xs
xsm
sm
md
lg

บ่วงรัก ตอนที่ 13 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บ่วงรัก ตอนที่ 13 อวสาน

พรรณีมาตลาดแต่เช้า และกำลังเลือกผักจากแผงเจ้าประจำ สักครู่หนึ่งพิณทองวิ่งหน้าตาตื่นมาหา พร้อมกับของในมือ และหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง

“แม่จ๋าแม่ ดูข่าวนี่ซีจ๊ะ”
“อะไรลูก”
พรรณีดูข่าวหนังสือพิมพ์ เห็นข่าวพาดหัว “กรรมตามทัน คนร้ายหนีตำรวจ เจอรถชนดับคาที่” ที่ข้างๆ ข้อความมีรูปของเรืองโรจน์ประกอบข่าว พรรณีอึ้งไป

เพชรแท้อ่านข่าวนั้นจบก็พับหนังสือพิมพ์ลง หน้าตาครุ่นคิด
“หนีตำรวจไปโดนรถชนตาย...”
“นั่นซีลูก คนเรา นึกไม่ถึงเลยนะ บทจะตายก็ตายกันง่ายๆ พระท่านถึงว่าชีวิตมันอนิจจัง”
“เพชรว่า...มันง่ายไปหรือเปล่าแม่” เพชรแท้ติดใจ
“พี่เพชรหมายความว่ายังไง”
“คิดดูซี ไอ้คนที่ตาย เป็นคนเดียวที่มีหลักฐานยืนยันได้ว่า อังคณาเป็นตัวการสั่งฆ่าพ่อ...พอเราได้เบาะแส ตำรวจกำลังจะจับมันได้ มันก็โดนรถชนตายไปเฉย ๆ...มันไม่ง่าย ไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอ”
พรรณีกับพิณทองคิดตาม ชักสงสัยเหมือนกัน

ที่สถาบันนิติเวช ชนะศึกกับชนกนันท์ดูศพเรืองโรจน์เสร็จแล้ว กำลังคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่ เป็นชายอารมณ์ดี ทำงานกับศพจนชิน ท่าทางสบายๆ ช่างพูดช่างคุย
“เขาเสียชีวิตเพราะโดนรถชนจริงๆ เหรอครับ” ชนะศึกถามอย่างสงสัย
“ครับ จากที่เราชันสูตร ผู้ตายมีกระดูกหักหลายแห่ง อวัยวะภายในบาดเจ็บรุนแรงจนถึงแก่ชีวิต แต่สภาพร่างกายไม่มีร่องรอยของการต่อสู้หรือถูกทำร้ายอื่นใดเลย...เขาโดนรถชนตายแน่ๆ”
“แล้ว...ตำรวจจับคนที่ชนได้หรือยังครับ”
“ผมว่าคงเป็นไอ้พวกเด็กเที่ยวที่เมาแล้วขับรถซิ่งตอนดึก ๆ น่ะแหละ ดูจากที่พื้นถนนไม่มีรอยเบรกเลย มันคงเบรกไม่ทันหรือเผลอ ๆ ไม่ได้เบรกเลยด้วยซ้ำ” เจ้าหน้าที่ส่ายหัว “ไอ้พวกนี้ มันขับเหมือนจะแข่งกันไปนรก ดีนะว่าไม่ได้ชนคนดี ๆ เขาตายไป”
ชนกนันท์กับชนะศึกพยักหน้า ทั้งสองดูเหมือนโล่งใจอย่างประหลาด
เจ้าหน้าที่ส่งแฟ้มภาพถ่ายศพเรืองโรจน์ให้ชนะศึกดู และอดพูดต่อไม่ได้
“ขนาดเป็นคนร้าย ผมเห็นศพแล้วยังอดสงสัยไม่ได้ คุณเอ๊ย มันชนจนป้ายทะเบียนหลุดกระเด็นเลย ขางี้หักเป็นสองท่อน คิดดูแล้วกัน...ไม่ตายยังไงไหว”
ชนกนันท์สะดุ้งเฮือก
“อะไรนะคะ...ตะกี๊คุณว่ารถที่ชนป้ายทะเบียนหลุดเหรอคะ”
“ครับ ตำรวจเขาเจอหมุดที่มีเศษขอบป้ายทะเบียนหักตกอยู่ตรงที่เกิดเหตุ แต่ยังจับตัวไม่ได้หรอกนะครับ เพราะป้ายทะเบียนไม่รู้หายไปไหน”
ชนะศึกเห็นชนกนันท์อึ้งก็สงสัย “มีอะไรเหรอ นก”
“เปล่าค่ะ...นกขอตัวก่อนนะคะ พี่ชนะ เผอิญนึกได้ว่ามีธุระด่วน ต้องรีบไป”
พูดจบชนกนันท์ก็รีบเดินออกไปทันที ชนะศึกแปลกใจ มองตาม ไม่เข้าใจท่าทีของน้องสาว
เวลาต่อมาที่บ้านเลิศชัยวัฒน์ ขณะที่ศักดากำลังล้างรถอยู่ ชนกนันท์รีบร้อนเข้ามาถึง สายตามองไปที่กันชนรถของอังคณา เห็นว่าป้ายทะเบียนหน้ารถของอังคณาหลุดหายไป ศักดาเงยหน้ามาเห็นพอดี ชนกนันท์เดินเข้าไปมองตรงป้ายทะเบียนที่หลุด แล้วมองไปรอบๆ รถ
“จะใช้คันนี้หรือครับ เดี๋ยวผมรีบล้างให้”
ชนกนันท์ไม่ตอบ เดินไปจะเปิดประตู แต่ล็อก
“ผมไม่ได้ทำความสะอาดในรถครับ คุณผู้หญิงสั่งให้ล้างแต่ข้างนอก”
“เอากุญแจสำรองมาให้ฉัน” ชนกนันท์สั่ง
ศักดางง ๆ แต่ก็เดินไปหยิบกุญแจมาส่งให้ ชนกนันท์ดุศักดา
“ออกไปได้แล้ว”
ศักดางง แต่ก็ออกไป
พอศักดาไปแล้ว ชนกนันท์ไขกุญแจเปิดรถ เริ่มค้นหาป้ายทะเบียนที่หายไป เริ่มจากท้ายรถ ไม่พบอะไร เปิดประตูทั้งสี่บาน หาในรถ ในลิ้นชัก ใต้เบาะ จากด้านหน้าไปด้านหลัง ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ชนกนันท์คิดไปคิดมา ชักไม่แน่ใจ
“ไม่มี”
ชนกนันท์จะปิดประตูบานหลัง แต่เมื่อสายตามองต่ำลงไป ก็คิดบางอย่างขึ้นได้ จึงก้มลง กระชากพรมปูพื้นรองขึ้นมา ทีละอันทีละอันจากข้างหลัง มาจนถึงอันสุดท้าย ที่พรมปูรองพื้นตรงที่นั่งคนขับ มือของชนกนันท์ไปโดนตรงจุดหนึ่ง ซึ่งนูนๆ เหมือนมีของอะไรบางอย่างซุกอยู่ใต้นั้น ชนกนันท์กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดพรม ทันใดก็ต้องสะดุ้ง เพราะอังคณามายืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ชนกนันท์รีบปล่อยมือทันที
“ยัยนก ทำอะไร”
“เอ่อ หาของค่ะ”
“หาอะไร ทำไมถึงมาหาในรถแม่”
“นก...ตุ้มหูของนกน่ะค่ะ มันหล่นหายไป นกหาในรถของนกแล้วไม่เจอ เลยลองมาหาดูที่นี่”
อังคณาไม่เชื่อ “จะโกหกไปถึงไหน แกไม่เคยใช้รถคันเดียวกับแม่ ของจะมาตกในรถแม่ได้ยังไง...แกจะหาอะไร ยัยนก จะหาให้มันได้อะไรขึ้นมา”
ชนกนันท์อึกอัก “เอ่อ คือ นก...นก”
“เมื่อไหร่จะเลิกบ้า ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แบบนี้เสียที ที่พูดกันวันนั้นไม่เข้าใจหรือยังไง” ชนกนันท์ก้มหน้างุด “ไป กลับขึ้นบ้านไปเดี๋ยวนี้”
ชนกนันท์รีบกลับเข้าไปในบ้าน
อังคณาเดินมาปิดประตูรถทุกบาน กลับไปตรงจุดที่พรมด้านคนขับเปิดออก แล้วหยิบถุงใส่ป้ายทะเบียนออกมา มองซ้ายมองขวา แล้วเดินเข้าบ้านไป

ชนกนันท์เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน สีหน้าท่าทางตกใจมาก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอย่างที่ตัวเองคิด

ส่วนทางด้านเพชรแท้กำลังพยายามอธิบายกับสารวัตรเจ้าของคดีฆาตกรรมธานินทร์

“มันต้องมีซีครับ ตอนก่อนตาย ไอ้เรืองโรจน์มันบอกกับผมเอง ว่ามันมีซิมการ์ดที่อัดเสียงคุณอังคณาไว้”
“ตำรวจเขาบุกเข้าไปในห้องที่โรงแรมที่คุณบอกแล้ว ข้าวของอะไรก็ขนมาหมด มันไม่มีซิมการ์ดอะไรที่คุณว่า”
“หาดีๆ อีกครั้งได้ไหมครับ มันอาจจะแอบซุกซ่อนเอาไว้ที่ไหน หลักฐานอันนี้สำคัญมากนะครับ มันเป็นหลักฐานที่เราจะเอาตัวคุณอังคณาเข้าคุกได้”
“คุณเคยเห็นซิมอันที่ว่านี้ไหม” เพชรแท้ส่ายหน้า “แล้วรู้ได้ยังไงว่ามันมีจริง”
“ก็...ถ้าไม่มี อังคณาจะฆ่าเรืองโรจน์ปิดปากทำไม”
“คุณ...ผมว่าคุณไปกันใหญ่แล้ว” สารวัตรตบไหล่เพชรแท้ “ผมรู้นะว่าคุณกับคุณอังคณาไม่ถูกกัน แต่ผมไม่อยากให้คุณไปกล่าวหาเขาซะทุกเรื่อง”
สารวัตรถอนใจ เดินไปเอาแฟ้มอันหนึ่งมาเปิด โยนลงตรงหน้าเพชรแท้ ในแฟ้มเป็นรูปรถคันหนึ่ง ด้านหน้าชนยับยู่ยี่ และไม่มีป้ายทะเบียนด้านหน้าด้วย
“อะไรครับ”
“วันที่นายเรืองโรจน์โดนรถชนตาย ห่างออกไปอีกไม่กี่ร้อยเมตร มีคนเมาขับรถชนเสาทางด่วน ตายคาที่ ดูจากสภาพรถและเวลาเกิดเหตุ ก็น่าจะเป็นรถคันนี้แหละ ที่ชนนายเรืองโรจน์จนเสียชีวิต...อย่าคิดอะไรให้มันซับซ้อนเกินไปหน่อยเลยคุณ”
เพชรแท้ได้ฟังตำรวจสรุปคดี ได้แต่อึ้ง นิ่งงันไป

วันต่อมาภายในห้องประชุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายตำรวจระดับนายพลนั่งเป็นประธาน พร้อมกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่อีก 2-3 นาย อังคณา ชนะศึก และชนกนันท์ นั่งอยู่ด้วย มีนักข่าว ช่างภาพ และช่างกล้องอีกหลายคนอยู่ในห้องแถลงปิดคดี
“กล่าวโดยสรุปก็คือ คดีจ้างวานฆ่านายธานินทร์ เลิศชัยวัฒน์ มีผู้กระทำความผิดคือนายเรืองโรจน์ อธิกร ที่ว่าจ้างให้นายพิชัย ชื่นจิตร สังหารนายธานินทร์ ด้วยการลอบยิงด้วยปืน และวางเพลิงเผาซ้ำอย่างโหดเหี้ยม เพื่อเป็นการอำพรางคดี” นายตำรวจใหญ่แถลงปิดคดี
สีหน้าชนะศึก และชนกนันท์มองไปที่อังคณาอย่างเจ็บปวดและผิดหวัง สะท้อนใจว่าแม่ทำกับพ่ออย่างนั้นได้อย่างไร อังคณานั่งนิ่ง ไม่ยอมสบตาใคร
“ตำรวจได้จับตัวนายพิชัย ชื่นจิตร ได้แล้ว และได้ติดตามจับกุมนายเรืองโรจน์ ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง แต่นายเรืองโรจน์ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไปแล้ว ระหว่างการหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ...”
ชนกนันท์มองหน้าอังคณา คิดในใจว่าเป็นอุบัติเหตุจริงหรือ...อังคณาหันมาสบตาเข้าพอดี ชนกนันท์รีบเมินหนีไปทางอื่น
“หน้าที่ของตำรวจตอนนี้ ก็เหลือเพียงดำเนินคดีกับนายพิชัย ชื่นจิตร มือปืนต่อไป คดีนี้ก็เป็นอันปิดลงได้อย่างรวดเร็วครับ ขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนงที่ให้ความช่วยเหลือในการสืบสวนคดีนี้ด้วย” นายตำรวจกล่าวปิดท้าย
อังคณาลอบถอนใจเบาๆ อย่างโล่งอก ชนะศึกปรายตามองอังคณา สีหน้าเศร้าใจ

ไม่นานต่อมา อังคณา ชนะศึก และชนกนันท์เดินออกมาที่หน้าอาคารสำนักงานฯแล้ว มีนักข่าวอีก 2-3 คน ตามมาขอสัมภาษณ์
“คุณอังคณารู้สึกยังไงบ้างคะ”
อังคณายิ้ม “ก็...ดีใจค่ะ ที่ทุกอย่างจบลงได้ด้วยดี”
นักข่าวอีกคนถามต่อ “มีอะไรจะกล่าวเกี่ยวกับคดีนี้ไหมคะ”
“ดิฉันขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุก ๆ ท่าน ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อเอาตัวคนร้ายมาลงโทษ จากนี้ไป ทุกคนจะได้อยู่กันอย่างปกติสุขเสียที ดวงวิญญาณของคุณธานินทร์ก็จะได้พักผ่อนอย่างสงบสุขด้วย”
นักข่าวคนหนึ่งหันมาทางชนะศึก “คุณชนะศึกล่ะคะ...คิดยังไงกับเรื่องนี้”
ชนะศึกนิ่งคิดครู่หนึ่ง “คนที่ทำผิด ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องได้รับโทษ...ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย...ไม่ว่าใครก็ตาม”
อังคณาชะงักไป ชนะศึกฝืนยิ้มให้นักข่าวขอตัว
“ขอตัวก่อนนะครับ”
อังคณากับลูกๆ เดินเลี่ยงนักข่าวมาที่รถ
“ชนะ นก เดี๋ยวเราไปกินข้าวเที่ยวด้วยกันนะ แม่มีอะไรอยากจะคุยด้วย”
ชนะศึกกับชนกนันท์แปลกใจ

ไม่นานนักสามแม่ลูกอยู่ที่โต๊ะในร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง อังคณามีสีหน้าท่าทางสบายใจขึ้น กลับมาเป็นผู้หญิงที่มั่นใจ และทรงอำนาจคนเดิม ชนะศึกเครียดขรึม ส่วนชนกนันท์เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่สบตาใคร พนักงานเอาเป็ดย่างมาเสิร์ฟ
อังคณาถามด้วยเสียงขุ่น ไม่พอใจ “ใครสั่ง”
“ผมเองครับ...ของโปรดของคุณพ่อ คุณแม่จำได้ไหม”
อังคณาบอกบริกร “ยกออกไป”
ชนะศึกพยักหน้า บริกรยกจานเป็ดย่างออกไป
อังคณาหันมาบอกชนะศึก “แม่ไม่อยากเห็นอะไรที่ทำให้คิดถึงพ่อเขา”
ชนะศึกกับชนกนันท์อึ้งไป
“ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ชนะ นก...ตอนนี้ เรื่องร้าย ๆ มันก็จบลงแล้ว แม่เลยคิดว่า แม่จะไปจากที่นี่”
“คุณแม่จะหนีอะไรเหรอครับ”
อังคณาสะอึก พูดเฉไฉ “หนีอะไร...ก็หนีจากไอ้เรื่องบ้าๆ นี่นะซี แม่อยากจะหนีจากทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นที่นี่ อยากจะลืมเรื่องร้ายๆ ที่มันเกิดขึ้นที่นี่...อาทิตย์หน้า แม่จะไปบ้านของเราที่สวิส”
ชนะศึกซัก “กลับเมื่อไหร่ครับ”
อังคณานิ่งไปนิด “แม่คิดว่าแม่จะไปอยู่ที่นั่น” ชนะศึกกับชนกนันท์งง “เรื่องบริษัทของเรา ชนะก็ดูแลไป ส่วนนก เธอต้องไปอยู่กับแม่”
ชนกนันท์ตกใจ ปัดตะเกียบหล่น “คะ”
“เป็นอะไร ขวัญอ่อนไม่เข้าเรื่อง”
“ทำไมคุณแม่ต้องไปอยู่สวิส เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่มันทำร้ายคุณแม่ถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ชนะศึกตั้งคำถาม แต่อังคณาไม่ตอบ “มันคงเลวร้ายมากจริงๆ คุณแม่ถึงยอมทิ้งบ้านที่คุณแม่ทั้งรัก ทั้งภูมิใจไปได้ลงคอ”
“บอกแล้วไง แม่ไม่อยากเห็นอะไรที่ทำให้แม่ต้องคิดถึงพ่อของลูก...”
อังคณานิ่งคิดไป

ตอนกลางวันของวันใหม่ ภายในห้องรับแขกบ้านเลิศชัยวัฒน์ นักข่าวหลายคน รวมทั้งช่างภาพ และช่างกล้องวิดีโอกำลังรุมกันถ่ายภาพครอบครัวเลิศชัยวัฒน์ อังคณาอยู่ในชุดลูกไม้สีดำกรุยกรายสวยงาม แต่งตัวแต่งหน้าเต็มยศ นั่งสง่าอยู่ที่ชุดรับแขก
“เหตุผลสำคัญที่ทำให้ดิฉันตัดสินใจขายบ้านหลังนี้ เพราะดิฉันไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เมื่อปราศจากคุณธานินทร์”
ชนะศึก และชนกนันท์แต่งตัวหล่อสวยเช่นกัน นั่งอยู่สองข้าง ห่างออกไป อังคณาซับน้ำตาขณะเปิดใจกับสื่อมวลชน
“ทุกมุม ทุกห้องในบ้านหลังนี้ เตือนให้ดิฉันคิดถึงแต่คุณธานินทร์ ดิฉันคงไม่สามารถจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาได้ หากยังอยู่ที่นี่...ส่วนเงินที่ได้จากการขายบ้านหลังนี้ ดิฉันจะนำไปเป็นทุนในการตั้งมูลนิธิธานินทร์ เลิศชัยวัฒน์ เพื่อให้การสนับสนุนการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส้ ก็แค่หวังว่าบุญกุศลครั้งนี้จะดลบันดาลให้คุณธานินทร์เขาได้มีความสุขในภพหน้าน่ะค่ะ”
นักข่าวช่างภาพที่รุมล้อมฟังอยู่ต่างพากันตื้นตันใจ ปรบมือกราว ชนะศึกกับชนกนันท์ฝืนยิ้ม
“ขอถ่ายรูปด้วยนะครับ” ช่างภาพคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“เชิญค่ะ” อังคณาลุกขึ้นยืนท่วงท่างามสง่า “ทุกท่านจะได้ถ่ายภาพดิฉันกับบ้านหลังนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว”
“เชิญคุณชนะศึกกับคุณชนกนันท์ด้วยครับ”
ชนะศึกกับชนกนันท์ลุกขึ้นมายืนขนาบข้างอังคณา แต่เว้นระยะห่างไว้ อังคณาตั้งท่า โอบกอดลูกทั้งสองเข้ามา ชนะศึกกับชนกนันท์มีท่าทีอึดอัดใจเล็กน้อย อังคณาเองก็รู้สึกได้ แต่ยังเล่นละครยิ้มแย้มสดชื่นให้นักข่าว
สามแม่ลูกถ่ายรูปรวมกัน บรรยากาศคล้ายวันวานเมื่อครั้งธานินทร์ยังอยูู่ แต่ในลึกลงไปในสีหน้าและแววตา

ทุกคนต่างรู้ดีว่า นับตั้งแต่นี้ต่อไป ความสัมพันธ์ในครอบครัวเลิศชัยวัฒน์จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

บ่วงรัก ตอนที่ 13 อวสาน (ต่อ)

บ่ายคล้อยวันเดียวกันนั้น ชนะศึกขับรถเข้ามาจอดอยู่ที่ปากซอยบ้านพรรณี เขาคิดว่าจะขอโทษครอบครัวของพิณทอง แต่ก็ละอายใจไม่กล้าเข้าไป

ในที่สุดชนะศึกก็มานั่งอยู่หน้าบ้าน ข้างๆ มีถุงใส่ไข่ไก่ 3-4 ฟองวางอยู่ พิณทองรินน้ำใส่แก้วยื่นให้
“น้ำค่ะ”
“ขอบใจ”
พิณทองรอจนชนะศึกดื่มน้ำเสร็จจึงเอ่ยถาม “คุณมีธุระอะไรคะ”
ชนะศึกอึกอัก ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงที่จะขอโทษ เสไปพูดเรื่องอื่น พอดีมองเห็นถุงใส่ไข่วางอยู่
“ไปซื้อไข่มาเหรอ...อีกหน่อยรวยเป็นร้อยล้านแล้ว จะยังกินไข่ต้มกันอยู่อีกไหม”
“กินค่ะ” พิณทองเมียงมองชนะศึก “คุณไม่ได้มาถามเราเรื่องกับข้าวเย็นหรอก ใช่ไหมคะ”
ชนะศึกอึกอัก “คือ คือว่า...ผม”
ชนะศึกรวบรวมกำลังใจ ในที่สุดก็หันมา มองพิณทองตรง ๆ
“คือ...เรื่องที่ผ่าน ๆ มาน่ะ ผมมองพวกคุณผิดมาตลอด ผมทำให้ที่บ้านคุณต้องลำบาก เดือดร้อน คือ...ผมอยากให้พวกคุณรู้ว่าผมไม่ได้คิดร้ายอะไรกับพวกคุณ ทั้งหมดมันเป็นความเข้าใจผิด ผมแค่เข้าใจผิด ผมเลยทำอะไรผิดๆ ไป”
พิณทองสวนคำออกมา “คุณมาขอโทษ”
ชนะศึกเสียฟอร์มเหมือนกันอ้อมแอ้มรับ “อึมม์”
พิณทองถามย้ำ “คุณมาที่นี่ เพื่อจะมาขอโทษแม่กับพี่เพชรใช่ไหมคะ”
“อึมม์” ชนะศึกมองพิณทอง “แล้วก็คุณด้วย พิณทอง...ยกโทษให้ผมนะ”
“พิณยกโทษให้คุณค่ะ”
“ขอบใจ ผมมาพูดเท่านี้แหละ...”
“ค่ะ”
ชนะศึกมองพิณทองใบหน้านั้นเศร้าเหลือเกิน ชายหนุ่มฝืนยิ้มแล้วหันหลังเดินจากไป พิณทองมองตามด้วยความสงสารชนะศึกเดินห่างออกไปได้ครู่หนึ่ง พิณทองตัดสินใจเรียกไว้
“คุณชนะศึกคะ...คุณรออยู่ตรงนี้แป๊บนึงนะคะ” ชนะศึกงง “แป๊บเดียวค่ะ”
พิณทองกลับขึ้นไปบนบ้าน หยิบกระถางกล้วยไม้ที่ชนะศึกเคยซื้อให้ แล้ววิ่งกลับลงมา ถือกระถางกล้วยไม้ซ่อนไว้ด้านหลัง
“อะไรของคุณ”
พิณทองยื่นกระถางกล้วยไม้ให้ชนะศึก
“ดอกไม้สวยๆ แทนความสุข แทนความหวัง แทนกำลังใจ สิ่งดีๆ ที่ครั้งนึงคุณเคยให้กับพิณ...คราวนี้ พิณว่าคุณคงต้องการมันมากกว่าใคร...พิณให้คุณค่ะ”
ชนะศึกรับไป พิณมองชนะศึก สายตาเต็มไปด้วยความหวังดี ชนะศึกรู้สึกอบอุ่นในใจ

คืนนั้นภายในห้องนอนอังคณา น้อยเอาเสื้อผ้า 2-3 ชุด ซึ่งเป็นชุดสุดท้ายของอังคณาใส่ลงในกระเป๋า
“จัดกระเป๋าเสร็จแล้วค่ะคุณผู้หญิง”
“เสร็จแล้วก็ปิดกระเป๋าให้หมด แล้วก็ออกไปได้”
น้อยปิดกระเป๋าเดินทางทุกใบ เสร็จแล้วก็ออกไป อังคณารอจนกว่าน้อยออกไป จึงก้มลงไปใต้เตียง แล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมา ปรากฏว่ามันคือถุงใส่ป้ายทะเบียนรถนั่นเอง
อังคณามองดูกระเป๋า คิดนิดหนึ่ง แล้วเลือกกระเป๋าใบเล็กเปิดออก แล้วยัดถุงป้ายทะเบียนรถไว้ล่างสุด เสร็จแล้วก็ปิดกระเป๋า
จังหวะนั้นเสียงเคาะประตูเบาๆ ก่อนที่ชนกนันท์จะเดินเข้ามา
“คุณแม่” ชนกนันท์มองดูรอบๆ ห้อง “จัดกระเป๋าแล้วหรือคะ”
“อึมม์...มีอะไรเหรอยัยนก”
“นกจะมาบอกแม่...เรื่องสวิส”
อังคณาฉงน “ทำไม”
ชนกนันท์รวบรวมความกล้า “นกไม่อยากไป นกจะอยู่เมืองไทยกับพี่ชนะ”
อังคณายื่นคำขาด “นกต้องไปกับแม่”
“นกไม่อยากไป”
อังคณาตวาด “แม่สั่งให้แกไป”
ชนกนันท์ระเบิดอารมณ์ออกมา “ถ้านกไม่ไป แม่จะทำอะไรนกคะ แม่จะฆ่านกอีกคนไหม ถ้านกขัดใจแม่”
อังคณาตกใจคาดไม่ถึง “ยัยนก! แกพูดอะไรของแก”
ชนกนันท์ร้องไห้ออกมาด้วยความเครียดและอัดอั้นตันใจ
“นกรู้นะว่าแม่จะหนีไปสวิสเพราะอะไร นกไม่อยากรู้ไม่อยากเห็น นกไม่อยากเกี่ยวข้อง แม่ปล่อยนกไปเถอะ”
“แกคิดว่าแม่ทำอะไร หา! ยัยนก แกคิดว่าแม่ของแกทำอะไร”
ชนกนันท์สะอื้น “แม่...แม่...” ไม่กล้าพูดออกมาว่าอังคณาฆ่าเรืองโรจน์
“แม่ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ทุกอย่าง เป็นความคิดฟุ้งซ่านของแกทั้งนั้น ไม่มีหลักฐาน”
“เพราะแม่เก็บมันไปแล้วไงคะ แม่เอามันไปซ่อนแล้ว” ชนกนันท์เดินไปรอบๆ ห้อง “อยู่ไหนคะ แม่เอาไปไว้ไหนแล้ว” มองไปที่กระเป๋าเดินทางที่วางอยู่ “หรืออยู่ในนี้”
ชนกนันท์จะเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋า อังคณาระแวง รีบเข้าไปคว้ากระเป๋าใบเล็กมาถือไว้ ดุเสียงดัง
“แกบ้าไปแล้ว ยัยนก”
“มันอยู่ในนั้นใช่ไหมคะ”
ชนกนันท์มองนึกเอะใจ เดินตรงมาที่กระเป๋า ทั้งสองยื้อยุดกัน อังคณาผลักชนกนันท์ออกไป แต่ชนกนันท์ไม่ยอมปล่อยกระเป๋า ในที่สุดกระเป๋าหลุดกระจายออกจากกัน ของในกระเป๋าหล่นออกมากอง เห็นห่อพลาสติกที่ใส่ป้ายทะเบียนอยู่ในนั้น ชนกนันท์เห็น อึ้งไป
“แม่...แม่ทำ...จริงๆ”
อังคณาเดินไปหยิบป้ายทะเบียนขึ้นมา “แกไม่ควรมายุ่งเรื่องนี้”
“แม่ฆ่าเรืองโรจน์”
“มันสมควรตายแล้ว มันจ้างคนมาฆ่าพ่อแกนะ ลืมไปแล้วหรือไง”
“ไม่ใช่ มันไม่ได้เป็นคนสั่งฆ่าคุณพ่อ งานลับที่แม่ให้เรืองโรจน์ทำ คือฆ่าพ่อ แล้วโยนความผิดให้ไอ้เพชรแท้...แต่พอเรืองโรจน์มันทรยศแม่ แม่เลยฆ่ามัน ใช่ไหมคะ”
อังคณายืนอึ้ง ชนกนันท์เดินห่างออกไป อังคณาวางป้ายทะเบียนไว้ที่กระเป๋า แล้วเดินไปหา
“ลูกรักแม่ไหม” ชนกนันท์นิ่งอยู่อย่างนั้น “รักแม่ไหมนก”
“แม่เป็นแม่ของนก”
“แล้วรักแม่ไหมล่ะ”
ชนกนันท์น้ำตาไหลออกมา “ค่ะ นกรักแม่”
อังคณาดึงชนกนันท์เข้ามากอดไว้ “แม่ก็รักลูก” กอดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “ผัวเมียไม่รักกันมันเรื่องธรรมดา แต่ความรักระหว่างแม่กับลูก มันยิ่งใหญ่กว่านั้น ยังไงเราก็ตัดกันไม่ขาดหรอก ใช่ไหม ตอบแม่ซี ถึงยังไง นกก็คงไม่ทำร้ายแม่ เพื่อแก้แค้นให้พ่อหรอก ใช่ไหม”
ชนกนันท์กดดันเป็นที่สุด ในที่สุดก็พูดออกมา “ค่ะ นกไม่ทำ”
“คนดีของแม่...ต้องอย่างนี้ซีลูก”
อังคณากอดชนกนันท์อีกครั้ง ชนกนันท์ดูมีท่าทีเกร็งๆ ไม่กล้ากอดแม่เหมือนอย่างเคย ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น อังคณาลูบหัวลูกน้ำตาไหลออกมา

ขณะเดียวกันที่บริเวณหน้าห้อง ชนะศึกยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เห็นป้ายทะเบียน และได้ยินเรื่องทุกอย่างที่สองคนคุยใน ด้วยอาการตื่นตะลึง

วันต่อมาเพชรแท้กับพิณทองพากันมาอยู่ที่โรงแรมที่เรืองโรจน์มาซ่อนตัวก่อนจะเสียชีวิต และกำลังคุยอยู่กับเฮียผู้จัดการโรงแรมอยู่ตรงเคาน์เตอร์ เพชรแท้เอาหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่ลงข่าวของเรืองโรจน์ให้เฮียดูพลางถาม

“เฮียเคยเห็นคนนี้ไหม เขาเคยพักอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
“อ๋อ ใช่”
“ผมอยากขอเข้าไปดูห้องที่เขาพักหน่อยน่ะครับ”
เฮียมองสองคนอย่างระแวง “ดูทำไม ข้าวของอะไรของมัน ตำรวจก็ขนไปหมดแล้ว” มองหน้าเพชรแท้ “ลื้อจะมาดูอะไร”
พิณทองยิ้ม พูดเสียงหวาน “พี่เขาตามข่าวเรื่องนี้น่ะค่ะ เขาอยากจะเห็นว่าห้องที่คนร้ายเคยอยู่หน้าตาเป็นยังไง เฮียช่วยหน่อยได้ไหมคะ”
เฮียเห็นพิณทองพูดเพราะก็ใจอ่อน แต่ยังไม่ถึงที่สุด เพชรแท้รู้ทันตัดสินใจวางเงินลงไป 1,000 บาท
“ค่าห้องวันเท่าไหร่ ผมขอเช่าห้องนั้น”
เฮียนิ่งคิด ก่อนจะส่งกุญแจห้องให้

เพชรแท้เปิดประตูห้องเข้ามา ในห้องไม่มีข้าวของอะไรของเรืองโรจน์เหลืออยู่เลย
“ตำรวจเขาขนไปหมดจริงๆ แหละ พี่เพชร ไม่มีของส่วนตัวของนายเรืองโรจน์อยู่เลยซักชิ้น
“มันต้องมีสิน่า...ลองหาดี ๆ อาจจะตกหล่นอยู่ที่ไหนก็ได้ ช่วยกันหา”
พิณทองช่วยเปิดตู้ เปิดลิ้นชัก ไม่เจออะไร เพชรแท้ไปดูในห้องน้ำ ดูทั่วๆ ห้อง กระทั่งถังขยะ ก็ไม่พบอะไรเช่นกัน
“ไม่เจออะไรเลยจริงๆ”
เพชรแท้โมโหที่คว้าน้ำเหลว “ไม่อยากเชื่อเลย เราไม่มีหลักฐานเอาผิดอังคณาจริงๆ หรือนี่”
พิณทองนั่งลงที่เตียง เหลือบไปเห็นหนังสือสวดมนต์ หน้าปกเป็นรูปพระ ที่วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียง เลยหยิบขึ้นมาดู ด้วยท่าทีแปลกใจนิดหน่อย
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนร้ายๆ อย่างนายเรืองโรจน์จะรู้จักนับถือพระเจ้ากับเขาด้วย”
“อะไรนะ”เพชรแท้สงสัย
พิณทองยกหนังสือให้ดู “หนังสือสวดมนต์นี่ไง วางอยู่บนสุดเลย”
พูดจบพิณทองก็วางลงอย่างเดิม
เพชรแท้มองสำรวจดูที่โต๊ะหัวเตียง เห็นแผ่นพับโฆษณา เมนูอาหารเก่าๆ ของโรงแรม และมีหนังสือสวดมนต์ของโรงแรมวางอยู่ หนังสือสวดมนต์วางอยู่บนสุดจริงๆ ด้วย
เพชรแท้รำพึง “คนอย่างมันน่ะเหรอ สวดมนต์...มือถือสาก ปากถือศีลน่ะซี”
พูดจบเพชรแท้นึกเอะใจ เดินไปหยิบหนังสือสวดมนต์ขึ้นมาดู พลิกดูอย่างละเอียด
พบว่าด้านในปก มีซิมการ์ดแอบซ่อนอยู่อย่างแนบเนียน เพชรแท้ยิ้มอย่างดีใจ

เช้าวันรุ่งขึ้น รถตู้ของอังคณาจอดอยู่หน้าบ้าน สาวใช้กับศักดาช่วยกันเอากระเป๋าเข้าเก็บ อังคณาเดินออกมาจากในบ้าน แล้วเดินมาที่รถ
ชนะศึกกับชนกนันท์รอส่ง ทั้งสองหน้าตาเครียดขรึม อังคณาเดินเข้ามาหาชนะศึก
“แม่ไปล่ะนะ ชนะ”
“ครับ”
อังคณาเดินไปหานก “แม่ไปนะ ยัยนก ทำตัวดีๆ ล่ะ”
“ค่ะ”
“ดี...แล้วพอแม่กลับมาจากหัวหิน เราจะไปสวิสกัน”
อังคณาเดินไปที่รถ ศักดาจะเปิดประตูให้ อังคณา
“เดี๋ยวฉันขับเอง”
อังคณายื่นมือขอกุญแจรถ ศักดาส่งให้ อังคณาขึ้นไปนั่งด้านที่คนขับ ติดเครื่องแล้วขับรถออกไปชนะศึกมองตาม

ชนะศึกเดินครุ่นคิดเข้ามาที่ห้องโถงในบ้าน เห็นเป็นภาพครอบครัวบานใหญ่ติดอยู่บนผนัง ชนะศึกมองไปที่ใบหน้าธานินทร์ในภาพ
ขณะเดียวกันชนกนันท์อยู่ในห้องนอน เพ่งมองภาพที่ตัวเองถ่ายคู่กับธานินทร์ พูดกับภาพ น้ำตาไหลพราก
“นกจะทำยังไงดีคะ พ่อ...แม่บอกให้นกลืมทุกอย่าง แม่บอกให้นกทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นกลืมไม่ได้...นกทำไม่ได้...นกจะทำยังไงคะ นกจะทำยังไง”
ภาพธานินทร์ในมือชนกนันท์ยิ้มอ่อนโยน เหมือนจะปลอบใจลูกสาวที่กำลังทุกข์หนัก

ชนะศึกยืนมองที่รูปธานินทร์เช่นกัน
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ พ่อ ว่าผมควรจะบอกให้ตำรวจเขาจับแม่ไปรับโทษ หรือผมควรจะปล่อยให้แม่ได้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข...ผมไม่รู้จริง ๆ”
ชนะศึกว้าวุ่น กลัดกลุ้ม และสับสนหนัก
“พ่อสอนผมตั้งแต่เล็กจนโต พ่อสอนผม...ให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วทำมันให้ดีที่สุด...ผมทำตามที่พ่อสอนมาตลอด จนกระทั่งถึงวันนี้...” ชนะศึกมองภาพพ่อ “สิ่งที่ผมคิดอยู่ตอนนี้มันดี และถูกต้องหรือเปล่าครับ พ่อ ผมควรจะทำไหม...”

ใบหน้าธานินทร์ในรูปนั้นจ้องมองมาที่ชนะศึก ยิ้มแย้มเหมือนจะปลอบขวัญและให้กำลังใจลูกชายผู้กำลังเคว้งคว้างถูกความทุกข์กัดกินใจ

บ่วงรัก ตอนที่ 13 อวสาน (ต่อ)

ชนกนันท์ยืนครุ่นคิดอยู่หน้ากระจกน้ำตาไหลริน เหมือนจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง จังหวะหนึ่งชนกนันท์มองไปที่มุมตู้เก็บยา เห็นยาชนิดต่างๆ วางอยู่ จึงเอื้อมมือไปหยิบกระปุกยาแก้ปวดหัวขึ้นมา มองยาในมือนั้น

เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งชนะศึกเดินมาหยุดยืนเคาะประตูห้องชนกนันท์ เพื่อจะพูดกับน้องสาวเรื่องอังคณาผู้เป็นแม่ให้รู้เรื่อง
“นก” ชนะศึกเคาะประตูอีก “ยัยนก เปิดประตูหน่อย”
ไม่มีเสียงตอบ ชนะศึกกังวล จึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปเดินหา และเรียกอีก
“ยัยนก”
ภายในห้องเงียบกริบ
“ยัยนก”
ชนะศึกมองไปรอบห้อง ก่อนจะเห็นร่างชนกนันท์นอนกองอยู่ที่พื้นหน้าห้องน้ำ เหมือนคนใกล้หมดสติ ชนะศึกวิ่งไปประคองอย่างตกใจ
“ยัยนก นก เป็นอะไรน่ะ”
ชนกนันท์แทบไม่มีสติแล้ว ในมือถือกระปุกยาแก้ปวด เม็ดยาตกเกลื่อนอยู่รอบตัว ชนะศึกเดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

รถของชนะศึกแล่นมาบนถนนอย่างรวดเร็ว ภายในรถคันนั้นชนะศึกประคองชนกนันท์อยู่ที่เบาะหลัง ศักดาเป็นคนขับรถ
“ยัยนก อย่าเป็นอะไรนะ นก...”
ชนกนันท์อยู่ในอาการสะลึมสะลือ พยายามประคองสติ ส่งเสียงเรียกพี่ชาย
“พี่ชนะ”
“นก ทำใจดีๆ ไว้ ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำแบบนี้ทำไม”
ชนะศึกครวญคร่ำ ขณะที่ชนกนันท์สะอื้นเบาๆ
“นกกลุ้มใจ...นกทำไม่ได้”
“ทำอะไร” ชนะศึกฉงน
“คุณแม่จะให้นกลืมทุกอย่าง นกลืมไม่ได้ นกลืมไม่ได้”
ชนะศึกลูบเรือนผมปลอบน้องสาว “ไม่เป็นไรนะ นก ไม่เป็นไร...”
ชนกนันท์พูดเสียงกระท่อนกระแท่น ไม่ปะติดปะต่อ แต่ก็ยังคงพยายามพูดด้วยความอัดอั้น
“พี่ชนะ คุณแม่ฆ่าคน...คุณแม่ฆ่าเรืองโรจน์”
ชนะศึกพยักหน้า “พี่รู้”
ชนกนันท์สะอึกสะอื้น “คุณแม่เป็นตัวการ...ฆ่า...ทุกคน”
“พี่รู้...นกไม่ต้องกลัว พี่จะจัดการทุกอย่างเอง”
ชนกนันท์สงสัย “พี่ชนะจะทำอะไร”
ชนะศึกนิ่งไปไม่ยอมตอบ ได้แต่กอดแล้วลูบหัวน้องอย่างปลอบโยน ชนกนันท์น้ำตาไหลพราก ร้องครวญคร่ำ
“พี่อย่าทำอะไรแม่นะ” ชนะศึกไม่ตอบ “สัญญาซี พี่อย่าให้ใครทำอะไรแม่นะ แม่จะติดคุกไม่ได้ แม่ทนอยู่ในนั้นไม่ได้หรอก นกรู้ ปล่อยแม่ไปนะ พี่ชนะ”
ชนะศึกบอกออกมา “พี่จะทำตามที่พ่อสอน พี่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำมันให้ดีที่สุด...มันเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะจบเรื่องนี้ได้ เชื่อพี่เถอะ นก”
สีหน้าชนะศึกแน่วนิ่ง ตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้ว

ภายในห้องทำงานสารวัตรที่สถานีตำรวจ บ่ายนั้น สารวัตรใส่เมมโมรี่การ์ดไปในโทรศัพท์มือถือ เพชรแท้ พรรณี และพิณทองนั่งอยู่ที่สถานีตำรวจ รอฟัง
ภาพบนโทรศัพท์มือถือ เป็นชื่อไฟล์ “อังคณา” สารวัตรเปิดฟัง ยินเสียงของเรืองโรจน์ดังออกมา
“ตกลงว่า พวกนั้นมันทำงานให้คุณอังคณาได้เรียบร้อย คุณธานินทร์ตายไปแล้ว ตำรวจพบหลักฐานที่เตรียมเอาไว้ให้ ตามที่ตกลงกันไว้ทุกอย่าง...ถึงเวลาจ่ายค่าจ้างแล้วล่ะครับ”
ยินเสียงอังคณาตอบกลับ “เอาไปให้มัน อันนี้ของเธอ”
เพชรแท้ พิณทอง และพรรณีลอบมองหน้ากันไปมา ระหว่างนี้ยินเสียงเหตุการณ์เปิดคลอไปเรื่อยๆ เป็นเสียงโต้เถียงของสองคน
เสียงเรืองโรจน์บอก “ไม่ใช่แค่นี้ครับ ผมต้องการตำแหน่งผู้บริหารเทียบเท่าคุณชนะศึก”
“เป็นไปไม่ได้ บริษัทนี้เป็นของตระกูลฉัน ฉันยอมให้คนนอกมาทำไม่ได้หรอก” อังคณาว่า
“แต่คุณสัญญากับผมไว้แล้ว! จะเบี้ยวหรือไง”
ทั้งหมดฟังกันต่อไป จนถึงเสียงอังคณาพูดประโยคต่อมา
“ตำรวจปิดคดี ไอ้เพชรโดนประหารชีวิตเมื่อไหร่ ฉันจะให้เธออีกก้อนหนึ่ง”
เพชรมองหน้าสารวัตร จังหวะนั้นสารวัตรเรียกตำรวจเข้ามา
“จ่า”
ตำรวจลูกน้องเปิดประตูเข้ามาในห้อง 2 คน
“ครับ”
สารวัตรส่งเมมโมรี่การ์ดให้ตำรวจลูกน้อง สั่งการอย่างเฉียบขาด
“ส่งการ์ดอันนี้ให้กองพิสูจน์หลักฐาน ดูว่าเป็นการตัดต่อเสียงหรือเปล่า” ตำรวจคนแรกรับไป สารวัตรบอกกับตำรวจอีกคน “แล้วตรวจสอบซิว่าตอนนี้คุณอังคณา เลิศชัยวัฒน์อยู่ที่ไหน”
ตำรวจรับคำ แล้วเดินไป พรรณีหันไปยิ้มให้เพชรแท้
“แม่บอกเพชรแล้วไง บาปกรรมมีจริง คนทำผิด ไม่มีทางหนีรอดไปได้ จะช้าจะเร็วก็ต้องรับกรรมวันยังค่ำ”
เพชรแท้ยิ้มอย่างมีความหวัง

บ่ายวันเดียวกันนั้น รถของอังคณาแล่นเข้ามาที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลหัวหิน รถจอดสนิท อังคณาลงมาจากรถ รื่นหญิงรับใช้ที่เป็นคนเฝ้าบ้านวิ่งเข้ามารับ
“มาคนเดียวหรือคะ คุณผู้หญิง”
“อืมม์” อังคณาบอก
“รื่นขนกระเป๋าให้ค่ะ”
อังคณาเปิดท้ายรถ รื่นค่อย ๆ ยกกระเป๋าลงมา จนถึงใบที่ใส่ป้ายทะเบียน อังคณาห้ามไว้
“เดี๋ยวใบนี้ฉันถือเอง เธอขนที่เหลือตามขึ้นไป”
อังคณาถือกระเป๋าเดินนำเข้าไป รื่นขนกระเป๋าเดินตาม

อังคณาถือกระเป๋าเข้ามาในห้อง ปิดประตูล็อคทันที แล้วค่อย ๆ เปิดกระเป๋าใบที่มีป้ายทะเบียนออก หยิบถุงที่ใส่ป้ายทะเบียนขึ้นมา หน้าตาครุ่นคิด ตัดสินใจ

อังคณาเดินคิดอะไรอยู่ในสวน มองไปรอบ ๆ เห็นต้นไม้ ดอกไม้มากมาย และสายตาก็มาหยุดที่กอมะลิซ้อน แทนสายตาอังคณา เห็นกอมะลิซ้อนออกดอกสวยงาม อังคณาเรียกรื่น
“รื่น...รื่น”
รื่นออกมาจากในบ้าน
“ไปเอาพลั่วมาหน่อยสิ ฉันอยากทำสวน”
รื่นยืนงง ไม่เชื่อหูตัวเอง
อังคณาดุ “เร็ว ๆ”
รื่นรับคำ และรีบวิ่งไป

พลั่วในมืออังคณา ขุดลงรอบๆ กอมะลิซ้อน อังคณาสวมถุงมือทำสวนเรียบร้อย กำลังใช้พลั่วขุดกอมะลิซ้อน แล้วยกกอมะลิซ้อนขึ้นมา และขุดหลุมต่อไปลึกพอสมควร
อังคณาขุดเสร็จแล้ว เอาถุงใส่ป้ายทะเบียนที่วางแอบอยู่ข้างๆ วางที่ก้นหลุมกดจนแน่น เมื่อเสร็จแล้ว จึงเอามะลิซ้อนปลูกทับลงไปก่อนจะเอาดินกลบ

เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงลุกขึ้นยืน หยิบบัวรดน้ำมารดกอมะลิซ้อนพุ่มนั้น แล้วเหลียวมองไปรอบตัว เห็นสวนสวยมีแต่ความสงบเงียบ...อังคณาถอนใจยาวอย่างโล่งใจ

ตกตอนเย็นชนะศึกขับรถเข้ามาในบ้าน ลงจากรถ แล้วเดินเข้าบ้าน ชนะศึกเข้ามา มองไปรอบ ๆ บ้านก็ไม่เห็น ชนะศึกเดินไปเปิดประตูห้องของอังคณา

“คุณแม่ครับ...คุณแม่”
ชนะศึกเดินอยู่ในห้องอังคณา มองทอดสายตาออกไปตรงระเบียง เห็นอังคณานั่งหันหลังอยู่ที่ริมหาดไกลลิบตาออกไป
รื่นถือถาดมีแก้วน้ำ เข้ามาในห้อง
“น้ำค่ะ คุณชนะศึก”
ชนะศึกรับแก้วน้ำ ถามรื่น
“คุณแม่มานานหรือยัง”
“มาสักพักใหญ่ๆ แล้วค่ะ ทำสวนเสร็จแล้ว ก็ลงไปที่ชายหาดเลยค่ะ”
ชนะศึกแทบไม่เชื่อหู “คุณแม่น่ะเรอะ ทำสวน”
รื่นพยักหน้า ชนะศึกเอะใจ

อังคณานั่งนิ่งอยู่ริมหาด หน้าตาครุ่นคิด แต่เหมือนโล่งใจนิดหน่อย

ชนะศึกเดินลงไปในสวนสำรวจไปจนทั่วบริเวณ ระหว่างเดินไปเขาเห็นกอมะลิซ้อนเพิ่งถูกรดน้ำ ดินเปียกแฉะ ชนะศึกหยุดดูรู้สึกผิดสังเกต ชนะศึกนั่งลงมองกอมะลิซ้อนอย่างละเอียด มองดูกิ่งก้านเปียกชุ่มน้ำ เพราะเพิ่งรดน้ำไป มองดูดินที่เปียกชื้น และเพิ่งถูกกลบ ชนะศึกจับดินที่กอมะลิซ้อนขึ้นมา ครุ่นคิด เริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง

ไม่นานต่อมา อังคณาเดินกลับเข้ามาในบ้าน เมื่อเปิดประตู ก็ต้องแปลกใจที่เห็นชนะศึก กำลังนั่งหันหลังทำอะไรบางอย่างอยู่
“ชนะ! มายังไง...ไม่เห็นบอกว่าจะตามมา”
ชนะศึกพูดโดยยังไม่หันไปหา “ผมคิดอยู่น่ะครับ” พลางทอดถอนใจ “คิดอยู่นานเหมือนกัน ว่าจะตามคุณแม่มา หรือจะปล่อยคุณแม่ไปดี”
อังคณาอึ้ง งวยงงกับคำพูดลูกชาย “อะไรนะ ลูกหมายความว่าไง...”
อังคณาเดินเข้าไปหาชนะศึก แต่ต้องชะงัก เพิ่งเห็นว่าชนะศึกกำลังจัดช่อมะลิซ้อนใส่แจกันใบเล็กๆ อยู่ อังคณาตกใจอึ้งไป
อังคณาอุทาน “นั่น...”
“มะลิซ้อนของคุณแม่ไงครับ...ผมเพิ่งไปเก็บมา”
อังคณาตกใจมาก ไม่พูดไม่จา รีบวิ่งออกจากตัวบ้านไป ชนะศึกมองตาม แววตาเจ็บปวดเหลือแสน

อังคณาวิ่งไปที่กอมะลิซ้อน ต้นมะลิซ้อนยังคงสภาพเดิมอยู่ แม้ว่าดอกจะถูกเด็ดไป อังคณาดูไปรอบๆ โคนต้น เห็นดินเลอะเทอะออกมา
อังคณาไม่วางใจ นั่งลงใช้มือขุดดิน ขุดๆๆ ไม่คิดชีวิต ถอนต้นมะลิซ้อนออกมาทั้งกอ แล้วตะกุยลงไปที่พื้นดิน เพื่อหาป้ายทะเบียนรถ อังคณาตะกุยไปรอบๆ สองมือเลอะเทอะดินไปหมด แต่ป้ายนั้นหายไปแล้ว อังคณาตกใจมาก

อังคณาเดินกลับเข้ามาในบ้านมือยังเลอะดินอยู่ ชนะศึกนั่งรออยู่
“อยู่ไหน” อังคณาถามเสียงขุ่น
ชนะศึกนิ่งอยู่
“ชนะ แม่ถามว่ามันอยู่ไหน” อังคณาเดินไปมองหารอบๆ อย่างกระวนกระวายใจ
ชนะศึกนิ่งอยู่อย่างนั้น
อังคณายังถามหาต่อไป “อยู่ไหน มันอยู่ไหน ตาชนะ”
ชนะศึกเสียใจมาก “แม่ทำทำไมครับ ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”
อังคณาสวนคำเสียงขุ่นเขียว “แม่ไม่ได้อยากทำ แต่เรืองโรจน์มันข่มขู่แม่”
ชนะศึกพูดออกมาอย่างยากเย็น “แล้วพ่อล่ะครับ” อังคณาอึ้งไป “พ่อทำอะไรผิด ทำไมแม่ถึงต้องฆ่าพ่อ แม่ไม่รักพ่อเหรอครับ”
อังคณานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบมาอย่างเจ็บปวด
“รักสิ...ถ้าแม่ไม่รักพ่อ แม่คงไม่ทำแบบนี้...สามสิบปีที่อยู่ด้วยกันมา สามีที่เรารัก เขาไม่รักเรา ในใจเขามีแต่คนอื่น...เพราะแม่รักเขา แม่ถึงได้เจ็บขนาดนี้” อังคณาทุบตรงอกตัวเอง “เจ็บจนกลายเป็นแค้นน่ะ ชนะเข้าใจไหม”
ชนะศึกเค้นน้ำคำ “แค้นถึงขนาดต้องฆ่ากันเลยหรือครับ”
“พ่อของลูกจะตายด้วยโรคมะเร็งอยู่แล้ว แม่แค่เร่งวันให้มันเร็วขึ้นมาเท่านั้น...ที่แม่ต้องการ ก็คือทำลายนังพรรณีกับลูกของมันต่างหาก มันแย่งทุกอย่างไปจากแม่ แม่แค้นมัน!”
ชนะศึกต่อคำให้ “แต่แม่พลาด...มันเลยไม่เป็นไปอย่างที่แม่หวัง”
อังคณาสวนคำทันที “แล้วยังไง ลูกจะจับแม่ส่งตำรวจเหรอ”
ชนะศึกนิ่งไปครู่หนึ่ง “แม่ว่า ผมควรจะทำอย่างนั้นกับแม่ตัวเองหรือเปล่าล่ะครับ”
สองแม่ลูกสบตากัน วัดใจ
ชนะศึกหยิบถุงที่มีป้ายทะเบียนรถใต้แจกันดอกมะลิซ้อนขึ้นมา ทำเหมือนจะยื่นให้อังคณา อังคณายื่นมือมารับ แต่ชนะศึกดึงมือกลับ อังคณาร้องไห้
อังคณาชูมือสองข้างให้ชนะศึก พูดน้ำเสียงประชด “เอาซี เอาเลย จับแม่ใส่กุญแจมือไปส่งตำรวจเลย อยากทำอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ”
ชนะศึกลำบากใจ “คุณแม่ครับ ผม...”
อังคณาประชดต่อด้วยความพูดแรงๆ “แม่มันเลว แม่มันชั่ว ลูกอยากให้แม่ชดใช้นักใช่ไหม เอาเลย เอาแม่ไปประหารชีวิตเลยก็ได้ ถ้ามันสะใจแก”
ชนะศึกจะร้องไห้ “คุณแม่อย่าพูดแบบนี้ได้ไหม”

“ไม่ต้องมาห่วงแม่ อยากรู้นัก ถ้าแม่เข้าคุกไป แกจะได้อะไรขึ้นมา พ่อแกจะฟื้นขึ้นมาไหม” อังคณาฟูมฟาย “ทำไมลูกถึงอยากทำร้ายแม่ แม่ไม่เข้าใจ แม่ไม่เข้าใจ ฮือ...ฮือ”
อังคณาร่ำไห้ ชนะศึกใจหาย “หยุดเถอะครับแม่ แม่ก็รู้ว่าผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย”
อังคณาได้ที เข้ามาเกาะแขนชนะศึก วิงวอน
“งั้น...ก็อย่าทำซีลูก เอาป้ายทะเบียนนั่นมาให้แม่ แล้วลูกก็ลืมมันไปซะ ให้มันเป็นความลับระหว่างเราแม่ลูก”
ชนะศึกอึ้งไป หวั่นไหวไปกับคำพูดของแม่เหมือนเดิม
“คุณพ่อของลูกก็ตายไปแล้ว ไอ้เรืองโรจน์ก็รับกรรมของมันไปแล้ว ถ้าเราไม่รื้อฟื้นเรื่องนี้ ก็จะไม่มีใครพูดถึงมันอีก...ดีไหมลูก”
ชนะศึกลังเลแต่ก็ยื่นป้ายทะเบียนให้ อังคณายื่นมือไปรับ แต่สุดท้ายชนะศึกก็ดึงป้ายทะเบียนกลับมา

รถตำรวจแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ตำรวจ 3-4 นาย เดินลงมาจากรถพร้อมกับเพชรแท้
เพชรแท้รีบเดินมากดกริ่งที่หน้าบ้าน
เสียงกริ่งดังเข้ามาในบ้าน อังคณาแปลกใจ 
“ใครมา”
อังคณาเดินออกมาดูที่หน้าต่าง เห็นตำรวจและเพชรแท้ก็ตกใจมาก
“ตำรวจ” อังคณาหันมาเกรี้ยวกราดใส่ชนะศึก “ลูกเอาตำรวจมาจับแม่หรือ ตาชนะ แกทำกับแม่บังเกิดเกล้าของแกได้ลงคอเชียวหรือ”
ชนะศึกตกใจเหมือนกัน “ผมเปล่านะครับ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขามาได้ยังไง”
“จริงเหรอ”
ชนะศึกย้ำ “จริงครับ”
“งั้น...ก็แปลว่า ตำรวจยังไม่รู้เรื่องของแม่ใช่ไหม” ชนะศึกส่ายหน้า “ลูกไม่ได้บอกใครเรื่องป้ายทะเบียนใช่ไหม งั้นลูกต้องเอามาให้แม่ เราต้องทำลายมันซะ”
อังคณามีความหวัง แต่ชนะศึกไม่ยอม ทั้งสองยื้อยุดป้ายทะเบียนกัน ชนะศึกไม่ยอมปล่อยมือ กระชากป้ายทะเบียนออกจากมืออังคณา
“ไม่ครับ ผมทำไม่ได้”
อังคณามองชนะศึก ขัดใจ ชนะศึกมองจ้องหน้าแม่
“ไม่มีทางอื่นแล้วครับ...คุณแม่ยอมมอบตัวเถอะครับ”
“ไม่ แม่ยอมไม่ได้ แม่ไม่อยากเข้าคุก...เอามาให้แม่” อังคณาเข้ามาแย่งชนะศึกอีก
“ไม่ครับ คุณแม่ ผมให้ไม่ได้” ชนะศึกสลัดอังคณาจนเซไปกองที่พื้น ชายหนุ่มน้ำตาไหลริน

“แม่เป็นแม่แกนะ ชนะศึก”
“ผมให้แม่ไม่ได้” ชนะศึกหลั่งน้ำตานั่งลงกราบเท้าอังคณา “ยกโทษให้ผมนะ แม่”
ชนะศึกลุกขึ้นเดินออกไป
“ชนะศึก!”

อังคณาร้องไห้ฟูมฟาย ใช้มือทุบตีพื้นด้วยความเจ็บใจ ตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกไปเหมือนกัน

บ่วงรัก ตอนที่ 13 อวสาน (ต่อ)

ขณะเดียวกันรื่นเดินนำกลุ่มตำรวจ และเพชรแท้เข้ามาในห้องรับแขก

“เชิญค่ะ เดี๋ยวจะไปเรียนคุณผู้หญิงให้นะคะ”
รื่นเดินออกไป ชนะศึกเดินถือถุงใส่ป้ายทะเบียนเข้ามา สารวัตรแสดงหมายให้ดู
“คุณชนะศึกครับ เราต้องขอเชิญตัวคุณอังคณาไปสอบปากคำ มีหลักฐานเพิ่มเติมมาว่าคุณอังคณามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลอบฆ่าคุณธานินทร์”
ชนะศึกส่งถุงใส่ป้ายทะเบียนให้สารวัตร
สารวัตรฉงน “อะไรครับ” สารวัตรเปิดดูเห็นเป็นป้ายทะเบียน “นี่มัน...”
“ป้ายทะเบียนรถคันที่ชนนายเรืองโรจน์ตาย” ชนะศึกบอก
เพชรแท้สรุปให้ตำรวจฟัง
“รถของแม่แกใช่ไหม แม่ของแกจ้างเรืองโรจน์ให้ฆ่าพ่อ แล้วฆ่าเรืองโรจน์เพื่อปิดปากอีกที ใช่ไหม”
ชนะศึกไม่ตอบ แต่ทุกอย่างก็ชัดเจนสำหรับตำรวจแล้ว
สารวัตรหันไปบอกตำรวจลูกน้อง “เราไปจับกุมตัวคุณอังคณาได้แล้ว”
ตำรวจพากันออกจากห้องรับแขก เหลือเพียงเพชรแท้อยู่กับชนะศึก
ชนะศึกเดินเศร้า ๆ มานั่งที่โซฟา เพชรแท้มองชนะศึกอย่างเห็นใจ
“ขอบใจมากนะ” เพชรแท้ว่า
ชนะศึกน้ำตายังคลอ ไม่มองหน้าเพชรแท้ “ฉันไม่ได้ทำเพื่อแก...ฉันทำเพื่อพ่อ”
เพชรแท้อึ้งไปนิดหนึ่ง แต่ก็เข้าใจได้ พูดกับชนะศึกอย่างปลอบโยน
“พ่อคงดีใจ”
ชนะศึกผินหน้าหนี แล้วร้องไห้ออกมา

ทางด้านสารวัตรเคาะประตูห้องนอนของอังคณา
“คุณอังคณา”
อังคณาเงียบ
สารวัตรเคาะอีก “คุณอังคณาครับ นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจนะครับ เปิดประตูด้วยครับ”
อังคณาตะโกนออกมาจากในห้อง น้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ฉันมีปืนนะ...อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาฉันยิงจริง ๆ ด้วย”

สารวัตรพยักหน้าให้ตำรวจ และเดินออกไป

เพชรแท้กับชนะศึกยังอยู่ที่ห้องรับแขก หน้าตาเครียดเคร่งกันทั้งคู่ สารวัตร และตำรวจเดินเข้ามา
“คุณชนะศึกครับ คุณอังคณาหนีเข้าไปในห้อง เธอขู่จะทำร้ายตัวเองถ้าเราบุกเข้าไป”
“หา!...แล้วไงล่ะ” เพชรแท้ตกใจ
“ผมจะไปคุยกับคุณแม่เอง”
ชนะศึกเดินเข้าไปในบ้าน เพชรกับตำรวจขยับจะตาม ชนะศึกยกมือห้ามไว้ แล้วเดินเข้าไปคนเดียว

อังคณานั่งอยู่ในห้อง น้ำตาไหล ในมือถือปืนไว้
ส่วนที่หน้าห้อง ชนะศึกเคาะประตูเรียก
“แม่ครับ ผมเอง...ให้ผมเข้าไปได้ไหม”
อังคณาไม่ตอบ ชนะศึกไขกุญแจ เปิดเข้าไป ปิดประตู อังคณานั่งอยู่ที่เตียง ไม่ยอมหันหน้ามา
อังคณาถามเสียงประชด “ลูกอยากให้แม่เข้าคุกนักเหรอ”
ชนะศึกเดินเข้าไป พูดอ่อนโยน “แม่ทำผิดไปแล้ว ไม่มีทางอื่นหรอกครับ...ไปเถอะครับ”
“ไม่! แม่ไม่ยอมเข้าไปอยู่ในคุกหรอก ชนะคิดว่าแม่จะอยู่ได้ยังไง”
ชนะศึกรู้สึกแย่มากๆ จะร้องไห้อีก “แม่ทำผิด แม่ก็ต้องชดใช้...มันอาจจะไม่ลำบากมากนักก็ได้ แล้วถ้าแม่ทำตัวดี ๆ แม่อาจจะติดคุกไม่กี่ปี...ผมกับนกจะช่วยแม่ทุกอย่าง”
“แม่อยู่ไม่ได้ แม้แต่วันเดียวก็ไม่ได้” อังคณาร้องไห้ออกมา “เข้าใจไหมชนะ แม่เป็นใคร จะให้แม่ไปเป็นนักโทษ ไปอยู่ร่วมกับไอ้พวกโจร ไอ้พวกฆาตกร แม่จะอยู่ได้ยังไงชนะ”
ชนะศึกปลอบ “ไปเถอะครับแม่” ขยับเดินเข้ามาใกล้ “แม่ครับ”
อังคณาแหวใส่ “ไม่”
อังคณาหันขวับมา ลุกขึ้นยืน พร้อมกับปืนพกในมือ ชนะศึกตกใจมาก
อังคณายกปืนขึ้นขู่ชนะศึก “อย่าบังคับแม่นะ ชนะ”
ชนะศึกถามเสียงเรียบ “แม่จะยิงผมเหรอครับ”
“แกบังคับแม่ แม่ไม่มีทางเลือก แม่ไม่ยอมให้ใครมาแตะตัวแม่เด็ดขาด”
อังคณาขู่ ชนะศึกเดินเข้ามาใกล้ อังคณามือไม้สั่น แต่ยังเล็งปืนไปที่ชนะศึก ชนะศึกยังเดินเข้าไป
ชนะศึกพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่ทำผิดมามากแล้ว พอเถอะนะครับ อย่าทำอีกเลย”
อังคณาร้อง “อย่าเข้ามานะ” มือไม้สั่น เริ่มถดตัวถอย “อย่านึกว่าแม่ไม่กล้านะ แม่ยิงลูกจริงๆ นะ ชนะ” ทนไม่ไหว ร้องไห้โฮออกมา
“เอาซีครับ ถ้าแม่จะยิงผม ถ้าแม่จะฆ่าลูกได้ ก็เอาเลย ยิงเลย”
อังคณาตัดสินใจยิงลูกไม่ได้ ปล่อยมือที่ถือปืนตกลงข้างตัว ร้องไห้โฮ
ชนะศึกเข้าไปกอดแม่ อังคณาร้องไห้โฮ

“แม่ยิงลูกไม่ได้ แม่ทำไม่ได้ แม่ทำไม่ได้จริง ๆ” มองหน้าชนะศึก “จำไว้นะ ชนะศึก แม่รักลูก...แต่ลูกไม่รักแม่ ไม่รักแม่เหมือนพ่อแกเลย”
ชนะศึกร้องไห้ “ไม่จริงนะครับ ผมรักแม่”
อังคณาเอาแต่ทุบตีชนะศึกอยู่อย่างนั้น ชนะศึกดึงอังคณาเข้ามากอด ร้องไห้ทั้งคู่
“ผมรักแม่ ถึงแม่จะเป็นยังไง แม่ก็ยังเป็นแม่ผม...ผมไปบอกตำรวจให้ขึ้นมาหาแม่นะครับ”
ชนะศึกเดินไปเปิดประตู อังคณาเก็บปืน ลุกขึ้นยืน
“ชนะ,,,แม่รักลูกนะ” อังคณาพูดทั้งน้ำตา “แม่รักลูก...”
ชนะศึกหันมามองอังคณา วินาทีนั้นเองอังคณายกปืนมาลั่นกระสุนใส่หัวใจตัวเองทันที เสียงปืนดังปัง แล้วร่างอังคณาก็ล้มลงต่อหน้าต่อตาลูกชาย ชนะศึกตกตะลึงพรึงเพริด เลือดของอังคณากระเซ็นเต็มพื้นห้อง 
“แม่”
ชนะศึกร้องสุดเสียง รีบวิ่งมาประคองอังคณา ร้องไห้โฮ ชนะศึกทรุดลงกับพื้นกอดอังคณาไว้ เลือดอังคณาไหลนอง
“แม่ แม่ทำอย่างนี้ทำไม...ผมรักแม่นะครับ ผมรักแม่ ได้ยินไหมครับแม่” ชนะศึกร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา

สารวัตรพร้อมด้วยกำลังตำรวจ และเพชรแท้วิ่งเข้ามา ทั้งหมดตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า  ชนะศึกกอดร่างอังคณาร้องไห้ฟูมฟายอยู่อย่างนั้น

หลายวันต่อมา บ่ายคล้อยที่งานฌาปนกิจ ศพของอังคณาที่บรรจุอยู่โลงแสนสวยอยู่ในช่องใส่โลงบนเมรุวัดแห่งนั้น ไฟกำลังโหมไหม้โลงศพ ไฟริษยาอาฆาตและแรงพยาบาทของอังคณามอดไหม้ไปท่ามกลางเปลวเพลิงนั้น

เวลาผ่านไป จนครบหนึ่งร้อยวันที่อังคณาเสียชีวิต
บริเวณโขดหินริมหาดตอนกลางวันวันนี้ ชนะศึก และชนกนันท์แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดสีดำ สองพี่น้องยืนอยู่หน้าโต๊ะซึ่งปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดตา บนโต๊ะมีรูปพร้อมขาตั้งรูป 2 บาน ลมทะเลพัดแรงจนชายผ้าปูโต๊ะปลิวไปมา
รูป 2 บานนั้นเป็นรูปของธานินทร์ และอังคณาที่ตั้งคู่กัน หน้ารูปมีโกฏิใส่กระดูกสองอันตั้งเคียงกันอยู่บนโต๊ะ ถัดมามีพานใส่กลีบกุหลาบวางอยู่ตรงหน้าโกฏิ
ชนะศึก และชนกนันท์ค่อยๆ วางมาลัยดอกมะลิพวงใหญ่ลงที่หน้าโกฏิ สีหน้าสองพี่น้องเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ชนะศึกมองภาพอังคณาด้วยความรู้สึกผิด น้ำตาคลอออกมา
“แม่ครับ ไม่ว่าดวงวิญญาณของแม่จะอยู่ที่ไหน ผมอยากให้แม่ได้รับรู้...ผมรักแม่นะครับ ผมเสียใจจริงๆ ที่มันเป็นแบบนี้...โปรดให้อภัยผมด้วย ผมคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ถ้าแม่ไม่ให้อภัยผม”
ชนะศึกน้ำตาไหลริน ชนกนันท์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็อดเสียใจไม่ได้ ชนะศึกหันไปหาชนกนันท์สองพี่น้องร้องไห้ด้วยกัน

ห่างออกไป ศักดาเดินนำพรรณี เพชรแท้ และพิณทองเข้ามา
“คุณชนะครับ” ชนะศึกหันมาหา “คุณเพชรแท้กับคุณพรรณีมาแล้วครับ”
“เชิญครับ ทุกคน”
เพชรแท้เดินนำแม่ และน้องมาหยุดที่หน้ารูปของธานินทร์ ทั้งสามพนมมือไหว้ แล้วพรรณีก็เดินไปหยุดที่หน้ารูปอังคณา เพื่ออโหสิกรรมให้
“ความรักไม่ใช่การครอบครองเป็นเจ้าของ แต่คือความหวังดี หวังให้คนที่เรารักมีความสุข...คุณอังคณา คุณรักในทางที่ผิด ทุกอย่างถึงได้วุ่นวายแบบนี้...ฉันเข้าใจ และอโหสิกรรมให้คุณ ขอให้คุณหลุดพ้นจากบาปกรรมที่ทำไว้ และพบกับความสุข สมหวังในภพหน้านะ คุณอังคณา”
ชนะศึกฟังด้วยความสะท้อนใจ
ทั้งสามยกมือไหว้รูปอังคณา และรูปธานินทร์ แล้วถอยออกมา

เวลาผ่านไป ชนะศึกโปรยเหรียญเงินจำนวนหนึ่งลงในน้ำ เพื่อซื้อที่ตามธรรมเนียม ศักดานำพานกลีบกุหลาบมาให้ ชนะศึกโปรยกลีบกุหลาบลงในน้ำ คนอื่นๆ รับกลีบกุหลาบ แล้วโปรยตามไป
ชนะศึกหยิบโกฏิกระดูกของอังคณาขึ้นมา ชนกนันท์หยิบของธานินทร์ ทั้งสองโปรยเถ้ากระดูกของพ่อ และแม่ลงในทะเล ทุกคนที่เหลือพนมมือไหว้
พอเสร็จชนะศึกดึงชนกนันท์เข้ามากอด สองพี่น้องน้ำตาซึม
คนอื่นๆ มองภาพนั้น พลอยสะเทือนใจไปด้วย

เวลาผ่านไป ตรงอีกมุมหนึ่งริมทะเล ชนะศึกหยิบพวงมาลัยมะลิขึ้นมาดม น้ำตาซึม พึมพำกับตัวเอง
“ผมขอโทษ...ให้อภัยผมด้วยนะครับ คุณแม่”
เสียงคุ้นหูดังขึ้น “คุณไม่ได้ทำอะไรผิด”
ชนะศึกหันมา เห็นพิณทองยืนอยู่ด้านหลัง ชนะศึกถอนใจด้วยความรู้สึกผิดที่ติดค้างในใจ
“ผมทำให้คุณแม่ต้องตาย”
“คุณอังคณาตัดสินใจทำแบบนั้น แทนที่จะอยู่รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย เธอเลือกทางของเธอเอง ไม่ใช่ความผิดของคุณ”
ชนะศึกเมินหน้าหนี ยังเจ็บปวดไม่คลาย พิณทองปลอบโยน
“สิ่งที่คุณทำลงไปถูกต้องแล้ว...พิณรู้ว่ามันยากที่คุณจะทำใจ แต่คุณต้องทำให้ได้ เลิกโทษตัวเองซะทีนะคะ คุณชนะศึก”
“ผมทำไม่ได้”
“คุณต้องทำได้”
พิณทองขยับตัวเข้ามาดึงมือชนะศึกมากอบกุม ให้กำลังใจ
“พิณรู้ว่าคุณรักคุณแม่ พิณว่า...ดวงวิญญาณของท่านก็คงจะรับรู้เช่นกัน...สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทุกคนควรจะทำก็คือ ลืมเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วจดจำแต่เรื่องดี ๆ ที่คุณแม่ของคุณเคยทำ”
พิณทองจับมือชนะศึกที่ยังถือพวงมาลัยมะลิอยู่ขึ้นมา ทำท่าพนมมือ
“เราจะช่วยกันสวดมนต์อธิษฐาน ขอให้คุณแม่ของคุณ พบแต่ความสุข สงบตลอดไป”
ชนะศึกจับมือพิณทอง มองอย่างตื้นตัน เห็นสายตาของพิณที่มองมา มีแต่ความหวังดี จริงใจ ชนะศึกอดละอายใจไม่ได้
“ทำไมคุณดีกับผมอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ผมเลวร้ายกับพวกคุณสารพัด”
“เพราะคุณไม่ได้ตั้งใจ...คุณไม่ใช่คนเลวร้าย คุณแค่หลงผิดไป พิณรู้นะคะว่าข้างในใจของคุณ คุณเป็นคนดี...เข้มแข็งไว้ค่ะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพิณจะเป็นกำลังใจให้คุณ”
ชนะศึกซาบซึ้งใจมาก กอดพิณทอง ทั้งคู่อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ด้วยความอบอุ่นใจ

ชนกนันท์นั่งอยู่อย่างเดียวดายอ้างว้าง คิดถึงชีวิตที่ขาดพ่อ และแม่ และเรื่องราวร้ายๆ ที่ผ่านมา อดไม่ได้ น้ำตาไหลออกมา เพชรแท้เข้ามานั่งลงข้างๆ ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ พูดเสียงอ่อนโยน
“เช็ดน้ำตาซะ”
ชนกนันท์อึ้งไปนิดหนึ่ง และยังไม่กล้ารับผ้าเช็ดหน้ามา
“อ้ะ...ถ้าคุณไม่รังเกียจ”
ชนกนันท์รับผ้าเช็ดหน้ามา กิริยาเก้อๆ เขินๆ
เพชรแท้เห็นชนกนันท์เช็ดน้ำตา ท่าทางอ่อนแอ น่าสงสาร ไม่ร้ายกาจวีน เหวี่ยง เหมือนอย่างเคย เพชรแท้เลยพูดปลอบโยน
“คุณพ่อคุณแม่ของคุณท่านไปสบายแล้ว อย่าร้องไห้ให้ท่านต้องเป็นห่วงกังวลอีกเลยนะ หักใจซะบ้างเถอะ”
“ฉันพยายามแล้ว...แต่” สะอื้นจนตัวโยน “ฉัน...ทำใจไม่ได้”
ชนกนันท์ปล่อยโฮ เพชรแท้สงสาร ดึงตัวชนกนันท์มากอดปลอบ ชนกนันท์หมดแรงจะพยศ ได้แต่ร้องไห้กับอกเพชรแท้
“มันยาก ผมรู้ พ่อคุณก็เป็นพ่อผมเหมือนกัน ผมเองก็เสียใจแต่คุณจะปล่อยให้อดีตมาทำร่ายเราไม่ได้ คุณต้องทิ้งมันไว้ข้างหลัง แล้วเดินต่อไป”
เพชรแท้เช็ดน้ำตาให้ชนกนันท์
“ลืมอดีตที่แย่ๆ ไปซะ...โอเคไหม”
ชนกนันท์มองหน้าเพชรแท้ รู้สึกซาบซึ้งใจ
เพชรแท้เห็นชนกนันท์ดีขึ้นแล้วจึงลุกเดินออกไป
“เพชรแท้”
เพชรแท้หยุดเดินหันกลับมา “หือ”
“ฉันขอโทษนะ ที่เคยทำไม่ดีกับพวกเธอ”
“ผมก็ขอโทษ ผมก็ทำไม่ดีกับคุณเหมือนกัน...เอาเป็นว่า เราต่างลืมมันไปซะดีไหม แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ แดดแรงแล้ว เข้าไปข้างในกันเถอะ”
ชนกนันท์พยักหน้า เพชรแท้ส่งมือให้ ชนกนันท์จับมือเพชรแท้ดึงให้เธอลุกขึ้นมายืนก่อนจะเดินนำไป
ชนกนันท์มองตามเพชรแท้ คิดไปคิดมาอยู่นิดหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงเรียก
“เดี๋ยวก่อนค่ะ...”
เพชรแท้หันมาหาอีก
“ขอบคุณนะคะ...เอ่อ...พี่เพชร”
เพชรแท้ตะลึงกับสรรพนามที่ได้ยิน แล้วก็คลี่ยิ้มออกมาเต็มหน้า เดินกลับมาหา ลูบหัวชนกนันท์
“ไม่เป็นไรจ้ะ น้องนก”
ทั้งคู่กอดกันด้วยความรัก และห่วงใย

เวลาเดียวกันพรรณีเดินอยู่หน้าบ้านพักด้วยความสบายใจ เสียงชนะศึกเรียกดังขึ้น
“คุณพรรณีครับ”
พรรณีหันหลังไป เห็นชนะศึกกับพิณทองยืนคู่กันอยู่ด้านหลัง ชนะศึกเดินตรงเข้ามาประนมมือไหว้ที่อกพรรณี
“ผมกราบขอโทษ ทุกอย่างที่ผม และครอบครัวของผมทำลงไป โปรดยกโทษให้ผมด้วยนะครับ”
พรรณีประคองมือชนะศึกไว้
“ไม่เอาค่ะ คุณชนะ อย่าทำแบบนี้...ไม่จำเป็นเลย”
“มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะทำได้ และหวังว่าคุณจะให้อภัย”
“ฉันให้อภัยค่ะ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาด เมื่อไหร่ที่คนเราเอาอารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผล ก็ทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น...ไม่ว่าใคร”
“ขอแค่คุณสำนึกได้ แล้วแก้ไข ทำสิ่งที่ผิดให้กลายเป็นถูก...เท่านี้ก็เพียงพอแล้วล่ะค่ะ” พิณทองเสริม
เพชรแท้เดินเข้ามาพร้อมกับชนกนันท์ ทันได้ยินจึงพูดปลอบ
“ใช่ สิ่งที่นายทำลงไป มันมีค่ามากกว่าคำขอโทษร้อยพันคำ”
เพชรแท้เข้ามาจับมือชนะศึก
“วิญญาณของคุณพ่อคงภูมิใจในตัวนาย”
ชนะศึกมองหน้าเพชรแท้ รู้สึกถึงความอบอุ่น และกำลังใจที่ส่งผ่านมา ชนะศึกจับมือเพชรแท้บีบแน่น
“เพชรแท้...นายจะว่ายังไง ถ้าฉันอยากให้เรามาทำงานด้วยกัน”
“ไม่ละ ฉันก็มีชีวิตของฉัน...แต่ถ้ามีอะไร เราจะไม่ทิ้งกัน ฉันสัญญา อย่างน้อย ฉันก็เป็นลูกคนนึงของคุณพ่อ”
ชนะศึกบอกต่อ “แล้วก็...เป็นพี่ชายของฉัน”
ทั้งสองพี่น้องกอดกันกลม
ทุกคนยิ้มแย้มให้กัน เป็นภาพแห่งความสมัครสมานกลมเกลียวที่เกิดขึ้นกับสองครอบครัวที่ถูกยึดโยงกันไว้ด้วยบ่วงรักบ่วงแค้น พรรณีกอดพิณทอง มองไปเห็นชนกนันท์ยืนเก้อๆ เลยดึงเอาร่างชนกนันท์เข้ามากอดไว้อีกข้าง พรรณีประหวัดไปถึงธานินทร์ รำพึงออกมา
“คุณธานินทร์ ฉันรู้ว่าคุณต้องมีความสุขที่สุด ฉันรู้”

สองครอบครัวกอดกันด้วยความรักและความเข้าใจ ทุกชีวิตหลุดพ้นจากบ่วงรักบ่วงแค้นที่เคยมีต่อกันและกันแล้ว

จบบริบูรณ์

โปรดติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" เร็วๆ นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น