่มั้ย..ว่าใครเป็นใคร”
สองแม่ลูกเย้ยหยัน สีหน้าสะใจกันใหญ่
วงเดือนรีบเข้าไปดึงชอุ่มมากอดปลอบ เมฆาสะเทือนใจมาก
โฉมไฉไลเดินสะบัดสะบิ้งงไปหาเมฆา แล้วก้มลงพร้อมกับกระซิบดังๆ ใกล้ๆ หู “มันต้องอย่างนี้สิคะ..เมฆา”
เมฆาจ้องหน้าอย่างอาฆาตแค้น อยากจะฆ่าให้ตายตอนนี้เดี๋ยวนี้ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
โฉมไฉไลขำคิกคักไปมา “ไปค่ะหม่าม้า...เราไปหาอะไรกินฉลองกันหน่อยดีกว่า ฮ่าๆๆ”
สองแม่ลูกเริงร่ากันออกไป ทิ้งให้เมฆาเสียใจ วงเดือนมองจ้องเมฆารู้ว่าปกปิดบางอย่าง เมฆาหลบตาวูบ
ค่ำคืนนั้น วงเดือนนั่งหวีผมอยู่ เมฆาเปิดประตูเข้ามา วงเดือนลุกขึ้นหยิบหมอน เหมือนจะไปนอนที่ห้องเก่าที่เรือนคนใช้อีกแล้ว เมฆารีบปรี่มาจับแขนวงเดือนไว้
“เดือน...ไม่เอาน่า...”
วงเดือนนิ่ง
“ผมรู้..ว่าคุณโกรธผมเรื่องเมื่อกลางวัน”
“น้าชอุ่มผิดจริง แต่คุณก็ไม่น่าจะยอมให้น้าชอุ่มกราบเท้าคุณโฉมขนาดนั้น”
เมฆาพูดไม่ออก
“ทำไมคะ ทำไมคุณต้องเข้าข้างคุณโฉมถึงขนาดนั้นด้วย”
เมฆาใบ้กิน พูดไม่ออก “ผมไม่ได้เข้าข้าง”
วงเดือนจ้องหน้าจับอาการ “ถ้างั้นก็ยอม - - ทำไมคุณถึงต้องยอมคุณโฉม”
คราวนี้เมฆาอึ้ง นิ่งงันไป
วงเดือนโกรธมาเป็นริ้วๆ โพล่งถามด้วยความโกรธ “คุณกลัวอะไรคุณโฉมคะ”
เมฆายิ่งอึ้ง วงเดือนงอน “ถ้าตอบไม่ได้ ก็ไม่ต้องตอบ”
วงเดือนเดินสะบัดออกไป
เมฆาร้องเรียก “เดือน!” แต่รั้งไม่ได้ วงเดือนทิ้งให้เมฆากลัดกลุ้ม ฮึดฮัดโมโหอยู่ลำพัง
กลางดึกคืนเดียวกัน สองแม่ลูกสุดแสบเพิ่งจะฉลองชัยชนะกันมาแบบเต็มคราบ เดินร่าเริงมาจนใกล้จะถึงหน้าบ้านแสนสมุทรอยู่แล้ว
“แหม้...หูฉลามเจ้านี้เค้าอร่อยจริงๆ” อนงค์เอ่ยขึ้นเสียงระรื่นพลางลูบท้องโฉมไฉไลไปมา “โถ...หลานยายต้องเป็นนางฟ้าเทวดามาเกิดแน่ๆ ยังไม่ทันจะคลอดอุแว้ๆ ก็ทำให้ยายกับแม่เฮงสุดๆ ซะแล้ว หึ้ย นึกแล้วก็สะใจจริงๆ ทั้งนังหน้าจืดกับนังบ่าวสามหาวนั่นมันจ๋อยไปเลย ยิ่งเมฆานะ..ฮ่าๆๆ กลัวแกหัดหดเลย...ยัยโฉมลูกแม่”
“เป็นไงล่ะหม่าม้า..แผนของโฉม เซียนเหยียบเซียนมั้ยล่ะ” โฉมไฉไลยิ้มระรื่น
“อู๊ย.. เหยียบเซียนยังไม่พอ มันต้องเรียกว่าเซียนกระทืบเซียนเลยล่ะจ๊ะ..ลูกโฉมจ๋า...”
อนงค์พูดคำว่า “จ๋า.....” จบ แล้วอ้าปากค้าง ตาโต เพราะมองไปเห็นลูกน้องเสี่ยเส็งโผล่มายืนจังก้าขวางทางอยู่
โฉมไฉไลงงอาการแม่ “เอ๊า เป็นไรอ้าปากค้างน่ะหม่าม้า” จนเมื่อหันไปเจอลูกน้องเสี่ยเส็ง ก็ตกใจ “ว๊าย… พวกแกเป็นใคร ต้องการอะไร?”
ลูกน้องเสี่ยเส็งยิ้มเหี้ยม “พวกเราเป็นใคร? ก็ถามหม่าม้าของแกดูซิ ฮ่าาาา” หัวเราะประสานเสียงกันสนุกสนาน
อนงค์กลอกตามองล่อกแล่กส่อพิรุธ
โฉมไฉไลตวัดสายตามาที่อนงค์ “หม่าม้า! อย่าบอกนะว่า....”
อนงค์ตีหน้าเศร้า “โธ่” รีบแก้ตัวเสียงแข็ง “แม่ก็ป๊อกแปดแล้วนะ แต่เจ้ามือมันดันป๊อกเก้า”
โฉมไฉไลตกใจระคนโกรธ “หม่าม้า”
ลูกน้องเสี่ยเส็งฟังจนชักจะรำคาญ “เอ๊า! จะเถียงกันอีกนานมั้ย รอนานมันเมื่อย จ่ายมาซะไวๆ ทั้งต้นทั้งดอกก็แสนนึง”
โฉมไฉไลแทบช็อก “แสนนึง” ขึ้นเสียงพร้อมจะโวย “หม่าม้า.... ครั้งก่อนโฉมก็เพิ่งจะ...”
อนงค์ทั้งกลัว ทั้งโกรธ ทั้งอาย พูดสวนออกมาอย่างถือดี “ไม่ต้องเลยยัยโฉม ถ้าแกไม่ช่วยแกก็ไม่ต้องมาขึ้นเสียงใส่ฉัน เงินแค่แสนนึง ฉันหาของฉันเองก็ได้”
โฉมไฉไลสวนคำทันที “เออ ดี หาเองก็ดี โฉมหามาใช้หนี้ให้หม่าม้าอีกไม่ไหวแล้ว”
พร้อมกันนั้นโฉมไฉไลรีบจ้ำอ้าวเดินออกไปเร็วรี่
อนงค์ยังใจเย็นนึกว่าลูกสาวจะง้อ “อ้าว...ยัยโฉม!...ยัยโฉม”
ลูกน้องเสี่ยเส็งพูดเลียนเสียงโฉมไฉไล “เอาไงดีหม่าม้า!” ตามด้วยการขู่ เอาจริง “ว่ามา จะจ่ายรึไม่จ่าย” ลูกน้องเสียย่างสามขุมเข้าหา
อนงค์กลัวขึ้นสมองแล้ว แต่ยังทำปากกล้า “จ่ายสิยะ! ใครจะไม่จ่าย”
“งั้นก็จ่ายมา”
อนงค์สะดุ้งโหยง “ก็จ่ายไง..แต่ขอจ่ายช้าหน่อย อีกซัก 2-3 วันได้มั้ยล่ะ ไปบอกเสี่ยเส็ง..เสี่ยเค้าให้อยู่แล้ว”
“ไอ้ให้น่ะเสี่ยก็คงจะให้อยู่ แต่ยิ่งดึง ดอกเบี้ยมันก็ยิ่งบานนะ” ลูกน้องเสี่ยว่า
“ฉันรู้น่ะ บานแค่ไหนฉันก็จ่ายได้ ลูกสาวฉันเค้ารวยจะตาย อีก 2-3 วันฉันจะเอาไปจ่ายให้” อนงค์หงุดหงิด
ลูกน้องเสี่ยมองหน้ากัน แล้วตัดสินใจ “ได้! อย่าคิดเบี้ยว ไม่งั้น” พูดจบก็เอานิ้วเชือดคอฉึ่บแล้วเดินออกไป
อนงค์สะดุ้ง “โอ๊ย ทำมาเป็นขู่ เชอะ ใครจะกลัวพวกแก” นึกแล้วยิ่งเคืองลูกสาว “หนอย..นังโฉม เงินแค่นี้ช่วยแม่ก็ไม่ได้ นังลูกงก!” จู่ๆ อนงค์ตาวาว นึกบางอย่างออก “เอ๊ะ! ลืมไป...เงินแค่นี้ ทำไมฉันจะหาของฉันเองไม่ได้ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ง้อแกแล้วย่ะ...ยัยโฉม”
อนงค์ยิ้มย่อง
วันต่อมา ขณะที่วงเดือนเปิดประตูห้องออกมา แต่ต้องรีบปิดเพราะเมฆาพุ่งเข้ามาดันประตูไว้
เมฆาร้องขึ้นเสียงอ้อน “เดือน...หายโกรธผมเถอะนะ”
วงเดือนเสียงแข็งใส่ “หลีกไป”
“ไม่! ผมจะอยู่ตรงนี้ รอจนกว่าคุณจะหายโกรธ”
“เดือนไม่มีสิทธิ์โกรธคุณหรอกค่ะ เพราะคุณมีสิทธิ์ที่จะเห็นแก่คุณโฉมไฉไลมากกว่าชอุ่มหรือใครๆ อยู่แล้ว”
เมฆาส่ายหน้า พูดไม่ออก “เดือน...มันไม่ใช่อย่างนั้น”
“มันใช่ค่ะ” วงเดือนยืนกราน
เมฆาถอนใจเฮือกใหญ่ “ผมต้องทำยังไง คุณถึงจะยกโทษให้ผม”
“คุณไม่ได้ทำอะไรผิด”
เมฆาทอดเสียงอ้อน “เดือน.....อยู่ๆ คุณก็แยกตัวมานอนคนเดียวที่นี่ ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ท่านคงสงสัยแล้วก็ไม่สบายใจ”
วงเดือนนิ่ง เมฆาตาวาวเห็นว่าชักได้ผลก็ลุยต่อ
“คุณก็รู้ว่าโฉมไฉไลเป็นคนไม่ยอมจบอะไรง่ายๆ ถ้าวันนั้นผมไม่ตัดใจทำให้มันจบๆ ไปซะ เรื่องก็คงต้องบานปลายไปกวนใจคุณพ่อคุณแม่อีก”
วงเดือนยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น
เมฆาหยอด “จริงมั้ยเดือน”
วงเดือนมีสีหน้าไตร่ตรอง เมฆาได้ทีพุ่งไปรวบกอดวงเดือนไว้
“อย่าหนีผมอีกนะ ผมจะไม่ยอมให้คุณหนีผมอีกแล้ว”
วงเดือนพยายามปัดป้อง “ปล่อยค่ะ! คุณเมฆาอย่าทำอย่างนี้!”
เมฆายิ้มเยื้อนพูดอ้อน “ถ้าไม่ทำอย่างนี้ คุณก็หนีผมไปอีกน่ะสิ”
วงเดือนบอกเสียงเข้ม “คุณต้องไม่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่างหากค่ะ เดือนถึงจะไม่หนีคุณไป”
เมฆาอึ้งจุก เพราะทำไปแล้วตั้งเยอะ
“ว่าไงล่ะคะ รับปากเดือนได้มั้ย?” วงเดือนคาดคั้น
เมฆายังคงอึ้งอยู่อย่างนั้น ก่อนจะทำเป็นยิ้มสดชื่นรับปาก “เรื่องแค่นี้..ทำไมผมจะทำให้เดือนไม่ได้ ต่อให้ชีวิตทั้งชีวิตผมก็ยินดีมอบให้คุณ คนเดียว”
วงเดือนผินหน้ามองไปทางอื่น แบบไม่เชื่อใจเท่าไหร่
เมฆาค่อยๆ หุบยิ้ม แล้วเปลี่ยนเป็นกังวลกับสิ่งที่รับปากไปส่งเดช
ด้านหนูนายังนั่งเหม่อ รอคอย เป็นห่วงภูผา ดอยยืนมอง แล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ลูกพี่..นั่งตากแดด อย่างนี้เดี๋ยวก็ไม่สบาย”
หนูนาพูดโดยไม่หันมามองมอง “ไอ้ดอย...แกว่าคุณภูผาเค้าจะปลอดภัยมั้ย”
“โห่! ระดับนาย ตายยาก” ดอยว่าตามประสา
หนูนาตบปาก “นี่แน่ะ ปากเหรอน่ะ”
“อูย ก็ดอยพูดจริงอ่ะ นายเค้าเก่งจะตาย รึลูกพี่ว่าไม่เก่ง” ถูกดอยถามย้อน
หนูนาตาเป็นประกายวิบวับ “เก่งสิ..คุณภูผาเก่งที่สุด”
“นั่นไง? แหม..แล้วทำมาเคืองเค้า น้อยใจนะเนี่ย”
ดอยทำเป็นงอนจะเดินออก หนูนาล็อกคอ ดึงมาใกล้พูดยิ้มๆ “มานี่..มานี่...อ้วนแล้วยังขี้งอนนี่ง้อไม่ไหวนะ”
ดอยอมยิ้ม หนูนากอดคอดอยไว้ยิ้มๆ ดอยนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เออ..จริงสิลูกพี่ เรื่องไอ้วันชัยอะไรที่ลูกพี่คุยกันนั่นน่ะ...มันอะไรยังไงกันเหรอ? ดอยงงมากเลย ดอยตกข่าวใหญ่อะไรไปรึเปล่า”
หนูนาอึ้ง ล็อกคอดอยซะแน่น “เรื่องนี้ไม่ต้องรู้..เข้าใจมั้ย”
ดอยไอแค่กๆ โดนรัดคอ “จ้ะๆๆ ปล่อยก่อน”
หนูนาปล่อยชี้หน้าคาดโทษ “แล้วก็ไม่ต้องถามอีก”
ดอยจับคอตัวเองบ่นอุบ “อะไรอ่ะ..ทำไมต้องรุนแรงกันด้วย”
หนูนาเบือนหน้าหนีไป ไม่อยากนึกถึงวันชัย ดอยยังอยากรู้
หนูนา...คิดถึงภูผาจับใจ
“คุณภูผา..ป่านนี้คุณจะเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้”
เวลานั้นภูผาเดินป่า โดยมีสว่างคุมลูกน้องวันชัย ผูกข้อมือไว้ให้เดินนำทาง เดินมาไกลแล้ว และหลายวันแล้ว สว่างร้องบอก
“อ้าวเฮ๊ย! อย่าอู้ๆ เดินต่อไป”
แต่ลูกน้องวันชัยกลับมองเหล่ๆ พูดเหมือนตะคอก “จะให้เดินไปไหนล่ะ ก็ถึงแล้ว”
สว่างฉุน ตบหัวดังผลัวะ “ถึงแล้วก็พูดดีๆ สิวะ หนอย! ทำมาขึ้นเสียง เดี๋ยวพ่อยิงหัวโบ๋ซะนี่”
ภูผากวาดตามองรอบๆ พลางถาม “แน่ใจนะ..ว่าไอ้วันชัยมันเคยมากบดานอยู่แถวนี้”
สว่างตบหัวอีก “นายถาม ทำไมไม่ตอบ เดี๋ยวพ่อยิงกรอกปากซะดีมั้ย”
ลูกน้องวันชัยเหล่ๆ ส่อพิรุธ “แน่สิ..มันเคยมาซ่อนตัวอยู่แถวนี้แหละ”
ภูผาและสว่างมองสบตากัน
“แกะรอยมัน...นายสว่าง” ภูผาสั่งการ
“ครับนาย” สว่างกระชากข้อมือลูกน้องวันชัย “เอ้า! ไปสิเว๊ย”
ทันใดนั้นลูกน้องวันชัย ตัดสินใจก้มหัวพุ่งชนสว่างล้มลงไปกองกับพื้น ปืนในมือสว่างกระเด็นไป ลูกน้องวันชัยวิ่งหนีไปอย่างเร็วรี่
สว่างตะโกนลั่น “เฮ๊ย! จะหนีไปไหน”
ไม่ทันขาดคำ ลูกน้องวันชัยคนนั้นตกไปในหลุมพรางดักสัตว์ โดนไม้ไผ่แหลมเสียบทะลุร่างตายน่าสยดสยอง สว่างกับภูผาวิ่งตามไปดู
“รนหาที่แท้ๆ” สว่างบ่นงึมงำ
ภูผาเริ่มสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง “ไม่ธรรมดาแล้วล่ะนายสว่าง เราต้องระวังตัวให้มาก อย่าประมาทเป็นอันขาด”
สว่างกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความระวังเช่นกัน “ครับนาย”
ในขณะที่ภูผากับสว่างยังคงแกะรอยวันชัยไปอย่างระแวดระวัง สองคนปาดเหงื่อ ด้วยความเหนื่อยล้า จังหวะหนึ่งสว่างพึมพำออกมาอย่างโกรธแค้น “โผล่มาซะที โผล่หัวมาหน่อยสิไอ้วันชัย ข้าจะยิงให้ทะลุเลย”
ทันใดนั้นภูผาสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง ถึงกับชะงักกึก รีบส่งซิกให้สว่างเงียบ แล้วนิ่งฟังเหมือนได้ยินเสียงอะไรซักอย่าง
ที่อีกมุมใกล้ๆ นั้น มีความเคลื่อนไหวแวบๆ
ภูผาหันขวับ กระชับปืนเล็งใส่ทันที แต่กลับไม่มีอะไรไหวติงที่มุมนั้น ภูผาเหลียวมามองสว่าง พยักหน้า ส่งซิกให้ จากนั้นจึงค่อยๆ ย่องไปสำรวจที่มุมนั้นพร้อมกัน
สองคนสืบเท้าเข้าไป ทันใดนั้นบ่วงดักสัตว์ที่วางไว้ก็ทำงานทันที ภูผาและสว่างถูกตาข่ายรวบตัวดึงขึ้นไปห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศกันคนละบ่วงนะคะ ปืน และอาวุธประดามี กระเด็นร่วงอยู่ที่พื้น
ภูผาร้องลั่น “เฮ๊ย”
สว่างตะโกน สีหน้าตื่นตระหนก “เย้ย! ปล่อยนะเว๊ย! ปล่อย! แย่แล้วนาย เราเสร็จไอ้วันชัยมันแน่”
ภูผาตะโกนก้อง “ไอ้วันชัย! แน่จริงโผล่หัวออกมาสิวะ”
คนที่โผล่ออกมากลับกลายเป็นมะยอ ที่จดสายตาจ้องมองมาตาขวาง
ภูผาอึ้งผิดคาด สว่างร้อง “เฮ๊ย”
“จะแหกปากไปไหน?” เอาหน้าไม้ประทับเล็งขู่ใส่ “พวกเอ็งเป็นใคร”
ภูผาถามสวน “เธอนั่นแหละเป็นใคร?”
ขณะที่สว่างโวยลั่น “ปล่อยฉันลงไปเดี๋ยวนี้นะเว๊ย”
มะยอหน้านิ่ง เล็งหน้าไม้ถามคาดคั้นเสียงเหี้ยม “ข้าถามว่าพวกเอ็งเป็นใคร? ถ้าไม่ตอบ ตาย!”
มะยอทำท่าจะยิงจริง ภูผาและสว่างลุ้นระทึก
เสียงเหนือฟ้าตะโกนเข้ามา “หยุดก่อน! มะยอ”
มะยอชะงัก ภูผาและสว่างเหลียวขวับพร้อมๆ กัน และตะลึงไม่เชื่อสายตา
เมื่อเห็นเหนือฟ้าตัวเป็นๆ โผล่ออกมายืนมอง ภูผาประสานเสียงกับสว่าง
“เหนือฟ้า” / “พ่อเลี้ยง”
เหนือฟ้ายืนมองมานิ่งๆ ส่วนภูผาและสว่างตะลึงแทบช็อก!
โปรดติดตาม "ชิงนาง" ตอนต่อไป