ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 11
ตะวันฉายส่องไฟฉายดูปูลมที่ชายหาดอยู่กับหมอก
“ขึ้นมาแล้วๆ” หมอกวิ่งไล่ตะครุบ
เมฆยืนดูทั้งสองคนวิ่งเล่นกันอยู่ไม่ไกล
ตะวันฉายกอบทรายขึ้นโดยมีปูลมอยู่ในมือ หมอกยื่นหน้ามาดูด้วย
“คุณหมอกอยากใส่ขวดโหลกลับไปกรุงเทพฯมั้ยครับ” ตะวันฉายถาม
“ไม่เอาคับ ไม่รู้จะให้ใครดู หมอกอยากเอาไปอวดพี่ซัน แต่พี่ซันไม่อยู่แล้ว” หมอกบอก
ตะวันฉายมองหมอกด้วยความสงสาร
“คุณหมอกคิดถึงพี่ซันเหรอครับ”
“คับ”
“พี่ซันเค้าก็คงคิดถึงคุณหมอกเหมือนกัน”
เมฆเดินเข้ามาได้ยินพอดี
“ถ้าคิดถึง เค้าก็น่าจะกลับมา” เมฆพูดออกมา
ตะวันฉายสะดุ้งแล้วก็วางทรายทิ้งก่อนจะเงยหน้ามองเมฆแล้วก็ต้องหลบตา
“หมอก อาบน้ำแล้วนะลูก มาวิ่งเล่นอีก เดี๋ยวต้องอาบใหม่หรอก ไป เข้าบ้านดีกว่าลูก” เมฆบอก
“แต่หมอกอยากเล่นต่ออีกนิดคับ”
“ให้คุณหมอกเล่นสักพักเถอะ เดี๋ยวชั้นอาบน้ำให้เค้าเอง” ตะวันฉายบอก
เมฆกับหมอกพูดพร้อมกัน “จริงนะ”
ตะวันฉายอึ้งไปเล็กน้อยแล้วก็ยิ้มออกมา หมอกดีใจจึงวิ่งเล่นไปไล่จับปูลมต่อ เมฆกับตะวันฉายยืนอยู่ด้วยกัน
“ขอบใจนะ” เมฆพูด
ตะวันฉายแอบยิ้ม
เมฆนั่งเล่นอูคูเลเล่อยู่ที่ระเบียง ตะวันฉายเดินออกมาจากในบ้านพัก
“คุณหมอกหลับไปแล้วนะ จะให้ชั้นทำอะไรอีก”
“นั่งสิ”
ตะวันฉายนั่งลง แล้วเมฆก็เล่นเพลงที่เขากับตะวันฉายแต่งด้วยกันขึ้นมาแต่ไม่ได้ร้อง ตะวันฉายอึ้งจนเกือบร้องไห้ เธอต้องกลืนก้อนสะอื้นลงคอ
“ไม่มีเนื้อร้องเหรอ” ตะวันฉายถาม
“มี แต่ต้องร้องกันสองคน คุณจะช่วยผมร้องมั้ยล่ะ”
ตะวันฉายนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบ “...ไม่ล่ะ ชั้นขอไปอาบน้ำบ้างล่ะนะ” ตะวันฉายลุกขึ้นยืน
“ตามสบาย”
ตะวันฉายเดินไป เมฆมองตามด้วยแววตาเศร้า
แล้วตะวันฉายก็มีน้ำตาไหลออกมา
นิค เอวา และจอมสยามกำลังเล่นดนตรีอยู่ด้วยกันบนเวทีที่ผับ แต่นิคกับเอวากลับเล่นไม่ได้ดีนัก จอมสยามมีสีหน้างุนงงกับทั้งสอง เมื่อเล่นจบเพลง ทั้งสามก้าวลงจากเวที จอมสยามจึงเข้าไปถาม
“นิค เอวา วันนี้เป็นอะไรกัน ทำไมเล่นไม่เข้าขากันเลย ทะเลาะกันหรือเปล่า”
นิคมองหน้าเอวา
นิคกับเอวาพูดพร้อมกัน “เปล่าครับ/ค่ะ”
แล้วทั้งสองก็เมินกันไป ต่างคนต่างจะเดินไป แต่ดันเดินมาชนกัน เอวารีบเดินเลี่ยงไปอีกทาง
จอมสยามงงเป็นไก่ตาแตกจึงบ่นออกมา “นี่มันจะให้งงอีกนานมั้ยเนี่ย”
วันต่อมา ตะวันฉายกำลังปิดตาเล่นซ่อนหาอยู่กับหมอก
“พี่จะนับถึงสิบนะ 1...2...3...4...”
หมอกรีบวิ่งไปหาที่ซ่อน
หมอกวิ่งเข้าไปในเขตที่พักของเฮลมุท ลูกน้องเฮลมุทเดินมาเห็นพอดี
“ไอ้หนู ห้ามมาเล่นในนี้นะ”
“ทำไมต้องห้ามล่ะ ก็พี่ตะวันฉายเค้าให้เล่นที่ไหนก็ได้นี่” หมอกบอก
“แต่ที่นี่ไม่ได้ ออกไปซะ”
“แต่พี่ตะวันฉายกำลังหาหมอกอยู่ หมอกต้องรีบซ่อนแล้ว” หมอกวิ่งไปอีกทาง
ลูกน้องเฮลมุทวิ่งไล่ตามหมอกจ้าละหวั่น แล้วหมอกก็วิ่งมาชนเฮลมุท หมอกเงยหน้ามองเฮลมุทที่ยืนมองเขาด้วยหน้าตาถมึงทึง หมอกเห็นแบบนั้นก็รู้สึกกลัว
เช้าวันใหม่ ยุทธการเดินเข้ามาในบริเวณล็อบบี้รีสอร์ท อ้อเดินออกมาต้อนรับ
“คุณยุทธลมอะไรหอบมาคะเนี้ย เพิ่งกลับไปไม่กี่วันไม่ใช่เหรอคะ” อ้อถาม
เสียงเกริกไกรดังขึ้น “แล้วมันเรื่องอะไรของเธอละอ้อ”
“อุ๊ย!!! ลมโห”
ยุทธการหันไปเห็นเกริกไกรกับสายรุ้งก็ยกมือไหว้สวัสดี
“แหม...มาหาน้องเหรอจ๊ะ” สายรุ้งถาม
“ก็” ยุทธการนิ่งคิดสักพัก “ครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับซันหน่อยน่ะครับ”
“ไอ้เรื่องที่ว่ามันเกี่ยวกับเรื่องหัวใจหรือเปล่า” เกริกไกรแซว
สายรุ้งค้อนใส่เกริกไกรแล้วตีแขนสามีแบบหยอกๆ
“อย่าไปยุ่งเรื่องหนุ่มๆสาวๆ เลยน่าคุณก็”
ยุทธการยิ้มให้แทนคำตอบ
“อ้าว เอาแต่ยิ้ม โดนจับได้แล้วก็เขินล่ะสิ มัวแต่เขินกันอย่างนี้มันจะได้เรื่องอะไรเล่า” เกริกไกรว่า
“ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุนะคุณเนี่ย เขาจะลงเอยกันเมื่อไรยังไงเดี๋ยวก็รู้เองล่ะน่า ไม่ต้องไปลุ้นเขามากหรอก”
“ก็วัยรุ่นใจร้อนน่ะ” เกริกไกรบอก
เกริกไกรดึงยุทธการให้เดินไปด้วยกัน
“ไปกับอา เดี๋ยวอาช่วยอีกแรง”
ยุทธการไม่ฝืนจึงเดินตามเกริกไกรไปด้วยกัน สายรุ้งมองตามแล้วส่ายหน้าด้วยความระอา
ตะวันฉายยังก้มหน้าก้มตาพิมพ์งานต่อโดยไม่เห็นว่าเกริกไกรลากยุทธการมาตรงหน้าแล้ว
“มีแขกคนสำคัญจะขอ Check-In ครับคุณตะวันฉาย” เกริกไกรบอก
ตะวันฉายเงยหน้ามาเห็นเกริกไกรยิ้มกว้างโดยมียุทธการอยู่ข้างๆ เธอก็ยิ้มขำ
“แขกคนนี้คงต้องเช็คอินกับพ่อมั้งคะ”
“แต่ถ้าจะเช็คอินตลอดชีวิตน่ะต้องเช็คอินกับคุณตะวันฉายเท่านั้น” เกริกไกรแซว
ตะวันฉายยิ้มเคืองๆ “พ่ออ่ะ”
“แม่ไม่เกี่ยวนะลูก แม่จะห้ามพ่ออยู่แล้วเชียวแต่ห้ามไม่ทัน” สายรุ้งรีบบอก
สายรุ้งขยับเข้าไปจับยุทธการให้มานั่งคู่กับตะวันฉาย
ตะวันฉายกระซิบกับสายรุ้ง “นี่ขนาดไม่เกี่ยวนะเนี่ย” ตะวันฉายหัวเราะแล้วหันไปหายุทธการ “คราวนี้พี่ยุทธจะอยู่เที่ยวกี่วัน”
“พี่มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะซัน”
เกริกไกรรีบพูด “ไปเลยลูก คุยกันให้รู้เรื่องไปเลยนะ”
ตะวันฉายพายุทธการเดินไป เกริกไกรกับสายรุ้งมองตามแล้วเกริกไกรจะเดินตามไปแต่สายรุ้งดึงแขนเขาไว้
“จะไปไหนอ่ะพ่อ”
“ก็ไปตามดูสองคนเขาคุยกันน่ะสิ พ่ออยากรู้ว่าเขาคุยอะไรกัน”
“อยากรู้ว่าคืบหน้าไปถึงไหนมากกว่า”
“หรือแม่ไม่อยากรู้” เกริกไกรถามกลับ
“แต่มันไม่ดีนะพ่อ อย่าลืมสิ เราไปแอบดูทีไรลูกจับได้ทุกที”
เสียงอ้อดังขึ้น “งั้นให้อ้อไปไหมคะ”
เกริกไกรกับสายรุ้งสะดุ้งแล้วหันมามองก็เห็นอ้อยืนอยู่ด้านหลัง
“อะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานในหน้าที่ อ้อเก่งหมดค่ะ” อ้อทำสีหน้าภูมิใจความเก่งด้านนี้
“ย่ะ...งั้นไปสืบให้หน่อยสิว่ารีสอร์ทอื่นเขารับซุปเปอร์ไวเซอร์หรือยัง” สายรุ้งบอก
“สืบทำไมคะ”
“ฉันจะส่งเธอไปทำงานที่อื่นน่ะสิ”
“อ๊ายยย...ไม่แล้วค่ะ อ้อไม่ยุ่งแล้ว”
อ้อรีบวิ่งกลับไปทำงาน เกริกไกรกับสายรุ้งมองตามแล้วส่ายหน้า
ยุทธการเดินตามตะวันฉายออกมาหน้ารีสอร์ต
“พี่ยุทธมีอะไรจะคุยกับซันหรือคะ”
“เออ..เมื่อวานพี่ได้ยินเสียงนายเมฆ นายเมฆเค้ามาที่นี่เหรอ”
เสียงหมอกดังขึ้น “อายุทธพี่ชายพี่ซันใช่ไหมครับ”
ยุทธการหันไปถามตะวันฉายด้วยสายตา ตะวันฉายรีบส่ายหน้าด้วยความร้อนรน จังหวะเดียวกับที่เมฆที่วิ่งตามหมอกมาพอดี เมฆเห็นยุทธการอยู่กับตะวันฉายก็ยิ้มออกมา
“นั่นสิ..ใช่จริงๆ ด้วย มาที่นี่ได้ไงเนี่ย แหมดูเหมือนจะเจอไปทุกที่เลยนะคับ” เมฆแกล้งพูด
ยุทธการมองเมฆแล้วทำหน้าสงสัย เขาหันไปหาตะวันฉายทันที
ตะวันฉายรีบแก้ตัวให้ “อ้าว นายยุทธรู้จักกับคุณเมฆด้วยเหรอ”
ยุทธการยิ่งงงหนักขึ้นไปอีก ตะวันฉายขยิบตาให้ยุทธการรับมุก ยุทธการเลยต้องเออออตาม
ยุทธการตอบออกมา “ครับ”
เมฆยิ้มกริ่ม “เออ โลกมันกลมเน๊อะ แล้วน้องชายนายเป็นไงบ้าง มาด้วยกันหรือเปล่าเนี่ย”
“พี่ซันมาด้วยหรือครับพ่อ ไหนล่ะครับพี่ซัน” หมอกรีบถาม
หมอกมองหาซัน ทำให้ยุทธการรู้ว่าหมอกและเมฆจำตะวันฉายไม่ได้ ยุทธการเข้าใจสถานการณ์
“ไอ้ซันช่วยงานอยู่ที่บ้านน่ะครับ” ยุทธการบอก
เมฆแกล้งโง่ “อ๋อ เหรอ แล้วนายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”
“เอ่อ...”
ตะวันฉายรีบพูดแทรก “นายยุทธเป็นพนักงานที่นี่ค่ะ”
ยุทธการจำต้องเออออไปด้วย
“ งั้นดีเลย ผมมีงานให้ทำ ไม่รู้ทางรีสอร์ทจะว่าอะไรหรือเปล่า” เมฆบอก
ตะวันฉายรีบเออออไปด้วย “ได้สิคะ คุณมีอะไรก็เรียกใช้ได้เลย”
เมฆยิ้มสะใจ ตะวันฉายแอบมองเมฆเหมือนอยากรู้ว่าเมฆคิดอะไรอยู่
ยุทธการเล่นน้ำทะเลกับหมอก หมอกสนุกและเข้ากับยุทธการได้เป็นอย่างดี ตะวันฉายยืนมองแล้วก็ยิ้มขำ เมฆเห็นตะวันฉายมีความสุขก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา
“ดูคุณจะมีความสุขเหลือเกินนะ ดูลูกผมเล่นน้ำเนี่ยถูกใจอะไรนักหนา” เมฆถาม
“ฉันชอบเห็นคนมีความสุขนี่คะหรือว่าคุณไม่”
“ถ้าไม่ใช่นายยุทธ เธอจะมีความสุขอย่างนี้หรือเปล่าล่ะ”
“คุณว่าอะไรนะคะ”
“แล้วได้ยินว่าฉันว่าอะไรล่ะ”
ตะวันฉายพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ต่อปากต่อคำ เมฆเลยยิ่งได้ใจ
“ฉันไปเล่นกับหมอกดีกว่า เบื่อคนแถวนี้” ตะวันฉายว่า
ตะวันฉายวิ่งไปเล่นกับหมอกและยุทธการ เมฆเดินตามมา ตะวันฉายวิ่งไปเหยียบก้อนหินจนหกล้มและเลือดไหล
“โอ๊ย!!”
เมฆรีบวิ่งเข้ามาประคองตะวันฉาย พอดูที่เท้าก็เห็นเลือดไหล เมฆจึงรีบอุ้มตะวันฉายแล้วพาไปนั่งที่เก้าอี้ ยุทธการเห็นก็รีบวิ่งมา แต่ไม่ทันเพราะเมฆไปถึงตัวตะวันฉายก่อน ยุทธการเดินตามไป เมฆร้อนรนและเป็นห่วงตะวันฉายอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นไงบ้าง เจ็บมากไหม”
ตะวันฉายส่ายหน้าแต่เธอก็เห็นเมฆเป็นห่วงเธอ
“นายยุทธ ช่วยไปเอายามาทำแผลให้หน่อย” เมฆสั่ง
ยุทธการวิ่งไปเอายา
เมฆเอาน้ำเปล่าล้างแผลที่เท้าให้ตะวันฉาย ตะวันฉายมองอย่างซึ้งใจ
เก่งกำลังกวาดบ้าน ขณะที่อิงฟ้าถือโทรศัพท์มือถือลงมาด้วยความหงุดหงิดมาก
“บ้าจริงๆ ทำไมต้องปิดมือถือด้วยนะ”
เก่งหันมารีบสาระแนทันที
“คุณเมฆคงกำลังเที่ยวเพลินจนลืมชาร์ตแบตมือถือมั้งครับ”
อิงฟ้าหันมาโวยใส่ด้วยความหงุดหงิด
“รู้ดีจริงนะ”
“ก็อยู่บ้านนี้มานานเลยรู้จักคุณเมฆดีครับ ว่าถ้าคุณเมฆมีความสุขหรือสนุกกับอะไรอยู่ รับรองว่าลืมทุกอย่างหมด”
อิงฟ้าได้ยินก็ถึงกับชะงักทันทีแล้วยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิม
“ขอบใจนะที่อุตส่าห์บอก ทีหลังไม่ต้องก็ได้นะ”
อิงฟ้าพูดจบก็หันไปหยิบกระเป๋าถือแล้วโทรศัพท์ไปด้วยพร้อมกับเดินออกไปเลย
“ฮัลโหล เรียกแท็กซี่คันนึงค่ะ”
เก่งมองตามแล้วเกาหัวแกร่กๆ
“เอ๊า มาหงุดหงิดใส่เราทำไม อุตส่าห์พูดความจริงแล้วนะ”
ยุทธเดินกลับมาพร้อมกล่องยา ยุทธการเอาผ้าซับเลือดที่แผลที่เท้าให้ตะวันฉาย แล้วก็รีบเอายามาทาให้ ยุทธการกันเมฆออกไป เมฆจึงจำต้องลุกขึ้นมา ยุทธการเอายาทาให้ตะวันฉาย เมฆรู้สึกหมั่นไส้
“เป็นไงบ้าง” ยุทธการถาม
“โอ๊ย แผลแค่นี้ ไม่เป็นไรหรอก เดินยังไง ที่ตั้งกว้าง ไปเดินเหยียบหินทำไม” เมฆเปรยขึ้น
“เอ๊!! นายนี่ยังไง เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย” ตะวันฉายฉุน
เมฆเดินไปหาหมอก ยุทธการมองตาม
“นายเมฆนั่น เค้าดูเป็นห่วงซันนะ” ยุทธการบอก
“ทำไมพี่ยุทธคิดอย่างนั้นล่ะคะ ซันไม่เห็นรู้สึกเลย เขาชอบกวนประสาทซันตลอดเวลา”
“ไม่รู้สิ ก็พี่เห็นสายตาท่าทีเขาแล้ว มันมีบางอย่างที่มากกว่าธรรมดา แน่ใจเหรอว่าเค้าจำซันไม่ได้”
ตะวันฉายนิ่งคิด “ไม่หรอกมั่งคะ นายนั่น โง่จะตาย ถ้าเค้าจำได้ เค้าก็คงบอกไปแล้วละคะ”
ยุทธการพันแผลให้ตะวันฉายพร้อมทั้งกังวลเรื่องเมฆ
อิงฟ้ายืนอยู่หน้าบ้าน สักพักรถแท็กซี่ก็แล่นมาจอด อิงฟ้าขึ้นรถแท็กซี่ไป รถจ่าสมที่จอดซุ่มอยู่รีบตามไปทันที
หมอกนั่งวาดรูประบายสี เมฆนั่งเกากีต้าร์อยู่ข้างๆ พลางมองออกไปที่ทะเลตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี ยุทธการนั่งอยู่กับตะวันฉายไม่ไกลกันนัก
“นายยุทธ ฉันขอน้ำกับขนมมาให้หมอกหน่อยซิ” เมฆบอก
“ไม่เป็นไรนายยุทธ เดี๋ยวฉันโทรบอกที่ห้องอาหารให้เตรียมมาให้” ตะวันฉายรีบพูด
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปเอาเอง” ยุทธการบอก
ยุทธการเดินออกไป เมฆเห็นยุทธการไม่อยู่เลยเล่นเพลงที่เขาเคยแต่งกับตะวันฉาย
“เพลงนี้ผมแต่งเองนะ แต่งเนื้อเพลงเสร็จแล้วด้วย มีคนช่วยผมแต่งเพลงนี้จนเสร็จ”
“ดูคุณจะชื่นชมคนแต่งเพลงนี้เหลือเกินนะ”
“ใช่ แต่ตอนนี้เค้าไม่อยู่แล้ว หนีผมไปแล้ว ผมไม่รู้จะทำยังไงให้เค้ากลับมา”
ตะวันฉายสะอึกทันทีเพราะไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ
“พรุ่งนี้ผมก็ต้องกลับแล้ว คุณอยู่เป็นเพื่อนผมจนกว่าผมจะกลับกรุงเทพได้มั้ยตะวันฉาย”
ทั้งสองคนเผลอสบตาซึ้ง ตะวันฉายพยายามเรียกสติตัวเองไม่ให้หวั่นไหว
ทันใดนั้นหมอกก็ถือกระดาษที่เขาวาดรูปมาอวดตะวันฉาย
“พ่อครับ พี่ครับ ดูนี่สิครับ”
ตะวันฉายและเมฆชะงักแล้วหันมาสนใจหมอก
“ว่าไงครับ” เมฆถาม
หมอกอวดรูป “หมอกวาดรูป พ่อ หมอกแล้วก็พี่ตะวันฉายด้วยครับ สวยมั้ย”
ตะวันฉายรับรูปมาดูแล้วก็เผลอน้ำตาไหลไม่รู้ตัว เธอรีบปาดน้ำตาทันที
“สวยมากเลยครับ เก่งจังเลย”
ตะวันฉายหอมหมอก เมฆก็ก้มลงมาหอมหมอกด้วย เมฆกับตะวันฉายมองหน้ากันอย่างมีความสุข
ยุทธการถือถาดเครื่องดื่มเดินเข้ามาเห็นตะวันฉายกับเมฆและหมอกดูท่าทางมีความสุขกันเขาก็เศร้า ยุทธการหันหลังเดินออกไป
เมฆ หมอก และตะวันฉายเดินกลับรีสอร์ท หมอกวิ่งเล่นไปทั่ว ตะวันฉายเดินกระเผลกๆ มาเรื่อยๆ เมฆเดินเข้าช่วยพยุงด้วยการจับแขนตะวันฉาย ตะวันฉายมองอย่างซาบซึ้ง
“ยังเจ็บมากไหม” เมฆถาม
“ไม่เจ็บแล้วคะ แค่เดินไม่สะดวกเฉยๆ คงเพราะผ้าพันแผลมันใหญ่ไป”
“พ่อ พี่ตะวันฉาย ตามหมอกให้ทันซิ เร็วๆ” หมอกเร่ง
“พี่ซันเจ็บเท้าลูก หมอกอย่าวิ่ง เดี๋ยวหกล้มไปอีกคนนะ” เมฆพูด
ตะวันฉายตกใจ “พี่ซัน!!”
เมฆตกใจที่เผลอหลุดปากไป “เออ โทษที ชื่อมันติดปากผมนะ ซันเป็นพี่เลี้ยงนายหมอก คนที่ช่วยผมแต่งเพลงนี้แหละ”
ตะวันฉายเสียใจเพราะคิดว่าเมฆชอบผู้ชาย “คุณคงคิดถึงเค้ามากซินะ เห็นพูดถึงเค้าบ่อยๆ”
“ตอนเค้าอยู่ ผมก็ชวนเค้าทะเลาะตลอด แต่พอเค้าไม่อยู่ ผมถึงได้รู้ตัวว่าผมต้องการเค้ามากแค่ไหน”
เมฆและตะวันฉายเผลอสบตากันเหมือนตกอยู่ในภวังค์จนแทบจะหยุดเวลาเอาไว้ เมฆยื่นหน้าเข้าไปใกล้ตะวันฉาย ตะวันฉายได้แต่ยืนนิ่งเพราะทำอะไรไม่ถูก ทันใดนั้นหมอกก็วิ่งมาชนด้านหลังตะวันฉาย ทำให้ตะวันฉายกับเมฆปากมาชนกัน
“ไปคับพ่อ พี่ตะวันฉาย”
เมฆและตะวันฉายชะงัก ตะวันฉายหน้าแดงเป็นลูกตำลึงด้วยความอายก่อนจะหันไปพูดกับหมอก
“พี่ขอตัวก่อนนะคะ”
ตะวันฉายรีบเดินออกไปทันที เมฆมองตามตะวันฉายยิ้มๆ อย่างรู้สึกดี
ตะวันฉายเดินยิ้มเขินจนเจออ้อที่เดินมาพอดี
“คุณซันเป็นอะไรรึเปล่าคะ ทำไมหน้าแดงอย่างนั้น ไม่สบายรึเปล่า”
ตะวันฉายอึกอัก “ใช่ สงสัยตากแดดมากไปหน่อยน่ะ ว่าแต่พี่อ้อมีอะไรคะ”
อ้อยื่นหน้ามาใกล้ๆ แล้วมองตะวันฉายอย่างจับผิด
“ว่าแต่คุณซันไม่เป็นอะไรมากจริงๆ นะคะ ไปหาหมอหน่อยมั้ยคะ ดูสิหน้าแด๊งแดง หรือว่า...ฮั่นแน่!!!” อ้อทำเหมือนจะรู้ แต่ก็แซวไปอย่างนั้น
“บ้า บ้า บ้า พี่อ้ออะ” ตะวันฉายอายจนม้วนก่อนจะเดินออกไป
“ตกลงเค้าเป็นอะไรของเค้านะ” อ้องง
นิคกับเอวาเดินมาเจอกันที่โรงเรียน ต่างคนต่างชะงัก แล้วเอวาก็พูดกับนิคด้วยท่าทีห่างเหิน
“วันนี้ชั้นงดสอน แกสอนเสร็จก็ฝากปิดโรงเรียนด้วยนะ” เอวาจะเดินออกไป
“แกอึดอัดมากใช่มั้ยที่มีชั้นอยู่ที่นี่” นิคถาม
“...เปล่า”
นิคทนบรรยากาศอึดอัดไม่ไหวจึงพูดออกมา
“ชั้นขอลาออก”
“อะไรนะ”
เอวากับนิคนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องทำงานของเอวา
“ชั้นรู้มาตลอดว่าแกแอบรักพี่ยุทธ ชั้นพยายามที่จะไม่คิดอะไรแล้ว แต่มันก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคืออย่าเจอกันดีกว่า” นิคบอก
เอวามองหน้านิคด้วยความอ่อนใจก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“แล้วแกคิดว่า แกไปแล้วฉันจะมีความสุข กินอร่อย เที่ยวสนุก ชีวิตดีขึ้นกว่าตอนแกอยู่รึไงห๊ะ”
นิคหน้าเจื่อนๆ เพราะเถียงไม่ออก
“แกเห็นแก่ตัวมากเลยนะนิค ฉันเองก็รักพี่ยุทธ แต่ฉันยังไม่เคยคิดจะหนีหน้าเค้าไปไหนเลย สำหรับฉัน การรักใครซักคนมันคือการอยากเห็นคนที่ฉันรักมีความสุข แต่กับแก แกบอกว่ารักฉันแต่กลับเลือกจะทิ้งฉันไป นี่มันรักภาษาอะไรของแกห๊ะ”
นิคก้มหน้างุด “ฉันขอโทษ ฉันคิดว่าฉันทำให้แกอึดอัดใจ”
“ฉันจะอึดอัดมากถ้าแกเปลี่ยนไป อีกอย่างเดี๋ยวแกก็ต้องไปเมืองนอกแล้ว ให้ฉันได้ทำงานกับเพื่อนรักของฉันจนกว่าจะถึงวันนั้นได้มั้ย”
นิคมองหน้าเอวาก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความสบายใจขึ้น
“เพื่อนรักขอมาขนาดนี้ ฉันจะปฏิเสธยังไงได้วะ” นิคบอก
เอวาดีใจจึงโอบไหล่นิคทันที
“ขอบใจแกมากนะนิค”
นิคพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน ริมชายหาดของรีสอร์ตมีเวทีเตี้ยๆ ตั้งอยู่และประดับประดาด้วยไฟสวยงาม พนักงานรีสอร์ตแต่งตัวสวยงามมาร่วมสังสรรค์ ตะวันฉายเดินจูงหมอกเข้ามาในงาน เมฆเดินตามเข้ามาแบบงงๆ
“ความจริงนี่มันงานเลี้ยงพนักงานไม่ใช่เหรอ คุณชวนผมมางานทำไมเนี่ย” เมฆถาม
“ฉันไม่ได้ชวน แต่พ่อแม่ฉันชวน เห็นว่าพรุ่งนี้คุณจะกลับก็เลยถือเป็นการเลี้ยงส่ง...ส่งไปไกลๆ ไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมาอีกน่ะ”
“ผมว่าไอ้ประโยคหลังเนี่ย คุณพูดเองมากกว่า คุณเป็นผู้จัดการรีสอร์ตยังไงถึงมีความสุขกับการไล่แขกอย่างนี้”
“ก็เฉพาะแขกเรื่องมากอย่างคุณเท่านั้นล่ะ”
“ผมเรื่องมากก็เพราะไม่อยากให้คุณลืมผมง่ายๆ ไง แล้วผมก็ไม่มีวันลืมผู้จัดการรีสอร์ตแสบๆ อย่างคุณด้วย”
ตะวันฉายแอบยิ้มพอใจ “ฉันจะถือว่าเป็นคำชมนะ”
อ้อเห็นตะวันฉายเดินมากับเมฆและหมอกก็รีบเข้าไปพูด
“คุณเมฆขา ให้เกียรติเล่นกีตาร์กล่อมพวกเราสักเพลงได้มั้ยคะ”
“ยัยอ้อ เธอจะบ้าเหรอ กล้าใช้แขกกิตติมศักดิ์ของเราได้ไง” ตะวันฉายว่า
“เล่นได้นะ แต่ฟังได้หรือเปล่าก็ไม่รู้” เมฆบอก
“เห็นไหมคะ คุณเมฆน่ะเป็นแขกกิตติมศักดิ์ที่แสนจะใจดี๊ใจดี พร้อมเมื่อไรก็เชิญบนเวทีเลยนะคะ”
“ช่วยบอกล่วงหน้าด้วยนะคะ จะได้เตรียมสำลีมาอุดหูทัน” ตะวันฉายกัด
เมฆหมั่นไส้จนอยากจะเอามือเขกหัวตะวันฉาย พอตะวันฉายหันมาเห็นก็เสไปทำอย่างอื่นแทน
อ้อกับหมอกช่วยกันปิ้งบาร์บีคิวแจกพนักงานอย่างสนุกสนาน ส่วนเมฆกำลังเตรียมตัวเล่นเพลงบนเวที
“เพลงที่ผมจะเล่นนี้เป็นเพลงที่ผมร่วมแต่งกับใครคนหนึ่งนะครับ”
เมฆมองมาทางตะวันฉาย ตะวันฉายเอาที่อุดหูมาอุดหูให้เมฆเห็น เมฆยิ้มๆอย่างไม่ถือสา
“ถ้าไม่เพราะก็ต้องทนฟังนะครับ” เมฆพูดต่อ
พนักงานเฮกับมุกของเมฆ เมฆเริ่มเล่นเพลงที่เขาแต่งกับตะวันฉาย ตะวันฉายแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจแล้วเดินหนีไป อ้อได้ฟังเพลงก็ปลาบปลื้มเคลิบเคลิ้ม เธอมองไปที่หมอกแล้วพูด
“น้องหมอกอยากมีแม่คนที่สองมั้ยคะลูก”
ตะวันฉายเดินมายืนที่จุดลับตาคนก่อนจะเอาที่อุดหูออกแล้วฟังเพลงที่เมฆเล่น
เมฆเล่นกีตาร์ร้องเพลงด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากใจ ตะวันฉายฟังเพลงนั้นอย่างมีความสุขจนจบ เสียงปรบมือดังตามมา แต่ตะวันฉายยังปลาบปลื้มไม่หาย เกริกไกร สายรุ้งที่มองตะวันฉายอยู่ยิ้มออกมา
ที่บ้านพักของเกริกไกร เกริกไกรมีสีหน้าสงสัย สักพักสายรุ้งก็ยกชามะตูมร้อนมาเสิร์ฟ
“เมื่อกี้แม่เห็นอย่างที่พ่อเห็นใช่ไหม”
“หมายถึงซันเหรอคะ”
“อืมม์ รู้สึกมั้ยว่าคืนนี้ลูกเราดูมีความสุขมากกว่าปกติ” เกริกไกรถาม
“ใช่นะพ่อ ลูกเรายืนยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ เหมือนส่งตาหวานให้คุณเมฆด้วย”
“นี่เลยที่พ่อจะบอก....” เกริกไกรนึกได้ “หรือว่าลูกเราสปาร์คกับคุณเมฆเข้าให้แล้ว”
“ไม่มั้ง ลูกเราคงคิดได้ล่ะน่าว่าเขามีเมีย มีลูกแล้ว ไม่ควรเข้าไปยุ่ง”
สายรุ้งถอนใจเครียดจนเกริกไกรต้องจับมือเพื่อปลอบ
“อย่าเครียดเลยนะคุณนะ มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้”
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 11 (ต่อ)
หมอกนั่งเล่นอะไรอยู่คนเดียว ส่วนเมฆเล่นกีตาร์และร้องเพลงอยู่ สักพักตะวันฉายก็เดินเข้ามานั่งฟัง ตะวันฉายรับรู้ถึงความรู้สึกที่เมฆจะบอกได้จนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เมฆวางกีตาร์แล้วโผมากอดตะวันฉายเอาไว้ เขาเอามือซับน้ำตาให้เธอโดยที่ทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรก็เข้าใจความรู้สึกที่มีให้แก่กัน ยุทธการเดินเข้ามาเห็นเมฆกอดตะวันฉาย แล้วตะวันฉายก็ซบลงที่ไหล่เมฆแล้วก็ร้องไห้ ยุทธการเสียใจมาก
ยุทธการเดินมานั่งริมทะเลคนเดียวจนถึงเช้า
เมฆเดินตามตะวันฉายมาถึงประตูของบ้านพัก
“กลับไปได้แล้ว” ตะวันฉายบอก
“ผมก็ไม่ได้อยากจะอยู่นักหรอก แค่จะมาบอกว่าที่ผมรู้ว่าคุณเขียนนิยายก็เพราะพ่อแม่คุณเล่าให้ฟัง หายคาใจแล้วใช่มั้ย” เมฆบอก
“ไม่ต้องมาซ้ำเติมฉันหรอก”
“ที่ผมมาส่งคุณก็เพราะเป็นห่วงหรอกนะ กลัวคุณจะโดนงูทะเลกัดน่ะ”
“แต่ดันมาเจอผีทะเลอย่างคุณไง”
เมฆเห็นดอกไม้ดอกเล็กๆ ร่วงมาติดผมตะวันฉาย แต่ตะวันฉายไม่รู้สึกตัวจึงเอื้อมมือจะไปหยิบออก ตะวันฉายหลบ เมฆรีบหยิบดอกไม้จากผมตะวันฉายให้เธอดู ตะวันฉายนิ่งไปก่อนจะหยิบดอกไม้นั้นมาจากมือเมฆทำให้มือทั้งสองคนสัมผัสกัน เมฆกุมมือตะวันฉายไว้แล้วจ้องตาเธอ ตะวันฉายไม่อาจผละไปจากสายตาของเมฆได้
“ฉันทำอะไรแย่ๆ กับคุณไว้ตั้งเยอะ คุณคงไม่อยากกลับมาที่นี่อีกใช่ไหม” ตะวันฉายถาม
“ถ้าใช่..แล้วคุณจะทำยังไงให้ผมกลับมาอีกล่ะ”
ตะวันฉายเริ่มหวั่นไหว เมฆขยับเข้าไปใกล้ ตะวันฉายไม่ถอย ใบหน้าของทั้งสองค่อยๆ โน้มเข้าหากันช้าๆ แต่จู่ๆ เสียงเปิดประตูบ้านก็ดังขึ้น
“พ่อครับ หมอกง่วงแล้วครับ” หมอกบอก
เมฆกับตะวันฉายผละออกจากกัน ตะวันฉายรู้ตัวจึงเริ่มรู้สึกเขิน
“ผมพาหมอกไปนอนก่อนนะ” เมฆบอก
เมฆพาหมอกเดินออกไป ตะวันฉายมองตามด้วยสีหน้ามีความสุข
อ้อเห็นยุทธการเดินหน้าเศร้า
“คุณยุทธทำไมหน้าเป็นอย่างนั้นละคะ แล้วนี่จะกลับแล้วเหรอคะ”
“เออ ใช่คับ พอดีมีงานด่วนครับ”
“อ๋อ แล้วจะให้อ้อไปตามคุณซันให้ไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเลยดีกว่า ฝากลาอาเกริก กับอารุ้งด้วยนะครับ”
ยุทธการเดินออกไป อ้อรู้สึกว่ายุทธการดูผิดปกติมาก
อ้อเดินเข้ามาในรีสอร์ทพอเห็นตะวันฉายยืนอยู่ก็รีบเข้าไปหา
“คุณซันอยู่นี่เอง คุณยุทธกลับไปแล้วนะคะ เป็นอะไรไม่รู้คะ หน้าเศร้ามาก ถามอะไรก็ไม่ตอบ”
อ้อเหลือบเห็นหมอกที่ทำหน้าจ๋อยสุดๆ
“เออ อ้อว่าหน้าตาอย่างน้องหมอกนี่แหละคะ น้องหมอกเป็นอะไรคะ” อ้อถาม
“เราอยู่ที่นี่นานกว่านี้ไม่ได้เหรอครับพ่อ หมอกยังไม่อยากกลับเลย” หมอกถามเมฆ
“ไม่ได้ครับ หมอกต้องกลับไปเรียนหนังสือนะลูก” เมฆบอก
ตะวันฉายเห็นหมอกงอแงจึงเข้าไปปลอบ
“เอาไว้ปิดเทอม คุณหมอกมาเที่ยวที่นี่อีกสิครับ คราวนี้มากี่วันก็ได้ พี่ดูแลเอง”
“จริงๆ นะครับ”
“จริงสิครับ”
หมอกพูดกับเมฆ “พ่อครับ พี่เค้ารับปากแล้ว พ่อต้องพาหมอกมาอีกนะครับ”
เมฆยิ้มรับกับหมอกก่อนจะหันไปคุยกับตะวันฉาย
“แน่ใจนะว่าอยากให้ผมพาลูกมาอีก”
“มีรีสอร์ทไหนไม่อยากได้ลูกค้าบ้างล่ะ” ตะวันฉายถามกลับ
“เฮ้อ ไอ้เราก็นึกว่าอยากให้เรามาหาจริงๆ ที่แท้ก็งกเงินนี่เอง”
สักพักหมอกนึกขึ้นได้ก็รีบหันไปบอกตะวันฉาย
“เออใช่ หมอกมีอะไรจะให้ด้วยครับ”
หมอกเปิดกระเป๋าเป้ใบเล็กๆ ออกมาแล้วหยิบรูปที่เขาวาดยื่นให้ตะวันฉาย
“หมอกให้พี่ครับ”
ตะวันฉายรับรูปจากมือหมอกมาดูแล้วก็น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว
“คุณหมอกให้พี่จริงๆ เหรอครับ” ตะวันฉายถามย้ำ
“จริงสิครับ หมอกชอบพี่ หมอกเลยอยากให้เป็นที่ระลึก” หมอกบอก
“งั้นพี่จะเก็บรักษาอย่างดีเลยครับ”
ตะวันฉายกอดหมอกแน่นด้วยความรัก แล้วเธอก็จะร้องไห้จึงรีบเดินหนีไป
“พี่ส่งแค่นี้นะคะ น้องหมอก พี่อ้อ ฝากส่งคุณเมฆด้วยนะคะ”
ตะวันฉายเดินออกไปทันที เมฆเดินตามไป
“คุณอ้อ ผมฝากน้องหมอกแป๊บนะครับ เดี๋ยวผมมา” เมฆเดินตามไป
เมฆเดินกับตะวันฉายบริเวณทะเลแหวก
“มาที่นี่หมอกเค้ามีความสุขมากเลยนะ หมอกเค้าคงจะคิดถึงคุณมากแน่เลย” เมฆว่า
“ฉันก็คงคิดถึงคุณหมอกมากเหมือนกัน”
“แล้วไม่คิดถึงคนอื่นบ้างเหรอ”
“ฉันมีงานต้องทำเยอะแยะ ไม่มีเวลาคิดถึงใครหรอก”
“แต่ผมจะคิดถึงที่นี่มากเลยนะ มีคนๆ นึงเข้ามาในชีวิตผม บางทีก็กวนประสาทเหลือเกิน แต่บางทีเค้าก็ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตมีค่ามากแค่ไหน แต่เค้าก็จากไป โดยที่ผมไม่มีโอกาสได้บอกลาด้วยซ้ำ ผมเคยคิดว่าผมเข้มแข็งพอแล้วนะ แต่วันนึงผมถึงได้รู้ว่าผมอ่อนแอยิ่งกว่าเดิมซะอีก เพราะความสุขความสดใสที่เคยอยู่ข้างๆ ผม มันไม่ไดอยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้ว”
“แต่สำหรับฉัน ความสุขมันไม่ใช่แค่การได้อยู่ใกล้คนที่เรารักนะคะ แต่มันเกิดจากการที่ได้เห็นว่าความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้ามันสวยงามยิ่งกว่าความฝันซะอีก”
“ผมอยากให้ความฝันมันเป็นความจริงได้ไหม”
“ฉันกลัวว่าความเป็นจริงจะทำลายความสุขที่มันมีอยู่ในตอนนี้”
“ไม่เป็นไร งั้นผมก็จะฝันมันต่อไป แต่ผมหวังว่าเมื่อผมตื่นขึ้นมา ผมจะพบกับความสดใสของผมอีกครั้ง ผมขออะไรหน่อยได้ไหม”
พูดจบเมฆก็กอดตะวันฉาย ทั้งสองซึมซับความรู้สึกที่มีให้แก่กัน แล้วเมฆก็เดินจากไป
ตะวันฉายพิมพ์ชื่อเรื่อง ตะวันฉายในม่านเมฆ ลงไปในหน้าจอที่ว่างเปล่า เธอนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วก็พยายามเขียนนิยายแต่ก็เขียนไม่ออก เธอเปิดสมุดบันทึกออกมาดูดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่เธอหยิบมาจากมือเมฆซึ่งเธอทับเอาไว้ในสมุดบันทึก ตะวันฉายหยิบมาดูก่อนจะทำหน้าเศร้า เกริกไกร กับสายรุ้งกระแอมไอก่อนเดินเข้ามาหา ตะวันฉายรีบเก็บดอกไม้ไว้ที่เดิมแล้วรีบปิดสมุด
“อ้าว...เห็นไปอยู่กทม.ตั้งนาน ไม่เห็นเขียนได้สักตัว” เกริกไกรพูด
“ก็ส่งประกวดไม่ทัน ซันก็เลยเปลี่ยนไปเขียนเรื่องใหม่เลยสิคะคุณเกริกไกร” ตะวันฉายบอก
“ตกลงจะได้เห็นหน้าปกนิยายลูกสาวพ่อสักเรื่องไหมเนี่ย”
“ต้องได้เห็นแน่นอนค่ะพ่อ เพียงแต่ตอนนี้ซันต้องหาแรงบันดาลใจก่อน”
“ลองคิดถึงคุณเมฆสิลูก” สายรุ้งเสนอ
ตะวันฉายตกใจรีบพูดกลบเกลื่อน “ซันจะคิดถึงเขาทำไมคะแม่”
“แหม...ก็เห็นหนิดหนมกันไง” สายรุ้งบอก
“นี่พ่อกับแม่กำลังคิดอะไรคะ”
“ก็คิดจากสิ่งที่เห็นนี่แหล่ะ”
“ซันตั้งใจจะเป็นนักเขียนนะ ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องพวกนั้นหรอก”
ตะวันฉายรีบเดินหนีไป
เกริกไกรกับสายรุ้งประคองกันทรุดตัวลงไปนั่งอย่างอ่อนแรง
“น่าสะเทือนใจที่สุด” เกริกไกรพูดออกมา
“สะเทือนใจเรื่องอะไรอะพ่อ” สายรุ้งถาม
“ก็คุณเมฆเค้าเป็นคนมีครอบครัวแล้ว” เกริกไกรบอก
ที่บ้านของเมฆ เมฆทำหน้าประหลาดใจเมื่ออิงฟ้าบอกความต้องการของเธอ เขามองไปรอบๆ ก็เห็นห้องอิงฟ้าเก็บอย่างเรียบร้อย และมีกระเป๋าที่ถูกแพ็คเป็นอย่างดี
“ฟ้าจะย้ายไปอยู่ข้างนอกเหรอ แล้วหมอกล่ะ” เมฆถาม
“ฟ้าต้องรบกวนให้เมฆช่วยดูแลหมอกสักพักนะเมฆ”
“แล้วฟ้าจะไปอยู่ที่ไหน”
“บ้านของธีร์ค่ะ”
“ทำไมต้องเป็นที่นั่น”
“เพราะมันเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับฟ้าไงคะ ฟ้าสัญญานะคะเมฆว่าเมื่อไรที่ถึงเวลา ฟ้าจะกลับมาอยู่กับหมอก ฟ้าไม่มีวันจะทิ้งเขาไปไหนอีก”
อิงฟ้าถอดสร้อยที่เธอใส่อยู่ให้เมฆ
“คุณเก็บไว้ให้หมอกนะคะ แล้วก็อย่าบอกใครว่าฟ้าอยู่ที่ไหน”
“แล้วคุณจะบอกผมได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เมฆถาม
“ขอให้ฟ้าเคลียร์เรื่องทุกอย่างให้จบเสียก่อนนะคะ แล้วฟ้าจะบอกคุณ”
“งั้นพรุ่งนี้ผมจะไปส่ง”
“ฟ้าอยากไปคืนและเดี๋ยวนี้”
เมฆจ้องหน้าอิงฟ้าด้วยความสงสัย แต่อิงฟ้าไม่กล้าสู้ตาเมฆ
จ่าสมกำลังมองผ่านกล้องส่งทางไกลจนเห็นประตูใหญ่บ้านเมฆเปิดออกโดยเก่ง เห็นเมฆกับอิงฟ้าช่วยกันขนกระเป๋าออกมาด้วยกัน โดยมีหมอกมายืนส่ง อิงฟ้ากอดหมอกแน่นแล้วหอมแก้ม
จ่าสมตั้งใจมองผ่านกล้องส่องทางไกลแล้วเอากล้องออกเพื่อให้เห็นหน้าชัดๆ จ่าสมน้ำตาไหลด้วยความปลื้มปิติที่เห็นหมอก
“หลานตา !!!”
แสงไฟหน้ารถของเมฆแล่นผ่านไป จ่าสมรีบสตาร์ทรถแล้วขับตามไปทันที
รถของเมฆแล่นมาจอดหน้าประตูบ้านธีรภพ เมฆไขประตูบ้านแล้วเปิดประตู จากนั้นก็วิ่งมาขึ้นรถแล้วขับเข้าบ้านไป
รถของจ่าสมแล่นมาใกล้บริเวณบ้านก็ดับไฟหน้าแล้วจอดห่างออกไป จ่าสมลงจากรถมาแอบดูที่มุมหนึ่งบริเวณหน้าบ้าน จ่าสมเห็นเมฆกับอิงฟ้าช่วยกันขนของเข้าบ้านแล้วเปิดไฟในบ้าน จ่าสมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
“สารวัตรครับ ผมคิดว่าคุณเมฆคงพาอิงฟ้ามาหาที่หลบไอ้พวกนั้นนะครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่.....”
เมฆหิ้วกระเป๋าของอิงฟ้าเดินเข้ามาในห้องรับแขกแล้วเดินไปเปิดไฟ อิงฟ้าเดินตามเข้ามา
“เมฆวางกระเป๋าฟ้าไว้แถวนี้แหล่ะ ที่เหลือฟ้าขนเอง”
เมฆมองด้วยความสงสัย “ฟ้า ผมว่าคุณดูแปลกไปมากเลยนะ ตกลงจะบอกผมได้หรือยังว่าคุณหลบใคร?”
“เปล่า ฟ้าไม่ได้หลบใครนะ”
“ที่เกาะนั่นก็ทีหนึ่งแล้ว จู่ๆคุณก็มาจู่ๆคุณก็หาย แล้วยังวันนี้อีกปกติคุณร้องจะอยู่บ้านผม แล้วทำไมขอมาอยู่บ้านพี่ธีร์ง่ายๆ”
อิงฟ้าตัดบท “เมฆ...ฟ้าบอกไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิ”
เมฆมองด้วยความสงสัยเพราะไม่ค่อยเชื่อแต่ก็ไม่อยากเซ้าซี้ “โอเค ไม่มีก็ไม่มี ถ้างั้นวันไหนทีหมอกคิดถึงฟ้า ผมจะพาเขามาหานะ”
อิงฟ้ารีบสวนทันที “ไม่ได้นะ เมฆอย่าพาหมอกมานะ....รวมทั้งเมฆด้วยถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องมา”
เมฆหงุดหงิด “ฟ้า ตกลงมันคืออะไร”
อิงฟ้านิ่งเงียบไม่ตอบอะไรเพราะไม่รู้จะพูดยังไง
“ฟ้ากำลังจะหาทางทิ้งลูกหรือเปล่า” เมฆถาม
อิงฟ้าพูดสีหน้านิ่ง “เมฆคิดอย่างนั้นเหรอ”
“ผมไม่ได้คิด แต่ผมเห็นจากสิ่งที่ฟ้าเคยทำกับหมอกและผมมา”
“เมฆกลับบ้านเถอะ ฟ้าอยากพักผ่อน”
เมฆโมโหที่สุดท้ายอิงฟ้าก็ไม่ยอมตอบ เขาเลยวางกุญแจบ้านอย่างไม่ค่อยพอใจแล้วจะเดินออกไปเพราะไม่อยากสนใจอิงฟ้าแล้ว แต่อิงฟ้าก็เรียกไว้อีก
“เมฆ ฝากหมอกด้วยนะ”
“ถ้าได้ที่หมายใหม่แล้วก็หาทางส่งกุญแจบ้านคืนผมด้วยแล้วกัน”
เมฆจ้องอิงฟ้าด้วยความเจ็บใจ แต่อิงฟ้าหลบตา แล้วเมฆก็เดินออกไป อิงฟ้ามองตามแล้วก็ร้องไห้
อิงฟ้าเดินเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง แล้วเธอก็กดสวิทช์เปิดไฟ อิงฟ้าเห็นว่าของทุกอย่างในห้องถูกคลุมด้วยผ้า เธอยืนมองภาพในจินตนาการของตัวเอง เธอเห็นตัวเองกับธีรภพหยอกล้องกันอยู่บนเตียง แล้วเธอก็ซบอกธีรภพ ธีรภพลูบหัวอิงฟ้าด้วยความรัก
“ตอนนี้บริษัทก็ไปได้ดี แล้วผมยังมีฟ้าที่ทั้งสวยและดีอยู่เคียงข้าง รู้ไหมว่าผมคิดอะไรอยู่” ธีรภพถาม
อิงฟ้าเงยหน้ามายิ้มให้ธีรภพก่อนจะส่ายหน้า
“ผมคิดว่าผมช่างเป็นผู้ชายที่มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุดน่ะสิ”
“ฟ้านึกว่าชีวิตที่สมบูรณ์เราต้องมีลูกด้วยซะอีก”
ธีรภพชะงักแล้วรีบลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าอิงฟ้า อิงฟ้ายิ้ม ธีรภพเข้าใจความหมายของเธอในทันที
“ฟ้า...”
“วันนี้ฟ้าเพิ่งไปตรวจมา หมอบอกว่าฟ้าท้องได้สองเดือนแล้วค่ะ”
ธีรภพยิ้มดีใจสุดๆแล้วเขาก็ดึงอิงฟ้ามากอดด้วยความรัก
“จากนี้ไปมีสองชีวิตที่ฝากไว้กับพี่ธีร์แล้วนะคะ” อิงฟ้าบอก
“ผมสัญญา ผมจะดูแลฟ้าและลูกให้ดีที่สุด”
อิงฟ้าดีใจหอมแก้มธีรภพ ธีรภพยิ้มแล้วหอมแก้มอิงฟ้า แล้วทั้งสองก็ผลัดกันหอมไปหอมมาจนภาพค่อยๆเลือนหายไป
อิงฟ้ายืนน้ำตาไหลที่หน้าเตียงก่อนจะเดินไปที่หน้ารูปของธีรภพ
“ฟ้ารู้ว่าพี่ธีร์จำคำสัญญาได้เหมือนกับฟ้า พี่ธีร์ต้องดูแลหมอกกับฟ้าให้ปลอดภัยนะคะ”
อิงฟ้าร้องไห้ตัวสั่นด้วยความกลัว
จ่าสมที่นั่งอยู่ในรถที่จอดซุ่มหาวง่วง ทันใดนั้นก็มีโทรศัพท์จากยุทธการโทรมา
“ครับสารวัตร”
ยุทธการอยู่ในชุดนอนเพราะเพิ่งตื่น
“เป็นยังไงมั่งจ่า”
“ก็ตั้งแต่คุณเมฆกลับไป อิงฟ้าก็ปิดไฟในบ้านแล้วเข้านอนสักเที่ยงคืนได้ครับ” “ดีมากจ่า งั้นเดี๋ยวจ่ากลับมาพักผ่อนนะ ผมจะส่งคนไปเปลี่ยนเวรกับจ่า”
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอกครับสารวัตร”
“ทำไมล่ะ อย่าบอกว่าจ่าจะเฝ้าตลอด 24 ชม.ไม่พักนะ”
“ครับ”
“ผมไม่เห็นด้วยนะจ่า” ยุทธการบอก
“ผมขอร้อง ให้ผมทำเถอะนะครับ รับรองผมจะไม่หลับไม่อู้แน่นอน”
ยุทธการถอนใจ “ถ้าจ่าไหวผมก็โอเค”
ยุทธการวางสายด้วยความสงสัย
เมฆ เอวา และนิคเพิ่งเล่นดนตรีที่ศูนย์การค้าเสร็จ ขณะที่หมอกนอนหลับอยู่ข้างๆ
เมฆพูดกับเอวา “เราช่วยโทรตามซันให้กลับมาดูแลหมอกให้หน่อยได้มั้ย”
“เรื่องโทรน่ะ เอวาช่วยได้ค่ะ แต่ไม่รู้ว่าซันเขาอยากกลับมามั้ยนะคะ เห็นว่าทำงานอยู่ที่บ้านก็สบายดีแล้ว”
“พี่รู้ แต่อยากให้เอวาลองกล่อมให้หน่อย พี่ไม่อยากพาหมอกมาที่นี่ทุกคืนแบบนี้อีก”
“พี่เมฆไม่ลองหาพี่เลี้ยงคนอื่นล่ะครับ” นิคถาม
“จะมีใครเข้าใจเขาได้ดีกว่าซันล่ะ” เมฆว่า
“แต่เอวาว่าซันคงมาไม่ได้แล้วละคะ พี่เมฆลองหาคนอื่นดีไหมคะ”
เมฆได้ยินที่เอวาพูดก็ถึงกับหน้าจ๋อยไปทันที
ตะวันฉายคุยโทรศัพท์กับเอวาขณะที่เธอกำลังเดินอยู่ที่ริมทะเล
ตะวันฉายพูดเสียงดัง “จริงเหรอ เขาอยากให้ฉันกลับไปจริงๆเหรอ เอวา”
อ้อ สายรุ้งและแขกคนอื่นๆ ที่นั่งกินข้าวอยู่หันมามองตะวันฉายเป็นตาเดียว ตะวันฉายเลยต้องเบาเสียงลง
“พี่เมฆเขาไม่มีใครแล้วนะเพราะอยู่ๆคุณอิงฟ้าก็อยากจะออกไปอยู่ข้างนอกเสียอย่างนั้น เลยไม่มีใครคอยดูแลหมอก” เอวาบอก
“นี่ถ้าเขาบอกฉันตรงๆนะว่าอยากให้ฉันกลับไป ฉันก็คงไม่ปฏิเสธหรอก”
“ตกลงว่าเธอจะกลับมาเพราะพ่อหรือเพราะลูกเนี่ย”
ตะวันฉายรีบแก้ตัว “ฉันสงสารน้องหมอกย่ะ”
เอวาถามล้อๆ “จริงเหรอ”
“ฉันไม่มีทางไปหลงรักผู้ชายที่ไม่ใช่ผู้ชายหรอกนะ”
“โอเค ฉันจะลองเชื่อดู ว่าแต่ว่าพ่อแม่เธอจะปล่อยให้เธอกลับมาหรือเปล่า”
ตะวันฉายหันไปมองสายรุ้งที่อยู่ข้างๆ สายรุ้งมองกลับมา ตะวันฉายมีสีหน้าหวั่นใจ
เกริกไกรทำหน้าตื่นเมื่อตะวันฉายบอกความต้องการของเธอ
“อะไรกัน ลูกเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นานเท่าไร จะกลับไปอีกแล้วเหรอ” สายรุ้งตกใจ
“ซันว่าจะกลับไปหาข้อมูลสำหรับเรื่องใหม่” ตะวันฉายบอก
“นี่ซัน พ่อว่าลูกไปเขียนสารคดีเถอะ เพราะเห็นมีแต่ข้อมูล งานการที่บ้านก็ไม่ทำเล้ย”
ตะวันฉายแอบค้อน “แหม แต่ยังไงซันจะรีบกลับมาสานต่องานที่นี่แน่ๆ รีสอร์ตที่พ่อกับแม่สร้างมาต้องอยู่ไปถึงชั่วลูกชั่วหลานแน่ๆค่ะ”
“นี่แม่กับพ่อก็นึกว่าจะได้ล้างมือในอ่างทองคำแล้วพากันไปเที่ยวรอบโลกสองคนตายายแล้วเสียอีก” สายรุ้งบอก
ตะวันฉายอ้อน “นะคะแม่ นะคะ นะคะพ่อ”
สายรุ้งมองเกริกไกรเพราะไม่รู้ว่าจะรั้งลูกสาวไว้ยังไง
เอวาวางสายโทรศัพท์ ส่วนนิครอฟังคำตอบอยู่
“ตกลงซันมันจะกลับมาบ้านพี่เมฆจริงๆเหรอ” นิคถาม
เอวาพยักหน้ารับ “ใช่ ฉันว่า นะ ซันมันต้องอยากกลับมาหาพี่เมฆแน่ๆเลยว่ะ”
“โถ ปากก็บอกว่าพี่เมฆเป็นเกย์ แต่ใจก็แอบรักเกย์ไม่รู้ตัว แล้วจะรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองน่ะเป็นสาววาย(Y)เต็มตัวเลย” นิคแซว
เอวาหันไปเห็นยุทธการยืนอยู่ก็ตกใจจนหน้าเสีย เธอรีบหันไปขยิบตากับนิค นิคมองเอวางงๆ
“อะไรของแกห๊ะ ฉันพูดอะไรผิดเหรอ ก็ซันมันแอบรักพี่เมฆจริงๆนี่”
ยุทธการเดินเข้ามายืนข้างๆนิค
ยุทธการพูดออกมา “แล้วทำไมไม่บอกพี่”
นิคเห็นยุทธการเขาก็หน้าเหวอไปทันที หัวใจของเขาแทบหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“พี่ยุทธ!!!!” นิคตีปากตัวเอง “นี่แน่ะ ไอ้ปากพาจน บรรลัยกันล่ะทีนี้”
เอวาถอนหายใจเอือมๆ แล้วก็หันไปปลอบยุทธการ
“พี่ยุทธคะ คือว่าเราสองคนไม่ได้ตั้งใจจะปิดพี่ยุทธนะคะ”
“ใช่ครับ แต่ว่า...”
ยุทธการรีบสวนขึ้น “แต่ว่าความจริงก็คือความจริง ที่พี่ต้องยอมรับมันใช่มั้ย”
เอวาเงียบกริบ เธอได้แต่มองยุทธการด้วยความสงสาร
ยุทธการเดินมานั่งมองพระจันทร์เสี้ยว และดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า
“ความจริงพี่เองก็รู้สึกมาซักพักแล้วล่ะ ว่าซันต้องมีอะไรในใจที่ปิดบังพี่อยู่แล้วลางสังหรณ์พี่ก็ไม่ผิด ซันเค้าชอบนายเมฆจริงๆ”
เอวามองยุทธการด้วยความสงสาร
“เอวาเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ว่ามันเป็นยังไง เอวาเอาใจช่วยให้พี่ยุทธขอให้พี่ยุทธทำใจได้เร็วๆนะคะ”
ยุทธการหันมามองเอวาอย่างรู้สึกผิด
“ตอนที่พี่รู้ว่าเอวาคิดยังไงกับพี่ พี่เองก็นึกไม่ออกนะว่า เอวาจะรู้สึกยังไง แต่ตอนนี้พี่เข้าใจทุกอย่างชัดเจนเลย พี่ขอโทษนะเอวา”
เอวาแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนความเจ็บปวดของตัวเอง
“โอ๊ย พี่ยุทธไม่ต้องขอโทษเอวาหรอกค่ะ เรื่องแบบนี้มันบังคับกันได้ที่ไหน ถ้าไม่รักมันก็คือไม่รัก ต่อให้เอวาเอาปืนไปจ่อเอามีดไปจี้พี่ยุทธ คำตอบมันก็คงไม่เปลี่ยนหรอกจริงมั้ยคะ”
นิคสะอึกเพราะรู้สึกสะเทือนไปด้วยอีกคน
“แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะไม่ปรารถนาดี หรือไม่เป็นห่วงเอวานะ สำหรับพี่เอวายังเป็นน้องสาวที่พี่รักเหมือนเดิม”
“เรื่องนั้นเอวาเข้าใจดีค่ะ” เอวาหันไปทางนิค “ความรักมันมีหลายรูปแบบ ถ้าเราไม่ได้แบบนี้ เราอาจจะได้แบบอื่นมาทดแทน ถึงไม่ใช่ แต่มันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว บางทีความเป็นพี่น้อง หรือความเป็นเพื่อนมันอาจจะยั่งยืนกว่าด้วยซ้ำไป”
นิคสูดหายใจเต็มปอดเพราะพยายามทำความเข้าใจไปด้วย
“แหม..ดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันแห้วแห่งชาติยังไงไม่รู้นะ คนอกหัก3คนถึงต้องมานั่งอยู่ด้วยกันแบบนี้” นิคเปรยออกมา
ยุทธการหันมาทางนิคด้วยความแปลกใจ
“นายก๊อกหักเหมือนกันเหรอนิค”
“ผมไม่ได้อกหักธรรมดานะพี่ยุทธ อกหักเพราะรักเพื่อนซี้ ดีที่ไหวตัวทันไม่งั้นนอกจากอกหักแล้วยังจะเสียเพื่อนอีกด้วย”
เอวาเอื้อมมือไปโอบไหล่นิคแล้วก็ยิ้มๆ
“แต่แกก็ได้เพื่อนซี้แกกลับมาแล้วนี่” เอวาบอก
นิคตอบกวนๆ “ย่ะ”
ยุทธการหันมามองทั้ง2คนก็เลยเข้าใจ
“ขอบคุณที่เธอสองคนอยู่ตรงนี้กับพี่นะ อย่างน้อยพี่ก็ไม่ใช่คนเดียวบนโลกที่ผิดหวังในความรัก”
ยุทธการโอบไหล่เอวาอีกคน แล้วทั้งสามก็นั่งมองท้องฟ้าร่วมกัน
เมฆ เอวา และนิคมองหน้ากันเลิ่กลั่กเพราะไม่รู้ว่าจอมสยามไปไหน เมฆนึกขึ้นได้จึงพูดใส่ไมโครโฟนเพื่อบอกผู้ชม
“เอ่อ ระหว่างรอนักร้องของเรา มาฟังดนตรีบรรเลงจากผมนะครับ”
เมฆหันไปส่งซิกแนลกับเอวาและนิค ดนตรีเพลง “ไม่พูดก็เข้าใจ” ดังขึ้น
ทันใดนั้นเองตะวันฉายก็เดินเข้ามาคว้าไมโครโฟน
“ทุกๆเช้าที่ตื่นมา ฮัมเพลงเดิมซ้ำไปมา เพลงที่แต่งแต่ไม่จบซักทีเธอมาช่วยเติมคำร้องลงไปในท่วงทำนอง จนเกิดเพลงนี้”
เมฆเห็นตะวันฉายก็ถึงกับตกตะลึงไป ส่วนเอวาและนิคก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ฟังเพลงรักมามากมาย ฟังใจความซ้ำเท่าไหร่ ไม่รู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้เธอ รักที่เหมือนไกลสุดไกล ก็แค่เอื้อมมือไปได้ รออยู่เสมอไม่พูดอะไรก็เข้าใจกันทุกคำ ไม่เคยต้องถามก็ตอบมาได้ตรงใจ ไม่ต้องเรียกร้องก็ได้รับกับสิ่งที่ดีมากมาย...เข้าใจเมื่อได้รักเธอ”
เมฆยิ้มออกมาอย่างมีความสุขมาก เขาเล่นดนตรีไปจนจบ จอมสยามเดินมาแล้วก็ชะงักเกาหัวแกร่กๆ ด้วยความงง ตะวันฉายร้องจนจบเพลงแล้วก็เดินลงเวทีไปทันที เมฆรีบวางกีต้าร์แล้วเดินตามตะวันฉายไป
ตะวันฉายเดินออกมาที่หน้าผับ เมฆรีบวิ่งตามมา
“เดี๋ยวก่อนคุณ !!!”
ตะวันฉายหันมายิ้มๆ แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้
“มีอะไรเหรอ”
“รู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป อยู่ๆถือวิสาสะมาร้องเพลงผมแล้วก็วิ่งหนีไปดื้อๆเนี่ยนะ”
“ฉันก็แค่แวะมาทักทาย แล้วก็จะไปแล้ว”
เมฆหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“อะไรกัน มาแค่นี้เนี่ยนะ”
“ใช่ ฉันแค่แวะมาแล้วก็จะไปแล้ว”
เมฆรีบปราดเข้ามาคว้ามือทั้งสองข้างของตะวันฉายไว้ทันที
“แต่ผมไม่ให้ไป”
ตะวันฉายแกะมือออก “นี่จะบ้ารึไงห๊ะ ทำอะไรของคุณเดี๋ยวใครก็มาเห็นเข้าหรอก”
“ถ้าไม่ทำแบบนี้คุณก็ไปสิ”
“ต่อให้นายทำมากกว่านี้ฉันก็คงต้องไปอยู่ดี เพราะฉะนั้นปล่อยฉันเถอะ”
เมฆดึงตะวันฉายเข้ามากอดไว้แน่น
ตะวันฉายอึ้งไปทันที
“อย่าไปไหนได้มั้ยตะวันฉาย รู้มั้ยว่าเมื่อกี้ที่ผมฟังเพลงของตัวเองที่คุณร้อง ผมรู้สึกยังไง”
“ยังไงเหรอ”
“ผมคิดถึงคุณ จนผมไม่อยากกลั้นมันไว้อีกแล้ว”
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 11 (ต่อ)
ตะวันฉายเงียบอึ้งแต่น้ำตาแทบไหลออกมาก่อนจะผละออกไปจากเมฆ
“แค่ร้องเพลงให้นี่ถึงกับซาบซึ้งขนาดนี้เลยเหรอ ไม่ต้องห่วงหรอก เราได้ร้องเพลงด้วยกันอีกแน่ แต่ตอนนี้คุณกลับไปทำงานเถอะ”
“คุณก็เข้าไปกับผมสิ”
“ไม่ล่ะ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันแค่แวะมาทักทาย ฉันยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะ เอาไว้มีโอกาสฉันจะไปหาหมอกก็แล้วกัน”
“สัญญานะ”
ตะวันฉายพยักหน้ารับแล้วรีบเดินออกไป
เมฆมองตามตะวันฉายจนลับตาเพราะในใจไม่อยากให้เธอไป ทันใดนั้นเองจอมสยามก็เดินเข้ามาหาเมฆ
“เมฆ ไหนแกบอกฉันซิว่าเมื่อกี้มันเพลงแกใช่มั้ย แล้วทำไมแกเคยร้องให้ฉันฟังเลย”
“เข้าไปข้างในกันเถอะพี่”
เมฆเดินนำจอมสยามเข้าไปในร้าน จอมสยามมองตามเมฆงงๆ
“อะไรของมันวะ ซับซ้อนจริงๆไอ้นี่”
นิคนั่งอ่านสัญญาที่เพิ่งเซ็นกับรุ่นพี่เขานึกย้อนไปถึงตอนที่คุยกับรุ่นพี่
“ผมขออ่านสัญญาให้ละเอียดอีกทีได้มั้ยครับพี่” นิคถาม
“ได้สิ แต่รีบหน่อยนะ เพราะทางโน้นเขารออยู่”
“ครับพี่”
พอนึกถึงตอนที่คุยกับรุ่นพี่นิคก็คิดหนัก เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น นิครีบหยิบโทรศัพท์มาดู
“แม่...”
นิคยังไม่กดรับสาย เขามองโทรศัพท์ก่อนจะมองที่สัญญาแผ่นนั้นก่อนจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง
เช้าวันใหม่ เมฆจูงหมอกในชุดนักเรียนเดินลงมาที่ห้องครัว ก่อนจะทำหน้าประหลาดใจเพราะเห็นว่ามีอาหารเช้ามากมายเตรียมพร้อมที่โต๊ะ เมฆสงสัยจึงตะโกนเรียกเก่ง
“เก่ง แกอยู่ไหนเนี่ย”
ไม่มีเสียงตอบจากเก่ง
“บอกว่าไม่ต้องเตรียมไว้ให้ บอกแล้วไม่รู้จักจำนะ” เมฆบ่น
เมฆจะเดินออกไปตามเก่งด้วยอารมณ์โกรธแต่ใครคนหนึ่งมายืนขวางเขาไว้ เมฆมองไปที่ร่างนั้นก็เห็นว่าเป็นตะวันฉายในชุดผู้ชาย
เมฆดีใจสุดๆ หมอกเห็นตะวันฉายก็ดีใจมาก
“พี่ซัน”
หมอกวิ่งเข้ามาหาแล้วกระโดดกอดตะวันฉายด้วยความคิดถึง ตะวันฉายยิ้มอย่างมีความสุข
“คุณหมอกครับ พี่ซันหายใจไม่ออกแล้วครับ”
หมอกค่อยๆคลายอ้อมกอดแล้วกลับไปกินข้าวเช้าต่อ เธอหันไปมองเมฆที่ยืนยิ้มให้
“นายกลับมาจนได้นะ”
“ผมกลับมาเพราะคุณหมอกน่ะครับ”
“จะเพราะอะไร ฉันก็ดีใจที่ได้เห็นหน้านายที่นี่อีกครั้งนะ”
ตะวันฉายยิ้มรับ “ผมจะอยู่ที่นี่จนกว่าคุณอิงฟ้าจะกลับมานะครับ”
“ขอบใจนายมากนะ”
“แล้วคุณอิงฟ้าเธอหายไปไหนล่ะครับหรือว่าคุณสั่งลูกน้องเก็บคุณอิงฟ้าไปแล้ว”
“สั่งเก็บ..นายหมายความว่าไง”
“ก็คุณมัน..มาเฟีย”
“มาเฟียเหรอ”เมฆยิ้มขำ “นายไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน”
ตะวันฉายนิ่งคิด แต่ไม่ขยายความต่อเพราะกลัวเรื่องยุทธการจะถูกเปิดเผย
“เอาเถอะครับ ผมอาจจะคิดมากไปเอง คุณเมฆทานข้าวเช้าเถอะครับ เดี๋ยวคุณหมอกจะไปโรงเรียนสาย”
เมฆยังสงสัยไม่หายแต่ก็ไม่ได้ติดใจเอาความ ตะวันฉายหันไปบริการเมฆกับหมอกตามที่เคยทำมา แต่สายตาของเธอยังแสดงถึงความไม่ไว้วางใจเมฆ
เมฆและตะวันฉายในมาดผู้ชายยืนส่งหมอกอยู่ที่มุมหนึ่งของโรงเรียน
“พ่อส่งหมอกตรงนี้นะครับ แล้วตอนเย็นเดี๋ยวพ่อมารับนะ”
หมอกรีบจับมือตะวันฉายแน่น
“ตอนเย็นกลับบ้านต้องเจอพี่ซันพี่นะครับ อย่าหนีไปไหนอีกนะ” หมอกบอก
ตะวันฉายนั่งลงกอดหมอกด้วยความรัก
“ครับ พี่ซันจะรอคุณหมอกที่บ้าน คุณหมอกตั้งใจเรียนนะครับ”
“ครับ” หมอกยกมือไหว้ “สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับพี่ซัน”
แล้วหมอกก็วิ่งเข้าตึกเรียนไป เมฆและตะวันฉายมองตามยิ้มๆ
ตะวันฉายเดินเข้ามาในบ้านพร้อมเมฆ ขณะที่เก่งรีบปราดเข้ามาหาตะวันฉายทันที
“เป็นไงบ้างซัน ไม่คิดเลยนะว่าแกจะกลับมาอีก ฉันโคตรดีใจเลย”
เก่งเข้าไปโอบไหล่ตะวันฉาย เมฆรีบดึงแขนเก่งออก
“มากไปๆ คุยเฉยๆไม่ได้รึไง ต้องมาโอบไหล่ โอบคออะไรกันด้วย” เมฆว่า
เก่งผละออกจากเมฆอย่างงงๆ
“อ้าว ปกติก็ทำแบบนี้ตลอดนี่ครับ” เก่งบอก
“ว่าไงนะทำตลอด มีหลังห้ามทำอีก ฉันไม่ชอบให้สนิทสนมกันเกินไป มันดูไม่ดี” เมฆพูด
“ครับๆ ไม่ทำก็ไม่ทำ”
เก่งเกาหัวแกร่กๆ พร้อมกับเดินออกไป เมฆหันมาทำลอยหน้าลอยตาแล้วพูดกับตะวันฉาย
“เออ วันนี้มาช่วยนวดให้ฉันหน่อยสิ ฉันรู้สึกเมื่อยๆยังไงไม่รู้”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมมีงานต้องทำเยอะแยะ”
“ก็ให้เก่งมันทำไป เร็วๆสิ”
พูดจบเมฆก็รีบนอนลงที่โซฟาทันที ตะวันฉายลังเลนิดนึงก่อนจะยอมบรรจงนวดหลังให้เมฆ เมฆแอบยิ้มอย่างมีความสุข
เวลาผ่านไป ตะวันฉายกวาดหน้าบ้านพร้อมกับมองรอบๆบ้านด้วยความรู้สึกคุ้นเคยจนต้องยิ้มออกมา ทันใดนั้นเก่งก็เดินเข้ามาหา
“ยิ้มอะไรของแกห๊ะ” เก่งถาม
“เปล่าพี่ แค่รู้สึกดีใจที่ได้กลับมา ผมคงผูกพันกับบ้านหลังนี้จริงๆ”
“แหงล่ะ มากินมาอยู่เป็นเดือนๆมันก็ต้องผูกพันกันเป็นธรรมดา ฉันน่ะไม่อยากจะเม้าท์เลยว่า ตั้งแต่แกกลับไปนะ สองพ่อลูกนั่งหน้าบูดกัน ซึมกระทือ เหมือนซอมบี้ไม่มีชีวิต จนฉันอดคิดไม่ได้ว่า ตกลงแกกับคุณเมฆเป็นแฟนกันรึเปล่า”
ตะวันฉายชะงักไปทันที
“จะบ้าเหรอพี่ ผมไม่ได้ชอบผู้ชายนะ” ตะวันฉายบอก
“แกไม่ชอบแต่ฉันว่าคุณเมฆน่ะไม่แน่ จริงๆนะเว้ย ไม่เชื่อแกลองสังเกตดีๆ สิวะ”
ทันใดนั้นรถของเมฆก็แล่นมาจอดหน้าบ้าน
“ไร้สาระน่ะพี่เก่ง ไม่คุยด้วยแล้ว คุณหมอกมาพอดี ไปหาคุณหมอกดีกว่า”
ตะวันฉายรีบเดินไปรับหมอกที่ลงจากรถมาพอดี
หมอกในชุดกีฬายืนอยู่กลางสนามหญ้าหน้าบ้าน
“พี่ซันพร้อมยังครับ” หมอกถาม
ตะวันฉายยืนอยู่ข้างหมอก
“พร้อมแล้วครับ”
“หนึ่ง สอง ซั่ม ลุย!!!!”
หมอกเตะลูกบอลออกไป ขณะที่เมฆและเก่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเข้ามาดักไว้
หมอกและตะวันฉายช่วยกันเตะลูกบอลแล้วเลี้ยงไปที่ประตู ตะวันฉายเตะลูกบอลเข้าประตูจนได้ ทั้งสองคนดีใจมาก “เย่!!!!”
ตะวันฉายและหมอกตีมือกันด้วยความดีใจ
เมฆพูดกับเก่ง “เล่นให้มันดีๆหน่อยสิวะเก่ง จะแพ้อยู่แล้วเห็นมั้ย”
“ครับคุณเมฆ”
เมฆตั้งลูกตั้งเตะแล้วเตะออกไปทันที เมฆและตะวันฉายแย่งลูกกันจนล้มลงไปทั้งคู่ โดยที่ตะวันฉายล้มลงไปนอนทับบนอกเมฆ ทั้งสองคนชะงักเขินเหมือนหยุดเวลาเอาไว้ตรงนั้น ทันใดนั้นเองเสียงของหมอกก็ดังขึ้น
“พี่ซันลุกเร็ว เดี๋ยวพี่เก่งเอาบอลไปก่อน”
“ช้าไปแล้ว พี่เก่งไปก่อนนะ” เก่งบอก
เก่งเลี้ยงลูกบอลนำไป ในขณะที่หมอกวิ่งตาม เมฆรีบลุกขึ้นแล้วยื่นมือให้ตะวันฉายจับ ตะวันฉายจับมือเมฆแล้วลุกขึ้น ทั้งสองคนยิ้มเขินๆ
ตะวันฉายกำลังทำงานบ้าน สักพักเธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นแต่ไม่มีใครรับ ตะวันฉายเลยต้องวางมือจากงานตรงหน้าเพื่อไปรับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ ต้องการเรียนสายกับใครคะ...เอ๊ย ครับ”
ตะวันฉายฟังปลายสายก่อนจะทำหน้าตื่น
“อะไรนะ คุณหมอกไม่สบายหรือครับ”
ครูพยาบาลส่งสร้อยให้ตะวันฉายที่มาอยู่ที่ห้องพยาบาล ตะวันฉายรับไว้ ส่วนหมอกนั่งอยู่ที่เตียงพยาบาลใกล้ๆ
“ครูโทรศัพท์ไปหาคุณพ่อน้องหมอกแล้วแต่โทรไม่ติดเลย สงสัยว่าจะติดงาน ครูก็เลยโทรไปที่บ้านน่ะค่ะ”
“อ๋อ ครับ พอดีวันนี้คุณเมฆติดงานที่ห้องอัดเสียง คงจะปิดมือถือแน่ๆ ว่าแต่ว่าน้องหมอกเป็นอะไรหรือครับ”
“คงจะแพ้สร้อยคอนี่แหละค่ะ พอดีครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าน้องหมอกเอาแต่เกาที่คอก็เลยพามาส่งที่ห้องพยาบาล”
ตะวันฉายมองสร้อยคอนั้นแล้วเก็บไว้ในกระเป๋า
“ครูว่าพาน้องหมอกไปให้คุณหมอดูสักหน่อยก็ดีนะคะเพราะยิ่งคันก็ยิ่งเกาเดี๋ยวจะเป็นแผลเอา”
“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นงันนี้ผมขอพาน้องหมอกไปหาหมอนะครับ”
ครูพยาบาลพยักหน้าแล้วยิ้มให้
“ได้ค่ะ” ครูพยาบาลพูดกับหมอก “หายดีแล้วค่อยมาเรียนนะคะ น้องหมอก”
ตะวันฉายพาหมอกเดินออกจากห้องพยาบาลไป
ตะวันฉายพาหมอกกลับมาที่บ้าน โดยที่ในมือถือถุงยามาด้วย
“คุณหมอกรอตรงนี้ก่อนนะครับ พี่ซันจะไปตามพี่เก่งมาเฝ้าบ้านก่อน แล้วเดี๋ยวพี่ซันจะพาคุณหมอกไปอาบน้ำนะครับ”
ตะวันฉายเดินออกไป หมอกนั่งเล่นอยู่คนเดียวที่โซฟา
ตะวันฉายเดินออกมาตามหาเก่ง ในขณะที่เก่งแอบหลับอยู่ในที่ลับตาคน ตะวันฉายจะเข้าไปปลุกแต่กลับชะงักไว้ เธอเปลี่ยนใจแล้วเดินกลับออกไป
ตะวันฉายเดินกลับออกมาที่ห้องรับแขก แต่มองไม่เห็นหมอก ตะวันฉายสงสัยจึงเรียกหา
“คุณหมอกครับ คุณหมอก”
ไม่มีเสียงตอบจากหมอก ตะวันฉายยิ่งสงสัยจึงออกไปดูที่หน้าบ้าน
ตะวันฉายเดินออกมาตามหมอก แต่กลับเห็นลูกน้องเฮลมุทกำลังอุ้มหมอกที่ถูกปิดปากอยู่ออกไป ตะวันฉายตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“คุณหมอกๆ”
ลูกน้องเฮลมุทหันมามองเห็นว่าตะวันฉายกำลังวิ่งตรงมาหาเขา ลูกน้องคนหนึ่งเข้าไปกันตะวันฉายไว้ ตะวันฉายพยายามยื้อแย่งหมอกไม่ให้ลูกน้องเฮลมุทเอาตัวหมอกไปได้ เก่งได้ยินเสียงโวยวายจึงเดินออกมาดูแล้วก็ตกใจ
“เฮ้ย อะไรวะนั่น”
เก่งรีบคว้าไม้แล้ววิ่งไป
ตะวันฉายกับพวกเฮลมุทยื้อแย่งตัวหมอกกันอยู่
“แกจะเอาคุณหมอกไปไหน ปล่อยคุณหมอกนะ”
ตะวันฉายไม่ยอมง่ายๆ เธอยื้อกับลูกน้องเฮลมุทจนสุดแรง สุดท้ายตะวันฉายก็เหยียบเท้าแล้วเตะหน้าแข้งลูกน้องคนหนึ่ง ส่วนเก่งก็เอาไม้ตีลูกน้องอีกคนแต่โดนสวนกลับจนกระเด็น ตะวันฉายคว้าตัวหมอกกลับมาได้ ลูกน้องเฮลมุทอีกคนเลยเปลี่ยนแผน
“จับมันไปทั้งสองคนนั่นแหล่ะ”
ลูกน้องเฮลมุททั้งสองคนช่วยกันวิ่งมารวบตัวตะวันฉายที่อุ้มหมอกจะวิ่งหนี แล้วทั้งหมดก็พาขึ้นรถ
“ปล่อยนะ” ตะวันฉายร้องโวยวาย
“พี่ซัน หมอกกลัว”
ตะวันฉายดิ้นจะเปิดประตูรถ ลูกน้องเฮลมุทหยิบปืนออกมาขู่
“จะไปหรือจะตาย”
ตะวันฉายกับหมอกอึ้งและยอมสงบปากทันที
ลูกน้องเฮลมุทหยิบปืนออกมาขู่ ตะวันฉายกับหมอกกอดกันนิ่งด้วยความกลัว เก่งที่โดนซัดจนกระเด็นไปลุกขึ้นมายืนอย่างองอาจ
“เฮ้ย...มันจะมากไปแล้ว วันนี้ของสวมวิญญาณ แก้ว พงษ์ประยูรหน่อยเถอะวะ”
เก่งร้องจ๊ากวิ่งเข้ามา ทุกคนจึงหันไปมอง ตะวันฉายกับหมอกเห็นเก่งวิ่งมาก็ร้องเตือน
“พี่เก่ง ระวังนะมันมีปืน”
เก่งวิ่งหน้าเข้มเข้ามา ลูกน้องเฮลมุทยกปืนขึ้นเล็ง พอเห็นปืนเก่งก็เบรกจนตัวโก่ง
“โอ๊ย...สลบ”
เก่งทำเป็นล้มลงแล้วสลบไปทันที ลูกน้องทั้งสองของเฮลมุทพยักหน้าให้กันแล้วช่วยกันลากตะวันฉายที่อุ้มหมอกอยู่ขึ้นรถตู้แล้วขับออกไป เก่งลืมตาเงยหน้ามาเช็คจนแน่ใจว่ารถไปแล้วเขาก็ร้องไห้โฮ
“คุณหมอก ไอ้ซัน”
หมอกและตะวันฉายถูกนั่งขนาบข้างด้วยลูกน้องของเฮลมุท หมอกร้องไห้จ้าเพราะความกลัว ตะวันฉายต้องกอดเพื่อปลอบ
ตะวันฉายพูดกับลูกน้องเฮลมุท “พี่ๆ จะจับพวกผมไปไหนอ่ะ”
ลูกน้องทั้งสองเงียบ
“เอ่อ...พี่ครับ บางทีพี่อาจจะจับผิดตัวก็ได้นะครับ”
“เงียบ! หนวกหู!” ลูกน้องเฮลมุทตะโกน
หมอกกลัวจนถึงกับสะอื้นและกอดตะวันฉายแน่น
“ไม่ต้องกลัวนะครับคุณหมอก พี่ซันจะไม่ให้ใครมาทำร้ายคุณหมอกได้”
“หมอกอยากหาพ่อ”
ตะวันฉายกระชับกอดหมอกไว้แน่น
เมฆซ้อมต่อเพลงใหม่กับนิคและเอวาจนจบพอดี
“พี่ว่ามันยังไม่ค่อยแน่นนะ” เมฆบอก
“เพลงใหม่ก็งี้แหล่ะครับพี่เมฆ เดี๋ยวซ้อมอีกสองสามเที่ยวก็โอเค” นิคว่า
เมฆพยักหน้ารับ แล้วครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เมฆรับโทรศัพท์
“ว่าไงเก่ง..”
เก่งโทรศัพท์ไปหาเมฆจากที่บ้าน
“คุณเมฆครับ แย่แล้ว คุณหมอกกับไอ้ซันถูกโจรจับตัวไปครับ”
“หา! อะไรนะ ไอ้เก่ง แกอย่าล้อเล่นนะเว้ย”
“จริงๆครับคุณเมฆ พวกมันมีปืนแล้วก็จับไอ้ซันกับคุณหมอกขึ้นรถตู้ไปแล้วครับ”
“ฉันจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
เมฆวางสายด้วยอาการช็อค นิคกับเอวารีบเข้ามาหาเมฆ
“พี่เมฆ เกิดอะไรขึ้นครับ” นิคถาม
“มีคนมาจับตัวซันกับหมอกไป นิค เอวา ช่วยโทรหาซันให้พี่หน่อยสิ พี่อยากจะคุยกับพวกมัน”
เอวารีบหยิบโทรศัพท์มากดโทรออกทันที สักพักก็ได้ยินเสียงสัญญาณ เอวาดีใจ
“ติดแล้วค่ะ”
เมฆกับนิครีบเข้ามาฟังแล้วเอวาก็จ๋อยไป
“สายโดนตัดแล้ว” เอวาบอก
ลูกน้องเฮลมุทกดปิดโทรศัพท์ของตะวันฉายแล้วยิ้มร้ายนั่งมองหน้าตะวันฉายกับหมอกที่กำลังนั่งกอดกันด้วยความกลัว
เมฆ นิค และเอวามีท่าทางกังวลมาก
“เราควรจะเอาไงต่อดีครับเนี่ย” นิคถาม
“พี่จะต้องแจ้งตำรวจก่อน แล้วเดี๋ยวพี่จะรีบกลับบ้าน” เมฆบอก
เมฆเอาโทรศัพท์ออกมาแล้วจะกดโทรออก แต่เอวารีบจับมือไว้
“อย่าเพิ่งค่ะพี่เมฆ”
เมฆงง “เอวา ลูกพี่กับซันโดนจับตัวไปนะ”
“เอวาทราบค่ะ แต่ถ้าพี่เมฆจะโทรหาตำรวจ เราบอกพี่ยุทธดีกว่า”
“คุณยุทธน่ะเหรอ แล้วเขาจะช่วยอะไรเราได้”
“ได้สิครับ ก็พี่ยุทธเขาเป็นตำรวจไงครับ เก่งมากด้วย” นิคบอก
เมฆตกใจ “อะไรนะ”
ยุทธการยืนแนะนำตัวกับเมฆ โดยมีจ่าสม นิค และเอวาอยู่ด้วย
“ผมสารวัตรยุทธการครับ ขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณแต่แรก และนี่จ่าสมผู้ช่วยผมครับ”
เมฆกับจ่าสมพยักหน้าให้กัน
“คุณจะช่วยหมอกกับซันได้ไหมครับ” เมฆถาม
“ได้ครับ แต่คุณต้องบอกข้อมูลบางอย่างกับผมด้วย”
เมฆงง “ข้อมูล หมายความว่าไงครับ คุณคิดว่าการที่หมอกกับซันถูกจับตัวไป พวกมันต้องการอะไรที่ไม่ใช่เงินเหรอครับ”
ยุทธการพยักหน้ารับ “คุณอิงฟ้าตอนอยู่ต่างประเทศเธอใช้ชื่อว่าเอ็มม่าหรือเปล่าครับ”
เมฆงง “เอ่อ...ผมก็ไม่แน่ใจครับ เพราะเขาไม่เคยติดต่อมาเลย เดี๋ยวนะครับ แล้วมันเกี่ยวกับอิงฟ้ายังไงครับ”
ยุทธการส่งรูปเอ็มม่ากับอิงฟ้าให้เมฆดู
“คุณคิดว่าผู้หญิงสองคนนี่ใช่คนเดียวกันไหมครับ” ยุทธการถาม
“ใช่ครับ ใช่แน่นอนที่สุด” เมฆตอบ
“พวกค้ายาเสพติดข้ามชาติ กำลังตามหาตัวเธอ และเธอคือกุญแจสำคัญ”
เมฆ นิค และเอวามีสีหน้าตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
ลูกน้องของเฮลมุทพาตะวันฉายที่อุ้มหมอกเดินเข้ามานั่งในห้องๆ หนึ่งภายในโกดังร้าง เฮลมุทเดินเข้ามาจ้องหน้าหมอก หมอกร้องไห้ด้วยความกลัว
ลูกน้องพูดกับเฮลมุท “เด็กคนนี้แหล่ะครับ”
เฮลมุทยิ้มเหี้ยมให้หมอก หมอกหันหน้าหนีพร้อมกับกอดตะวันฉายแน่น
“คุณจับเราสองคนมาทำไม” ตะวันฉายถาม
“อิงฟ้าอยู่ไหน”
“พวกเราไม่รู้หรอก”
“แต่เด็กนี่ต้องรู้สิว่าแม่อยู่ไหน”
เฮลมุทพยักหน้าให้ลูกน้องอุ้มหมอกแยกออกมาจากตะวันฉาย
“จะทำอะไรเด็กน่ะ อย่านะ” ตะวันฉายร้องลั่น
“ฉันให้โอกาสอีกครั้ง....แม่ของเด็กคนนี้อยู่ที่ไหน” เฮลมุทถาม
“ผมไม่รู้จริงๆ เพราะตอนที่มานี่คุณฟ้าก็ไม่อยู่แล้ว”
“ไม่เป็นไร I’ll find the way.”
เฮลมุทจ้องหน้าตะวันฉายอย่างเอาเรื่อง
ที่บ้านเมฆ เมฆรู้เรื่องทั้งหมดก็รู้สึกเสียใจ
“ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอิงฟ้าจะเกี่ยวข้องกับพวกนั้น”
“งั้นนี่ก็คงเป็นเหตุที่คุณอิงฟ้ากลับมาที่นี่” นิคบอก
“ก็อาจเป็นไปได้ แล้วตอนที่คุณอิงฟ้าหนีมาที่นี่ พวกมันคงตามมาระยะหนึ่งแล้ว คุณอิงฟ้าเองก็คงได้เจอกับพวกมันถึงได้รีบหนีไป” ยุทธการสรุป
“นี่คุณรู้เรื่องทั้งหมด แล้วทำไมไม่บอกผม คุณเห็นชีวิตพวกเราเป็นอะไร” เมฆว่า
“ผมขอโทษครับ ผมให้จ่าสมเฝ้าอิงฟ้าไว้ตลอด แต่ไม่คิดว่ามันจะใช้วิธีเล่นงานที่หมอก”
เมฆทุบเก้าอี้ด้วยความโกรธ
“ใจเย็นๆนะคะพี่เมฆ พี่ยุทธคะ แล้วเราจะทำไงต่อ” เอวาถาม
“ตอนนี้คงต้องรอพวกมันติดต่อกลับมาอย่างเดียว ผมเชื่อว่าไม่นาน เพราะเป้าหมายของพวกมันคือคุณอิงฟ้าหรือเอ็มม่า ไม่ใช่หมอกกับซัน”
“ถ้าหมอกหรือซันเป็นอะไร ผมเอาเรื่องคุณแน่” เมฆโกรธ
ทุกคนนั่งนิ่งอย่างจนหนทาง แล้วโทรศัพท์ของเมฆก็ดังขึ้น เมฆหยิบมาดู
“เบอร์นี้ผมไม่รู้จัก”
“เบอร์ซันค่ะ” เอวาบอก
“เปิดสปีคเกอร์ด้วยนะครับ”
เมฆกดเปิดสปีคเกอร์
“ฮัลโหล”
เฮลมุทยื่นโทรศัพท์ให้หมอกพูด
“พ่อคร้าบ ช่วยหมอกด้วยนะครับ”
“หมอก อยู่ไหนน่ะลูก”
เฮลมุทดึงโทรศัพท์กลับไปพูดทันที
“ถ้าอยากได้ลูกคืน ต้องเอาตัวอิงฟ้ามาแลก”
“ลูกผมอยู่ที่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า แกต้องการอะไร”
“ฉันต้องการตัวอิงฟ้า ถ้าอยากให้เด็กปลอดภัย ก็ส่งตัวอิงฟ้ามาเดี๋ยวนี้”
ยุทธการส่งสัญญาพยักหน้าให้รับปาก
“ได้...จะให้พาไปที่ไหน” เมฆถาม
อิงฟ้านั่งอ่านหนังสือที่สนามแต่ก็ไม่มีสมาธิจึงวางหนังสือลง สักพักเธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ อิงฟ้ากดรับสาย
“เมฆเหรอ...” อิงฟ้างง “อยู่หน้าบ้าน? ฟ้าบอกแล้วว่าไงว่าอย่ามา....อะไรนะ หมอกหายตัวไปเหรอ?”
อิงฟ้ารีบกดวางสายแล้วรีบวิ่งไปที่ประตูใหญ่ พอเปิดประตูอิงฟ้าเห็นเมฆ ยุทธการ นิค และเอวายืนอยู่ อิงฟ้ารีบถามเมฆ
“เมฆ หมอกหายไปได้ไง พวกมันมาจับตัวหมอกไปใช่ไหม”
“ฟ้ารู้มาตลอดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”
เมฆจ้องหน้าอิงฟ้าด้วยความโกรธ อิงฟ้าเริ่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“ผมเคยถามแล้วใช่ไหมว่าฟ้ามีปัญหาอะไรทำไมต้องมาอยู่ แล้วทำไมไม่บอก ฟ้าเห็นแก่ตัวมาก” เมฆว่า
ยุทธการจับแขนเมฆไว้แล้วพยักหน้าให้เป็นทำนองว่าขอจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“ผมสารวัตรยุทธการนะครับ”
อิงฟ้าอึ้ง “สารวัตร!”
“คุณฟ้าพอจะรู้ใช่ไหมว่าใครเป็นคนจับตัวหมอกไป” ยุทธการถาม
อิงฟ้าพยักหน้ารับ “ค่ะ”
“ถ้างั้นพวกเราขอคุยกับคุณอิงฟ้าหน่อยนะครับ”
อิงฟ้าผายมือให้ทุกคนเดินเข้าบ้าน แต่พอจะปิดประตูจ่าสมก็เดินเข้ามา อิงฟ้าเห็นหน้าจ่าสมก็มองจ้องอย่างตกตะลึง
“ไม่ต้องห่วง พ่อจะไม่บอกใคร ตอนนี้ขอแค่ได้หลานคืนก็พอ” จ่าสมพูด
อิงฟ้าร้องไห้เสียใจ ในขณะที่เมฆ ยุทธการ นิค และเอวานั่งอยู่ที่โซฟา แต่จ่าสมยืนห่างออกมา
“เขาชื่อเฮลมุท ที่เขาบอกฉันก็คือเขาเป็นนักธุรกิจเยอรมัน เขาดูชอบฉันมากฉันจึงคิดจะไปสร้างชีวิตใหม่กับเขา แต่พอไปอยู่ด้วยกันสักพักฉันก็รู้ว่าเฮลมุทไม่ได้มีธุรกิจอะไรเลย นอกจากคบค้ากับพวกมาเฟียที่นั่นแล้วก็มีเงิน ยิ่งหลังๆตำรวจเยอรมันก็เริ่มสะกดรอยตามฉันจนฉันทนไม่ไหวจึงอยากขอเลิก เฮลมุทโกรธมากฉันจึงต้องหนีกลับมาที่นี่ แต่ไม่คิดว่าเขาจะตามมา”
พอฟังเรื่องจากอิงฟ้าแล้วทุกคนก็สงสัยมาก
“แค่ตามเมียเนี่ยนะ ถึงกับต้องตามจับเด็กไปด้วย” นิคสงสัย
“นั่นสิ ซันเลยซวยไปด้วยเลย” เอวาบอก
พูดจบเอวาก็หันไปมองหน้าอิงฟ้าอย่างไม่ค่อยพอใจ
“มันไม่ใช่แค่เรื่องสามีภรรยาหรอกนิค เอวา” ยุทธการพูดขึ้น
ทุกคนมองไปที่ยุทธการ
“คุณอิงฟ้าครับ คุณทราบไหมครับว่าเปเปอร์คืออะไร”
“กระดาษเหรอคะ”
“นั่นแหล่ะครับ มันคืออะไร เพราะตอนที่เราบุกจับพวกมันที่เมืองไทย เราเจอเมล์ของพวกมันให้ตามหาตัวคุณเพื่อเอาเปเปอร์”
อิงฟ้าพยายามนึก “ฉันไม่รู้จริงค่ะ”
“ฟ้า ผมขอร้องล่ะ ถ้ารู้อะไรก็รีบบอกตำรวจไปเถอะ เพราะตอนนี้ชีวิตของหมอกกับซันกำลังอยู่ในอันตรายนะ” เมฆไม่พอใจ
“ฟ้าไม่รู้จริงๆนะเมฆ ถ้าฟ้ารู้ฟ้าก็บอกไปแล้วสิ”
เมฆกับฟ้าอารมณ์เสียใส่กัน
“แล้วตอนคุณหนีมา คุณได้หยิบอะไรของพวกมันติดมาบ้างหรือเปล่าครับ” ยุทธการถาม
“ฉันก็แค่เอาเงินสดกับเสื้อผ้าติดตัวมาแค่นี้จริงๆค่ะ ถ้าคุณไม่เชื่อก็ขึ้นไปค้นได้เลย เชื่อฉันเถอะ ถึงฉันจะเลวยังไงฉันก็ไม่เคยคิดจะร่วมค้ายาเสพติดแน่นอน”
ทุกคนคิดหนัก
“ถ้างั้นเราจะเอายังไงดีครับสารวัตร” เมฆถาม
ทุกคนนิ่งเงียบ อิงฟ้าจึงพูดขึ้นมา
“ในเมื่อพวกมันต้องการตัวฉัน ฉันก็จะไป”
ทุกคนมองอิงฟ้าอย่างตกตะลึง โดยเฉพาะจ่าสม
“แต่ผมเกรงว่ามันจะไม่ปลอดภัยนะ” ยุทธการบอก
“ใช่ครับ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจดีกว่า” จ่าสมค้าน
“เราไม่มีทางเลือกหรอกค่ะ เชื่อฉันเถอะ อย่างน้อย ฉันก็อยากทำเพื่อลูกสักครั้ง”
“คุณแน่ใจนะครับ” ยุทธการถาม
อิงฟ้าพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ จ่าสมยืนมองอิงฟ้าแล้วก็ยิ้มปลื้มจนน้ำตาคลอ
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 11 (ต่อ)
จ่าสมขับรถ โดยมียุทธการกับอิงฟ้านั่งอยู่ในรถ จ่าสมมองอิงฟ้าผ่านกระจกมองหลัง แต่อิงฟ้าหลบหน้าแล้วร้องไห้ จ่าสมต้องเบือนหน้าหนีด้วยความสงสาร
เมฆพาอิงฟ้าเข้ามาในตึกร้าง เฮลมุทเดินออกมาพร้อมกับลูกน้องอีก 2 คน
“ในที่สุดเธอก็กลับมาหาฉันจนได้นะอิงฟ้า” เฮลมุทว่า
“ไม่ต้องพูดมาก เอาลูกฉันคืนมา” อิงฟ้าบอก
อิงฟ้าจะเดินเข้าไปหา แต่เมฆจับแขนเธอไว้พยายามให้เธอใจเย็นลง
“สองคนนั้นอยู่ไหน ?” เมฆถาม
“ใช่ ฉันมาที่นี่แล้วไง ต้องการตัวฉันไม่ใช่เหรอ ปล่อยลูกฉันเถอะ” อิงฟ้าบอก
“นอกจากตัวเธอแล้ว อิงฟ้า สิ่งที่ฉันต้องการจากเธออีกอย่าง คือ จี้” เฮลมุทมองไปที่คออิงฟ้าแต่ไม่เห็นจี้ “จี้ไปไหน ปกติเธอใส่ติดตัวตลอดนิ”
“นี่จับลูกฉันมาเพราะต้องการจี้ที่คุณให้ฉันคืนเนี่ยนะ”
เฮลมุทเข้าไปจับหน้าอิงฟ้า “จำไว้ อะไรที่มันเป็นของฉัน มันต้องเป็นของฉัน !!”
ลูกน้องของเฮลมุทเอาปืนเล็งมาที่เมฆกับอิงฟ้า ทั้งสองตกใจ เครื่องดักฟังติดอยู่ที่หูของคนทั้งสอง
ยุทธการกำลังนั่งฟังเรื่องที่เมฆคุยกับเฮลมุทผ่านเครื่องดักฟังอยู่ที่หน้าตึกร้าง
“ไอ้เฮลมุทมันพูดถึง “จี้” ที่ให้คุณอิงฟ้าไว้ แสดงว่าหลักฐานอาจจะอยู่ในจี้นั้นก็ได้”
“แล้วถ้าไอ้เฮลมุทมันไม่ได้จี้ไป ทุกคนข้างในก็แย่น่ะสิครับ” จ่าสมเป็นห่วง
“ผมว่า ไอ้เฮลมุทยังไม่กล้าทำอะไรแน่ ถ้ามันยังไม่ได้จี้ไป จ่าจี๊ดเราส่งคนไปหาจี้ที่บ้านคุณเมฆด้วย จ่าสมคุณอ้อมไปขึ้นอีกด้านนะ แล้วรออยู่รอบนอกก่อน อย่าเพิ่งเข้าไป เดี๋ยวพวกมันจะรู้ตัว”
“หวังว่าคุณเมฆจะสามารถต่อรองกับมันตามแผนที่คุยกันไว้นะ”
“ยังไงเราก็ต้องเห็นตัวประกันก่อน ถึงจะบุกเข้าไปได้”
ยุทธการกับจ่าสมแยกกันไปคนละทาง
เฮลมุทกับลูกน้องเดินเข้าไปใกล้เมฆกับอิงฟ้า
“จี้ อยู่ไหน !!!”
“จี้ อยู่ที่ฉัน” เมฆบอก
เฮลมุทได้ยินจึงหันมาหาเมฆ
“แกจะมาไม้ไหน” เฮลมุทถาม
“ฉันไม่ได้โกหก อิงฟ้าให้จี้กับหมอกไว้ ฉันเก็บไว้เอง”
“งั้นไปเอาจี้มาให้ฉัน”
“ไม่ ฉันขอเห็นลูกกับคนของฉันก่อน”
เฮลมุทยิ้มแล้วสั่งลูกน้องอีกสองคน
“เอามันสองคนออกมา”
ลูกน้องอีกสองคนพาตัวตะวันฉายและหมอกออกมา
“แม่ !!! พ่อ !!!”
อิงฟ้ากับเมฆเห็นทั้งสองก็ดีใจ
เมฆแอบกระซิบใส่เครื่องดักฟัง “เจอตัวหมอกกับซันแล้ว มันมีลูกน้องทั้งหมด 6 คน”
ยุทธการสั่งผ่านว.ทันที
“พบตัวประกันแล้ว คนร้ายมี 7 คน คาดว่าอาวุธครบมือ ทุกคนกระชับพื้นที่ได้ ระวังตัวประกันด้วย”
เฮลมุทที่อยู่ในโกดังออกคำสั่ง
“ไปเอาของมาให้ฉันได้แล้ว”
“เอางี้นะ ฉันจะไปกับลูกน้องแก ไปเอาจี้มาให้แก แต่แกปล่อยทุกคนไปก่อนซิ จับฉันไว้คนเดียวก็พอ แกจะจับคนอื่นไปทำไมให้เยอะแยะละ”
“แล้วฉันจะไว้ใจแกได้ยังไง ฉันจับเด็กไว้เป็นตัวประกันดีกว่า” เฮลมุทบอก
เฮลมุทไปดึงหมอกมา ตะวันฉายรีบขวางไว้
“ไม่ได้นะ จับตัวฉันไว้ก็ได้ ปล่อยเด็กไปเถอะ” ตะวันฉายขอ
อิงฟ้าจะวิ่งเข้าไปหาหมอกแต่ก็โดนลูกน้องจับไว้
“แกอย่าทำอะไรลูกฉันเลยนะ”
เมฆจะเข้าไปช่วยหมอก เฮลมุทถีบเมฆจนกระเด็น ลูกน้องเฮลมุทยกปืนขึ้นขู่ ตะวันฉายเห็นก็เป็นห่วงเมฆ
“คุณเมฆ”
“แหม รักกันจังเลยนะ รำคาญจริงๆ ไปแกไปเอาจี้มาได้ละ ฉันจับทุกคนไว้เป็นตัวประกันหมดแหละ ถ้าภายใน 1 ชั่วโมงแกยังไม่กลับมา ฉันจะยิงทิ้งทีละคน” เฮลมุทว่า
เมฆมองด้วยความเจ็บใจ เขาแอบเห็นพวกตำรวจเข้ามาบริเวณใกล้ๆ จึงคิดแผนใหม่
“ฉันขี้เกียจไปละ ฉันบอกเลยก็แล้วกันว่าจี้อยู่ไหน แกก็ให้ลูกน้องแกไปเอามาดีไหม มานี่ฉันบอกแกให้”
เมฆเข้าไปใกล้ๆ เฮลมุท “จี้อยู่ในตู้เซฟ...บุกเลยครับสารวัตร”
เมฆอาศัยจังหวะที่เฮลมุทเผลอต่อยไปที่ท้องของเฮลมุทจนเขาล้มลง ในระหว่างนั้น ตำรวจก็โผล่มาพอดี
“หยุดนะ นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ยุทธการตะโกนลั่น
พวกเฮลมุทตกใจพยายามวิ่งหนีและหาที่กำบัง ลูกน้องเปิดฉากยิงต่อสู้กับตำรวจ ตำรวจก็หลบเข้าที่กำบัง
อิงฟ้า ตะวันฉาย หมอก วิ่งหนีไปด้วยกัน เฮลมุทเห็นจึงสั่งให้ลูกน้องรีบตามไป ส่วนตัวเองหลบไปอีกด้าน เมฆเห็นพวกตะวันฉายวิ่งไปก็พยายามจะหาทางตามไป แต่ก็ยังฝ่าห่ากระสุนไปไม่ได้
จ่าสมแอบตามพวกตะวันฉายไป ส่วนที่เหลือก็ยิงต่อสู้กัน
ตะวันฉายกับอิงฟ้าพาหมอกหนีมาหลบอยู่ที่หนึ่ง
“เราหลบอยู่ที่นี่ก่อนดีไหมคับ เดี๋ยวตำรวจคงเคลียร์สถานการณ์ได้” ตะวันฉายบอก
“นายพาหมอกหนีออกไปเถอะ ฉันกลัวพวกมันจะตามมาเจอ ไอ้เฮลมุทมันคงไม่ปล่อยฉันแน่”
“ไม่ครับ ถ้าจะหนีเราจะหนีด้วยกัน” ตะวันฉายพูดกับหมอก “อดทนอีกหน่อยนะคับคุณหมอก”
ตะวันฉายกับอิงฟ้าพาหมอกออกมาจากที่ซ่อนแล้วเจอลูกน้องเฮลมุทอยู่ไกลๆ ลูกน้องเห็นก็ยิงปืนใส่ ตะวันฉายเห็นลูกน้องยิงปืนมาจึงรีบผลักทุกคนหลบทำให้กระสุนโดนที่แขนของเธอ
“คุณอิงฟ้า รีบพาหมอกหนีไปเถอะครับ เร็ว!!!” ตะวันฉายบอก
อิงฟ้าเป็นห่วงตะวันฉายแต่ก็เป็นห่วงหมอกมากกว่าเลยตัดสินใจอุ้มหมอกหนีไป
“ขอบใจมากนะซัน”
ลูกน้องคนหนึ่งเข้ามาจับตัวตะวันฉายไป ส่วนลูกน้องอีกคนวิ่งตามอิงฟ้ากับหมอกไป
ลูกน้องเฮลมุทตามอิงฟ้ากับหมอกมาจนทัน เขาคว้าตัวอิงฟ้าไว้ อิงฟ้าพยายามต่อสู้ จ่าสมเข้ามาช่วยอิงฟ้าโดยการเอาไม้ฟาดไปที่ลูกน้องเฮลมุทจนล้มลง
“พ่อ !!!” อิงฟ้าดีใจ
จ่าสมเข้าไปดูอิงฟ้า “ไม่เป็นไรใช่ไหมลูก ?”
“คะพ่อ”
“หมอกเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนป่าว”
“ไม่ครับ” หมอกตอบ
“แล้วซันละ เมื่อกี๊เห็นหนีมาด้วยกัน” จ่าสมถาม
“ซันโดนยิงคะ ตอนนี้น่าจะถูกพวกลูกน้องจับไปแล้ว พ่อช่วยซันด้วยนะคะ”
“ได้ แต่ตอนนี้พ่อพาเราออกไปจากตรงนี้ก่อน มันไม่ปลอดภัย” จ่าสมหยิบว.ขึ้นมาพูด “ช่วยอิงฟ้ากับหมอกได้แล้ว แต่ซันโดนจับตัวไป และได้รับบาดเจ็บ”
ทันใดนั้นลูกน้องเฮลมุทก็ลุกขึ้นแล้วเอาปืนจ่อมาที่จ่าสม อิงฟ้าเห็นก็ร้องลั่น
“พ่อ ระวัง!!”
เสียงปืนดังขึ้น ทุกคนตกใจหันไปดูจึงเห็นว่ายุทธการยิงลูกน้องเฮลมุทตาย จ่าสมมองยุทธการอย่างขอบคุณ
“สารวัตรรีบไปช่วยคุณซันเถอะครับ ทางนี้ผมจัดการเอง”
ยุทธการรีบเดินออกไป
ลูกน้องเฮลมุทอีกคนพาตะวันฉายกลับมาหาเฮลมุท
“แล้วอิงฟ้าละ” เฮลมุทถาม
“หนีไปกับเด็กครับ จับได้คนเดียวครับนาย”
เฮลมุทโมโห เมฆย่องเข้ามาพร้อมกับคิดหาทางช่วยตะวันฉาย
“พวกแกมันไม่ได้เรื่อง” เฮลมุทว่า
เมฆเห็นท่อนไม้จึงหยิบและโยนไปด้านหนึ่งทำให้เกิดเสียงดัง เฮลมุทหันไปดู เมฆเอาทรายที่กำไว้ปาใส่หน้าลูกน้องแล้ววิ่งเข้าไปต่อยเฮลมุท ก่อนจะรีบวิ่งไปหาตะวันฉาย เฮลมุทวิ่งเข้าไปกระชากเมฆออกมา ทั้งสองต่อยกัน ลูกน้องเข้ามาช่วยจับเมฆ ทำให้เมฆจะโดนรุม
ตะวันฉายร้องลั่น “คุณเมฆ”
ยุทธการวิ่งเข้ามากระโดดถีบใส่เฮลมุท ทำให้เมฆดิ้นหลุดออกมา ลูกน้องชักปืนจะยิงยุทธการ ยุทธการหลบแล้วยิงสวนจนลูกน้องล้มลง
“พี่ยุทธ ระวัง” ตะวันฉายร้องเตือน
เฮลมุทเล็งปืนมาที่ตะวันฉาย เมฆเห็นเลยกระโดดเอาตัวบัง ทำให้เมฆโดนยิงเข้าที่ท้อง ยุทธการหันมายิงมือเฮลมุทจนปืนกระเด็นไปแล้วก็รีบเข้ามาล็อคตัวเฮลมุทก่อนจะดันให้นอนราบลงกับพื้น พร้อมกับเอามือไขว้หลังแล้วเอาเข่ายันไว้ ตะวันฉายตกใจรีบเข้าไปดูอาการเมฆ
“คุณเมฆ คุณเมฆ!!!”
ตำรวจกลุ่มใหญ่บุกเข้ามาช่วยยุทธการจับเฮลมุท เมฆยังนอนอยู่ในอ้อมแขนของตะวันฉาย ยุทธการรีบเข้าไปดูอาการของเมฆ
เมฆนอนบนเตียงพยาบาลกำลังถูกพาขึ้นรถพยาบาล โดยที่ตะวันฉายก็ขึ้นไปด้วย เฮลมุทกับลูกน้องถูกใส่กุญแจมือพาขึ้นรถตำรวจออกไป ยุทธการหันไปมองรถตำรวจที่เพิ่งแล่นไป
ยุทธการเดินมาหาจ่าสมกับอิงฟ้าที่กอดหมอกอยู่ ยุทธการไปดึงหมอกออกมา
“หมอกครับ เราไปดูคุณพ่อกันเถอะนะครับ” ยุทธการบอก
“แม่ล่ะครับ” หมอกถาม
“เดี๋ยวให้คุณแม่จัดการธุระแล้วตามเราไปนะครับ”
“แม่รีบตามไปนะครับ”
อิงฟ้าน้ำตาไหล “ครับหมอก”
ยุทธการยิ้มให้อิงฟ้าแล้วพาหมอกเดินไปขึ้นรถก่อนจะขับออกไป จ่าสมมองหน้าอิงฟ้าแล้วน้ำตาก็ไหล
“ฟ้า”
“พ่อคะ ฟ้ากลัว”
“ถ้าฟ้าพูดความจริง ฟ้าจะไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวลูก”
“ค่ะพ่อ”
จ่าสมเอากุญแจมือใส่ข้อมืออิงฟ้า ทั้งสองร้องไห้แล้วพากันขึ้นรถตำรวจไป
นิคกับเอวานั่งรออย่างกระวนกระวายอยู่ในโรงเรียนดนตรี แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“คะพี่ยุทธ... อะไรนะคะ...คะ ได้คะ”
เอวาวางสาย นิครีบถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างเอวา”
“เออ เราต้องรีบไปโรงพยาบาล” เอวาบอก
รถพยาบาลแล่นเข้ามาจอดหน้าโรงพยาบาล รถตำรวจที่ยุทธการ นิค เอวา และหมอกนั่งมาด้วยมาจอดต่อท้าย บุรุษพยาบาลรีบมาเปิดประตูท้ายรถแล้วช่วยกันเข็นเตียงของเมฆที่นอนสลบและมีเครื่องช่วยหายใจออกมา ตะวันฉายที่บาดเจ็บที่แขนรีบวิ่งตามลงมาจากรถด้วย โดยที่ตะวันฉายจับมือของเมฆไว้ตลอดทั้งๆที่แขนตัวเองก็เจ็บ
“คุณเมฆอย่าเป็นอะไรนะ คุณต้องเข้มแข็งไว้นะ”
ทุกคนรีบเข็นเตียงของเมฆเข้าห้องฉุกเฉินโดยมีตะวันฉายวิ่งจับมือเมฆไว้ตลอด ยุทธการ นิคอุ้มหมอก และเอวาวิ่งตาม รถเข็นของเมฆถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินตะวันฉายเดินเข้าไปด้วย พยาบาลมากันคนอื่นเอาไว้
“ขอเฉพาะผู้ได้รับบาดเจ็บนะคะ” พยาบาลบอก
ยุทธการ นิค เอวา และหมอกมองเข้าไปในห้องด้วยความเป็นห่วงเมฆ
เมฆถูกเข็นเข้าไปที่เตียงแล้วพยาบาลก็รูดม่านปิด หมอเดินเข้าไปด้วย ตะวันฉายจะตามเข้าไปแต่พยาบาลดึงไว้
“ของคุณเชิญทำแผลทางนี้ค่ะ” พยาบาลบอก
“เดี๋ยวได้ไหมคะ ฉันเป็นห่วงเขา” ตะวันฉายต่อรอง
“คุณเข้าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ รักษาตัวเองก่อนดีกว่าค่ะ”
ตะวันฉายจำใจต้องเดินไปอีกมุม หมอกับพยาบาลอีกชุดเข้ามาทำแผลให้ตะวันฉาย หมอถามอะไรตะวันฉายก็ไม่ตอบเพราะยังเป็นห่วงเมฆที่อยู่หลังม่าน
“เดี๋ยวจะเจ็บแผลนะครับ ถ้าไม่ไหวก็บอกหมอนะครับ” หมอบอก
ตะวันฉายไม่ได้ยินที่หมอพูด “พี่ธีร์คะ ช่วยคุณเมฆด้วยนะคะ”
หมองงแต่ก็ทำแผลต่อ ตะวันฉายไม่รู้สึกเจ็บเพราะตายังมองแต่ห้องที่เมฆถูกรักษาอยู่
ยุทธการ หมอก นิค และเอวาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้อง
“พ่อกับพี่ซันจะหายใช่ไหมครับ” หมอกถาม
เอวาน้ำตาซึม “ใช่ครับ หมอเค้ากำลังรักษาอยู่นะ”
สักพักพยาบาลก็เปิดประตูให้ตะวันฉายเดินออกมา ยุทธการ นิค เอวา และหมอกรีบเข้าไปหา
“ซัน เป็นยังไงบ้าง” ยุทธการถาม
“ซันไม่เป็นไรแล้วค่ะ” ตะวันฉายบอก
“แล้วพี่เมฆล่ะ” นิคถาม
“หมอกำลังผ่าตัดช่วยคุณเมฆอยู่”
“อาการพี่เมฆล่ะ เขาบอกหรือเปล่าหนักเบาแค่ไหน” นิคถามต่อ
ตะวันฉายได้แต่ส่ายหน้า ทุกคนมีสีหน้าวิตกกังวล หมอกเดินมากอดตะวันฉายแล้วร้องไห้
“พี่ซัน หมอกอยากเจอพ่อครับ”
ตะวันฉายทรุดตัวลงนั่งกอดหมอก
“เดี๋ยวคุณพ่อจะต้องหายออกมาเจอกับคุณหมอกนะครับ” ตะวันฉายบอก
หมอผ่าตัดให้เมฆอยู่ กราฟของเครื่องวัดชีพจรของเมฆลงต่ำมาก
“คนไข้เลือดออกมาก ห้ามเลือดให้ได้ก่อน” หมอสั่ง
“คนไข้อุณหภูมิต่ำลงค่ะ” พยาบาลบอก
“เอาเลือดมาเพิ่มอีกถุง”
หมอและพยาบาลวุ่นวายในการช่วยชีวิตเมฆ
เมฆที่มีท่อช่วยหายใจสอดอยู่ที่ปากบังคงนอนหลับสนิท
เวลาผ่านไป ตะวันฉาย ยุทธการ นิค เอวา และหมอกนั่งรออยู่หน้าห้อง เวลาผ่านไปอีกทุกคนเริ่มสลับที่นั่งกัน หมอกนั่งหลับบนตักของตะวันฉาย นิค เอวา และยุทธการเริ่มเหนื่อย ตะวันฉายเองก็ง่วงจึงเผลอหลับ ทันใดนั้นก็มีแสงขาววาบพาตะวันฉายหลุดเข้าสู่สวนแห่งหนึ่ง
ในความฝันของตะวันฉาย ธีรภพในชุดสีขาวเดินมาหาตะวันฉายที่อยู่ในชุดขาวเหมือนกัน
“พี่ธีร์”
“ขอบคุณซันมากนะที่ช่วยหมอกไว้”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ว่า...เอ่อ...คุณเมฆน่ะสิ ตอนนี้กำลัง”
เสียงเมฆดังขึ้น “กำลังอะไร”
ตะวันฉายหันไปด้วยความตกใจ “คุณเมฆ คุณมาได้ไง”
“ฉันก็มาหาพี่ชายฉันนะสิ” เมฆบอก
“ไม่นะ ไม่ได้ คุณจะไปหาพี่ธีร์ไม่ได้”
เมฆกับธีรภพหัวเราะขำตะวันฉาย
“นี่...เธอจะบ้าเหรอ พี่น้องกันก็ต้องไปด้วยกันสิ ใช่ไหมครับพี่ธีร์”
“ใช่ ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ” ธีรภพพูดกับตะวันฉาย “ซัน พี่ฝากหมอกด้วยนะ”
เมฆกับธีรภพเดินจากตะวันฉายไป
ตะวันฉายโวยวาย “ไม่...คุณเมฆ อย่าไป ฉันขอร้องล่ะ คุณเมฆ”
หมอกำลังผ่าตัดด้วยความเครียด หมอพูดกับเมฆที่หลับอยู่ว่า “เข้มแข็งไว้นะ”
ตะวันฉายที่หลับอยู่สะดุ้งตื่น
“ไม่นะ”
ยุทธการ นิค และเอวาสะดุ้งแล้วรีบวิ่งไปหา
“ซัน มีอะไร ฝันร้ายเหรอ” ยุทธการถาม
ตะวันฉายพยักหน้ารับ “พี่ยุทธ นิค เอวา ฉันกลัวอ่ะ ฉันฝันว่าพี่ธีร์มารับคุณเมฆไป”
“พี่ว่าซันคงเครียดเกินไปน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
ตะวันฉายยังใจไม่ดี หมอเดินออกมา ทุกคนรีบลุกขึ้นมาเพื่อรอฟัง
“พี่เมฆเป็นไงบ้างคะ” เอวาถาม
“คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ” หมอบอก
ทุกคนดีใจ
นิคพูดกับตะวันฉาย “ฝันร้ายกลายเป็นดีแล้วนะแก”
ตะวันฉายจับมือหมออย่างดีใจ “ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ” ตะวันฉายพูดกับหมอก “คุณหมอก คุณพ่อปลอดภัยแล้วครับ ดีใจไหม”
หมอกพยักหน้ายิ้มกว้างแล้วนึกได้ “เมื่อกี้พี่ซันพูดนะคะคุณหมอ”
ตะวันฉายอึ้งเพราะไปต่อไม่ถูก ยุทธการ นิค และเอวาแอบขำ
เกริกไกรยืนต่อโทรศัพท์อยู่ในห้อง โดยมีสายรุ้งยืนลุ้นอยู่ข้างๆ เกริกไกรได้ยินเป็นเสียงเทปให้ฝากข้อความ
“ฝากข้อความอีกแล้ว”
“อะไรกันเนี่ย ทำไมเวลาอยู่กรุงเทพฯชอบปิดเครื่องจริงนะลูกคนนี้ โทรไปคอนโดก็ไม่รับ พ่อ...แม่ชักสงสัยแล้วว่ามีลับลมคมในอะไร” สายรุ้งว่า
“ไม่เป็นไร ไว้โทรเย็นๆก็ได้”
“ไม่เอาพ่อ โทรตอนนี้แหละ บอกตรงๆวันนี้แม่หวิวๆคิดถึงลูกยังไงก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้ยินเสียงแม่ทำงานไม่ได้แน่”
“ได้จ้า....พ่อจัดให้”
ยุทธการเดินมาที่รถที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถในโรงพยาบาลแล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ยุทธการหยิบมาดูแล้วถอดใจเครียดก่อนกดรับสาย
“สวัสดีครับอาเกริก”
“ยุทธ อารุ้งเขาอยากรู้ว่าลูกสาวคนสวยแสนซนของอาเป็นไงบ้าง เพราะเราติดต่อซันไม่ได้เลย”
“เอ่อ....ซันเขาก็ดีครับ แต่ช่วงนี้เขายุ่งๆน่ะครับ”
เกริกไกรพูดกับสายรุ้ง “ยุทธเขาบอกว่าซันมันยุ่งๆน่ะ”
สายรุ้งหงุดหงิดเลยดึงโทรศัพท์มาคุยเอง
“ยุทธ อารุ้งนะลูก ซันเขายุ่งอะไรอีกแล้วถึงกับต้องปิดมือถือ คอนโดก็ไม่กลับ ตกลงเขากำลังทำอะไรกันแน่”
“เอ่อ...ผม”
“ยุทธ ถ้าช่วยน้องปิดบังอา อาจะไปกรุงเทพฯตอนนี้เลย” สายรุ้งขู่
“เอ่อ...อารุ้งครับ อย่าเพิ่งมาดีกว่า”
“ยุทธการ บอกอามาเดี๋ยวนี้”
“อารุ้งทำใจดีๆนะคับ”
สายรุ้งร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ
“อะไรนะ ซันถูกยิง”
สายรุ้งเป็นลมร่วงลงไปแต่เกริกไกรคว้าไว้ได้ทัน
“แม่...แม่” เกริกไกรตะโกน “ใครอยู่ข้างนอกตามหมอที”
ยุทธการเดินมาที่ตู้กดกาแฟ ตะวันฉายที่กำลังกดกาแฟอยู่หันมาพร้อมกับกาแฟสองแก้ว เธอยื่นให้ยุทธการหนึ่งแก้ว
“ดูซันสบายใจขึ้นมากนะที่คุณเมฆปลอดภัย” ยุทธการบอก
“เอ่อ....ก็....”
“พี่ก็ดีใจนะที่คุณเมฆปลอดภัย นิค เอวาก็ดีใจเหมือนกัน”
“ใช่ๆๆๆ ซันก็รู้สึกเหมือนทุกคนนี่แหล่ะ”
“จริงเหรอ....พี่ว่าซันรู้สึกดีใจมากกว่าพวกเรานะ เหมือนคุณเมฆเป็นคนพิเศษของซันน่ะ”
ตะวันฉายนิ่งอึ้งเพราะพูดไม่ออก
“ไม่ตอบ แสดงว่าใช่”
ตะวันฉายตกใจ “เอ่อ...เปล่านะพี่ยุทธ คือซันกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
ยุทธการยิ้ม “งั้นพี่ไม่กวนแล้ว”
ยุทธการจะเดินไป แต่ตะวันฉายลุกขึ้น
“พี่ยุทธ” ตะวันฉายเรียก
“เวลาจะดูพี่ว่ามีความสุขซันรู้ไหมว่าต้องดูจากอะไร”
ตะวันฉายยังไม่เข้าใจที่ยุทธการพูด
“ก็ดูจากรอยยิ้มของซันไง ถ้าซันมีความสุขพี่ก็จะสุขไปด้วย เหมือนอย่างตอนนี้ไง พี่ดีใจนะที่เห็นซันมีความสุข พี่ไปละนะ”
พูดจบยุทธการก็เดินจากไป ตะวันฉายมองตามยิ้มๆ
เมฆนอนหลับอยู่บนเตียงผู้ป่วย ตะวันฉายเดินเข้ามามองเมฆที่นอนหลับด้วยสีหน้ายิ้ม
“ขอบคุณนะคะคุณเมฆที่ช่วยฉัน”
ตะวันฉายตัดสินใจค่อยๆเอามือลูบมือเมฆเบาๆอย่างทะนุถนอม แล้วก็ค่อยๆจับมือให้แน่นขึ้น
“ฉันจะดูแลคุณเอง”
ตะวันฉายนั่งลงข้างๆ ก่อนจะมองหน้าเมฆขณะที่ยังจับมือเมฆ ยุทธการยืนแอบมองแล้วก็ยิ้มๆแล้วตัดสินใจเดินจากไป