xs
xsm
sm
md
lg

อุบัติเหตุ ตอนที่ 20 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อุบัติเหตุ ตอนที่ 20 อวสาน

วิศนียืนมองอารุมที่ขับรถออกไปอย่างเศร้าสร้อย น้ำตาไหลออกมา อำนวยเดินออกมายืนมอง เห็นลูกสาวกำลังร้องไห้ ก็อดเห็นใจไม่ได้

“หนูเป็นคนไล่เขาไปเอง แล้วทำไมถึงร้องไห้”
วิศนีชะงัก รีบเช็ดน้ำตา หันมา
“พ่อ”
อำนวยเดินเข้ามาใกล้ ลูบหัวอย่างอ่อนโยน
“พ่อรู้เรื่องจากคุณกรแก้วหมดแล้ว ทำไมถึงทำอย่างนี้ล่ะวิศนี หนูทำร้ายหัวใจตัวเองทำไม”
วิศนีน้ำตาไหลออกมา
“มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดค่ะพ่อ หนูกับเขาไม่ควรจะลงเอยกัน”
“ทำไม พ่อก็เห็นว่าเขารักหนูมาก”
“เขาไม่ได้รักหนูหรอกค่ะ เขาแค่รู้สึกผิดเท่านั้น รู้สึกผิดที่เขาเคยทำร้ายหนูเอาไว้”
“หนูรู้ได้ยังไง”
“คนเราจะรักผู้หญิงที่ทำให้แฟนของตัวเองตายได้เหรอคะพ่อ”
อำนวยอึ้ง วิศนีแค่นยิ้มเศร้า
“ขนาดหนูยังตะขิดตะขวงใจตัวเองเลย อารุมเขาก็เหมือนกัน วันนี้เขาอาจจะพยายามลืม แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เหมือนแผลเป็นที่ไม่มีวันหายไป แต่เมื่อไรที่สายตาเหลือบไปเห็น มันก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บแปลบขึ้นมาอีก”
“มันไม่ใช่เหตุผลที่หนูจะลงโทษตัวเองเลยนะ หนูควรจะปลดปล่อยความรู้สึกผิดนั้นออกไป ไม่ใช่อุ้มมันเอาไว้ แล้วก็โยนสิ่งที่ควรจะเป็นความสุขทิ้ง”
วิศนีส่ายหน้า
“หนูไม่แน่ใจว่าหนูสมควรจะมีความสุข”
“เพราะอย่างนี้ใช่ไหม หนูถึงไม่ขัดขืนตอนที่พ่อจะให้หนูแต่งงานกับโยธิน”
วิศนีก้มหน้า ไม่ตอบ อำนวยโอบไหล่ลูกสาว
“วิศนี ชีวิตคนเรามันไม่ได้ยืนยาว ความทุกข์ความสุขมันวนเวียนอยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ หนูก็มีสิทธิ์ที่จะได้สัมผัสทั้งสองด้านของชีวิต พ่อเชื่อหนูผ่านช่วงที่ได้รับบทเรียนชีวิตมาแล้ว หนูควรจะให้อภัยตัวเองได้แล้วนะ”
อำนวยลูบหัวลูกสาวอย่างให้กำลังใจ วิศนีน้ำตารื้นซบอกพ่อ

เดชชาติกับนีรนุชเดินคุยอยู่ด้วยกัน...
“นี่พี่อารุมกับคุณวิศนียังไม่ดีกันอีกเหรอพี่”
เดชชาติพยักหน้ากลุ้มๆ
“ไอ้อารุมยังโดนไล่กลับบ้านอยู่”
“อะไรกัน อุตส่าห์ช่วยกระชากหน้ากากคนเลวให้แท้ๆ เยอะนะเพื่อนพี่เนี่ย”
“กล้าพูด เธอเองเคยเยอะแบบนี้เหมือนกันแหละ ฮึ...ผู้หญิงก็เงี้ย”
“สงสารพี่อารุมจัง ทำดีเท่าไรก็ไม่เห็นค่า”
“คุณวิศนีคงลืมความหลังที่เคยมีกับอารุมไปหมดแล้วมั้ง ถ้าเป็นแบบนี้ อีกไม่นานอารุมมันคงต้องยอมแพ้”
“คนเราจะลืมง่ายๆ อย่างนั้นเลยเหรอพี่”
“ก็ถ้าคุณวิศนีไม่ความจำเสื่อม เรื่องมันก็คงไม่ยากขนาดนี้หรอก”
เดชชาติพูดแล้วชะงัก คิดได้
“จริงสิ ถ้าความเสื่อม มันก็ต้องรื้อฟื้นความจำ”
นีรนุชมองเดชชาติอย่างสงสัย
“ยังไง”

เดชชาติไม่ตอบ แต่ยิ้มเหมือนมีแผนในใจ

วันใหม่...วิศนีต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อได้คุยกับเดชชาติ

“ทานข้าวเย็นที่บ้านคุณชาติเหรอคะ”
“ครับ ไม่ทราบว่าคุณวิศนีจะว่างไหม”
“ว่างค่ะ ดีเหมือนกัน ฉันไม่ได้เจอคุณป้านานแล้ว งั้นเดี๋ยวฉันจะแวะซื้อขนมไปฝากเด็กๆ สักหน่อย”
นีรนุชแปลกใจ
“เด็กที่ไหนคะ”
“น้องๆคุณชาติไงคะ”
นีรนุชจ้องหน้าวิศนีอย่างสงสัย
“คุณวิศนีจำน้องพี่ชาติได้ด้วยเหรอคะ”
“นั่นสิครับ ตั้งแต่คุณวิศนีออกจากโรงพยาบาล ก็ยังไม่ได้เจอพวกมันเลยนี่นา”
วิศนีหน้าม้าน รู้ตัวว่าพลาดอีกแล้ว รีบกลบเกลื่อน
“ก็พ่อเล่าให้ฟังน่ะค่ะ พ่อเล่าประวัติใครต่อใครบริษัทให้ฉันฟังเยอะไปหมด กลัวฉันจะไปเอ๋อใส่พวกเขาเพราะจำไม่ได้น่ะค่ะ” หญิงสาวยิ้มกลบเกลื่อน “เดี๋ยวฉันออกไปซื้อขนมก่อนดีกว่า แล้วเจอกันที่บ้านนะคะ”
วิศนีรีบหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไป แต่เดชชาติกับนีรนุชมองหน้ากันอย่างสงสัย

เดชชาติ นีรนุช พิม น้องๆ ออกมายืนรออยู่หน้าบ้าน วิศนีขับรถมาจอด น้องๆดีใจ
“เย้ พี่คนสวยมาแล้ว”
วิศนีลงจากรถมาพร้อมกับถุงขนมใหญ่ ยกมือไหว้พิมอย่างจำได้
“สวัสดีค่ะคุณป้า” เธอนึกได้รีบแกล้งทำลืม “เอ่อ คุณแม่ของคุณชาติใช่ไหมคะ”
เดชชาติหันมาบอกแม่
“คุณวิศนีเธอยังจำอะไรไม่ค่อยได้น่ะจ้ะแม่”
“อ๋อ ค่ะๆ”
วิศนียิ้มให้แล้วหันไปมองน้องๆ
“พี่ซื้อขนมมาฝากด้วยนะคะ เอาไปแบ่งกันนะ”
น้องๆเฮโลเข้ามายื้อแย่งขนมกัน วิศนีมองเอ็นดู
“ไม่ต้องแย่งกันจ้ะ มีครบของทุกคนเลย” หญิงสาวเห็นเด็กไม่ฟัง ก็ดึงคืนมา “เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวให้พี่อาจเป็นคนแจกนะ”
องอาจยิ้มรับ
“ได้ครับ”
วิศนีรีบส่งถุงขนมให้องอาจ นีรนุชมองอย่างสงสัย แล้วสะกิดเดชชาติอีกครั้ง
“คุณวิศนีครับ”
“คะ”
“คุณจำชื่อน้องๆ ผมได้ด้วยเหรอครับเนี่ย”
วิศนีหน้าเหวอ รีบหันหน้าหนีไปตั้งสติ อยากกัดปากตัวเอง ก่อนจะหันมายิ้มกลบเกลื่อน
“เอ่อ ก็...พ่อบอกเหมือนกันค่ะ”
เดชชาติกับนีรนุชมองไม่ค่อยเชื่อ พิมชะเง้อไปเห็นรถอีกคันมาจอดด้านหลัง พิมเรียก
“อารุมมาพอดี มาเลยลูก”
วิศนีหันไปมอง พอเห็นอารุมเดินเข้ามาก็ชะงัก หุบยิ้ม
“ฉันไม่รู้ว่าคุณจะมา”
“ป้าพิมเชิญผมมาครับ”
“ใช่ค่ะ” พิมมองเลิ่กลั่ก “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
นีรนุชรีบตัดบท
“อ๋อ ไม่มีค่ะป้า อาหารเสร็จแล้วใช่ไหมคะ เดี๋ยวหนูไปช่วยยกนะคะ เชิญเถอะค่ะทุกคน”
นีรนุชรีบต้อนทุกคนเข้าบ้าน

ทุกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร นีรนุชช่วยพิมยกอาหารเข้ามาจัดแจง องอาจแซว
“แหม พี่นุชนี่ทำหน้าที่เหมือนเป็นลูกสะใภ้เลยนะพี่ชาติ”
พิชิตเสริม
“ช่าย แม่บ้านแม่เรือนที่สุด”
เดชชาติปรามน้อง
“จะกินข้าวหรือกินจานเปล่าๆ ฮะไอ้พวกนี้ เดี๋ยวก็เอายัดปากเลย”
เดชชาติร่อนจานขู่ นีรนุชกับพิมยกจานเข้ามา
“นินทาอะไรพี่กันจ๊ะ ได้ยินแว่วๆ”
รักชาติยิ้มแย้มบอก
“อ๋อ พี่อาจเขาบอกว่า...”
เดชชาติรีบเอาของกินที่นีรนุชยกมาวางยัดปาก
“เอ้า เอาไปกินไปเลย อร่อยมั้ย”
รักชาติพูดไม่ได้เพราะของเต็มปาก พิมหันไปหาวิศนี
“คุณวิศนีจำได้ไหมคะว่าเคยมากินข้าวฝีมือป้าด้วย”
วิศนีจะตอบ แต่นึกได้ ชะงัก รีบส่ายหน้า
“จำไม่ได้เลยค่ะ”
“ป้าพิมทำกับข้าวอร่อย คุณทานนี่สิ คุณชอบรสจัดๆ ผมจำได้”
อารุมตักแกงให้อย่างเอาใจ แล้วย้ายอาหารเผ็ดมาตรงหน้าวิศนี วิศนีมองอารุม พูดหน้าตาเฉย
“ฉันไม่ชอบแล้วค่ะ ตั้งแต่หายป่วยมาก็อยากจะกินอะไรจืดๆ”
อารุมชะงักหน้าเจื่อน วิศนีทำไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นตักแกงจืดกิน
 
เดชชาติกับนีรนุชเหลือบมองหน้ากัน แล้วสบตาอารุมอย่างเห็นใจ

อารุมกับเดชชาติเข้ามาในครัว ท่าทางลับๆ ล่อๆ อารุมทำหน้าเซ็ง

“แกแน่ใจนะว่าแผนนี้จะสำเร็จ ถ้ามันพลาด เขาจะเกลียดฉันไปตลอดชีวิตเลยนะเว้ย”
“ก็ลองดู ทำอย่างกับตอนนี้เขารักแกนักหนางั้นแหละ”
เดชชาติพูดไม่คิดอะไร พอเห็นหน้าจ๋อยของอารุมก็นึกได้ ยิ้มเจื่อน
“โทษว่ะ ปากไม่ดี” เขาตบปากตัวเอง แล้วเปิดตู้เย็น หยิบโถน้ำตะไคร้ออกมา “เอาแก้วมาเร็ว”
อารุมลังเล
“จะดีเหรอวะ”
“ไอ้รุม ผีถึงป่าช้าแล้วโว้ย ไม่ทันแล้ว”
เดชชาติหยิบโถน้ำมาเตรียมเท อารุมเลยต้องหันไปหยิบแก้วมาเตรียมไว้ให้

วิศนีนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกกับนีรนุช เดชชาติกับอารุมถือถาดน้ำหวานเข้ามา นีรนุชมองเดชชาติอย่างรู้กันแล้วรีบช่วยเสิร์ฟ
“ทานน้ำตะไคร้ดูหน่อยนะคะคุณวิศนี เย็นชื่นใจดีค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
วิศนีรับมาดื่ม อารุม เดชชาติ นีรนุชมองลุ้นๆ เดชชาติถาม
“อร่อยไหมครับ”
“อร่อยมากค่ะ”
วิศนีวางแก้วคืนแล้วชะงัก รู้สึกง่วงๆ แปลกๆ ตาเบลอๆ
“เอ๊ะ”
นีรนุชถาม
“เป็นอะไรไปคะคุณวิศนี”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ รู้สึกเบลอๆ”
วิศนีเอามือบีบขมับออกมาแล้วยกมือปิดปากหาว
“ถ้าง่วงก็นอนเล่นไปก่อนได้นะครับคุณวิศนี อย่าเพิ่งรีบกลับ”
วิศนีเบลอๆ งงๆ
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
วิศนีหาวออกมาอีกครั้ง แล้วเอนหลัง งงๆ กับตัวเองที่อยู่ๆ ก็เป็นแบบนี้ พิมถือถุงขนมเดินเข้ามา
“หนูวิศนีคะ ป้าฝากขนมไปให้คุณพ่อ...”
พิมชะงัก เห็นวิศนีหลับ
“อ้าว ทำไมจู่ๆ หลับไปได้ล่ะ เพิ่งคุยกันอยู่เมื่อกี้”
พิมมองเดชชาติกับนีรนุชที่ทำหน้าเจื่อน

พิมดึงหูเดชชาติออกมาหน้าบ้าน แล้วเอามือฟาดก้น
“ไอ้เจ้าบ้า ไอ้เสียชาติเกิด แกทำอะไรของแกฮะ”
“โอ๊ย ! แม่ ฉันทำความดีนะเนี่ย”
“ทำความดีอะไรของแก วางยากันแบบนี้มันโจรชัดๆ”
“ก็มันไม่มีทางอื่นแล้วนี่แม่ ผมต้องช่วยไอ้อารุมมัน”
“ปัดโธ่ แล้วนี่ถ้าหนูวิศนีฟื้นขึ้นมาเธอจะว่ายังไงฮะ เล่นพิเรนทร์กันจริง”
พิมมองไปที่หน้าบ้านอย่างกลุ้มๆ

อารุมมองวิศนีที่นอนหลับอยู่ที่เบาะ มีผ้าปิดตา มัดมือเอาไว้ เริ่มรู้สึกผิด
“พี่ทำไม่ได้หรอกนุช พี่จะพาเขาไปส่งบ้าน”
อารุมจะเดินขึ้นรถ นีรนุชรีบดึง
“พี่อารุม ทำอย่างนี้ไม่ได้นะคะ พี่ไม่อยากปรับความเข้าใจกันได้หรือไง”
“แต่นี่มันไม่ถูกต้อง”
“ก็ในเมื่อคุณวิศนีเขาหนีพี่ ไม่ยอมให้โอกาสพี่ เราก็ต้องมัดมือชกแบบนี้แหละ”
“แต่...”
“ลองดูสิคะพี่ พาเธอไปในที่ที่พี่สองคนเคยมีความทรงจำดีๆ ร่วมกัน ยังไงบรรยากาศมันก็ต้องช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นบ้าง”
“แต่นี่มันลักพาตัวชัดๆ”
“เดี๋ยวนุชกับพี่ชาติเคลียร์ให้ค่ะพี่ ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวเธอตื่นขึ้นมาแล้วจะวุ่นวาย”
อารุมมองวิศนีที่หลับอีกครั้งอย่างชั่งใจ
“เอาก็เอา”
อารุมถอนใจเฮือกแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถ แล้วขับออกไป นีรนุชมองตามยิ้มๆ แล้วยกมือท่วมหัว
“เจ้าประคู๊ณ ขอให้สำเร็จด้วยเทิ้ด ไม่งั้นเราตกงานแน่”
นีรนุชทำหน้าหวาดเสียว

วิศนีนอนหลับอยู่ที่เบาะ อารุมขับรถไปก็เหลือบมองลุ้นๆ ไป สักพักวิศนีก็รู้สึกตัว แล้วดิ้นขลุกขลักเพราะถูกมัดมือกับปิดตา
“นี่ อะไรกันน่ะ ใครทำแบบนี้”
วิศนีเลิ่กลั่ก หันไปหันมา แต่มองอะไรไม่เห็น
“ใครน่ะ นี่ฉันอยู่ที่ไหน...บอกมานะว่าฉันอยู่ที่ไหน แล้วพวกแกเป็นใคร”
อารุมมองแล้วอมยิ้มขำ วิศนีแว้ดใส่
“บอกมาสิ ไม่งั้นฉันจะเรียกให้คนช่วยนะ”
อารุมขำ
“คุณอยู่บนรถกับผมสองคน แล้วจะให้ใครช่วยเหรอครับ”
วิศนีชะงัก จำเสียงได้
“คุณอารุม นั่นคุณเหรอ แล้วคุณทำอะไรกับฉันเนี่ย”
“ลักพาตัว!”
“จะบ้าเหรอ ปล่อยฉันลงนะ!”
“ทนอีกนิดเดียวนะคุณ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
“ไม่ ฉันไม่ทน ! ปล่อยฉัน คุณจะพาฉันไปไหน คนเลว คนบ้า โรคจิต !”
วิศนีดิ้นขลุกขลักไปมา แต่ยังแกะเชือกไม่ได้
“ผมน่าจะมัดปากคุณด้วยนะเนี่ย”
“มัดสิ ฉันจะกัดให้” วิศนีทำปากงับๆ ขู่ แล้วตะโกนต่อ “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย !”

วิศนีตะโกน หันไปมาอย่างกระวนกระวาย อารุมมองแล้วยิ้มขำ ก่อนจะขับรถต่อไป

วันใหม่...อารุมขับรถมาจอดที่หน้าบ้านวิโรจน์ วิศนีโวยวาย

“คุณอารุม ! คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ จะพาฉันไปไหน !”
“ถึงแล้ว ลงมา”
อารุมเดินไปเปิดประตูรถ แต่วิศนีนั่งนิ่ง เขาเลยเข้าไปอุ้ม เธอเอามือทุบๆ
“อย่านะ จะทำอะไร ปล่อย !”
อารุมอุ้มวิศนีออกมาจากรถ แล้วปล่อยลงที่พื้น ก่อนจะถอดผ้าผูกตาให้ วิศนีลืมตามองเต็มๆ ตาเห็นบ้านวิโรจน์ อารุมดักคอ
“จำได้หรือเปล่าว่าที่นี่ที่ไหน”
วิศนีรีบเก็บอาการ
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่เคยมีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับคุณ”
“ถ้าคุณอยู่ที่นี่กับผมสักพัก รับรองคุณจะจำได้ทุกอย่าง”
“ไม่มีทาง”
วิศนีพูดจบก็วิ่งหนีไปทั้งที่มีเชือกมัดมืออยู่
“วิศนี !”

วิศนีวิ่งหนีไปตามชายหาด หันมองไปทางบ้านฉาย แล้วจะตะโกนเรียก แล้วนึกได้
“ไม่ได้ เราต้องไม่รู้จักฉายกับเพ็ญ !”
วิศนีเปลี่ยนใจวิ่งหนีไปอีกทาง มือก็แกะผ้าที่มัดอยู่จนหลุด เธอวิ่งหนีมาตามชายหาด พยายามร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย !”
“วิศนี !”
อารุมวิ่งตามมาติดๆ วิศนีหันไปเห็นก็ยิ่งตกใจ รีบวิ่งเร็วขึ้น เห็นชาวประมงกำลังเตรียมเรือหาปลาอยู่เธอตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วยค่า!”
อารุมเข้าถึงตัวเอามืออุดปากแล้วคว้าตัวหลบหลังก้อนหินเสียก่อน ชาวประมงหันมามองแล้วไม่เห็นก็งง
“เสียงใครวะ”
ด้านหลังโขดหิน อารุมเอามืออุดปากวิศนีไม่ไห้ส่งเสียง เธออ้าปากงับนิ้วเขา
“โอ๊ย !”
อารุมร้องเบาๆ แล้วเผลอปล่อยมือ วิศนีจะอ้าปากตะโกนอีก อารุมเลยยื่นหน้าเข้าไปจูบเพื่อปิดปากไว้ วิศนีตกตะลึงตัวชา ชายหนุ่มจูบหญิงสาวเนิ่นนาน ขณะที่ชาวประมงเดินเข้ามาใกล้ แต่ยังไม่เห็นทั้งสอง
“ไม่มีนี่หว่า”
ชาวประมงเกาหัวแล้วเดินออกไป อารุมรอจนแน่ใจแล้วถอนปากออก วิศนีอ้าปากจะตะโกน
“ถ้าคุณร้องอีก ผมจะจูบอีก เอาสิ”
วิศนีตาเขียว แต่ก็ไม่กล้าเอะอะโวยวายอีก อารุมมองเห็นว่าไม่มีใครแล้ว ก็รีบดึงเธอไป

อารุมลากวิศนีมาที่ชายหาดที่มีเรือลำที่เคยใช้ไปเกาะจอดอยู่
“ขึ้นเรือ”
“จะพาฉันไปไหน”
“ไม่พาคุณไปฆ่าทิ้งน้ำหรอกน่า ขึ้นไป”
อารุมอุ้มวิศนีขึ้นเรือ แล้วตามขึ้นไปปลดเชือก แล้วติดเครื่องทันที วิศนีเกาะขอบเรือ มองเรือที่แล่นออกจากชายหาดอย่างกังวล

อารุมจอดเรือลอยคออยู่บริเวณชายหาดที่เกาะ
“เราเคยมาดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันที่นี่ คุณจำได้หรือยัง”
วิศนีแกล้ง
“ไม่เห็นจะจำได้เลย”
“วันนั้นผมพาคุณมาที่นี่ แต่คุณคิดว่าผมจะเอาคุณมาทิ้งไว้บนเกาะ แล้วคุณก็ร้องไห้เหมือนเด็กๆ”
อารุมหัวเราะขำ วิศนีหน้างอมองเขาด้วยความเสียฟอร์ม
“ไม่ขำนะ”
อารุมชะงัก
“คุณจำได้เหรอ”
วิศนีนึกได้ รีบทำไก๋
“เปล่า แต่ฉันว่าเรื่องที่คุณเล่ามันตลกฝืด ฉันไม่อยากฟัง”
วิศนีลงจากเรือ ลุยน้ำหนีขึ้นฝั่ง อารุมมองตาม ชักเริ่มไม่แน่ใจ

กุสุมามาที่คอนโดอารุมยืนคุยกับพนักงานต้อนรับ
“คุณอารุมไม่อยู่ค่ะ”
“ไปไหนทราบไหมคะ”
“เห็นว่าจะไปต่างจังหวัดนะคะ”

กุสุมานิ่งคิดอย่างหวาดระแวง กลัวอารุมไปกับวิศนีอีก

อุบัติเหตุ ตอนที่ 20 อวสาน (ต่อ)

วิศนีเดินทอดอารมณ์อยู่บนชายหาด มองไปรอบๆ อย่างเบื่อๆ อารุมหิ้วตะกร้าปิกนิกตามมา พร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่

“เดี๋ยวเรากินข้าวเย็นกันที่นี้นะ ผมให้เพ็ญเตรียมอาหารมาให้”
“ฉันอยากกลับบ้าน”
“ถ้าคุณทำตัวดีผมจะพากลับ แต่ถ้าทำตัวไม่ดี ก็อยู่ที่นี่อย่างไม่มีกำหนด” อารุมยกกระเป๋าให้ดู “เห็นไหม ที่นอนหมอนมุ้งผมก็เตรียมมาด้วย”
“จะบ้าหรือไง ที่นี่ไม่ที่พักสักหน่อย”
“รู้ได้ยังไง คุณเคยมาเหรอ”
วิศนีเสียฟอร์มอีก เลยชักสีหน้ารำคาญกลบเกลื่อน
“เมื่อไรคุณจะยอมแพ้ซักที ไม่ว่าจะทำยังไงฉันก็จำเรื่องของคุณไม่ได้หรอก”
“ผมไม่มีวันยอมแพ้”
อารุมพูดอย่างดื้อดึงแล้วปูเสื่อลงที่พื้นทราย วิศนีมองค้อน

วิศนีนั่งลงที่พื้นทราย มองดูแซนด์วิชกับของกินหลายอย่างที่อารุมเอามา
“คุณอยากทานอะไร เดี๋ยวผมทำให้” อารุมถามอย่างเอาใจ
“ฉันทำเองได้ค่ะ”
วิศนีหยิบขนมปัง คีบไส้หมูหยองใส่ ป้ายน้ำพริกเผา
“งั้นทำให้ผมด้วยสิ”
“ฉันจะไปรู้เหรอว่าคุณชอบกินอะไร”
“ก็ทายสิ”
อารุมนั่งเอนหลังกับหมอนที่เอาใส่เป้มา นั่งรอให้วิศนีทำให้กิน หญิงสาวมองอย่างหมั่นไส้ แล้วหยิบขนมปังขึ้นมา ดูไส้แซนด์วิชหลายอย่าง
“ชักช้ากัน ผมกินอันนี้ละนะ หิว”
อารุมเอื้อมมือมาหยิบแซนด์วิชที่วิศนีทำไว้ วิศนีมองตาม
“อย่านะ!”
“หวงเป็นเด็กไปได้”
อารุมจะเอาใส่ปาก วิศนีกระโจนไปปัดทิ้งทันที
“คุณกินไม่ได้ ในน้ำพริกมีกุ้งแห้ง เดี๋ยวก็ตายหรอก”
อารุมชะงักมองหน้าวิศนีอย่างเป็นต่อ แล้วค่อยยิ้มออกมา
“คุณจำได้จริงๆ ด้วยว่าผมแพ้กุ้งแห้ง”
วิศนีหน้าเหวอ รู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว
“ที่จริงคุณไม่เคยลืมเรื่องของผมเลยใช่ไหม”
วิศนีแก้ตัวไม่ออก รีบลุกหนีเดินออกไปทันที

วิศนีเดินหนีมายืนอึ้งเพราะจนมุม อารุมรีบตามมากอดไว้
“ผมดีใจนะครับที่ยังคุณจำได้ แล้วที่สำคัญมันทำให้ผมเห็นว่าคุณเป็นห่วงผม”
วิศนีเมินหน้าหนี
“ในเมื่อคุณหายสงสัยแล้วก็พาฉันกลับบ้านได้เถอะ”
“ทำไมคุณต้องโกหกผมด้วย”
“เพราะฉันอยากให้คุณลืมฉันให้ได้เหมือนกัน เราจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ของตัวเอง โดยไม่ต้องทรมานจิตใจกันอีก”
“ผมไม่มีวันจะลืมคุณ เหมือนที่คุณเองก็ไม่มีวันจะลืมผมได้”
“แต่เรื่องของเราไม่มีทางจบลงด้วยดี”
“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ อาจจะยาก แต่ตอนนี้อะไรๆ ก็คลี่คลายลงไปแล้ว คุณพ่อคุณก็ยอมรับผม”
“คุณยังมีคุณกุสุมา”
“ผมไม่ได้คิดอะไรกับกุสุมานะ”
“แต่เธอรักคุณมากจนฉันไม่อยากจะทำร้ายเธอ เหมือนที่ฉันทำร้ายคุณนนทางอ้อมมาแล้ว”
“ผมจะคุยกับกุสุมาเอง เพื่อนแท้น่าจะดีใจที่เห็นเพื่อนมีความสุข ผมมั่นใจว่ากุสุมาจะต้องเข้าใจ”
อารุมปัดปลายผมที่หน้าวิศนี เชยคางขึ้น
“แต่ที่สำคัญ คุณต้องให้โอกาสผม ให้โอกาสเราสองคนได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งนะครับ”
วิศนีสบตากับอารุม แววตาอ่อนโยนลง แล้วค่อยๆ พยักหน้าอย่างใจอ่อน อารุมมองใบหน้านั้นอย่างรักใคร แล้วค่อยๆ ก้มหน้าจูบที่หน้าผาก ไล่ลงมาที่ข้างแก้มอย่างนุ่มนวล รักใคร่

วันใหม่...อารุมขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน แล้วจูงวิศนีลงมาอย่างหวานชื่นเพราะดีกันแล้ว ทันใดเสียงกุสุมาดังขึ้น...
“หนีไประเริงกันมาจริงๆด้วย!”
อารุมกับวิศนีชะงัก หันไปมอง เห็นกุสุมาถลันเข้ามา
“สุ คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ก็มาดักรอรุมน่ะสิ สุนึกแล้วเชียว พองานแต่งงานมันล้มเลิก รุมจะต้องรีบตามมาต่อคิวมัน”
วิศนีไม่พอใจ
“คุณกุสุมา! กรุณาระวังคำพูดของคุณด้วยนะคะ”
“ฉันไม่ระวัง! คนอย่างเธอมันก็ผู้หญิงหน้าด้าน ไม่มีสามัญสำนึก ฆ่าคนตายแล้วยังจะมีหน้ามาเอาแฟนเขาไปกก”
อารุมตวาด
“สุ หยุดได้แล้ว! ยิ่งคุณทำอย่างนี้ มันยิ่งทำให้คุณดูน่ารังเกียจว่าเดิมเสียอีก”
“รุม! นี่รุมเห็นค่ามันมากกว่านนใช่ไหม”
“เลิกเอานนมาอ้างได้แล้ว นนเขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณใช้ประโยชน์จากนนมากเกินไปแล้วหยุดซักที ในสายตาของผมตอนนี้คุณไม่ใช่เพื่อนของนนด้วยซ้ำ!”
กุสุมาช็อก จ้องหน้าอารุม
“ผมเคยคิดจะคุยกับคุณดีๆนะสุ เพื่อให้แก่ความเป็นเพื่อนของเรา แต่ถึงตอนนี้ ผมคิดว่าจิตใจที่เต็มไปด้วยความริษยาของคุณ คงไม่เปิดรับฟังอะไรทั้งนั้น กลับไปเถอะ อย่ามาเกี่ยวข้องกับเราสองคนอีกเลย”

อารุมพูดพลางจับมือวิศนีไว้ แล้วจะพาเดินเข้าบ้าน

กุสุมามองตามอย่างเจ็บปวดหัวใจ น้ำตาไหลพราก

“รุม! รุมเกลียดสุแล้วเหรอ รุม!”
กุสุมาถลาไปจับมืออารุมไว้ อารุมพยายามแกะออก
“ปล่อยผม”
กุสุมาตั้งสติได้ หันไปพาลวิศนี
“เพราะแก เพราะแกคนเดียวนังวิศนี เพราะแก!”
กุสุมาถลาเข้าไปจิกผมจะตบตีวิศนี แต่อารุมขวางไว้แล้วออกแรงผลักกุสุมาออกไป กุสุมาหงายหลังล้ม อารุมรีบพาวิศนีเดินเข้าบ้านไป
“รุม กลับมาก่อน รุม! รุม!”
กุสุมากรี๊ดร้องโหยหวน ทึ้งหัวตัวเองด้วยความผิดหวัง

วิศนียืนกลุ้ม ไม่สบายใจกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
“ประยุทธพาสุไปส่งบ้านแล้วครับ คุณไม่ต้องกลัวนะ”
อารุมเข้าไปโอบวิศนีอย่างปลอบโยน
“คุณกุสุมาเธอเกลียดฉันมาก คงไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกค่ะ”
“ป้าของสุเคยบอกว่าอยากพาสุไปพบจิตแพทย์ เพราะสุเป็นคนเครียดจัดมานานแล้ว บางทีก็เหมือนมีสองบุคลิก อารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาง่าย ท่านกลัวว่าถ้าสุจะเตลิดไปมากกว่านี้ ผมจะลองไปปรึกษาท่านดู”
“ฉันสงสารเธอนะคะ แต่ฉันก็ กลัวเธอ”
“ผมเข้าใจ ผมจะปกป้องคุณเองนะ”
อารุมจุมพิตที่หน้าผาก แล้วดึงเธอมากอดปลอบใจ วิศนีค่อยยิ้มออก เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขา


วันใหม่ วิศนีมาที่บ้านเดชชาติ ยกมือไหว้พิมอย่างสำนึกผิด
“หนูขอโทษคุณป้าด้วยนะคะที่ทำให้เข้าผิดว่าความจำเสื่อม”
พิมยิ้มให้
“โถ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“ไม่เป็นไรได้ยังไงแม่ แม่ทุบผมฟรีทั้งหลายที” เดชชาติแกล้งแย้ง
“แกมันก็สมควรโดนแล้ว มีอย่างที่ไหน คิดแผนวางยาคุณวิศนี” พิมมองค้อนลูกชาย
นีรนุชหันไปยิ้มให้วิศนี
“นุชกับพี่ชาติต้องขอโทษคุณวิศนีอีกครั้งนะคะ ถ้าวิธีของพวกเรามันเกินกว่าเหตุไปหน่อย”
“คุณวิศนีไม่โกรธหรอก จริงไหมจ๊ะ”
อารุมถือโอกาสโอบวิศนีโชว์
“ไม่โกรธหรอกค่ะคุณนุช” บอกนีรนุชแล้วก็หันมาหาอารุม “เพราะฉันควรโกรธคุณมากกว่า ที่ลากคนโน้นคนนี้มาวุ่นวายไปด้วย”
“อ้าว ผมผิดเหรอเนี่ย ก็คุณหลอกผมก่อน”
วิศนีทำหน้างอน
“จ้า ผิดก็ได้จ้า”
อารุมกอดอ้อนวิศนีต่อหน้าคนอื่น ทุกคนมองแล้วอมยิ้ม

หน้าบ้าน...น้องๆของเดชชาติโยนลูกบอลเล่นลิงชิงบอลกันอยู่ รักชาติวิ่งมาจูงวิศนีออกไปรวมกลุ่ม อารุมกับเดชชาติยืนคุยกันมองดูวิศนีเล่นกับเด็กๆ อย่างเอ็นดู
“ยังไม่ทันไรก็ส่อแววกลัวเมียซะแล้วนะแก” เดชชาติแซว
“ยังไงก็กลัวเพราะรักแหละวะ”
“แล้วคุยกับว่าที่พ่อตาหรือยัง”
อารุมเขินๆ พลางส่ายหน้า
“ฉันไม่อยากรีบร้อน เดี๋ยวมันจะดูไม่ดี”
“เฮ้ย ทำไมอะ”
“ก็กว่าจะมาลงเอยแบบนี้ได้ ฉันก็ทำให้คุณวิศนีกับครอบครัวเจ็บมาเยอะ ถ้าฉันหน้าด้านเข้าไปพูดเรื่องเธอตอนนี้ มันจะเหมือนกับฉันอยากสบาย อยากเป็นลูกเขยท่านจนตัวสั่น”
“คิดมากน่า ฉันว่าท่านประธานไม่ได้คิดอะไรกับแกแล้วนะเว้ย ไม่งั้นคงไม่ให้เหยียบบ้านแล้ว”
อารุมนิ่งไปอย่างไม่มั่นใจ
“เชื่อฉันเถอะอารุม ตอนนี้ไฟเขียวผ่านตลอด ถ้าแกไม่ขยับตัวทำอะไร มันก็จะกลายเป็นว่าแกไม่จริงจังกับคุณวิศนี”
อารุมนิ่งคิด เริ่มเอนเอียงมาทางเดชชาติ จังหวะเดียวกับที่ลูกบอลกระเด็นมาหาพอดี อารุมรับไว้ หันไปมอง วิศนีป้องปากตะโกนมา
“คุณอารุม โยนมาหน่อยค่ะ เร้ว”
“อารุม ถ้าผู้หญิงคนนี้คือคนที่แกอยากจะร่วมชีวิตด้วย แกก็ต้องทำให้เธอกับครอบครัวมั่นใจในตัวแกนะ”
อารุมสบตากับเดชชาติ พยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วมองไปที่วิศนีกับเด็กๆ
“ให้พี่เล่นด้วยคนนะ”
อารุมถือบอลวิ่งเข้าไปรวมกลุ่ม เดชชาติมองตาม อย่างยินดีกับเพื่อน

นีรนุชกับพิมช่วยกันล้างจานอยู่ในครัว มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นอารุมกับวิศนีแย่งบอล มีจังหวะกอดรัดฟันเหวี่ยง หลอกล่อกัน
“ป้าดีใจนะที่ทั้งคุณวิศนีกับอารุมมีความสุขซะที ทีนี้ก็เหลือนุชกับเจ้าชาตินี่แหละ”
นีรนุชสะดุ้งทำจานหลุดมือดังเพล้ง
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
“ใจลอยอะไรล่ะลูก”
“ม...เมื่อกี้ป้าพูดว่าไงนะคะ”
“ป้าบอกว่าก็เหลือหนูกับเจ้าชาติสองคน ที่ยังที่ยังไม่ลงเอยกันสักที...หนูไม่สนใจลูกชายป้าบ้างเหรอ”
นีรนุชหน้าแดง ขวยเขิน พิมมองแล้วเข้าใจไปอีก
“เอ้า ไม่เป็นไร เจ้าชาติมันอาจจะไม่ใช่สเป็ค เอาไว้หนูเจอคนถูกใจเมื่อไร พามาให้ป้ารู้จักบ้างแล้วกันนะ”
พิมล้างจานต่อ ไม่ได้สนใจอีก เลยไม่เห็นว่านีรนุชเหลือบมอง หน้าซึมๆ พึมพำเบาๆ
“ป้าขา ไม่ใช่ว่าหนูไม่สนใจลูกชายป้า แต่ลูกชายป้าต่างหากที่ไม่เคยสนใจหนูเลย”

นีรนุชก้มหน้าล้างจานเงียบๆ เศร้าๆ

วันใหม่...เดชชาติเดินเอาบัตรเชิญมาแจก ยุพเยาว์ ลูกเกด ชมพู่

“นี่ ให้พวกฉันไปงานเลี้ยงครบรอบบริษัทจริงๆเหรอ” ลูกเกดถามอย่างตื่นเต้น
“จริงสิ ท่านถือว่าพวกเธอเป็นเพื่อนคุณวิศนีเหมือนกัน”
“ต๊ายตาย เป็นเกียรติมากเลย ในที่สุดความดีงามของเราก็มีคนมองเห็นเนอะ” ชมพู่กรี๊ดกร๊าด
ยุพเยาว์มองค้อน
“นังเวอร์! เชิญเราไปในฐานะเพื่อนคุณวิศนีแบบนี้ สงสัยจะไม่ใช่งานครบรอบบริษัทเฉยๆ มั้ง ต้องถือโอกาสเปิดตัวคุณวิศนีกับอีตาอารุมด้วยแน่ๆเลย”
“ลูกเกดกับชมพู่ตื่นเต้น”
“งั้นที่เขาว่าท่านประธานให้อารุมเข้านอกออกในบ้านได้ตามสบายก็จริงน่ะสิ” ชมพู่หันมาถามเดชชาติ
“ก็ทำนองนั้น”
“แหม ในที่สุดพระเอกนางเอกก็ลงเอยกัน”
ชมพู่ทำท่าฝันหวาน แล้วแหย่เดชชาติ
“นี่ แล้วเมื่อไรผู้ชายพระนางจะลงเอยกันบ้างล่ะยะ”
เดชชาติงง ชี้ตัวเอง
“ฉันเหรอ ? จะให้ไปลงกับใครเล่าแม่คุ๊ณ ชีวิตก็มีแต่บ้านกับที่ทำงาน ไม่เห็นจะเจอสาวที่ไหนคู่ควรเลย”
“ก็ยายนุชไง” ยุพเยาว์ว่า
นีรนุชเดินผ่านมาพอดี ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองเลยหยุดฟัง เดชชาติหัวเราะลั่น
“โอ๊ย อย่างยายนุชเนี่ยนะ ไม่เอาอะ คนอย่างไอ้ชาติอยากได้แฟนที่พึ่งพาได้ ไม่ได้อยากได้เด็กกะโปโลมาเป็นแฟน”
นีรนุชสะอึกกับพูดของเดชชาติ แอบฟังอย่างเสียใจ

ในงานเลี้ยงค็อกเทลในบ้านอำนวย อำนวยยืนรับแขกอยู่กับกรแก้ว มีแขกเอาของขวัญมาให้
“ยินดีกับการครบรอบ 20 ปีของบริษัทนะครับ” แขกบอกอย่างยิ้มแย้ม
“ขอบคุณมากครับท่าน ขอบคุณมาก”
“เชิญข้างในเถอะค่ะ”
อำนวยกับกรแก้วเชื้อเชิญแขกเข้าไปด้านใน อารุมเดินเข้ามากับเดชชาติ นีรนุช เอาของขวัญมาให้
“อ้าว คุณอารุม มาแล้วเหรอ” อำนวยยิ้มให้
“ขอโทษที่มาช้าครับท่าน”
“ไม่เป็นไร เข้าข้างในกันก่อน เดี๋ยวผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
อารุมชะงักหน้าเจื่อนๆ แล้วพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปกับเดชชาตินีรนุช


อารุมเดินเข้ามาในงานพร้อมเดชชาติ และนีรนุช ยุพเยาว์ ลูกเกด ชมพู่ปรี่มาทักทาย
“ต๊าย ยายนุช วันนี้สวยนะยะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ดีแล้ว หัดแต่งเนื้อแต่งตัวซะบ้าง จะได้ดึงดูดผู้ชายดีๆเข้ามา”
ลูกเกดพูดพลางเหล่เดชชาติอย่างหมั่นไส้ เพราะที่ผ่านมานั้น เดชชาติทำเป็นขำ ไม่เล่นด้วยกับการเชียร์ของเพื่อนๆ ให้คบกับนีรนุช ทุกคนเลยหมั่นไส้เดชชาติที่ช่างเลือก ไม่มองคนใกล้ตัวที่เหมาะสมที่สุด
“ใช่ ขอให้เจอหล่อๆ รวยๆ เลยนะ เผื่อบางคนจะนึกเสียดาย”
นีรนุชยิ้มเจื่อนๆ เดชชาติรู้ตัวว่าโดนกระทบก็เริ่มอึดอัด
“เฮ้อ ฉันไปหาเครื่องดื่มมาให้พวกเธอดีกว่า มีอะไรกินซะได้จะปากไม่ว่าง”
เดชชาติรีบแยกไป อารุมมองหา
“คุณวิศนียังไม่ลงมาอีกเหรอ”

อารุมเดินเข้ามาในบ้าน มองหาวิศนีแต่ยังไม่เห็น วิศนีเดินลงบันไดมาพอดี
“ตรงนี้ไม่ใช่ที่ให้แขกมาเพ่นพ่านนะคะ”
อารุมหันกลับมา เห็นวิศนีในชุดสวยก็ยิ้มออก
“คุณสวยมาก แต่ยังขาดอะไรไปนิดนึง”
“อะไรคะ”
“สร้อยยังไม่สวย”
อารุมยิ้ม แล้วล้วงกระเป๋าหยิบกล่องกำมะหยี่เล็กมาเปิดออก วิศนีเห็นแล้วยิ้มขำ
“เนื่องในโอกาสอะไรคะเนี่ย”
“โอกาสที่ผมอยากให้”
อารุมขยับเข้ามาหาวิศนีอ้อมมือไปทางด้านหลัง แล้วปลดตะขอสร้อยที่วิศนีใส่ออก แล้วหยิบสร้อยที่ตัวเองซื้อมาสวมให้
“วันนี้ยังเป็นแค่สร้อย เอาไว้ถึงวันแต่งงานของเรา ผมจะหาแหวนที่เข้าชุดกันให้นะ”
“ใครว่าฉันจะแต่งงานกับคุณ”
วิศนีอมยิ้มเขินแล้วเดินหนีไป อารุมมองตาม รู้ว่าวิศนีพูดเล่น เดินตามไป

นีรนุชยืนคุยอยู่กับ ยุพเยาว์ ลูกเกด ชมพู่ ไม่ทันมองแขกไฮโซคนหนึ่งถือแก้วพันช์ผ่านมา
นีรนุชถอยหลังไปชนพอดี
“อุ๊ย!”
“ว้าย ขอโทษค่ะ”
แขกทำพันช์หกใส่นีรนุชตรงอกเสื้อ ทุกคนตกใจ
“ตายแล้ว พี่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ขอโทษนะคะ”
แขกรีบเปิดกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าจะซับให้ นีรนุชรีบห้าม
“ไม่เป็นไรค่ะ นุชไม่ระวังเอง”
นีรนุชเดินแยกเลี่ยงออกไปล้างตัว

อารุมเดินไปดักหน้า เอามือกั้นประตูไม่ให้วิศนีออกไป
“ถ้าคุณไม่แต่งกับผมแล้วคุณจะแต่งกับใครครับคุณวิศนี”
“ไม่รู้สิคะ ฉันยังไม่ได้คิดเลย ที่จริงฉันก็มีเพื่อนผู้ชายที่เมืองนอกตั้งหลายคนนะ”
“ป่านนี้เขาแต่งงานกันไปหมดแล้วมั้ง”
“แน่ใจเหรอ”
วิศนียิ้มๆ รู้ว่าแอนโธนี่ เพื่อนเก่าของเธอจะมา อารุมดึงวิศนีเข้ามาใกล้ ทำหน้าหึง
“คุณห้ามคิดเรื่องแต่งงานกับคนอื่นเด็ดขาด อย่าลืมสิว่าเราเป็นอะไรกัน หรือว่าอยากให้ผมเตือนความจำตรงนี้”
อารุมแกล้งยื่นหน้าเข้าไปหอม วิศนีรีบผลักออก เสียงกระแอมดังขึ้น ทั้งสองชะงักหันไป เห็นนีรนุชยืนเขินๆอยู่
“ขอโทษค่ะ ไม่ทราบห้องน้ำอยู่ไหนคะ”
“ตายจริงคุณนุช ไปโดนอะไรมาคะเนี่ย”
นีรนุชจ๋อยๆ
“พันช์หกใส่น่ะค่ะ”
“ไปค่ะ ฉันจะพาไปล้างตัว...คุณไปรอที่งานก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันตามไป”

อารุมพยักหน้าให้ แล้วเดินแยกไป

อารุมเดินกลับมาที่งาน ยืนมองแสงไฟหลากสีเพลินๆ อำนวยเดินเข้ามาโอบไหล่

“ขอบคุณนะที่คุณมางานนี้”
“ที่ท่านบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผม คืออะไรเหรอครับ”
อำนวยมองอารุมอย่างพิจารณา แล้วเกริ่น
“เราทำงานด้วยกันมากี่ปีนะอารุม”
“ก็...ประมาณ 6 ปีครับ”
อำนวยพยักหน้า ยิ้มๆ
“6 ปีเองเหรอ ผมนึกว่าคุณอยู่มานานกว่านั้นซะอีก เพราะผมรู้สึกว่าเราคุ้นเคยกันมากเหลือเกิน”
อารุมได้แต่ยิ้มรับอย่างเกรงใจ
“คุณจะว่ายังไง ถ้าผมจะบอกว่าห้องผู้จัดการฝ่ายขายยังว่างอยู่ แล้วเราก็ต้องการคนทำงานเก่งๆ กลับไปรับผิดชอบเหมือนเดิม”
อารุมเริ่มเข้าใจความหมายว่าอำนวยมาทาบ
“แต่ว่าผมเคย...”
อำนวยตัดบท
“ผมจำไม่ได้แล้วล่ะว่ามันเคยมีอะไรเกิดขึ้น รู้แต่ว่าตั้งแต่วันนั้นผมก็เสียลูกน้องมือดีไปคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมยังเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้...ลองเก็บไปคิดดูนะ ถ้าคุณไม่ได้รังเกียจบริษัทของเรา”
อำนวยตบไหล่อารุม ยิ้มให้ แล้วเดินออกไป ทิ้งให้อารุมครุ่นคิด

นุชออกมาจากในห้องน้ำ เสื้อยังชื้นๆ และมีรอยเปื้อน
“ฉันว่าคุณนุชอย่าใส่ชุดนี้เลยนะคะ เดี๋ยวจะเหนียวตัว”
“งั้นนุชกลับเลยดีกว่าค่ะ”
นีรนุชจะไป วิศนีดึงไว้
“จะกลับทำไมคะ งานยังไม่เริ่ม เดี๋ยวเอาชุดฉันดีกว่า ฉันมีชุดสวยๆ รอแป๊บนะคะ”
วิศนีรีบเดินออกไป นีรนุชมองตาม ไม่แน่ใจ

เดชชาติเดินเข้ามาหาอารุมกับเพื่อนๆ
“นี่ยายนุชไปไหนวะเนี่ย”
“ไปล้างตัวที่ห้องน้ำ”
“ซุ่มซ่ามอะไรอีกล่ะยายคนนี้ เฮ้อ”
เดชชาติส่ายหน้าอ่อนใจ พิธีกรถือไมค์เดินเข้ามากลางงาน เสียงดนตรีเพลงหวานดังขึ้น
“เอาล่ะครับ ถึงเวลาที่ทุกท่านจะมีความสุขกับเพลงหวานๆ ในคืนนี้แล้ว ใครใคร่จะเต้นรำก็เชิญได้เลยนะคร้าบ”
ลูกเกดตื่นเต้น
“ต๊ายตาย ฉันอยากเต้นรำ ทำยังไงดี ไม่มีคู่”
“สงสัยจะต้องเต้นกันเองแล้วล่ะ” ชมพู่ว่า
ลูกเกดลากชมพู่ออกไป ยุพเยาว์วิ่งตาม
“เดี๋ยวสิ แล้วฉันล่ะ”
อารุมเห็นวิศนีเดินเข้ามาในงาน มีนีรนุชตามหลัง
“มาทันเวลาพอดีเลย เต้นรำกับผมนะ”
อารุมรีบเข้าไปจับมือวิศนี
“งั้นฝากคุณชาติดูแลเธอด้วยนะคะ”
วิศนีเลี่ยงมา เผยให้เห็นนีรนุชที่แต่งชุดสวยยืนประหม่าอยู่ด้านหลัง เดชชาติอ้าปากค้าง
“นุช นี่เธอเหรอ”
นีรนุชเขิน
“ไม่ใช่นุชแล้วจะใครล่ะ”
“เปลี่ยนชุดทำไมเนี่ย”
“ก็ชุดเก่ามันเปื้อน คุณวิศนีเลยให้นุชเปลี่ยน ทำไม ไม่เข้ากับนุชใช่ไหม”
เดชชาติอมยิ้มมอง แขกหนุ่มเดินผ่านเข้ามามองนีรนุชอย่างเจ้าชู้
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหมครับ”
นีรนุชเขิน ยังไม่ทันตอบ เดชชาติก็โอบนีรนุชโชว์ทันที
“คงไม่ได้หรอกครับ เธอเป็นคู่เต้นผม”
เดชชาติดึงนีรนุชไป เต้นรำร่วมกับคู่อื่นๆ

เสียงดนตรีหวานดังแว่วๆ มาถึงหน้าบ้าน ขณะที่กุสุมาก้าวออกมาจากในเงามืด มองเข้าไปในบ้าน เดินตรงเข้าไปอย่างเงียบๆ
ในบริเวณงาน...อารุมกับวิศนีเต้นรำกันอยู่
“คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณจะแต่งงานกับผมหรือเปล่า” อารุมถาม
“แล้วถ้าฉันไม่แต่ง คุณเอาสร้อยคืนเหรอ”
“ไม่ แต่ผมจะจูบคุณโชว์แขกในงานนี้ ให้เขาเห็นกันทั่วๆ ว่าเราเป็นคนรักกัน คนอื่นจะได้ไม่ไกล”
อารุมยื่นหน้าเข้ามาจะจูบ วิศนีรีบเบี่ยงหนี อย่างหยอกเย้ากัน กุสุมาจ้องด้วยแววตาวาวโรจน์
“นังวิศนี ฉันต้องใช้วิธีขั้นเด็ดขาดกับแกใช่ไหม”

เดชชาติกับนีรนุชเต้นรำกันอยู่ เขามองเธออย่างเคลิ้มๆ จนเผลอเหยียบเท้า
“โอ๊ย พี่ชาติ เต้นดีๆสิ”
“ขอโทษๆมองเพลินไปหน่อย”
“มองอะไร”
เดชชาติชะงัก รู้สึกตัวว่าหลุดปากไป
“ก็...มองไปเรื่อย”
เดชชาติเบนสายตาหนี แล้วไปหยุดกึกอย่างตกตะลึง นีรนุชไม่ได้สังเกตสีหน้าเดชชาติพูดต่อ
“นุชอายจังที่แต่งตัวอย่างนี้ มันดูไม่เหมาะกับนุชเลย พี่ชาติว่างั้นไหม”
เดชชาติไม่ตอบ เพราะกำลังตะลึง นีรนุชมองหน้า
“พี่ชาติ...”
“กุสุมา”
นีรนุชหันขวับไปมองตามสายตาเดชชาติทันที ทั้งคู่เห็นกุสุมายืนอยู่ในเงามืด ยกปืนขึ้นเล็งมา เดชชาติหันไปมอง เห็นคู่ของอารุมกับวิศนีอยู่ข้างๆ ก็รู้ทันที
“อารุม คุณวิศนี ระวังครับ!”
เดชชาติตะโกนแล้วพุ่งไปผลักทั้งคู่ เป็นจังหวะเดียวกับที่กุสุมายิงพอดี
เสียงปืนดังปัง!!!
ทุกคนในงานกรี๊ดกร๊าดแตกฮือ อารุมประคองวิศนีที่ตกใจเอาไว้ กรแก้วกับอำนวยเลิ่กลั่ก
กุสุมาเจ็บใจที่ยิงไม่โดน เล็งปืนใส่วิศนีอีก อารุมรีบดึงวิศนีวิ่งหนีไป
“จะไปไหน นังวิศนี ฉันจะฆ่าแก”
กุสุมาไล่ยิงเหมือนคนบ้า เสียงปืนดังปังๆๆๆ ไปทั่วบริเวณ แต่จู่ๆก็มีมือมาจับแขนบิดไว้
“โอ๊ย!”
แอนโธนี่โผล่เข้ามาจับมือกุสุมาจากทางด้านหลัง ยื้อแย่งปืนกัน เสียงปืนดังขึ้นฟ้า
“โอ๊ย ปล่อยฉัน”
ทุกคนเข้าที่กำบังแล้วชะโงกหน้าออกไปมอง เห็นแอนโธนี่บิดมือกุสุมาจนปืนตกพื้น วิศนีมองตะลึง
“แอนโธนี่”
อารุมหันมองวิศนีอย่างแปลกใจ แอนโธนี่รวบแขนกุสุมาไว้ได้สำเร็จ ตะโกนบอกทุกคน
“โทรแจ้งตำรวจ”
กุสุมาเลิ่กลั่ก เมื่อเห็นทุกคนเริ่มออกมาจากที่ซ่อน รีบกระทืบเท้าแอนโธนี่
“โอ๊ย!”
แอนโธนี่เผลอปล่อยมือ กุสุมารีบกระโจนไปหยิบปืน แล้วกราดไปทั่ว
“อย่านะ อย่าตามมานะ”
กุสุมารีบวิ่งหนีเอาตัวรอดออกจากบ้านไป อำนวยกับกรแก้วรีบวิ่งเข้าไปดูวิศนี
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณวิศนี”
วิศนีส่ายหน้า ยังตกใจไม่หาย ทันใดนั้นเองเสียงนีรนุชก็กรี๊ดขึ้น
“พี่ชาติ พี่ชาติ!”

ทุกคนหันไปมอง เห็นนีรนุชประคองเดชชาติที่นอนหมดสติอยู่ ทุกคนรีบกรูกันเข้าไปหาเดชชาติ

อุบัติเหตุ ตอนที่ 20 อวสาน (ต่อ)

เดชชาตินอนสลบอยู่บนเตียง ที่บุรุษพยาบาลเข็นเข้ามาในห้องฉุกเฉิน นีรนุชเกาะขอบเตียงวิ่งตาม ร้องไห้ มีคนอื่นๆ ตามมา

“พี่ชาติ! พี่ชาติต้องไม่เป็นอะไรนะพี่!”
บุรุษพยาบาลเข็นเตียงมาถึงห้องฉุกเฉิน พยาบาลรีบหันมาห้าม
“ญาติรออยู่ข้างนอกนะคะ”
นีรนุชยืนร้องไห้สะอื้นตัวโยน อารุมกับวิศนีเข้าไปประคองไว้
“ใจเย็นๆ นะคะคุณนุช คุณชาติคงไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”
“แต่พี่ชาติมีเลือดเต็มตัวเลยนะคะ”
อารุมช่วยปลอบ
“ชาติถึงมือหมอแล้วนะนุช นุชทำใจให้สบายนะ”
“พี่ชาติ...”
นีรนุชสะอึกสะอื้นแล้วหน้ามืดเป็นลม ทุกคนตกใจ รีบช่วยกันเข้าไปดูแล

แอนโธนี่นั่งอยู่บนเตียงในห้องทำแผล วิศนีเดินนำอารุม อำนวย กรแก้วเข้าไป
“วิทนี่ย์”
แอนโธนี่ทักอย่างดีใจ วิศนีเดินเข้าไปกอด เอาแก้มชนกันสองข้างแบบธรรมเนียมฝรั่ง อารุมมองเขม็ง
“นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”
“วิทนีย์ชวนยังไงก็ต้องมา”
วิศนียิ้ม โอบแอนโธนี่แล้วหันไปแนะนำกับทุกคน
“แอนโธนี่เป็นเพื่อนเก่าหนูตั้งแต่อยู่ที่อังกฤษค่ะ”
แอนโธนี่แซว
“เพื่อนเองเหรอ”
วิศนีถองแอนโธนี่แบบเล่นๆ
“เขาเป็นผู้บริหารโรงแรม บริษัทส่งมาดูแลโรงแรมของคุณหญิงอวลอบที่ขายให้ฝรั่งไปไงคะ”
อำนวยพยักหน้ารับ
“อ้อ โลกกลมนะ”
วิศนีบอกแอนโธนี่
“นี่พ่อแม่ฉัน”
แอนโธนี่ยกมือไหว้
“สวัสดีครับ”
อำนวยกับกรแก้วรับไหว้ แอนโธนี่หันไปหาอารุม
“ส่วนนี่คุณอารุม”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณอารุม”
แอนโธนี่ยื่นมือให้อารุมจับ อารุมจับมือด้วย แต่สายตายังมองแอนโธนี่แบบเคลือบแคลงนิดๆ
“แล้วเธอไม่เป็นอะไรแน่นะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ไหนดู”
วิศนีจับแอนโธนี่พลิกตัวดูแผลไปทั่ว อารุมมองอย่างหึงๆ

วิศนีเดินคุยกับอารุมออกมาข้างนอก
“แอนโธนี่กับฉัน รู้จักกันมาเท่ากับเวลาที่ฉันอยู่เมืองนอกพอดีเลย เขาเป็นฝรั่งคนแรกที่ฉันรู้จักที่โน่น” วิศนีเล่า
อารุมหึงนิดๆ
“ถึงว่า คุณกับเขาดูสนิทกันเหลือเกิน”
วิศนีมอง อมยิ้ม
“เราสนิทกันมาก ที่เขาเลือกมาเมืองไทยก็เพราะอยากจะมาเจอฉัน จะได้รำลึกความหลังกัน”
อารุมหน้าตึง เริ่มคิดไปใหญ่โต
“งั้นคุณก็รำลึกความหลังกันไปแล้วกัน ผมจะไปดูไอ้ชาติ”
อารุมเดินคอแข็งออกไป วิศนีงงๆ แต่แล้วก็ยิ้มขำออกมา เริ่มรู้ว่าอารุมหึง

นีรนุชนั่งอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน มียุพเยาว์ ลูกเกด ชมพู่คอยพัดวี สักพักก็ลืมตาขึ้น
“นุช ฟื้นแล้วเหรอ” ยุพเยาว์ถามอย่างเป็นห่วง
“พี่ชาติล่ะคะ พี่ชาติอยู่ไหน”
นีรนุชลุกพรวด รีบเดินมาที่ห้องฉุกเฉิน ทั้งสามรีบตามไป

นีรนุชวิ่งกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน หน้าตาตื่น มองหา
“พี่ชาติ! พี่ชาติ!”
บุรุษพยาบาลเข็นเตียงศพ มีผ้าคลุมหน้าออกมา นีรนุชตกใจ วิ่งเข้าไปหา ปล่อยโฮลั่น
“พี่ชาติ ! ไม่นะพี่ พี่ต้องไม่เป็นไร ฮือๆๆๆ”
นีรนุชซบหน้ากอดศพบนเตียงร้องไห้โฮ
“พี่ชาติฟื้นมาสิ นุชจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีพี่ พี่ชาติ”
ยุพเยาว์ ลูกเกด ชมพู่วิ่งตามมา ทำหน้าตกใจ เพราะคิดว่าเดชชาติตายแล้ว”
“คุณเป็นญาติคนไข้ชื่ออะไรนะครับ”
นีรนุชไม่ฟัง ยังคงกอดศพคร่ำครวญฟูมฟาย
“พี่ชาติทิ้งนุชไปแบบนี้ไม่ได้นะ”
“เอ่อ คุณครับ...”
“พี่ชาติ ตื่นสิคะตื่น ตื่นมาฟังนุชก่อน”
“นุช!”
นีรนุชชะงักหันกลับไป พร้อมกับสามสาว
“เดชชาติ!”ลูกเกดร้องออกมา
อารุมประคองเดชชาติที่มีผ้าพันแผลคล้องคอเข้ามา ชมพู่หันกลับไปมองศพ
“แล้วนั่นใคร”
“ก็ไม่ใช่น่ะสิครับ ไม่มีใครฟังผมเลย”
บุรุษพยาบาลส่ายหัวแล้วรีบเข็นรถออกไป นีรนุชนึกได้ รีบเอามือลูบหน้าลูบแขนตัวเองอย่างกลัวๆ เพราะไปกอดศพใครก็ไม่รู้

อารุมนั่งคุยอยู่กับเดชชาติ นีรนุชและคนอื่นๆ
“ชาติมันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก กระสุนถากที่แขนนิดเดียว แต่ที่สลบไปเพราะเห็นเลือดตัวเอง” อารุมเล่า
เดชชาติยิ้มแหยๆ
“ก็ฉันนึกว่าตัวเองจะตายนี่ ขอโทษนะ”
“โธ่เอ้ย ยายนุช แล้วเธอไปกอดศพใครเนี่ย อี๋”
สามสาวทำท่าขยะแขยง นีรนุชหน้าเศร้า เดชชาติมอง หัวเราะ
“เด็กเอ๊ย... เฟอะฟะตามเคยนะเรา”
เดชชาติเอามือลูบหัว นีรนุชรีบลุกพรวดขึ้น จากที่อายเพราะหน้าแตก เจอเดชชาติหัวเราะก็ปรี๊ดด้วยความน้อยใจ
“ขอโทษนะคะที่ความห่วงใยของนุชมันมีค่าแค่ความเฟอะฟะ!”
ทุกคนชะงักตกใจ ที่อยู่ๆ นีรนุชก็ของขึ้น
“นุชขอกลับบ้านก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
นีรนุชไหว้ทุกคนแล้วรีบออกไป เดชชาติลุกจะตาม
“อ้าว นุชเดี๋ยวก่อน รอกลับพร้อมกันสิ นุช!”
เดชชาติมองตามนีรนุชที่วิ่งออกไปอย่างไม่เข้าใจ นีรนุชวิ่งร้องไห้ออกมาโรงพยาบาล เห็นแท็กซี่ผ่านมาก็รีบโบก แล้วขึ้นไป รถแท็กซี่แล่นออกไป นีรนุชนั่งซบประตู ร้องไห้ น้อยใจที่เดชชาติเห็นความรู้ห่วงใยของตัวเองเป็นเรื่องตลก

อารุมกับเดชชาติเดินคุยกันตามลำพัง
“สงสัยนุชจะงอนที่แกไปหัวเราะเยาะ” อารุมว่า
“เด็กบ๊อง ก็ตัวเองหน้าแตกเอง ไม่ได้มีใครแกล้งสักหน่อย” เดชชาติเซ็งๆ
“แกจะกลับเลยหรือเปล่า”
“อือ แต่ฉันกลับเองได้ แกไปหาคุณวิศนีเหอะ”
อารุมนึกถึงวิศนีแล้วหน้าตึงขึ้นมา
“ไม่ไปล่ะ เขาคงไม่ว่างคุยกับฉันหรอก ต้องคอยดูแลเพื่อนเก่า”
“ใครวะ”
อารุมตอบปัดๆ เคืองๆ
“ฝรั่ง มาจากเมืองนอก ฉันไปส่งแล้วกัน อยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์”

อารุมเดินนำไปที่รถอย่างฉุนๆ เดชชาติงงกับท่าทางอารุม แต่ก็เดินตามไป

ต่อจากตอนที่แล้ว

อารุมเดินวนไปมาครุ่นคิดเรื่องวิศนีกับแอนโธนี่อยู่ในห้อง แล้วกระสับกระส่ายไม่สบายใจ พาลนึกถึงคำพูดของวิศนีก่อนหน้าจะเกิดเหตุ

“ถ้าคุณไม่แต่งกับผมแล้วคุณจะแต่งกับใครครับคุณวิศนี”
วิศนีรวน
“ไม่รู้สิคะ ฉันยังไม่ได้คิดเลย ที่จริงฉันก็มีเพื่อนผู้ชายที่เมืองนอกตั้งหลายคนนะ”
“ป่านนี้เขาแต่งงานกันไปหมดแล้วมั้ง”
“แน่ใจเหรอ”
วิศนีบอกยิ้มๆ...
อารุมถอนใจหนักหน่วง เครียด กลัวจะเสียวิศนีให้แอนโธนี่ไป

วิศนีเดินคุยกับแอนโธนี่ที่สวนหน้าบ้าน
“นึกยังไงถึงมาหาฉันที่บ้านตั้งแต่เช้าจ๊ะ”
“มีเรื่องอยากให้วิทนีย์ช่วยหน่อย”
“อะไร จะให้พาเที่ยวใช่ไหม ได้สิ ก็สัญญาไว้แล้วนี่ว่าถ้าเธอมาเมืองไทย ฉันจะเป็นไกด์ให้แอนโธนี่เรื่องเที่ยวเอาไว้ทีหลังเถอะ”
“อ้าว งั้นจะให้ช่วยอะไร”
แอนโธนี่มองวิศนีเขินๆ

เดชชาติเดินกระวนกระวายมองดูนาฬิกาอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ลูกเกดกับชมพู่ที่กำลังแต่งหน้าอยู่เงยหน้ามอง
“รอใครนายชาติ นัดลูกค้ามาวางเงินดาวน์หรือเปล่า” ลูกเกดถามอย่างสงสัย
“เปล่า ยายนุชน่ะสิ เมื่อเช้าฉันไปเรียกที่บ้านก็ไม่เจอ นึกว่ามาทำงานแล้ว ป่านนี้ยังไม่ถึง”
ชมพู่หันมาบอก
“อ๋อ นุชเขาไม่มา เขาโทรบอกให้ฉันลางานให้แล้ว มีธุระ”
เดชชาติสงสัย
“ธุระอะไร”
“ไม่รู้ มีเดทมั้ง”
ลูกเกดพูดเสร็จก็หัวเราะกับชมพู่กันคิกคัก แล้วแต่งหน้าต่อ เดชชาติแปลกใจ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด ก่อนจะเดินออกไป

นีรนุชยืนรออยู่ที่ทางออกของสนามบิน มองเข้าไปด้านใน เพราะป้าซึ่งอยู่ต่างประเทศ โทรบอกให้มารับ โทรศัพท์ดังขึ้น พอหยิบมาดูก็เห็นชื่อเดชชาติ นีรนุชมองอย่างชั่งใจก่อนจะกดตัดสาย แล้วชะเง้อมองต่อ ไปเห็นป้าเข็นรถออกมา โบกไม้โบกมือ นีรนุชดีใจ รีบวิ่งเข้าไปหา เข้ากอดป้า
“หนูคิดถึงป้าที่สุด”
“ป้าขอโทษนะลูกที่ไม่ได้มางานยายนน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าสบายดีนะคะ”
ป้าพยักหน้า นีรนุชดีใจ กอดป้าอีก โทรศัพท์ดังขึ้น นีรนุชกดดู เห็นเบอร์เดชชาติ ก็ชะงัก
“ใครโทรมาจ๊ะ”
นีรนุชได้สติ รีบกดปิด
“ช่างเถอะค่ะ ไม่ใช่คนสำคัญ”
นีรนุชโผเข้ากอดป้าอีกครั้งอย่างโหยหาความอบอุ่น

อารุมขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน อำนวยกับกรแก้วเดินออกมาพอดี
“มาหาวิศนีเหรอคุณ คลาดกันซะแล้วล่ะ เขาเพิ่งออกไปกับแอนโธนี่” อำนวยบอก
“ไปไหนกันเหรอครับ”
“เห็นว่าจะไปดูเรื่องแพ็คเกจแต่งงานอะไรนี่แหละ”
อารุมชะงักหน้าเสีย อำนวยชวน
“มานั่งเล่นในบ้านก่อนสิ เดี๋ยวบ่ายๆ แกก็กลับ”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับท่าน”
อารุมฝืนยิ้มแล้วยกมือไหว้ทั้งสอง ก่อนจะขับรถออกไป กรแก้วมองตาม แอบเห็นใจอารุม
“ทำไมคุณไม่บอกไปล่ะคะว่าเธอไปช่วยดูงานแต่งงานให้เพื่อน”
“ก็ยายหนูสั่งให้ผมพูดแค่นี้นี่นา”
อำนวยอมยิ้ม รู้ว่าเป็นแผนแกล้งปั่นหัวอารุม กรแก้วตีแขนอย่างไม่เห็นด้วย

เดชชาติกลับมาที่บ้าน มองเข้าไปที่บ้านนีรนุช เห็นเธอยืนคุยกับผู้หญิงแปลกหน้า ระหว่างเดินมาส่งขึ้นแท็กซี่ พิชิตกับรักชาติวิ่งเล่นอยู่แถวนั้นพอดี เดชชาติเรียกมา
“นั่นยายนุชยืนคุยกับใคร”
“อ๋อ ป้าพี่นุช มาจากประเทศอะไรนะพี่ชิต”
“สิงคโปร์”
“นั่นแหละ เขาจะมาชวนพี่นุชไปอยู่ด้วย”
เดชชาติตกใจ

นีรนุชปิดรั้วจะเข้าบ้าน พอหันมาเห็นเดชชาติก็ชะงัก
“พี่ชาติ”
“ทำไมวันนี้ไม่ไปทำงาน”
นีรนุชหน้าเรียบเฉย
“นุชว่าจะไปยื่นใบลาออกพอดีค่ะ”
เดชชาติตกใจ รีบเข้ามาจับแขนนีรนุช
“นี่แสดงว่าเป็นเรื่องจริงเหรอ นุชจะไปอยู่กับป้าเหรอ”
“ค่ะ”
“ทำไม !”
“ป้าชวนนุชไปเรียนต่อโท แล้วก็จะให้ช่วยดูแลร้านอาหารที่โน่นด้วย”
“จะเรียนโทก็เรียนที่นี่ได้นี่นา มหาวิทยาลัยตั้งเยอะแยะ เดี๋ยวพี่ช่วยติวสอบเข้าก็ได้”
นีรนุชบอกอย่างเย็นชา
“อย่าเลยค่ะ นุชอยากไปเรียนที่โน่นมากกว่า”
เดชชาติใจเสีย
“ทำไมล่ะนุช ถ้านุชไปแล้วบ้านนี้ล่ะ”
“นุชจะขาย”
“ไม่ได้นะ นุชจะขายบ้านหลังนี้ไม่ได้นะ เราอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน”
นีรนุชมองหน้าเดชชาติ น้ำตารื้นๆ อดใจหายไม่ได้เหมือนกัน แต่พยายามใจแข็ง
“ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องมีวันเปลี่ยนแปลงนะคะพี่ชาติ อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นุชไม่มีใครเหลืออีกแล้ว พ่อ แม่ พี่สาวนุชก็ไม่อยู่แล้ว นุชไม่มีอะไรผูกพันกับที่นีอีก”
“แล้วพี่ล่ะ”
นีรนุชยิ้มขมขื่น
“เราก็เป็นแค่เพื่อนบ้านกันเท่านั้นไม่ใช่เหรอคะ”
นีรนุชแกะมือเดชชาติแล้วเดินเข้าบ้านไป เดชชาติมองตามอย่างไม่เข้าใจ

เดชชาติมาหาอารุมที่คอนโดปรับทุกข์กับเพื่อนอย่างกลุ้มๆ
“ฉันไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ นุชถึงบุ่มบ่ามตัดสินใจ จะปรึกษาฉันสักคำก็ไม่มี อยู่ๆ ก็จะไปซะงั้น”
“ฉันว่ามันก็ดีเหมือนกันนะ นุชจะได้มีโอกาสเรียนต่อโท แล้วญาติทางโน้นก็มีร้านอาหารของตัวเองด้วยไม่ใช่เหรอ นุชคงทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้”
เดชชาติมองอารุมเคืองๆ
“เฮ้ย...นี่ฉันมาเล่าให้ฟังเพื่อจะให้แกช่วยหาทางยับยั้งยายนุชนะเว้ย ไม่ให้ช่วยเชียร์ให้ไป”
“ฉันก็พูดไปตามประสาคนเป็นพี่ชาย ไม่มีพี่ที่ไหนไม่อยากให้น้องได้ดีหรอก”
เดชชาติพาล
“แล้วอยู่ที่นี่มันจะได้ไม่ดียังไงวะ”
“โอกาสมันก็ต่างกัน ถ้านุชมีโอกาสที่ดีกว่าทางโน้นแล้วตัวเขาก็อยากไป แกจะไปขัดขวางเขาทำไม”
เดชชาตินิ่งคิด ทำหน้ายุ่ง ก่อนจะสารภาพออกมา
“ก็ฉันไม่ชินถ้าจะไม่มียายตัวยุ่งคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ คอยเขย่ากระป๋องให้ฉันเปิดหน้าต่างไปคุยด้วยดึกๆ ดื่นๆ หรือคอยพรวดพราดเข้ามาปลุกฉันถึงในห้องตอนฉันที่นอนแก้ผ้า”
เดชชาตินึกแล้วยิ้มออกมา อย่างนึกเอ็นดูนีรนุช แต่ก็หน้าเศร้าลง
“ถ้านุชไปอยู่ที่อื่น ฉันคงเหงาน่าดู”
“แค่นั้นเองเหรอวะชาติ แกกลัวว่าตัวเองจะเหงา เลยอยากผูกนุชไว้ใกล้ๆแก แค่นั้นเองเหรอ นุชเป็นคนมีหัวจิตหัวใจนะเว้ย ถ้าแกเห็นค่าเขาแค่นั้น ฉันไม่เห็นด้วยว่ะที่แกจะรั้งเขาไว้”
เดชชาติสับสน อารุมมองยิ้มนิดๆ
“แต่ถ้าในใจแกมันมีอะไรมากกว่านั้นที่อยากรั้งนุชเอาไว้ ค้นหามันให้เจอ แล้วบอกให้นุชรู้ซะ ตอนที่ยังมีโอกาส นุชอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”

เดชชาติพยายามคิดตาม

อารุมเดินมาส่งเดชชาติที่หน้าคอนโด เตรียมออกไปข้างนอก

“แกจะไปหาคุณวิศนีใช่”
“ใช่ ช่วงนี้เขาไม่ค่อยมีเวลาเจอฉัน มัวแต่ขลุกอยู่กับเพื่อนฝรั่ง”
เดชชาติแซว
“อย่าบอกนะเว้ยว่าแกหึง”
อารุมหลุดปากฉุนๆ
“ก็มันหน้าหึงนี่”
อารุมเห็นเดชชาติมองอมยิ้ม ก็รู้สึกตัว รีบตัดบท
“เอาเหอะ ฉันจะจัดการเรื่องของฉันเอง แกไปจัดการเรื่องตัวเองให้เรียบร้อย โชคดีเว้ย”
อารุมขึ้นรถขับออกไป เดชชาติมองตาม แล้วถอนใจ กลุ้มเรื่องตัวเองต่อ

วิศนีดูของชำร่วยหลายๆ แบบที่วางอยู่บนโต๊ะ
“นี่เป็นตัวอย่างของชำร่วยที่เข้ากับธีมของงานค่ะ
แอนโธนี่ยิ้ม
“ช่วยเลือกหน่อยนะ”
“นี่จะให้ฉันจะให้ฉันช่วยทุกอย่างเลยเหรอแอนโธนี่ ใครจะแต่งกันแน่”
“ก็เจ้าสาวเขาไม่ว่างนี่นา”
“ฉันจะไม่โดนแหกอกแน่นะ”
แอนโธนี่หัวเราะ
“ไม่หรอก เลือกเลย เร็วเข้า”
วิศนีหยิบของชำร่วยแต่ละอันมาดู

อารุมเดินเข้ามาในบ้านอำนวย พบละอองที่ทำงานอยู่
“คุณวิศนีล่ะละออง”
สมจิตรีบตอบแทนละออง
“อยู่ที่สระน้ำกับคุณแอนโธนี่ค่ะ กำลังเลือกของชำร่วยงานแต่งกันอยู่”
อารุมขมวดคิ้ว เริ่มคิดไปใหญ่โต เขาถามอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่เขารีบร้อนจะแต่งกันขนาดนี้เลยเหรอ จะกลับไปอยู่เมืองนอกหรือไง”
ละอองทำหน้างงๆเพราะรู้ว่าแอนโธนี่จะแต่งกับแฟนฝรั่ง
“เลยตอบพาซื่อ”
“เห็นคุณวิศนีว่าจะอยู่เมืองไทยนี่แหละค่ะ”
“งั้นฉันกลับล่ะ”
อารุมเดินฉุนๆ ออกไป ละอองมองอย่างไม่เข้าใจ

ค่ำนั้น...เดชชาติกลับมาครุ่นคิดถึงคำพูดของอารุมที่บ้าน
“แค่นั้นเองเหรอวะชาติ แกกลัวว่าตัวเองจะเหงา เลยอยากผูกนุชไว้ใกล้ๆ แก แค่นั้นเองเหรอ นุชเป็นคนมีหัวจิตหัวใจนะเว้ย ถ้าแกเห็นค่าเขาแค่นั้น ฉันไม่เห็นด้วยว่ะที่แกจะรั้งเขาไว้”
เดชชาติสับสน อารุมมองยิ้มนิดๆ
“แต่ถ้าในใจแกมันมีอะไรมากกว่านั้นที่อยากรั้งนุชเอาไว้ ค้นหามันให้เจอ แล้วบอกให้นุชรู้ซะ ตอนที่ยังมีโอกาส นุชอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”
เดชชาติผุดลุกผุดนั่งกระสับกระส่าย แล้วตัดสินใจเปิดหน้าต่างออกไปเขย่ากระป๋อง มองหน้าต่างห้องนีรนุชที่ปิดเงียบ เดชชาติเขย่าซ้ำ
“รับหน่อยสิยายนุช”
เดชชาติเขย่าจนอ่อนใจ เลยหยิบโทรศัพท์มือถือมากดหา แต่ได้ยินเสียงว่าปิดเครื่อง เดชชาติถอนใจกระวนกระวาย

เดชชาติเดินลงไปข้างล่าง เห็นพิมพ์กำลังนั่งเย็บเสื้อ ดูละครอยู่
“แม่ ยายนุชเขาไปไหน ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับอีก”
“เห็นบอกว่าจะไปนอนโรงแรมกับป้าเขา แกมีอะไรล่ะ”
เดชชาติชะงัก รีบกลบเกลื่อน
“อ๋อ ไม่มีอะไรแม่ ฉันไปนอนล่ะ”
เดชชาติรีบหนีขึ้นห้องไป

นีรนุชอยู่ในห้องนอน รำลึกถึงความหลังอย่างเศร้าๆ นึกถึงในอดีตตอนที่เธอกับเขายังอยู่ในวัยเด็ก...นีรนุชชะโงกหน้ามองเดชชาติ ที่กำลังง่วนเจาะกระป๋องอยู่
“อะไรน่ะพี่ชาติ”
“โทรศัพท์” เดชชาติหยิบกระป๋องที่เจาะรูแล้วโชว์ “ไว้ใช้โทรคุยกันไง เดี๋ยวเอาไปวางที่หน้าต่างบ้านพี่กับบ้านนุช เวลาคุยกันก็สั่นกระป๋อง จะได้ไม่ต้องตะโกนข้ามไปมา”
เดชชาติยื่นกระป๋องให้นีรนุช ส่วนตัวเองก็เอากระป๋องอีกอันมาจ่อปาก
“เข้าใจไหม เด็กหญิงนีรนุชขี้เหม็น”
นีรนุชฟังแล้วสะดุ้ง หน้างอ พูดใส่กระป๋องบ้าง
“ไอ้พี่ชาติบ้า”
เดชชาติหัวเราะ แล้วลุกขึ้นวิ่งหนี นีรนุชไล่ตีไปรอบๆ โต๊ะ

นีรนุชมองกระป๋องโทรศัพท์อย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะตัดใจเอากรรไกรตัดเชือกออกจากกัน เดชชาติหลับๆ อยู่ สะดุ้งตื่น
“นุช !”
เดชชาติโผไปที่หน้าต่าง รีบเปิดออกไปมอง พอเปิดประตู กระป๋องโทรศัพท์ที่เหน็บอยู่ก็หล่นลงพื้นเคร้ง เพราะนีรนุชตัดเชือกฝั่งตัวเองไปแล้วเรียบร้อย เดชชาติมองดูอย่างตกใจ พอมองที่บ้านนีรนุช ก็เห็นบ้านปิดเงียบเหมือนเดิม เริ่มสังหรณ์ใจ

วันใหม่...เดชชาติรีบร้อนวิ่งลงมาจากชั้นบน เห็นพิมกำลังรีดผ้า เขาถามอย่างร้อนรน
“แม่ เห็นนุชมายัง”
พิมพูดไปรีดผ้าไป
“มาแล้วแล้วก็ไปแล้ว”
“โธ่แม่ แล้วทำไมไม่เรียกฉัน”
“อ้าว จะไปรู้เหรอว่าแกจะให้เรียก เมื่อคืนถามว่ามีอะไรก็ไม่บอก ป่านนี้ไปถึงสนามบินแล้วมั้ง”
“โธ่เอ้ย !”
เดชชาติรีบร้อนออกจากบ้านไป พิมมองตามส่ายหน้า

เดชชาติรีบร้อนออกมาหน้าบ้าน มองหารถ แล้วรีบกดโทรศัพท์
“เฮ้ย อารุม ! ฉันมีเรื่องให้แกช่วยว่ะ...ก็เรื่องที่แกบอกให้ฉันเก็บไปคิด ฉันคิดได้แล้วนะโว้ย แกพูดถูก มันมีอะไรมากกว่านั้น ฉันสูญเสียนุชไม่ได้ แกต้องช่วยฉันนะ”

อารุมเดินเข้ามาในอาคารผู้โดยสารขาออกมองหา แต่คนพลุกพล่านจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เขาอารุมพยายามเดินตามหาไปทั่ว จนกระทั่งเดชชาติตามมาถามอย่างร้อนใจ
“เจอไหมวะ”
“ยังไม่เห็นเลย โทรก็ไม่ติดด้วย แกรู้หรือเปล่าว่านุชไปไฟลท์ไหน”
“ไม่รู้ รู้แต่ว่าสิงคโปร์”

อารุมกับเดชชาติวิ่งไปดูป้ายแสดงเวลาการบิน

อีกมุมหนึ่ง ป้าเข้าไปเช็คอินแล้วเดินออกมาหาที่นั่งพร้อมกับตั๋วเครื่องบิน เห็นนีรนุชนั่งซึมๆ

“เป็นอะไรลูก นั่งซึมเชียว เอาน่า เดี๋ยวไปถึงนู่นขี้คร้านจะสนุกจนลืมบ้าน”
นีรนุชฝืนยิ้มให้ป้า
“นุชขอไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
นีรนุชเดินเลี่ยงออกไป ป้าแยกไปหาที่นั่งอีกทาง

อารุมกับเดชชาติเดินเข้ามาที่มุมหนึ่ง ช่วยกันกวาดตามองหา
“ใกล้เวลาเครื่องจะออกแล้ว ไม่รู้ว่าเข้าไปข้างในหรือยัง”
เดชชาติร้อนใจมาก
“แยกกันหาดีกว่าว่ะ ถ้าแกเจอแล้วบอกฉันด้วยนะ”
ทั้งสองแยกกันไปคนละทาง

นีรนุชเดินเศร้าๆ มาทางห้องน้ำหญิง แล้วเข้าไปด้านใน อารุมเดินมาหยุดตรงหน้าห้องน้ำพอดี คลาดกันนิดเดียว
เดชชาติลัดเลาะ พยายามมองหา เห็นผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งยืนหันหลัง เหมือนนีรนุช ก็รีบโผเข้าไป
“นุช ! นุช !”
เดชชาติตรงเข้าไปดึงหญิงคนนั้นหันมา แล้วพบว่าคนละคน รีบยกมือไหว้
“ขอโทษครับ”
เดชชาติยิ่งกลุ้ม หันไปเห็นป้ายบอกเวลาเห็นไฟลท์ไปสิงคโปร์ขึ้น boarding อารุมเดินเข้ามา
“ผู้โดยสารต้องขึ้นเครื่องแล้วว่ะชาติ สงสัยนุชจะเข้าไปแล้ว”
“ฉันมาช้าไปใช่ไหมเนี่ย ฉันรู้สึกตัวช้าไปนิดเดียว”
อารุมตบไหล่เดชชาติอย่างเห็นใจ
“ไม่เป็นไรน่า แกกับนุชไม่ได้อยู่กันคนละโลก แค่คนละประเทศ เก็บตังค์แป๊บเดียวก็ตามไปเยี่ยมได้”
เดชชาติพยักหน้าเศร้าๆ คอตก แล้วค่อยๆ เดินตามอารุมไป

นีรนุชล้างมืออยู่ในห้องน้ำ หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ขอโทษนะคะพี่ หนูขอยืมโทรศัพท์ใช้หน่อยได้ไหมคะ พอดีจะโทรหาแม่น่ะค่ะ”
นีรนุชพยักหน้า เปิดกระเป๋า หยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิด แล้วส่งให้ ก่อนจะส่องกระจกต่อ

อารุมกับเดชชาติเดินออกมาหน้าสนามบิน เตรียมจะกลับ แต่แล้วจู่ๆ เดชชาติก็หยุดเดิน
“เป็นไรวะ”
เดชชาติไม่ตอบ แต่หยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์นีรนุช
“ถึงฉันรั้งนุชไว้ไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่อยากให้เขาจากไปโดยที่ไม่มีโอกาสได้รู้ความรู้สึกของฉัน”

นีรนุชส่องกระจกอยู่สักพัก หญิงสาวก็ส่งโทรศัพท์
“ขอบคุณค่ะพี่”
นีรนุชยิ้มให้ รับโทรศัพท์มา จะปิดเครื่อง แต่เห็นมีสัญญาณข้อความเสียงเข้า เลยกดฟัง
“สวัสดีจ้ะนุช กว่านุชจะได้ยินข้อความนี้ นุชคงจะไปถึงสิงคโปร์โดยสวัสดิภาพแล้วสินะ พี่ยินดีด้วยนะ กับโอกาสในการไปพบโลกใบใหม่ของนุช เสียดายที่พี่ไม่มีโอกาสได้ส่งนุช ทั้งที่พี่ไปถึงสนามบินแล้ว และที่พี่เสียดายยิ่งกว่านั้นก็คือ เราไม่มีโอกาสได้ลากันอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ”
นีรนุชนิ่งงันไปเมื่อได้ยินเสียงเดชชาติ น้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...เดชชาตินั่งส่งข้อความซึมอยู่ข้างๆอารุมที่กำลังขับรถกลับบ้าน
“พี่ไม่รู้ว่าทำไมนุชถึงตัดสินใจกะทันหัน สำหรับการเดินทางครั้งนี้ ในตอนแรกพี่งง โกรธ สับสน กับการตัดสินใจของนุช แต่มาคิดอีกที การตัดสินใจครั้งนี้มันก็มีผลดีเหมือนกัน เพราะมันทำให้พี่ได้ค้นพบความรู้สึกตัวเอง ความรู้สึกที่พี่ไม่เคยมองเห็น เพราะมันถูกเคลือบฉาบเอาไว้ด้วยคำว่าผูกพัน”
นีรนุชเดินน้ำตาคลอฟังเสียงเดชชาติในโทรศัพท์ อยู่ในสนามบิน
“พี่เพิ่งรู้ว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข นอกจากแม่แล้วก็มีผู้หญิงอีกคนเดียวเท่านั้นที่ได้ร่วมรับรู้ ผู้หญิงคนที่รับได้ทุกอย่างที่พี่เป็น คนที่เป็นทั้งน้อง ทั้งเพื่อนบ้าน ทั้งคู่ปรับ แล้วก็คู่คิด พี่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าผู้หญิงคนนั้นสำคัญกับพี่แค่ไหนก็ตอนที่เขาจากไปแล้ว...มันอาจไม่มีประโยชน์ก็ได้ เพราะนุชเดินทางไปแล้ว แต่พี่คงเสียใจไปตลอดชีวิตถ้าไม่มีโอกาสได้บอกนุชว่าความรู้สึกที่พี่เพิ่งค้นพบก็คือ...ความรัก พี่รักนุช รักในแบบที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน เพราะมันไม่ใช่ความรักที่เกิดขึ้นแค่ชั่ววัน แต่มันสะสมมานานเป็นสิบปีเท่าช่วงชีวิตของเราสองคน”
นีรนุชฟังเดชชาติพูดจบก็ปล่อยโฮ เอามือซบหน้าร้องไห้

อารุมขับรถมาจอดหน้าบ้าน เดชชาติลงจากรถอย่างเซื่องซึม อารุมลงตามมาปลอบ
“อย่าคิดมากสิวะชาติ ไทยกับสิงคโปร์ใกล้กันนิดเดียว บินสองชั่วโมงก็ถึง หรือไม่นุชไปอยู่สักพักอาจจะคิดถึงบ้าน แล้วก็เปลี่ยนใจกลับมาก็ได้”
“ฉันไม่อยากจะหวังขนาดนั้นหรอกว่ะ เฮ้อ...สงสัยต้องเก็บตังค์ไปสิงคโปร์อย่างที่แก้ว่าซะแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงนีรนุชดังขึ้น
“ไม่ต้องไปหรอกค่ะ”
เดชชาติเผลอตอบ
“ไม่เป็นไร พี่ไปได้” แล้วเขาก็สะดุ้ง “หะ!”
เดชชาติกับอารุมหันขวับไปมองพร้อมกัน เห็นนีรนุชยืนอยู่พร้อมกับกระเป๋าเดินทาง ทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน
“นุช!”
เดชชาติรีบปรี่เข้าไปหา จับมืออย่างไม่แน่ใจ
“นี่ตัวจริงหรือเปล่าเนี่ย นุชมาได้ไง”
“ก็ทำไมจะไม่ได้ล่ะ นุชยังไม่ทันจะขึ้นเครื่องไปไหนเลย”
“แต่นุชไปสนามบินแล้วนี่”
“ฮื่อ กำลังจะขึ้นเครื่องแล้ว แต่อยู่ๆ ก็มีข้อความใครโทรมาเวิ่นเว้อให้ฟังก็ไม่รู้ เลยเปลี่ยนใจกลับมาดีกว่า เพราะฟังในโทรศัพท์มันไม่ค่อยรู้เรื่อง”
เดชชาติทำหน้างงๆ แล้วชี้ตัวเอง
“ข้อความพี่เหรอ”
นีรนุชทำฟอร์มหมั่นไส้
“ก็ใช่น่ะสิ พูดอะไรก็ไม่รู้ เวิ่นเว้อยืดยาว นุชฟังไม่เข้าใจหรอก ไหนพูดให้ฟังอีกทีซิ”
เดชชาติชะงัก
“จำไม่ได้แล้ว”
นีรนุชเขิน แต่ฟอร์ม
“ก็เอาเท่าที่จำได้สิ”
เดชชาติเริ่มเก็ท ค่อยๆ คลี่ยิ้ม จับมือเธอขึ้นมา
“เท่าที่จำได้เหรอ ก็จำได้แต่ว่า พี่รักนุช”
นีรนุชหน้าแดงด้วยความเขิน เดชชาติดึงมือเธอมาจูบ
“แล้วนุชล่ะ รักพี่หรือเปล่า”
นีรนุชอายม้วน
“ถ้าไม่รัก จะกลับมาหาทำไมล่ะ พี่ชาตินี่”
เดชชาติยิ้มกว้าง ดึงนีรนุชมาสวมกอดด้วยความดีใจ เธอกอดตอบแน่น น้ำตารื้นอย่างมีความสุข...อารุมมองดูทั้งคู่แสดงความรักต่อกันด้วยความยินดี แล้วสีหน้าค่อยขรึมลงเมื่อนึกถึงตัวเอง

อารุมมาหาลูกเกดกับชมพู่อยู่ที่เคาน์เตอร์ ลูกเกดหันมาบอก
“คุณวิศนีไม่อยู่จ้ะ ออกไปข้างนอกแล้ว”
“ไปไหน”
“เห็นบอกว่าออกไปดูสถานที่จัดงานแต่งงานกับคุณแอนโธนี่ ฝรั่งคนที่มางานวันนั้นไง”
ขาดคำของชมพู่อารุมถึงกับอึ้ง ถามอย่างเคืองๆ
“นี่เขาจะแต่งกันจริงๆ ใช่ไหม”
ลูกเกดยักไหล่
“ก็คงอย่างงั้น เตรียมตัวตัดชุดไว้ได้เลยนะ”
“ผมคงไม่ได้อยู่ร่วมวันงานหรอก ฝากแสดงความยินดีด้วย”
อารุมพูดจบก็เดินออกไป ลูกเกดกับชมพู่เหวอๆ
“อ้าว งอนไปเลย คุณวิศนีเนี่ย ทำไมต้องบังคับให้เราพูดอย่างนี้ด้วยก็ไม่รู้”
ลูกเกด เอามือตบปากตัวเอง ชมพู่ถอนใจ
“นั่นสิ เดี๋ยวนายอารุมไปฆ่าตัวตายขึ้นมา เราสองคนบาปแน่”

ลูกเกดกับชมพู่มองหน้ากันอย่างกังวล

อุบัติเหตุ ตอนที่ 20 อวสาน (ต่อ)

อารุมถือโมบายล์เปลือกหอยในมือ เพ่งมองแล้วนึกถึงความหลังตอนที่วิศนีกับเขาช่วยกันร้อยโมบาย เมื่อมาที่บ้านริมทะเลตามลำพัง...อารุมมองโมบายอาการซึมๆ แล้วเอาไปแขวนไว้ที่หน้าบ้าน พอหันมาก็เห็นวิศนียืนอยู่ อารุมถามอย่างเย็นชา

“คุณมาทำไม”
“ก็คุณหนีมาเที่ยวแล้วไม่ชวนฉัน”
อารุมทำหน้างอน แล้วเดินหนีไปที่ชายหาด
“ผมเห็นคุณยุ่งๆ เรื่องแต่งงาน เลยไม่มีเวลาชวน”
วิศนีที่เดินตามมาอมยิ้ม
“เหรอคะ ใช่ ฉันยุ่งจริงๆ เลย”
อารุมหยุดเดิน หันมาเหวี่ยง
“แล้วคุณจะมาเสียเวลาที่นี่ทำไม กลับไปสิ หรือว่าจะมาที่ฮันนีมูน ที่นี่คงไม่สวยพอหรอก”
วิศนียิ่งขำ แต่พยายามกลั้นไว้
“ฉันคงไม่ฮันนีมูนแถวนี้หรอกค่ะ เบื่อแล้ว”
อารุมได้ยินก็ยิ่งหน้าคว่ำ
“อีกอย่าง มันเป็นหน้าที่ของเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวต้องเลือกเอง ไม่ใช่ฉัน”
อารุมงง
“คุณพูดอะไรของคุณ”
วิศนียิ้มระรื่น
“ก็หมายถึงแอนโธนี่กับโซเฟียเจ้าสาวของเขาไงคะ เขาเพิ่งไปถ่ายรูปแต่งงานกันมา คุณดูสิ”
วิศนีเปิดโทรศัพท์ให้ดูรูปแอนโธนี่กับเจ้าสาวฝรั่งในชุดแต่งงาน อารุมอึ้งๆ
“นี่คุณ...คุณไม่ได้จะแต่งงานกับนายแอนโธนี่เหรอ”
“ฉันกับเขาเป็นเพื่อนรักกัน ไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่นได้หรอก” วิศนียิ้มหวาน

อารุมนั่งดูรูปแต่งงานของแอนโธนี่ในไอแพดอยู่ในบ้าน วิศนีเดินมานั่งข้างๆ
“แอนโธนี่กับโซเฟียวางแผนจะแต่งงานกันที่เมืองไทย แต่โซเฟียยังติดงานที่โน่น ก็เลยฝากให้ฉันช่วยเตรียมงานให้ ก็เท่านั้นเอง”
“แล้วทำไมคุณไม่บอกผม”
วิศนียักไหล่
“ก็คุณไม่ได้ถาม”
อารุมวางไอแพด ทำท่ามันเขี้ยว
“ผมอยากฆ่าคุณนัก !”
“ฉันผิดอะไร”
“ก็คุณปั่นหัวผม ทำให้ผมกลุ้มจนแทบบ้า เพราะคิดว่าคุณจะทิ้งผมไปหานายคนนี้”
“คราวหลังคุณก็ถามฉันสิคะ”
“ไม่มีคราวหลังอีกแล้ว เพราะผมจะไม่ให้คุณไปใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนอีก”
อารุมอุ้มวิศนีเข้าไปในห้อง เธอตกใจ
“คุณอารุม !”

อารุมอุ้มวิศนีเข้ามาในห้อง วิศนีดิ้นจนอารุมต้องปล่อยลง
“คุณอยู่กับผมที่นี่นะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันต้องทำงาน วันนี้ฉันรับปากคุณพ่อว่าจะมาตามตัวผู้จัดการจอมอู้กลับไปช่วยบริษัท ตกลงคุณจะรับงานนี้หรือเปล่า”
อารุมมองวิศนี ยิ้มเอ็นดู
“ถ้าผมได้เลขาจอมเฮี้ยวคนเดิมกลับมา ก็น่าสนใจนะ”
“เลขาคนนั้นจะไปทำงานกับใครได้ ก็มีแต่คุณคนเดียวที่รับมือไหว”
อารุมหัวเราะ ขยี้หัววิศนีอย่างเอ็นดู
“กลับไปกับฉันนะคะ”
“ขอผมจัดการธุระทางนี้สักสองวันนะ แล้วจะตามไป”
“คุณรับปากแล้วนะคะ ห้ามเบี้ยว ไม่งั้นฉันจะมาตามอีก”
“ไม่เบี้ยวหรอก ผมมัดจำไว้ให้เลย”
อารุมหอมแก้มวิศนีแรงๆ วิศนีหน้าเหวอ เอามือลูบแก้ม
“ถ้าผมไม่ไปตามนัด คุณมาเอาคืนสองหอมนะ”
วิศนีสบตาอารุมแล้วยิ้มเขิน อารุมอมยิ้มมีความสุข

วิศนีเดินออกจากบ้านมาที่รถด้วยรอยยิ้ม มีความสุขที่ง้ออารุมสำเร็จ แต่พอไขกุญแจจะเปิดประตู ก็เห็นเงาของกุสุมาสะท้อนที่กระจก เลยหันขวับไปมอง
“คุณกุสุมา”
กุสุมามองวิศนีตาขวาง เหมือนคนบ้า แล้วเงื้อมือที่ถือท่อนไม้ฟาดลงมาเต็มแรง ก่อนสติวิศนีจะดับวูบไป
วิศนีรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง และพบว่าตัวเองถูกมัดมืออยู่ในรถที่กำลังแล่น พอหันกลับไปก็เห็นว่ากุสุมาเป็นคนขับ
“คุณกุสุมา”
กุสุมาหันมามอง ยิ้มเยาะ
“หลับสบายไหม”
วิศนีนึกถึงเหตุการณ์ที่โดนทุบหัวแล้วเริ่มจำได้ นิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“คุณทำอะไรคะเนี่ย คุณจะพาฉันไปไหน”
“ไปในที่ที่แกควรจะอยู่! นรกไง!”
วิศนีตกใจ ยืดตัวขึ้นมองไปรอบๆ เห็นรถวิ่งออกมาตามถนนนอกเมือง แล้วหันไปมอง
กุสุมาที่ขับรถต่อไปอย่างกลัวๆ
“คุณจะฆ่าฉันเหรอ”
“ฉันจะเอาแกไว้ทำไม นังตัวมาร! เพราะแกคนเดียว อารุมถึงรังเกียจฉัน”
“ไม่จริง! ที่อารุมเขาเกลียดคุณ ก็เพราะคุณทำตัวเอง ไม่ใช่ฉัน!”
กุสุมาหันขวับมาจ้องตาวาว แล้วเอามือข้างหนึ่งตบหน้าวิศนี
“ปากดีนัก แกอยากจะตายเร็วขึ้นใช่ไหม”
กุสุมาเร่งความเร็วอย่างน่ากลัว วิศนีไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่ขยับตัวเหยียดขึ้น มือที่ถูกมัดอยู่ค่อยๆ หลุดจากเชือกที่ถูกผูก ขณะเดียวกันก็พยายามชวนคุยไปด้วย
“ถ้าคุณฆ่าฉัน อารุมก็จะยิ่งเกลียดคุณ มันไม่มีประโยชน์หรอกนะคะคุณกุสุมา”
“แกอย่ามาหลอกล่อฉันให้ยาก ยังไงฉันก็ต้องกำจัดแก”
วิศนีค่อยๆ ปลดมือล้วงไปที่กระเป๋าถือที่นั่งทับอยู่ ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา พอเห็นเบอร์อารุม รีบกดโทรออกไป

อารุมดังขึ้น อารุมเดินมารับสาย
“ว่าไงครับวิศนี”
อารุมเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงปลายสายแล่บเข้ามา
“แกมันเป็นเสี้ยนหนามของฉัน ถ้าไม่มีแกซักคน อะไรๆ มันก็จะง่ายขึ้น”
อารุมได้ยินแล้วร้อนใจ
“ฮัลโหล คุณวิศนี ฮัลโหล!”
วิศนีเห็นสัญลักษณ์ว่าอารุมรับสาย ก็พูดเสียงดัง
“ตกลงคุณจะพาฉันไปไหน คุณกุสุมา!”
อารุมชะงัก ได้ยินเสียง วิศนีมองออกไปด้านนอก
“นี่มันออกนอกตัวเมืองตราดมาแล้วนะ”
“ที่ไหนดีนะ ที่เก็บแกไปพร้อมๆ กับรถคันนี้ เหมือนกับว่ามันเกิดอุบัติเหตุ หึๆๆๆ”
กุสุมาหัวเราะโหดเหี้ยมแล้วขับรถต่อ อารุมได้ยินเสียงก็ยิ่งตกใจ
“วิศนี เกิดอะไรขึ้น ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน”
กุสุมาได้ยินเสียงอารุมลอดมา ก็ชะงัก
“นี่แกใช้โทรศัพท์เหรอ นังตัวแสบ”
กุสุมาหันมาดึงโทรศัพท์ วิศนีจะไม่ให้ กุสุมามัวแต่แย่ง เลยทำให้รถไถลออกนอกถนน
“คุณกุสุมา ระวัง”
กุสุมาหันกลับมา เห็นรถสวนมารีบหักหลบอย่างตกใจ แล้วกลับมากระชากโทรศัพท์ไปจนได้
“เอามานี่”
กุสุมากดปิดเครื่องแล้วโยนไว้ที่พื้นในรถ ก่อนจะขับต่อ
“ฮัลโหล กุสุมา อย่าทำอะไรวิศนีนะ กุสุมา!”

อารุมตะโกนลั่น

อำนวยกับกรแก้วพากันตกใจ เมื่อรู้เรื่องจากเดชชาติ และนีรนุช

“อะไรนะ ยายหนูเป็นอะไร”
“อารุมบอกว่าคุณวิศนีถูกกุสุมาจับตัวไปครับ”
“ที่ไหน” อำนวยร้อนใจ
“ยังไม่ทราบค่ะ แต่พี่อารุมได้ยินคุณวิศนีคุยกับพี่สุ เหมือนจะออกจากตราดมาแล้ว แต่ไม่รู้จะไปที่ไหน” นีรนุชเล่าต่อ
กรแก้วนึกได้
“งั้นรีบไปแจ้งตำรวจกันเถอะค่ะ”
อำนวยรีบเดินนำทุกคนออกจากบ้าน

กุสุมายังคงขับรถเร็ว วิศนีมองกลัวๆ
“ขับช้าๆ หน่อยก็ได้ค่ะคุณกุสมา เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุนะคะ”
“แกกลัวด้วยเหรอ แล้วตอนที่แกขับรถเร็วจนชนนนทลีตาย ทำไมแกไม่คิดบ้าง”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ นนก็ตายไปแล้ว ตายไปเพราะความประมาทของแก แต่ก็ดี ฉันรอวันที่จะกำจัดมันจากชีวิตของอารุมมานานแล้วเหมือนกัน ฉันเกือบจะชนะแล้ว ถ้าแกไม่เข้ามาแทรกแล้วก็แย่งอารุมเสียเอง ! ถ้าแกจะโทษใคร ก็โทษตัวเองแล้วกันนะ ที่แส่เข้ามาหาอารุมจนตัวตาย ฮะๆๆๆๆ”
กุสุมาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วขับรถไป

เดชชาติ นีรนุช อำนวย กรแก้วคุยกับตำรวจ เปิดสายคอนเฟอเรนซ์กับอารุมและตำรวจที่กำลังตามอยู่
“เท่าที่ประสานกับตำรวจท้องที่ เส้นทางของคนร้ายน่าจะมุ่งไปทางจันทบุรี” ตำรวจด้านอำนวยบอก
“ตอนนี้กำลังมีการตั้งด่านสกัดจับตรงรอยต่อของจังหวัด ผมกำลังจะเดินทางไปที่นั่นครับ” อารุมเล่า
“ฝากด้วยนะอารุม”
อำนวยกับกรแก้วกุมมือกันอย่างกังวล

กุสุมายังขับรถต่อไปเรื่อยๆ วิศนีพยายามเกลี้ยกล่อม
“คุณไม่มีทางหนีรอดหรอกนะคะคุณกุสุมา”
“แกรู้ได้ยังไง”
วิศนีพยักเพยิดไปข้างหน้า
“นั่นไง”
กุสุมามองตรงไป เห็นด่านตำรวจตั้งอยู่
“ตำรวจ”
“ตำรวจรู้เรื่องของเราแล้ว เพราะฉันบอกอารุมไปแล้ว เขาจะต้องมาช่วยฉัน”
กุสุมามองวิศนีอย่างแค้นจัด
“ช่วยเหรอ แกฝันไปเถอะ”
กุสุมาขับรถหันพวงมาลัยหนี จนรถแทบพลิก แล้วหักออกไป ตำรวจที่ตั้งด่านสกัด เห็นกุสุมาเลี้ยวรถหนีก็รีบวิทยุลบอกกัน แล้วขับรถตาม

กุสุมาขับรถหนีมา ได้ยินเสียงหวอไล่ตาม วิศนีพยายามเกลี้ยกล่อม
“คุณกุสุมา หยุดเถอะค่ะ ต่อให้คุณหนีไปจากตรงนี้ได้ ก็จะต้องมีตำรวจมาดักไว้อีก เขาไม่ปล่อยคุณไปแน่”
“ไม่ฉันไม่ยอม”
กุสุมาเร่งเครื่องแรงขึ้น วิศนีเริ่มกลัว
“ถ้าทำไมทุกคนจะต้องอยากช่วยแกด้วย แกมันนังตัวมาร นังฆาตกร! แกสมควรจะตาย”
“ฉันชดใช้กรรมของฉันแล้ว แต่ถ้าคุณฆ่าฉัน คุณจะต้องชดใช้กรรมของตัวคุณเอง”
“งั้นถ้าฉันไม่รอด แกก็ต้องไม่รอดเหมือนกัน!”
“ไม่ ฉันไม่ยอมให้คุณทำผิดเหมือนฉัน”
วิศนีพุ่งเข้าแย่งพวงมาลัยกับกุสุมา
“แกจะทำอะไรนังวิศนี ปล่อยนะ”
วิศนีกับกุสุมาแย่งพวงมาลัย รถส่ายไปส่ายมาอย่างน่ากลัว
“ปล่อยเดี๋ยวนี้!”
กุสุมาพยายามผลักวิศนีออก แต่วิศนีไม่ปล่อยพวงมาลัย จนกระทั่งเสียงบีบแตรยาวดังลั่นขึ้น ทั้งสองหันไปเห็นรถบรรทุกพุ่งเข้ามาตรงหน้า วิศนีหันไปมองกุสุมาที่กำลังช็อคตกใจ แล้วใช้โอกาสนั้นแย่งพวงมาลัย หักเลี้ยว รถหมุนด้านที่วิศนีนั่งออกไปหารถบรรทุก คนขับรถบรรทุกมองมาอย่างตกใจ พยายามบีบแตรไล่ดังยาว ก่อนมีเสียงโครมใหญ่

ไม่นานต่อมา เดชชาติ นีรนุช อำนวย และกรแก้ว วิ่งมาที่หน้าห้องฉุกเฉิน เห็นอารุมนั่งอยู่ด้านหน้า
“คุณวิศนีล่ะ” เดชชาติร้องถาม
“อยู่ในห้องฉุกเฉิน”
“อาการเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้ยังสาหัสอยู่ครับ ตำรวจบอกว่าในรถบรรทุกพุ่งเข้าชนด้านที่คุณวิศนีนั่งพอดี”
“คุณพระช่วย”
กรแก้วเอามือทาบอก แทบยืนไม่อยู่ อำนวยรีบประคองไว้ หมอเปิดประตูออกไปพอดี ทุกคนรีบกรูกันเข้าไปหา
“ตอนนี้คนไข้ขาดเลือดมาก เราต้องรับบริจาคเลือดกรุ๊ปโออย่างเร่งด่วนครับ” หมอบอก
“ผมครับ ผมเลือดกรุ๊ปโอ เอาของผมไปเลย”
“คุณแน่ใจนะ พักผ่อนมาพอหรือเปล่า”
อารุมพยักหน้า หมอรีบนำเข้าห้อง เดชชาติ นีรนุช อำนวย และกรแก้วกระวนกระวายเป็นห่วง

ในความฝัน...วิศนีเดินอยู่ในที่ซึ่งเต็มไปด้วยสีขาว เธอมองไปรอบๆ อย่างแปลกตา
“นี่เราอยู่ที่ไหน เราตายแล้วเหรอ”
วิศนีเอามือแตะแขนตัวเองอย่างไม่แน่ใจ กวาดตามอง แต่ไม่เห็นอะไรนอก

อารุมนอนให้เลือดอยู่บนเตียง มีวิศนีนอนอยู่เตียงข้างๆ มีผ้าพันแผลอยู่รอบหัว เครื่องช่วยหายใจ พยาบาลกำลังเตรียมอุปกรณ์เพื่อดูดเลือดของอารุม
“นิ่งๆ นะคะ”
อารุมพยักหน้า แล้วหันไปมองวิศนีอย่างเป็นห่วง
“อดทนนะวิศนี ผมจะช่วยคุณ คุณต้องกลับมาหาผมนะ”
อารุมสะกดกลั้นความเจ็บปวดเมื่อถูกเข็มฉีดยาปัก...เลือดไหลไปตามสายเข้าสู่ถุงเลือด
ขณะที่วิศนียังนอนหายใจอยู่ภายใต้เครื่องช่วยหายใจ...

กุสุมาค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลถลอกปอกเปิก
“สุ! ฟื้นแล้วเหรอลูก”
กุสุมากะพริบตาปริบๆ มองป้า
“สุอยู่ที่ไหน”
“แกอยู่โรงพยาบาล เป็นยังไงบ้างลูก เจ็บไหม”
“โรงพยาบาล”
“รถที่แกขับเกิดอุบัติเหตุไง”
กุสุมางงๆ แล้วจำได้ คลับคล้ายคลับคลา แล้วรีบถามป้า
“รถชนเหรอคะ แล้วมันตายไหมป้า มันตายไหม!”
“ใคร”
“ก็นังวิศนีไง”
ป้ามองกุสุมาอย่างเวทนา ลูบหัวปลอบโยน เพราะคิดว่ากุสุมารู้สึกผิด
“ไม่มีใครตายทั้งนั้นแหละ หนูคนนั้นปลอดภัย แต่ยังไม่ฟื้น สุไม่ต้องห่วงนะ”
กุสุมาได้ยินก็ช็อก อาละวาดโวยวาย

“ทำไมมันไม่ตายล่ะป้า มันควรจะตายสิ มันต้องชดใช้ชีวิตให้นนนทลี”

ติดตาม "อุบัติเหตุ" ตอนที่ 20 (ต่อ) วันนี้ เวลา 17.00 น.

จังหวะนั้นเดชชาติกับนีรนุชเปิดประตูเข้ามาพอดี

“คุณวิศนีไม่มีอะไรที่จะต้องชดใช้ให้พี่นนอีกแล้ว คนที่จะต้องชดใช้คือพี่!”
กุสุมาผงะ กับสิ่งที่นีรนุชพูด
“แกพูดอะไร”
“เธอน่าจะสำนึกได้แล้วนะสุ ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันไม่ถูกต้อง” เดชชาติพูดอย่างไม่พอใจ
“ทำไมฉันต้องสำนึก ฉันทำในสิ่งที่ถูกต้อง ฉันจัดการกับนังวิศนีให้นน”
“ที่พี่ทำลงไปทุกอย่างก็เพราะตัวพี่เอง อย่าเอาพี่นนมาแปดเปื้อนนะ!” นีรนุชพูดอย่างไม่พอใจ
กุสุมาแผดเสียง
“นังนุช!”
“สุ พอแล้วลูก”
ป้าพยายามจะห้ามกุสุมาที่เต้นเร่าๆ ตำรวจเปิดประตูเข้ามา กุสุมาผงะ
“ตำรวจ! ตำรวจมาทำไม”
“ก็มาคุยกับพี่ไง ข้อหาลักพาตัวและพยายามฆ่าคุณวิศนี”
กุสุมาตาเบิกโพลงอย่างหวาด กลัวรีบส่ายหน้า
“ไม่ ฉันไม่คุย ! อย่านะ อย่าเข้ามา”
กุสุมาพยายามตะกายลุก ป้าจะเข้าไปประคอง สักพักก็รู้สึกว่าตัวเองขยับเขยื้อนตัวท่อนล่างไม่ได้
“ป้า! ฉันเป็นอะไร ทำไมฉันลุกไม่ได้”
ป้ามองกุสุมา ร้องไห้สะอึกสะอื้นเวทนา กุสุมาใจเสีย
“ป้า...อย่าบอกนะว่าฉัน ฉันเป็นอัมพาต”
“สุบาดเจ็บหนักมากนะลูก หมอพยายามช่วยแล้ว แต่ว่า...”
กุสุมาช็อก น้ำตาไหลออกมา
“ไม่ มันต้องไม่เป็นอย่างนี้ ไม่จริง! รุม! รุมอยู่ไหน ช่วยสุด้วย!”
กุสุมามองตำรวจอย่างกลัวๆ พยายามจะขยับตัวลุกแต่ไม่สำเร็จ ป้าเข้ามากอดไว้
“ไม่ อย่ามาจับฉัน! รุม ช่วยสุด้วย ช่วยสุด้วย ฮือๆๆ”
กุสุมายกมือปัดป้องไม่ให้ตำรวจเข้าใกล้ ร้องกรี๊ดๆๆ สติแตก โดยมีป้ากอดไว้
เดชชาติกับนีรนุชมองสภาพของกุสุมาอย่างสลดใจ ขณะที่อารุมยืนมองกุสุมาที่บ้าคลั่งอยู่ด้านนอกห้อง

เดชชาติกับนีรนุชเดินออกมาหาอารุมที่ยืนรออยู่
“เวรกรรมเดี๋ยวนี้ไม่ต้องรอนาน ทำผิดไว้ก็ต้องชดใช้ในชาตินี้” นีรนุชบอก
“จะว่าไปก็สงสารสุเหมือนกันนะ พยายามไขว่คว้า พยายามยึดครองมากเกินไป จนเห็นผิดเป็นชอบไปหมด”
นีรนุชมองหน้าอารุมที่ยืนมองเหม่อ
“พี่อารุมจะเข้าไปเยี่ยมพี่สุไหมคะ”
อารุมส่ายหน้า
“คงไม่”
“แต่สุร่ำร้องเรียกหาแกมากเลยนะโว้ย” เดชชาติแปลกใจ
“ที่ผ่านมาฉันใจอ่อนเปิดโอกาสให้สุมาใกล้ชิดทั้งที่รู้ว่าเขาคิดยังไง เพราะฉันไม่กล้าหักหาญความเป็นเพื่อน แต่แทนที่สุจะตัดใจและยอมรับความจริง มันกลับทำให้ความรู้สึกของสุเข้มข้นรุนแรงขึ้นจนลงเอยอย่างนี้”
อารุมหันกลับมาสบตากับทั้งสองอย่างตัดสินใจ
“ฉันว่าการไม่พบสุอีก น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยเขาได้”
เดชชาติกับนีรนุช พยักหน้าเห็นด้วยแล้วมองเข้าไปในห้องอย่างเวทนา

อำนวยกรแก้วเปิดประตูเข้ามา เห็นอารุมยังคงนั่งอยู่ข้างเตียง
“คุณกลับไปพักผ่อนบ้างก็ได้นะอารุม เดี๋ยวผมกับคุณกรแก้วจะอยู่เป็นเพื่อนยายหนูเอง” อำนวยบอกอย่างเห็นใจ
“ไม่เป็นไรครับท่าน ผมอยากจะอยู่เฝ้าเธอ ผมอยากเป็นคนแรกที่เห็นเธอลืมตาขึ้นมา”
อารุมพูดพลางกุมมือวิศนีแน่น แล้วใช้อีกมือลูบปอยผม
“คุณใกล้จะตื่นแล้วใช่ไหมวิศนี ผมรู้ ลืมตาเร็วๆ นะครับ”
อารุมยื่นหน้าลงไปจุมพิตแก้มของวิศนีอย่างแสนรัก อำนวยกับกรแก้วมองดูภาพนั้นด้วยความสงสาร ขยับเข้าไปหาแตะแขนเบาๆ
“ยายหนู นี่พ่อนะลูก หนูได้ยินพ่อไหม พวกเรากำลังรอหนูอยู่นะ”
“คุณวิศนีคะ กลับมาบ้านเรานะคะ”
เสียงเรียกเหล่านั้นมีพลังสะท้อนเข้าไปถึงจิตใต้สำนึก

ในฝัน...วิศนียังคงเดินอยู่ไปเรื่อยๆ กระสับกระส่ายมองหา
“ที่นี่ที่ไหน มีใครอยู่ไหม”
เสียงวิศนีตะโกนออกไป แต่กลายเป็นเสียงก้องกังวานกลับมา ฉับพลันก็ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วแว่วมา...
“ยายหนู นี่พ่อนะลูก หนูได้ยินพ่อไหม พวกเรากำลังรอหนูอยู่นะ”
“คุณวิศนีคะ กลับมาบ้านเรานะคะ”
“คุณใกล้จะตื่นแล้วใช่ไหมวิศนี ผมรู้ ลืมตาเร็วๆนะครับ”
วิศนีเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงเหล่านั้นเรียกดังชัดขึ้น
“อารุม พ่อ คุณกรแก้ว... นี่เราตายแล้วจริงๆ ใช่ไหม”
ทันใดเสียงนนทลีดังขึ้น...
“คุณยังไม่ตาย”
วิศนีหันกลับไปมอง เห็นนนทลียืนอยู่ตรงหน้า
“กลับไปเถอะค่ะคุณวิศนี ทุกคนรอคุณอยู่ที่นั่น”
“คุณนนทลี”
“คุณเลิกโทษตัวเอง ว่าเป็นต้นเหตุแห่งความสูญเสียของฉันได้แล้ว เพราะฉันเข้าใจดีว่าทุกอย่างมันเกิดจากพรหมลิขิต ไม่ได้เกิดจากคุณ ชีวิตของคุณยังเหลืออยู่อีกนาน กลับไปใช้มันให้คุ้มค่าแทนฉันดีกว่านะคะ”
“แต่ฉันควรจะต้องรับผิดชอบ”
“คุณรับผิดชอบมาพอแล้ว อย่างที่พ่อคุณบอก คุณควรจะให้อภัยตัวเองและเริ่มต้นใหม่เสียที คุณไม่ได้ยินเหรอคะ เสียงที่ใครๆ เรียกคุณ พวกเขาเป็นคนที่คุณรักทั้งนั้น เขากำลังรอคอยให้คุณกลับไป โดยเฉพาะอารุม”
วิศนีนิ่งงัน มองหน้านนทลีอย่างค้นหาว่านนทลีรู้สึกอย่างไรกันแน่
“อารุมเขารักคุณมาก เหมือนที่เขาเองก็คงจะเคยรักฉัน แต่เขาสูญเสียฉันไปแล้ว อย่าให้เขาต้องเสียผู้หญิงที่ตัวเองรักไปอีกคนเลยนะคะ”
“แต่ว่า...”
“ถ้าเลือกได้ ฉันอยากจะกลับไปดูแลเขาด้วยตัวเอง แต่ในเมื่อฉันไม่มีโอกาสแล้ว คนที่ฉันจะฝากฝังได้ก็คือคุณ ถ้าคุณอยากจะชดใช้อะไรให้ฉัน ก็ชดใช้ด้วยการดูแลเขาให้ดีที่สุด รักเขาให้มากที่สุดแทนฉันด้วย...ได้ไหมคะ”
วิศนีสบตากับนนทลีอย่างคาดไม่ถึง นนทลียิ้มอย่างอ่อนโยน เข้าอกเข้าใจ แล้วค่อยๆ ถอยออกไป
“กลับไปเถอะค่ะ ทุกคนรอคุณอยู่ กลับไปใช้ชีวิตแทนฉันด้วย”
เสียงนนทลีดังก้องกังวานก่อนจะค่อยๆหายไป พร้อมกับตัวนนทลีที่จางหายไป
“คุณนนทลี”

วิศนีรำพึงออกมา ก่อนจะค่อยๆ รู้สึกว่ารอบตัวตกอยู่ในความมืดกะทันหัน

วันใหม่...วิศนีหลับอยู่ ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ สายตาพร่ามัวของวิศนีมองไปที่เพดาน แล้วค่อยๆ เหลือบมองรอบๆ สายตามาหยุดที่อารุมที่นั่งฟุบหลับอยู่ข้างๆ เธอมองอารุมที่หลับ หวนนึกถึงคำพูดของนนทลี

“อารุมเขารักคุณมาก เหมือนที่เขาเองก็คงจะเคยรักฉัน แต่เขาสูญเสียฉันไปแล้ว อย่าให้เขาต้องเสียผู้หญิงที่ตัวเองรักไปอีกคนเลยนะคะ...ถ้าเลือกได้ ฉันอยากจะกลับไปดูแลเขาด้วยตัวเอง แต่ในเมื่อฉันไม่มีโอกาสแล้ว คนที่ฉันจะฝากฝังได้ก็คือคุณ ถ้าคุณอยากจะชดใช้อะไรให้ฉัน ก็ชดใช้ด้วยการดูแลเขาให้ดีที่สุด รักเขาให้มากที่สุดแทนฉันด้วย...ได้ไหมคะ”
วิศนีน้ำตาคลอ ค่อยๆยกมืองลูบหัวอารุมเบาๆ ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้น
“วิศนี! คุณฟื้นแล้ว คุณกลับมาหาผมแล้ว”
วิศนีมองอารุม พยายามกลั้นน้ำตา พยักหน้า
“ผมดีใจที่สุดเลย คุณอย่าจากผมไปไหนอีกนะวิศนี ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ”
วิศนีตื้นตันน้ำตาร่วง กอดตอบ อำนวยกับกรแก้วเปิดประตูเข้ามา พอเห็นวิศนีก็ตกใจ
“ยายหนู”
“คุณวิศนี!”
อำนวยกับกรแก้วรีบเข้ามาหาวิศนี อารุมผละออกให้อำนวยเข้าไปกอด กรแก้วเข้าไปจับมือวิศนีอย่างดีใจ
อารุมจับมือวิศนีมาจูบหอมแนบแก้มด้วยความดีใจสุดชีวิต วิศนีหันมาสบตาอารุมอย่างซาบซึ้งใจและเต็มไปด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง

หลายวันต่อมา...วิศนียืนปิ้งบาร์บีคิวอยู่กับนีรนุช อารุมถือจานเดินเข้ามาหา
“คุณวิศนีคะ พี่อารุมมาตามแล้ว ไปนั่งเถอะค่ะ เดี๋ยวนุชทำเอง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ สนุกดี”
“มัวแต่ทำ แล้วได้กินบ้างหรือยัง”
อารุมเอาส้อมจิ้มบาร์บีคิวในจานป้อนให้
“อ้าปาก”
วิศนีมองเขินๆ แล้วอ้าปากอย่างว่าง่าย อารุมป้อน เดชชาติถือแก้วเครื่องดื่มมาเผื่อนีรนุช เห็นเข้าพอดี
“แหม หวานกันใหญ่เลยนะ สงสัยน้ำที่ฉันถือมาจะไม่อร่อยแล้วว่ะ เททิ้งดีกว่า”
นีรนุชรีบแย่ง
“เอามานี่พี่ชาติ นุชหิว”
อารุมมองเดชชาติขำๆ วิศนีแย่งส้อมมาถือแล้วจิ้มป้อนอารุมบ้าง
“ตาคุณแล้ว อ้าปาก”
อารุมหันมาอ้าปากให้วิศนีป้อน เดชชาติมองหมั่นไส้ หันไปสะกิดนีรนุช
“ตัวเอง ป้อนเขามั่งสิ อ้า”
เดชชาติหลับตา อ้าปากรอ นีรนุชยิ้มหวาน
“จะให้ป้อนเหรอจ๊ะ ด๊ายยยยย”
นีรนุชหยิบไม้บาร์บีคิวที่วางอยู่บนเต้า จะยื่นเข้าปากเดชชาติทั้งไม้ เดชชาติลืมตาขึ้นมาเห็นปลายแหลมจ่อมาที่ปากก็สะดุ้ง
“โอ้โฮ เธอจ๋า จะเสียบทะลุก้นฉันหรือไงจ๊ะ ไม่ใช่กบย่างนะเว้ย ไม่โรแมนติกเลย มานี่ กินเองก็ได้”
เดชชาติดึงไม้มากัดบาร์บีคิวกินเอง นีรนุชทำท่าอ้อนให้ป้อนบ้าง เดชชาติเลยยอมป้อน ทั้งสี่คนมีความสุขกันมาก

อำนวยกับกรแก้วเดินออกมามองหนุ่มๆ สาวๆ อย่างมีความสุข
“บ้านที่มีคนหนุ่มๆ สาวๆ อยู่มันก็คึกคักดีเหมือนกันนะ”
กรแก้วค้อน
“ฉันก็ยังสาวนะคะคุณ”
“เสียดายนะ ที่เราไม่มีลูกด้วยกัน”
กรแก้วหัวเราะ
“โอ๊ย ไม่มีดีแล้วค่ะ”
“ทำไม เข็ดกับวิศนีแล้วใช่ไหม”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันว่าครอบครัวเรามีกันอยู่ 3 คนก็สมบูรณ์ดีแล้ว คนน้อยๆ แต่รักกันให้ทั่วถึง ดีกว่ามีลูกเต็มบ้าน แต่รักกันแบบขาดๆ เกินๆ ฉันว่าเราสองคนรออุ้มหลานจะดีกว่า”
อำนวยยิ้มออกมา มองไปที่คู่ของวิศนีกับอารุมที่หยอกล้อกัน แล้วดึงกรแก้วมาโอบอย่างมีความสุข

วิศนียืนอยู่กับอารุม เดชชาติ นีรนุชตรงหน้าเจดีย์สร้างใหม่สำหรับนนทลีที่ท้ายวัด
“ขอบคุณนะคะคุณนน สำหรับคำพูดเตือนสติที่คุณทิ้งไว้ให้ฉัน ฉันสัญญาค่ะว่าฉันจะใช้ชีวิตที่เหลือแทนคุณ แล้วก็จะดูแลคนที่คุณรักทุกคนให้คุณอย่างดีที่สุด”
“หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะนน”
วิศนีกับอารุมช่วยกันวางดอกไม้กับรูปถ่ายใบเล็กๆ ของนนทลีลงที่พื้นตรงหน้าเจดีย์
“ชาติดีใจนะที่ได้เกิดเป็นเพื่อนกับนน” เดชชาติพูดเบาๆ
“ขอให้บุญกุศลทั้งหมดที่เราร่วมกันทำ ส่งให้พี่นนได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีนะคะ”
นีรนุชกับเดชชาติวางดอกไม้ของตัวเอง แล้วพนมมือไหว้เจดีย์ เดชชาตินึกอะไรดึง ดึงนีรนุชมากอดไว้หลวมๆ
“เอ หรือว่าเราต้องจะรีบแต่งงานกันดีล่ะนุช”
นีรนุชเขิน
“อะไรพี่ชาติ อยู่ๆ มาพูดอะไรตอนนี้ อายเขา!”
“ก็รีบแต่งจะได้รีบมีลูก จะได้จองคิวนนให้เขามาเกิดเป็นลูกเราเสียเลย จะได้กลับมาเจอกันอีกไง”
“เพ้อเจ้อ!”
นีรนุชตีเดชชาติแก้เขิน อารุมกับวิศนีมองทั้งสองคนอมยิ้มขำ

วิศนีกับอารุมเดินจูงมือกันไปตามลำพัง...
“คุณจะไม่บอกผมเหรอ ว่านนพูดอะไรกับคุณ”
“ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเป็นแค่ความฝัน ขอเก็บไว้กับตัวดีกว่านะคะ”
อารุมทำหน้างอน
“คนรักกันไม่ควรจะมีความลับต่อกันนะ”
“เอาไว้ให้ถึงวันที่เหมาะสมแล้วกันค่ะ”
“งั้นผมคงต้องเร่งวันแต่งงานแล้วล่ะ ดีเหมือนกัน เดี๋ยวไอ้ชาติจะตัดหน้าไป ไอ้นี่มาทีหลังแต่ออกตัวแรง”
วิศนีหัวเราะ มองหน้าอารุม แล้วค่อยๆ ขรึมลง
“ฉันจะถามคุณเป็นครั้งสุดท้าย คุณแน่ใจนะคะว่าจะรักฉันได้อย่างสนิทใจ”
“ถามอะไรอย่างนั้น จะต้องให้ผมพูดกี่ครั้งว่าผมรักคุณ”
อารุดึงวิศนีเข้ามากอด สารภาพความในใจ...
“ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงรัก ใจหนึ่งรัก ใจหนึ่งระแวง ใจหนึ่งพยายามแยกตัวเองออกไป คุณไม่รู้หรอกว่าเวลาผมมองคุณทีไร ความรู้สึกบ้าๆ มันพลุ่งขึ้นมาพร้อมกันทุกที ทั้งอยากวิ่งหนี ทั้งอยากอยู่ใกล้ ทั้งอยากฉุดลงมา และก็ทั้งอยากปัดออกไปให้พ้นตัว”
วิศนีตัดพ้อ
“ก็เลยหาเรื่องทะเลาะ ค่อนขอด แกล้งให้ติดคุก”
“ผมรู้ตัวว่ามันเป็นความโง่ที่ไม่น่าให้อภัยของผม แต่ผมรับรองได้ว่าหลังจากนี้ ผมจะชดใช้ความผิดทุกอย่างที่ได้ทำไว้ ด้วยการรักคุณให้มากที่สุด ทุกวินาที ทุกลมหายใจ คุณจะไม่มีวันต้องเสียใจเพราะผมอีกแล้ว ให้โอกาสผมนะครับวิศนี”
“ค่ะ เราจะให้โอกาสกันและกันอีกครั้ง”

อารุมยิ้มมีความสุขขณะรวบร่างวิศนีเข้ามากอด แล้วค่อยๆ ก้มลงจุมพิตอย่างดูดดื่ม นุ่มนวลละมุนละไม

จบบริบูรณ์
กำลังโหลดความคิดเห็น