xs
xsm
sm
md
lg

ไฟมาร ตอนที่ 17

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไฟมาร ตอนที่ 17

คืนเดียวกันนั้น ท่ามกลางความมืดในห้อง กรรณนรีนอนอยู่บนเตียง ท่าทางกระสับกระส่าย

“คุณสรวง...คุณอย่าเป็นอะไรนะ...อย่าเป็นอะไร”
จังหวะนั้นประตูห้องค่อยๆ ถูกเปิดออก เห็นเป็นสรวงหล่อเหลา สวมชุดสูทสีขาวสะอ้าน รอบตัวมีรัศมีสีขาวฟุ้งๆ สรวงทรุดตัวลงนั่งข้างกรรณนรี เรียกสุ้มเสียงอ่อนหวาน
“กรรณนรี”
กรรณนรียังไม่ตื่น นอนกระสับกระส่ายอยู่อย่างนั้น สรวงก้มลงบรรจงจูบที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา ละมุนละไม
“ตื่นได้แล้วจ้ะ”
กรรณนรีลืมตาขึ้นมา “คุณสรวง...” หญิงสาวมองอย่างดีใจ “นี่คุณไม่ได้เป็นอะไรเหรอคะ”ผวาตัวกอดสรวงแน่น “ฉันดีใจ ดีใจที่สุดเลย”
สรวงมองกรรณนรีหน้าเศร้า เอามือเกลี่ยไรผมให้กรรณนรีอย่างอ่อนโยน บอกเสียงเศร้า
“ฉันจะเป็นอะไรได้ยังไง..ในเมื่อฉันรู้...เธอรอฉันอยู่”
กรรณนรียิ้มกว้าง “ฉันรักคุณค่ะ ฉันรักคุณ” กรรณนรีกอดสรวงแน่น
“ฉันก็รักเธอ”
กรรณนรีช้อนตาเงยหน้าขึ้นมามอง สรวงก้มลงจูบกรรณนรีอีก พลางบอก
“ฉันไปเจอสวนแห่งหนึ่ง..สวยมาก....เธอไปเที่ยวกับฉันนะ”
“ค่ะ คุณสรวง”
สรวงจูงมือกรรณนรี เดินออกไป สองคนเดินตรงไปที่ประตู

ทั้งคู่มาปรากฎตัวขึ้นภายในสวนดอกไม้ สวยราวกับภาพวาดในจินตนาการ สรวงจับมือกรรณนรีแน่น ขณะที่กรรณนรีมองภาพตรงหน้าอย่างตะลึงพรึงเพริด
“ที่นี่คือที่ไหนคะคุณสรวง...สวยจังเลย”
“ที่..ที่มีแค่เธอกับฉันแค่สองคน...เธอชอบมั้ย”
“ชอบสิคะ...สวย...สวยมาก”
“งั้นฉันจะมาอยู่ก่อน มาทำที่นี่ให้เป็นวิมานของเรา รอวันที่เธอมาถึง”
กรรณนรียิ้มกว้างสีหน้าฉงน “ทำไมต้องรอล่ะคะ”
“ก็...ฉันต้องมาอยู่ก่อนเธอไง...วันที่เธอมาถึง...ที่นี่..จะได้สวยขึ้น สวยยิ่งขึ้นกว่าเดิม”
กรรณนรีมองสบตาสรวงอย่างอบอุ่น สรวงก้มลงจูบกรรณนรีอีกแล้วพูดเสียงแผ่วเบา
“ฉันจะรอวันที่เราได้อยู่ด้วยกันนะ กรรณรี”
สรวงปล่อยมือแล้วเดินหายไป กรรณนรีมองอย่างงุนงง เรียกไว้
“คุณสรวงๆ”
กรรณนรีเดินตาม แต่สรวงช่างเดินไวเหลือหลาย จนกรรณนรีตามไม่ทัน

พอกรรรณนรีวิ่งตามมาเห็นเป็นอีกบริเวณในสวนสวย แต่ไม่มีแม้เงาของสรวง กรรณนรีตะโกนเรียกหา
“คุณสรวง..คุณอยู่ไหน...อย่าทิ้งฉันไปอย่างนี้ คุณสรวง”
กรรณนรีตะโกนสุดเสียง แต่สรวงไม่เหลียวกลับมา

เสียงกาวินทร์เคาะประตูห้องดังปังๆๆๆ ปลุกกรรณนรีให้สะดุ้งตื่นจากฝันร้าย
“กาวตื่นรึยัง”
กรรณนรีนั่งหอบหายใจอยู่ “ตื่นแล้วค่ะ”
“เร็ว...จะได้ออกไปหาพ่อ”
“ค่ะๆ”
กาวินทร์ผละตัวไป แต่กรรณนรียังนั่งหอบหาย ใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ
“คุณสรวง..คุณอย่าเป็นอะไรนะ ฉันรักคุณ”

กรรณนรีน้ำตาไหลพราก เจ็บปวดรวดร้าวในใจ เป็นห่วงสรวงมากยิ่งนัก

ในขณะที่นิคนั่งทำงานอยู่ มะยมเดินมาหาด้วยอาการร้อนใจ

“นิค...หลายวันมาแล้ว ฉันยังติดต่อกาวไม่ได้เลย...เราไปหากาวด้วยกันมั้ย”
“ปะ” นิคกำลังจะตอบว่าไป เสียงมือถือของมะยมก็ดังขัด มะยมรับ
“คะคุณนพ” ชะเง้อมองไปด้านหน้าออฟฟิศ “อ้าว! ตอนนี้อยู่หน้าสำนักพิมพ์ เหรอคะ? เดี๋ยวมะยมออกไปค่ะ แล้วเจอกัน” วางสาย “ว่าไงนิค ไปหากาวที่บ้านด้วยกันเปล่า”
“แกไปเถอะ ฉันจะทำงาน” นิคบอก
“โอเค.แล้วเจอกัน” คว้ากระเป๋าเดินออกไป ไม่ได้ติดใจสงสัย
นิคเงยหน้ามองตามไป ด้วยกิริยาน้อยใจ

มะยมเดินออกมาเห็นนพยืนรออยู่และทอดยิ้มมาอย่างอ่อนโยน มะยมงงในท่าทีของนพ
“มีอะไรรึเปล่าคะ?
“จะมารับมะยมไปทานข้าว”
“มะยมว่าจะไปหากาวที่บ้าน ติดต่อกาวไม่ได้เลย”
“สรวงก็ไม่ได้เข้าออฟฟิศเลย โทร.ไปก็ไม่ติด ไม่รู้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“งั้นมะยมจะรีบไปหากาว”
“ผมไปด้วย”
นพนำมะยมเดินตรงไปที่รถ สองคนไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง นิคมองตามตาละห้อย เสียใจ

สองคนเดินไปที่บ้านกรรณนรี เห็นประตูบ้านปิดล็อกแน่นหนา
“ไม่มีคนอยู่...ไปไหนกัน”
มะยมถามนพ ท่าทางกังวลใจ

ที่โรงพยาบาลยามนั้น เกริกแต่งตัวรีบเร่งเดินออกมาจากห้องน้ำท่าทีร้อนรน ขณะที่สองพี่น้องเพิ่งเข้ามาถึง ตกใจร้องเสียงหลง
“พ่อจะไปไหน” สองคนประสานเสียง
เกริกพูดด้วยอารมณ์โมโห “จะไปหาแม่ของลูก”
“พ่อจะไปทำไม” กรรณนรีงง
“ไปคุยให้รู้เรื่อง มันเรื่องอะไรถึงต้องลากลูกลากเต้าเข้าไปเกี่ยว จนเดือดร้อนกันไปหมด”
“ไม่ต้องไปหรอกพ่อ...พี่แก้วว่าแม่เยอะแล้ว” กรรณนรีว่า
“ยังไงพ่อก็ต้องพูด เพราะเรื่องทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น พ่อมีส่วนผิดเหมือนกัน”
เกริกถลันออกไป สองพี่น้องรีบตาม

ภาพิศอยู่ในชุดคลุมท้องสวยเก๋ เดินออกมาหน้าคฤหาสน์ โดยมีน้อยลากกระเป๋าเดินทางตามมา
“คุณจะไปอเมริกานานแค่ไหนคะ”
ภาพิศเสียงแผ่วน้ำตาคลอ “ยังไม่รู้...อาจจะไม่กลับมาเลยก็ได้ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะโอนเงินมาให้ น้อยอยู่ดูแลบ้านด้วยก็แล้วกัน”
“ค่ะคุณหญิง แล้วอาการคุณแฉล้มเป็นยังไงบ้างคะ” น้อยห่วงแฉล้ม
“ยังไม่รู้...ฉันตั้งใจจะไปเยี่ยมแฉล้มก่อน แล้วค่อยไป ยังไงฝากบ้านด้วยนะ” กวาดตามองคฤหาสน์หลังโฮฬารที่ได้มาจากเสียงก่นด่าสาปแช่งของสุดา “ถึงจะเจ็บปวด แต่ฉันก็ยังมีความทรงจำกับที่นี่อยู่ดี”
ภาพิศเดินไป น้อยปล่อยโฮร้องเรียก
“คุณ....”
ภาพิศหันไปมองตกใจ น้อยวิ่งเข้าไปกอดภาพิศอย่างอาวรณ์
“น้อยรักคุณหญิงนะคะ..ยังไงกลับมานะคะ....น้อยคิดถึง น้อยอยากเลี้ยงคุณหนู”
“ขอบใจมากน้อย ขอบใจจริงๆ ที่ทำให้ฉันรู้ว่า...” น้ำตาคลอเบ้า “คนอย่างฉัน ยังมีคนรักอยู่”
“คุณหญิง” น้อยมองมีท่าทีงงๆ สีหน้าไม่เข้าใจ
“ถ้ามีโอกาส ฉันจะกลับมาจ้ะ เฝ้าบ้านดีๆ ล่ะ”

ภาพิศเดินออกมาพร้อมถือกระเป๋าเอง มีน้อยมองตามน้ำตาไหล ด้วยความอาลัยอาวรณ์

ในขณะที่ภาพิศกำลังจะขึ้นแท็กซี่ กาวินทร์ขับรถมาจอดเทียบ สามพ่อลูกเดินลงมา
 
ภาพิศตะลึง คาดไม่ถึง “พี่เกริก แก้ว กาว”
เกริกซึ่งมีท่าทีเหนื่อยอ่อนอยู่มาก เอ่ยขึ้น
“ขอโทษที่มารบกวนเวลา พี่ไม่พูดอะไรนานหรอก....พี่แค่จะมาขอ...”
ภาพิศมองจ้องเกริก รอฟังด้วยแววตาลุ้น “ขออะไรพี่”
“พี่ไม่รู้ว่าเธอมีปัญหาอะไรกับบ้านใหญ่ แต่อย่าดึง 'ลูกของพี่' เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พี่ขอร้อง”
ภาพิศใจหล่นวูบน้ำตาคลอกับน้ำคำห่างเหินนั้น “แก้วกับกาวเป็นลูกของฉันเหมือนกัน”
“ถ้าเธอจะเรียกร้องเอาความเป็นแม่ เพื่อทำร้ายลูก เธอก็ไม่สมควรเป็นแม่ของใคร”
ภาพิศน้ำตาไหลพราก พูดออกมาเสียงสะท้าน “ฉันไม่เคยคิดทำลาย คิดทำร้ายลูก นังคุณหญิงสุดาต่างหากที่มันเป็นคนทำ
“แต่ถ้าเธอไม่เข้าไปยุ่งกับสามีเค้าก่อน เรื่องทั้งหมดก็ไม่เกิด”
ภาพิศเถียง “ก็ท่านอารักษ์เค้ามาหาฉันเอง”
“หยุดได้แล้ว คนอย่างเธอไม่เคยมองเห็นความผิดของตัวเอง เอาแต่โทษคนอื่น ที่ฉันมาวันนี้ไม่ได้มายุ่งเรื่องของเธอ แต่มาขอ อย่ายุ่งกับลูกของพี่อีก”
ภาพิศครวญคร่ำ “ไม่...ฉันรักลูก ฉันอยากแก้ตัว ฉันอยากเป็นแม่ที่ดี”
“ถ้าเธอรักลูกจริง ก็ออกไปจากชีวิตลูกซะ เพราะถ้ามีแม่ ที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ลูกก็อาจจะกลายเป็นคนเลว โดยไม่รู้ตัว อย่างที่เธอเป็นอยู่” ท้านประโยคเกริกเสียงแผ่วเบาลง ท่าทีอ่อนโยน แตะหลังลูกทั้งสอง “ไป แก้ว กาว”
กาวินทร์ กรรณนรี เดินตามเกริกขึ้นรถ ภาพิศร้องตะโกนเรียก
“แก้ว กาวอย่าทิ้งแม่ไป แม่รักลูก แม่รักลูก อย่าทิ้งแม่ไป”
รถของกาวินทร์เคลื่อนตัวไปไม่ยอมจอด ภาพิศทรุดตัวลงร้องไห้แทบจะขาดใจ

ในห้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล สรวงนอนหมดสติ ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น หมอเจ้าของไข้เข้ามาตรวจดูอาการอยู่ สุดา กับอารักษ์มองแทบขาดใจ
“ลูกฉันเป็นยังไงบ้างคะหมอ”
หมอมีท่าทีหนักใจขณะบอก “อาการยังทรงๆ อยู่ครับ”
“เมื่อไหร่เค้าจะฟื้นครับ” อารักษ์ถาม
สุดาซักรัวเร็ว แทบคุมสติไม่อยู่ “เค้าจะฟื้นมั้ยคะหมอ? ลูกฉันเค้าจะฟื้นมั้ย”
หมอหนักใจมาก “ต้องรอดูอาการต่อไปครับ” จากนั้นหมอก็เดินออกไป
สุดาผวาเข้าไปกอดสรวงร้องไห้ครวญคร่ำ “สรวง..ฟื้นขึ้นมาสิลูก ฟื้นขึ้นมา” พอเห็นไม่ตอบโต้ก็เขย่า “ไม่รู้เหรอลูกว่าแม่จะขาดใจตายอยู่แล้ว สรวงลุกๆๆ”
อารักษ์เข้าไปดึงมือออก “คุณหญิงอย่าคุณหญิง”
“อย่ามายุ่ง” สุดาสะบัดตัวออก ผวากอดสรวงอย่างรักใคร่และหวงแหน “ฉันรักลูกฉัน..ฉันรักลูกฉัน สรวงลุกขึ้นมาคุยกับแม่ ลุกขึ้นมา”
สรวงนิ่งไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ สุดาคลั่ง อาละวาดหนัก
“นังภาพิศๆ มันทำลูกฉัน...ฉันจะไปฆ่ามัน”
สุดาจะพุ่งออกนอกประตู อารักษ์รีบคว้าตัวเอาไว้
“อย่าคุณหญิง”
“ปล่อย” สุดาผลักออกอย่างแรง
อารักษ์ตวาด เรียกสติ “คุณหญิง”
“ไม่ต้องมาพูดดี ที่คุณห้าม เพราะคุณยังรักมันใช่มั้ย คุณยังรักมัน ทั้งที่มันจะฆ่าลูกคุณ ฉันจะไปฆ่ามัน ฉันจะไปฆ่ามัน” สุดาขืนตัวจะไปอีก
อารักษ์เข้ามาล็อก ห้าม “อย่า”
“ปล่อยฉัน ปล่อย ฉันจะไปฆ่านังภาพิศ”
สุดากรี๊ดดิ้นพล่าน จนหมดสติไป
“คุณหญิง”

อารักษ์ร้องออกมาด้วยความตกใจ
 

ไฟมาร ตอนที่ 17(ต่อ)

ภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลแห่งนั้น แฉล้มนอนแบบอยู่บนเตียง สีหน้าเหมือนคนอมทุกข์ แต่เห็นแววตาเข้มแข็ง มากกว่าภาพิศเสียอีกที่มีท่าทีอ่อนแอกว่า เพราะเจ็บปวดรวดร้าวในใจที่ถูกเกริกด่าทอต่อว่า และยังถูกลูกทั้งสองคนตัดทิ้ง ภาพิศบอกกับแฉล้มน้ำตาไหลพราก

“พี่เกริก เค้าด่าว่าฉัน..อย่างที่ไม่เคยว่ามาก่อน แล้วลูก..ลูกก็ไม่เรียกฉันว่าแม่ซักคำ” ภาพิศอัดอั้นปล่อยโฮออกมาอีก
แฉล้มปลอบ “ฉันรู้ว่าคุณเจ็บ คุณปวด แต่คุณต้องยอมรับมันให้ได้”
ภาพิศต่อคำ “เพราะมันเป็นกรรมที่ฉันก่อ” พร้อมกับยกมือปาดน้ำตา “คุณจะว่าฉันมั้ย...ถ้าฉันจะไปอเมริกาก่อนที่คุณจะหาย”
“ไม่หรอก...ฉันเข้าใจ ถ้าฉันเป็นคุณ...ฉันก็คงต้องไปเหมือนกัน...” มองภาพิศอย่างเห็นใจและห่วงใย “อีกไม่กี่เดือน คุณก็จะคลอด คุณต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ”
ภาพิศเอามือลูบท้องตัวเองเบาๆ “ฉันจะดูแลเค้าให้ดีที่สุด เพราะเค้าเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่ยังเหลืออยู่ของฉัน”
แฉล้มบีบมือภาพิศเบาๆ ให้กำลังใจ ภาพิศนึกได้ นึกถึงเรื่องตัวเองก่อนเสมอ
“แล้ว..คุณเป็นไงมั่ง??..จะออกจากรพ.ตอนไหน”
แฉล้มบอกด้วยน้ำเสียงขื่นๆ ท่าทีปลงๆ “คงอีกนาน”
ภาพิศมองมาอย่างสงสัยค้างคาใจ เพราะท่าทางแฉล้มดูปกติ “ทำไม”
จังหวะนั้นหมอเวรเจ้าของไข้เดินเข้ามา ตรวจอาการพลางถาม
“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”
แฉล้มฝืนยิ้ม “ดีค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะมารับ พาไปกายภาพบำบัดนะครับ”
แฉล้มรับคำ “ค่ะ” จากนั้นหมอก็เดินออกไป
ภาพิศฉงน “ทำไมต้องทำกายภาพบำบัด”
แฉล้มบอกน้ำเสียงเรียบ “ฉันเดินไม่ได้”
ภาพิศตกใจมาก “เดินไม่ได้”
“หลังฉันกระแทกต้นไม้อย่างแรง ฉันคงเป็นอัมพาตตลอดชีวิต”
ภาพิศกรีดร้องด้วยความตกใจ ”ไม่จริง..ไม่จริง” นึกโกรธแค้นสุดาขึ้นมาอีก “นังสุดา..นังสุดา ฉันจะไปฆ่ามัน”
แฉล้มคว้ามือไว้ “อย่าคุณ”
“คุณจะห้ามฉันทำไม ในเมื่อมันทำร้ายคุณ” ภาพิศขัดใจ
แฉล้มหน้าสลดลง มีท่าทีเสียใจอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันเป็นคนทำร้ายเค้าก่อน.. เพราะถ้าฉันไม่พาคุณเข้าไป”
ภาพิศกรีดร้องไม่ยอมท่าเดียว “ต่อให้ไม่มีฉัน ไอ้อารักษ์มันก็ไปมีคนอื่นอยู่ดี นังสุดามันทำลายชีวิตฉัน มันทำลายชีวิตคุณ มันทำลายชีวิตทุกคน ฉันจะฆ่ามัน”
ภาพิศผลุนผลันออกไปเร็วรี่ ลืมไปว่าตัวเองท้อง แฉล้มได้แต่ตะโกน
“อย่าคุณอย่า ฉันอโหสิกรรมให้เค้าแล้ว อย่าไป”
ภาพิศไม่ฟังเสียง

ภาพิศเอามือประคองท้องเดินแกมวิ่งตรงไปยังเคาน์เตอร์ น้ำตาไหล ดวงตามีแต่ความ โกรธแค้นอาฆาต
“ฉันขอกระเป๋าที่ฝากไว้ค่ะ”
เจ้าหน้าที่เลื่อนกระเป๋าออกมาให้ ภาพิศลากไป พอมาถึงมุมลับตา ภาพิศเปิดกระเป๋าเดินทางออก หยิบปืนพกออกมา บอกตัวเองในใจ
“แกกับฉันจะอยู่ร่วมโลกกันต่อไปไม่ได้แล้วนังสุดา”
ภาพิศเก็บปืนใส่กระเป๋าถือ ลากกระเป๋าเดินทางออกไป

ขณะเดียวกันสุดาซึ่งนอนอยู่พักฟื้นอยู่บนเตียง ทำท่าจะลุก อารักษ์ที่อยู่ด้วยเข้ามาห้าม
“อย่าเพิ่งลุก คุณหญิงต้องพักผ่อนเยอะๆ”
สุดาน้ำตาคลอ “ฉันไม่เป็นไร” จะลุกให้ได้
“คุณหญิงอย่าดื้อสิ”
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ฉันอยากกลับบ้าน กลับไปเอาเสื้อผ้าตาสรวง...ตาสรวงฟื้นเมื่อไหร่” น้ำตาไหลริน “จะได้ใส่เสื้อผ้าหล่อๆ กลับบ้านด้วยกัน”
สุดาลุกออกมาจากเตียง เดินเข้าห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอารักษ์มองตาม สลดใจ

สุดาเปลี่ยนชุดแล้ว เดินมาเกาะประตูมองผ่านกระจกเข้าไปในห้อง เห็นร่างของสรวงยังนอนนิ่ง ตามเนื้อตัวมีสายห้อยระโยงรยาง สุดาน้ำตาไหลคิดแค้นในใจ
“ใครมันทำลูกแม่...มันต้องตาย” สุดาผละออกมาดวงตาแข็งกร้าว ขณะหยิบมือถือออกมา “ ส่งคนมาหาฉันที่บ้านด่วน ฉันมีงานจะให้ทำ”
สุดาวางสายหน้าตาเหี้ยมเกรียม

สามคนพ่อลูกเดินมายังริมน้ำ เกริกกอดกรรณนรีกับกาวินทร์เอาไว้ กรรณนรีนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะที่กาวินทร์น้ำตาคลอเบ้า
เกริกมองลูกด้วยความสงสาร “พ่อขอโทษ...ที่พ่อทำเหมือนคนใจดำ แต่..มันจำเป็น ไม่งั้น...แม่ก็คงถึงลูกเข้าไปเกี่ยวอีก”
“พ่ออย่าว่าแม่เลยนะคะ กาวเองเป็นคนที่ผิด กาวเดินเข้าไปหาแม่เอง”
“เป็นเพราะผมต่างหากครับพ่อ ทั้งแม่ทั้งน้องถึงถูกดึงเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องบ้าๆ พวกนั้น”
สามคนโทษตัวเองกันไปมา เกริกตัดบท “พ่อจะไม่พูดถึงเรื่องที่ผ่านมา แต่แก้วต้องไม่ทำตัวมักง่ายอย่างนั้นอีก”
“ครับพ่อ”
“ส่วนแม่ ..ก็ถือว่าเรากับเค้าจบกันไปแล้ว นับตั้งแต่วันนี้ ก็ต่างคนต่างไป จะไม่มีทั้งนุดี ทั้งภาพิศอยู่ในชีวิตของพวกเราอีก”

เกริกพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด แต่แววตาเศร้าหมอง กอดลูกเอาไว้ อย่างรักใคร่และหวงแหน กาวินทร์น้ำตาซึม กรรณนรีน้ำตาไหลหดหู่ใจเหลือแสน

คืนนั้นประตูบ้านอริยะวรรตเปิดออก ขณะที่สุดาขับแล่นรถเข้าไป ภาพิศซึ่งมาซุ่มดักรออยู่ในความมืด แฝงกายตามเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

สุดาเดินเข้าไปในบ้านท่ามกลางความมืดมิด จังหวะนั้นสุดาเหมือนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมา สุดาหันขวับ แต่ไม่เห็นอะไร สุดาทำหน้าสงสัย จะเปิดสวิทซ์ไฟแต่ก็ต้องร้องออกมาสุดเสียงเมื่อมีด้ามปืนสับเข้าที่ข้อมืออย่างแรง
“โอ๊ยย”
สุดาร้องด้วยความเจ็บปวด พอหันกลับมาก็ถูกภาพิศตบพลัวะเข้าที่หน้าอย่างแรงจนสุดาล้มลง ภาพิศเอาปืนเล็ง
“อย่า....อย่าทำฉัน” สุดากระถดหลังหนี
ภาพิศน้ำตาคลอ แค้นใจ เสียใจ “มันสายไปแล้ว แกทำลายฉันทุกอย่าง ลูกฉัน เพื่อนฉัน ชีวิตฉัน” ร้องไห้โฮออกมาอย่างคับแค้น “ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”
สุดามีท่าทีลนลาน...หวาดกลัว “เหลือสิ ลูกในท้องเธอไง ลูกเธอจะเป็นยังไง ถ้าเค้าเกิดมาแล้วมีแม่เป็นคนขี้คุก”
ภาพิศชะงัก สำนึกผิดชอบชั่วดีตีกันให้วุ่น สุดาเล็งที่ปืนเขม็ง พยาบามตะล่อม
“ต่างคนต่างอยู่เถอะ อโหสิกรรมให้แก่กัน ฉันเองก็จะเลิกกับท่านอารักษ์ บอกตรงๆ” สุดาร้องไห้ออกมา “ฉันทนสภาพแบบนี้ไม่ไหวแล้ว มันทรมาน”
“มันเรื่องของคุณ”
ภาพิศทำท่าจะกดไกปืน สุดาร้องลั่น ขณะเดียวกันด้านหลังภาพิศ คนของสุดาสองคนเดินย่องเข้ามา ขณะที่สุดาร้องกรี๊ด
“แต่คนที่ผิดคือเค้านะภาพิศ” พยายามตะล่อมถ่วงเวลา “คนที่ผิดคือเค้า เพราะถ้าเค้าไม่เลวไม่ชั่ว ไม่มักมากหลายใจ เราสองคนก็ไม่ต้องทะเลาะกันแบบนี้...ฮึ! จริงๆ แล้ววันนั้นกระสุนน่าจะลั่นถูกเค้า ไม่ใช่ตาสรวง”
“เลิกพล่ามได้แล้ว ยังไงแกก็ต้องตายนังสุดา”
ภาพิศตะคอก และจะลั่นไก แต่แล้วเกิดเจ็บท้อง ภาพิศร้องตัวงอเป็นกุ้ง คนของสุดาเข้ามา
ด้านหลัง สับมือเข้าที่ข้อมือภาพิศ ปืนหล่นภาพิศร้องลั่น สีหน้าเจ็บปวด ขณะที่ร่างซวนเซจะล้มลง สุดาทะยานเข้ามากระชากจิกผมภาพิศขึ้นมาทันที หัวเราะใส่หน้า
“ใครจะตายกันแน่นังหน้าโง่” ตบผลัวะ ภาพิศหน้าหัน สุดากระชากผมอีก “รู้เอาไว้ ถ้าแกคิดจะทำเลว แกห้ามใจอ่อน”
“ได้ฉันจะไม่ใจอ่อน”
ภาพิศกัดฟันพูด พร้อมกับกระโจนใส่สุดา ตบผลัวะแล้วจะคว้าปืนที่หล่นอยู่ แต่กลับช้ากว่ามือของคนร้ายที่หยิบปืนขึ้นมา ภาพิศหยุดชะงัก น้ำตาไหลแค้นใจ สุดาตวาดก้อง
“เอามันไป”
คนร้ายกระชากภาพิศขึ้นมา ภาพิศดิ้นรนขัดขืน
“ปล่อยฉัน”
“พวกแกจะพามันไปตายไหนก็ไป” สุดากำชับ
“ปล่อยฉัน”
ภาพิศดิ้นรนแต่คนร้ายไม่ฟัง ช่วยกันลากภาพิศออกไป สุดามองตามแววตากร้าว
“นังเมียน้อย ถ้าแกไม่เข้ามาในชีวิตฉัน ครอบครัวฉันก็ไม่เป็นอย่างนี้ ลูกชายฉันก็ไม่เป็นอย่างนี้”
สุดาร้องไห้โฮ ทั้งเจ็บปวด แค้นใจ และเป็นห่วงสรวงจับจิต

สรวงยังไม่ฟื้น อารักษ์จับมือสรวงแตะเบาๆ
“สรวง...ฟื้นขึ้นมาสิลูก พ่อสัญญา จะเป็นพ่อที่ดี พ่อจะไม่ให้สรวงเสียใจ ผิดหวังในตัวพ่ออีก ฟื้นขึ้นมาสิสรวง”
สรวงนอนนิ่ง ไม่มีทีท่าจะฟื้นตื่น อารักษ์น้ำตาไหล ร้องไห้โฮ เป็นครั้งแรกที่เจ็บปวดอย่างที่สุดกับการกระทำของตัวเอง
อารักษ์เดินออกมาด้านนอกโรงพยาบาล น้ำตาไหลริน แหงนหน้ามองฟ้า ร่ำร้องต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในใจ
“สรวงเป็นคนดี อย่าให้สรวงต้องเป็นอะไรเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองลูกผมด้วย”
อารักษ์เครียดจัด

ไม่นานนักกรรณนรีเดินไปเข้าไปในห้อง เห็นสรวงนอนนิ่ง เหมือนคนหลับสนิท กรรณนรีขยับเดินเข้าไปหา จับมือสรวง...ร้องเรียกเบาๆ
“คุณสรวงๆ”
สรวงเงียบ ร่างนอนนิ่งไม่ไหวติง กรรณนรีสงสัย จับมือแตะเบาๆ
“คุณสรวง”
สรวงเงียบอีก คราวนี้กรรณนรีใจไม่ดี จับมือสรวงเขย่า
“คุณสรวง...” สรวงแน่นิ่ง กาวมองรู้ทันทีเกิดอะไร ปล่อยโฮ “คุณสรวง ลุกขึ้นมาคุยกับฉันสิ คุณสรวง ลุกขึ้นมาๆ” สรวงไม่ฟื้นขึ้นมา กาวผวากอดร่างสรวงเอาไว้แน่น ร้องไห้คร่ำครวญ
“ลุกขึ้นมา คุณต้องลุกขึ้นมา ฉันรักคุณ..คุณสรวง ฉันรักคุณ”
กรรณนรีร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ กอดสรวงแน่น แต่สรวงก็ไม่ฟื้นขึ้นมา กรรณนรีบอกเสียงแผ่ว
“ฉันเสียแม่ไปแล้ว...อย่าให้ฉันต้องเสียคุณไปอีกเลยนะ ....ฉันอยู่ไม่ได้..อยู่
ไม่ได้”
กรรณนรีร้องไห้สะอึกสะอื้น กอดร่างสรวงแน่น แต่สรวงก็ไม่ฟื้นขึ้นมา

ขณะที่กรรณนรีเดินร้องไห้มาตามทางในซอยหน้าบ้าน กาวินทร์มาดักรอ
“กาวไปไหนมา”
“กาวไปหาคุณสรวง คุณสรวงยังไม่ฟื้นเลยพี่แก้ว...” กรรณนรีปล่อยโฮ “คุณสรวงยังไม่ฟื้น
เลย กาวกลัว..กลัว”
กาวินทร์กอดน้องสาวเอาไว้ กรรณนรีร้องไห้พร่ำรำพันต่อ
“กลัวว่าคุณสรวงจะเป็นอะไรไป?..กาวอยู่ไม่ได้นะพี่แก้ว กาวรักคุณสรวง รักคุณสรวง
“คนดีๆอย่างคุณสรวง ต้องไม่เป็นอะไรกาว…”
กาวินทร์ได้แต่ปลอบ ดวงตาเป็นกังวล ที่ด้านหลังสองพี่น้องเกริกยืนมองอยู่ ด้วยแววตาทั้งเจ็บปวด และสงสารกรรณนรี

เกริกกลับเข้าห้องเปิดกระเป๋าตังค์หยิบรูปภาพิศขึ้นมาดู สายตาเสียใจ สลดใจ
“ถ้านุดีไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น....ความรักของกาวก็คงไม่เป็นแบบนี้ ไม่น่าเลยนุดี ไม่น่าเลย”

เกริกดึงรูปของภาพิศออกมา ขยำแล้วทิ้งลงถังขยะ ด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว ของคนตัดใจได้เด็ดขาดแล้ว

ดึกสงัด รถของคนร้าย วิ่งมาจอดที่ข้างทางบริเวณป่าเปลี่ยว ลักษณะด้านล่างเป็นหุบเขาน่ากลัว คนร้ายลากภาพิศลงมา ภาพิศดิ้นรน ตะโกนไม่หยุด

“ปล่อยฉัน...ปล่อยฉัน ปล่อย”
“ได้...งั้นเธอก็เลือกเอา...” วายร้ายคนนั้นมองภาพิศด้วยสายตาโลมเลียและน่ากลัว “จะอยู่กับฉัน...หรือมัน”
วายร้ายสองคนก้าวย่างเข้ามา ภาพิศถอยหลังกรูด
“ไม่...อย่าเข้ามา...ไม่”
เหล่าวายร้ายไม่ฟังเสียง ย่างเท้าเข้าหา บังคับให้ภาพิศเดินถอยหลัง
จังหวะนั้นเท้าภาพิศเหยียบที่พื้น เห็นอีกนิดเดียวจะตกเขา คนร้ายย่างสามขุมเข้ามา
ภาพิศร้องกรี๊ดสุดเสียง “อย่า” ออกแรงผลักคนร้ายเต็มแรง จะวิ่งฝ่าไป
“จะหนีไปไหน” คนร้าย 1 ใน 3 กระชากภาพิศกลับมา
ภาพิศดิ้นรน สู้สุดชีวิต “ปล่อยฉัน ปล่อย ปล่อย อ๊าย...”
ภาพิศดิ้นสุดแรง แรงเหวี่ยงทำให้ร่างเซถลา ร่วงลงสู่หุบเขาด้านล่างทันที เสียงภาพิศดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณขณะที่ร่างร่วงไถลลงไป ในป่าทึบ คนร้ายชะโงกหน้าลงไปมอง
“ยังไงก็ไม่รอด” คนหนึ่งบอกอย่างมั่นใจ
“แล้วกระเป๋าเสื้อผ้ามัน ที่เอามาจากหน้าบ้านล่ะ” อีกคนถาม
“โยนลงไป ให้มันไปใช้ที่นรกด้วยแล้วกัน”
คนร้ายคว้ากระเป๋าเดินทางของภาพิศ เหวี่ยงตามลงไปสุดแรง แล้วเดินขึ้นรถขับออกไป ไม่นานต่อมาทั่วทั้งบริเวณ มืดมิด เงียบกริบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กลางป่าเปลี่ยว ร่างของภาพิศนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น ขณะที่ยมทูต ซึ่งแต่งกาย นุ่งโจงกระเบนสีแดง ท่อนบนเปลือยเปล่ามีสร้อยสังวาลย์ห้อยที่คอ และมีเขายาว เดินมาหา
“หมดเวลาของเจ้าแล้ว ไปกับเรา”
วิญญาณของภาพิศล่องลอยออกจากร่าง เดินตามยมทูตไป
ที่แท้กรรณนรีฝันร้าย นอนกระสับกระส่ายไปมา
“ไม่..ไม่...” กรีดร้องขึ้นสุดเสียง “แม่” กรรณนรีลุกขึ้นมา ยังร้อง และดิ้นเหมือนคนขาดสติ “อย่า..อย่าเอาแม่ฉันไป อย่า”
เกริกกับกาวินทร์ได้ยินเสียงร้องพากันเปิดประตูเข้ามาท่าทีตื่นตระหนก
“กาวเป็นอะไรไปลูก”
กรรณนรีผวาตัวกอดพ่อแน่น พูดเสียงละล่ำละลัก “แม่..แม่”
“แม่ทำไม” กาวินทร์ฉงน
กรรณนรีได้สติ เหลียวมองไปรอบๆ ตัว ก่อนจะทอดถอนลมหายใจ
“กาวฝันร้าย ฝันว่าแม่ตาย แล้วยมทูตมาเอาวิญญาณของแม่ไป
เกริกกับกาวินทร์มองหน้ากัน ใจคอไม่ดีเอาเสียเลย

เช้าวันนี้ สามพ่อลูกร่วมกันใส่บาตรอยู่ที่หน้าบ้าน เสร็จแล้ว พระให้พรก่อนที่จะเดินไปต่อ เกริกเอ่ยขึ้น
“ไปกรวดน้ำไปลูกจะได้สบายใจ”
“แม่ไปอเมริกาไปแล้ว ไม่มีอะไรหรอก กาวแค่คิดมากไป” กาวินทร์ปลอบน้องสาว
กรรณนรีหน้าสลด ท่าทางเศร้าสร้อย เดินไปกรวดน้ำ สองป้าแอบมอง
“ท่าทางแปลกๆ กันทั้งบ้าน ป้าจักจั่นว่ามั้ย”
“ใช่! หน้าตาอมทุกข์กันทั้งบ้าน ฉันว่ามันต้องเกี่ยวกับที่พ่อเกริกเข้าโรงพยาบาล วันนั้นแน่ๆ
ตั๊กแตนฉงน “มันเรื่องอะไรกันล่ะ”
สองป้ามองหน้ากันด้วยความสงสัย

สองพี่น้องขับรถมาตามทาง กรรณนรีหน้าหมองเศร้า กาวินทร์ถามอย่างห่วงใย
“ยังไม่สบายใจอยู่เหรอกาว”
“ค่ะ...ห่วงทั้งแม่ ทั้งคุณสรวง ยิ่งฝันถึงแม่อย่างนี้ กาวยิ่งไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าแม่มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
“งั้นลองไปถามแม่บ้านแม่ดู เผื่อเค้าจะรู้”
กาวินทร์ขับรถตรงไปยังบ้านภาพิศ

สองพี่น้องมาถึงหน้าบ้านภาพิศ ฟังน้อยเล่าท่าทีเหนื่อยใจ
“ตั้งแต่คุณหญิงไปอเมริกา เธอก็ไม่ได้ติดต่อมาเลย”
สองพี่น้องมองหน้ากัน ก่อนที่กาวจะถาม
“แล้วอีกนานมั้ยคะ เธอถึงจะกลับมา”
น้อยไม่รู้เรื่องมองกรรณนรีอย่างเกลียดชัง “เธอคงไม่อยากให้คุณหญิงกลับมาล่ะสิ..ฮึ! อย่าหวังเลย ต่อให้ไม่มีคุณหญิงภาพิศ คุณหญิงสุดาก็ไม่มีวันยอมให้ท่านอารักษ์มาคั่วเธอแน่”
กาวินทร์หงุดหงิด “เลิกพูดเรื่องทุเรศๆ แบบนี้ซะทีเถอะ น้องสาวผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจแล้วคุณภาพิศจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ไม่กลับ..คุณหญิงจะไม่กลับมาอีกแล้ว...” มองกรรณนรีด้วยสายตาเดิม “เพราะไม่อยากเห็นคนหน้าด้านที่ชอบแย่งผัวคนอื่น”
“หยุดพูดแบบนี้นะป้า” กาวินทร์ฉุนขาดจะถลันเข้าไป
กรรณนรีฉุดรั้งพี่ชายไว้ “อย่าพี่แก้ว”
“ไปได้แล้วไป๊...” น้องไล่มองกรรณนรีอย่างจงเกลียดจงชัง “เป็นเพราะเธอ ถ้าไม่มีเธอ ชีวิตคุณหญิงก็ไม่เป็นอย่างนี้หรอก” น้อยพูดจบก็ปิดประตูใส่หน้าอย่างแรง
กรรณนรีร้องไห้โฮ ครวญคร่ำโทษตัวเอง
“เป็นเพราะกาว..เป็นเพราะกาว”
กาวินทร์ปลอบ “ไม่เกี่ยวกับกาว...กาวก็น่าจะรู้...ที่แม่ไม่กลับมาอีก เพราะอะไร”
สองพี่น้องต่างเศร้าใจ

ค่ำคืนนั้นที่บริเวณข้างทาง สุดาอยู่ในรถ ถามย้ำกับคนร้ายที่จ้างมาทำร้ายภาพิศ
“แกแน่ใจนะว่านังภาพิศมันจะไม่มีทางกลับมาได้อีก”
“ถ้ามันกลับมาได้ มันก็ไม่ใช่คนแล้วล่ะครับคุณหญิง”
“เนินเขาขนาดนั้น ใครตกลงไปตายชัวร์”
“ดีมาก” สุดาเปิดกระเป๋า หยิบเงินส่งให้ “นี่รางวัลของพวกแก แล้วหุบปากให้สนิท”
“ครับผม”
สองคนร้ายเดินขึ้นรถขับออกไป สุดาบอกตัวเอง สีหน้าสลดใจ
“อโหสิกรรมให้ฉันด้วยแล้วกัน ไม่มีเธอ ชีวิตฉันจะได้มีความสุขซักที ภาพิศ”
สุดาเดินขึ้นรถขับออกไป

สุดาขับรถมาตามทาง ขณะที่มองกระจกมองหลัง สุดาก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นภาพิศในกระจกด้านข้าง สุดาตกใจจอดรถหันกลับไปมองทันที ทว่าทั่วบริเวณมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีใคร สุดาหายใจหอบ ปลอบตัวเอง
“เราแค่ตาฝาด ผีไม่มีจริง”

สุดาหน้าซีดเผือด ขับรถไปต่อ แต่ตาเหลือบมองกระจกตลอดเวลา

ไฟมาร ตอนที่ 17(ต่อ)

เช้าวันต่อมา นิคนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศสตาร์ อินเทรนด์ มะยมเดินเอากาแฟมาให้

“อ่ะ กาแฟ”
มะยมวางแก้วกาแฟให้ แต่นิคทำเป็นไม่สน ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ มะยมงง
“ไม่เห็นเหรอ? กาแฟ”
“เห็น แต่ไม่อยากกิน” นิคลุกหนี
มะยมงง “แกเป็นอะไรนิค”
“ก็เป็นเพื่อนแก ไม่ได้เป็นคนพิเศษ คนสำคัญ...แบบไอ้คุณนพไง” นิคแดกดัน
มะยมขำ “เป็นบ้าอะไร ถึงได้มาแดกดันฉัน
“ก็เผื่อแกจะรู้สึกบ้าง”
“รู้สึกอะไร”
นิคพูดด้วยท่าทีจริงจัง สุ้มเสียงอ่อนโยน “มะยม... ไอ้คุณนพเค้ามีเมียแล้วนะ แกจะไปยุ่ง
กับเค้าทำไม”
มะยมย้อน “แกก็เห็น ฉันไปยุ่งกับเค้าที่ไหน เค้ามายุ่งกับฉันเอง อีกอย่าง..คุณนพเค้าก็เลิกกับแฟนเค้าแล้ว”
“ผู้ชายเจ้าชู้..ตอนจะมีใหม่ ก็พูดอย่างนี้ทุกคน” นิคเยาะ
“เราอย่าทะเลาะกันเรื่องนี้เลยนะ เค้าจะเลิกกับเมียเค้าหรือไม่เลิก มันก็ไม่เกี่ยวกับเรา”
“เกี่ยวสิ เพราะเค้าตามจีบแก เค้าชอบแก แล้วแกก็ชอบเค้าด้วย หรือไม่จริง
มะยมเงียบ นิคมองด้วยแววตาทั้งเสียใจและเจ็บปวด
“เห็นมั้ย?...แกชอบเค้าจริงๆ...ฉันจะไม่ว่าอะไรแกเลยมะยม...ถ้าแกจะรักจะชอบคนไม่มีแฟน..แต่นี่ ไอ้คุณนพมันมีเมีย ได้ยินมั้ยมะยม มันมีเมีย”
นิคเดินหนีไป ท่าทางฉุนจัด

มะยมร้องเรียก “นิคๆ” ก่อนจะวิ่งตามไป

นิคเดินลิ่วออกมา มะยมวิ่งตามมา แต่แล้วนิคต้องชะงักเพราะเกือบชนกรรณนรีที่เดิน
น้ำตาคลอเข้ามา มะยมหลังนิค มองเห็น
“กาว...” มะยมตกใจ
นิครีบถาม “มีเรื่องอะไรกาว”
กรรณนรีไม่ตอบแต่สายตาบ่งบอกว่ากลุ้มใจอย่างที่สุด
เวลาต่อมา กรรณนรี มะยม นิค สามคนเดินมาด้วยกันในสวนสาธารณะ กรรณนรีน้ำตาคลอ สีหน้าอมทุกข์หนัก มะยมถามท่าทีตกใจมาก คาดไม่ถึง
“จริงเหรอกาว....คุณภาพิศเป็น...แม่แก”
กรรณนรีพยักหน้ารับ นิคเสริม ตกใจตื่นเต้น
“ไม่คิดเลยจริงๆ”
“แต่ก็ดีแล้วล่ะ ถ้าเค้าเลือกที่จะไป.. อะไรที่มันยุ่งๆ จะได้จบลงซักที” มะยมปลอบ
“แต่คุณสรวง...คุณสรวง” กรรณนรีร้องไห้ออกมาอีก
“คุณสรวงเป็นอะไร”
กรรณนรีปล่อยโฮ คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา “จนป่านนี้ คุณสรวงยังไม่ฟื้นเลยมะยม...คุณสรวงยังไม่ฟื้นเลย”
กรรณนรีกอดมะยมร้องไห้ มะยมได้แต่กอดปลอบ ไม่รู้จะพูดอะไร นิคมองภาพตรงหน้าสลดใจ

เวลาเดียวกันที่มุมหนึ่งในออฟฟิศกาวินทร์ สุขหฤทัยยืนคุยกับกาวินทร์ ท่าทางร้อนรนไม่สบายใจเลย
“จริงเหรอที่สรวงไม่ฟื้น” สุขหฤทัยถามย้ำ
“ผมจะหลอกคุณทำไม”
“ตาย!ทำไมเรื่องใหญ่ขนาดนี้”
“ก็เพราะคุณนั่นแหละ ถ้าคุณไม่ร่วมมือกับคุณหญิงสุดา เรื่องทุกอย่างก็ไม่เป็นอย่างนี้”
สุขหฤทัยหน้าสลดลง “ฉันผิดไปแล้ว ผิดจริงๆ”
“พูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อตอนนี้คุณสรวงเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้ว”

สุขฤทัยหน้าซีดเผือด

หลายวันแล้ว แต่สรวงก็ยังไม่ฟื้น อารักษ์หน้าเศร้า อาการเครียดเคร่ง ขณะที่สุดาร้องไห้จะเป็นจะตาย

“ตั้งหลายวันแล้ว สรวงยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก....นี่ถ้าลูกฉันตาย ฉันจะเป็นยังไงเพราะคุณ..คุณอารักษ์” หันมาอาละวาดทุบตีอารักษ์พัลวัน “วันนั้นปืนน่าจะลั่นถูกคุณให้ตายๆ ไปเลย ไม่ใช่ลูก”
อารักษ์จับมือเอาไว้ “ผมขอโทษคุณหญิง ผมขอโทษ”
“ขอโทษตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะคุณ..คุณคนเดียว ฉันเกลียดคุณ”
สุดาสะบัดตัวออกจากอารักษ์ คว้ากระเป๋าข้าวของใกล้ตัว เขวี้ยงใส่อารักษ์ด้วยแรงโทสะ อารักษ์หลบ สุขหฤทัยเปิดประตูเข้ามาพอดี กระเป๋าที่สุดาเขวี้ยงไป ถูกหน้าสุขหฤทัยอย่างจัง
“ว้าย”
สุขหฤทัยหน้าแหย เมื่อมองเห็นว่าอารักษ์กับสุดา หน้าตาถมึงทึงใส่กัน อารักษ์ดุ
“เห็นมั้ยความเจ้าอารมณ์ของคุณมันเป็นยังไง? ดีแค่ไหนแล้วที่ภาพิศ แก้ว กาวเค้าไม่เอาเรื่อง”
“ยังจะไปพูดถึงมันอีก” สุดายิ่งโกรธหนักกระโจนเข้าหาอาละวาดอีก
“คุณหญิง ลูกยังเจ็บอยู่นะ เลิกบ้าได้แล้ว” อารักษ์ขึ้นเสียง
“สรวง” สุดาผวาตัวเข้าไปหาสรวง ร้องไห้คร่ำครวญ “สรวง...ฟื้นขึ้นมาคุยกับแม่ได้แล้วสรวง...แม่ไม่เหลือใครอีกแล้ว แม่ไม่เหลือใคร”
สุขหฤทัยมองสรวงหน้าสลดลง ขณะถามอารักษ์ “นี่...สรวงจะไม่ฟื้นขึ้นมาเหรอคะ”
“หมอบอกให้รอดูอาการ ..ถ้าอีกหนึ่งอาทิตย์อาการยังทรงอยู่อย่างนี้...สรวงก็อาจจะกลายเป็นเจ้าชายนิทรา”
สุดาได้ยินก็กรีดร้องขึ้นมาอีก “สรวง..สรวงของแม่ แม่ไม่ยอมๆ”

สุขฤทัยหน้าซีดเป็นกระดาษ

ไม่นานต่อมา สุขหฤทัยเดินออกมาหน้าจ๋อยๆ บ่นงึมงำกับตัวเอง

“ตาย..ถ้าสรวงนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ใครจะเอาก็เอาเถอะ ฉันไม่เอา”

สาวแสบยักไหล่พรืด พร้อมกับทำท่าแขยง แล้วเดินลิ่วไป

กรรณนรี มะยม และนิค เดินถือเครื่องสังฆทาน ดอกไม้ และสิ่งของที่ใช้ทำบุญเดินเข้ามาภายในวัดแห่งนั้น

“อย่าร้องไห้น่ากาว...ฉันว่า อีกเดี๋ยวคุณสรวงก็คงจะฟื้น” นิคบอก
“ฉันก็หวังอย่างนั้น...ไม่ว่าคุณสรวงจะเป็นยังไง...ฉันก็จะรักคุณสรวง อยู่ดูแลคุณสรวง” กรรณนรีบอกเสียงเศร้า
“คุณสรวงรู้คงดีใจ....ยิ่งรู้ว่าแกมาทำบุญให้ขนาดนี้ ดีไม่ดี คุณสรวงอาจจะฟื้นเร็วขึ้นก็ได้”
กรรณนรีใจชื้นมองหน้ามะยมและนิคอย่างขอบคุณ มะยมเอ่ยขึ้น
“รีบไปทำบุญกันเถอะ...เพื่อคุณสรวง”
นิคกับมะยมเดินนำ พากรรณนรีเข้าไปในโบสถ์
สามคนไปถวายสังฆทาน พระสวดมนต์ให้ พร้อมยื่นที่กรวดน้ำให้ กรรณนรีรับมา

ครู่ต่อมากรรณนรีกรวดน้ำพร้อมอธิฐานที่ต้นไม้ใหญ่ อธิษฐานในใจ
“ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำโดยความสะอาดทั้งกาย วาจา ใจ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญกุศลทั้งหมดให้คุณสรวง อริยะวรรตหายจากอาการเจ็บป่วย ฟื้นคืนมามีสติสัมปชัญญะดังเดิม”
กรรณนรีกรวดน้ำเสร็จ มะยมเอ่ยปากชวน
“ไปเยี่ยมคุณสรวงนะกาว”
“เผื่อจะมีปาฏิหาริย์”
กรรณนรีพยักหน้า ดวงตามีความหวังเต็มเปี่ยม

เวลาเดียวกันนั้น ขณะที่สุดาจับมือสรวงบีบแน่น สายตาจับจ้องที่ดวงหน้าลูกชาย พึมพำแผ่วเบา
“สรวง..ฟื้นขึ้นมาเถอะนะลูก...ฟื้น..ฟื้นขึ้นมาได้แล้ว แม่คิดถึง แม่เป็นห่วง” สุดาน้ำตาไหล “แม่ใจจะขาดแล้วสรวง” บีบมือสรวง “สรวงได้ยินแม่มั้ย สรวง”
สีหน้าสรวงเป็นปกติเหมือนคนหลับสนิท สุดาสะอื้น รู้สึกหมดหวัง
“สรวงไม่ได้ยินแม่เหรอลูก? แม่รักลูก คิดถึงลูก...สรวงฟื้นขึ้นมาคุยกับแม่นะ
สุดาบีบมือสรวง น้ำตาไหลริน หยาดน้ำตาสุดาหยดลงถูกมือสรวง ก่อนที่มือสรวงเริ่มขยับน้อยๆ สุดาตกตะลึง
“สรวง”
อารักษ์ที่ยืนขรึมอีกมุมตกใจ “อะไรคุณหญิง”
สุดาแทบลืมหายใจ “ลูก.รู้สึกตัวแล้ว..สรวงรู้สึกตัวแล้ว”
สรวงยังนอนนิ่ง แต่มือมีปฏิกิริยา สองคนตื่นเต้นร้องประสานเสียง
“สรวงๆ”

จังหวะนั้นประตูห้องถูกเปิดเข้ามา พร้อมร่างของกรรณนรี สรวงค่อยๆ กระพริบตา ในจังหวะที่สุดากับอารักษ์เหลียวมามองที่ประตู
กรรณนรีเห็นสรวงกระพริบตา แต่อารักษ์กับสุดาไม่ทันเห็น เพราะหันมามองกรรณนรี สุดาปรี๊ดแตก แหวใส่
“แกมาทำไม”
กรรณนรีหน้าซีดเผือด นิคกับมะยม ต้องจับมือเอาไว้ กรรณนรียกมือไหว้
“ฉันมาเยี่ยมคุณสรวง”
สุดาโกรธจัด ตวาดตะเพิดไล่ “ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก ออกไป๊”
“แต่ฉันเป็นห่วงคุณสรวง”
“ไม่ต้องพูด...ฉันบอกให้แกออกไป..ออกไป๊” ปราดเข้ามาผลักกรรณนรี
“อย่าคุณหญิง”
สรวงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเต็มตา ภาพแรกที่เขาเห็นคือสุดาตบกาว
สรวงครางเสียงแผ่ว ด้วยความเป็นห่วง “กรรณนรี”
“คุณสรวง” กรรณนรีน้ำตาไหลพราก รู้สึกดีใจมาก
สุดาผละจากกรรณนรีไปหาสรวงทันที “สรวง..สรวงลูกแม่ สรวงของแม่ฟื้นแล้ว”
สุดากอดสรวงแน่น สรวงกอดสุดา อารักษ์เดินไปกอดสรวงน้ำตาคลอ
“พ่อดีใจเหลือเกินลูก”
กรรณนรี นิคและมะยม มองอย่างเต็มตื้นสรวงหันมามองจ้องกรรณนรี
“กรรณนรี”
“ฉันดีใจที่สุด ที่ได้พูดกับคุณอีก คุณสรวง” กรรณนรีปล่อยโฮออกมาอย่างตื้นตันใจ
สุดาเหลียวมามองอย่างเกลียดชัง “แกออกไปเดี๋ยวนี้นะ ออกไป๊”
สุดามองหาของจะเขวี้ยงใส่ มะยมกับนิตกอดกรรณนรีเอาไว้ปกป้อง อารักษ์รีบบอก
“หนูกลับไปก่อนเถอะฉันขอร้อง”
กรรณนรีมองตาละห้อย สุดาหยิบข้าวของผลไม้ปาใส่หน้ากรรณนรีจนได้ มะยมกับนิครีบลากกรรณนรีออกจากห้อง
“ไปกาว” สองคนบอกพร้อมกัน
กรรณนรีอาวรณ์ใจแทบขาด “คุณสรวง”
สุดาแหวใส่อีก “ยังจะเรียกลูกฉันอีก นังหน้าด้าน”
พร้อมกับเขวี้ยงของมาอีก แต่ของถูกประตูเพราะมะยม กับนิคพากรรณนรีออกไปลับตัวแล้ว
“แม่ดีใจที่สุดเลยสรวง ดีใจที่สุดเลย”
สุดาหันมาโอ๋กอดสรวงร้องไห้อย่างปีติ แต่สายตาสรวงมองไปที่ประตูตลอด คิดถึงและถวิลหาแต่กรรณนรี

มะยม กับนิค พากรรณนรีเดินออกมา กรรณนรีร้องไห้ไม่หยุด แต่เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตันดีใจ
“เออน่า หยุดร้องไห้ได้แล้ว” นิคว่า
“ฉันดีใจ...ดีใจที่คุณสรวงฟื้นแล้ว” กรรณนรียิ้ม
“เพราะคุณสรวงรู้ไง ว่าแกรอ ฉันดีใจด้วยนะกาว” มะยมบอก
“ฉันก็ดีใจด้วย...” นิคยิ้มให้
มะยมบอกต่อ “เพราะความรัก..ความรักของแก”
กรรณนรีใจหาย “ใจจริงแล้ว ฉันอยากอยู่เฝ้าคุณสรวง...แต่คุณหญิงคงไม่ยอม”
มะยมหน้าแหยงๆ “ท่านอารักษ์จะทำหน้ายังไง”
“ไม่เป็นไร...แค่ฉันรู้ว่าคุณสรวงฟื้น ฉันก็ควรพอใจแล้ว” หันไปมองตึกผู้ป่วยของโรงพยาบาล “หายไวๆ นะคะคุณสรวง แข็งแรงไวๆ”

กรรณนรียิ้มทั้งน้ำตา

คืนนั้น มะยมแต่งตัวสวย นั่งทานข้าวกับนพในร้านอาหารแห่งหนึ่งสองต่อสอง

“ผมดีใจจริงๆ ที่สรวงฟื้นแล้ว...เสียดาย..ผมไปดูงานที่ต่างประเทศ ไม่มีโอกาสไปเยี่ยมสรวงเลย”
“แค่คุณสรวงรู้ว่าคุณนพเป็นห่วง ก็คงดีใจแล้วล่ะค่ะ”
“แล้วตอนที่ผมไม่อยู่ มะยมเป็นไงบ้าง”
มะยมตอบสั้นๆ “ก็สบายดี”
“คิดถึงผมบ้างมั้ย” นพถามด้วยสายตาหวานซึ้ง
มะยมยิ้มเขิน อึกอัก โดยไม่รู้ว่าคนของนา ภรรยานพ ถ่ายภาพเอาไว้ตลอด นพบอกต่อ
“ไม่เป็นไร...ผมคิดถึงมะยมคนเดียวก็พอ...นี่ครับของฝาก”
นพยื่นกล่องของขวัญให้ มะยมพึมพำขอบคุณ รักษาระยะห่าง นพบอกเอาใจ
“ทานข้าวนะครับ..ทานเยอะๆ”
นพตักอาหารให้ มะยมพึมพำ
“ขอบคุณค่ะ” มองเหมือนมีเรื่องในใจ
นพไม่รู้ตัวมองมะยมด้วยสายตาดื่มด่ำ “คืนนี้มะยมสวยมาก...” พูดเองเขินเอง “ความจริง มะยมสวยมานานแล้ว สวยมากตั้งแต่วันถ่ายแบบ แต่ผมไม่มีโอกาสบอกมะยมซักที”
“ขอบคุณค่ะ...แต่คุณนพคะ...” มะยมตัดสินใจถาม
“ครับ” นพจ้องหน้า รอฟัง
“วันนี้มะยมขอเป็นครั้งสุดท้ายที่เราทานข้าวด้วยกันนะคะ”
นพตะลึง ตกใจ “ทำไมครับ”
“มะยมไม่สบายใจ...เรื่องคุณนพกับภรรยา”
“ผมเลิกกับเค้าแล้ว” นพพยายามอธิบาย
“ยังไง..มะยมก็ไม่สบายใจอยู่ดี...มะยมขอโทษค่ะ”
นพมองมะยมอย่างเสียใจ คนของนาที่แอบอยู่ยิ้มออกมาที่ถ่ายคลิปได้สำเร็จ เดินออกไป

ไม่นานต่อมานายืนมองโทรศัพท์ ดูคลิปที่คนส่งมา เห็นชัดเจนนพส่งกล่องของขวัญให้มะยม
นากัดฟันกรอดกดมือถือ “แกไปสืบมาให้ได้ นังหน้าขาวมันอยู่ที่ไหน” วางสายไปด้วยแววตากร้าว คำรามในลำคอ “นังพวกหน้าด้าน เมียน้อย ใครแย่งผัวฉัน มันตาย”

วันต่อมา สุดาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ห้องโถงในคฤหาสน์ พลางด่า
“พวกเมียน้อยนี่มันเลวจริงๆ ทำแต่ความเดือดร้อนให้คนอื่น หน้าด้าน”
อารักษ์ที่นั่งอยู่ด้วยมองหน้าสุดาเขม็ง สุดาบอกอย่างสะใจ
“นี่ก็มีข่าว...ไปแย่งผัวเค้า สมน้ำหน้าถูกเมียหลวง ยกพวกไปกระทืบตาย”
“จะมาก่อนมาหลัง จะหลวงจะน้อยก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายคนอื่นจนตาย”
สุดาตาวาววาม “สมควรที่สุด เพราะมัน ”สะใจ” พูดกันดีๆ ไม่ได้...ก็ส่งพวกผู้หญิง
หน้าด้านที่มันชอบเป็นเมียน้อยไปลงนรกให้หมด”
สรวงที่เดินโผเผเข้ามาได้ยิน มีสีหน้าไม่สบายใจนัก อารักษ์เห็น
“จะพูดอะไรคิดหน่อยคุณหญิง ลูกเพิ่งฟื้น”
“ฉันด่าเมียน้อย ไม่ได้ด่าลูก”
สรวงบอกด้วยสีหน้าสลด “ผมไม่อยากให้คุณแม่ว่าใคร”
สุดาไม่ฟัง พ่นต่อ “แม่ต้องว่า..และไม่ใช่แค่ว่าด้วย แต่ต้อง ”ด่า” ก็เพราะผู้หญิงหน้าด้านที่มัน
เข้ามาเป็นเมียน้อย บ้านเราถึงเดือดร้อนวุ่นวายกันอยู่อย่างนี้ ลูกแม่ก็ต้องเจ็บ ชีวิตแม่ก็ต้องบรรลัย เพราะมันๆๆๆ”
อารักษ์สุดทน ขึ้นเสียง “คุณหญิง”
“หุบปากเลยนะคุณอารักษ์ไม่ต้องมาห้าม...คุณคิดเหรอว่าฉันอยากเป็นคนเลว คุณคิดเหรอว่าฉันเป็นบ้า อยู่ดีๆ ก็ลุกมาด่าใคร ถ้าไม่ใช่นังภาพิศ เมียน้อย ฉันไม่เป็นคนแบบนี้หรอก ที่ฉันเป็นอย่างนี้ เพราะมันๆๆๆๆ”
“คุณแม่ อย่า”
“สรวงไม่ต้องมาห้าม ยิ่งคิดแม่ก็ยิ่งเจ็บ แม่ถูกลูกผัวดูหมิ่นว่าร้ายว่าเลวก็เพราะมันๆๆๆๆๆ”
สุดากรีดร้องไม่หยุด แถมอาละวาดหนักจนหมดสติเป็นลม อารักษ์ กับสรวงหน้าตื่นตกใจ ร้องออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน
“คุณแม่” / “คุณหญิง”

เวลาเดียวกันนั้น กรรณนรีก้มลงกราบไหว้พระอยู่ในห้องพระ กาวินทร์เดินผ่านมาเห็นจังหวะที่กรรณนรีไหว้พระเสร็จพอดี กาวินทร์ถาม
“ไหว้พระขอพรให้คุณสรวงอีกแล้วล่ะสิ”
“ค่ะ กาวอยากให้คุณสรวงแข็งแรงเร็วๆ”
“กาวรักเค้า กาวคิดถึงเค้า ทำไมไม่ไปหาเค้าล่ะ”
“เพื่อประโยชน์อะไรล่ะคะพี่แก้ว”
แก้วมองหน้าน้อง กรรณนรีบอกต่อ
“กาวรู้..เกิดเรื่องขึ้นขนาดนี้ ความรักของกาวกับคุณสรวงไม่มีทางสมหวังกันได้หรอกค่ะ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด คือต่างคนต่างไป...เหลือแค่ความรักอยู่ในใจก็พอ”
กรรณนรีร้องไห้ กาวินทร์ดึงร่างน้องสาวเข้ามากอดปลอบ
“แต่ถ้าพี่เป็นกาว...พี่จะสู้ สู้เพื่อรัก...เพราะคุณสรวงรักกาว”
“กาวไม่อยากให้คุณสรวงเป็นลูกอกตัญญู”
กาวินทร์มองหน้าน้องสาว ขณะที่กรรณนรีบอกออกมาอย่างสะเทือนใจ
“กาวจะมองหน้าท่านอารักษ์ได้ยังไงคะ ในเมื่อที่ผ่านมา...” กรรณนรีร่ำไห้ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ “ที่สำคัญ...คุณหญิงสุดาไม่มีวันรับกาวเป็นสะใภ้อย่างเด็ดขาด”
กรรณนรีร้องไห้สะอึกสะอื้น กาวินทร์ได้แต่ปลอบ เพราะสิ่งที่กรรณนรีพูดออกมาคือความจริง

ขณะเดียวกันสุดานอนหลับอยู่บนเตียง ร่างกายถูกให้น้ำเกลือ ยินเสียงประตูเปิดเข้ามา สุดาหรี่ตาขึ้นมามอง เห็นภาพิศเดินเข้ามาใกล้ๆ
สุดาอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนจะรู้สึกตัว แต่จริงๆ หลับอยู่ เห็นภาพภาพิศในชุดวันที่สุดาสั่งเก็บเดินมาหยุดที่ข้างเตียง สุดาหลับตาอยู่ ร้องโวยวาย
“แกเข้ามาทำไม? ออกไป..ออกไปนะนังภาพิศออกไป”
สุดาหลับตา อาการกระส่ายกระสับ ลักษณะเหมือนคนถูกผีอำ
“ฉันจะเอาแกไปอยู่ด้วย”
“ไม่ไป..ฉันไม่ไป แกออกไปนะภาพิศ ออกไป”
จังหวะนั้นหมอเปิดประตูเดินเข้ามาพร้อมพยาบาลที่เตรียมยามาฉีด
สุดาพึมพำส่ายหน้าไปมา “ออกไปนังภาพิศ ออกไป”
หมอแตะมือเบาๆ พลางเรียก “คุณหญิง...คุณหญิง”
สุดาสะดุ้งตื่นขึ้นมา เห็นหมอกับพยาบาลยืนอยู่ข้างเตียง
“คุณหมอ” สุดาคราง
หมอตรวจดู และสอบถามอาการ “มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ”
“ฉีดยาหน่อยนะครับ”
หมอบอกแล้วถอยออกมา พยาบาลฉีดยาให้ สุดาหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า
ระหว่างนั้นอารักษ์กับสรวงเดินตามเข้ามา
“คุณแม่เป็นยังไงบ้างครับ”
หมอมองหน้าอารักษ์กับสรวง ก่อนบอกเบาๆ
“เชิญข้างนอกดีกว่าครับ คุณหญิงจะได้พักผ่อน”

สามคนอยู่ที่หน้าห้อง หมอบอกอาการสุดาแก่สองพ่อลูก
“คุณหญิงมีอาการอ่อนเพลียและเครียดมาก...หมอแนะนำให้พาคุณหญิงไปพักผ่อน ได้เจอบรรยากาศใหม่ๆสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ คุณหญิงจะได้ดีขึ้น”
“แล้วมีอะไรน่าเป็นห่วงมั้ยครับ” อารักษ์รีบถาม
“หมอกังวลอาการทางจิต” หมอบอกหน้าเครียด
สรวงคราง “อาการทางจิต”
“ครับคุณหญิงเครียดมาก อาจจะต้องให้หมอทางจิตเวชมาดูแล เพราะคุณหญิงเอาแต่เพ้อถึงแต่ภาพิศ” หมอเล่าอาการต่อ
อารักษ์ฉงน “เพ้อถึงภาพิศ”
“ไม่ทราบว่า..คุณหญิงมีอะไรกับคนที่ชื่อภาพิศหรือเปล่าครับ”
อารักษ์กับสรวงมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ

เวลานั้น สุดานอนอยู่บนเตียง ในอาการกระสับกระส่าย กดดันหนัก จิตใต้สำนึกคอยหลอกหลอน ทำให้เห็นภาพภาพิศสวมชุดในวันที่ถูกสุดาสั่งเก็บ เดินเข้ามาหา สุดาหันมาเจอใบหน้าภาพิศในระยะประชิด ดวงหน้าภาพิศซีดเผือดจ้องเขม็ง
“ฉันจะฆ่าแก”
สุดากรี๊ด “อย่าทำฉัน อย่าๆๆๆ อย่าทำฉัน”
สรวงกับอารักษ์ เดินคุยมากับหมออยู่ที่ด้านนอก ได้ยินเสียงสุดาร้องโวยวายก็ตกใจ
“แม่”

สรวงเดินลิ่วนำหน้าอารักษ์และหมอมาที่ประตูห้องทันที

ไฟมาร ตอนที่ 17(ต่อ)

สุดายังคงมองจ้องภาพิศตาเขม็ง ขณะที่ภาพิศไม่พูดไม่จาใดๆ มีแต่เพียงแววตายิ้มอย่างเยือกเย็น นั่งลงบนเตียงและล้มตัวลงนอนข้างสุดา แล้วหันหน้าตะแคงเข้าหา สุดาคลั่ง ไล่ตะเพิดดังลั่น

“อย่า..ออกไปนะ แกออกไป”
สุดาเอามือผลักออก ร่างภาพิศยิ้มอย่างน่ากลัวให้
จังหวะนั้นสรวงวิ่งเปิดประตูเข้ามานำหน้าทุกคน
“แม่..แม่เป็นอะไรครับแม่”
“นังภาพิศ” สุดากวาดสายตามองหา “นังภาพิศ...มันจะมาฆ่าแม่”
สุดาเนื้อตัวสั่นเทา ผวากอดสรวงแน่น ทุกคนหันไปมองรอบห้อง แต่ไม่เห็นใคร สรวงกับอารักษ์มองหน้ากันด้วยท่าทีกังวล ขณะที่หมอเล่าอาการเป็นเชิงหารือต่อ
“นี่ไงครับ..ที่ผมเล่าให้ฟัง...คุณหญิงเพ้อถึงคุณภาพิศบ่อยๆ”
อารักษ์กับสรวงมองจ้องหน้าสุดาอย่างพินิจ สุดาสะดุ้งหน้าซีดรีบบอก
“ฉันไม่ได้บ้านะ ฉันไม่ได้บ้า นังภาพิศมันมาจริงๆ มันจะฆ่าฉัน”
พยาบาลเดินเข้ามาพร้อมถาดยาและแก้วน้ำ “ทานยาค่ะคุณหญิง”
สุดากรีดร้องปัดออกโวยวายลั่น “บอกแล้วไง ฉันไม่ได้บ้า”
สรวงกับอารักษ์ตกใจ ร้องออกมาพร้อมๆ กัน
“คุณหญิง” / “คุณแม่”
สรวงพยายามตะล่อม โดยเป็นคนป้อนยาให้สุดาเอง
“ครับคุณแม่ไม่ได้บ้า คุณภาพิศมาที่นี่จริงๆ...คุณแม่ทานยานะครับ จะได้หายเร็วๆ” สรวงจดสายตามองหน้าสุดา “จะได้ไปจากภาพิศ”
สุดามองหน้าสรวงตอบ สรวงพยักหน้าปลอบและป้อนยาให้ สุดากินแบบระวังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องกินยากล่อมประสาท สรวงกับอารักษ์เครียดจัด เช่นเดียวกับหมอ และพยาบาลก็เครียดพอกัน

เวลานั้น นากินยาแก้ปวดหัว สีหน้าเครียดเคร่งอยู่ในครัวที่บ้าน บ่นงึมงำ ดวงตาวาววับ
“พวกผู้หญิงหน้าด้าน ไม่มีปัญญาหาผัวหรือไง ถึงได้มาแย่งผัวคนอื่น...ฉันจับได้เมื่อไหร่ล่ะน่าดู”
นาคว้ามีดผลไม้ขึ้นมา หยิบแอ๊ปเปิ้ลขึ้นมาเฉือน หั่นแอ๊ปเปิ้ลสีแดงเป็นชิ้นๆ แลดูน่ากลัว

สุดานอนอยู่ในห้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล ทันทีที่รู้สึกตัวก็มีอาการหวาดกลัว มองไปรอบๆ ห้อง ร้องตะโกน
“สรวง..คุณอารักษ์ สรวง”
แต่ไม่มีใครเข้ามา คุณหญิงมองรอบๆ ห้อง เดินลิ่วออกไป

ที่ด้านนอก สองพ่อลูกคุยกัน
“แม่คงยังไม่หายโกรธคุณภาพิศ” สรวงปรารภ
“แต่ที่พ่อสงสัย แม่ได้ทำอะไรภาพิศหรือเปล่า? ถึงได้กลัวภาพิศขนาดนั้น”
สุดาเดินออกมาทางด้านหลัง ได้ยินพอดี ดวงตาเป็นประกายวาบขึ้นมา เหมือนคนกลัว
ความผิด ขณะที่อารักษ์พูดต่อ
”สรวงกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ...ลูกเองก็เพิ่งจะหาย เดี๋ยวจะแย่”
”ผมว่าจะเข้าไปทำงานที่บริษัท”
“พ่อก็จะแวบไปประชุมหน่อย ดูแลตัวเองด้วยนะลูก”
สองคนแยกกัน สุดามองตามแววตาเป็นกังวล
พยาบาลเดินเข้ามาในห้อง แต่ไม่เห็นสุดา
“คุณหญิง...คุณหญิง”
สุดาเดินออกมาจากห้องน้ำ ในชุดปกติทะมัดทะแมง “ฉันอยู่นี่”
พยาบาลตกใจ “ตกใจหมด..นึกว่าคุณหญิงหายไปไหน? อ้าว!แล้วทำไมคุณหญิงเปลี่ยนชุด
ล่ะคะ”
สุดายิ้มอ่อนโยน “ฉันหายดีแล้วค่ะ..จะขอออกจากโรงพยาบาลเลย”
“แต่คุณหมอ...” พยาบาลท้วง
สุดายิ้มสดใสสวนคำ “ฉันหายดีแล้วจริงๆ ค่ะ ไม่เป็นอะไร...”
สุดาเดินออกไปเลย พยาบาลมองตาม สีหน้าที่ยิ้มพรายสดใสเมื่อครู่ของสุดา เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที

เย็นนั้น สรวงนั่งทำงานอยู่ในห้องท่าทางเป็นกังวล เสียงของอารักษ์ดังก้องในหัว
“แต่ที่พ่อสงสัย แม่ได้ทำอะไรภาพิศหรือเปล่า? ถึงได้กลัวภาพิศขนาดนั้น”
สรวงฉุกคิดผุดลุกเดินออกไปทันที

คืนนั้นที่บ้านแฉล้ม บรรยากาศเงียบงัน ออกไปทางวังเวง และน่ากลัว เป็นบ้านไม้เก่าๆ ต้นไม้
รกครึ้ม สรวงเดินเข้ามา เห็นแฉล้มนั่งอยู่บนรถเข็นในมือมีลูกบอลสำหรับออกกำลังกายมือ สรวงมองหน้าสลดลง
“ผมเสียใจด้วยนะครับ”
แฉล้มยิ้มแบบปลงๆ “แค่ยังมีลมหายใจอยู่ สำหรับฉันมันมากเพียงพอแล้วค่ะ”
“แต่เพราะคุณแม่” สรวงรู้สึกผิดในใจ
แฉล้มแย้ง “เพราะฉันตะหากล่ะคะ...” น้ำเสียงแฉล้มหนักแน่น รู้สึกผิดมากๆ “ฉันเป็นคนพาตัวเองเข้าไปทำผิดกับคุณหญิง ก็สมควรแล้วที่ต้องได้รับกรรมอย่างนี้...ว่าแต่คุณสรวงมาที่นี่มีอะไร”
“ผมอยากทราบข่าวคุณภาพิศ”
แฉล้มแปลกใจ “คุณภาพิศไม่ได้บอกท่านหรอกหรือคะว่าไปอเมริกา”
สรวงนิ่งงันไป เพราะภาพิศไม่ได้บอก แฉล้มว่าต่อ
“เธอไปตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องค่ะ เห็นบอกจะไปคลอดลูกที่นั่น และอาจจะไม่กลับมา..ก็ดีนะคะเรื่องทุกอย่างจะได้จบๆ ต่างคนต่างแยกย้ายไปมีชีวิตซักทีคุณสรวงก็เหมือนกันค่ะ..ลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น...ดูแลครอบครัว ดูแลคุณหญิง เพราะคุณหญิงรักคุณสรวงสุดหัวใจ”
สรวงมองแฉล้มด้วยสายตาเสียใจ และรู้สึกผิด “คุณแฉล้มก็เหมือนกันนะครับ เริ่มต้นใหม่”
“ค่ะ..นับตั้งแต่วันนี้ฉันจะทำแต่ความดี ลบล้างความผิดที่ฉันเคยทำมา”
“ผมเอาใจช่วย เราจะลืมเรื่องที่ผ่านมา และเริ่มต้นชีวิตใหม่กัน”
“ค่ะคุณสรวง”
สรวงยิ้มให้แฉล้มแล้วเดินออกไป แฉล้มมองตามด้วยแววตาสงสาร และเห็นใจ
แฉล้มคิดอยู่ในใจ “การกระทำของพ่อแม่ ส่งผลต่อลูกเสมอ...และลูกก็ต้องเป็นคนได้รับ
กรรม”

ทันทีที่สรวงขับรถกลับไปแล้ว สุดาเดินออกมาจากที่ซ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ที่หน้าบ้าน เดินสืบเท้าอย่างเนิบช้าเข้าไปด้านในด้วยความใจเย็น แต่หน้าตาถมึงทึงน่ากลัวนัก

พอออกจากบ้านแฉล้ม สรวงจอดรถข้างทาง เอนหัวลงพนักพิงกลุ้มหนัก ก่อนจะหลับตาลงเหนื่อยอ่อน

ส่วนที่บ้านกรรณนรีเวลาเดียวกัน กรรณนรีนั่งมองดูรูปสรวงในมือถือ เป็นภาพสรวงกอดกรรณนรีอย่างรักใคร่ กรรณนรีน้ำตาไหลริน บอกตัวเอง
“คืนวันเหล่านี้มันจะไม่กลับมาอีกแล้วใช่มั้ยคะคุณสรวง”
ห้วงเวลาเดียวกันนั้นสรวงค่อยๆ ลืมตาขึ้นแบบเหนื่อยล้าคิดในใจ
“ฉันคิดถึงเธอกรรณนรี...โดยเฉพาะตอนนี้...ฉันกำลังอ่อนแอ”
สรวงกับกรรณนรีแหงนมองพระจันทร์บนท้องฟ้า ดวงเดียวกัน คิดถึงกันใจแทบขาดแต่ไม่อาจไปหากันได้

ทางด้านแฉล้ม กำลังเข็นรถไปที่โต๊ะใกล้ๆ วางลูกบอลในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันไปเตรียมดอกไม้ เป็นชุดๆ และอาหารแห้ง สำหรับไว้ใส่บาตรตอนเช้า มือของแฉล้มเคลื่อนไหวไปมาอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ทดท้อ แต่จังหวะหนึ่งมือเกิดไปถูกลูกบอล จนลูกบอลตกลงพื้น กลิ้งไปตามทาง แฉล้มทำหน้าจิ๊จ๊ะหงุดหงิดหัวเสียตัวเอง ก่อนจะเข็นเลื่อนล้อไปก้มลงหมายจะเก็บ
แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นปลายเท้าของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน แฉล้มเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเป็นสุดายืนนิ่ง แต่ดวงหน้าน่ากลัว แฉล้มตกใจ
“คุณหญิง”
สุดาแค่นยิ้มนิดๆ ก่อนจะก้มลงหยิบลูกบอลยื่นให้ “รับไปสิ”
แฉล้มไม่ยอมรับ สุดามองอย่างฉุนเฉียว
“ฉันบอกให้รับไป ยัง...ยังอีก แกกล้าอวดดีกับฉันใช่มั้ยนังแฉล้ม”
สุดาปาลูกบอลใส่หน้าแฉล้ม แฉล้มหลบได้หวุดหวิด รู้ดีตัวเองเป็นรอง บอกเสียงสั่น
“อย่าคุณหญิง อย่าทำฉัน”
สุดาปรี่เข้าไปกระชากผมแฉล้มจนหน้าหงาย “ฉันไม่ทำอะไรแกหรอก...เพราะยังไงแกก็ไม่มีทางสู้ฉันได้” ผลักหัวแฉล้มออกไป พร้อมกับหัวเราะอย่างสะใจ
แฉล้มถามแบบตื่นกลัว “คุณหญิงมาที่นี่ต้องการอะไร”
“มาจัดการกับแกไง” สุดแหวใส่
แฉล้มยิ่งตกใจกลัว “คุณหญิง” รีบเลื่อนรถเข็นถอยหลังหนี
สุดาหัวเราะร่า พอใจมากที่ตัวเองเหนือกว่า “แกกลัวฉันใช่มั้ย แกกลัวใช่มั้ย” สุดาน้ำตาคลอ “จริงๆ แกน่าจะกลัวฉันตั้งแต่10กว่าปีที่แล้วมากกว่านะ แกจะได้ไม่พานังภาพิศเข้ามาในชีวิตของฉัน”
“ฉันขอโทษคุณหญิง ฉันขอโทษ”
สุดาสะเทือนใจมาก ร้องไห้ออกมา “เธอรู้มั้ยแฉล้ม ทุกวันนี้ฉันทุกข์ทรมานแค่ไหน?...ฉัน
ต้องกลายเป็นจำเลยในสายตาลูก สายตาผัว มีแต่คนมองฉันว่าฉันเลว ฉันโหด ฉันเหี้ยม ไม่มีใครเข้าใจฉันเลยว่าฉันเป็นแบบนี้เพราะอะไร” อารมณ์โกรธแค้นมาเป็นริ้วๆ “เป็นเพราะนังภาพิศไง เป็นเพราะนังภาพิศมันเข้ามาทำลายชีวิตฉัน โดยการชักนำของเธอ” สุดาบันดาลโทสะ กระชากผมแฉล้มจนหน้าแหงนหงาย
แฉล้มร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ และเข้าใจ “ฉันขอโทษ..ฉันขอโทษจริงๆ คุณหญิง ฉันขอโทษ
“มันสายไปแล้ว แฉล้ม มันสายไปแล้ว”
สุดาผลักรถเข็นแฉล้มอย่างแรง จนรถล้มลง ก่อนจะเดินตามเข้ามาหา แฉล้มกระถดตัว
ถอยหนี สุดาเริ่มคลั่ง
“เพราะแก แกเป็นต้นเหตุทำให้ฉันเป็นแบบนี้...ฉันเกลียดแก ฉันเกลียดแก”
สุดาตรงเข้าไปขย้ำทุบตีแฉล้มไม่ยั้ง แฉล้มร้องไห้ยกมือไหว้อ้อนวอน
“ฉันไหว้ล่ะคุณหญิง อย่าทำฉันเลย ตอนนี้ฉันกำลังชดใช้บาปกรรมที่ทำกับคุณหญิง ฉันเป็นคนพิการ ฉันไม่สามารถพาใครไปหาใครได้อีกแล้ว” แฉล้มกอดขาสุดาไว้ “เมตตาฉันเถอะคุณหญิง เมตตาฉันเถอะ”
สุดามองแฉล้มด้วยสายตาแห่งความสมเพช ระคนสงสาร
“ถ้าเธอไม่ทำฉันก่อน เธอก็จะไม่มีสภาพแบบนี้ ฉันก็จะไม่เป็นคนเลวแบบนี้ คนร้ายแบบนี้ ไม่น่าเลยแฉล้ม ไม่น่าเลย”
สุดาสะบัดเท้าออกจากการเกาะกุมของแฉล้มแล้ววิ่งออกไป แฉล้มร้องไห้โฮ สลดหดหู่ในใจ
ภาพิศซึ่งรอดชีวิตมาได้ แอบมองอยู่ น้ำตาไหลพราก ด้วยความเจ็บปวด ก่อนเดินเข้ามา
“คุณแฉล้ม”
แฉล้มชะงักคาดไม่ถึง “คุณภาพิศ”
ภาพิศวิ่งไปหากอดแฉล้ม สองคนกอดกันร้องไห้

สุดาเดินไปที่รถเหมือนคนเสียขวัญ เจ็บปวดหัวใจอยู่เหมือนกัน ก่อนปาดน้ำตาบอกตัวเองในใจ
“เธอไม่ผิดสุดา..เธอไม่ใช่คนผิด”
สุดาบอกตัวเอง ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นมาใหม่ ก่อนขับรถออกไปไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย

ส่วนในบ้าน ภาพิศร้องไห้ถามแฉล้มซ้ำไปซ้ำมา
“ทรมานมากมั้ยคุณแฉล้ม? คุณทรมานมากมั้ย”
“มันเป็นเวรกรรมของฉัน”
ภาพิศกรีดเสียงร้องโหยหวน “ไม่...มันเป็นเพราะนังสุดา คุณรู้มั้ยว่ามันทำอะไรฉันบ้าง”
แฉล้มมองภาพิศ อย่างตื่นตระหนก เห็นสีหน้าเหี้ยมโหด
แฉล้มมองภาพิศอย่างตกตะลึง ภาพิศบอกเสียงกร้าว
“ฉันเกือบตายไปแล้ว ดีที่มีคนมาช่วย”
ภาพอดีตอันแสนปวดร้าวผุดขึ้นมาในหัวภาพิศ

หลายวันก่อนหน้านี้ ในขณะที่ภาพิศนอนหมดสติ ท่ามกลางความมืดมิด ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเดินถือตะเกียงส่องหาของป่า เห็นเงาตะคุ่มๆ
“เฮ้ย! คนนี่หว่า” ชาวบ้านรีบเข้าดูอาการ เอามืออังจมูก “ยังไม่ตาย มาช่วยกันเร็วๆ”
ชาวบ้านร้องเรียกพวกพ้องมาช่วยภาพิศ
ภาพิศนั่งน้ำตาไหลพราก
“นังสุดามันคิดว่าฉันตายไปแล้ว แต่เสียใจ ฉันยังไม่ตาย”
แฉล้มนึกได้ “แล้วลูกคุณล่ะ”
“คลอดก่อนกำหนด ตอนนี้ยังอยู่ในตู้อบ” ภาพิศบอก นัยน์ตาวาวโรจน์ “เพราะมันนังสุดา มันทำลายชีวิตฉันทุกอย่าง ฉันจะจองเวรจองกรรมมันไม่มีที่สิ้นสุด”

ดวงตาของภาพิศเป็นประกายวาววับ เห็นเปลวไฟแห่งความแค้นปะทุขึ้นมาโชติช่วงในดวงตาคู่นั้น

อารักษ์ย้อนถามสรวงอย่างตกใจหลังรู้เรื่อง

“ว่าไงนะ แม่ออกจากรพ.แล้ว
ในมือของสรวงถือโทรศัพท์ “ครับ...ทางโรงพยาบาลแจ้งว่า เป็นความต้องการของคุณแม่”
อารักษ์กังวล “ยังไม่หายดีเลย จะออกมาทำไม”
สุดาเดินเข้ามาในโถงกลางบ้าน ด้วยสีหน้าสับสน จากเหตุการณ์เมื่อครู่ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วสุดาไม่ใช่คนเลว แต่ต้องลุกขึ้นมาร้ายสุดขั้ว เมื่อภาพิศเข้ามาในชีวิต สุดาตอบเสียงแผ่ว
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะ
อารักษ์ถามสุ้มเสียงอ่อนโยน ด้วยความเป็นห่วง “แน่ใจเหรอคุณหญิง ท่าทางคุณหญิงยังไม่ค่อยดีเลยนะ”
สุดาย้ำเสียงแผ่ว “ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ แค่อยากพักผ่อน”
“งั้นไปพักผ่อนนะ”
อารักษ์กับสรวงประคองสุดาเดินขึ้นบ้านอย่างห่วงใย

อารักษ์ ประคองสุดานอนลงบนเตียง สรวงหยิบยาและน้ำยื่นให้
“ทานยาครับคุณแม่”
สุดารับยามาทานอย่างว่าง่าย อารักษ์ลูบหน้าลูบตาสุดา
“นอนเถอะ ผมจะอยู่ข้างๆ คุณหญิง ไม่ไปไหนอีกแล้ว”
สุดาหลับตาลงอย่างอ่อนล้า สรวงจับมือสุดากุมเอาไว้แน่น สงสารแม่เหลือเกิน
ไม่นานนักลมหายใจสุดาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
“แม่หลับแล้ว..ฝันดีนะครับแม่”
อารักษ์มองสรวงชั่งใจก่อนบอก “พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”
สรวงมองหน้าพ่อ สงสัย พ่อจะคุยอะไร ขณะที่อารักษ์ดับไฟเดินนำออกมา

ไม่นานต่อมา ภายในร้านอาหารแห่งนั้น สองพ่อลูกนั่งคุยกัน สีหน้าเศร้า อารักษ์เอ่ยขึ้น
“ที่ผ่านมาพ่อรู้ว่าพ่อเป็นคนผิด ผิดจนไม่กล้าไปสู้หน้าใคร พ่อเลว...แต่มาถึงวันนี้พ่อเสียใจจริงๆ สรวง เสียใจที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้”
“ผมดีใจครับ...ที่ต่อไป..พ่อจะไม่ทำให้แม่เสียใจอีก”
อารักษ์ทำท่าหนักใจ “พ่อจะพยายาม...แต่แม่อาจจะต้องเสียใจอีก”
สรวงงง “ทำไมครับพ่อ”
“แม่เกลียดภาพิศ เกลียดกรรณนรี”
สรวงมองอย่างไม่เข้าใจ “คุณพ่อพูดถึงเค้าทำไม”
“เพราะพ่อรักกรรณนรี พ่อเอ็นดูเด็กคนนี้จริงๆ”
สรวงหน้าซีดเผือด ตรงข้ามกับดวงหน้าของอารักษ์ดูอ่อนโยน ขณะพูดประโยคต่อมา
“แม่..คงทำใจไม่ได้ ถ้าจะเห็นกรรณนรีในบ้านเราอีก”
สรวงงงหนัก “คุณพ่อจะทำอะไร”
“ทำในสิ่งที่สมควรทำซักที”
สรวงมองอารักษ์อย่างงวยงง ไม่เข้าใจในคำพูดและท่าทีของพ่อ

สุดาตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นแต่ความมืด ข้างๆ สุดาไม่มีใคร
สุดามีท่าทีเหนื่อยล้าโรยแรง “ไหนบอกจะอยู่ข้างๆ เอาเข้าจริงก็ไม่อยู่
สุดาส่ายหน้า ทำท่าปวดหัว เครียด ก่อนจะควานไปหยิบยามากิน ยิ้มขื่น
“นี่ถึงขั้นต้องกินยากล่อมประสาทแล้วเหรอสุดา”
สุดาถามตัวเอง ก่อนกินยาลงไป แล้วล้มตัวลงนอน

ดึกสงัด ความมืดโรยตัวเข้าห่อคลุมทั้งคฤหาสน์อริยะวรรต ภาพิศลอบเข้ามาในบ้าน เดินมาอย่างเนิบช้า ใจเย็น แต่ดวงหน้าเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ผมยาวตรง สวมชุดขาวแต่ดูเหมือนปิศาจร้าย

สุดานอนอยู่ แต่รู้สึกงัวเงียตื่นขึ้นมาเมื่อสัมผัสว่าเตียงยวบลงเหมือนคนมานั่ง สุดาหันมามองก็ต้องร้องกรี๊ดเมื่อภาพิศนั่งอยู่
“นังภาพิศ” สุดาตระหนก ตกใจกลัวมาก “ แกตายไปแล้ว แกมาได้ยังไง”
ภาพิศบอกด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “มาเอาแกไปอยู่ด้วยไง”
“ไม่ ฉันไม่ไป”
สุดาจะกระถดตัวหนีแต่ภาพิศขึ้นคร่อม บีบคออย่างแรง ภาพิศคำราม
“แกฆ่าฉัน แกต้องตายๆ”
ภาพิศบีบคอสุดาอย่างแรง ดวงตาของสุดาเหลือกถลนออกมา กลัวมาก
“ปล่อยๆ”
สุดาผลักภาพิศสุดแรงเกิด แล้ววิ่งหนีเตลิดออกไปอย่างตื่นกลัว

ระหว่างนั้นอารักษ์ กับสรวงกลับเข้ามาถึงพอดี สองคนอยู่ตรงห้องโถง สุดาวิ่งหน้าตาตื่นทะเล่อทะล่ามาหา ร้องโวยวาย
“ผีๆๆ ช่วยแม่ด้วย ผี”
สองคนมองหน้ากันงุนงง
“ผีอะไรคุณ”
สุดาละล่ำละลัก “ผีนังภาพิศ มันจะฆ่าฉัน มันจะเอาฉันไปอยู่ด้วย ไม่นะสรวง...แม่ไม่ไป สรวงช่วยแม่ด้วย ช่วยแม่ด้วย” ผวากอดสรวง
“คุณภาพิศจะเป็นผีได้ยังไงครับแม่”
สรวงกับอารักษ์มองหน้ากันอย่างงุนงง และไม่สบายใจ ไม่ได้คิดว่าสุดาจะไปทำร้ายฆ่าแกงภาพิศอีก แต่กลัวว่าภาพิศจะเป็นอะไรไป
“สรวงไปดูให้แม่หน่อยไป”
อารักษ์พูดไปอย่างนั้น หวังให้สุดาสบายใจ

สรวงเดินขึ้นมา ภาพิศที่อยู่ด้านบนรีบหาที่หลบซ่อนตัว ภาพิศจดสายตามองสรวงตลอดเวลา เห็นสรวงเปิดประตูเข้าไปในห้องของสุดาแล้วเปิดไฟ ซึ่งก็ไม่เห็นใคร เห็นแต่เพียงผ้าห่มกองอยู่สภาพเหมือนคนนอนอยู่

สรวงไม่เห็นอะไร จึงปิดไฟ เดินออกมา ผ่านหน้าภาพิศที่ยืนใจสั่นอยู่ตรงนั้น

ขณะที่สรวงเดินลงบันไดไป ภาพิศออกจากที่ซ่อน ชะโงกหน้าลงไปมองเบื้องล่าง เห็นอารักษ์กอดสุดาอยู่ พอสรวงเดินลงไปถึง ก็ถาม
“มีอะไรมั้ย”
“ไม่ครับพ่อ”
“ก็ภาพิศมันเป็นผี...มันจะอยู่ทำไม? มันก็หายตัวไปแล้วสิ” สุดาว่า
ภาพิศได้ฟังก็ยิ่งโกรธแค้นสุดา ขณะที่สรวงถามแม่
“แล้วทำไมคุณแม่ถึงคิดว่าคุณภาพิศเค้าเป็นผีครับ”
คราวนี้สุดาอึกอัก ก่อนจะคิดคำแก้ตัว
“ก็...แม่เห็นเค้าอยู่บ่อยๆ บางครั้งเค้าก็มา บางครั้งเค้าก็หายตัวไป จะให้เข้าใจว่าอะไร ถ้าไม่ใช่ผี”
“ภาพิศไม่ใช่ผี...เพราะเค้ายังไม่ตาย เค้าอยู่เมืองนอก”
สุดามองอารักษ์อย่างไม่เชื่อ “อยู่เมืองนอก”
“ใช่”
สุดาก้มหน้าซ่อนแววตา เหมือนรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ สรวงบอกกังวลใจ
“ผมว่าคุณแม่ยังไม่หายดี ไปพักผ่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมพาไป”
“ไม่เป็นไร..แม่ไปเอง
สุดากวาดสายตามองไปบนบ้านแบบกลัวๆ อยู่เหมือนกัน ก่อนตัดสินใจเดินขึ้นไป ภาพิศมองอยู่รีบฉากหลบทันที

สุดาเดินผ่านภาพิศเข้าไปในห้องอย่างระแวดระวัง ก่อนปิดประตูลง แล้วเปิดไฟ กวาดสายตามองรอบๆ กลัวๆ กล้าๆ ก่อนบอกตัวเอง
“นังภาพิศมันจะไปเมืองนอกได้ยังไง มันตายไปแล้ว”
สุดากวาดตามองรอบห้องอีกที ก่อนเดินไปนอนที่เตียงเปิดไฟทิ้งไว้อย่างนั้น

ภาพิศรีบชะโงกหน้ามองด้านล่าง ไม่เห็นสรวง แล้วอารักษ์ จึงรีบย่องลงบันไดไป

พอแฉล้มรู้เรื่องก็ดุภาพิศ
“ทำไมคุณทำอะไรอย่างนั้น”
“....ฉันอยากให้นังสุดาเป็นบ้า มันคิดว่าฉันตายไปแล้ว มันคิดว่าฉันเป็นผี”
แฉล้มเหนื่อยใจเต็มทน “พอเถอะคุณ..จองเวรจองกรรมกันอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่เรื่องมันจะจบจะสิ้นกันซักที”
ภาพิศท้วง “มันทำลายชีวิตฉัน จนพังยับเยิน คุณจะให้ฉันอภัยมันเหรอ? ไม่มีทาง”
“มีสิ...ฉันยังให้อภัยคุณหญิงได้...”
ภาพิศมองแฉล้ม แฉล้มพูดต่อ
“เพราะฉันเองก็ผิด ที่พาคุณไปหาท่านอารักษ์”
ภาพิศไม่ยอมรับ “ฉันก็เคยบอกคุณไปแล้วเหมือนกัน ต่อให้ไม่มีฉัน ไอ้อารักษ์มันก็ไปหาคนอื่นอยู่ดี ที่สำคัญ...ฉันให้อภัยนังสุดาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มันก็จ้องจะเอาแต่ชีวิตฉัน ชีวิตลูกฉัน แต่ฉันไม่โหดเหมือนมันหรอก อย่างมาก นังสุดามันก็กลายเป็นคนบ้าตลอดชีวิต เท่านั้นเอง”

พูดจบภาพิศก็หัวเราะดังก้อง แฉล้มมองภาพิศท่าทีสยองและหวั่นกลัว ท่าทางของภาพิศกับสุดายามนี้เหมือนคนโรคจิตพอๆ กัน

โปรดติดตาม "ไฟมาร" ตอนต่อไป อย่างระทึก!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น