กี่เพ้า ตอนที่ 10
เช้าวันใหม่ บริเวณห้องโถงชั้นล่าง เหวินเยี่ยกลับมาจากท่องยุโรป ซิ่วหลานถอดเสื้อโค้ทให้ เจิ้นหลุนและอี่เหวินช่วยกันขนกระเป๋าเดินทางและกล่องเครื่องแก้วขึ้นชั้นบน
“ระวังด้วยหลุน กล่องใบนั้นข้างในเป็นเครื่องแก้ว ฉันซื้อมาเป็นของฝากเพื่อนๆ”
“ครับคุณเยี่ย”
เหวินเยี่ยปวดหลังเอื้อมมือไปนวดไหล่ตัวเอง เหม่ยอิงกับหลินเพ่ยมีสีหน้าเบิกบานลงจากบันไดเพื่อต้อนรับ
“เที่ยวยุโรปสนุกมั้ยคะ คุณพ่อ”
“ทริปนี้พ่อลองเช่ารถขับกับเพื่อนๆ นั่งรถจนเมื่อย ทีหลังนั่งเครื่องบินเอาดีกว่า”
“คุณพี่น่าจะให้ฉันตามไปด้วยจะได้ปรนนิบัติบีบนวดคุณพี่ ดูสิ กลับมาปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด"
“ไว้ทริปหน้า ฉันจะพาเธอกับเพ่ยเพ่ยไป”
หลินเพ่ยกับเหม่ยอิงเดินเดินฉอเลาะเกาะแขนเหวินเยี่ยคนละข้าง
“ไปห้องฉันก่อนนะคะ ฉันจะบีบนวดให้”
ทั้ง 3 คนเดินขึ้นชั้นบน
ภายในห้องอาหารคฤหาสน์ตระกูลเจ้า ทุกคนร่วมกินมื้อเที่ยงพร้อมหน้าพร้อมตา จิ้นเจินระแวงเหวินเยี่ยจนเกร็งจัด ทั้งที่เหวินเยี่ยหันมามองอย่างธรรมดาและถามเรื่องงานทั่วไป
“อาจิ้น”
จิ้นเจินลนลานจนทำตะเกียบตก
“เป็นอะไรไปอาจิ้นดูวิตกกังวลชอบกล ที่บริษัทมีปัญหาหรือ”
“เปล่าครับพี่เยี่ย”
“บริษัทไม่มีปัญหาหรอกค่ะคุณเยี่ย มีก็แต่... ที่บ้าน”
จิ้นเจินกับลี่ผิงหันมาจ้องเพกา ลี่ผิงส่งสายตาขอร้อง แต่เพกาทำไม่สนใจเพราะตั้งใจเขย่าประสาทจิ้นเจินเล่น
“ร้ายแรงสุด ๆ ค่ะ รับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง”
“ปัญหาอะไร”
จิ้นเจินกลืนน้ำลาย เหงื่อแตก มือสั่นกลัวความเลวถูกเปิดโปง อวี้เหลียนก้มหน้า ยอมรับสภาพ หากเพกาเปิดโปงเรื่องทั้งหมด เพกาสะใจ ยิ้มกริ่มที่เห็นจิ้นเจินหน้าซีดสั่นกลัว
เหวินเยี่ยดุเพกา
“มัวแต่ยิ้มอยู่นั่นแหละ พูดมาสิ”
ลี่ผิงส่ายหน้าบอกเพกา
“นี่เธอ เวลาคุณเยี่ยถาม เธอต้องตอบ”
“ยายเพกานั่นแหละค่ะ ตัวสร้างปัญหา”
“ก่อนว่าฉัน หันไปตำหนิแม่คุณก่อนดีมั้ยคะคุณเพ่ยเพ่ย”
เพกามองเหม่ยอิงด้วยสายตาดูแคลน
“ดูสิคะคุณพี่ คุณพิ้งค์หาเรื่องฉันชัด ๆ”
“แค่นี้ต้องฟ้อง งั้นให้ฉันฟ้องบ้าง ปัญหาคือ”
“อาเหว่ยลอบเข้ามาในบ้านครับคุณพ่อ” หมิงเทียนชิงพูดขึ้น
หมิงเทียนมองหน้าเพกาอย่างขอร้อง ลี่ผิงกับจิ้นเจินโล่งอก ส่งสายตาขอบคุณหมิงเทียนที่ช่วยแก้สถานการณ์
“ใช่ค่ะ ดิฉันกำลังจะเรียนคุณเยี่ยเรื่องเหว่ย”
“ตำรวจจับมันไม่ได้ บ้านเราเลยวุ่นวายไม่สงบสุขซักที”
“ก็เรื่องเดิมๆ พูดซะอย่างกับบ้านจะถล่ม” หลินเพ่ยบอก
ทุกคนกินอาหารต่อ จิ้นเจินจ้องเพกาอย่างโกรธจัดที่เธอเจตนายั่วให้เขาประสาทเสีย
เวลาต่อมา เพกาช่วยซิ่วเก็บกับข้าวเข้ามาในครัว
“ที่โต๊ะอาหารเมื่อกี้ ซิ่วว่า คุณพิ้งค์ไม่ได้จะเรียนคุณเยี่ยเรื่องอาเหว่ยหรอก คุณพิ้งค์ไปรู้อะไรดี ๆ เข้าคะ”
“เรื่องต่ำ ๆ โสโครก อย่ารู้เลยค่ะอาซิ่ว รกสมอง ตอนนี้ฉันแน่ใจแล้วว่าคุณเหลียนกับคุณจิ้น ไม่ใช่ฆาตกรฆ่าคุณเมย์ลี”
“ซิ่วก็เคยบอกคุณพิ้งค์แล้ว ทั้งสองคนเป็นคนดี”
“ดีอยู่คนเดียวแหละ อีกคนก็แค่สร้างภาพเก่ง”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“ฉันไปเดินย่อยอาหารในสวนดีกว่า”
ซิ่วสงสัย เพกาพูดจามีลับลมคมนัย
อวี้เหลียนนั่งที่ศาลาในสวน เพกาเดินออกมาเจอเลยแวะเข้าไปหา
“ขอบคุณนะคะที่ไม่เปิดโปงคุณจิ้น”
“หลังจากที่คุณแฉเรื่องของเค้า คุณจิ้นทำอะไรคุณอีกไหม”
ในวันเดียวกับที่โดนแฉเรื่องทั้งหมด ในเวลาต่อมา จิ้นเจินยืนชี้หน้าด่าอวี้เหลียน
"คุณพูดเรื่องผมกับเหม่ยอิงให้คนอื่นรู้ทำไม อยากนักใช่ไหม เป็นม่ายถูกผัวทิ้งน่ะ"
จิ้นเจินจับแขนอวี้เหลียนเงื้อมือขึ้นอยากตบเต็มที่
"ตบเลย ฉันไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว"
อวี้เหลียนดูเข้มแข็งขึ้นทีละน้อย จิ้นเจินมองหน้าแล้วไม่กล้า
"โธ่โว้ย"
จิ้นเจินหันไประบายอารมณ์ด้วยการปัดของบนโต๊ะเครื่องแป้งลงกับพื้น
"หยุดนะ คุณจิ้น"
"ทำไม...ของนี่ เธอใช้เงินฉันซื้อทั้งนั้น"
จิ้นเจินอาละวาดท่ามกลางความเจ็บปวดของอวี้เหลียน
“การที่คุณกล้าพูดความจริง ทำให้คุณจิ้นไม่กล้าลงไม้ลงมือ เริ่มระวังการกระทำของตัวเองมากขึ้น ดีแล้วล่ะค่ะ”
“ฉันอึดอัดที่จะเก็บมันไว้คนเดียว สิ่งที่เขาทำกับเมย์ลี ทำกับคุณมันชักจะหนักข้อ เฮ้อ แต่พักนี้เขาพูดเรื่องหย่าบ่อยเหลือเกิน”
อวี้เหลียนพูดแล้วก็เศร้า
“เขาพูดอย่างนี้กับคุณเพราะอยากแก้แค้น อยากให้คุณเจ็บ แต่เขาไม่ได้อยากจะหย่าหรอกค่ะ คนพรรค์นี้หน้าบางจะตาย เขาต้องการเก็บคุณไว้เชิดหน้าชูตากับคนอื่น"
“เป็นเครื่องแสดงฐานะว่าครอบครัวสมบูรณ์แค่นั้นใช่ไหมคะ ฉันเป็นแค่สมบัติชิ้นหนึ่งที่เขาจะทำยังไงก็ได้”
อวี้เหลียนเริ่มน้ำตาริน
อ่านต่อเวลา 17.00น.
“แต่ถ้าคุณหย่าไม่ต้องอยู่ด้วยกัน อาการเครียดของคุณจะดีขึ้น สุขภาพร่างกาย อาการทางจิต น่าจะหายทั้งหมด คุณไม่อยากทำเพื่อตัวเองหรือคะ”
“หย่าหรือคะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงหัวสมัยใหม่อย่างคุณพิ้งค์ ฉันทนสายตา ทนคำถามจากคนรอบข้างไม่ได้หรอกค่ะ"
”คุณเหลียนยังสาว ยังสวย มีโอกาสเจอผู้ชายดี ๆ อีกเยอะแยะ”
“ญาติพี่น้องฉันไม่มีใครหย่าร้าง พวกเขาจะมองฉันยังไง”
อวี้เหลียนซึ่งเป็นโรคซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน เมื่อถูกเพกาพูดแทงใจดำก็ร้องไห้หนักขึ้น
“เข้มแข็งไว้ค่ะ คุณต้องผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปได้ คิดซะว่าฉันเป็นเพื่อน วันไหนคุณถูกคุณจิ้นทำให้เสียใจ มาหาเพื่อนคนนี้ ฉันจะเป็นที่พักใจให้คุณ"
อวี้เหลียนจับมือเพกา
“ขอบคุณมากค่ะคุณพิ้งค์”
อวี้เหลียนรู้สึกดีและไว้ใจเพกา
ภายในพิพิธภัณฑ์ อาหัวช่วยเพกาถอดชุดกี่เพ้าโบราณออกจากหุ่น ชุดถูกถอดอออกมาโดยไม่เสียหาย
“เฮ้อ สำเร็จ นึกว่าจะทำชุดขาดเหมือนชุดมาดามซ่งเสียอีกค่ะ อยากให้อาหัวมาหาหมอที่ฮ่องกงทุกวันจะได้ช่วยทำงานในพิพิธภัณฑ์"
“มาบ่อย ๆ เปลืองค่ารถแย่สิคะ” ซิ่วหลานบอก
“ตอนเอาชุดไปอบต้องสวมโครงไม้ด้วยนะครับ กันไม่ให้ชุดเสียทรง”
“ค่ะ อาหัวมีเคล็ดลับอบผ้าโบราณมั้ยคะ”
“ผมไม่มีห้องอบผ้า ผมต้มน้ำเอา ใช้ไอน้ำทำความสะอาดฝุ่นที่เกาะบนชุด มีข้อต้องระมัดระวังอย่างหนึ่ง อย่าอังไอน้ำนานเส้นไหมจะเปื่อย ขาดได้”
“ลูกศิษย์คนนี้จะจำไว้ค่ะอาจารย์”
เพกาคารวะ เย้าอาหัวที่ยิ้มอย่างเอ็นดูเพกา
“ครูเป็นเพียงผู้เปิดประตูให้ ลูกศิษย์ต้องเดินก้าวข้ามประตู ออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง”
เหวินเยี่ยตรวจดูชุดกี่เพ้าของมาดามซ่งที่ซ่อมเสร็จไปเก้าสิบเปอร์เซนต์แล้ว เพกาชี้ให้ดูรอยเล็กๆน้อยๆที่แทบมองไม่เห็น
“เห็นไหมคะ ขาดเส้นไหมตรงนี้อีกสีเดียวค่ะ ร้านยาที่ฉันติดต่อเขาบอกว่ากำลังรอเก็บเกี่ยวดอกไม้ พอได้แล้วเขาจะส่งมาทันที พอฉันย้อมเสร็จก็ซ่อมได้เลย"
“อีกไม่ถึงเดือนงานเธอก็เสร็จ ดีใจไหมที่จะได้กลับบ้าน”
“เอ้อ ก็”
“เธอน่าจะดีใจนะ เพราะฉันดีใจ”
เหวินเยี่ยมองค้อนๆ และเน้นคำว่าดีใจ เพราะเขาไม่ชอบเพกานัก เพกาหน้าจ๋อย ยิ้มแห้ง
จิ้นเจินแอบดูเพกาที่คุยอยู่กับเหวินเยี่ยอย่างระแวง
“ระหว่างนี้เธอดูแลรักษาชุดโบราณอื่น ๆ ไปก่อน มีหลายชุดถึงเวลาต้องซักอบ”
“อบไปหลายชุดแล้วค่ะ อาหัว พ่อซิ่วช่วยสอนเคล็ดลับ”
“งั้นหรอ ดีแล้ว ได้ช่างตัดกี่เพ้ามืออาชีพเป็นครูสอน ฉันไม่ไว้ใจเธอเท่าไหร่หรอก”
เหวินเยี่ยเดินออกไป จิ้นเจินเดินเข้ามาหาเพกาและขู่
“คุณปริปากบอกพี่เยี่ยเมื่อไหร่ ผมไม่เอาคุณไว้”
“จะขังฉันไว้ในห้องซาวน่าอีกหรือคะ”
“วันนั้นผมบินไปเซี่ยงไฮ้แต่เช้ากลับมาเย็น จะดูพาสปอร์ตมั้ย ผมขึ้นไปหยิบมาให้”
เพกาเอะใจ คิดตามและหน้าซีเรียสขึ้นมาทันที
“แปลว่าคุณไม่ได้ขังฉันไว้ในห้องซาวน่า แล้วเรื่องหนูที่ถูกแทงเพื่อขู่ฉัน เพื่อไล่ฉันกลับเมืองไทยล่ะ”
“ตอนนั้นผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณมีแผนจะหาไดอารี่ ผมไม่ได้ทำ งั้นก็ต้องเป็น.. ฝีมือฆาตกร ฆาตกรยังลอยนวลอยู่ในบ้าน”
“ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ใช่อาเหว่ยหรอไม่ ผมไม่สน ผมจะเอาช่วยใจมันให้ฆ่าคุณสำเร็จ"
จิ้นเจินหัวเราะเยาะใส่เพกาอย่างร้ายกาจ
“ไอ้ผู้ชายใจร้าย ถนัดนักเรื่องรังแกผู้หญิง”
“สุภาษิตไทยว่ายังไงนะ ปลาหมอตายเพราะปากใช่มั้ย ปากคุณจะฆ่าตัวคุณเอง คอยดูไปเถอะ”
เพกากับจิ้นเจินจ้องไม่วางตาด้วยความเกลียดชัง จิ้นเจินแสยะยิ้มทิ้งท้ายแล้วเดินออกไป
ภายในห้องดอกไม้ หมิงเทียนวางกล่องกระดาษของใช้ส่วนตัวที่ถูกปิดผนึกด้วยเทปกาวไว้ตรงหน้าเพกา
“นี่มันกล่องเก็บของใช้ส่วนตัวของคุณเมย์ลีนี่คะ”
“ฝากเก็บไว้ในห้องนี้ด้วย ผมไม่อยากเห็นมัน”
เพกามองอย่างเห็นใจ
“คุณลืมเมย์ลีไม่ได้ฉันเข้าใจนะ แต่ชีวิตคุณต้องเดินต่อไป”
“จะเดินต่อไปยังไง ในเมื่อผู้หญิงที่ผม เอ้อ ที่ผมยืนคุยอยู่นี่ก็หน้าเหมือนเมย์ลีอย่างกับแกะ”
เพกานึกน้อยใจ
“แต่ฉันไม่ใช่คุณเมย์ลี คุณรู้อะไรเกี่ยวกับตัวฉันบ้างคะ ฉันชอบสีอะไร กินไอศกรีมรสไหน ชอบอาหารประเภทอะไร”
“ก็คุณไม่เคยเล่าให้ฟัง”
“ของแบบนี้ไม่ต้องเล่าหรอกค่ะ ใส่ใจสังเกตก็รู้ ฉันยังรู้เลย คุณชอบกินติ่มซำ ชอบกินซุปที่เคี่ยวอย่างดี ก่อนนอนชอบดื่มนมอุ่น ต้องอ่านหนังสือพิมพ์ทุกเช้าวันละหลาย ๆ ฉบับ แล้วคุณล่ะ รู้อะไรเกี่ยวกับฉัน บอกมาซักข้อสิคะ”
หมิงเทียนไม่เข้าใจที่เพกางอน ตัดพ้อ
“เงียบ... เพราะไม่รู้ซักอย่าง”
“รู้ซี่ รู้ คุณชอบ...ดอกโบตั๋น”
เพกาโมโหจี๊ด หมิงเทียนเห็นเธอเป็นสุคนธาอีกแล้ว
“นั่นเป็นดอกไม้ที่คุณเมย์ลีชอบ ฉันเคยบอกคุณแล้ว ฉันชอบดอกอะไรแต่คุณไม่ฟังไม่ใส่ใจ”
“คุณโมโหอะไรน่ะ”
“คุณใช้ฉันเป็นตัวแทนของเมย์ลี ซื้อของให้ฉัน ยังให้เหมือนเมย์ลีเลย”
เพกานึกถึงตอนที่ซิ่วหลานเล่าให้ฟังว่า
“คุณเมย์ลีเล่าว่าคุณชายรองแอบซื้อกรอบใส่ให้ เธอปลื้มมาก เอารูปตั้งไว้หัวนอนค่ะ"
“ฮึ ทำเหมือนกันทุกอย่าง”
“ใครคะ” ซิ่วหลานถาม
“โหยหาอดีตมากสินะ”
หมิงเทียนนึกได้
“กรอบรูป”
“ไม่ว่าเวลาไปไหนด้วยกัน คุณเป็นต้องพูดเรื่องเมย์ลี”
กี่เพ้า ตอนที่ 10 (ต่อ)
ที่ร้านของ ย่าน lady market
“ของร้านนี้ไม่ค่อยสวย เดินไปข้างหน้ามีอีกร้าน สวยกว่า ผมไปซื้อกับเมย์ลีบ่อย”
หมิงเทียนเพิ่งนึกได้อีกแล้ว
“ผมไม่ได้ตั้งใจทั้งชีวิตผมสนิทกับเมย์ลี ผมก็นึกว่าผู้หญิงจะชอบอะไรเหมือนๆกัน"
“จะตั้งใจหรือไม่มันก็ทำให้ฉันเจ็บ ฉันชื่นชมคุณเมย์ลีนะ ฉันรู้สึกด้วยซ้ำว่าเขาอยู่กับฉัน คอยช่วยเหลือฉันเสมอ แต่ฉันก็ไม่อยากเป็นตัวแทนของเขา ช่างมันเถอะ อีกหน่อยงานก็เสร็จ ฉันก็ไม่ต้องอยู่นี่แล้ว คุณจะอะไรมันก็เรื่องของคุณ ฮึ่ย”
เพกาเดินหนีจะเข้าห้องนอน
“เดี๋ยว คุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ”
หมิงเทียนจับมือเพกาสะบัดมือออกด้วยความโมโหแล้วโพล่งออกมา
“อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันไม่ใช่เมย์ลีของคุณ ฉันชื่อเพกา ชื่อเพกา ได้ยินชัดมั้ย”
เพกาเดินเข้าห้องนอนปิดประตูอย่างแรง หมิงเทียนค่อย ๆ คิดและรวบรวมคำพูดเพกา
“ที่แท้ทุกครั้งที่คุณโกรธผม งอนผม ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง”
หมิงเทียนเพิ่งเข้าใจ
ที่สวนภายในคฤหาสน์ หมิงเทียนสวมชุดนอนยืนมองหน้าต่างห้องดอกไม้ เดินครุ่นคิดไปมาด้วยสีหน้า ท่าทางกลัดกลุ้มเรื่องจะทำอย่างไรกับเพกาดี
วันใหม่ ภายในห้องอาหารโต๊ะมังกรของตระกูลเจ้า ซิ่วหลานจูงมือเพกาเข้ามาในห้อง หมิงเทียนนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว โดยมีอี่เหวินกับเจิ้นหลุนยืนอยู่ใกล้ๆ
บนโต๊ะกลมจัดวางมีเก๊กฮวยร้อน 1 แก้ว เก๊กฮวยเย็น 1 แก้ววางอยู่ในถาด, หนังสือแมกกาซีนผู้หญิงภาษาอังกฤษ 2 ยี่ห้อ อย่างละ 1 เล่ม, แจกันดอกโบตั๋นสีชมพู 1 ดอก แจกันดอกมะลิ 1 ช่อ แจกันดอก กุหลาบ 1 ดอก ทั้ง 3 แจกันวางอยู่บนถาด 1 ใบ และกระดานไวท์บอร์ดแผ่นเล็กพร้อมปากกาเขียน
ซิ่วหลานจับเพกาที่มีสีหน้างงๆให้นั่งลง
“มีอะไรเหรออาซิ่ว” เพกาถาม
“เรามาเล่นเกมกัน” หมิงเทียนบอก
“เกมอะไร”
ซิ่วหลานยกถาดเครื่องดื่ม เก๊กฮวยร้อน เก๊กฮวยเย็นเข้ามา
“สองอย่างนี้ คุณพิ้งค์ชอบอะไรคะ” ซิ่วหลานถาม
เพกายังมีสีหน้างงๆ
“เอ้อก็”
เจิ้นหลุนตัดบท
“ไม่ต้องบอกครับ เก็บคำตอบไว้ในใจก่อน มีคนเขาจะทาย”
หมิงเทียนคิดเล็กน้อยแล้วชี้ไปที่เก๊กฮวยร้อน
“เก๊กฮวยเย็นค่ะ”
อี่เหวินรับหน้าที่เป็นกรรมการเอาไวท์บอร์ดออกมาเขียน 0
“ศูนย์คะแนน คำถามที่สอง” อี่เหวินพูดพลางผายมือไปที่เจิ้นหลุน
“เดี๋ยว เล่นอะไรกันคะนี่” เพกาถาม
“เกมทายใจค่ะ” ซิ่วหลานบอก
เจิ้นหลุนเดินถือแม็กกาซีนอังกฤษผู้หญิงสองเล่มได้แก่ โว้ค มาดามฟิกาโร่เข้ามา
“เลือกค่ะ คุณชายรอง” ซิ่วหลานบอก
หมิงเทียนชี้ที่แมกกาซีนเล่มหนึ่ง
“คำตอบคือ” เจิ้นหลุนผายมือไปขอคำตอบจากเพกา เพกาชี้ไปที่นิตยสารเล่มเดียวกับที่หมิงเทียนชี้ ทุกคนร้อง “เย้” อย่างยินดี
“คะแนนวิ่งแล้วครับ 1 คะแนน” อี่เหวินบอกพลางจดคะแนนลงที่ไวท์บอร์ด
“ต่อไป ดอกไม้บ้างนะคะ” ซิ่วหลานบอก
ซิ่วหลานเดินถาดดอกไม้ อันมีดอกโบตั๋น ดอกมะลิ ดอกกุหลาบที่ปักอยู่ในแจกันเล็กๆเข้ามา
หมิงเทียนบอก
“เอ อันนี้ยากจัง”
เพกามองบนถาดแล้วบอก
“โบตั๋นของคุณเมย์ลี แต่เพกาต้องดอกทานตะวันค่ะ เราสองคนแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย"
“อืมดอกทานตะวันเหมาะกับคุณจริงๆด้วย หันสู้แสงแดดเสมอไม่เคยท้อถอย”
หมิงเทียนพยักหน้าเห็นด้วยแล้วส่งสายตามองเพกาเพื่อสื่อความหมายแห่งรักอย่างจริงจัง
“ครับ ผมจะจำเอาไว้ไม่มีวันลืม ว่าแล้วเย็นนี้เราไปเปลี่ยนสถานที่เล่นเกมโดยไม่มี 3 คนนี้”
หมิงเทียนพูดแล้วพลางชำเลืองสายตาไปที่ซิ่วหลาน อี่เหวิน เจิ้นหลุน
“มาเป็นกรรมการดีกว่า นะครับ คุณเพกา” หมิงเทียนพูดต่อ
อี่เหวิน เจิ้นหลุนแอบร้องฮิ้วกันเบาๆจนทั้งสองคนเขิน
เวลาเย็น... เพกากับหมิงเทียนไปออกเดทกันบนเรือท่องเที่ยว ทั้งสองนั่งเล่นบนเรือเหมือนคู่รักมากขึ้น เพียงแต่ยังไม่ได้สารภาพรักเพราะหมิงเทียนเป็นผู้ชายฟอร์มจัด ไม่ชอบพูดตรงๆ แต่การกระทำก็ค่อนข้างชัดเจน
หมิงเทียนชี้ชวนเพกาดูมุมต่างๆแนะนำว่ามุมไหนคืออะไร ทั้งสองถ่ายภาพร่วมกันบ้าง
“เรือนี่ใช้เพื่อการท่องเที่ยวอย่างเดียวหรือคะ” เพกาถาม
“ครับ จากบนเรือ เราจะมองเห็นความสวยงามของอ่าววิกตอเรียได้เกือบหมด ตัวเรือเป็นเรือสำเภาโบราณ สัญลักษณ์ของเกาะฮ่องกง”
“ด้วยภูมิประเทศ ฮ่องกงเป็นท่าเรือน้ำลึก เป็นเมืองท่าที่สำคัญมาตั้งแต่อดีต คำว่าฮ่องกงหมายถึง ท่าเรือหอมเพราะเป็นท่าเรือสำหรับค้าขายไม้หอม”
“ถูกต้อง ความรู้รอบตัวใช้ได้”
มองออกจากบนเรือเห็นความงามของทิวทัศน์ไปทั่วบริเวณ …
“จีนและอังกฤษ กระทบกระทั่งกันเรื่องการค้าฝิ่น อังกฤษบีบบังคับให้จีนลงนามให้เช่าเกาะฮ่องกงเป็นเวลา 99ปี ระหว่างนั้นอังกฤษได้ช่วยพัฒนาฮ่องกงจนกลายเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ ในปี 1997 อังกฤษได้ส่งคืนฮ่องกงให้แก่จีน”
“เก่งมาก ทุกวันนี้ เราเป็นเขตปกครองพิเศษ รัฐบาลปักกิ่งรับผิดชอบด้านกิจการต่างประเทศ การทหาร และความมั่งคงเท่านั้น ส่วนการบริหารยังคงให้อิสระแก่ชาวฮ่องกงเหมือนเดิม"
เย็นอีกวันหนึ่ง ทั้งสองเดินไปคุยไปที่ Golden Bohinien และชมบรรยากาศวิวริมอ่าว หมิงเทียนต้องการใช้ช่วงเวลานี้เพื่อให้รู้จักตัวตนของเพกา ไม่ใช่ตัวแทนสุคนธา
“อ้าวทำไมเงียบไปล่ะคุณ ถามมาอีกได้เลย ผมพร้อมตอบเต็มที่ อีเมล์กับโปสการ์ด”
“โปสการ์ด ภัณฑรักษ์ที่หลงใหลของโบราณต้องโลว์เทคสุดๆอยู่แล้ว”
“ถูก กางเกงหรือกระโปรง”
“เมย์ลีคือกระโปรง งั้นคุณคือกางเกง”
“ใช้ได้”
“อาหารย่างกับอาหารผัด”
“อาหารย่าง”
“ไม่ใช่ อาหารผัด”
“จริงหรือ คุณชอบอาหารผัดหรือ อาหารจีนมักเป็นอาหารผัด คุณเหมาะที่จะแต่งงานกับคนจีนนะ”
หมิงเทียนถือโอกาสเข้าไปใกล้ชิด
“บ้าสิ”
เพกาผลักออก หมิงเทียนดึงเพกามากอดจากข้างหลังเพื่อชมวิวอ่าว
“ผมมีความสุขจัง ฮ่องกงสวยเหลือเกิน”
หมิงเทียนเคลิ้มกอดเพกาแล้วพอหันไปก็ชะงักพลันนึกได้ว่า ครั้งหนึ่ง หมิงเทียนกับสุคนธาเคยมาที่นี่
เวลากลางคืนในอดีต … หมิงเทียนกอดสุคนธาจากข้างหลัง ทั้งคู่คุยกันและมองวิวที่ริมอ่าว หมิงเทียนพูดในประโยคคล้ายๆกัน
“ผมมีความสุขจัง ฮ่องกงไม่เคยสวยอย่างนี้เลย”
หมิงเทียนยังยืนเหม่อ ตามองไปที่จุดที่อยู่กับสุคนธา จนเพการู้สึกตัวและมองหน้าหมิงเทียน “มองอะไรคะ”
“เปล่าๆ”
หมิงเทียนพยายามทำใจ ตัดใจแต่ค่อนข้างยากลำบาก
“ไปที่อื่นกันดีกว่า”
เพกาไม่รู้เรื่องจึงยิ้มๆ และเดินตาม … ไฟตามตึกต่างๆเริ่มเปิด
บริเวณเก๋งจีนในสวนแห่งหนึ่งของฮ่องกง เพกาเดินดูรอบๆ หยุดถ่ายรูปบ้าง หมิงเทียนถ่ายรูปเพกาบ้าง ถ่ายคู่กันบ้าง สักครู่หมิงเทียนบอกเพกา
“คุณเดินเล่นอยู่แถวนี้นะ เดี๋ยวผมไปซื้อกาแฟมาให้”
“ไม่ต้องไปหรอกค่ะ … ไกล”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมรู้ว่าคุณชอบดื่มกาแฟ แป๊บเดียวเอง”
หมิงเทียนจะเดินไป แต่เพกาคว้าข้อมือไว้
“ถ้าคุณอยากทำอะไรให้ฉันจริงๆ คุณทำนี่ดีกว่า”
เพกาดึงซองออกมาจากกระเป๋าสะพายให้ หมิงเทียนเปิดดู
“ตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทยที่ผมเคยให้คุณ”
“เอาไปแลกคืนเป็นเงินก่อนมันจะหมดอายุเถอะค่ะ ถ้าฉันขออะไรจากคุณได้ อยากขอสัญญาจากคุณ ไม่ว่าฉันจะต้องเผชิญอะไรต่อไปจากนี้ คุณจะอดทนและไม่ไล่ฉันกลับเมืองไทยอีก”
“ผม ผมไม่แน่ใจ”
“ฉันอยากบอกคุณเหมือนที่บอกแม่ ในขณะที่คุณห่วงฉัน ฉันกลับรู้สึกมั่นใจมากขึ้นทุกที ฉันจะหาฆาตกรที่ฆ่าเมย์ลีพบ ฉันจะปลอดภัย ฉันอยากให้แม่ อยากให้คุณเชื่อในสิ่งที่ฉันเชื่อ”
“คุณกำลังขอในสิ่งที่ผมกลัวที่สุด”
“เชื่อฉัน ฉันกำลังจะพบฆาตกรตัวจริง ฉันกับเมย์ลี เราเข้าใกล้เป้าหมายของเราแล้ว เชื่อฉัน”
หมิงเทียนนิ่งสงบ ไม่โต้แย้งใดๆแม้ใจเป็นห่วง
ในเวลาต่อมา หมิงเทียนพาเพกามาดินเนอร์ร้านอาหารจีน บริกรยกอาหารจานหลักมาเสิร์ฟพร้อมข้าว 2 ถ้วย หมิงเทียนใช้มือหนึ่งถือชามข้าว อีกมือถือตะเกียบ
“ดูนะครับ”
หมิงเทียนเอาตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปาก
“ลองดูครับ”
เพกามองแล้วทำตาม แรกๆยังใช้ตะเกียบไม่เก่งจนทำข้าวหกไปบ้าง แต่ก็พยายามจนดีขึ้น
“เรียนรู้ไวนี่ ทำเรื่องย้ายมาอยู่ฮ่องกงพรุ่งนี้เลยมั้ยครับ”
เพกามองค้อนหมิงเทียนที่ชอบเกี้ยวอยู่เรื่อย บริกรยกน้ำแกงมาเสิร์ฟ 2 ถ้วยและไม่มีช้อนมาให้
“ต่อไปการกินน้ำแกง”
“อันนี้รู้ค่ะ เคยเห็นในหนังจีนกำลังภายใน”
เพกายกน้ำแกงขึ้นซด เสียงดัง ซู้ด หมิงเทียนหัวเราะขำ
“เอ๊าที่ฉันรู้มา คนจีนชอบให้ซดน้ำแกงเสียงดัง ๆ หมายถึงว่า อร่อย”
“รู้มาผิดแล้วล่ะครับ เมื่อกี้คุณ อี๋ มูมมามมาก” หมิงเทียนแกล้งทำหน้ารังเกียจสุดๆ
เพกาหน้าง้ำตีหมิงเทียนที่หัวเราะและมองเพกาอย่างรักใคร่เอ็นดู
สักครู่หมิงเทียนทอดสายตามองไปที่โต๊ะเบื้องหน้า ภาพอดีตสุคนธากับหมิงเทียนนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงเหมือนเวลานี้ จนเขารู้สึกผิดในใจตัวเอง เพกามองตามอย่างงงๆ
“เจอคนรู้จักหรือคะ”
หมิงเทียนส่ายหน้ากินข้าวต่อ ในใจยังคงต่อสู้กับความรู้สึกตัวเองในเรื่องนี้คนเดียว
กลางคืนวันเดียวกัน ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจ้า เหวินเยี่ยนอนอ่านบทกวีจีนบนเตียง พลางมองเหม่ยอิงที่ประทินผิวอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งอย่างชื่นชมในความงาม
“มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง - บทกวีนี้ยังเปรียบเปรยความงามของเธอไม่ได้ เหม่ยอิง”
เหม่ยอิงเดินเยื้องย่างด้วยแววตาสิเน่หามาหาเหวินเยี่ยที่เตียง แล้วลูบไล้แผ่นอกเหวินเยี่ยอย่างแผ่วเบาเร้าอารมณ์
“นานแล้วนะคะ ที่เราไม่ได้...” เหม่ยอิงก้มลงกระซิบที่ข้างหูเหวินเยี่ย
เหม่ยอิงส่งสายตาเย้ายวนและจะจูบเหวินเยี่ย
“คืนนี้ฉันเหนื่อย ไปสโมสรมาทั้งวัน”
เหม่ยอิงชะงักก่อนฝืนยิ้ม
“งั้นพักผ่อนนะคะ”
เหม่ยอิงนอนลงหันหลังให้เหวินเยี่ยด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ระอา
“ไอ้ผัวแก่ ไม่มีน้ำยา” เสียงก้องในใจของเหม่ยอิงบอก
เหวินเยี่ยยังหันไปเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือบทกวีต่อ
เช้าวันใหม่ ภายในพิพิธภัณฑ์บ้านตระกูลเจ้า เพกาเดินไปมาก้มหน้าครุ่นคิดเรื่องฆาตกร
“เพ่ยเพ่ย คุณจิ้น คุณเหลียนตัดออกไม่ใช่ฆาตกรแน่ๆ ยังเหลือใครอีกบ้างเนี่ย”
หมิงเทียนเดินมาหาแล้วถาม
“งานภัณฑารักษ์ต้องนับมด แมลงสาบในพิพิธภัณฑ์ด้วยหรือ”
เพกาเงยหน้าขึ้นถาม
“ไหนมด ไหนแมลงสาบ”
“ก็เห็นเดินไปมา”
“พอดีว่างๆก็เลยคิดเรื่อง”
หมิงเทียนชิงพูดอย่างรู้ทัน
“ฆาตกรฆ่าเมย์ลี”
เพกายิ้มแห้งพยักหน้ายอมรับ
“ก็ไหนว่าติดต่อเขาได้ ทำไมไม่ถามเมย์ลีล่ะ”
“คุณเมย์ลีก็ไม่รู้ เธอเคยมาเข้าฝันว่าเธอไม่รู้”
“มาในฝัน”
“คุณเมย์ลีไม่ได้มาหาฉันได้บ่อยๆ ต้องมีเหตุจำเป็น เอ้อ...แบบพลังจิตของเราหรือไม่ก็ของคุณเมย์ลีต้องแรงกล้า อะไรทำนองนั้น"
หมิงเทียนถอนใจ
“ผมขอยืนยันอีกครั้ง คนในบ้านผมไม่มีใครทำเมย์ลีลงหรอก เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ”
เพกาไม่อยากเถียงแต่วางเฉย
กี่เพ้า ตอนที่ 10 (ต่อ)
จิ้นเจินในชุดทำงานเคาะประตูห้องทำงานของเหวินเยี่ยในคฤหาสน์ตระกูลเจ้า ภายในห้องเหวินเยี่ยกำลังจิบน้ำชาดูทีวีอยู่
“พี่เยี่ยเรียกหาผม มีอะไรครับ”
“เรื่องน้ำมันหอมระเหยตัวใหม่ถึงไหนแล้ว”
“จะวางตลาดเดือนหน้าครับ”
เหวินเยี่ยมองทีวีที่กำลังนำเสนอคลิปหลุดเกี่ยวกับเด็กๆ ต่อเนื่องกัน
“น่ารักดีนะ”
“ครับ”
“จิ้น เมื่อไหร่แกกับเหลียนจะมีลูก”
เหวินเยี่ยถามไปเรื่อยๆ เพราะรายการทีวีมาดลใจไม่ได้มีอะไรมาก แต่จิ้นเจินกลับตกใจด้วยความระแวง
“พี่.. พี่เยี่ยถามทำไมครับ เหลียนคุยอะไรกับพี่”
จิ้นเจินถามหน้าตาตื่นเพราะกลัวอวี้เหลียนจะมาฟ้องเรื่องเป็นชู้กับเหม่ยอิง
“เหลียนไม่ได้คุยอะไร ทำไมต้องตกใจ ฉันถามคำถามนี้แกออกบ่อย ฉันอยากให้บ้านเรามีเด็กเล็ก ๆ วิ่งเล่นจะได้สดชื่น"
“ผมกับเหลียนคงไม่มีลูกด้วยกันครับ”
“ทำไมล่ะ แกไม่รักเด็กเหรอ”
“รักครับ ผมรักเด็ก”
“งั้นทำไมถึงไม่อยากมีลูก หรือแกมีผู้หญิงอื่น”
จิ้นออกอาการกลัวมากขึ้นปากคอสั่น
“ทำไม ทำไมพี่เยี่ยถามแบบนี้ล่ะครับ”
เหวินเยี่ยสงสัย
“แกต้องมีอะไรปิดบัง ถูกจี้ถามเรื่องผู้หญิง ปากคอสั่น จิ้น แกนอกใจเหลียนใช่มั้ย”
“ไม่ ไม่ครับ ผมกับเหลียนเรารักกันดี เราแค่ ไม่อยากมีลูก”
“แกไม่เคยได้ยินคำโบราณหรอ มีลูกจนไม่นาน ไม่มีลูกรวยไม่ยืด แกต้องมีลูกไว้สืบทอดงาน เรื่องนี้สำคัญมากนะจิ้น เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิตต้องคิดเป็นสองเท่า”
“ครับผมจะเก็บไปคิดดู ผมไปทำงานนะครับ”
จิ้นเจินรีบไป เหวินเยี่ยไม่ได้ติดใจสงสัย จิบน้ำชาดูทีวีต่อ
ในเวลาต่อมา ภายในบริษัทเจ้าฟาร์มาซี จิ้นเจินฉุดแขนอวี้เหลียนเข้ามาในห้องทำงาน เมื่อปิดประตูสนิทก็เหวี่ยงอวี้เหลียนในทันที
“โอ๊ย อะไรกันคะคุณจิ้น”
“เธอบอกอะไรพี่เยี่ย เมื่อเช้าพี่เยี่ยเรียกฉันไปถาม ฉันมีชู้หรือเปล่า”
“ถึงฉันอยากประจานคุณแค่ไหน ฉันก็ไม่พูด ผัวมีชู้เมียที่ไหนไม่อับอาย ยิ่งกับคุณพี่ ฉันยิ่งพูดไม่ได้ก็คุณเล่นชู้กับเมียคุณพี่”
“งั้นก็ต้องเป็น...เพกา เพราะเธอ เธอทรยศฉันเอาเรื่องไปบอกมัน”
“คุณพิ้งค์รับปากแล้วจะไม่บอกคุณพี่ คุณมันวัวสันหลังหวะ ระแวงไปเอง ต่อไปนี้ ชีวิตคุณคงอยู่อย่างสงบสุขไม่ได้ต้องระแวงกลัวคุณพี่จะรู้ สมควรแล้ว ทำชั่วย่อมได้ชั่ว”
อวี้เหลียนเริ่มมีจิตใจฮึดสู้ขึ้นบ้างแล้วจนกลัวจิ้นเจินเริ่มน้อยลง จิ้นเจินโมโหตบหน้าอวี้เหลียน จนร้องโอ๊ย แล้วเซไปชนของบนโต๊ะหล่น เสียงดัง
เลขาสาวหน้าห้องเคาะประตูแล้วเปิดประตูเข้ามาดู เห็นอวี้เหลียนเอามือกุมแก้มตัวเองอยู่ จิ้นเจินอยู่ในอาการโมโหจัด เลขาสาวรู้ว่าผัวเมียตีกัน
“ขอโทษค่ะ”
เลขาฯทำท่าจะออกไป แต่จิ้นเจินกลับดึงเลขาฯเข้ามาโอบพลางลูบไล้ต้นแขนช้าๆเพื่อเยาะเย้ยอวี้เหลียน
“ไม่ต้องไป เดี๋ยวออกไปหาลูกค้ากับผม แล้วแวะ… ซักชั่วโมงสองชั่วโมง”
“นี่คุณกับนังคนนี้”
“ใช่”
จิ้นเจินหอมแก้มเลขาฯเยาะเย้ยอีก เลขารู้สึกกลัวอวี้เหลียน
“เลว เลวทั้งคู่”
อวี้เหลียนจะตบหน้าเลขา แต่จิ้นเจินคว้าข้อมือไว้แล้วทำตาดุใส่
“อย่านะ”
“คุณทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไงคุณจิ้น คุณมีหัวใจหรือเปล่า”
“มีสิ ผมมีหัวใจ แต่ ไม่ได้มีไว้เพื่อคุณ”
อวี้เหลียนร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“อย่าเหยียบย่ำฉันนักเลย เห็นใจฉันบ้าง”
“เห็นใจเหรอ ผมสมเพชตัวเองมากกว่าที่เลือกแต่งงานกับผู้หญิงโรคจิตอย่างคุณ”
“ไปจ้ะ” จิ้นเจินหันไปหวานใส่เลขาฯ แล้วเดินโอบเลขาฯออกไป อวี้เหลียนปล่อยโฮ
บริเวณหน้าห้อง พนักงานทยอยเดินมามุงดูด้วยความงงๆ
อวี้เหลียนปิดประตูทรุดนั่งลงร้องไห้อย่างหนัก ตบหน้าตัวเองเหมือนคนบ้าตามอาการของโรคจิตที่แสดงตัวในบางเวลา
“ฉันมันไม่เอาไหน ฉันมันไม่เอาไหน ฮือ นี่แน่ะ นี่นี่ ฮือ ฉันเกลียดตัวเอง ฉันเกลียดตัวเอง ฮือ” อวี้เหลียนคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร
เวลากลางคืนวันเดียวกัน อวี้เหลียนนั่งอยู่โซฟาห้อง เพกาทายาบริเวณหน้าที่เป็นรอยแดงจาก
การตบหน้าตัวเอง อวี้เหลียนน้ำตารินออกมา เพกาพูดขึ้น
“คนทำร้ายตัวเองอย่างคุณเพื่อเรียกร้องความสนใจให้คู่กรณีหันมาใส่ใจ เรียกร้องให้เขารู้สึกผิด สักวันมันจะพัฒนาไปสู่การฆ่าตัวตาย คุณรู้ตัวไหม”
“คุณจิ้นมีอะไรกับเลขา คราวนี้เขาบอกตรงๆ”
“เขาต้องการล้างแค้นที่คุณเปิดโปงเขา คุณไม่มีทางเลือกแล้ว เขาจะใช้ชีวิตต่อไปจากนี้เพื่อแก้แค้นคุณ”
“ฉันแค่อยากให้เขาหยุด อยากให้เขารู้ว่าฉันทำอะไรได้บ้าง อยากให้เขาเจ็บเหมือนที่ฉันเจ็บ”
“ระหว่างคุณสองคนไม่มีความรักเหลืออยู่แล้ว มีคู่แต่งงานหลายคู่อยู่เพื่อสิ่งที่ไม่ใช่ความรักแต่เพื่อทำร้ายกัน มันไม่เหมาะกับคุณเพราะคุณจะเป็นคนที่ตายก่อน คุณต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน คุณต้องออกจากสิ่งเร้าพวกนี้”
“ฉันก็ต้องถูกเหม่ยอิง ถูกผู้หญิงพวกนั้น โดยเฉพาะคุณจิ้นเยาะเย้ย เขาคงดีใจที่เอาคนอ่อนแออย่างฉันออกไปจากชีวิต”
“ชีวิตสุขหรือทุกข์ อ่อนแอหรือเข้มแข็งอยู่ที่ใจตัวเอง ไม่ใช่ขี้ปากคนอื่น หน้าสวยๆ มือสวยๆ จิตใจแสนดีดวงนี้ต้องไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้เสียที ใช้ความกล้าเดินออกไปซะนะคะ เดินออกไปซะ”
อวี้เหลียนกอดเพการ้องไห้
วันใหม่ เวลากลางวัน บริเวณโต๊ะสนามหน้าบ้าน หมิงเทียนกับเพกานั่งกินของว่างและคุยกัน
“คุณบอกน้าเหลียนให้หย่าหรือ”
“ค่ะ คนเราส่วนใหญ่กลัวที่สุดคือกลัวการเปลี่ยนแปลง ความกลัวนี่ล่ะ ถ้าเอามันออกไปได้ เราจะพบอิสรภาพในใจ จะพบสุขสงบอย่างแท้จริง”
“ตอนนี้ที่บริษัทก็คุยเรื่องน้าจิ้นกับน้าเหลียนกันสนุกปากจนผมต้องสั่งห้ามนินทา ผมว่าถ้าไม่มั่นใจว่าซื่อสัตย์ต่อคู่ชีวิตได้ก็ไม่ควรแต่งงาน ทำผู้หญิงเค้าเสียใจเปล่าๆ”
“ผู้ชายทุกคนไม่ได้คิดอย่างคุณนี่คะ เล่าเรื่องคุณกับคุณเมย์ลีให้ฉันฟังซีคะ พวกคุณสองคนแอบรักกันยังไงไม่ให้พ่อแม่รู้”
“อยู่ ๆ ก็ถามถึงอดีต”
“ฉันจะใช้เป็นข้อมูลหาตัวคนร้ายค่ะ”
“งั้นผมไม่เล่า”
เพกายิงคำถามเป็นชุด
“งั้นฉันจะถามไม่หยุด คุณเมย์ลีรับรักคุณตอนไหน พวกคุณนัดเจอกันที่ไหน จับมือกันครั้งแรกเมื่อไหร่ เวลาอยู่ในบ้านพวกคุณปฏิบัติต่อกันยังไง พวกคุณ”
หมิงเทียนยกมือห้ามให้เพกาหยุด
“ก็ได้ ๆ ผมจะเล่าให้ฟัง ตัดรำคาญ”
เพกายิ้มอย่างยินดีเป็นที่หมิงเทียนรำคาญ
สีหน้าของหมิงเทียนนึกถึงอดีตที่จะเล่า
วันหนึ่งในอดีต ลี่ผิงกำลังสอนสุคนธาทำครัว หมิงเทียนเข้ามาแอบมองอยู่
“หมิงซานต่อไปต้องดูแลตระกูลเจ้า ภาระยิ่งใหญ่ตกเป็นของเมย์ลีด้วย แต่งงานกันแล้ว เมย์ลีต้องช่วยดูแลหมิงซานให้ดี ทำทุกอย่างให้หมิงซานมีความสุข”
“ค่ะ คุณแม่”
ลี่ผิงมองไปที่ซึ้งนึ่งซาลาเปาบนเตาแล้วบอก
“ได้แล้วล่ะ”
สุคนธาสีหน้าเศร้าๆเดินไปเปิดเตานึ่งซาละเปาไส้หมูแดงออกมา ลี่ผิงหยิบมาชิม
“อืมดี จำสูตรไว้ให้ดีล่ะ แบบนี้แหล่ะที่หมิงซานชอบมาก”
หมิงเทียนเดินมาหยิบซาละเปาไปกิน กินไปก็ร้อนไปเพราะเพิ่งยกขึ้นจากเตา
“นี่ ไส้หมูแดงนี่ของพี่เขานะ ของเราไส้ถั่วเหลืองอยู่โน่น อาซิ่วเขาทำไว้ให้แล้ว”
หมิงเทียนชักโมโห เขวี้ยงซาละเปาทิ้งเพราะเขาอยากกินอันที่สุคนธาทำ
“คุณแม่ครับ ผมสู้พี่ใหญ่ไม่ได้ตรงไหน ทำไมคุณพ่อ คุณแม่ถึงทุ่มเทความสนใจไปที่พี่ใหญ่ ยกทุกอย่างให้พี่ใหญ่คนเดียว”
“หมิงซานเป็นลูกชายคนโต เป็นความหวังของพ่อกับแม่”
“ไม่ยุติธรรม ผมแพ้เพราะผมเกิดทีหลัง แค่นี้หรือครับ”
“หมิงเทียน ลูกเคยสอบได้ที่ 1 เหมือนพี่หมิงซานมั้ย”
“ไม่เคยครับ”
“เคยได้เป็นประธานนักเรียนเหมือนพี่หมิงซานหรือเปล่า”
หมิงเทียนสลดบอก
“ไม่เคยครับ”
“มีอะไรที่ลูกเหนือกว่าพี่บ้าง”
หมิงเทียนนิ่งเงียบไม่มีคำตอบ
“ให้แม่ตอบเอง ลูกเหนือกว่าพี่หมิงซานตรงที่เกเรกว่า มีเรื่องที่โรงเรียนมาให้พ่อแม่ปวดหัวได้ทุกวัน หมิงเทียนเป็นซะอย่างนี้ จะให้พ่อกับแม่ฝากความหวังไว้ได้ยังไง”
“แล้วถ้าผมเปลี่ยนได้ ผมทำได้ ผมมีสิทธิ์ได้อะไรๆ ที่เป็นของพี่ใหญ่หรือเปล่า”
หมิงเทียนมองหน้าสุคนธาที่มองตอบอย่างงงๆ ลี่ผิงส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ
“ไว้ทำให้ได้ก่อนค่อยมาพูด”
ลี่ผิงหันไปทำครัวต่อ หมิงเทียนมองหน้าสุคนธาที่มองตอบอย่างสงสารและเห็นใจ
วันใหม่ ภายในห้องนั่งเล่น หมิงเทียนนั่งอ่านหนังสือเรียนภาษาอังกฤษกองใหญ่ สุคนธาถือแจกันดอกโบตั๋นจะมาวางห้องนี้ก็เลยเดินมาเจอเข้า
“ขอโทษค่ะ”
สุคนธารีบวางแจกันแล้วจะเดินกลับ หมิงเทียนหันมาบอก
“เมย์ลี ฉันจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่อเมริกาเหมือนพี่ใหญ่ให้ได้”
“มาบอกฉันทำไมคะ”
“เธอเชื่อมั่นในตัวฉันมั้ย”
“คุณชายรองเป็นคนเก่ง ลองตั้งใจทำอะไรจริง ก็ทำได้ทุกอย่างค่ะ”
สุคนธายิ้มให้กำลังใจหมิงเทียนแล้วเดินออกไป หมิงเทียนซาบซึ้งและดีใจ ดวงตามุ่งมั่น
บริเวณห้องโถงบันไดชั้นล่าง หมิงซานเดินทางกลับจากไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา อี่เหวินกับเจิ้ยนหลุนลากกระเป๋าเดินทางเข้ามา เหวินเยี่ยกับลี่ผิงสวมกอดลูกรัก
“เดินทางเรียบร้อยไหม”
“เรียบร้อยดีครับ”
“ลูกไม่อยู่ แม่เหงามาก นั่งนับวันเวลาให้ครบแต่ละปี มันช้าเหลือเกิน” ลี่ผิงบอก
“ปิดเทอมคราวนี้ผมคงจะอยู่นานหน่อย รอรับน้องไปด้วยกันเลย”
“รับน้อง” เหวินเยี่ยสงสัย
“อะไรกัน หมิงเทียนยังไม่ได้บอกคุณพ่อ คุณแม่หรือครับ”
หมิงเทียนเดินออกมาต้อนรับพี่ชาย
“กำลังจะบอกพอดี คุณพ่อ คุณแม่ครับ ผมสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยเดียวกันกับพี่ใหญ่ได้ครับ"
เหวินเยี่ยไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“จริงเหรอ หมิงซาน”
“ครับ คุณพ่อ”
“เก่งมาก ลูกแม่”
ลี่ผิงดึงหมิงเทียนเข้ามากอด หมิงซานโอบไหล่น้องชายดีใจด้วย เหวินเยี่ยพยักหน้าพอใจ ความสุขพรั่งพร้อมทั้งครอบครัว
บริเวณวิคทอเรีย พีค การ์เด้น หมิงเทียนนัดสุคนธามาหา
“ดีใจด้วยนะเมย์ลีที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยฮ่องกงได้”
“คุณชายรองก็เหมือนกัน เก่งนะคะ มหาลัยนั่นไม่ใช่สอบเข้าง่ายๆ”
“ทั้งหมดเพราะเธอ”
หมิงเทียนจับมือสุคนธาเป็นครั้งแรก
“เพราะเธอทำให้ฉันสอบได้”
สุคนธาพยายามดึงออก
“คุณชายรอง เดี๋ยวคนมาเห็นค่ะ”
“ฉันต้องไปเรียนต่ออเมริกาหลายปี ในขณะที่เธอต้องเรียนต่อที่นี่ เมย์ลีฉันอยากไปเมืองไทย"
“อะไรนะคะ”
“หนีไป ไปด้วยกัน ฉันอยากใช้เวลาอยู่กับเธอ”
สุคนธาตกตะลึง อึกอัก ไม่กล้า
กี่เพ้า ตอนที่ 10 (ต่อ)
“หนีไปด้วยกัน อื้อหือ เหมือนนิยายรักโรแมนติก แล้วคุณพ่อคุณแม่คุณจับได้มั้ยคะ”
เพกาถาม หมิงเทียนส่ายหน้าแล้วบอก
“ช่วงนั้นพี่ใหญ่อยู่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ไม่สนใจเราสองคนหรอก เมย์ลีบอกว่าจะไปเยี่ยมญาติที่เมืองไทย ส่วนผมก็โกหกว่าจะไปปีนเขาที่เนปาล แล้วเราก็ไปนัดเจอกันที่กรุงเทพ”
ประเทศไทย … บนถนนราชดำเนิน วัดพระแก้ว
สุคนธาพาหมิงเทียนมาหยุดมองบ้านริมน้ำหลังสวยอย่างผูกพัน บ้านนี้เป็นบ้านเก่าของเธอซึ่งไม่มีใครอยู่แล้ว ประตูหน้าต่างปิดหมดทุกบาน ใบไม้ร่วงเต็มพื้น ต้นไม้ในกระถางแห้งเฉาตาย เธอถือพวงกุญแจบ้านหลายดอกเดินนำหมิงเทียนเข้ามา
“บ้านเธอน่ารักดี”
“ถึงบ้านหลังนี้จะไม่ใหญ่โตเหมือนคฤหาสน์ตระกูลเจ้า แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความอบอุ่นของพ่อแม่ มันคือความสุข ความทรงจำที่ดีที่สุดของฉัน”
“แล้วทำไมเราไม่ค้างที่นี่ล่ะ”
“เฟอร์นิเจอร์ยกให้เขาไปหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่เป็นสิบปีป่านนี้ฝุ่นคงหนาเป็นนิ้ว นอนโรงแรมดีแล้วค่ะ”
สุคนธาเดินมองรอบๆตัวบ้าน หมิงเทียนมองตามอย่างเข้าใจความรู้สึกของสุคนธาดี
เวลาเย็นต่อมา สุคนธากับหมิงเทียนมายืนดูโรงเรียนคอนแวนต์เก่าของเธอสมัยประถม โรงเรียนเลิกแล้ว เหลือเด็กวิ่งเล่นไม่กี่คน
“โรงเรียนเก่าฉันค่ะ”
แม่ของเด็กคนหนึ่งกับลูกสาวชั้น ป.6 เดินถือกระเป๋าเดินผ่านหน้าไป
“คุณก็ใส่ชุดอย่างนี้ตอนเด็กหรือ”
“ค่ะ”
“น่ารักดีเนอะ”
เพื่อนของสุคนธา ชื่อ “ดาว” วิ่งมาหาเพราะนัดกันไว้
“เมย์ลี”
“ดาว”
ทั้งคู่ดีใจสวมกอดกัน
“เธอไม่เปลี่ยนเลยนะ” ดาวว่า
“เธอก็เหมือนกัน สวยเหมือนเดิม”
ดาวเกรงใจหันไปเจอหมิงเทียนก็กระเซ้าสุคนธา
“แฟนหรือ”
“บ้าสิ นี่คุณชายรองพี่ชายฉัน คุณชายรองคะ นี่ดาว เพื่อนสนิทตอนเรียนที่นี่ค่ะ”
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ”
ดาวกับหมิงเทียนค้อมหัวให้กัน
“อาจารย์วลัยรออยู่อยากเจอเธอมาก ไป”
ดาวจูงสุคนธา หมิงเทียนเดินตามไป
มุมหนึ่ง ภายในโรงเรียนคอนแวนต์ สุคนธาคุยกับอาจารย์วลัย วัย 45-50 ปีที่ม้าหิน ขณะที่ดาวยืนกับหมิงเทียนไม่ได้เข้าไปคุยด้วยจึงมองอยู่ หมิงเทียนคิดอะไรได้
“เอ้อ คุณดาวครับ ผมมีเรื่องจะขอร้อง”
“มีอะไรคะ”
หมิงเทียนกระซิบดาว
“โห ยากอยู่เหมือนกันนะคะ”
“ผมขอร้องนะครับ เพื่อเมย์ลี”
ดาวยิ้มแล้วบอก
“ก็ได้ค่ะ”
วันใหม่ในอดีต ที่เมืองไทย หมิงเทียนกับสุคนธาล่องแม่น้ำเจ้าพระยากับเรือท่องเที่ยว สุคนธาชี้ชวนให้ดูวัดอรุณ และจุดสำคัญต่างๆ ทั้งสองคุยกันเรื่อยๆ ท่าทางสุคนธามีความสุขเช่นเดียวกับหมิงเทียน เขามองหน้าเธอแล้วพูดคุย เคลิบเคลิ้มด้วยความรัก สุคนธาเพลิดเพลินมีความสุขต่างจากสุคนธาซึ่งอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเจ้า
เมื่อเรือถึงที่หมาย ทั้งสองเดินขึ้นมาพร้อมกับนักท่องเที่ยว
“นี่ล่ะค่ะที่เที่ยววันหยุดของฉันกับพ่อแม่ นอกนั้นเราก็ไปวัดทำบุญค่ะ มีบ้างที่ไปทะเลแต่ก็นานๆที รอพ่อเก็บตังค์ได้ก็เป็นปีน่ะค่ะ แล้วเราไปไหนต่อดีคะ”
“ไปบ้านเธอ ฉันมีอะไรจะเซอร์ไพรส์”
เมย์ลีมีสีหน้ามึนงง หมิงเทียนเดินจูงเมย์ลีเดินไป
ในเวลาต่อมา ภายในบ้านเก่าของสุคนธา ประตูหน้าต่างเปิด บ้านสะอาดเนี๊ยบ หมิงเทียนพาสุคนธาเดินเข้ามา บ้านหลังเก่าวันนี้ดูสดใสขึ้นโดยเฉพาะมีต้นไม้สีเขียวอยู่เต็มไปหมด บางต้นออกดอกบานสะพรั่ง
“ทำไมบ้านสะอาดดูมีชีวิตชีวาอย่างนี้ล่ะ คุณทำได้ยังไงคะ”
“ฝีมือเพื่อนเธอน่ะ
ดาวกับเพื่อนสาวของสุคนธาโผล่ออกมาทั้งหมดรวม 5 คน
“ดาว แมว เจี๊ยบ นก ปู ขอบใจมากนะ”
เพื่อนทุกคนพยักหน้ายิ้มแย้ม
“ไอเดียคุณชายรองน่ะจ้ะ คุณชายรองออกตังค์จ้างคนมาช่วย กับซื้อต้นไม้พวกนี้ พวกเราแค่ใช้ความจำว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เข้าไปดูในบ้านสิ” ดาวบอก
เพื่อนๆและสุคนธาเดินเข้าไปในบ้าน หมิงเทียนเดินตามด้วยแววตามีความสุขที่ได้ทำอะไรให้คนรัก
ภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ชิ้นต่างๆ รวมถึงรูปเก่าพ่อ-แม่ของสุคนธาถูกจัดวางอยู่ สุคนธามองอย่างตื้นตันใจ กลุ่มเพื่อนและหมิงเทียนยืนดูอยู่
“เฟอร์นิเจอร์พวกนี้”
“ไปซื้อต่อจากน้าเธอบ้าง ไปร้านขายของเก่าบ้าง เถียงกันแทบตายว่าอันเก่าของเธอ หน้าตาเป็นไง”
สุคนธาเดินเข้าไปดู... เห็นชุดโซฟาที่พ่อแม่ และเธอตอนเป็นเด็กนั่งดูทีวีกัน, บนโต๊ะอาหารที่พ่อแม่และเธอสมัยเด็กเคยกินอาหาร, บริเวณเฉลียงริมน้ำ เธอนอนหนุนตักพ่อ แม่นั่งปอกผลไม้ ชมวิวแม่น้ำ ครอบครัวมีความสุข
สุคนธาน้ำตาไหลเดินเข้ามาจับมือดาว
“ขอบใจมากดาว ขอบใจทุกคนมากนะ”
สุคนธาน้ำตาร่วงคิดถึงชีวิตแสนสุขในวัยเด็ก
บนโต๊ะอาหาร หมิงเทียน สุคนธา ดาวและเพื่อนๆนั่งกินข้าวกันแบบง่ายๆ คุย ยิ้มแย้มให้กัน หมิงเทียนเป็นผู้ฟังที่ดี หลังมื้ออาหาร สุคนธาและหมิงเทียนออกมายืนส่งเพื่อนๆ
“พวกเราไปก่อนนะ” ดาวว่าพลางกระซิบบอก
“แฟนเธอคุยไม่เก่งแต่ก็น่ารักดี”
สุคนธาหยิกดาว
“เอ๊ะนี่บอกว่าพี่ชาย”
ดาวกับเพื่อนๆหัวเราะค้อมหัวให้หมิงเทียน
“ไปนะคะ”
“ขอบคุณมากครับทุกคน”
ดาวกับเพื่อนๆขึ้นรถ ดาวขับออกไปพร้อมเพื่อนๆที่นั่งรถคันเดียวกัน สุคนธาและหมิงเทียนยืนส่งเพื่อนมองตามรถที่แล่นออกไป
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง สุคนธาหยิบรูปที่วางอยู่เดินมานั่งดูที่เฉลียงริมน้ำ หมิงเทียนเดินตามมาหามานั่งคุยด้วย
“ฉันดีใจที่เห็นเธอมีความสุขนะเมย์ลี”
“คุณดีกับฉันเหลือเกิน ขอบคุณนะคะสำหรับทุกอย่างในวันนี้”
สองหนุ่มสาวสบตากัน แววตาไม่อาจปกปิดความรักที่มีต่อกัน หมิงเทียนมองรูปพ่อแม่สุคนธาแล้วบอก
“เธอเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ต้องรักเธอมากที่สุดสินะ”
“ค่ะ พอฉันเกิด พ่อก็ให้แม่ออกจากงานเลี้ยงลูกอยู่บ้านอย่างเดียว”
“ปู่ย่าตายายไม่ช่วยเลี้ยงหรือ คนไทยเป็นครอบครัวใหญ่เหมือนคนจีนนี่”
“ครอบครัวพ่อฉันเป็นคนจีนโพ้นทะเลค่ะ ทุกคนต้องทำมาค้าขาย ส่วนครอบครัวทางแม่ไม่ยอมรับพ่อค่ะ” เสียงสุคนธาเศร้าลงเล็กน้อย
“เพราะอะไร”
“คุณตาฉันเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไม่ปลื้มลูกเขยต่ำต้อย จน ๆ คุณตาบังคับให้แม่แต่งงานกับข้าราชการคนหนึ่ง แม่เลยหนีมากับพ่อ คุณตาคุณยายโกรธมาก ตัดขาดแม่ ฉันไม่เคยเจอคุณตาคุณยายเลยค่ะ”
“แม่เธอกล้าหาญมาก เธอล่ะ ไม่คิดจะทำอย่างแม่บ้างหรือ”
“ทำอะไรคะ”
“ทำตามหัวใจตัวเองไง เธอไม่ได้รักพี่ใหญ่ เธอไม่ควรยอมแต่งงานกับพี่ใหญ่”
“การแต่งงานก็ไม่ใช่เพื่อความรักเพียงอย่างเดียวนะคะ แต่เพื่อความถูกต้องความเหมาะสมด้วย”
หมิงเทียนจับสุคนธาหันหน้ามาหาแล้วจูบที่หน้าผากอ่อนโยน
“คุณชายรอง”
สุคนธาตกใจ หมิงเทียนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คบกับฉันนะเมย์ลี เหมือนที่พ่อแม่เธอดึงดันคบกัน แม้ถูกไล่ออกจากบ้านท่านก็ไม่กลัว ทั้งสองท่านถึงจะลำบากแต่มีความสุข ฉันอยากมีความสุขกับเธอไปตลอดชีวิต เมย์ลี”
สุคนธาตื้นตันดีใจ
“คุณชายรอง”
“ฉันรู้...เธอคิดเหมือนฉัน เราต่างมีใจตรงกันใช่มั้ย”
สุคนธายิ้มก้มหน้าอายเป็นเชิงยอมรับ ก่อนจะกลายเป็นแววตาสับสน
“เราจะทำได้จริงหรือคะ ฉันต้องแต่งงานกับคุณชายใหญ่”
“อย่าแต่ง เธอไม่ยอมซะอย่าง คุณพ่อคุณแม่ก็บังคับไม่ได้ ฉันจะบอกท่านว่าเรารักกัน ถ้าท่านไล่เราออกจากบ้าน เราก็จะย้ายมาอยู่ที่นี่ เธอรักบ้านหลังนี้มากไม่ใช่หรือ”
“คุณชายรอง” สุคนธาซาบซึ้งใจ
“ฉันไม่กลัวหรอกนะที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ คุณพ่อกับคุณแม่มีพี่ใหญ่อยู่แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องมีเราสองคนก็ได้ สร้างครอบครัวกับฉันนะเมย์ลี เรามาสร้างชีวิตใหม่ของเราด้วยกัน”
สุคนธาไม่เอ่ยปากรับคำแต่ซบหน้ากับบ่าของหมิงเทียน สองหนุ่มสาวกุมมือกันชมดวงจันทร์
มุมเดิมที่โต๊ะสนามหน้าบ้าน เพกาถามหมิงเทียน
“คุณสองคนถึงขั้นวางแผนสร้างครอบครัว โหรักกันถึงขนาดนี้แต่ต้องผิดหวัง น่าเศร้าจังนะคะ”
“หลังจากเมย์ลีตาย ผมไม่กล้าฝันอะไรอีกเลย” หมิงเทียนบอก
“คุณหมิงซานรู้มั้ยคะว่าพวกคุณรักกันมาก”
“รู้”
“อ้าว แล้วทำไมคุณหมิงซานไม่ช่วยพูด เป็นพี่ก็ต้องเสียสละให้น้องช่วยให้น้องมีความสุข”
“พี่ใหญ่ไม่กล้าขัดใจคุณพ่อคุณแม่”
“ไม่กล้าขัดใจนั่นเรื่องหนึ่ง แต่การที่ตัวเองก็เป็นเกย์แล้วมาแต่งงานกับผู้หญิง เท่ากับหลอกใช้ผู้หญิงสร้างภาพ”
“ห้ามพูดถึงพี่ใหญ่แบบนี้”
“ก็มันจริงนี่คะ พี่ชายคุณเป็นเกย์”
หมิงเทียนไม่ชอบที่จะได้ยินอะไรตรงๆแบบนี้
“นี่คุณ อย่าพูดแบบนี้”
“ทำไมล่ะคะ”
หมิงเทียนไม่รู้จะอธิบายยังไง
“ผมไม่มีอะไรจะคุยแล้ว”
หมิงเทียนหัวเสียเดินไปทันที
“หือ แตะพี่ชายไม่ได้เลยนะ”
กลางคืนวันเดียวกัน ภายในห้องดอกไม้ เพกาแอบทำแผนภูมิ ใครคือฆาตกรฆ่าเมย์ลี
เพกาตัดใบหน้าทุกคนจากรูปถ่ายหมู่ตระกูลเจ้ามาแล้วแปะใบหน้าบนกระดาษพร้อมเขียนชื่อประกอบ โดยแผนภูมินี้ เพกาเก็บซ่อนไว้ในห้องดอกไม้
เพกาใช้ปากกาเมจิกฆ่าชื่อทิ้ง
“ไม่ใช่คุณเพ่ยเพ่ย คุณเหลียน คุณจิ้น”
ทั้งนี้เพราะ หลินเพ่ยกับจิ้นเจินกำไลยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แม้ว่ากำไลของอวี้เหลียนจะแตกก็มาจากการทะเลาะเบาะแว้งกับสามี
เพกามองใบหน้าผู้ต้องสงสัยที่เหลือ มีหมิงเทียนที่เพกาเขียนกำกับใต้ชื่อว่ากำไลแตก, เหม่ยอิง เขียนกำกับว่าไม่เห็นกำไล, ลี่ผิงเขียนไม่เห็นกำไลและเหวินเยี่ยเขียนกำไลไม่แตก
“สืบใครต่อดี”
เพกาเลือกวงใบหน้าเหม่ยอิงเป็นรายต่อไป
“วัดกันที่จิตใจแล้ว คนนี้แหล่ะที่น่าจะเป็นฆาตกรที่สุด”
วันใหม่ เหม่ยอิงสวมเสื้อคลุมอาบน้ำนั่งให้เทอราปิสต์สาวคนหนึ่งนวดหน้าอยู่ในห้องสปา ภายในห้องตกแต่งอย่างสวยงาม มีชั้นวางครีมประทินผิวและอุปกรณ์ทำสปาทั้งหลาย เพกาโผล่มาแอบดูที่มุมหนึ่งของห้อง...
เทอราปิสต์เอาเท้าเหม่ยอิงที่แช่น้ำอุ่นขึ้นมาซับเท้าให้แห้งก่อนตัดเล็บเท้าให้ แต่บังเอิญทำเหม่ยอิงเจ็บจนร้อง
“โอ๊ย ตายแล้ว เลือดออก”
เทอราปิสต์กุมมือโค้งคำนับขอโทษเหม่ยอิง
“ขอโทษค่ะคุณนายรอง ขอโทษค่ะ”
เหม่ยอิงยกชามโคมใส่น้ำอุ่นที่อิงแช่เท้าเมื่อครู่สาดใส่หน้าเทอราปิสต์
“แผลฉันเป็นอาทิตย์กว่าจะหาย แกเปียกแค่นี้ ไม่ต้องมามองหน้า”
เหม่ยอิงเรียกเทอราปิสต์อีกคนเข้ามา
“เธอมาทำแทน”
เพกาอึ้งกับความร้ายกาจของเหม่ยอิง พลางคิด
“ต่ำ ผู้หญิงชั้นต่ำขนานแท้ รูปลักษณ์ภายนอกสวยก็เท่านั้นแต่ใจทราม”
เพกาเดินกลับออกไป
จบตอนที่ 10
อ่านต่อตอนที่ 11 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.