คุณสามี(กำมะลอ)ที่รัก ตอนที่ 2
ภายในคอนโดฯ เวลากลางคืน ประตูห้องเปิด พิมภาเดินเข้ามาในห้องเงียบๆ พลางแกะพวกเครื่องประดับออกวางอย่างไม่ใส่ใจ นันทิกานต์เดินตามเข้ามามองพิมภาอย่างเป็นห่วง
“ไอ้พิม ฉันเก็บทะเบียนสมรสออกมาให้แกด้วยนะ พอดีแกเซ็นชื่อแล้ว ฉันกลัวไอ้พี่เอกมันจะเอาไปมั่วนิ่มทำเรื่องทางกฎหมายเดี๋ยวจะยุ่ง”
“ขอบใจนะ”
“ถ้าแกเสียใจจะร้องไห้ก็ได้นะ ไอ้พี่เอกมันเลวจริงๆ”
พิมภาหันขวับมาบอก
“ ฉันไม่ได้เสียใจเรื่องนั้นแค่ผู้ชายห่วยๆ ทำลายชีวิตฉันไม่ได้หรอก แต่ฉันคิดไม่ถึงว่าเพื่อนของฉันจะหักหลังฉันแบบนี้”
“ฉันรู้นะว่าแกรักไอ้ปลามาก แต่...”
“ปลากับแกเป็นเพื่อนที่ฉันไว้ใจที่สุด ฉันไว้ใจ...”
พิมภาเหมือนจะพรั่งพรูแต่ก็ตัดสินใจเงียบ
“พิม”
“ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันได้ตลอดนะ”
พิมภานิ่ง
นันทิกานต์จำต้องเดินออกไปจากห้องอย่างจนใจ
พิมภาเครียด สายตาเหลือบไปเห็นกรอบรูปที่เธอถ่ายคู่กอดคอกับปราสินีอย่างยิ้มแย้ม พิมภามือจับที่กรอบรูปแล้วปากระแทกผนัง ก่อนจะหยิบหมอนอิงขึ้นมาแล้วปิดหน้ากรี๊ดลั่นอย่างสุดทน
พิมมาลาเดินเข้ามาแตะที่ไหล่พิมภา เธอเงยหน้าขึ้นมองเห็นพิมมาลากับภาณุวัฒน์ยืนมองอย่างเป็นห่วง
“พ่อ...แม่”
พิมภาเข้ากอดพิมมาลาร้องไห้อย่างระบายความอัดอั้น
พิมภาค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง พิมมาลาลูบหัวลูกสาวอย่างปลอบโยน ภาณุวัฒน์ยื่นมือมาวางบนศีรษะของพิมภาลูบด้วยความสงสารจนน้ำตาร่วง
พิมภาเห็นน้ำตาพ่อหล่นลงกระทบที่หลังมือของเธอก็ชะงักเหมือนได้สติ พิมภาเงยหน้ามองเห็นภาณุวัฒน์กับพิมมาลาน้ำตาร่วงร้องไห้อย่างห้ามไม่อยู่
“พ่อขอโทษนะลูก พ่อน่าจะห้ามพิม”
“พิม...แม่”
“พิมผิดเอง พิมดื้อกับพ่อแม่เอง พ่อกับแม่ไม่ผิดเลย อย่าร้องไห้นะจ๊ะ พิมขอโทษ พิมจะไม่ดื้อกับพ่อแม่อีก พิมสัญญา อย่าร้องนะ”
พิมภาเจ็บปวดที่เห็นพ่อแม่ร้องไห้เพราะตัวเอง ภัทรพลที่ยืนมองอย่างสงสาร
เวลากลางคืนที่บ้านมิ้นท์ ฤชวีนั่งที่พื้นตรงโต๊ะรับแขก ตรงหน้าเปิดโน้ตบุ๊กทิ้งไว้
ฤชวีนึกถึงภาพที่พิมภาหล่นลงมาในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าสวยของพิมภามีน้ำตาคลอ
มิ้นท์เดินเข้ามาชะงักที่เห็นฤชวีนั่งมองจอคอมพิวเตอร์อย่างเหม่อลอย มิ้นท์เข้าไปโบกมือตรงหน้าฤชวีแต่เขาไม่มีปฏิกิริยารับรู้ใดๆสักนิด
มิ้นท์ตะโกนข้างหูฤชวี
“พี่ต้น”
ฤชวีสะดุ้งตกใจ
“มิ้นท์”
“เดี๋ยวนี้พี่พัฒนาขนาดใช้พลังจิตพิมพ์งานแล้วเหรอพี่”
“ใครมันจะทำแบบนั้นได้”
“ก็เห็นนั่งจ้องคอมฯ ไม่พิมพ์อะไรเลย เหม่อคิดอะไรอยู่ล่ะพี่”
“มิ้นท์เคยรู้สึกไหมว่าเจออีกครึ่งชีวิตที่ตามหาแล้ว”
“โว้ว...ขนาดนั้นเลยเหรอพี่ วันนี้ไปเจอสาวที่ไหนมาพี่ต้นถึงได้มาพร่ำเพ้อแบบนี้”
“เจ้าของผ้าเช็ดหน้า”
มิ้นท์ตื่นเต้นถาม
“จริงเหรอพี่ แล้วรู้ชื่อที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์หรือยัง เดี๋ยวมิ้นท์จะได้สืบต่อให้”
“ได้ยินแต่ว่าชื่อพิม นอกนั้นไม่รู้”
“อ้าว ทำไมไม่เข้าไปถามล่ะพี่”
“วันนี้วันแต่งงานของเขา”
“อ้าว”
“แต่งานแต่งงานเขาล่ม”
“เฮ้ย...”
“พี่เลยไม่กล้าไปถาม แล้วทุกอย่างมันก็ดูวุ่นวายมาก ไม่รู้เขาจะเป็นยังไงบ้าง”
“ดูพี่ต้นจะห่วงคุณพิมมากเลยนะ ถูกใจพี่ชายขนาดนี้ แต่จะถูกใจคุณย่าเหรอเปล่าเนี่ยสิ..คิดหนัก”
“ถ้าพี่มีโอกาส พี่จะขอให้คุณย่ายอมรับคุณพิมให้ได้”
มิ้นท์ตบมือบอก
“ตื่นๆ พี่ต้น ฝันไปถึงไหนเนี่ย เอาแบบให้ได้รู้จักกับคุณพิมจริงๆ ก่อนแล้วค่อยวางแผนนะพี่ต้นนะ มิ้นท์ไปนอนก่อนนะพี่ ขอให้พี่ชายมิ้นท์ได้เจอคุณพิมเร็ว ๆ”
ฤชวียิ้มบอก
“ถ้าบุพเพอาละวาดก็ดี”
“เยอะนะเยอะ”
มิ้นท์เดินขำ ๆ ออกไปทิ้งให้ฤชวีที่ยังยิ้มเพ้อถึงพิมภาต่อ
เช้าวันใหม่ พิมมาลาวางชามข้าวต้มลงบนโต๊ะ
“ทานข้าวจ๊ะพ่อ”
ภาณุวัฒน์กำลังนั่งดูข่าวราคาทองประจำวัน
“แม่จ๊ะ ราคาทองลงแล้วจ๊ะ”
“เมื่อคืนเห็นภัทรบอกว่าลูกค้าโทรมาสั่งพลอยของเราเยอะมาก” พิมมาลาว่า
“งั้นเราก็ต้องรีบกลับไปคัดพลอยแล้วล่ะ น้ำขึ้นต้องรีบตัก”
พิมมาลาคิดหนักบอก
“แม่เป็นห่วงพิมน่ะ พ่อว่าให้ภัทรกลับไปจันทบุรีก่อนดีไหมพ่อ เราจะได้อยู่ดูพิม”
“งั้นก็ให้ภัทรมันกลับวันนี้เลย”
“วันนี้ยังกลับไม่ได้หรอกพ่อ”
ภัทรพลแต่งตัวหล่อออกมาจากห้องแล้วพูดขึ้น
“โอ้โห ไอ้ภัทร นี่จะไปเดินแบบที่ไหน”
“หล่อไหมพ่อ”
“น้อยกว่าพ่อนิดนึง” ภาณุวัฒน์ว่า
“โอเค ยอม”
“ภัทรจะไปไหนถึงได้แต่งตัวหนักหน่วงขนาดนี้”
“ก็จะไปเป็นเพื่อนพิมที่ทำงานน่ะจ๊ะแม่ ห่วงน้อง”
ภาณุวัฒน์,พิมมาลาถาม “จริงรึ”
“จริงสิ แล้วไอ้พิมเลิกเศร้าหรือยังล่ะแม่ นี่ มันสายแล้วนะ”
ภายในห้อง พิมภาตาคล้ำ ผมฟู ในสภาพที่โทรมมากยืนจ้องตัวเองในกระจกด้วยสีหน้าเครียด เสียงมือถือดัง พิมภากดรับ
“ว่าไงแนน”
นันทิกานต์นั่งคุยโทรศัพท์อยู่ตรงทางเดินในบริษัท naree
“ท่านประธานเรียกประชุมด่วนล่ะพิม ไม่รู้มีเรื่องอะไรแล้วสั่งให้เรียกแกมาด่วนนะ”
“อือ” พิมภากำลังจะวางสาย
นันทิกานต์เดินมาตามทางแล้วชะงัก ตกใจ
“เดี๋ยวๆ พิม”
“มีอะไรอีก”
“ยัยลัล”
พิมภาสนใจขึ้นมาทันทีถาม
“ทำไม”
ด้านหลังนันทิกานต์ที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ ลัลนากับซูซี่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มพนักงานที่กำลังเมาท์กันอยู่อย่างเมามันส์
“ยัยลัลกับพี่ซูซี่กำลังเม้าท์ข่าวเรื่องงานแต่งแกเมื่อวาน ดูท่าจะกระจายไปทั่วออฟฟิศแล้วนะเนี่ยเห็นแล้วแค้นว่ะ ฉันจัดให้เลยไหม”
พิมภาตาลุก ของขึ้นทันที
“ไม่ต้อง ฉันจัดการเอง”
พิมภาวางสายแล้วมองตัวเองในกระจกและยิ้มร้าย
“คิดจะลูบคมฉันเหรอ”
บริเวณหน้าประตูห้องพิมภา ภาณุวัฒน์ พิมมาลา ภัทรพลมายืนอออยู่ที่หน้าประตู
“เคาะสิพ่อ”
ภาณุวัฒน์เดินพลิกมาอยู่หลังพิมมาลาแล้วบอก
“แม่เคาะสิ พ่อไม่อยากเห็นน้ำตาลูก พ่อสงสารลูก”
“มานี่ ผมเคาะเอง” ภัทรพลบอก
ภัทรพลกำลังจะเคาะ พิมภาเปิดประตูก้าวออกมายกมือรับมือภัทรพลไว้อย่างแม่นยำ
“พิม”
ทุกคนอึ้งที่เห็นพิมภาแต่งหน้าสวย ผมเก๋ ชุดจัดเต็มแบบสวยไม่แคร์สื่อ ภาณุวัฒน์เอามือแตะที่หน้าผาก “พิม..ไม่เป็นไรนะลูก”
“พิมสบายดีค่ะพ่อ พิมไปทำงานก่อนนะคะ”
พิมภาเดินออกไป
“มันผีเข้าหรือเปล่าเนี่ย” ภัทรพลบอก
“แล้วไหนว่าจะไปเป็นเพื่อนน้อง” พิมมาลาบอก
“ใช่ พิมรอพี่ด้วย”
ภัทรพลรีบวิ่งตามพิมภาไป
ภายในห้องประชุม สุกัญญานั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะประชุม ลัลนา ซูซี่ นันทิกานต์ ปราสินี พนักงานคนอื่นๆ นั่งประจำที่กันแล้ว สุกัญญาพูดกับกับนันทิกานต์
“แล้วคุณพิมล่ะแนน”
“กำลัง...”
ยังไม่ทันที่นันทกานต์จะพูดอะไรต่อ ซูซี่ก็แทรกขึ้น
“กำลังทำใจอยู่มั้งคะ”
“เกิดเรื่องขนาดนั้น พิมคงมาทำงานไม่ได้อีกนาน จริงไหมจ๊ะปลา” ลัลนาว่า
ปราสินีสะดุ้งที่เห็นทุกสายตามองมาที่ตัวเอง
“ถ้าเป็นลัลคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เรื่องน่าอายขนาดนี้”
จังหวะนั้น ประตูห้องประชุมเปิดเข้ามา พิมภาได้ยินพอดี
“ก็เอาไว้บนคอเหมือนเดิมล่ะจ๊ะ”
พิมภาเดินเข้ามาอย่างสง่าสวยงามตรงไปนั่งเก้าอี้ตัวเอง
“พิมก็อายบ้างจ๊ะลัลเพราะหน้าพิมมีความรู้สึก แต่ของลัลฉีดโบท็อกซ์ทุกสองเดือนใช่ไหมจ๊ะเลยจะหนาเป็นพิเศษ”
ลัลนาโกรธจะลุกขึ้นตอบโต้ แล้วนึกได้ว่าอยู่ต่อหน้าสุกัญญาก็นั่งลงบอก
“ลัลฉีดนิดหน่อยเอง ป้องกันริ้วรอย”
“เหรอจ๊ะ นึกว่าฉีดพยุงหน้าไว้ เพราะถ้าโบท๊อกซ์หมดฤทธิ์คิ้วคงกองมารวมที่ปาก”
นันทิกานต์กับพนักงานคนอื่นๆ แอบยิ้มกันคิกคัก ลัลนาแค้นจะตอบโต้
สุกัญญาตัดบทบอก
“ทักทายกันยามเช้าพอหอมปากหอมคอนะ”
ลัลนาจำต้องหุบปากฉับทันที
“เรื่องเมื่อวานนี้ พี่รับไม่ได้จริงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พี่เคยประกาศแล้วว่าถ้ารู้ว่าคนในบริษัทไม่สามัคคีกันพี่จะไล่ออก”
ทุกคนสะดุ้ง
“คุณพิม”
ทุกคนหันไปมองพิมภา ลัลนาตาโตคิดว่าพิมภาจะโดนไล่ออกแน่
ภายในห้องประชุม ทุกสายตาจ้องมองไปที่พิมภา
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน...” สุกัญญาเริ่มเปิดประเด็น
นันทิกานต์รีบแย้งเพราะห่วงเพื่อน
“เดี๋ยวค่ะท่านประธาน เรื่องเมื่อวานมันไม่ใช่ความผิดของพิมเลยนะคะ”
“แนน..ท่านประธานกำลังพูดอยู่อย่าเสียมารยาทสิจ๊ะ อันที่จริงลัลก็เห็นใจพิมนะคะแต่กฎก็ต้องเป็นกฎ ท่านประธานบอกแล้วว่าถ้ารู้ว่าใครทะเลาะกันไล่ออกทั้งคู่ ใช่ไหมคะ” ลัลนาว่า
“ใช่”
ลัลนาหันไปส่งสายตาเย้ย ๆ ให้พิมภา พิมภาไม่สลด สีหน้าพร้อมรับสถานการณ์
“พิมยินดีที่จะทำตามกฎค่ะ”
“แต่ไม่ใช่กรณีนี้”
ทุกคนชะงัก
“เพราะเรื่องครั้งนี้ คุณพิมไม่ได้รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จริงไหมปราสินี”
ปราสินีอึกอักแต่จำต้องตอบ
“จริงค่ะ”
“ดังนั้นฉันให้สิทธิ์คุณพิมนะ ว่าอยากจะทำอย่างไรกับปราสินีก็ได้แล้วแต่คุณพิมจะตัดสินใจ”
ทุกคนอึ้งหันมามอง พิมภามองปราสินีด้วยสายตาแข็งกร้าวนิด ๆ ปราสินีมองอย่างหวั่นๆ
ในเวลาต่อมา ประตูห้องประชุมถูกเปิดออก สุกัญญาเดินออกมา ปราสินีรีบตามออกมา
“เดี๋ยวค่ะ ท่านประธาน”
พิมภา นันทิกานต์ ลัลนา ซูซี่ และคนอื่นๆ ตามออกมาชะงัก
“แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยนะคะ ทำไมปลาจะต้องโดนย้ายไปอยู่บ้านนอกด้วย”
“ก็คุณพิมเขาตัดสินใจแบบนั้น เธอมีหน้าที่แค่ทำตาม”
“ท่านประธานเข้าข้างพิม แบบนี้มันลำเอียงนะคะ”
สุกัญญายิ้มบอก “จ๊ะ”
“ท่านประธาน...ถ้าเป็นแบบนี้ปลาก็คงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ ปลาขอลาออก”
สุกัญญายิ้ม
“อืม..รีบทำจดหมายมาเลยนะ เพราะฉันเซ็นอนุมัติรอไว้แล้ว”
สุกัญญาเดินออกไป ปราสินีแค้นหันกลับมาเจอทุกคนยืนมองอยู่
“อยู่ดีๆ ก็รนหาที่นะ พิมอุตส่าห์ไม่ไล่ออกยังไม่สำนึก” นันทิกานต์ว่า
ซูซี่หัวเราะถาม
“เขาเรียกว่าไม่เจียมตัวหรือเปล่าจ๊ะ”
“หัวเราะเบาๆ เถอะค่ะ ไม่งั้นฟันปลอมอาจจะกระเด็นไม่รู้ตัว” ปราสินีว่า
ซูซี่ยกมือปิดปากตัวเองแล้วรีบมาหลบหลังลัลนา ลัลนาปกป้องทันที
“ร้ายกาจเนอะ แว้งกัดไม่เลือก สมแล้วที่เป็นเพื่อนกัน” ลัลนาพูดพลางปรายตามาทางพิมภา
ปราสินีมองพิมภา
“ไปให้พ้นหน้าฉันดีกว่า ถ้าอยากอยู่รกโลกต่อไป”
ปราสินีฮึดฮัดแต่ไม่กล้ากับพิมภา ปราสินีรีบเดินไป พิมภาจะเดินไปอีกทาง แต่ลัลนาส่งเสียงมาขัดไว้
“สโลแกนวันนี้ ผัวเพื่อนก็เหมือนผัวฉันใช่ไหมจ๊ะ พิม”
พิมภากับนันทิกานต์ ชะงักหันกลับมา พิมภายกมือขึ้นมาขยับนิ้วเหมือนบริหาร
“คันปากมากเหรอ ฉันจะได้เกาให้”
“อุ๊ยๆ ๆน่ากลัว เอะอะใช้กำลังแบบนี้ไง ถึงโดนแฟนสวมเขา เป็นเจ้าสาวที่ฉาวที่สุดแห่งปี”
ลัลนากับซูซี่หัวเราะอย่างสะใจแล้วเดินเชิด ๆ จากไป พิมภาแค้นมองตามจนตัวสั่น
พิมภาเดินเข้ามาในห้องทำงานอย่างหัวเสีย แล้วหยิบหมอนอิงสีสวยที่วางสำหรับรองหลังที่เก้าอี้ทำงานมาวางบนโต๊ะ พิมภาหยิบกระชากกระดาษทิชชู่ออกมากางวาง แล้วก้มหน้าซุกกับหมอนร้องกรี๊ดสนั่น สองครั้งติดกัน
นันทิกานต์เดินเข้ามา
“พิม”
พิมภาเงยหน้าขึ้นมาบอก
“เพราะไอ้เอกพลแท้ๆ ยัยลัลมันถึงเหยียบฉันได้”
“ตอนนี้ยัยลัลมันยิ่งกว่าเหยียบอีก มันกำลังประจานแก”
พิมภาตกใจว่าเรื่องอะไร
บริเวณมุมโต๊ะทำงานของลัลนา หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะเป็นภาพปราสินีกับเหมียวกำลังตบตีกันอย่างเมามันส์
“ตาเอกพลนี่สงสัยของเขาจะดีจริง ๆนะ คนนึงท้อง อีกคนก็เพื่อนเจ้าสาวแย่งกันเอาเป็นเอาตาย” ซูซี่พูดขึ้น
“ต้องดูหน้าเจ้าสาวนี่ ๆ”
ลัลนาเลื่อนภาพถ่ายเป็นพิมภาในชุดเจ้าสาวบนเวที
ลัลนาขำบอก
“ยืนหน้าโง่เชียว”
แม่บ้านถือถาดกาแฟเข้ามาวางให้ลัลนา
“กาแฟค่ะ”
“ขอบใจ หมดเวลาสังสรรค์แล้วไปทำงานได้แล้ว พี่ซูซี่สรุปยอดขายสินค้ามาให้ลัลด้วยนะ เอาละเอียดแบบทุกประเภทเลยนะ”
“จ๊ะ แล้วเอาลิปสติกด้วยไหม”
“ทุกประเภทก็หมายถึงสินค้าทุกตัว เข้าใจไหมพี่”
“จ๊ะ...แล้ว...” ซูซี่รับคำแล้วเห็นหน้าลัลนาดุมากก็ไม่มีอะไรจะซักต่อ แต่บอกย้ำ
“สินค้าทุกตัวจ๊ะ”
ซูซี่กับพนักงานคนอื่นๆ เดินออกไป ลัลนาหยิบกาแฟมาจิบแล้วเปิดคลิปย้อนดูอีกยก ลัลนาจิบกาแฟไปมองคอมฯไปอย่างสำราญใจ เมื่อกาแฟหมดแก้ว สักแป๊บ สายตาที่จ้องคอมฯก็เริ่มเบลอ ง่วงจัดแล้วก็ฟุบหน้าไปบนโต๊ะ
พิมภากับนันทิกานต์ยิ้มร้ายเดินเข้ามา
เสียงโทรศัพท์ภายในบริษัทดังขึ้น ลัลนาที่ฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะก็งัวเงียตื่นขึ้นรับสาย
“สวัสดีค่ะ...รับของที่ล็อบบี้ จากไหนคะ อ้าว... วางสายใส่ เดี๋ยวปั๊ด”
ลัลนาเดินลุกออกไป
ประตูลิฟท์เปิดออก พนักงานที่ยืนรออยู่หน้าลิฟท์ชะงักอึ้งๆ กับลัลนาเดินเชิด ๆ ออกไป ระหว่างทางเดินไปล็อบบี้ พนักงานที่ยืนอยู่หรือว่าเดินต่างอึ้ง บ้างแอบอมยิ้มขำ ลัลนาเดินมาถึงเคาน์เตอร์คุยกับพนักงาน
“พี่มารับของที่มีคนฝากไว้ให้พี่น่ะ”
พนักงานอึ้งจำไม่ได้ถาม
“พี่...พี่อะไรคะ”
“พี่ลัลไง อะไรกันนี่สวยจนจำไม่ได้เลยเหรอไง”
พนักงานมีท่าทีอึกอักแล้วตอบ
“ค่ะ...แต่ไม่มีของฝากให้พี่นะคะ”
“ก็เมื่อกี้มีคนโทรขึ้นไปบอกพี่ว่ามีนี่”
ประตูบริษัทเปิดออก สุกัญญา พิมภา นันทิกานต์เดินเข้ามา
ลัลนาหันกลับไปเห็นว่าเป็นสุกัญญาก็รีบเดินเข้าไปทักทาย
“ท่านประธานคะ”
สุกัญญาตกใจกับสีหน้าของลัลนา
“ใครเนี่ย”
“ลัลไงคะ”
พิมภากับนันทิกานต์สีหน้าวางเฉย
“ลัล..นี่แต่งหน้าเทรนด์ใหม่เหรอจ๊ะ สวยเนอะ”
พิมภาถาม
ลัลนาเชิดไว้ก่อนแล้วตอบ
“ก็เทรนด์ใหม่จากเกาหลีจะนำเสนอบอสสำหรับงานเปิดตัวอายแชโดว์วันพรุ่งนี้น่ะค่ะ ท่านประธานจะไปดูสถานที่ตอนบ่ายใช่ไหมคะ ลัลดูแลงานนี้อยู่แล้วจะได้ไปพร้อมท่านประธานเลย”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ งานพรุ่งนี้ให้พิมภาเป็นคนดูแลแล้วกัน”
ลัลนาชักสีหน้าไม่พอใจ
“แต่งานนี้เป็นของลัลนะคะ ทำไมจู่ๆ ถึงให้พิมภาทำ”
“ก็ไปส่องกระจกดูสิจะได้รู้ว่าทำไม” สุกัญญาบอก
สุกัญญาเดินออกไป พิมภากับนันทิกานต์เดินตาม ลัลนาสงสัยในคำพูดของประธานจึงรีบวิ่งกลับไปที่เคาน์เตอร์
“มีกระจกไหม เอามาให้พี่ เร็วสิ”
พนักงานรีบส่งตลับแป้งให้ ลัลนาเปิดตลับส่องกระจก ในกระจก ...เห็นหน้าลัลนา บริเวณดวงตาถูกเขียนด้วยอายไลน์เนอร์ลากทิ้งหางตายาวมาก แก้มถูกปัดแดงเป็นตูดลิง เปลือกตาเขียวปี๋แถมใส่กากเพชรอีกต่างหาก ลัลนากรี๊ดสนั่น
ภายในห้อง พิมภากับนันทิกานต์ตีมือประสานกันด้วยความสะใจ
“ฝีมือแต่งหน้าของแกไม่เลวนะแนน”
“แกอยากลองไหมล่ะ ฉันจะแต่งให้งามกว่าของยัยลัลอีก”
พิมภาหัวเราะบอก
“สะใจจริงๆ คิดจะเล่นกับฉันมันก็ต้องเจอแบบนี้”
นันทิกานต์มองพิมภานิ่ง จนพิมภาชะงัก
“มองอะไร”
“มองเพื่อนฉันแล้วก็คิดว่าทำไมมันเก่งนัก ฉันดีใจนะที่แกยังแข็งแรงไม่ล้มเพราะเรื่องเมื่อคืน คิดว่าจะเห็นแกฟูมฟายซะแล้ว”
“ไม่เห็นไม่ได้แปลว่าฉันไม่เจ็บ สำหรับปลาทำให้ฉันรู้วันนี้ว่าการโดนหลอกจากคนที่เราไว้ใจมันเจ็บแค่ไหน ส่วนไอ้เอกพลฉันเจ็บใจที่เสียรู้ผู้ชายเลว ๆ แต่ไม่ได้เสียใจ ที่สุดแล้ว ผู้ชายดีๆก็มีแต่ในละครจริง ๆ”
“สักวันแกต้องได้เจอคนดีๆ นะเชื่อฉัน ถึงตอนนั้นแกจะกลัวหรือเปล่าถ้าต้องเริ่มใหม่”
“เริ่มใหม่ฉันไม่กลัว แต่ฉันกลัวจะโดนหลอกซ้ำอีกน่ะสิ”
“ชีวิตแกมันคงไม่ซวยซ้ำซวยซับซ้อนขนาดนั้นหรอกมั้ง”
ลัลนาที่ล้างหน้าล้างตาและแต่งหน้าใหม่เรียบร้อยแล้ว เปิดประตูเข้ามาในห้อง เดินมุ่งตรงไปหาพิมภา
“เธอแกล้งฉัน”
พิมภาตีหน้าใสซื่อถาม
“ลัลพูดเรื่องอะไรจ๊ะเนี่ย พิมไม่เห็นเข้าใจเลย”
“ฉันจะฟ้องท่านประธานว่าเธอแกล้งฉัน”
พิมภาหน้าเชิดทันทีถาม
“ไหนล่ะหลักฐานว่าฉันแกล้งเธอ”
“ก็...แต่ฉันมีเรื่องกับเธอเท่านั้น เพราะฉะนั้นมันก็ต้องเป็นฝีมือเธอแน่นอน ท่านประธานจะต้องจัดการเรื่องนี้”
“เอาสิ จะได้เด้งดึ๋งออกจากบริษัททั้งคู่ ซิลิโคนกินพื้นที่สมองหรือไงจ๊ะ ถึงจำไม่ได้ว่า ถ้าทะเลาะกันโดนไล่ออกทั้งคู่”
ลัลนาสะอึก นันทิกานต์พูดสำทับ
“ว่าไง ปากยื่นปากยาวไปฟ้องเลยสิจ๊ะ ฉันจะได้สวมตำแหน่งMarketing Manager ซะเลย อยากอัพเลเวลตัวเองนานแล้ว”
“ฉันจะต้องเอาคืนเรื่องครั้งนี้ให้ได้” ลัลนาพูดพลางส่งสายตาอาฆาต
พิมภามองตอบอย่างท้าทายไม่ยอมแพ้ สองคนจ้องหน้ากัน
ประตูห้องเปิดผลัวะ! เข้ามา ภัทรพลเดินหล่อเข้ามาพร้อมถุงขนม
“พี่ภัทร มาทำไมเนี่ย” พิมภาถาม
ภัทรพลขยับเสื้อดูหล่อมากแถมยิ้มแนะนำตัวกับลัลนาอีกต่างหาก
“พี่ผ่านมาก็เลยแวะซื้อขนมมาฝาก … สวัสดีครับ ผมภัทรพล คนน่ารัก รูปไม่หล่อแต่พ่อรวยมาก 081-1111234ครับ เป็นพี่ชายของพิมครับ แอดไลน์ หรือว็อทแอ็ปสแตนบายยี่สิบสี่ชั่วโมงครับ อีเมล์...”
“พี่ภัทร”
ภัทรพลชะงัก ลัลนามองภัทรพลที่ยังยิ้มตาเยิ้ม ลัลนาดูออกว่าภัทรพลสนใจ
“ลัลนา ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
ลัลนาเดินผ่านแล้วขยิบตาให้หนึ่งที ภัทรพลกระตุกเหมือนโดนแผลงศรเข้ากลางใจ จนมีอาการเซไปเล็กน้อย
ลัลนายิ่งเดินยักย้ายส่ายสะโพก ภัทรพลหันมองตามจนคอแทบจะหมุนรอบ
มือของพิมภาวางบนไหล่ภัทรพลปึ้ก! ภัทรพลสะดุ้งหันมาเจอหน้าพิมภาที่มองมาอย่างโหด
“พี่ภัทร อย่าบอกนะว่าคิดจะจีบยัยซิลิโคนนั่น”
ภัทรพลอึกอักมองไปทางนันทิกานต์ พิมภามองตาม นันทิกานต์ไม่รู้จะทำยังไงแกล้งตายซะงั้น
“ก็ไม่ได้ขนาดนั้นแค่เห็นว่าสวยดี ทำไม มีปัญหาอะไรกันเหรอ”
“ปัญหาไม่ต้องรู้ รู้ว่าศัตรูน้องก็พอ”
“จ๊ะ”
“แล้วนี่พี่มาหาฉันทำไม”
“ก็จะแวะมาบอกว่า พี่กับพ่อแม่ต้องกลับไปคุยกับลูกค้าที่จันท์ แกอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”
“ได้”
“ก็ดี..งั้นพี่ไปก่อนนะ”
พิมภายังไม่ทันตอบ ภัทรพลก็รีบออกไปทันที พิมภามองตามสงสัยก่อนหันมาหาเพื่อนซี้ที่หลบวูบหนีหายไปหายไปที่ประตูห้องแล้ว
“ไอ้แนน อ้าว!”
“ไปทำงานก่อนนะ”
นันทิกานต์รีบปิดประตูทันที พิมภางง
“อะไรของมัน”
พิมภาเปิดคอมฯ ที่หน้าจอคอมฯเป็นภาพถ่ายของพิมภาถ่ายรูปกับปราสินีที่ยิ้มอย่างมีความสุขในหลาย ๆ แอ็ค บางรูปมีนันทิกานต์ด้วย พิมภากดปิดคอมฯ นั่งหันมองออกไปด้านนอกอย่างเซ็ง ๆ
ที่โรงแรมในแผนกจัดเลี้ยง พนักงานโรงแรมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมฯบอกฤชวีว่า
“ชื่อผู้จองห้องจัดเลี้ยง คุณเอกพล นิมิตรวงศ์ คนที่เป็นเจ้าบ่าวน่ะค่ะ”
“เอ่อ แล้วเจ้าสาวล่ะครับ พอจะทราบชื่อไหมครับ”
พนักงานมองหน้าจอก่อนจะบอก
“ไม่ทราบนะคะ ผู้ที่จัดการจองและชำระเงินคือคุณเอกพลคนเดียวค่ะ”
“แล้วตรงส่วนอื่นล่ะครับ อาหาร ซุ้มดอกไม้ มีชื่อของคนอื่น”
“เรามีข้อมูลเพียงแค่นี้จริง ๆ ขอโทษด้วยนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
ฤชวีมีสีหน้าผิดหวังแต่เข้าใจ เขาเดินออกไปด้วยสีหน้าเซ็ง
บริเวณทางเดินหน้าห้องพิมภา นันทิกานต์รีบเดินพลางมองหลังอย่างระแวง ภัทรพลเดินมาขวางไว้
“แนน”
“เฮ้ย! พี่ภัทร ตกใจหมดเลยพี่ พี่ออกนอกหน้าจนไอ้พิมมันสงสัยแล้วเห็นไหม เกือบทำฉันแย่ไปด้วยอีกคน”
“แกต้องปากแข็งนะ ห้ามบอกเรื่องพี่เด็ดขาด ไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น”
“เออน่ะ ฉันไม่หาเรื่องใส่ตัวหรอกน่า”
ภัทรพลมองไปทางด้านหลังนันทิกานต์อย่างระแวดระวังแล้วบอก
“แนน พี่มีเรื่องให้ช่วย”
นันทิกานต์มองอย่างไม่ไว้ใจ
คุณสามี(กำมะลอ)ที่รัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
ภายในห้องทำงาน ลัลนากับซูซี่กำลังเสริมสวย ลัลนาดัดขนตา ซูซี่เห็นเลียนแบบแต่ท่าจะเวอร์กว่า
ลัลนาเห็นก็เปลี่ยนเป็นทาลิปสติก ซูซี่เอามั่งทาแบบเวอร์ใหญ่มาก
“โอ้ย พี่ซูซี่ ปากนะไม่ใช่กำแพงบ้าน ไม่ต้องท่าใหญ่ขนาดนั้นก็ได้”
“ก็มันได้อารมณ์น่ะ”
“อารมณ์เสียน่ะสิ ว่าแต่ที่ให้ตามเรื่องยัยพิม มีอะไรคืบหน้าบ้างไหม”
ลัลนารอฟังอย่างใจจ่อ ซูซี่บอก
“มีซิ ก็เช้าดื่มกาแฟ กลางวันกินก๋วยเตี๋ยว”
“โอ้ย! ลัลหมายถึงงานไม่ใช่ชีวิตประจำวัน ยัยพิมมันเตรียมแผนงานไปถึงไหนแล้ว”
“โอ้ย เรื่องงานสำคัญแบบนั้นใครมันจะวางซุ่มสี่ซุ่มห้าให้คนอื่นเห็นล่ะจ๊ะ น้องลัลก็ถามไม่คิด”
ลัลนาส่งสายตามองประมาณมากไปนะ ซูซี่รู้ตัวหันมายิ้มแหะ ๆ ใส่
“ตำแหน่งผู้จัดการสาขาต้องเป็นของลัล ลัลต้องชนะ”
“จะไหวเหรอจ๊ะ ปีที่แล้วก็พูดแบบนี้ ปลายปียังโดนพิมทำยอดชนะไปเลย”
“แค่ห้าเปอร์เซนต์ไม่นับว่าชนะหรอกนะ เขาเรียกสูสี”
ซูซี่จะพูดต่อ แต่เห็นลัลนาส่งสายตาดุมาพอดี
“เหรอ...สูสีจริง ๆ ด้วย เนอะ”
ลัลนาคิดแล้วบอก
“ต้องมีสิทางชนะน่ะ”
มือถือของลัลนาดังขึ้น เบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏอยู่ ...ไม่คุ้น แต่กดรับ
“สวัสดีค่ะ ลัลนาพูดสายค่ะ”
บริเวณปั๊มน้ำมัน บนเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่จันทบุรี ภัทรพลยิ้มดีใจยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างรถ
“สวัสดีครับ ผมภัทรพลรูปไม่หล่อแต่พ่อรวยมาก จำได้ไหมครับ”
ลัลนานึกแล้ว
“อ๋อ..พี่ชายของพิม มีธุระอะไรคะ”
“ไม่มีครับ แค่อยากได้ยินเสียงน่ะครับ”
ลัลนาหน้าตาอี๋มาก
“เอ่อ...ถ้าไม่มีธุระอะไรลัลขอวางนะคะ พอดีมีธุระน่ะค่ะ”
“เดี๋ยวครับ ผมตั้งใจจะโทรมาขออนุญาตครับ”
“ขออนุญาตอะไรคะ”
“ขออนุญาต จีบได้ไหมครับ”
ลัลนาขนลุกรีบตัดบทแล้ววางสายด้วยสีหน้ารังเกียจทันที
“ลัลต้องรีบไปแล้ว แค่นี้นะคะ สวัสดีค่ะ”
ซูซี่ถามลัลนา
“ใครเหรอคะน้องลัล”
“พวกเสร่อ อยากเด็ดดอกฟ้าน่ะค่ะ”
ฝ่ายภัทรพลกำหมัดอย่างสะใจมาก
“หนึ่งแต้ม! โดน ๆ ๆ”
ภัทรพลหันกลับมาแล้วชะงักที่เห็นภาณุวัฒน์กับพิมมาลายืนมองอยู่
“พ่อกับแม่มาตอนไหนเนี่ย”
“ก็ตั้งแต่หนึ่งแต้ม” ภาณุวัฒน์บอก
พิมมาลามองอย่างจับผิด
“โดน ๆ ๆ น่ะ คุยกับผู้หญิงใช่ไหม”
“ก็...”
“หน้าแดง หูแดง ยิ้มจมูกบานขนาดนี้ จีบสาวแน่นอน” พิมมาลาบอก
ภาณุวัฒน์เสียงตื่นเต้นถามพลางหันไปถามพิมมาลา
“จริงเหรอไอ้ภัทร เจอสาวในฝันแล้วเหรอ เป็นใคร อยู่ที่ไหน ให้พ่อไปขอเลยไหม สินสอดเท่าไหร่ดีแม่”
“สองล้านเป็นไง”
“โอ้ย พ่อ แม่ เพิ่งได้เบอร์มาวันนี้เอง ใจเย็นๆ”
“ก็กลัวเดี๋ยวแกเปลี่ยนใจ” ภาณุวัฒน์บอก
พิมมาลาเดินเข้าไปจ้องหน้าภัทรพลอย่างพินิจมาก
“จ้องกันขนาดนี้สิงเลยไหมแม่”
“แม่ว่าคนนี้ตาภัทรจริงจัง ตาเป็นประกายขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้ต้องสวยแบ๊ว อกสามสิบแปดใช่ไหม”
“ใช่”
“งั้น...ถ้าจีบคนนี้ติดแม่โอนมรดกให้ก่อนเลยครึ่งนึง”
“แค่จีบติด ยังไม่แต่งใช่ไหมแม่”
“ใช่ ได้แต่งแม่จะเจียดส่วนของพิมให้แก พิเศษกว่านั้นมีลูกปุ๊บ ส่วนที่พ่อเก็บไว้เที่ยวตอนแก่ก็ยกให้แกหมด”
“ช่าย...เย่ย..แม่จ๊ะนั่นมันส่วนของพ่อนะ” ภาณุวัฒน์แย้ง
พิมมาลาหันขวับมาพูดเสียงดุ
“อยากนามสกุลด้วนหรือไงพ่อ”
ภาณุวัฒน์คิด ๆ แล้วตัดใจ
“ก็ได้ ยกให้เลย”
“งั้น...สู้เว้ย”
“แต่ตอนนี้รีบกลับบ้านดีกว่าไหม เดี๋ยวลูกค้าเปลี่ยนใจ ภัทรจะไม่มีมรดกไว้ใช้นะ”
ภัทรพลรีบเปิดประตูให้ภาณุวัฒน์กับพิมมาลา
ภัทรพลพูดกับกับตัวเองอย่างคึกคัก
“ต้องได้เมีย ต้องได้เมีย”
ภัทรพลขึ้นนั่งด้านคนขับแล้วรีบออกรถไปทันที
ในเวลากลางคืน พิมภามือหนึ่งถือโทรศัพท์คุยกับแม่ อีกมือหนึ่งเดินถือถุงใส่กรอบทะเบียนสมรส ส่วนในมือของนันทิกานต์ถือถุงเสื้ออยู่สามสี่ถุง ทั้งคู่เดินออกมาจากร้านขายเสื้อผ้าย่ายอเวนิว
“ค่ะแม่...พิมมาช็อปปิ้งกับแนน แม่ถึงบ้านแล้วใช่ไหมคะ กำลังจะกลับบ้านแล้วค่ะ”
พิมภาวางสาย หันไปพูดกับนันทิกานต์
“ฉันไปเอาของมาแล้ว แกเสร็จยัง”
“ได้เสื้อกระโปรงแล้ว ต่อไปก็รองเท้า”
พิมภายื้อไว้บอก
“พอแล้วไอ้แนน นี่แกช็อปเยอะไปแล้ว สามสี่ถุงเนี่ยสองพันแล้วนะ นี่เงินเดือนยังไม่ออก ทำไมมีตังค์ช็อปขนาดนี้ แอบรับจ็อบที่ไหนหรือเปล่า”
นันทิกานต์อึกอักเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“เปล่าน่า..ก็เดือนนี้คำนวณแล้วเงินมันเหลือ ก็ให้รางวัลตัวเอง เราทำงานเหนื่อยนะ”
“ใช้ไม่เก็บแบบนี้คิดจะอยู่ไม่ถึงสี่สิบหรือไง แก่ตัวทำงานไม่ไหวใครจะเลี้ยงแก หัดคิดถึงอนาคตซะมั่ง”
“ไอ้พิม...นิดหน่อยเอง”
“มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท”
“มีมากใช้มากตามประสงค์”
“อย่ามั่ว มันต้อง..อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์”
“นั่นไง เนี่ยของต้องประสงค์ทั้งนั้น”
พิมภาลากนันทิกานต์เดินมาแล้วพูดต่อ
“ฟังให้ถึงตอนท้าย เขาว่า..มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ปิดการช็อปแค่นี้ กลับบ้าน”
“พิมจ๋า หิวข้าว กินชาบู ชาบูมะ”
“แม่ฉันทำกับข้าวไว้ ไปกินที่คอนโดฉันดีกว่า ประหยัด...ไป”
“ชาบู๊...ชาบู”
พิมภาไม่ใจอ่อบอก
“ไป”
พิมภาลากนันทิกานต์ผ่านร้านกาแฟ
ฤชวีถือโน๊ตบุ๊กเดินคุยโทรศัพท์ออกมาจากในร้าน จังหวะที่ประตูเปิด พิมภาก็ลากนันทิกานต์หันหลังให้ฤชวีออกไปอีกทาง ทั้งคู่เดินแยกออกไปคนละทาง
ฤชวีรู้สึกแปลก ๆ หันไปมองทางที่พิมภาเดินไป เขาเห็นเจ้าหน้าที่ถือลูกโป่งประดับห้างเดินผ่านมาบังตัวพิมภาพอดี เสียงกิ่งแก้วจากในโทรศัพท์ดังออกมา
“ต้น..ได้ยินพี่ไหม ต้น”
ฤชวีรู้สึกตัว
“ครับพี่กิ่ง ผมไปถามที่โรงแรมแล้วครับ เขามีแต่ข้อมูลของเจ้าบ่าวครับ ไม่มีอะไรให้โยงไปหาคุณซากุระของผมเลย”
“ต้นมีโอกาสเจอเขาตั้งสองครั้ง มันต้องมีครั้งที่สาม พี่เอาใจช่วย”
“ครับ..ขอบคุณครับพี่กิ่ง ผมกำลังจะกลับบ้านครับ..ครับ..สวัสดีครับ”
ฤชวีเดินออกไปอีกทางแต่สายตายังไม่วายมองไปทางที่พิมภาเดินไป แต่ก็ไม่มีร่างของพิมภาอยู่แล้ว
ในเวลากลางคืน พิมภาเปิดประตูเข้ามา แล้วหยิบกรอบรูปออกจากถุงเดินไปวัดกับผนัง นันทิกานต์ตามเข้ามามองอย่างสนใจแล้วชะงัก
“รูปอะไรเหรอพิม เฮ้ย...”
นันทิกานต์กรอบรูปใบทะเบียนสมรสที่มีลายเซ็นของพิมภาเพียงคนเดียว กรอบบานนั้น ไม่ได้ใส่กระจกแต่อย่างไร
“มุมนี้ดีไหม” พิมภาถาม
“ไอ้พิม แกเอาทะเบียนสมรสไปใส่กรอบทำไม”
พิมภาขยับเอากรอบรูปแขวนอย่างเรียบร้อยแล้วบอก
“ก็ของที่ระลึกไง แขวนไว้เตือนตัวเองว่าครั้งหนึ่งฉันเคยโง่แค่ไหน”
“จะดีเหรอพิม แล้วถ้ามีใครมาเที่ยวที่ห้อง พ่อแม่มาเห็นแล้วไม่แสลงใจเหรอแก”
“ไม่หรอก ผิดเป็นครูไงแกแหม ไอ้เรื่องที่เกิดเนี่ย ไม่มีใครรู้เลยเนอะ”
นันทิกานต์พูดต่อ แถมยกบทกลอนขึ้นมาว่าต่างหาก
“เหมือนคำที่มีผู้สอนว่า...
ตนเตือนตนของตนให้พ้นผิด
ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน
อย่าแชเชือนเตือนตนให้พ้นภัย ...แบบนี้ใช่มะ”
พิมภาเหล่มองนันทิกานต์แล้วบอก
“เชื่อไหมแนน ถ้ามองแกแค่ที่หนังหน้า ฉันคงไม่คิดว่าแกจะมีความรู้รอบตัวนี้นะ”
นันทิกานต์รีบรับมุก
“เพราะดูสวย”
“ติงต๊องต่างหาก”
นันทิกานต์สีหน้าเซ็งบอก
“ชมเพื่อนหน่อยก็ไม่ได้”
พิมภาโอบไหล่นันทิกานต์ยืนมองใบทะเบียนแล้วพูดขึ้น
“ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน”
“อย่าแชเชือน เตือนตนให้พ้นภัย”
“ทำงานกันดีกว่าเนอะ”
“ไหนว่าจะกินข้าวไงไอ้พิม”
พิมภาลากนันทิกานต์ไปที่กองเอกสารที่วางอยู่ที่โต๊ะรับแขก เพื่อนซี้พยายามยื้อสุดชีวิตแต่ไม่เป็นผล
“ไอ้พิม”
ในเวลาเดียวกัน บนคอนโดฯของเอกพล เขายืนคุยมือถืออยู่ที่ระเบียง
“ผมโทรตามบัญชีบริษัทคุณตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครรับเรื่องให้ ผมต้องการค่าจ้างงวดสุดท้ายภายในสองวัน”
เสียงมือถือโดนตัดสายดัง ตู๊ด ๆ ๆ เอกพลหัวเสียกระแทกประตูดัง ปัง!
“โธ่เว้ย”
ปราสินีเดินถือผลไม้ที่ปอกแล้วมาให้ถึงกับสะดุ้ง
“พี่เอกคะ ผลไม้ค่ะ”
เอกพลมองปราสินีแล้วยิ่งอารมณ์เสีย มือปัดจานผลไม้ทิ้ง
“ไม่กิน”
ปราสินีตกใจ ตามมากอดจากด้านหลัง
“ยังทวงเงินจากบริษัทเก่าไม่ได้ใช่ไหมคะ”
เอกพลผลักปราสินีออก
“ก็ใช่น่ะสิ แล้วเงินที่ฉันมีก็หมดไปกับค่างานแต่งงานแล้ว เพราะความโง่ของเธอแท้ๆ ถ้าไม่แหกปากขึ้นมา ป่านนี้ฉันก็ได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาของบริษัทนารีแล้ว ค่าตอบแทนเป็นล้าน หายวับเพราะผู้หญิงโง่ๆ”
“แต่ปลารักพี่เอกนะคะ”
“รักแล้วจนจะทำอะไรได้หะ เป็นแค่หางแมวคิดจะไปงัดกับหัวเสืออย่างพิมภา แล้วก็กระเด็นออกมาจากบริษัท โง่ซ้ำโง่ซาก! กลับไปเลยไป”
ปราสินีพยายามจะเข้าไปกอด แต่เอกพลผลักออกอีก
“พี่เอก”
“ออกไป ไป๊”
ปราสินีมือกำแน่น น้ำตาร่วง ร้องไห้อย่างเจ็บปวด เอกพลมองอย่างหัวเสียแล้วเดินเข้าห้องนอนไป
“นังพิม นังพิม ฉันต้องชนะแกให้ได้”
ภายในห้อง พิมภาใช้มะเขือเทศพอกหน้า นันทิกานต์หน้าก็โบ๊ะด้วยแตงกวาจนเต็มใบหน้า พิมภานั่งอ่านเอกสารด้วยสีหน้าจริงจัง นันทิกานต์นั่งเงกมือถือปากกาอยู่กับกองเอกสารเหมือนกัน ตาปรือจะหลับเพราะความง่วงพิมภาเอาหมอนอิงปาใส่ตัว นันทิกานต์สะดุ้งตื่น
“ไอ้พิม ฉันง่วงจะตายอยู่แล้ว ให้ฉันนอนเถอะนะ ๆ”
“ไม่ได้! จนกว่าแกทำลำดับสรุปการประเมินพื้นที่ที่ขายเครื่องสำอางค์นารีไล่ตามเขต ตั้งแต่สูงสุดยันต่ำสุดเสร็จ ภายในสองอาทิตย์นี้ฉันจะลงสำรวจตลาด จะได้วางแผนสู้กับยัยลัลถูก”
“แต่”
“ไม่มีแต่...แกมองเป้าหมายให้สูงไว้สิแนน ถ้าได้ย้ายไปญี่ปุ่น ได้ขึ้นเงินเดือน ได้ตำแหน่ง สวยเก่งเริ่ดอย่างเราเท่านั้นที่คู่ควร”
นันทิกานต์พูดอย่างรู้ทัน
“แกมีเหตุผลอื่นนอกจาก เหตุผลว่าคุณค่าที่แกคู่ควรใช่มะ”
พิมภานิ่งไป แล้วยื่นมือออก
“ขอมือหน่อย”
นันทิกานต์วางมือบนมือพิมภา ลิ้นห้อยหอบใส่
“เว้ย ไอ้พิมเพื่อนนะไม่ใช่หมา”
“ก็แกทำตัวแสนรู้นักนี่”
“หรือไม่จริง”
พิมภาอ้ำๆ อึ้งๆ เสียงมือถือพิมภาดัง กดรับ
“อยู่บ้านแล้วค่ะพ่อ อยู่กับแนนค่ะ ทำงานกันอยู่ค่ะ... แนน พ่ออยากได้ยินเสียงแก”
นันทิกานต์น้ำเสียงร่าเริงทักทาย
“สวัสดีค่าคุณพ่อ”
พิมภาคุยสายต่อ
“พ่อจ๋า เดี๋ยวพิมทำงานต่อนะ ค่า..สวัสดีค่ะพ่อ”
พิมภากดวางสาย นันทิกานต์ถาม
“เดี๋ยวนี้ถึงขั้นขอซาวน์เช็กบรรยากาศรอบตัวแกเลยเหรอ”
“อืม...ตั้งแต่มีเรื่องน่ะแหล่ะ ฉันรู้นะว่าพ่อกับแม่รักแล้วก็ห่วงฉัน แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้ ไอ้แนนเอ๊ย..ตอนฉันเห็นว่าพ่อแม่ร้องไห้เพราะฉันนะ ฉันสาบานกับตัวเองว่า จะไม่มีวันทำให้เขาต้องเสียใจแบบนี้อีก”
“แกคิดถูกแล้ว พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ในบ้าน แกทำน้ำตาเขาหยดหนึ่งแหมะ ตายลงนรกก่อนแน่แก เพราะอย่างนี้ใช่ไหมแกถึงคิดจะเอางานมากู้ความสบายใจของพ่อแม่”
“กู้หน้าฉันเองด้วย..หาความสำเร็จมาทดแทนความผิดพลาด...แกก็ต้องจริงจังกับงานกว่านี้นะแนน ตำแหน่งหน้าที่มันก็เหมือนกระเป๋าแบรนด์เนมประดับตัวไว้ให้เรา แต่มันดีกว่าที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ ใช้สมองกับสองมือแลกมา”
“และดูฉลาดกว่า แล้วแกประดับไว้ให้ใครดูล่ะพิม”
“ใครก็ได้ที่มองเข้ามา พ่อแม่พี่น้อง เพื่อน เจ้านายและก็คู่แข่ง”
“ชีวิตแกไม่ใช่เรียลลิตี้ไม่ต้องสร้างภาพยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ได้ มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อชิงดีชิงเด่นกับผู้อื่น แต่เกิดมาเพื่อสร้างบุญสั่งสมบารมี”
“สาธุ”
“ฉันว่าแกลองไปปฏิบัติธรรมสักเจ็ดวันกับฉันดีไหม เผื่อแกจะพบสัจธรรม”
“ได้ แต่หลังจากที่ฉันได้เป็นผู้จัดการสาขาที่ญี่ปุ่นก่อนนะ รีบทำงาน!ฉันมีเวลาอีกสิบนาทีเพื่อนอนให้ครบตามเวลา หน้าจะได้เด้งสู้ยัยลัลได้”
นันทิกานต์ดีดนิ้วอย่างเซ็ง
“หลอกล่อไม่สำเร็จแหะ”
นันทิกานต์จำต้องหันไปทำงานต่อ เช่นเดียวกับพิมภานั่งอ่านเอกสารอย่างตั้งใจ
เช้าวันใหม่ที่หน้าบริษัทฯ รถของพิมภากับลัลนาเข้ามาจอดต่อกันเอี๊ยด ๆ ! พิมภากับลัลนาก้าวลงมาจากรถอย่างสวยๆ ตามเคย ทุกคนจับตามอง นันทิกานต์เดินตามหลังทั้งคู่มา
ลัลนาก้าวเดินทันพิมภา
“สวยนะ เก่งด้วย”
พิมภายิ้มหยิ่งตอบ
“แน่นอน”
“เก่งให้ตลอดนะจ๊ะ” ลัลนาจิกยิ้มร้าย ๆ แล้วเดินแซงหน้าพิมภาไป
พิมภาชะงักมองตาม นันทิกานต์ที่ก้าวมาทันรีบเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“มีอะไรเหรอพิม”
“ก็ยัยลัล..ดูยิ้มมั่นใจแปลก ๆ”
พิมภาพูดแล้วตัดสินใจเดินไปเปิดประตูเข้าไปในบริษัท พนักงานรออยู่ ซูซี่ถลาเข้ามาพร้อมมงกุฎดอกไม้ มีผ้าสีขาวเย็บติด คล้ายที่เจ้าสาวเขาใส่ในงานกัน ซูซี่จะพุ่งไปสวมให้พิมภา
“สวัสดีจ๊ะ พิม”
พิมภาจับมือซูซี่ยั้งไว้
“จะทำอะไรพี่ซูซี่”
ลัลนาเข้ามาแล้วพูดขึ้น
“ก็ของขวัญวันแต่งงานของพิมไงจ๊ะ ฉันว่าจะเอาไปให้แล้วลืม ให้แสดงความยินดีที่พิมแต่งงานไง”
พิมภามองลัลนาด้วยสายตาแค้น ลัลนายิ้มเยาะ เสียงฮือฮาของคนในออฟฟิศ ทำให้พิมภากับนันทิกานต์ต้องหันไปทางจอทีวีในบริษัท บนจอทีวีเป็นคลิปที่เหมียวกับเอกพลกอดรัดฟัดเหวี่ยง
พิมภากับนันทิกานต์ตกใจว่ามาได้ยังไง แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ภาพก็เปลี่ยนเป็นในงานแต่ง ปราสินีตะโกนว่าผัวฉันต่างหาก แล้วปราสินีกับเหมียวก็รุมตบ และจบลงที่หน้าพิมภาที่ยืนอึ้งอยู่บนเวที
ทุกคนหันมองพิมภาเป็นตาเดียว ลัลนาพูดขึ้นอย่างสะใจ
“โถ ๆ ๆ เสียใจด้วยนะจ๊ะพิม ที่กลายเป็นเจ้าสาววิวาห์ล่ม”
พิมภาหันไปทางลัลนาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“ตอบแทนเรื่องเมื่อวานนะจ๊ะพิม นี่ใครเอาคลิปนี้มาเปิดเนี่ย ไม่คิดถึงถึงจิตใจพิมเขาบ้างเลย” ลัลนาว่า
“แค่เพื่อนแย่งว่าที่สามีก็แย่แล้ว อย่าทำร้ายจิตใจเขาแบบนี้สิ” ซูซี่บอก
“พี่ซูซี่รีบไปปิดทีวีสิคะ ลัลสมเพช...เอ๊ย..สงสารพิมน่ะ”
พิมภากำหมัดแน่น นันทิกานต์จับแขนพิมภาไว้อย่างเตือนสติ
พิมภายิ้มบอก
“ขอบใจนะจ๊ะลัลที่หวังดี เธอน่ารักจนฉันอยากจะกอด”
ลัลนาไม่ทันตั้งตัว พิมภาที่โผเข้ากอดก็หมัดตรงใส่หน้าลัลนาจนหน้าหงายลงไปนอน
“ว้าย! น้องพิมทำร้ายน้องลัล” ซูซี่ว่า
นันทิกานต์โอบและบีบไหล่ซูซี่จนหน้าแหย
“อย่ากล่าวหากันสิพี่ซูซี่ พิมเขาแค่จะยืดเส้น ลัลก็ไม่น่าเอาหน้าเข้ารับเลย”
“ตายแล้ว ขอโทษนะลัล ฉันไม่ระวัง”
พิมภาไม่เข้าไปดู แต่มองอย่างสะใจ
“ว่างแล้วค่อยมากอดกันอีกนะลัลนะ”
พิมภาเดินเชิดไป ซูซี่บอก
“ท่านประธานกลับจากญี่ปุ่นเมื่อไหร่ พี่จะฟ้อง”
นันทิกานต์ตบหน้าซูซี่
“แนน ตบพี่ทำไม”
“ตบให้ฟ้องไง จะได้โดนไล่ออกทั้งสี่คนเลย เอามะ” นันทิกานต์ง้างมือจะตบอีก
“ไม่จ๊ะ ไม่ ทุกคนห้ามพูดเรื่องนี้นะ ไม่งั้นโดนแน่”
ซูซี่หันไปบอกเพื่อนพนักงานคนอื่นๆ ก่อนจะรีบเข้าไปประคองลัลนา
“น้องลัลอย่าเพิ่งตายนะ น้องลัล”
ทุกคนขยับเข้ามารุมดูสภาพลัลนาอย่างสนใจ
พิมภาก้าวฉับ ๆ เข้ามาที่หน้าลิฟท์ มีพนักงานยืนรอลิฟท์อยู่บางส่วน ทุกคนหันมองพิมภาแล้วก็ขยับเข้าซุบซิบกัน พิมภายืนรอลิฟท์อย่างใจเย็นที่สุด
พนักงานคนหนึ่งบอก
“สุดยอดเลยนะ งานแต่งล่มขนาดนั้นยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
พนักงานอีกคนว่า
“เป็นฉันนะ คงอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เนอะ”
“ระดับผู้จัดการยังโดนหลอกได้ แย่ว่ะ”
พิมภาเจ็บมากที่โดนเมาท์ระยะเผาขน กำลังจะหันไป เสียงของนันทิกานต์ก็ดังขึ้น
“ โดนหลอกได้...แล้วยังไล่คนออกได้ด้วยนะ”
พวกพนักงานสะดุ้งหันไปตามเสียง
“ปากยื่นปากยาวระวังจะโดนตัดอนาคตไม่รู้ตัวนะ”
พนักงานทั้งสองคนพากันเดินหนีเลี่ยงกันออกไปเลย
“พิม”
ลิฟท์เปิด พิมภาเดินเข้าลิฟท์ นันทิกานต์จะตามแต่เธอยกมือห้ามไว้
“ฉันอยากอยู่คนเดียว”
นันทิกานต์ไม่เซ้าซี้ ยืนมองจนลิฟท์ปิดแล้วถอนหายใจด้วยความสงสารเพื่อน
ภายในห้องทำงาน พิมภาจับหมอนขึ้นมาวางบนโต๊ะ เอากระดาษกางวางแล้วก้มหน้ากรี๊ดอย่างเจ็บใจเจ็บปวดที่สุด จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอาหมอนออก ดึงแฟ้มงานมาวางตรงหน้าเปิดทำงานแทนอย่างพยายามจะเข้มแข็ง
นาฬิกาในบ้านเป็นเวลาห้าโมงเย็น ฤชวีนั่งพิมพ์นิยายอยู่ เขาพิมพ์ไปพูดไป และเว้นช่วงคิด
“ภูวดลตัดสินใจคว้ากุญแจรถแล้วก้าวออกไปจากห้อง … แล้วต้องไปต่อที่ ผับ...หน้าผับ”
มิ้นท์เดินแบกกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาจากบ้าน
“มิ้นท์ ช่วยอธิบายบรรยากาศในผับให้พี่ฟังหน่อยสิ พี่จะมีฉากพระเอกไปเจอนางเอกในผับ คิดไม่ออกน่ะ”
“มิ้นท์รีบน่ะพี่ ต้องไปถ่ายโฆษณาต่างจังหวัง ต้องรีบไปขึ้นรถตู้แล้ว”
“ช่วยพี่แป๊บเดียว”
“ไม่ทันแล้วพี่ เอางี้ถัดไปอีกสามซอยจากบ้านเรามีผับอยู่ พี่ลองเข้าไปเที่ยวสิ ไปดูบรรยากาศของจริงเลย มิ้นท์ไปก่อนนะพี่”
“เดี๋ยวสิมิ้นท์”
มิ้นท์โบกมือแล้วรีบออกไปโดยไม่ฟังเสียงพี่ชาย เขาหันมาสนใจหน้าโน้ตบุ๊ก
“เสิร์ชกูเกิ้ลก็ได้”
ฤชวีเปิดหน้าอินเตอร์เน็ต พยายามกดหาข้อมูล
เวลาเย็น พิมภาทิ้งตัวเอนไปกับเก้าอี้บิดขี้เกียจอย่างเซ็ง ๆ นันทิกานต์เดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารมาวางตรงหน้า
“ลำดับยอดขายของพื้นที่ต่างๆ ฉันทำเสร็จแล้ว”
“เก่งมาก เพื่อน อย่างนี้ต้องให้รางวัล ชาบูมื้อเย็นดีไหม”
“ไม่ได้หรอกวันนี้ฉันมีนัดเลี้ยงรุ่นเพื่อนสมัยประถม”
“ไม่ไปสักปีก็ไม่เป็นไรมั้ง”
“ไม่ได้หรอก มีเพื่อนจะแจกการ์ดงานแต่ง ปีนี้มันคงฤกษ์ดีมาก แต่งกันจัง ตั้งแต่แก เพื่อนประถมฉันตั้งเป็นสิบคนเลยนะ ...ฉันขอโทษว่ะพิม”
นันทกานต์พูดแล้วก็ชะงัก
“ไม่เป็นไร แกไปเหอะ พรุ่งนี้ค่อยกินก็ได้”
นันทิกานต์จำต้องเดินออกไป พิมภาเก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้านอย่างเซ็งๆ
พิมภาเดินออกมาจากลิฟท์ ตรงไปยังล็อบบี้บริษัทก็ชะงักที่เห็นลัลนากับซูซี่แต่งตัวสวยเริ่ดเดินมา พิมภาตัดสินใจเดินไปอีกทาง
“พิมจ๊ะ ไปเที่ยวกันไหม ฉลองที่เป็นโสดอีกครั้งไง” ลัลนาบอก
“จริงด้วยจ๊ะ โสดแบบไม่ได้ตั้งใจ จะทำยังไงหนูไม่ได้ตั้งใจโสด” ซูซี่ว่า
พิมภาสีหน้าอย่างโหดถาม
“อยากทำจมูกใหม่ใช่ไหม”
ลัลนาชะงักมือจับจมูกอย่างระวังแล้วขยับมาด้านหลังซูซี่ เอาเป็นเกราะป้องกัน
“พี่ว่า”
“เพื่อนเล่นเหรอ” พิมภาถามเสียงเหี้ยม
ซูซี่ชะงักบอก
“เอ่อ..เปล่า”
“ไม่สนิทอย่าเล่น”
“จ๊ะ”
พิมภาเดินเชิด ๆไป ลัลนาพูดขึ้น
“พี่ซูซี่ไปยอมมันทำไม ไม่สู้มันล่ะ”
“ก็พี่ไม่อยากโดนต่อยเหมือนลัลนี่ ดีนะที่ไม่เบี้ยวน่ะ”
“หึ..ลัลจะเอาเรื่องแต่งงานเนี่ยทิ่มแทงจนยัยพิมมันทำงานไม่ได้เลย คอยดู”
บริเวณซอยทางลัดกลับคอนโดฯ พิมภาทุบพวงมาลัยอย่างแค้นๆ
“เมื่อไหร่มันจะหยุดพูดกันซะที”
ว่าแล้ว พิมภากรี๊ดอย่างอัดอั้น พิมภาออกรถขับออกไป
“ไอ้เอกพล เจออีกทีจะต่อยให้ตาแตกเลย เครียด ๆ ๆ”
พิมภาต้องชะลอรถเพราะมีหนุ่มสาวที่จะข้ามถนนไปหน้าผับไปอีกฝั่งหนึ่ง
เสียงดนตรีดังมาจากผับ พิมภาหันมองคิด ๆ
“ต้องคลายเครียดซะแล้ว”
พิมภาตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าผับทันที
ฤชวีง้างมือเหนือคีย์บอร์ดโน้ตบุ๊ก ง้างแล้วพิมพ์แล้วก็หงุดหงิดว่าไม่ใช่ กดลบแล้วพิมพ์ใหม่
“บรรยากาศหน้าผับ เสียงดนตรี แล้ว แล้วอะไรต่อหว่า”
ฤชวีคิดเครียดจนทนไม่ไหวตัดสินใจปิดโน้ตบุ๊กทันที
“ให้มันเห็นๆ กันไป”
ฤชวีคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกจากบ้านไป
คุณสามี(กำมะลอ)ที่รัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
ภายในผับแห่งนั้น บาร์เทนเดอร์วางแก้วนมลงตรงหน้า พิมภาหยิบมาดื่มอั๊ก ๆๆ ๆ แล้ววาง
“เอามาอีก”
บาร์เทนเดอร์หยิบแก้วมาแล้วมองพิมภาอย่างงงๆ พนักงานอีกคนวิ่งถือนมขวดลิตรเข้ามายื่นให้บาร์เทนเดอร์
“นี่มันนมขวดลิตรขวดที่สามแล้วน่ะพี่ ผู้หญิงคนนั้นบ้าหรือเปล่าพี่ มานั่งกินนมในผับ”
“พอพี่ถามว่าเอากามิกาเซ่ไหม ตาขวางใส่พี่ด้วยว่ะ ท่าจะไม่ปกติ” บาร์เทนเดอร์ว่า
“เอาไงล่ะพี่”
“ก็เทนมไปเสิร์ฟสิวะ ดีเหมือนกันคิดนมขวดไม่กี่สิบ คิดแก้วเป็นร้อย อยากบ้าก็ให้บ้า”
บาร์เทนเดอร์เทนมแล้วเอาไปวางตรงหน้าพิมภาอีก
พิมภาหยิบดื่มด้วยท่าทางเซ็งมาก ผู้ชาย 2 คนที่กำลังดื่มอยู่ในร้านมองพิมภาอย่างสนใจ
ชายคนนหึ่งถามกับบาร์เทนเดอร์
“น้อง ผู้หญิงคนนั้นมากับใคร”
“คนเดียวพี่ สงสัยอกหัก ซัดนมไปสามลิตรแล้ว”
ชายทั้งสองคนมองหน้าสบตากันยิ้มๆ อย่างพอใจ จากนั้นก็เดินเข้ามานั่งขนาบข้างพิมภา
“สวัสดีครับ” ชายคนที่หนึ่งเริ่มต้นทักทาย
พิมภาหันไปมองอย่างไม่พอใจแล้วถาม
“คุณเป็นใคร”
“ก็เห็นคุณน่ารักดี ก็อยากเป็นเพื่อน”
“แต่ฉันไม่อยาก...”
ชายคนที่สองเห็นกระเป๋าพิมภาแขวนอยู่ที่พนักเก้าอี้ก็แอบดึงให้หล่น
“คุณครับ อันนั้นกระเป๋าคุณหรือเปล่า”
พิมภาหันมองตามแล้วตกใจที่เห็นกระเป๋าตัวเองตก จึงรีบก้มลงไปเก็บ ชายคนแรกรีบหยดยาลงในแก้วนมของพิมภาทันที
“ในร้านมันไม่มีที่แล้ว ผมกับเพื่อนขอนั่งตรงนี้นะครับ” ชายคนที่หนึ่งบอก
พิมภามองไปรอบๆร้านก็เห็นว่าจริง
“ตามสบาย”
พิมภาไม่สนใจหยิบแก้วนมตัวเองขึ้นมาดื่มชายทั้งสองคนมองอย่างพอใจมาก
ฤชวีเดินเข้ามาที่หน้าผับและตัดสินใจเดินเข้าไปด้านใน
ฤชวีเข้ามาด้านในแล้วตรงไปนั่งที่หน้าบาร์เทนเดอร์ ตรงข้ามกับที่พิมภานั่งอยู่
พิมภาเริ่มงงๆ เบลอ เพราะยาเริ่มออกฤทธิ์
“คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่า”
พิมภาอ้อแอ้ ลิ้นเริ่มพันกัน
“ไม่ ไม่เป็นไร”
ชายคนที่สองพูดกับชายคนที่หนึ่ง
“ยาออกฤทธิ์แล้วเว้ย...ชนกันหน่อยไหมครับ”
“ชน..ชนสิ ชน” พิมภาว่า
พิมภาชนแก้วกับแก้วชายคนที่สองแต่แก้วหลุดมือหล่นลงที่โต๊ะ
“เปียกหมดเลย ชุดฉัน”
ชายทั้งสองคนพยายามเข้าประคองพิมภา
“เดี๋ยวผมพาไปเปลี่ยนเสื้อนะ ไปกันไป”
“ไปไหน..ไม่ไป”
ฤชวีมองไปรอบๆ แล้วสายตามาหยุดที่พิมภากับชายสองคน ฤชวียืนมองด้านหลังของพิมภาที่ยืนโวยวายอย่างสนใจ บาร์เทนเดอร์กับพนักงานยืนอยู่ตรงหน้าฤชวี
“เฮ้ย..เมานมจืดก็ได้ว่ะ” บาร์เทนเดอร์ว่า
“เมานมหรือเมายาพี่ ผมเห็นไอ้สองคนนั้นมันใส่อะไรในแก้วผู้หญิงก็ไม่รู้”
ฤชวีหันไปมองอีกที เห็นชายทั้งสองคนเข้าประกบประคองพิมภาออกไปที่ประตู แล้วใบหน้าก็เผยให้เขาเห็นอย่างชัดเจนว่า เป็นพิมภา
“ซากุระ” ฤชวีหยิบเงินวางแล้วรีบตามออกไปทันที
ฤชวีวิ่งตามออกมาแต่ไม่เห็นพิมภา เขามองซ้ายมองขวาแล้วตัดสินใจวิ่งไปทางซ้าย ครั้นผ่านซอยด้านซ้ายก็เห็นพิมภายืนโงนเงนอยู่ก็ชะงัก ฤชวีวิ่งเข้าไปแล้วก็ยิ่งต้องชะงักหนักที่เห็นว่าชายทั้งสองคนนอนสลบเหมือดอยู่กับพื้น แต่ยังไม่ทันได้พิจารณาเสียงพิมภาก็ดัง
“ง่วงนอน จะกลับบ้าน”
พอพิมภาพูดจบก็ร่วงลงกับพื้นทันที ฤชวีตกใจรีบเข้าไปรับไว้แล้วพยายามเรียก
“คุณ..คุณ”
“ง่วง จะกลับบ้าน”
“ครับ ๆ แล้วบ้านคุณอยู่ที่ไหน”
พิมภาชี้มั่วบอก
“อยู่ที่โน้น”
ฤชวีหนักใจ
“เอาไงล่ะเนี่ย”
ฤชวีมองที่กระเป๋าพิมภา แล้วตัดสินใจเปิดกระเป๋าเห็นกุญแจรถกับกระเป๋าที่มีคีย์การ์ด หน้าคีย์การ์ดมีบอกสถานที่ชื่อคอนโดอยู่ ฤชวีมองๆ แล้วตัดสินใจ
ในเวลาต่อมา ฤชวีประคองพิมภาเข้ามาในห้อง พิมภาทิ้งตัวลงนอนกับพื้น
“คุณ..ไปนอนที่เตียงสิ คุณ”
ฤชวีประคองพิมภาขึ้นมา แต่พิมภาดิ้นจนฤชวีสะดุดล้มไปนอนหงายกับพื้น พิมภาลืมตาขึ้นมองเขา ทั้งคู่ประสานสายตากัน ฤชวีชะงักทำอะไรไม่ถูก พิมภาค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้เหมือนจะจูบ ฤชวีเคลิ้มมองนิ่งไม่ปัดป้อง
เช้าวันใหม่ พิมภานอนหงายหลับอยู่บนเตียงก่อนขยับพลิกตัว มือของเธอทาบลงบนอกของฤชวี พิมภาขยับมือลูบ ๆ อย่างแปลกใจนิดหน่อย
“ทำไมหมอนมันร้อนๆ เนี่ย”
พิมภายหลับตา ยกขาก่าย แต่ขมวดคิ้วแล้ว
“ทำไมบนนุ่มล่างแข็งล่ะเนี่ย”
พิมภาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ก็เห็นว่า มือของเธอวางอยู่คืออกของผู้ชาย พิมภาตาโต
“หืม”
พิมภาตกใจมองไล่ไปด้านล่างเห็นว่าขาตัวเองก่ายอยู่บนตัวฤชวี
“เฮ้ย”
ฤชวีพลิกหน้าหันมาแล้วลืมตาอย่างงัวเงียเห็นสายตาพิมภาที่จ้องอยู่ ทันใดนั้นพิมภาแหกปากร้องลั่น
“ว๊าก”
พิมภาผุดลุกขึ้นทันทีแล้วกระโจนลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว
“แก แกเป็นใคร”
ปากพิมภาพูดแต่มือคว้าของทั่วห้องปาใส่ฤชวี
“โจรใช่ไหม โจร”
พิมภาพูดปุ๊บก็วิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าเปิดแล้วหยิบไม้เบสบอลออกมา
“แกตาย”
ฤชวีรับไม้ไว้ได้และพยายามอธิบาย
“ใจเย็นๆ ฟังผมก่อน”
“ตายเถอะแก”
พิมภาใช้ไม้ไม่ได้ ก็เตะก้านคอฤชวีจนหงายหลังตกเตียง
“ตาย ๆ ๆ”
พิมภาใช้ไม้ตามฟาด ๆ ๆ ฤชวีกลิ้งหลบ ๆ ๆแล้วรีบลุกกระโดดข้ามเตียงไปอีกฝั่ง
“ผมไม่ใช่โจร”
พิมภาหันมาเตรียมจะพุ่งเข้ามาอีก แต่ฤชวีตะโกน
“ผมเป็นสามีคุณ”
พิมภาที่เงื้อไม้ชะงักกลางอากาศ
“แกว่าอะไรนะ”
“ผมเป็นสามีของคุณ”
พิมภาช็อก
พิมภามองฤชวีอย่างมีไมตรี
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉันไว้”
“ยินดีครับ ถ้าไม่เป็นอะไรแล้ว คุณไปล้างตัวดีไหมครับ เปื้อนทรายหมดแล้ว”
“ค่ะ”
พิมภาจะลุกแต่เกิดอาการเจ็บจี้ดที่ขาเพราะยังเป็นตะคริวอยู่
“โอ้ย!”
พิมภาต้องนั่งลงอย่างเดิมแล้วจับน่องซ้ายที่เจ็บ
“คุณพิมเป็นอะไรครับ” ฤชวีถามอย่างเป็นห่วง
“น่องเป็นตะคริวน่ะค่ะ เจ็บ”
ฤชวีจะจับขาแต่ชะงัก มองซ้ายมองขวา พิมภามองอย่างงงๆ ว่าฤชวีมองหาอะไร ฤชวีมองไปตรงจุดที่พิมภาวางผ้าขนหนูกับโทรศัพท์ไว้แล้วฤชวีก็รีบวิ่งไปหยิบผ้าขนหนูมา พิมภามองงงๆ ฤชวีวิ่งกลับมานั่งที่ปลายขาของพิมภา
“ผมขออนุญาตนะครับ”
ฤชวีใช้ผ้าผืนเล็กนั้นคลุมที่เท้าพิมภาแล้วจับขาพิมภาขึ้นมาวางบนขาของตัวเอง
“คุณจะทำอะไร”
“ทนเจ็บหน่อยนะครับ”
ฤชวีใช้ผ้าขนหนูที่คลุมขาจับขาข้างที่เป็นตะคริวเหยียดออกและค่อยๆ ยกเท้าขึ้น แล้วดันปลายเท้าเข้าหาตัวของพิมภาต่อจากนั้นจึงนวดบริเวณน่องอย่างเบาๆ
“ดีขึ้นไหมครับ”
“ค่ะ”
“ลองลุกนะครับ”
พิมภาลองลุกแต่ไม่ค่อยถนัดนักจึงจะล้ม ฤชวีเข้าประคอง สองคนหน้าใกล้กัน ฤชวีหน้าแดง ฤชวีตัดสินใจวางพิมภาลงนั่งที่พื้นเหมือนเดิม
“คุณคงเดินเองไม่ไหวแน่ รอสักครู่นะครับ”
ฤชวีรีบวิ่งไป พิมภามองตามอย่างแปลกใจว่าให้รออะไร
ส่วนที่บริษัทนารี ซูซี่อยู่ที่ห้องทำงานลัลนาและกำลังรายงานอย่างคล่องปรื๋อ ขณะที่มือของลัลนายังนั่งจัดวางเอกสารตรงหน้า
“พี่รอตั้งแต่เจ็ดโมงไม่เห็นน้องพิมมาที่ออฟฟิศเลยค่ะ มีแต่ยัยแนนมาทำงานคนเดียว”
“คงจะอายจนไม่กล้าโผล่หน้ามา นึกว่าจะแน่”
“น้องลัลคะ มุมมันเบี้ยวนิดหน่อยก็ช่างเถอะค่ะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ พี่ก็รู้ว่าทุกอย่างสำหรับลัลต้อง...”
“เป๊ะเวอร์” ลัลนากับซูซี่พูดออกมาพร้อมกัน
“พี่เข้าใจค่ะ แต่จะว่าไปผู้หญิงคิดดีอย่างพี่ก็เห็นใจน้องพิมเหมือนนะ งานแต่งล่มขนาดนั้น”
“พี่คิดจะเข้าข้างยัยพิมใช่ไหม ถ้างั้นน้ำหอมจากปารีส กระเป๋าจากอิตาลีที่ลัลจะให้พี่ ลัลคงต้องให้คนอื่น”
“ว้ายย พี่ต้องอยู่ข้างเดียวกับน้องลัลอยู่แล้วค่ะ”
“ศัตรู ใจอ่อนให้มีแต่จะเหยียบเราให้จมดิน คนอย่างลัลฆ่าได้แพ้ไม่ได้ แต่คนอย่างยัยพิมไม่กล้าหยุดงานโดยไม่ลาหรอก พี่ไปสืบมาทีว่ายัยพิมส่งใบลาหรือเปล่า”
“จ๊ะ”
ซูซี่รีบออกไป แววตาลัลนาดูกร้าวไม่ยอมแพ้
พิมภายังอยู่ที่ชายหาดหน้ารีสอร์ท เธอพยายามจะลุกแต่ขายังเจ็บจนต้องลงไปนั่งอีก
“คุณพิมครับ” พิมภาหันไป ฤชวีเดินเข้ามาพร้อมกับพนักงานโรงแรมผู้หญิงตรงเข้ามาที่พิมภาที่นั่งอยู่ “ช่วยประคองคุณผู้หญิงไปที่ห้องพักทีนะ” ฤชวีบอกกับพนักงาน
“ค่ะ”
พนักงานเข้าประคองพิมภา พิมภามองฤชวีอย่างทึ่งนิดๆ พนักงานประคองพิมภาเดินกลับไปที่รีสอร์ท โดยมีฤชวีเก็บของพิมภาตามมาด้านหลัง
ฤชวีเปิดประตูห้องแล้วหลีกทางให้พนักงานประคองพิมภาเข้ามาในห้อง ฤชวีวางโทรศัพท์กับคีย์การ์ดไว้ที่โต๊ะ
“โทรศัพท์กับคีย์การ์ด ผมวางไว้ตรงนี้นะครับ...ช่วยดูแลคุณผู้หญิงจนเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเรียบร้อยด้วยนะ” ฤชวีบอกพนักงาน
“ไม่ต้องหรอกค่ะ อีกสักเดี๋ยวคงจะดีขึ้น...ไปทำงานเถอะจ๊ะ”
“ค่ะ”
พนักงานจะไป
“เดี๋ยวครับ” พนักงานหันมาฤชวีส่งแบงค์ร้อยให้พนักงาน “ขอบคุณนะ” พนักงานยิ้มดีใจรับเงินแล้วออกไป “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ”
ฤชวีหันมายิ้มกับพิมภา พิมภามองหน้าฤชวี
“เดี๋ยวค่ะ คือ ฉันคุ้นๆ หน้าคุณ เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าคะ”
“เราเคยเจอกันที่เชียงใหม่”
คำตอบนี้ทำให้พิมภานึกถึงวันที่เจอกับฤชวี...เกี๊ยะพุ่งเข้าปะทะหน้าผากฤชวี โป๊ก ฤชวีผงะเซถอยหลัง
“โอ้ย”
พิมภากับนันทิกานต์วิ่งเข้ามา
“คิดจะขโมยกระเป๋าฉันเหรอ ไอ้เลว” ฤชวีเริ่มตั้งสติได้
“เดี๋ยวๆ ผมไม่ใช่ขโมย” พิมภาเห็นฤชวีถอยหลัง
“ยังๆ ยังคิดจะหนี”
พิมภาขยับชุดตัวเอง แล้วเหวี่ยงเตะเข้าเป้าฤชวี ปึ้ก
“โอ๊ก” ฤชวีจุกทรุดพยายามยกมือห้าม “ผมไม่ใช่ขโมย”
พิมภามีสีหน้าตกใจเมื่อจำฤชวีได้
“คุณขโมย เอ๊ย คุณนั่นเอง คราวที่แล้วฉันต้องขอโทษจริงๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณเข้าใจผิด ผมเข้าใจ”
“ต้องขอบคุณอีกครั้งนะคะ คุณฤทธิ์ เอ่อ” พิมภาชะงักเพราะจำชื่อฤชวีไม่ได้
“เรียกผมว่าต้นก็ได้ครับ”
“ค่ะ คุณต้น”
ฤชวียิ้มแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูในห้องน้ำมาส่งให้
“เอาคลุมตัวก่อนนะครับ ผมอยู่ในห้องนี้นานแล้ว คงไม่เหมาะ ขอตัวก่อนนะครับ”
ฤชวียิ้มแล้วเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูให้ด้วย พิมภามองตามอย่างใช้ความคิด
นันทิกานต์นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ เดียกับฤทธิ์รีบเข้ามาหานันทิกานต์
“พี่แนน พี่พิมเป็นยังไงบ้างพี่”
“หนักเหรอพี่ ถึงกับไม่มาทำงานเลย”
“พิมไม่ได้เป็นอะไร แค่พักร้อนน่ะ ไม่กี่วันก็กลับ”
“คิดแล้วเจ็บใจแทนพี่พิม เดียนะอยากจะกระโดดคิกยอดหน้าไอ้พี่เอกจริงๆ ผู้ชายสุดเลว”
“ไอ้ผู้ชายน่ะไม่เท่าไหร่หรอกเดีย ผู้หญิงนี่สิ”
ฤทธิ์ชะงัก ทุกคนมองตามฤทธิ์เห็นปราสินีเดินเข้ามาที่โต๊ะทำงานตัวเอง ซูซี่จะมาสืบข่าวเห็นก็รีบขยับมาแอบดู
“เพื่อนทำร้ายเพื่อน เลวกว่าเยอะ”
“ต้องเรียกว่าไม่รู้คุณคนนะ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่พิมช่วย โดนไล่ออกไปนานแล้ว”
“หุบปากไปเลย” ปราสินีบอกอย่างไม่พอใจ เดียหันขวับ
“ไม่หุบ มีอะไรไหม”
“ยัยเดีย”
“เปลี่ยนสรรพนามจิกหัวกันขนาดนี้ แอ็ปไม่ไหวแล้วใช่ไหม”
“แก”
“พอได้แล้ว เดีย ฤทธิ์ ไปทำงานไป” นันทิกานต์บอก ปราสินีจึงคิดว่านันทิกานต์เข้าข้างเธอ
“อย่าลามปามให้มันมากนัก”
นันทิกานต์มองปราสินีตากร้าวแต่ปากพูดกับเดีย ฤทธิ์
“เอาปากไปถากกับขี้เรื้อน เดี๋ยวเกลื้อนมันจะติดปาก”
”แนน ฉันเพื่อนเธอนะ”
นันทิกานต์มองปราสินีอย่างเซ็งๆ
“ฉันไม่เข้าใจความคิดคนสมัยนี้จริง ๆ ทำชั่วแล้วหวังจะเหมือนเดิม สมองคงไม่มีสำนึกเลยใช่ไหม” นันทิกานต์ มองหัวปราสินีจรดเท้า “ทุเรศว่ะ”
“มากไปแล้ว” ปราสินีจะก้าวเข้าหา นันทิกานต์ไม่หลบ
“อย่าคะน้องๆ อยู่ฝูงเดียวกันอย่ากัดกันเลยนะคะ” ซูซี่ร้องห้ามแต่หัวเราะชอบใจ
“ถ้าพี่ยังไม่เลิกเห่า แนนจะปิดปาก” นันทิกานต์บอกกับซูซี่พร้อมกับกดหมัดโชว์ “ให้ดีไหมคะ”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ” ซูซี่รีบบอก นันทิกานต์เดินเชิดๆ ไปนั่งทำงาน “น้องปลา หนาดีจริงๆ นะคะ ยังมีหน้ามาทำงานได้อีก”
ปราสินีหันขวับมามองหน้าซูซี่
“ถ้าพี่ไม่อยากโดนถอนหงอก ขอบอกว่าหุบปากจะดีกว่า”
ปราสินีเดินสะบัดหน้าออกไป
“นี่ฉันไม่มีผมหงอกนะยะ ฉันยังไม่แก่ นี่”
เดียกับฤทธิ์เดินเข้าหา ซูซี่ถอย
“หนวกหู”
ซูซี่ถอยๆ แล้วรีบออกไป เดียกับฤทธิ์หันไปเห็นนันทิกานต์นั่งหน้าเซ็งสุดขีด
ฤชวีเดินกลับมาที่โต๊ะที่วางโน้ตบุ๊ค ฤชวีนั่งลงด้วยสีหน้าครึ้มอกครึ้มใจมากแต่ทันทีที่ฤชวีลงนั่งก็ชะงักเมื่อเห็นชุติภากำลังเดินอยู่ด้านในโดยมีผู้จัดการเดินนำชุติภา
“คุณย่า”
ชุติภามองออกมาที่ริมสระน้ำ ฤชวีก้มหน้าฟุบกับโต๊ะโดยใช้โน้ตบุ๊คบังไว้ ชุติภาชะงักมองอย่างสนใจแต่ยังไม่ทันพิจารณา
“เย็นนี้คุณหญิงจะให้จัดอาหารที่ห้องรับรองสักกี่โมงครับ”
“ฉันไปทานที่ห้องอาหารดีกว่า แล้วช่วยแจ้งให้ทางเลขาท่านผู้ว่าส่งกำหนดการของงานให้ฉันด้วยนะ”
“ครับ”
ฤชวีหมอบอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊คสีหน้าทุกข์ร้อนมาก
“เป็นคุณย่าจริงๆ ด้วย ทำไมมิ้นท์ถึงไม่โทรมาเตือนก่อนนะ” ฤชวีนึกได้ก็ควานมือเข้าไปในกระเป๋าใส่ของตัวเอง แต่ไม่เจอ “โทรศัพท์ไม่อยู่ อยู่ที่ห้องแน่ๆ”
ฤชวีเหลือบมองเห็นว่าชุติภากำลังจะเดินไปอีกทาง ฤชวีรีบยกโน้ตบุ๊คกับกระเป๋าแล้วจะรีบกลับไปที่ห้อง ฤชวีรีบเดินมาที่ทางเดินเดียวกับทางที่ชุติภาเดินไป
“แล้วห้องอาหารของที่นี่ไปทางไหน” ชุติภาสอบถามพนักงาน
“ก็เดินย้อนกลับทางเดินครับ”
พนักงานชี้ไปด้านหลัง ชุติภาหันตาม ฤชวีตกใจที่เห็นชุติภาหันกลับมารีบยกโน้ตบุ๊คบังหน้าทันที ชุติภาชะงัก
ฤชวีเห็นว่าจวนตัว รีบเดินหลบเลี้ยวไปอีกทางทันที ชุติภารีบเดินกลับมาด้วยความสงสัย ชุติภารีบเดินมาหยุดตรงจุดที่ฤชวีเลี้ยวมาแล้วมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นฤชวีแล้ว ผู้จัดการรีบตามมา
“มีอะไรเหรอครับคุณหญิง”
“เหมือนจะเห็นคนรู้จักน่ะ”
ชุติภามองอีกรอบแล้วเดินกลับไปทางเดิม ผู้จัดการรีบตามไป ฤชวีแอบดูอยู่โผล่ออกมาอย่างโล่งใจแล้วรีบเดินไป
ฤชวีเดินเข้ามาหาโทรศัพท์ในห้องแต่ไม่มี ฤชวีมองออกไปที่ระเบียงแล้วรีบเดินออกไปเห็นว่าโทรศัพท์วางอยู่ที่โต๊ะ ฤชวีหยิบขึ้นมากดดู
“มิสคอลสองร้อยสาย”
ทันใดนั้นเสียงมือถือดังขึ้น ฤชวีมองที่หน้าจอ
“มิ้นท์” ฤชวีรีบกดรับ “ฮัลโหล”
สภาพมิ้นท์อดนอนสุดๆ มือเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าโวยวายด้วยความโมโห
“พี่ต้น ทำไมไม่รับสาย มิ้นท์โทรจนโมโหแล้วนะเนี่ย”
“โทษทีพี่ลืมโทรศัพท์ไว้ นี่มิ้นท์พี่...”
“คุณย่ารู้ว่าพี่กลับมาแล้ว /พี่เจอคุณย่า”
ทั้งคู่พูดออกมาพร้อมกันแล้วต่างคนก็ต่างตกใจ
“หะ”
“คุณย่ารู้ได้ยังไง / พี่เจอคุณย่าที่ไหน”
“เดี๋ยวนะมิ้นท์ฟังพี่ มิ้นท์บอกพี่มาก่อนว่าคุณย่ารู้ได้ยังไงว่าพี่กลับมา”
“คุณย่ามาที่บ้านน่ะสิ แล้วจอมสแกนขั้นเทพอย่างคุณย่ามีความลับได้ที่ไหน เดินสแกนทั่วบ้านเลยนี่มิ้นท์ต้องพังโทรศัพท์ตัวเองไม่งั้นคุณย่าได้เบอร์ใหม่พี่ไปแล้ว ทีนี้พี่ว่าเจอคุณย่าใช่ไหม อื้อหือประเทศไทยมันแคบหรือพี่ดวงตก อุตส่าห์ไปตั้งไกลยังไปเจอกันได้ แล้วท่านว่ายังไง”
“ยังไม่เจอจังๆ แต่พี่ว่าท่านก็สงสัยอยู่”
“ถ้าคุณย่าสงสัยคงสั่งค้นโรงแรมตามหาตัวพี่แน่ พี่ใช้ชื่อตัวเองจองห้องหรือเปล่า”
“เปล่า ใช้ชื่อเพื่อนของกิ่งน่ะ”
“งั้นพี่รีบเช็กเอาท์ แล้วขึ้นเครื่องกลับมาเลย”
“ตอนนี้พี่ยังกลับไม่ได้”
“ทำไมล่ะพี่ อยากโดนจับกลับบ้านปทุม เจอยุทธการจับแต่งงานของคุณย่าหรือไง จะบอกให้นะพี่ว่าคราวก่อนที่มิ้นท์ไปบ้านปทุม รูปผู้หญิงที่คุณย่าจัดมาดูตัวกับพี่วางเป็นตั้งเลย”
“พี่กลับไม่ได้เพราะเจอคุณพิมน่ะสิ”
“คุณพิม ครึ่งนึงของชีวิตพี่น่ะเหรอ”
“ใช่ พี่ไม่อยากทิ้งโอกาส”
“พี่จะเดินหน้าเหรอ”
“อืม”
“โหย ฤาษีต้นจะออกจากถ้ำ งั้นก็รักต้องสู้เลยพี่ มิ้นท์เชียร์ขาดใจ ระวังตัวหน่อยนะพี่ ถ้าคุณย่ารู้ คุณพิมของพี่เละเป็นโจ๊กแน่”
“พี่รู้ เราก็ระวังตัวนะ คุณย่าไม่รามือแน่”
“อย่างมิ้นท์เป็นประเภท หัวแข็งจนย่าระอาอยู่แล้ว ง้างปากมิ้นท์ไม่สำเร็จหรอก พี่กลับมาก็หาที่อยู่ใหม่ก่อนนะ”
“โทษทีนะทำให้มิ้นท์ต้องเดือนร้อนไปด้วย”
“พี่น้องต้องช่วยกันอยู่แล้ว มีเรื่องด่วนก็ติดต่อเบอร์ใหม่นะพี่ มิ้นท์จะเปลี่ยนเบอร์เลย แล้วจะส่งแมสเสจไปบอก แค่นี้นะพี่รีบเก็บของ”
“โอเค”
“พี่ต้น พี่ต้องจีบคุณพิมให้ติดนะ อย่าให้พลาด มิ้นท์อยากมีพี่สะใภ้”
“จะพยายาม”
ฤชวีกดวางสาย แล้วมองออกไปนอกระเบียง สีหน้ามีความสุขมาก
ชุติภายืนอยู่ในห้องรับรอง ผู้จัดการเข้ามารายงาน
“ผมเช็กรายชื่อแขกทั้งหมดแล้วไม่มีแขกที่ชื่อฤชวี วงศ์บริบูรณ์เลยครับแล้วก็ไม่มีแขกที่นามสกุลวงศ์บริบูรณ์เข้าพักไม่ว่าจะชายหรือหญิงครับ”
ชุติภาหันกลับมา
“ขอบใจมาก”
ผู้จัดการออกไป ชุติมาสายตากร้าว
“หรือว่าเราจะมองผิด” มือถือของชุติภาดังขึ้น “มีรายชื่อตาต้นนั่งเครื่องมาที่นี่ใช่ไหม” ชุติภาฟังแล้วสายตากร้าว ชุติภาวางสาย “คิดจะหลบหน้าย่า ไอ้หลานหัวดื้อ”
ทางด้านพิมภาหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้แสร็จแล้วเธอก็คุยโทรศัพท์กับผู้เป็นพ่อ
“ค่ะพ่อ พิมสบายดีค่ะ ก็กำลังจะไปทานข้าวเย็นค่ะพ่อ แล้วเรื่องงานเรียบร้อยไหมคะพ่อ อีกสักสามสี่วันพิมก็กลับแล้วค่ะ”
เสียงกริ่งหน้าห้องดังพิมภาเดินไปดูที่ช่องตาแมว แล้วเปิดประตู ฤชวียืนอยู่ที่หน้าห้อง
“พ่อคะ เดี๋ยวสักสองทุ่ม พิมโทรกลับไปหานะคะ พิมไปทานข้าวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” พิมภาวางสายแล้วถามฤชวี “ว่ายังไงคะคุณต้น”
“ผมแวะมาถามดูว่าขาคุณเป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง”
“ครับ แล้วคุณพิมทานข้าวหรือยังครับ”
“กำลังจะไปทานค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น...”
“คุณต้นไปทานด้วยกันไหมคะ” พิมภาถามขึ้นก่อนที่ฤชวีจะพูดจบทำให้ฤชวีถึงกับชะงัก “ถือซะว่าไถ่โทษที่ฉันเคยตีเข่าใส่คุณแล้วก็ขอบคุณที่คุณช่วยฉันวันนี้ ตกลงไหมคะ”
“ด้วยความยินดีครับ”
ฤชวียิ้มอย่างดีใจ พิมภามองฤชวีที่ดูรอยยิ้มจริงใจมากเธอจึงยิ้มตอบ
พนักงานเดินนำฤชวีกับพิมภาเข้ามาที่โต๊ะอาหาร ระหว่างอยู่ในห้องอาหารฤชวีมองซ้ายมองขวาอย่างระแวงจนพิมภาสังเกตเห็น
“คุณต้นเป็นอะไรหรือเปล่าคะ เห็นมองซ้ายมองขวาอยู่นานแล้ว”
“อ๋อ ผมมองไปเรื่อยเปื่อยน่ะครับ ทานอะไรดีครับ”
“เอาต้มยำทะเล ปลากะพงทอดราดน้ำปลา คุณต้นล่ะคะจะทานอะไร”
“ผัดผัก ยำทะเลรวมมิตร...ข้าวสวยไหมครับ” ฤชวีถามพิมภา
“ค่ะ”
บริกรออกไป
“คุณพิม สบายดีนะครับ”
“ฉันไม่ได้ออกกำลังซะนาน พอหักโหมก็เลยเป็นเรื่อง”
“ไม่ใช่เรื่องขาครับ ผมหมายถึงเรื่องงาน เอ่อ...” ฤชวีชะงัก
“งานเหรอคะ”
“เอ่อ...” ฤชวีนึกได้ว่าไม่ควรพูดเรื่องงานแต่งของเธอ ฤชวีจึงเปลี่ยนเรื่อง “งานที่คุณพิมทำน่ะครับ คุณพิมทำงานอะไรครับ”
“ฉันเป็นแบรนด์เมเนเจอร์ บริษัทเครื่องสำอางนารีน่ะค่ะ คุณต้นล่ะคะ”
“ผมเป็นนักเขียนครับ เขียนหนังสือนวนิยายน่ะครับ ใช้นามปากกาว่าฤชวี”
“วันหลังพิมจะลองหามาอ่านนะคะว่าสนุกมากไหม นี่คุณต้นมาเที่ยวคนเดียวเหรอคะ”
“เรียกว่ามาหาที่สงบๆ ทำงานจะตรงกว่าครับ”
“กรุงเทพฯไม่สงบเหรอคะถึงต้องมาไกลขนาดนี้”
“ถ้าเอาเหตุผลตามจริง คุณพิมอย่าขำผมนะครับ ผมหนีคุณย่ามาน่ะครับ”
“หนี”
“ก็ ถ้าตามพล็อตนิยาย ผู้ใหญ่ก็มักจะพยายามจับลูกหลานแต่งงาน เมื่อเขาคิดว่าถึงเวลาน่ะครับ”
“สมัยนี้ยังมีคลุมถุงชนอีกเหรอคะ พิมว่าถ้าคุยด้วยเหตุผลท่านน่าจะเข้าใจนะคะ”
“คุณย่าของผมไม่เหมือนใครครับ ถ้าท่านต้องการให้เราทำอะไรเราก็ต้องทำตาม ถ้าไม่ทำท่านก็จะมีวิธีที่ทำให้เราต้องยอมตามใจท่านอยู่ดี แล้วยิ่งไม้ตายของท่านทำให้ผมพูดไม่ออกทุกที”
“เป็นยังไงคะ ไม้ตายของท่าน”
ฤชวีจะพูดแล้วชะงักเมื่อเห็นชุติภากำลังเดินมาที่ทางเข้าห้องอาหาร ฤชวีตกใจรีบหลบลงไปใต้โต๊ะ พิมภางงๆ
“คุณต้น หาอะไรเหรอคะ”
“ผมหา เอ่อ...”
ชุติภาเดินมาทางโต๊ะของฤชวีแล้วนั่งห่างไปสักสองสามโต๊ะ
“ฉันนั่งโต๊ะนี้ก็แล้วกัน”
ชุติภาบอกกับพนักงาน ฤชวีตกใจแอบมองเห็นชุติภานั่งห่างออกกไปแค่ไม่กี่โต๊ะ
“คุณ”
ฤชวีรีบยกนิ้วปิดปากพิมภาว่าอย่าพูด พิมภาชะงัก ฤชวีพยายามขยับมาใกล้พิมภาที่สุดแล้วพยายามพูดกับพิมภา
“คุณพิมครับ จำเรื่องคุณย่าของผมได้ไหม”
“ค่ะ”
“ท่านอยู่ที่นี่”
พิมภาชะงักแล้วมองหาจนไปเจอชุติภาที่สบตามาพอดี
“ที่นั่งถัดจากเราไปสามโต๊ะเหรอคะ” พิมภามองชุติภาที่ดูดุดัน พิมภาเข้าใจเลยว่าทำไมฤชวีเกรงใจนัก “แล้วจะทำยังไงคะ”
“ครับ ผมต้องออกไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นท่านต้องเจอตัวผมแน่ๆ”
“แต่ท่านนั่งอยู่แถวทางเดิน แล้วหันหน้ามาทางเราแค่คุณลุกขึ้นท่านก็เห็นแล้ว”
“ยังไงผมก็ให้ท่านเห็นผมตอนนี้ไม่ได้” สีหน้าฤชวีดูร้อนใจมาก พิมภามองฤชวี แล้วมองชุติภาอย่างใช้ความคิด
“ฉันมีวิธี แต่คุณจะลองไหม”
ฤชวีมองพิมภาอย่างมีความหวัง
“ครับ”
“น้ำส้มคั้นแก้วนึงนะ” พิมภาเรียกบริกร ฤชวีมองงงๆ “ถ้าฉันเรียกความสนใจจากย่าคุณไว้ คุณต้องรีบออกไปเลยนะ” พิมภาบอกฤชวี
“ครับ แล้วคุณจะทำยังไงล่ะครับ”
“เชื่อมือฉันเถอะน่า” พิมภาส่งผ้าคลุมไหล่ให้ฤชวี เอาไว้บังหน้าตอนเดินค่ะ”
พิมภามีสีหน้ามั่นใจมาก
พนักงานห้องอาหารเข้ามาหยิบแก้วน้ำส้มวางบนถาดจากนั้นก็ถือถาดมาตามทางเดินพิมภาจับตามองอยู่หันมาหาฤชวี
“พร้อมนะคะ”
ฤชวีพยักหน้า พิมภาลุกขึ้นทันที พิมภาเดินตรงไปที่พนักงานที่ถือถาดกะจังหวะว่าถาดน้ำส้มอยู่ใกล้กับชุติภาพอดี
“ขอโทษนะคะ”
พิมภาพึมพำออกมาเบาๆ แล้วเดินกระแทกพนักงานอย่างแรงจนน้ำส้มบนถาดหกใส่ชุติภาที่นั่งอยู่เต็มไหล่ซ้ายของชุติภา
พิมภาเองก็ตกใจ ฤชวีมองอย่างตกใจอึ้งทึ่งมาก
“อะไรกันเนี่ย” ชุติภาลุกขึ้นหันมาทางพิมภา
“ขอโทษค่ะ ฉันผิดเองคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” พิมภาบอกเสียงดัง ชุติภาหันมาใส่พิมภา
“เดินภาษาอะไรกัน ที่ตั้งกว้างชนยังชนพนักงานได้ ไม่มีตาหรือไง”
“ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ พอดีขามันอ่อนกะทันหัน” พิมภาพูดไปขยับไปจนชุติภาต้องหมุนตามกลายเป็นหันหลังให้ทางฤชวี
“ขาหล่อนมันปวกเปียกมากหรือไง”
“ค่ะ ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ” พิมภาส่งสายตาให้ฤชวีรีบออกไป “ฉันรีบไปหน่อยน่ะค่ะ รีบไป”
ฤชวีลุกขึ้นจะเดินออก
“พูดอะไรของหล่อน รีบไปอะไร”
“ฉันหมายถึงฉันจะรีบไปห้องน้ำน่ะค่ะ ฉันปวดท้องมาก”
“ถ้ารีบขนาดนั้นก็ไปซะสิ”
ชุติภาจะหันกลับไปนั่ง เป็นจังหวะที่ฤชวีกำลังจะผ่านพอดี พิมภาจึงรีบดึงชุติภาให้หันกลับมา
“คุณย่าคะ ขอฉันดูหน่อยนะคะว่าเปียกมากไหม”
พิมภาพยายามยื้อชุติภาไว้ ฤชวีถือผ้าทำเป็นเช็ดๆ ปิดๆ หน้าแล้วเดินออกไป ชุติภาสะบัดมือจากพิมภาแต่พิมภายังดึงไว้
“นี่ ปล่อยฉันนะ หล่อนจะดึงฉันไว้ทำไม ปล่อย”
พิมภาเห็นฤชวีออกไปแล้วถึงปล่อย แล้วยกมือไหว้
“ขอโทษนะคะคุณย่า ดิฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
“อย่ามาเรียกฉันสนิทสนม ฉันไม่ได้เป็นญาติหล่อน”
“ค่ะ ขอโทษค่ะ ถ้ายังไงดิฉันขอจ่ายค่าซักแห้งให้นะคะ ถือว่าเป็นการขอโทษ”
“ไม่จำเป็น เปลี่ยนเป็นสั่งสอนตัวเองให้หัดระมัดระวังมากกว่านี้ จะได้ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน หย่อนการอบรมจริงๆ” ชุติภาสะบัดเสียงใส่
“ประทานโทษนะคะคุณย่า ดิฉันซุ่มซ่ามนะคะไม่ได้ฆ่าคนตาย ดิฉันผิดดิฉันยอมรับและหวังว่าจะได้เห็นความเมตตาจากผู้ใหญ่เพื่อจะอภัยในความผิดครั้งนี้ เมตตากรุณาคุณย่าพอจะให้ได้ไหมคะ”
“นี่ หล่อน”
“ขอประทานโทษอีกครั้ง ดิฉันไม่ได้เป็นคนรับใช้หรือลูกหลานของท่านที่จะใช้น้ำเสียงและสรรพนามจิกกันขนาดนี้ ไม่ต้องเมตตากรุณาก็ได้ค่ะแต่ก็โปรดให้เกียรติผู้อื่นบ้างนะคะ” ชุติภายิ่งโกรธจัด “ถ้าคุณไม่ต้องการการชดใช้จากดิฉัน ดิฉันก็ขอตัวนะคะ” พิสภายกมือไหว้อีกครั้ง “ขอโทษอีกครั้งนะคะสำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น”
พิมภาเดินออกไป ชุติภามองตามแววตาวาวโรจน์แค้นมาก
คุณสามี(กำมะลอ)ที่รัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
พิมภาเดินมาตามทาง เจอฤชวีที่หลบอยู่ออกมา
“คุณต้น”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรตรงนี้เลยครับ รีบกลับไปที่ห้องดีกว่า”
ฤชวีรีบเดินนำไป พิมภาเดินตาม
พิมภาเปิดประตูห้องเข้ามา ฤชวีรีบเข้ามา
“ในนี้คงปลอดภัยแล้ว ขอโทษนะครับที่ทำให้คุณพิมต้องพลอยลำบากไปด้วย”
“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงต้องเกรงย่าคุณขนาดนี้ ถ้าจิตอ่อนหน่อยคงร้องไห้ไปแล้ว”
“เป็นครั้งแรกในชีวิตผมนะครับที่เห็นคนกล้าพูดกับคุณย่าแบบนั้น”
“ขอโทษนะคะ ที่ก้าวร้าวกับคุณย่าของคุณ ที่จริงกะว่าจะให้มันตกตรงพื้นแถวที่ย่าคุณนั่งแต่ฉันเล็งผิด ลงเต็มไหล่ย่าคุณเลย”
“ผมผิดเองครับทำให้คุณพิมต้องทำแบบนั้นเพื่อช่วยผม หิวไหมครับ มัวแต่ยุ่งเรื่องของผมคุณเลยยังไม่ได้ทานข้าว เราออกไปทานนอกรีสอร์ทดีไหมครับ”
“อย่าเลยค่ะ ออกไปก็หวาดระแวงเปล่าๆ สั่งมาทานที่ห้องดีกว่า”
“แต่อยู่ในห้องสองต่อสองแบบนี้ ผมไม่อยากให้คนมองคุณพิมไม่ดี”
“ฉันไม่ใช่เซเลบไม่ใช่ดารา แต่ฉันเป็นคนธรรมดาที่หิวข้าวมาก โอเคไหมคะ”
“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวผมจะโทรสั่งให้เขาเอาอาหารมาให้เร็วที่สุดเลยครับ”
ฤชวีรีบไปที่โทรศัพท์ยกสายแล้วสั่งอาหารทันที พิมภามองฤชวีขำๆ ว่าแปลกดี
บ้านพิมภาที่จันทบุรี พิมมาลานั่งดูพลอยอย่างพินิจ ภัทรพลเดินเข้ามาส่งแบบสร้อยสองสามแบบให้พิมมาลา
“แบบสร้อยที่จะส่งให้คุณนายท่านดูครับแม่”
“ดีเลยจะได้รีบเอาไปให้ท่านตัดสินใจ”
“แล้วนี่พ่อไปไหนล่ะแม่ ไม่มาโทรตามไอ้พิมแล้วเหรอ”
“มีคนเอาพระเครื่องมาให้ดู นั่งส่องอยู่ข้างนอกโน่น” พิมมาลาบอกแต่สายตามองแบบสร้อยอย่างพินิจ “สวยดีนะ ออกแบบสร้อยให้เจ้าสาวคนอื่นมาตั้งหลายคนแล้ว เมื่อไหร่จะออกแบบให้เจ้าสาวของตัวเองบ้างล่ะภัทร”
“ใกล้แล้วล่ะครับแม่” ภัทรพลบอกยิ้มๆ
“จริงเหรอไอ้ภัทร เจอสาวในฝันแล้วเหรอ เป็นใคร อยู่ที่ไหน ให้พ่อไปขอเลยไหม สินสอดเท่าไหร่ดีแม่” ภานุวัฒน์ถามอย่างตื่นเต้น
“สองล้านเป็นไง”
“โอ้ย พ่อ แม่ เพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่วันเอง ใจเย็นๆ”
“ก็กลัวเดี๋ยวแกเปลี่ยนใจ”
พิมมาลาเดินเข้าไปจ้องหน้าภัทรพล
“จ้องกันขนาดนี้สิงเลยไหมแม่”
“แม่ว่าคนนี้ตาภัทรจริงจัง ตาเป็นประกายขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้ต้องสวยแบ๊ว อกสามสิบหกใช่ไหม”
“ใช่”
“งั้น ถ้าจีบคนนี้ติดแม่โอนมรดกให้ก่อนเลยครึ่งนึง”
“แค่จีบติด ยังไม่แต่งใช่ไหมแม่”
“ใช่ ถ้าได้แต่งแม่จะเจียดส่วนของพิมให้แก พิเศษกว่านั้นมีลูกปุ๊บ ส่วนที่พ่อเก็บไว้เที่ยวรอบโลกตอนแก่ก็ยกให้แกหมด”
“ช่าย เย่ย แม่จ๊ะนั่นมันส่วนของพ่อนะ”
พิมมาลาหันขวับมาเสียงดุ
“อยากนามสกุลด้วนหรือไงพ่อ”
ภาณุวัฒน์คิดๆ แล้วตัดใจ
“ก็ได้ ยกให้เลย”
“งั้น...สู้เว้ยย”
“ถ้างั้นเรารีบไปส่งแบบกันเถอะพ่อจะได้มีมรดกไว้รับขวัญหลาน”
“ยังไม่ได้แต่งเลยแม่”
“ก็รีบสิวะ หรือถ้าไม่มีปัญญาปรึกษาพ่อก็ได้ เพราะคนไม่แน่จริงไม่ได้แม่แกมาครองหรอก”
“พ่อ”
“ขอคุยนิดเดียวเอง...รีบไปกันเถอะจ๊ะแม่”
“อย่าลืมนะภัทร ได้เมียได้มรดกนะลูก”
ภัทรพลมองตามขำๆ
“ต้องได้เมีย ต้องได้เมีย”
ภัทรพลบอกตัวเอง
ฤชวีกับพิมภารวบช้อนเมื่อทานอาหารเสร็จ พิมภายกแก้วน้ำดื่ม ฤชวีมองเคลิ้มๆ พิมภาวางแก้วเห็นฤชวีตาลอยๆ มองมาทางตัวเองก็มองตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติ พิมภาเอามือโบกตรงหน้าฤชวี ฤชวีรู้สึกตัว
“ครับ มีอะไรเหรอครับคุณพิม”
“ก็เห็นคุณต้นเหม่อๆ”
“อ๋อ ผมคิดอะไรเพลินๆ น่ะครับ คุณพิมจะอยู่ที่นี่อีกกี่วันครับ”
“เอ่อ ฉัน” พิมภาชะงัก
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่สะดวกจะตอบผมเข้าใจว่าเราเพิ่งพบกัน จะให้ไว้ใจกันก็คงยาก”
“ขอบคุณค่ะที่เข้าใจ”
“ครับ งั้นผมขอตัวกลับห้องก่อนนะครับ คุณพิมจะได้พักผ่อน”
“ค่ะ”
พิมภาเดินไปส่งฤชวีที่ประตูห้อง พิมภายืนยิ้ม ฤชวีก็ยืนยิ้ม พิมภาเห็นฤชวียังไม่ไปสักทีจึงถามขึ้นมา
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ พรุ่งนี้ไปเดินเล่นตลาดเช้ากันไหมครับ”
“ก็ได้ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมมารับคุณพิมตอนหกโมงครึ่ง ตื่นไหวไหมครับ”
“สบายมากค่ะ”
“งั้นเจอกันตอนเช้านะครับ”
“ค่ะ”
ฤชวียิ้มดีใจแล้วยอมเดินไป พิมภามองตามยิ้มๆ
นันทิกานต์มีท่าตื่นเต้นขณะคุยโทรศัพท์กับพิมภา
“พรหมลิขิตแล้วแก เจอกันสองครั้งต่างเวลา ต่างสถานที่ แถมมาเป็นฮีโร่ช่วยแกไม่ให้จมน้ำอีก มันไม่ใช่ความบังเอิญแล้ว”
“เยอะไปแล้ว มันฟลุ๊คหรอกน่ะ”
“เขาชื่อแปลกดีนะ อะไรฤทธิ์ๆ นะ”
“ฤชวี”
“แหม จำแม่นเชียวนะ”
“ก็ชื่อแปลกๆ ก็เลยจำได้”
“ขอนึกก่อนนะ จำได้ว่าเขาตัวเตี้ย ขี้เหร่ๆ หน่อยใช่ป่ะ”
“ไม่นะ คุณต้นเขาสูงขาว หน้าตาเขาก็ดีนะ”
“แหมๆๆ ชมขนาดนี้ ติดใจแล้วล่ะซี้”
“บ้า ก็เห็นว่าเขาดูเป็นสุภาพบุรุษดี ไม่ฉวยโอกาส น่าไว้ใจ”
“น่าไว้ใจ หรือว่าน่ามอบใจให้ยะ”
“เวอร์แล้ว เวอร์ ฉันไม่ได้ชอบใครง่ายๆ อย่างที่แกคิดนะยะ”
“ฉันรู้ ก็แซวเล่นน่ะ ได้รู้จักคนดีๆ เพิ่มก็ดี ดีกว่าเจอคนเลวนี่จริงไหม”
“อืม”
“คืนนี้แกก็มากส์หน้าสักหน่อย ตอนเช้าเจอคุณต้นหน้าจะได้สวยใส”
“ไร้สาระ ทำไมฉันต้องทำสวยเพื่อคนที่เพิ่งรู้จักด้วย กับพี่เอกฉันยังไม่เคยทำขนาดนั้นเลย...พรุ่งนี้สิบโมงเช้า ฉันกลับมาเปิดเมล์ต้อง เจอเมมโมของแกนะไม่งั้นฉันกลับไปแกหูชาแน่” พิมภาเปลี่ยนเรื่อง นันทิกานต์เหวอ รีบทำเนียน
“อะไรนะพิม แกพูดอะไรนะ พิม ฉันไม่ได้ยินเลย ไม่มีคลื่นเลยน่ะ ฮัลโหล ฮัลโหล” นันทิกานต์รีบกดวางสาย
“ยัยแนน ยัยแนน มุกวางสายเอาตัวรอดอีกแล้วนะ” พิมภาวางมือถือไว้บนโต๊ะ มองอย่างหมั่นเขี้ยว “ก็แค่คนเพิ่งรู้จัก ไร้สาระจริงๆ”
พิมภาคิดๆ แล้วเดินไปที่ตู้เย็นหยิบกล่องแผ่นมาสก์หน้า พิมภาหยิบมาที่หน้ากระจกแล้วจะเอามาทาบหน้าก่อนจะชะงักเล็กน้อย
“คนอย่างพิมภาสวยเพื่อตัวเอง ไม่ได้สวยเพื่อใคร จบป่ะ”
พิมภาพยักหน้ากับตัวเอง เอามากส์วางที่หน้าตัวเองแล้วลงนอนหลังแก้ต่างกับตัวเองอย่างสบายใจ
ส่วนฤชวีเมื่อกลับเข้ามาที่ห้องพัก ฤชวีเดินไปที่ระเบียงเปิดประตูมองออกไปภายนอกสีหน้ามีความสุขมาก
“พรุ่งนี้นะครับ คุณพิม ผมจะไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านไป” เสียงมือถือฤชวีดัง ฤชวีหยิบมาดูเป็นชื่อกิ่งแก้ว ฤชวีกดรับ “ว่ายังไงกิ่ง โทรมาซะดึกเชียว”
กิ่งแก้วอยู่ที่สำนักพิมพ์ท่าทางเดือดเนื้อร้อนใจมาก
“ต้น ต้นต้องรีบกลับมาด่วนเลยนะ”
“มีเรื่องอะไรเหรอกิ่ง”
“คุณย่าชุติภาโทรมาหากิ่ง แล้วคุณย่าก็บังคับให้กิ่งบอกเรื่องต้น”
“แล้ว...”
“กิ่งขอโทษ”
ฤชวีอึ้ง เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ฤชวีหันมองหน้าเสีย
เช้าวันรุ่งขึ้นเสียงมือถือปลุกดังมาก พิมภาลืมตาแล้วเด้งตัวตื่นขึ้นมาดูเวลา
“ตีห้าครึ่ง”
พิมภารีบเลือกเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วรีบออกมาแต่งหน้าที่หน้ากระจก พิมภาแต่งตัวสวยพร้อมแล้วสำรวจตัวเองในกระจกอีกครั้ง
“เบาๆ แต่ก็โอนะ” พิมภาหยิบมือถือขึ้นมามอง “หกโมงครึ่งพอดีเป๊ะ”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น พิมภาดีใจลุกขึ้นแล้วนึกได้เก็บกิริยาแล้วเดินไปเปิดประตู
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณ...”
พิมภาเปิดประตูออกมาแล้วอึ้งที่เห็นพนักงาน
“คุณพิมภาใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
“คุณต้นฝากของมาให้คุณครับ”
พนักงานส่งดอกลิลลี่สีขาวถูกจัดเข้าช่อเล็กๆ ดูน่ารัก ส่งให้พร้อมกับการ์ดหนึ่งใบ
“ขอบใจนะ”
พนักงานออกไป พิมภาปิดประตูเปิดการ์ดออกอ่าน
“ผมขอโทษที่ต้องผิดนัดคุณพิม แต่ผมมีเรื่องด่วนต้องรีบกลับกรุงเทพตั้งแต่กลางดึกผมอยากมาลาคุณแต่กลัวจะเป็นการรบกวน ผมจึงฝากการ์ดนี้ไว้พร้อมกับเบอร์ติดต่อของผมไว้ด้านหลังการ์ดใบนี้ ด้วยหวังว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง ฤชวี”
พิมภามองการ์ดในมือ พลางมองดอกไม้อย่างเซ็ง ๆ
“เอาไงดีล่ะพิมภา คนอย่างพิมภาเดินหน้าแล้วไม่มีวันถอยหลัง”
พิมภาวางการ์ดกับดอกไม้ไว้บนเตียง แล้วจัดการคว้าชุดวิ่ง เดินเข้าไปที่ห้องน้ำ
พิมภากำลังจะเดินออกไปวิ่งที่ชายหาด แต่ชะงักเพราะเสียงชุติภา
“หมายความว่ายังไงหาไม่เจอ หาทั่วหรือยัง”
“ทั่วแล้วครับ แต่ตอนที่เราไปถึงคุณฤชวีก็ไม่อยู่ที่ห้องแล้วครับ”
“ช้าไปอีกแล้วเหรอเนี่ย”
พิมภามองชุติภาถึงเข้าใจ
“มิน่าคุณต้นถึงต้องรีบไป”
ชุติภาหันมาสบตากับพิมภา พิมภายกมือไหว้ยิ้มๆ ชุติภามองอย่างไม่ชอบหน้า สะบัดหน้าไปอีกทาง
พิมภาชินไม่คิดมากเดินออกไปที่ชายหาด
ฤชวีทิ้งตัวลงที่โซฟาในห้องทำงานกิ่งแก้ว ฤชวีหยิบมือถือขึ้นมาดูด้วยความหวังแต่ไม่มีมิสคอลฤชวีถึงกับเซ็ง
“ขอโทษนะต้น กิ่งทำให้ต้นต้องผิดนัดกับคุณพิม เสียดายจัง”
“ไม่เป็นไรหรอก ต้นฝากเบอร์ไว้กับเขาแล้ว ถ้ามันเป็นพรหมลิขิตจริงๆ คุณพิมก็น่าจะโทรมา”
“เฮ้อ แต่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนขนาดนี้มันจะเหนื่อยไปไหมต้น กิ่งว่าคุยกับคุณย่าดีๆ ท่านอาจจะยอมรามือจากต้นบ้างนะ ก็ขนาดต้นจะไปเรียนเมืองนอกท่านค้านสุดตัวแต่สุดท้ายท่านก็ยอมไม่ใช่เหรอ”
“ที่ยอมเพราะว่าพ่อกับแม่แล้วก็คุณปู่ออกหน้าให้ต้น ตอนแรกท่านจับต้นขังที่บ้านเพชรบูรณ์ขนาดพ่อกับแม่ยังไม่กล้าช่วยเลย ได้คุณปู่คานอำนาจกับคุณย่าบ้าง ก็เลยรอดมาได้ แต่หลังจากคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ประสบอุบัติเหตุ ก็ไม่มีใครคานอำนาจท่านอีก ต้นกับมิ้นท์ถึงต้องเอาตัวรอดกันแบบนี้ไง ถ้าเจอจังๆ ก็ขัดท่านไม่ได้หรอก”
“แล้วถ้าต้นกับคุณพิมมีโอกาสได้คบกัน ถ้าคุณย่าไม่ยอม ต้นจะ...”
“สู้หัวชนฝาเลยล่ะ”
“เมื่อกี้ยังว่าขัดไม่ได้อยู่เลย”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องแต่งงาน ต้นก็ไม่อยากขัดใจท่านนะ ยังไงท่านก็ทำเพราะรักต้น ต้นถึงเลี่ยงไม่เจอท่านเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจท่าน”
“แล้วจะหลบได้นานแค่ไหนกัน สักวันท่านต้องมาที่นี่แน่เพราะท่านก็รู้ว่ากิ่งช่วยต้นอยู่”
“ขอหลบที่นี่อีกสักสองสามวัน แล้วจะหาที่อยู่ใหม่”
“บ้านก็กลับไม่ได้ ต้องมาเร่ร่อน นี่ทายาทมหาเศรษฐีเพชรบูรณ์นะเนี่ย หนีหัวซุกหัวซุนเป็นนักโทษการเมืองเชียว”
“ก็หวังว่าคุณย่าจะเหนื่อยจนไม่อยากยุ่งกับต้นเร็วๆ นี้”
“หลานสุดที่รักก็ต้องทำใจนะต้นนะ”
ฤชวีเซ็ง ๆ หยิบมือถือมาดูเห็นหน้าจอเงียบยิ่งเซ็งกว่าเดิม
พิมภายังอยู่ที่สมุย เธอเปิดโน้ตบุ๊คนั่งทำงานอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องอย่างเคร่งเครียด พิมภามองการ์ดของฤชวีกับดอกลิลลี่ที่เริ่มแห้งแล้ววางไว้หันไปทำงานต่อ อีกด้านหนึ่งฤชวีก็นั่งพิมพ์นิยายอยู่พลางหยิบมือถือขึ้นมามองอยู่เนืองๆ ด้วยความหวัง
เวลากลางคืนที่ชายหาด พิมภาเดินเล่นเหงาๆ ที่ริมชายหาด ขณะที่ฤชวีเดินอยู่ในสวนสาธารณะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามอง ฤชวีมองโทรศัพท์อย่างจ๋อยๆ
วันต่อมาพิมภาเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าพลางมองลิลลี่ที่แห้งแล้วกับการ์ด พิมภาเก็บสองสิ่งลงกระเป๋าแล้วปิดกระเป๋า
พิมภาเปิดกระเป๋าเมื่อกลับถึงคอนโด พิมภาคุยมือถือพลางหยิบของออกจากกระเป๋า
“พิมกลับมากรุงเทพฯแล้วค่ะคุณสุ พร้อมแล้วค่ะ ประชุมพรุ่งนี้แปดโมง ได้ค่ะ สวัสดีค่ะ”
เสียงกริ่งห้องดัง พิมภาเดินไปเปิดประตูเป็นนันทิกานต์สีหน้าร่าเริงมาก
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านจ้า” นันทิกานต์กอดพิมภา สองสาวกอดกันอย่างยินดี นันทิกานต์จับหน้าพิมภาขยับซ้าย-ขวา “สีหน้าสดใสขึ้นตั้งเยอะ ไม่รู้เป็นเพราะทะเลหรือคุณฤชวีน้า”
พิมภาดันหน้านันทิกานต์เหวี่ยงไปแบบแกล้งๆ
“เพ้อเจ้อน่าแก”
พิมภาเดินกลับไปตรงที่เปิดกระเป๋าไว้ หยิบดอกลิลลี่กับการ์ดออกมาวาง นันทิกานต์คว้ามาดู มองพิมแซวๆ
“ฉันไม่เข้าใจนิสัยคนสมัยนี้เลย ปากว่าไม่สนแต่เก็บทั้งดอกไม้ทั้งการ์ดของเขามา ปากอย่างใจอย่าง”
“แนน”
“แกรู้ไหมว่าดอกลิลลี่สีขาวหมายถึงอะไร”
“ไม่รู้หรอก”
“มันแทนคำขอโทษย่ะ เป็นผู้ชายละเอียดอ่อนนะเนี่ย”
พิมภาหยิบดอกไม้มาดู
“เหรอ”
นันทิกานต์เห็นการ์ดหยิบขึ้นมา
“เฮ้ย ให้เบอร์ไว้ด้วย อ่อยกันชัดๆ แกโทรหรือยัง”
“ฉันไม่โทรหรอก เป็นผู้หญิงมันต้องไว้ตัวกันบ้าง”
“แกคิดดี ถูกต้อง แต่ถ้าเขาเป็นคนดีก็น่าเสียดายนะ”
“ฉันยังไม่คิดเรื่องอื่นนอกจากงาน”
“ฉันไม่เข้าใจผู้หญิงสมัยนี้จริงๆ เจอผู้ชายเราก็จับทำเพื่อนได้นี่ ไม่ใช่ว่าคุยกันแล้วจะจับทำผะ...” นันทิกานต์ชะงักเมื่อเห็นพิมภาจ้อง “เอ่อ...แฟน ตลอด ถูกไหม”
“ไว้ก่อนเถอะ ว่าแต่ที่ออฟฟิศเป็นยังไงบ้าง”
“ก็พวกอยากรู้อยากเห็นเยอะ แล้วพรุ่งนี้จะเข้าออฟฟิศ แกพร้อมแล้วใช่ไหม”
“ฉันหนีปัญหาตลอดไปไม่ได้หรอก แต่ฉันมีแกอยู่ด้วย ฉันก็ไม่กลัวแล้วล่ะ”
นันทิกานต์ดึงแก้มพิมภาสองข้างแรงมาก
“แบบนี้สิ ถึงจะสมเป็นเพื่อนฉัน”
พิมภาไม่ยอมแพ้ดึงมั่ง สองสาวแกล้งกันสนุกสนาน พิมภายิ้มสีหน้ามั่นใจมากขึ้น
เช้าวันต่อมา รถของลัลนาขับเข้ามาจอดหน้าบริษัทนารี จังหวะนั้นรถของพิมภาเข้ามาจอดเอี๊ยดเทียบกับลัลนา ลัลนาชะงักหันมองเห็นเป็นพิมภา สองสาวลงมาจากรถสองคนมองสบตากัน จากยนั้นสองสาวก็เดินเท่ห์ๆ เข้าไปในออฟฟิศ พิมภาก้าวฉับๆ แข็งแรงเหมือนเดิมจนลัลนาไม่อยากจะเชื่อ
พิมภากับลัลนาเดินเข้ามาที่ล็อบบี้ นันทิกานต์ตามเข้ามา ซูซี่,จุ๋ม,ลิลลี่วิ่งเข้ามาหา
“น้องพิม มาทำงานได้แล้วเหรอคะ พี่คิดว่าน้องพิมต้องการเวลาทำใจมากกว่านี้ซะอีก”
“ถ้าเป็นลัลคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เรื่องน่าอายขนาดนี้”
“ก็เอาไว้บนคอเหมือนเดิมล่ะจ๊ะ พิมก็อายบ้างจ๊ะลัล เพราะหน้าพิมมีความรู้สึก แต่ของลัลฉีดโบท็อกซ์ทุกสองเดือนใช่ไหมจ๊ะ เลยจะหนาเป็นพิเศษ”
ลัลนาโกรธแล้วนึกได้ว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ ต้องกู้หน้า
“ลัลฉีดนิดหน่อยเองป้องกันริ้วรอย”
“เหรอจ๊ะ นึกว่าฉีดพยุงหน้าไว้ เพราะถ้าโบท๊อกซ์หมดฤทธิ์คิ้วคงกองมารวมที่ปาก”
นันทิกานต์กับพนักงานคนอื่นๆ แอบยิ้มกันคิกคัก ลัลนาแค้นจะตอบโต้แต่เสียงสุกัญญาดังขึ้นซะก่อน
“ทักทายกันยามเช้าพอหอมปากหอมคอนะ” ลัลนาจำต้องหุบปากฉับ ทุกคนหันไปเห็นสุกัญญาก้าวเข้ามา “แปดโมง เราควรจะอยู่ที่ห้องประชุมไม่ใช่หรือ”
ทุกคนตกใจ
“ค่ะ”
ต่างคนต่างรีบไป พิมภากับลัลนาจะตามสุกัญญา แต่สุกัญญายังไม่เดินกลับหันไปมองปราสินีที่เดินเข้ามา
“ปราสินี เชิญที่ห้องประชุมด้วยนะ”
ทุกคนมองอย่างสนใจรีบตามไปทันที
สุกัญญานั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะประชุม ลัลนา ซูซี่ นันทิกานต์ ปราสินี พนักงานคนอื่นๆ นั่งประจำที่กันแล้ว
“เรื่องของคุณพิมกับปราสินี ส่วนตัวพี่รับไม่ได้จริงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พี่เคยประกาศแล้วว่าถ้ารู้ว่าคนในบริษัทไม่สามัคคีกันพี่จะไล่ออก” ทุกคนสะดุ้ง “คุณพิม...”
ทุกคนหันมองพิมภา ลัลนาตาโตคิดว่าพิมภาจะโดนไล่ออกแน่
“เดี๋ยวค่ะท่านประธาน เรื่องนั้นมันไม่ใช่ความผิดของพิมเลยนะคะ” นันทิกานต์ขัด
“แนน ท่านประธานกำลังพูดอยู่อย่าเสียมารยาทสิจ๊ะ อันที่จริงลัลก็เห็นใจพิมนะคะแต่กฎก็ต้องเป็นกฎ” ลัลนาหันหน้ามาทางพิมภาแอบยิ้มเย้ยกันเห็นๆ “ท่านประธานบอกแล้วว่าถ้ารู้ว่าใครทะเลาะกันไล่ออกทั้งคู่ ใช่ไหมคะ”
“ใช่”
ลัลนาหันไปส่งสายตาเย้ยๆ ให้พิมภา พิมภาไม่สลดสีหน้าพร้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
“พิมยินดีที่จะทำตามกฎค่ะ”
“แต่ไม่ใช่กรณีนี้” ทุกคนชะงัก “เพราะเรื่องครั้งนี้ คุณพิมไม่ได้รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จริงไหมปราสินี”
ปราสินีอึกอักแต่จำต้องตอบ
“จริงค่ะ”
“ดังนั้นฉันให้สิทธิ์คุณพิมนะ ว่าอยากจะทำอย่างไรกับปราสินีก็ได้แล้วแต่คุณพิมจะตัดสินใจ”
ทุกคนอึ้งหันมองพิมภา พิมภามองปราสินีด้วยสายตาแข็งกร้าวนิดๆ ปราสินีมองอย่างหวั่นๆ
ประตูห้องประชุมถูกเปิดออก สุกัญญาเดินออกมาปราสินีรีบตามออกมา
“เดี๋ยวค่ะ คุณสุ” สุกัญญาหันมา พิมภา นันทิกานต์ ลัลนา ซูซี่ และคนอื่นๆ ตามออกมาชะงัก “แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยนะคะ ทำไมปลาจะต้องโดนย้ายไปอยู่สาขาบ้านนอกแบบนั้น”
“ก็คุณพิมเขาตัดไปสินใจแบบนั้น เธอมีหน้าที่แค่ทำตาม”
“ท่านประธานเข้าข้างพิม แบบนี้มันลำเอียงนะคะ”
สุกัญญายิ้มออกมา
“จ๊ะ”
“ท่านประธาน ถ้าเป็นแบบนี้ปลาก็คงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ปลาขอลาออก”
“อืม รีบทำจดหมายมาเลยนะ เพราะฉันเซ็นอนุมัติรอไว้แล้ว”
สุกัญญาเดินออกไป ปราสินีแค้นหันกลับมาเจอทุกคนยืนมองอยู่
“อยู่ดีๆ ก็รนหาที่นะ พิมอุตส่าห์ไม่ไล่ออกยังไม่สำนึก” นันทิกานต์บอกขึ้นลอยๆ
“เขาเรียกว่าไม่เจียมตัวหรือเปล่าจ๊ะ” ซูซี่สมทบแล้วหัวเราะ
“หัวเราะเบาๆ เถอะค่ะ ไม่งั้นฟันปลอมอาจจะกระเด็นไม่รู้ตัว”
ซูซี่ยกมือปิดปากตัวเองรีบมาหลบหลังลัลนา ลัลนาปกป้อง
“ร้ายกาจเนอะ แว้งกัดไม่เลือก” ลัลนาปรายตาทางพิมภา “สมแล้วที่เป็นเพื่อนกัน”
ปราสินีมองพิมภา
“ลัลนี่คงจะทานหวานบ่อยไปนะ ถึงได้ทั้งดุทั้งเห่าแถมกัดไม่เลือกแบบนี้”
“แอ็บแตกแล้วปากร้ายนะยะ แทงข้างหลังเก่งขนาดนี้ คงไม่ได้แค่เรื่องผู้ชายล่ะมั้ง อ๋อ พี่ซูซี่ ฉันรู้แล้วที่ปลาชอบมาเล่าเรื่องงานของยัยพิมให้ลัลฟังเพราะอยากยืมมือลัลทำร้ายพิมนี่เอง”
พิมภากับนันทิกานต์มองปราสินี
“อีพวกบ้า เพ้อเจ้อ”
“ออกไป” พิมพฃภาจ้องปราสินีราวจะกินเลือดกินเนื้อ “ถ้าฉันเห็นหน้าเธออีก เธอตายแน่”
“ไล่ฉันเหรอ”
“เออ ถ้าไม่ไป ฉันนี่ล่ะจะตบเธอแทนไอ้พิมเอง”
นันทิกานต์บอก ปราสินีฮึดฮัดแต่ไม่กล้ากับนันทิกานต์ ปราสินีรีบเดินไป พิมภาจะเดินไปอีกทาง แต่ลัลนาส่งเสียงมาขัดไว้
“สโลแกนวันนี้ ผัวเพื่อนก็เหมือนผัวฉันใช่ไหมจ๊ะ พิม”
พิมภากับนันทิกานต์ชะงัก หันกลับมา พิมภายกมือขึ้นมาขยับนิ้วเหมือนบริหาร
“คันปากมากเหรอ ฉันจะได้เกาให้”
“อุ๊ย น่ากลัว เอะอะใช้กำลังแบบนี้ไง ถึงโดนแฟนสวมเขา เป็นเจ้าสาวที่ฉาวที่สุดแห่งปี”
ลัลนากับซูซี่หัวเราะอย่างสะใจแล้วเดินเชิดๆ ไป พิมภามองตามแค้นจนตัวสั่น
ติดตาม "คุณสามี(กำมะลอ)ที่รัก" ตอนที่ 3 เวลา 17.00 น.