ไฟมาร ตอนที่ 14
เกริกเดินออกไปที่หน้าบ้านด้วยท่าทีสงสัย มีสองป้าเดินตามหลังคอยบอก จักจั่นชี้ไปตรงจุดที่เห็นภาพิศกับแฉล้มยืนอยู่เมื่อครู่นี้
“โน่นไง.. ตะกี้ฉันกับป้าตั๊กแตน เห็นนุดียืนอยู่ตรงนั้น”
เกริกเดินไปมองหา “ไม่เห็นมี”
ตั๊กแตนเสริม “เค้าอาจจะกลับไปแล้วก็ได้มั้ง”
“ก็แล้วถ้าเค้าจะมาหาฉัน...เค้าจะกลับไปทำไม” เกริกท้วง สีหน้าไม่เชื่อ
จักจั่นเคลิ้ม เหมือนเห็นด้วย...มองมาทางตั๊กแตน
“เออ..นั่นสิ...ถ้ามาหาพ่อเกริกแล้วนุดีจะรีบกลับทำไม”
ตั๊กแตนชักลังเล “ไม่รู้...ฉันก็ไม่ใช่นุดี”
สองป้ามองหน้ากัน สรุปชงเอง แล้วก็งงเอง ขณะที่เกริกหน้าเคร่ง
เกริกกลับเข้าบ้าน หยิบมือถือ กดเบอร์โทร.ออก พลางรำพึงเบาๆ
“ทำไมนุดีไม่เข้ามา”
เกริกกดเบอร์ภาพิศที่เม็มไว้ พอจะกดโทร.ออกแต่ชะงัก
“หรือสองป้าจะตาฝาด” ในที่สุดตัดสินใจไม่โทร.วางมือถือลงที่เก่า
ด้านภาพิศเดินร้องไห้ตรงไปยังรถพร้อมกับแฉล้ม ท่าทางภาพิศยังเสียใจ แค้นใจ
“ฉันรู้ว่าคุณเสียใจ แค้นใจ แต่คุณก็ต้องยอมรับ ว่าคุณก็มีส่วนผิดที่ไปทำลายครอบครัวคุณหญิงสุดาเค้า เค้าก็มีสิทธิ์ที่จะโกรธ จะแค้น จะเอาคืน” แฉล้มว่า
ภาพิศท้วงอย่างมีอารมณ์ “แล้วเอาลูกฉันมายุ่งด้วยทำไม”
“เพราะเค้าแค้นคุณไงล่ะ วิธีไหนที่จะทำให้คุณเจ็บแสบที่สุดเค้าก็ต้องทำ..นี่เค้ายังเลือกใช้วิธีที่จะแก้แค้นคุณอย่างแยบยล ถ้าคุณอยากจะเอาคืนเค้า ทำไมไม่ทำอย่างเค้าบ้างล่ะ”
ภาพิศนิ่ง คิดตาม “ใช่...ถ้าฉันเดินเข้าไปจิกหัวตบ หรือฆ่าเค้าตาย...มันก็ง่ายเกินไป…”
แฉล้มยิ้มได้ที่ภาพิศเริ่มมีสติ และคิดออก ขณะที่ภาพิศพูดต่อด้วยสีหน้าดุดัน แววตาวาววับร้ายกาจ
“ฉันจะทำอย่างเค้า...ทำเป็นไม่รู้...แล้วย้อนแผนเอาคืน ให้มันแสบสันต์ที่สุดนังสุดา มันต้องกระอักเลือดตาย”
กุนซือแฉล้มดีดนิ้วเป๊าะ “นั่นล่ะ ใช่เลย”
สองคนแวะมาที่บ้านอริยะวรรต เพื่อบอกเล่าแผนกำจัดกรรณนรี สุดาย้อนถามเสียงดัง พร้อมรอยยิ้มดีใจ
“ว่าไงนะคะคุณน้องคิดแผนที่จะกำจัดนังศุภาวีร์ได้แล้ว”
ภาพิศปั้นหน้าหัวเราะ “อย่าเรียกว่ากำจัดเลยค่ะ แค่หลอกมันมาตบเล่นๆ เบาๆ แต่คุณหญิงพี่ ต้องช่วยน้องด้วยนะคะ”
สุดายิ้มพอใจ “จะให้พี่ช่วยยังไง ว่ามาเลยค่ะว่ามาเลย”
ภาพิศแกล้งพูดให้สุดางง พร้อมแอ๊กติ้งประกอบ
“ก็...น้องจะแกล้งทำเป็นมีเรื่องกับคุณหญิงพี่ให้นังศุภาวีร์มันเห็น พอมันเห็นเราสองคนมีเรื่องกัน นังนั่นมันชอบแอ๊บนางเอก มันต้องเข้ามาช่วย..พอมันมาช่วยนะคะ..น้องก็จะเข้าไปยืนข้างหลังนังศุภาวีร์ ตบคุณพี่ผ่านมัน..ส่วนคุณหญิงพี่ก็ตบมันผ่านน้อง”
สุดางวยงง “อะไรนะคะพี่งง...พี่ไม่เข้าใจ”
“คุณหญิงพี่กินปลาน้อยก็อย่างนี้ล่ะคะ” ภาพิศหลอกด่าว่าสุดาโง่
แฉล้มได้ที ร่วมผสมโรง “จะกินตอนนี้ก็คงไม่ทัน...งั้นคุณภาพิศก็ซ้อมให้คุณหญิงดูสิคะ...จะ
ได้เข้าใจง่ายๆ”
ภาพิศเห็นงาม “ก็ดีนะคะ...ซ้อมกันเลยนะคะคุณหญิงพี่”
สุดารับแบบงงๆ “ก็ดีค่ะ”
“ฉันเป็นศุภาวีร์ให้ค่ะ โอเค.นะคะ” แฉล้มว่า
ภาพิศไม่รอคำตอบของสุดา “โอเคค่ะ”
พูดจบภาพิศก็กระชากคุณหญิงสุดาตบอย่างแรง ตบแบบไม่ทันให้ตั้งตัว เป็นการตบเอาคืน และระบายความแค้นในใจ
คุณหญิงสุดาร้องสุดเสียง ทั้งเจ็บ ทั้งตกใจ ไม่คิดว่าจะตบจริง แฉล้มแกล้งสวมบทเป็นกรรณรี เข้าไปห้ามตามแผน
แฉล้มร้องห้าม “หยุดค่ะ หยุด”
ภาพิศแผดเสียงใส่ “ไม่ใช่เรื่องของแก แกอย่ามายุ่ง” ผลักแฉล้มออก ตบสุดาอีกฉาด
สุดาร้องลั่น “โอ๊ยย..เจ็บ..พี่เจ็บ”
แฉล้มจับสุดาไว้ เอาตัวมาขวาง แต่ร้อง “อย่าค่ะ อย่าทะเลาะกัน”
“ไม่หยุด” ภาพิศผลักแฉล้มออก ตบสุดาอีกฉาด
สุดาร้องลั่น เอะใจขึ้นมา “โอ๊ย! นี่เธอตบฉันจริงนี่หว่า ภาพิศ”
พูดจบสุดาก็กระโจนเข้าหาภาพิศ ตบเอาคืน แฉล้มร้องกรี๊ดๆ แต่ล็อกตัวสุดาให้ภาพิศตบ
แฉล้มแอ๊บเสียงตกอกตกใจ แต่สีหน้าจริงจัง “อย่าค่ะคุณ อย่า”
กลายเป็นว่าแฉล้ม ล็อกสุดาให้ภาพิศตบอย่างเมามัน สุดาร้อง
“พวกแกสองคนรุมฉัน” สุดาออกแรงผลัก แล้ววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
ภาพิศกับแฉล้มมองหน้ากันยิ้มสะใจ แฉล้มนั้นยิ้มขำๆ แต่ภาพิศยิ้มร้ายดวงตาอาฆาต สองคนตามไป
สุดาวิ่งหนีเตลิดเปิดโลงออกมาทางสระว่ายน้ำ แหกปากตะโกนลั่นให้คนช่วย
“ช่วยด้วยๆๆ”
ภาพิศกับแฉล้มวิ่งตามมาจนทัน แล้วแอ๊บใส่ ทำเป็นไม่รู้เรื่องราวอีก
“คุณหญิงพี่จะวิ่งหนีทำไมคะ”
“ก็เธอสองคนรุมตบฉัน” สุดาแว๊ด สีหน้าหวาดหวั่นตลอดเวลา
ภาพิศตีหน้าใสซื่อ พลางบอก “น้องคงอินมากไปหน่อย”
สุดาอึ้ง “อิน”
แฉล้มรีบเสริมให้ดูน่าเชื่อถือ “ค่ะ คงจะอินกันน่ะค่ะ....เหมือนอย่างที่ฉันเคยอ่านข่าว นางเอกกับตัวร้าย เกิดอินกันขึ้นมา เค้าก็ตบกันกระจาย กลางกองถ่ายละครเลยนะคะ”
“กันพลาด เราลองซ้อมกันอีกทีนะคะคุณหญิงพี่” ภาพิศเอ่ยขึ้น
ภาพิศกับแฉล้มกรูกันเข้ามาจะจับตัวสุดาอีก สุดาส่ายหน้าวิ่งหนี กรีดร้องสุดเสียง
“ไม่เอา..ไม่เอา ฉันไม่ซ้อม แอร๊ยย”
ร่างของสุดาเสียหลัก โงนเงนไปมามาก่อนจะร่วงตกลงสระน้ำลงไป สองคนสะใจ แกล้งร้องอุทาน พยายามกลั้นหัวเราะ
“คุณหญิงพี่” / “คุณหญิง”
สุดาตีน้ำร้องกรี๊ดๆ จังหวะนั้นสาวใช้วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น
“คุณหญิง”
สุดาโกรธตะโกนด่าภาพิศ กับแฉล้ม “แกจะไปไหนก็ไป ไป๊”
คนใช้ตกใจจะวิ่งไป สุดาเรียกไว้
“แอร๊ยยย..แกจะไปไหน ช่วยฉันก่อน”
สาวใช้งง ภาพิศกับแฉล้มแอบมองหน้ากันด้วยความสะใจ ส่วนสุดาได้แต่ร้องกรี๊ดๆ อย่างขัดใจ ทั้งเจ็บ ทั้งอาย
ภาพิศกับแฉล้มเดินหัวเราะออกมาหน้าคฤหาสน์ แฉล้มสอพลอขึ้นทันที
“ถ้าคุณเอาปืนมายิงยัยคุณหญิง โป้งเดียวมันก็จอด คุณเองก็ติดคุก แต่พอคุณใจเย็นๆ เห็นมั้ยคุณกระหน่ำตบมันได้ตั้งหลายที
“ฉันจะใช้วิธีนี้แหละ ทบดอกทบต้นไปเรื่อยๆ มันทำอะไรลูกฉัน ฉันจะเอาคืนมันเป็นสิบเป็นร้อยเท่า”
ดวงตาภาพิศวาววับ อาฆาตแค้นสุดาเหลือแสน
คืนนั้น กรรณนรียืนถือสร้อย ทอดอารมณ์อยู่ริมน้ำ นึกน้อยใจ เสียใจ ที่ภาพิศจดจำสร้อยที่เคยให้พ่อไม่ได้ กรรณนรีร่ำไห้ บอกตัวเองในใจ “เราต้องอยู่กับปัจจุบันกาว
กรรณนรีปาดน้ำตาเก็บสร้อยเดินออกมา
ในขณะที่กรรณนรีเดินเศร้ามาตามทาง กำลังจะกลับเข้าบ้าน แต่แล้วกรรณนรีต้องชะงัก เมื่อเห็นสรวงรออยู่
“คุณสรวง”
เบื้องแรกสรวงตั้งใจมาดักรอกรรณนรีถามเรื่องสุดา แต่พอเห็นน้ำตากรรณนรี ก็ใจหายวาบ นึกห่วงขึ้นมา
“เธอร้องไห้มีเรื่องอะไร”
กรรณนรีหลบตาซ่อนหน้า “ไม่มีค่ะ...”
“ฉันรู้ว่าเธอมี....เราควรจะเปิดใจคุยกันได้หรือยังกรรณนรี”
กรรณนรีมองสรวงสีหน้าครุ่นคิด
ที่ริมน้ำแห่งนั้น สองคนเดินไปเรื่อยๆ บรรยากาศเศร้าหม่น ต่างคนต่างทุกข์ใจ กรรณนรีเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“ถ้าเป็นเรื่องของฉันเอง ฉันพร้อมจะบอกคุณทุกสิ่งทุกอย่าง แต่นี่มันเกี่ยวกับคนอื่น มันเกี่ยวกับพี่ชายฉัน...” กรรณนรีค้างคำไว้แค่นั้น
สรวงต่อคำให้ “เกี่ยวกับแม่ฉัน...” เว้นไปนิดก่อนจะถาม เริ่มใจเสีย “เธออยากจะพูดอย่างนี้ใช่มั้ย”
กรรณนรีนิ่งงัน ท่าทางอึดอัดลำบากใจมาก ก่อนบอกออกไป “คุณอาจจะเกลียดฉัน แต่ฉันก็ยังยืนยันคำเดิม” น้ำตาคลอ “ฉันรักคุณ....รักจนยอมเจ็บ ยอมปวด เพราะฉันไม่อยากให้คุณเจ็บแม้แต่นิดเดียว”
สุดท้ายกรรณนรีก็เลือกเดินหนีไปโดยไม่ยอมบอกความจริง
สรวงใจหายคว้าเอาตัวกรรณนรีมากอดไว้อย่างโหยหาและอาวรณ์
“แต่สิ่งที่เธอกำลังทำ มันยิ่งทำให้ฉันเหมือนเป็นคนโง่..โง่อยู่คนเดียว ที่ไม่รับรู้เรื่องอะไร เธอรู้มั้ยว่าฉันเจ็บ”
กรรณนรีพูดทั้งน้ำตา “แต่ฉันเจ็บกว่า...ที่จะต้องทนทำเหมือนตัวเอง...โง่...โง่อยู่ตลอดเวลา” พร้อมกันนั้น กรรณนรีค่อยๆ ปลดมือสรวงออก “เหมือนอย่างที่ฉันเคยบอกคุณค่ะ หลักฐานทุกอย่าง
มันอยู่ที่แม่คุณ” กรรณนรีเดินออกไปเร็วรี่
สรวงนิ่ง อึดอัด “หลักฐานอยู่ที่แม่ฉัน แต่ความทุกข์ ความเจ็บปวดทุกอย่างมันอยู่ที่ฉัน ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยกรรณรี”
กรรณนรีเดินออกไปภายในเจ็บปวด รวดร้าว สรวงเองก็เจ็บพอกัน
กรรณนรียืนร้องไห้อยู่ในบ้าน กาวินทร์ถามออกไปอย่างหงุดหงิด
“มีโอกาสแล้ว ทำไมกาวไม่บอกคุณสรวงไปเลย เค้าจะได้รู้ว่าแม่เค้าเลวแค่ไหน”
“กาวไม่อยากให้คุณสรวงเจ็บ”
“แต่กาวต้องเจ็บ”
“กาวยอม”
กรรณนรีร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น
“ทำไมกาวต้องทำขนาดนี้”
“เพราะกาวรักคุณสรวงพี่แก้ว...กาวรักคุณสรวง”
กรรณนรีโผเข้ากอดพี่ชายเต็มแรง กาวินทร์กอดกรรณนรีแน่น เข้าใจถึงความรู้สึกของน้องสาวทีมีต่อสรวง
“กาวรักคุณสรวง แต่กาวเกลียดคุณหญิงสุดา กาวคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะจัดการกับปัญหานี้ยังไง”
“จัดการให้คุณสรวงรู้ความจริงให้เร็วที่สุด นั่นล่ะคือการแก้ปัญหา”
กรรณนรีมองหน้าพี่ชาย กาวินทร์มองน้องสาวส่งกำลังใจให้
วันต่อมา สุดานั่งคุยอยู่กับสุขหฤทัยตรงห้องโถงในคฤหาสน์ สาวแสบสุขหฤทัยตกใจแกมขำจนเผลอหลุดหัวเราะออกมา
“อะไรนะคะ นังภาพิศ นังแฉล้มมันรุมตบคุณหญิงแม่จริงๆ”
สุดาหงุดหงิดที่สุขหฤทัยขำ กระเง้ากระงอดใส่ “ก็ใช่น่ะสิ แล้วฤทัยจะหัวเราะทำไม”
“ฤทัยขำน่ะสิคะ...นึกว่าจะมีแต่ในละคร...ที่ไหนได้..ชีวิตจริงก็มีแอบอิน ตบกันกระจาย”
“แต่แม่เจ็บนะฤทัย...นี่ยังเจ็บอยู่เลย...แม่ต้องหาทางเอาคืนพวกมันแบบเนียนๆ ฤทัยช่วยแม่ด้วยนะ..ถ้านังสองแม่ลูกนั่นกระเด็นไปจากชีวิตแม่...แม่จะให้ตาสรวงแต่งงานกับฤทัย”
สุขหฤทัยลังเล ไม่ดีใจ แต่สุดาเข้าใจผิด
“น่าใจเย็นๆ ถึงตาสรวงจะไม่เต็มใจ แม่ก็จะให้ตาสรวงแต่งงานกับหนูแน่นอน สะใภ้ของอริยะวรรต มีหนูเพียงคนเดียว”
สุขหฤทัยเดินออกมาหน้าบ้าน หน้าตาไม่สดใส ได้แต่ถามตัวเอง
“ทำไมเราไม่ดีใจเลย...” สุขหฤทัยนิ่งคิด...แล้วหยิบมือถือขึ้นมา มองดูอย่างชั่งใจ ก่อนจะกดมือถือหากาวินทร์ ซึ่งเวลานั้นอยู่ที่บริษัท
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลย ออกมาหาฉันหน่อยสิ”
สองคนนัดเจอกันที่สวนดอกไม้สวยงามแห่งหนึ่ง กาวินทร์เดินเคียงมากับสุขหฤทัย ครู่หนึ่งกาวินทร์ถามด้วยเสียงอ่อนหวานแววตาอ่อนโยนรักใคร่
“สบายใจรึยังครับ”
สุขหฤทัยยิ้มแย้ม สีหน้าพอใจ “ฮื่อ!! ดีขึ้นมากเลย ขอบใจมากนะ”
“บอกแล้วไง อะไรที่ทำให้คุณสบายใจได้...ผมจะทำ”
กาวินทร์หยอดหวาน สุขหฤทัยมองมาอย่างซาบซึ้งใจ กาวินทร์ไม่ได้สนใจถามเรื่องราวรกใจ มีแต่หมั่นเติมความหวานใส่ใจสาวแสบอย่างเดียว
กาวินทร์ขี่จักรยาน พาสุขหฤทัยชมสวนดอกไม้ พอเหนื่อยสองคนมานั่งปิกนิก
จังหวะหนึ่งกาวินทร์เอาดอกไม้ทัดหู แซมผมให้ สุขหฤทัยรู้สึกดีและประทับใจมาก เป็นความอ่อนโยนอบอุ่นและอาทร ที่หล่อนไม่เคยได้รับจากสรวง
เวลาเดียวกันสรวงนั่งเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้อง คิดหนัก นพเดินเข้ามาหา เห็นท่าทีอมทุกข์ก็เลยถาม
“นี่...หมู่นี้พี่เห็นนายหน้าเครียดทุดวัน มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
สรวงมองหน้านพ ชั่งใจ
ไม่นานนัก สองหนุ่มอยู่ในร้านอาหาร นั่งทานข้าวด้วยกัน นพถามหน้าตาตื่น
“พี่ขอโทษจริงๆ...ที่พี่ไม่รู้เรื่องนี้เลย”
“ผมเองก็ไม่อยากเล่าหรอกครับ...เล่าไป ครอบครัวผมก็เสีย”
ภรตที่นั่งทานข้าวอยู่กับเพื่อน ที่โต๊ะข้างๆ ได้ยิน เริ่มหันมามองอย่างสนใจ สรวงพูดต่อเสียงเศร้า
“กรรณรีเองก็เสียใจ”
ภรตยิ่งหูผึ่งสนใจ
นพออกความเห็น
“งั้น..ถ้าสรวงอยากรู้ความจริง..สรวงก็ต้องจ้างนักสืบ”
สรวงอึ้ง ไม่เห็นด้วย “จ้างนักสืบ...สืบแม่ตัวเอง ผมก็บาปสิครับพี่นพ”
นพนิ่งคิดสักครู่ก่อนบอกออกไปอย่างจริงจัง “พี่ว่าไม่บาปหรอก...สืบเพื่อรู้ รู้แล้วจะได้แก้ไข สรวงเอก็จะได้รู้...คุณกรรณรีเข้ามาเป็นผู้หญิงของพ่อสรวงเพราะอะไร”
สรวงนั่งคิด ขณะที่ภรตขอตัวเพื่อนๆ เดินออกไปนอกร้าน
เวลานั้นกรรณนรีอยู่ที่หน้าร้านดอกไม้ กำลังเลือกซื้อดอกไม้เยอะแยะ จนแม่ค้าถาม
“วันนี้ซื้อดอกไม้เยอะจัง”
กรรณนรียิ้มบอก “ว่าจะพาพ่อไปไหว้พระ 9 วัดน่ะค่ะ”
แม่ค้ายิ้มตอบ “ดีๆ พาพ่อไปทำบุญ ได้บุญ”
เสียงมือถือดัง กรรณนรีกดรับ “คะพี่ภรต”
ภรตอยู่หน้าร้านอาหาร ถามกรรณนรีอย่างร้อนใจ “พี่ได้ยินจากปากคุณสรวงว่า กาวเป็นผู้หญิงของพ่อเค้าจริงหรือเปล่า”
กรรณนรีหน้าซีดเผือด ยังไม่ทันได้ตอบภรตชิงพูดต่อทันที
“กาวออกมาหาพี่หน่อยแล้วกัน”
กรรณนรีไม่อาจปฏิเสธ
ไฟมาร ตอนที่ 14 (ต่อ)
ภรตยืนกระวนกระวาย รอกรรณนรีอยู่หน้าร้านอาหารครู่ใหญ่ พลางบ่นด้วยความร้อนใจ
“กาวมาช้าจัง เดี๋ยวเค้าก็กลับกันหมดหรอก”
จังหวะนั้นสรวงเดินออกมาจากร้านพร้อมนพ สรวงเห็นภรต สองคนมองหน้า เขม่นกันตาม
ประสา
ห้วงเวลานั้นกรรณนรีวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ถูกสรวงเหน็บแหนมอย่างหึงหวง
“ยังกับมีคนให้คิว...พระเอกมาปุ๊บ นางเอกมาปั๊บ”
“พระเอกจำเป็นต้องมาปกป้องนางเอก เพราะมีผู้ร้ายปากเสีย ใส่ร้ายนางเอก” ภรตแดกดันกลับ
สรวงงง ขึ้นเสียง “ว่าใคร”
“ก็ว่าคุณนั่นแหละ...” หันมาทางกรรณนรีที่หน้าเสียอยู่ “กาวบอกพี่มาเลย..กาวเป็นผู้หญิงของพ่อเค้ารึเปล่า? ตอบมา...พี่จะได้ต่อยคนปากเสียถนัดๆ หน่อย ที่นั่งนินทาผู้หญิง”
สรวงพอเข้าใจเรื่องราวแล้ว จึงพูดเยาะเย้ย “อ้อ! เรื่องนี้เอง บอกเค้าไปสิจ้ะ กรรณรี อ้อ!ศุภาวีร์ ว่าความจริงคืออะไร”
นพจับแขนสรวง พูดปราม “สรวงไม่เอาน่า ใจเย็น”
สรวงสะบัดนพออก “ผมใจเย็นอยู่แล้วครับพี่นพ” พูดกับนพแต่จดสายตามองจ้องหน้ากรรณนรีเขม็ง “ถึงได้คอยให้เค้าพูดความจริงออกมา แต่เค้าก็ไม่พูดซักที” สรวงดุใส่กรรณนรี น้ำเสียงกร้าว “ว่าไงกรรณรี..ความจริงคืออะไร เธอพูดออกมาเลย”
ภรตฉุน เดินเข้ามาขวาง ตะคอกใส่ “เฮ้ย!คุณ...เป็นลูกผู้ชายหน่อยสิคุณ”
สรวงเบี่ยงตังยื่นหน้าผ่านภรตไปต่อว่ากรรณนรีอีก “ก็เพราะเป็นลูกผู้ชายน่ะสิ ถึงได้ยืนโง่อยู่อย่างนี้ ตอบมากรรณรี”
สรวงอารมณ์ขึ้นกรุ่นๆ เอามือกวาดตัวภรตออก ปรี่เข้าหากรรณนรี ตะคอกถาม
“เธอเป็นผู้หญิงพ่อฉันทำไม”
กรรณนรีน้ำตาไหลริน ทั้งเจ็บทั้งอาย ภรตโกรธจัดหันมากระชากสรวงสุดแรง
“หยุด! คุณสรวง”
ขาดคำภรตต่อยโครมเข้าหน้าสรวงจังๆ คำรามใส่ “อย่าข่มขู่กาว”
สรวงเซ นพคว้าตัวเอาไว้ กรรณนรีกรี๊ด ร้องห้ามเสียงหลง
“อย่าค่ะ พี่ภรตอย่า”
สรวงฮึดฮัด “งั้นเธอก็ตอบมาสิ...ทั้งๆ ที่ฉันรักเธอ...เธอเป็นผู้หญิงพ่อฉันทำไม”
“ฉันไม่ได้เป็น”
กรรณนรีตวัดเสียงใส่ แล้ววิ่งร้องไห้ออกไป ภรตวิ่งตาม สรวงจะตามแต่นพดึงไว้
“อย่าสรวง”
“พี่นพเข้าใจผมแล้วใช่มั้ย...พี่นพเข้าใจผมแล้วใช่มั้ย”
นพมองสรวงอย่างเวทนา
ภรตวิ่งตามกรรณนรีมาที่บริเวณลานจอดรถหน้าร้าน
“กาว หยุดก่อนกาว” คว้ามือไว้ กรรณนรียอมหยุด ภรตจึงค่อยปล่อยมือ “ตกลงเรื่องของกาวกับคุณสรวงมันยังไง”
“พี่ภรตกำลังสงสัยในตัวกาวใช่มั้ย” กรรณนรีจ้องหน้า ย้อนถาม
ภรตนิ่งงันไป
ระหว่างนั้นสรวงกับนพเดินออกมา แต่ทว่าสองคนไม่เห็น กรรณนรีพูดต่อ
“กาวไม่ได้เป็นอะไรกับพ่อคุณสรวงจริงๆ...กาวรักคุณสรวง”
คำพูดประโยคดังกล่าวกระแทกเข้าหน้าสรวงจังๆ ชายหนุ่มตกใจ ตื่นเต้น ตื้นตัน และงุนงง ปนเปกันไปหมด สุดท้ายกลายเป็นความไม่เข้าใจ กรรณนรีร้องไห้ออกมาขณะพูดต่อ
“ชีวิตนี้กาวจะไม่มีใคร..นอกจากคุณสรวง” กรรณนรีวิ่งหนีไป ภรตวิ่งตาม
สรวงมองตามอย่างข้องจิต
สรวงกับนพคุยกันอยู่ริมน้ำสวยยามค่ำคืน สรวงพูดแดกดันออกมาด้วยความหนักใจ
“ที่ผ่านมา..ก็มีแต่แบบนี้ล่ะพี่นพ...รักผม...แต่ไม่บอกอะไรกับผม”
“พี่ว่ากาวต้องมีเหตุผล...” นพมองหน้าสรวงในท่าทีอึดอัด ก่อนจะพูดออกมาด้วยความลำบากใจ “เหตุผลก็คงเกี่ยวกับ..แม่สรวง”
สรวงพยักหน้ายอมรับ “ผมรู้ครับ...แต่เค้าไม่บอก ว่ามันคืออะไร”
นพแนะนำให้สรวงถามใจตัวเอง “ถ้าบอก...สรวงจะเชื่อเค้า100 เปอร์เซ็นหรือเปล่าล่ะ”
สรวงอึ้ง ลังเล นพว่าต่อ
“พี่เข้าใจ...คนเป็นลูกก็ต้องเชื่อแม่ เข้าข้างแม่ทั้งนั้น นี่แหละเป็นเหตุผลทำให้กาวลังเล” นพรีบบอกต่อ “แต่พี่ไม่ได้หมายความว่า..แม่สรวงเป็นคนผิดนะ...พี่ถึงได้บอก...ถ้าไม่มีคนพูด เรื่องนี้ สรวงต้องสืบเอาเอง”
สรวงทำหน้ากลุ้มใจหนักหน่วง
ทั้งๆ ที่เป็นคืนข้างขึ้น แต่ดวงจันทร์กลับส่องแสงหมองหม่น สรวงเดินครุ่นคิดอยู่ตรงสนามหญ้าในบ้าน ท่าทางกลัดกลุ้ม ทุกข์ใจเหลือแสน ตัดรับ
ขณะเดียวกัน ที่นอกบ้าน กรรณนรีแอบมาดูสรวง ยิ่งเห็นท่าทางหมองหม่นของสรวง กรรณนรีก็ยิ่งทุกข์ใจ ร่ำไห้ออกมา
ส่วนภาพิศยืนเครียด มองดูบ้านรังรักหลังเก่า นึกถึงความร้ายกาจของคุณหญิงสุดา ยิ่งแค้นหนัก พูดบอกตัวเองในใจ
“นังสุดา แกทำลูกฉัน...ฉันเกลียดแก”
ภาพิศ กำมือแน่น พยายามข่มอารมณ์แค้นที่พวยพุ่งในใจแทบจะทะลักออกมา
กลางดึกคืนนั้น ที่ริมสระน้ำ ท่ามกลางความมืดมิด สรวงนั่งคิดไม่ตกเกี่ยวกับสุดา ท่าทางกลุ้มใจ
“ตกลง แม่ทำอะไรกันแน่”
ระหว่างนั้นภาพิศเดินเข้ามาในบ้าน แต่ไม่เห็นสรวง ในขณะที่สรวงเห็น และมองอย่างฉงน
“คุณภาพิศมาทำไมดึกดื่น”
ขณะเดียวกันสุดาเดินงัวเงียลงบันไดมาจากบนบ้าน เห็นภาพิศ ก็จิกกัดตามประสา
“คุณน้อง..มาทำไมดึกดื่น? อย่าบอกนะว่าจะมาทำอะไรพี่น่ะ”
“คุณหญิงพี่เดาไม่ผิดหรอกค่ะ”
ภาพิศยกปืนขึ้นเล็งไปที่ร่างของสุดาจังๆ สุดาร้องลั่น
“อย่า”
เร็วเกินกว่าที่ภาพิศจะคาด สุดาวิ่งเข้ามาปัดปืนจากมือภาพิศ สองคนแย่งปืนกันไปมา และในความชุลมุนนั้น จู่ๆ เสียงปืนดังกึกก้อง สรวงอยู่ที่สระน้ำได้ยิน รีบวิ่งเข้ามา เห็นร่างของภาพิศนอนจมกองเลือด โดยที่สุดากำปืนแน่น สรวงร้องออกมาสุดเสียง
“แม่”
สรวงสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกพลั่ก ชายหนุ่มเอามือปาดเหงื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
“มันเป็นแค่ฝัน... แม่ต้องไม่ทำอะไรอย่างนั้น”
สรวงกลุ้มใจ
วันต่อมา สุดาคุยโทรศัพท์อยู่กับใครคนหนึ่ง
“ยังไงก็หาที่พักที่ดีที่สุดให้ฉันแล้วกัน....กี่คน ฉันค่อยคอนเฟิร์มอีกที”
จังหวะที่สุดาวางสายไปนั้นสรวงเดินเข้ามาทันได้ยิน จึงเอ่ยออกไป
“แม่จะไปเที่ยวเหรอครับ”
“จ้ะ..ว่าจะไปพักผ่อน”
“ผมไปด้วย”
“ไม่เป็นไรลูก ทำงานเถอะ...แม่ว่าจะชวนภาพิศ ศุภาวีร์ไปด้วย ก็ตามประสาผู้หญิง....ของคุณพ่อน่ะจ้ะ”
สุดายิ้มเยื้อนอย่างปกติให้ แต่สรวงหวั่นใจ
ภาพิศวางสาย หน้าเครียดเคร่ง แฉล้มถามด้วยสีหน้าสงสัย
“ยัยสุดา มันจะทำอะไรอีก”
“มันชวนฉันไปเที่ยว....แล้วก็บอก จะชวนลูกฉันไปเที่ยวด้วย”
แฉล้มตาวาว ภาพิศตาขวาง สองคนมองหน้ากัน
เสียงมือถือดังลั่น กรรณนรีอยู่กับกาวินทร์ มองเบอร์ที่โทร.เข้า พลางบอกพี่ชาย
“คุณหญิงสุดา”
“รับเลย”
กรรณนรีมองไปทางหลังบ้าน กลัวเกริกเห็น ก่อนพยักหน้าให้กาวินทร์ตามมาที่มุมลับตาพ่อ จากนั้นกรรณนรีกดสปีกเกอร์โฟนรับสาย และทันทีที่รับสาย สุดาก็แว้ดออกมา
“มัวทำอะไรอยู่ ถึงไม่รับโทรศัพท์ฉัน”
กรรณนรีกวนใส่ “ทำเหมือนคุณฤทัย....แคะขี้เล็บอยู่ค่ะ”
“นังกรรณรี”
สุดาอยู่ที่บ้าน ตาเขียวปั๊ด
ระหว่างนั้นเกริกเดินถือจานขนมมาที่โต๊ะอาหาร
“หายไปไหนกัน”
เกริกเดินมองหาลูก ขณะที่กรรณนรีถามกลับ
“คุณหญิงมีอะไรก็ว่ามา”
สีหน้าสุดาไม่พอใจ “ฉันจะชวนเธอไปเที่ยว”
“อ้อ! เหรอคะ? น้ำเสียงอย่างนี้นึกว่าจะหลอกไปฆ่าซะอีก” กรรณนรีแขวะ
“ก็อยากทำอย่างนั้นเหมือนกันล่ะ แต่ท่านอารักษ์คงไม่ยอม นี่! จะไป ไม่ไป ก็ตามใจนะ แค่โทร.มาบอก ว่างานนี้ แม่เธอไปด้วย...” สุดาโยนไพ่ในมือ
เกริกเดินเข้ามา ทันได้ยินประโยคสุดท้าย ก่อนที่สุดาจะวางสาย เกริกถาม
“แม่เธอ แม่ใครเหรอลูก”
สองพี่น้องตกใจ สะดุ้งโหยง กรรณนรีรีบแก้
“ก็...ก็..แม่แหละค่ะ แม่จะไปเปิดงานอะไรไม่รู้....เพื่อนเลยโทร.มาบอกกาว”
“ทำไมเพื่อนเสียงแก่จัง”
“เพื่อนรุ่นพี่น่ะค่ะ” กรรณนรีหน้าเจื่อน
เกริกหัวเราะขำ “แต่จากฟังเสียง รุ่นป้ามากกว่ามั้ง....แล้วเราจะไปกันรึเปล่าล่ะ”
“ไปครับ....ผมว่าจะขอน้องไปด้วย งานจัดที่เขาใหญ่ น่าสนุก” กาวินทร์บอก
“น่าสนุกจริงๆ...พ่อไปด้วยได้หรือเปล่า”
สองคนร้องขึ้นพร้อมกัน “ไม่ได้ค่ะ” / “ไม่ได้ครับ”
“พ่อพูดเล่น...” เกริกหัวเราะขำ “ไม่ได้อยากไปกินฟรีขนาดนั้น...อยู่บ้านเราสบายที่สุดแล้ว เอา..พ่อทำขนมมาให้”
เกริกวางจานขนมแล้วเดินไป สองพี่น้องมองหน้ากัน
กรรณนรีพูดเสียงเบาๆ “คุณหญิงสุดาคิดจะทำอะไรแม่แน่ๆ”
“พี่ว่าเค้าคิดจะทำกาวด้วย...ไม่ต้องห่วง พี่ไปด้วย ใครหน้าไหนมาทำน้องพี่ แม่พี่ มันตาย”
กาวินทร์พูดหน้าตาดุดัน เกริกได้ยินเหลียวหันมามอง สงสัยในท่าทางลูกทั้งสอง
เกริกมีท่าทีสงสัยไม่คลาย ตัดสินใจโทรศัพท์หามะยม ขณะที่มะยมนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ มือถือดัง
“มะยมค่ะ”
“พ่อนะมะยม”
มะยมตกใจ “คุณพ่อ...มีอะไรคะ”
นิคที่ทำงานอยู่หันมามองท่าทีตกใจเช่นกัน เกริกพูดถามต่อ
“พ่อได้ยินข่าวว่ากาวเค้าจะไปทำข่าวที่เขาใหญ่เหรอลูก”
มะยมทวนคำ “งานที่เขาใหญ่” มองนิค คราวนี้นิคลุกมายืนข้างๆมะยม “เอ่อ..เดี๋ยวมะยม
เช็กก่อนนะคะพ่อ”
“ถ้ากาวต้องไปทำงานจริงๆ มะยมไปเป็นเพื่อนกาวได้มั้ยลูก...พ่อเป็นห่วง” เกริกบอกเสียงอ่อนโบน
มะยมรีบรับคำ “พ่อไม่ต้องห่วงค่ะ กาวไปไหนมะยมกับนิคไปด้วยอยู่แล้ว”
“ขอบใจลูกขอบใจ พ่อฝากกาวด้วยนะ”
เกริกวางสาย รู้สึกโล่งมากขึ้น
ส่วนนิคกับมะยม เหลียวมองหน้ากันงงๆ
“กาวมันคิดอะไรของมัน ถึงได้โกหกพ่อว่าไปทำงานที่เขาใหญ่” นิคฉงน
“ก็คงไม่พ้นท่านอารักษ์แหละ” มะยมเหน็บว่าอย่างฉุนๆ เพราะยังโกรธกรรณนรีอยู่
สรวงนั่งทำงานไม่มีสมาธิ นิ่งคิดเรื่องกรรณนรี เสียงของสุดาดังก้องในหัว
“แม่ว่าจะชวนภาพิศ ศุภาวีร์ไปด้วย ก็ตามประสาผู้หญิง....ของคุณพ่อน่ะจ้ะ”
สรวงคิด ติดค้างอยู่ในใจ “แม่ต้องคิดทำอะไรแน่เลย” นึกเป็นห่วงกรรณนรีครามครัน
กรรณนรีจัดของเก็บของอยู่ในบ้านอยู่ สรวงเปิดประตูโผล่พรวดเข้ามาไม่มีปี่มีขลุ่ย กรรณนรีได้ยินเสียงคนเปิดประตูก็หันขวับ ตกใจมาก
“คุณสรวง”
เสียงของเกริกตะโกนออกมาจากในบ้าน
“ห้องเก็บของทำไมมันรกอย่างนี้ เดี๋ยวพ่อจัดของก่อนนะกาว ถ้าหิวข้าว กินก่อนพ่อเลย”
กรรณนรีตกใจ “จ้าพ่อ” หันมามองสรวงอย่างตกใจกลัว พูดเสียงเบาๆแต่ดุ “คุณมาที่นี่ทำไม”
“ฉันมีเรื่องสำคัญ จะคุยกับเธอ”
กรรณนรีรีบลากมือสรวงออกมา แล้วปล่อยทันที ก่อนเดินนำลิ่วออกนอกบ้านไป
กรรณนรีเดินลิ่ว กลัวเกริกเห็น สรวงเดินตามมาด้วยความโมโห
“ทำไมเธอต้องทำตัวเป็นคนมีความลับตลอดเวลา”
กรรณนรีฉุน จ้องหน้าสรวงเขม็ง “เพราะฉันมีคนที่ฉันต้อง...แคร์”
สรวงสะอึก “ก็แปลว่า...เธอไม่แคร์ฉัน”
กรรณนรี เสียใจ นิ่งไปนิด ก่อนตอบ “หมดเวลาที่เราจะพูดเรื่องนี้แล้วค่ะ”
สรวงฟังแล้วยิ่งเสียใจ “โอเค....ฉันเข้าใจ งั้นฉันขอพูดสั้นๆ ฉันไม่อยากให้เธอไปเที่ยวกับแม่ฉัน”
“ที่ฉันไปเพราะฉันเป็นห่วงแม่ฉัน” กรรณนรีบอก
สรวงพูดอย่างลำบากใจ “ฉันก็กลัวเธอจะมีอันตราย”
กรรณนรี แอบดีใจ “ถ้าคุณพูดอย่างนี้..แปลว่าคุณรู้ว่าแม่คุณร้ายใช่มั้ยคะ”
สีหน้าสรวงเสียใจ “เลิกพูดจาทำร้ายจิตใจฉันได้มั้ยกรรณรี”
กรรณนรีหน้าซีด สรวงมองด้วยความสะเทือนใจ ต่างคนต่างเสียใจ กรรณนรีมองสรวงด้วยความสงสาร
“เธอรู้...ว่าฉันรู้สึกยังไง งั้นเธอก็บอกความจริงฉันทุกอย่างซะที”
กรรณนรีมองมาอย่างเห็นใจ เสียใจ และเข้าใจ “แค่คำถามบางคำถามของฉัน คุณยังรู้สึกว่าฉันทำร้าย คุณทำใจไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าจะฟังฉันเล่าทุกฉากทุกตอน”
สองคนมองหน้ากัน กรรณนรีบอกต่อ
“คุณสรวง....ฉันรู้...ตอนนี้เราสองคนต่างยืนอยู่บนกองไฟ...แต่จะทำยังไงได้ล่ะคะในเมื่อ คนที่ก่อกองไฟคือพ่อแม่ของเราเอง”
พูดจบกรรณนรีก็เดินกลับไปในบ้าน ส่วนสรวงยืนอยู่ที่เดิม....เศร้าปนเครียด
ในบ้านสองคนนั่งคุยหารือกันอยู่ ภาพิศบอกแฉล้มท่าทีจริงจัง
“ฉันห่วงลูก”
“แล้วจะเอายังไง จะเดินถอยหลัง หรือจะเดินหน้า ลุย ไปดูว่าคุณหญิงสุดาจะทำอะไร”
“คุณก็รู้นิสัยฉันนี่...ว่าฉันจะทำอะไร”
วลีสั้นๆ นั้น พูดออกมาพร้อมแววตาที่น่ากลัว
เวลาต่อมา สุดาถามภาพิศเสียงดังตกใจ
“ว่าไงนะ คุณน้องจะไม่ไปเที่ยวกับพี่”
ภาพิศแกล้งบ่น มีแผน “ค่ะ..น้องเหนื่อย...ช่วงนี้รู้สึกว่าลูกดิ้นบ่อยด้วย”
สุดาค่อนขอด “สงสัยอยากจะคลอดก่อนกำหนด”
“จะคลอดได้ยังไงคะ? อีกตั้งหลายเดือน” ภาพิศแอ๊บซื่อ
“พี่ถึงบอก..อยากคลอดก่อนกำหนดไง”
ภาพิศมองค้อนแต่แอ๊บโง่ต่อ “ก็นี่ล่ะค่ะถึงไม่อยากไป”
สุดารีบเสี้ยม “ไมได้นะคะคุณน้องต้องไป...เพราะที่พี่จัดงานนี้..เพราะต้องการจัดการกับนังศุภาวีร์”
ภาพิศแสร้งทำเป็นตื่นตระหนก ทั้งที่ใจห่วง “จัดการศุภาวีร์”
“ใช่ค่ะ...เพราะพี่คิดดูแล้ว วิธีซ้อมตบแบบที่น้องทำกับพี่..มันเป็นของเด็กเล่นกัน ต้องวิธีของพี่...เท่านั้น”
ภาพิศนิ่ง ข่มความโกรธ “คุณหญิงพี่จะทำยังไงคะ”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก...แค่พี่จะหาสามีให้นังเด็กนั่นซักคนสองคน ไม่ก็ซักโหลสองโหล มันจะได้เลิกยุ่งกับสามีเราซักที”
ภาพิศหน้าซีดเผือด โกรธเกลียดสุดาเข้ากระดูก จนแทบจะกระโดดกัดคอ แต่ทำได้แค่กำมือแน่น
ภาพิศเดินออกมา แฉล้มที่มารอรับถามทันทีด้วยความอยากรู้
“เป็นไงมั่งคุณ”
“เหมือนที่เราคิดไว้ไม่มีผิด นังสุดา..มันคิดจะทำร้ายลูกฉัน”
“อย่าไปยอมนะคุณ”
“แน่นอน ฉันจะซ้อนแผน นังสุดานั่นแหละ ที่จะเป็นคนกระอักเลือดตาย”
ภาพิศขึ้นรถปิดประตูดังโครม แฉล้มขับพาออกไป
สุดาแอบมองอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ยินเสียงพูดใดๆ
ภายในร้านอาหารยามนั้น สุดาบอกสุขหฤทัยอย่างถือดี และมั่นใจในตนเอง
“นังภาพิศมันคงคิดว่าแม่โง่”
“ฤทัยก็คิดอย่างนั้นค่ะ” สุขหฤทัยหลุดปาก
สุดาแหวใส่ “ฤทัย”
สุขหฤทัยรีบแก้ตัว “ก็..คุณหญิงแม่ไปบอกแผนมันทำไมล่ะคะ? เกิดมันไหวตัวกลัวความผิด แจ้งตำรวจมาจับคุณหญิงแม่จะทำยังไง”
“แม่ก็เลยไม่ได้บอกแผนที่แท้จริงไง...” เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเหี้ยม “แต่จะหลอกมันไปจัดการ
ทั้งแม่ทั้งลูก เสร็จแล้วแม่จะบอกมัน ที่ผ่านมาเป็นแผนของแม่ทั้งหมด...อยากรู้เหมือนกัน นังภาพิศมันจะทำหน้ายังไง”
สุดาสะใจดวงตาวาวโรจน์...สุขหฤทัยมองอย่างสยอง ชักกลัวๆ
สองคนคุยกันอยู่ตรงห้องโถงในคฤหาสน์
“นังสุดามันเลวจริงๆ” สีหน้าเป็นกังวล “ฉันว่า...ถึงเราจะวางแผนอย่างดี แต่ฉันกลัว
พลาด
“ไฮ้!ที่ผ่านมาคุณไม่ใช่คนขี้ขลาดนี่”
“ใช่...แต่ที่ฉันกังวลเพราะฉันห่วงลูก ฉันกลัวว่ากาวจะเดินตามเกมนังสุดาอีก”
“ฮื่อ! ที่ผ่านมากาวก็เดินตามเกมเค้าตลอด...ก็เพราะห่วงคุณ”
“ฉันไม่ให้ลูกไป”
ภาพิศเสียงแข็ง หน้าบึ้งตึง ขณะคว้าโทรศัพท์กดหากรรณนรีทันที
พริบตานั้น เสียงมือถือดัง กรรณนรีมองเห็นเป็นเบอร์ภาพิศ
“แม่...” ทั้งรักทั้งห่วง ทั้งเสียใจ กังวลปนเป ที่สำคัญกลัวเสียความรู้สึก แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังไม่หยุดจนต้องรับ “คะ”
ภาพิศดวงตาอ่อนโยน เป็นห่วง แต่ต้องทำเสียงดุ
“นี่...ทริปที่คุณหญิงพี่จะพาไปเที่ยว เธอไม่ต้องไปนะ”
กรรณนรีแย้งเพราะห่วงภาพิศ “แต่ท่านให้ฉันไปนี่คะ”
“แต่ถ้าฉันไป เธอต้องไม่ไป”
กรรณนรีใจห่วงแต่ปากเถียง “ยิ่งคุณไป ฉันยิ่งต้องไป นอกซะจากคุณไม่ไป ฉันถึงจะไม่ไป”
ภาพิศชักกังวล ในความดื้อของกรรณนรี “ทำไม”
“เพราะฉันห่วงคุณ”
ภาพิศขอบตาร้อนผ่าว ก่อนจะน้ำตารื้น แต่แกล้งประชดออกไป “ห่วงฉัน..หรือว่าห่วงท่านอารักษ์กันแน่ ได้..ถ้าเธอไป ฉันก็จะไป” วางสายใส่
“อ้าว! ไหงอย่างนั้นล่ะ” แฉล้มกังวล
“ไหนๆ โอกาสก็มาถึงแล้ว ไปแก้แค้น แล้วก็กระชากหน้ากากนังสุดามันออกมาดีกว่า..เอาให้มันสู้หน้าใครไม่ได้เลย”
ภาพิศคำราม แววตาอาฆาตแค้น
ขณะที่สุดา โทรศัพท์ดี๊ด๊ามีความสุขมาก
“เป็นรีสอร์ทส่วนตัวเลยใช่มั้ย? โอเค ดีมาก เท่าไหร่ฉันก็จ่าย..ขอแค่มีความเป็นส่วนตัวเท่านั้นแหละ คอนเฟิร์มอาทิตย์หน้าเลยแล้วกัน”
สุดาคุยโทรศัพท์ท่าทางมีความสุขมาก สรวงเดินเลี่ยงไป
สรวงเดินออกมาโทรศัพท์
“พี่นพ....อาทิตย์หน้าผมจะไม่อยู่ ฝากออฟฟิศด้วยนะครับ” สรวงวางสายในกิริยาฮึดฮัด บ่นพร่ำอยู่คำเดิม “เพราะพ่อ..พ่อคนเดียว”
สรวงทำตัวไม่ถูก บ่นอย่างไม่พออารักษ์ ไม่มีอาการก้าวร้าวแต่อย่างใด
เวลาเดียวกันในร้านอาหารแห่งนั้น สองคนนั่งทานข้าวอยู่ด้วยกัน
“บังเอิญจริงๆ ที่กลับไฟล้ท์เดียวกัน...” ยิ้มๆ “ไม่งั้น..คงไม่ได้มานั่งกินข้าวด้วยกันอย่างนี้หรอก”
“หมอก็ว่าไปนั่น”
บุญยิ่งแซวๆ “ก็มันจริงมั้นล่ะครับ..หมู่นี้”ท่าน”ไม่ค่อยมีเวลาให้เพื่อนฝูงเลยถามจริงมีอะไรรึเปล่าเพื่อน”
“นี่เห็นว่าเป็นเพื่อนรักกันนะถึงบอก” อารักษ์โว ยิ้มย่อง พลางควักมือถือมาเปิดให้ดู “นี่..เด็กใหม่ กำลังจีบอยู่ ใส ซื่อ เด็ก สเป็ค”
บุญยิ่งมองภาพ เห็นเป็นกรรณนรี ก็ตกใจ ถามซ้ำ
“จริงเหรอเด็กใหม่นาย”
“ใช่....ชื่อ”ศุภาวีร์” น่ารัก น่าเอ็นดู” ทำท่าหมั่นเขี้ยวประสาโคแก่ “โอ๊ยย...ยิ่งพูด..ยิ่งคิดถึง”
บุญยิ่งหน้าเครียด ยังไม่แน่ใจว่าเป็นกรรณนรี ร้อยเปอร์เซ็นต์
บุญยิ่งกลับบ้านมา ทุบประตูห้องภรตปังๆๆ ภรตเปิดประตูออกมา
“อะไรพ่อ? กลับมาถึง เล่นมาทุบห้องกันเลย...คิดถึงผมมากเหรอครับ”
“ฮื่อ! ตลอดทาง ก็คิดถึงแต่แก นี่กาวชื่อจริงว่าอะไร”
ภรตงง “คิดถึงผม..แต่ถามถึงกาว แปลว่าอะไรพ่อ”
“ตะกี้พ่อกินข้าวกับอารักษ์..มันบอกว่า เด็กใหม่มันชื่อศุภาวีร์ แต่พ่อดูรูป มันกาวชัดๆ”
คำพูดของพ่อ ทำให้ภรตครุ่นคิด ถึงคำพูดที่สรวงบอกว่ากรรณนรีเป็นผู้หญิงของพ่อตน แต่กรรณนรีบอกไม่ใช่
ภรตอ้อมแอ้มแบบลังเล และไม่แน่ใจ “ไม่จริงมั้งพ่อ..ก็กาวรักกับคุณสรวง”
บุญยิ่งถอนหายใจโล่งอก “ออ..พ่อก็จำได้ แกเคยบอก คุณสรวงกับกาวรักกันกาวจะเป็นกิ๊กอารักษ์มันได้ยังไง?..สงสัยตะกี้มันมืด พ่อเลยตาฝาดไปน่ะ”
ดูท่าบุญยิ่งจะไม่ติดใจสงสัย แต่ภรตนั้นคาใจเต็มๆ
วันต่อมา ภรตขับรถมาจอดหน้าบ้านกรรณนรีอย่างร้อนใจ พอลงไปก็เจอกาวินทร์ ถูกอีกฝ่ายชักสีหน้าใส่ ประชดทันที
“มาทำไมที่นี่บ้านฉัน ไม่ใช่บ้านมด”
“ฉันมาหากาว”
“กาว ก็ไม่ใช่มดอีกแหละ” กาวินทร์กวน
ภรตหงุดหงิด “เฮ้ย! ไอ้แก้ว จะมาหึงมาหวงอะไรตอนนี้วะ”
“ฉันมาได้หึง ไม่ได้หวง เพียงแต่จะบอกว่า บ้านนี้ไม่มีคนชื่อมด”
“รู้แล้ว...เพราะบ้านคนชื่อมด ฉันไปอยู่บ่อยๆ” ภรตกวนใส่
“ภรต” กาวินทร์ขึ้นเสียง
“เลิกทำท่าอย่างนี้ซักที มดไม่ใช่ของตายที่นายจะเสียดาย ฉันมีเรื่องสำคัญจริงๆ จะคุยกับกาว”
ไม่นานต่อมา สองหนุ่มอยู่ในร้านอาหาร กาวินทร์ถามภรตขึ้น
“กาวไปทำบุญที่วัดกับพ่อ แกมีอะไรคุยกับฉันก็ได้”
“แกอย่าโกรธฉันนะเว้ย...ฉันได้ยินเรื่องไม่ค่อยดีเกี่ยวกับกาว”
“เรื่องอะไร”
“กาวเป็นผู้หญิงของท่านอารักษ์ จริงรึเปล่าวะ”
“ภรต...ถ้าไม่ติดว่าแกเป็นเพื่อนฉัน ต่อยปากแกไปแล้ว”
กาวินทร์ฉุนขาดผลุนผลันออกไปชนกับมาลินีที่มาส่งขนมพอดี
“ว้าย” ขนมในตะกร้าหกเกลื่อนพื้น
ภรตตกใจ “มด”
รีบลุกมาช่วยเก็บขนมใส่ตะกร้า ส่วนกาวินทร์อึ้งๆ เดินออกไปท่าทางโกรธเกรี้ยว
มาลินีรีบบอก “มีอะไรพี่ภรตรีบไปเคลียร์กับพี่แก้วเถอะค่ะ...ท่าทางพี่แก้วไม่ดีเลย”
ภรตเดินไป เจ้าของร้านเดินมาหา มาลินีรีบบอก
“เดี๋ยวมดเอาขนมมาส่งให้ใหม่นะคะ” มาลินีถือตะกร้าขนมตามภรตไป
กาวินทร์จะเดินขึ้นรถแล้ว ภรตรีบตามไป
“เฮ้ย! แก้วใจเย็นๆคุยกันก่อนสิวะ แกก็น่าจะรู้ฉันไม่มีเจตนาร้ายต่อกาว”
“แต่คำพูดของแก มันดูถูกกาว” กาวินทร์บอกขณะเหลียวกลับมา
“ฉันพูดเองที่ไหน ท่านอารักษ์เค้าเป็นคนพูด”
“แต่ที่แกพูดต่อ ก็ถือว่าแกนินทาว่าร้ายกาว จำไว้นะภรต กาวไม่เคยเป็นหญิงของใคร โดยเฉพาะไอ้อารักษ์” ขึ้นรถขับออกไปอย่างมีอารมณ์นิดๆ
ภรตยืนมองตามสีหน้าไม่สบายใจหนัก มาลินีเดินออกมา ยินภรตบ่น
“ทำไมแก้วมันไม่เข้าใจ...ว่าพี่น่ะห่วงกาว”
“คงเป็นแค่ข่าวลือมั้งพี่แก้ว” มาลินีปลอบ
“มันจะเป็นข่าวลือได้ยังไง? ท่านอารักษ์เป็นคนพูดเอง”
มาลินีทำหน้าตกใจ
อารักษ์รู้เรื่องกรรณนรีก็เอ็ดตะโรใส่สุดาเสียงดังลั่นบ้าน
“อะไร? ฉันไม่อยู่แค่นี้ คุณหญิงให้ศุภาวีร์ออกจากบ้านไป”
สุดาพยายามข่มอารมณ์ “ฉันไม่ได้ไล่นะคะ เค้าไปเอง”
“เค้าจะไปได้ยังไง ในเมื่อเค้าเป็นคนขอฉัน เข้ามาอยู่ที่นี่”
สรวงเดินเข้ามาได้ยิน ทั้งตกใจ และเสียใจ ขณะที่สุดาหัวเราะหยัน
“นึกแล้วว่านังเด็กนั่นต้องเป็นคนขอคุณเข้ามา แล้วคุณก็บ้าหลงนังเด็กนั่นจนทำอะไรทุเรศๆ”
“ยังไงก็ช่าง...คุณหญิงต้องไปตามศุภาวีร์กลับมา” อารักษ์สั่ง
สุดาขึ้นเสียงทันควัน “ฉันไม่ไป...”
“ต้องไป เพราะผมมั่นใจ ว่าคุณหญิงเป็นคนไล่ศุภาวีร์ออกไป”
“คุณต้องบ้าไปแล้ว จะให้ฉันไปตามเมียเก็บเมียน้อยของคุณกลับมา ฝันไปเถอะ”
อารักษ์พูดแทบเป็นตะคอก เสียงแข็ง “แต่ผมสั่ง คุณต้องไป”
“ไม่ไป”
สรวงพูดแทรกขึ้น “ผมไปเอง”
สองคนหันมา “ตาสรวง”
สรวงพูดด้วยอารมณ์โมโห “ผมจะไปตามเค้ากลับมา...ให้เค้าเป็นคนตอบ ว่าเค้าถูกไล่ หรือเค้า
อยากไปเอง คุณพ่อ คุณแม่จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน” พูโจบก็เดินออกไปทันที
สุดาร้องกรี๊ด อย่างขัดใจ “จะไปตามมันกลับทำไม”
อารักษ์มองสรวงอย่างระแวง ก่อนจะเดินตามลูกชายไป สุดามองตาม
“คุณอารักษ์ จะไปไหน คุณอารักษ์”
สุดาวิ่งตามออกไป
ไฟมาร ตอนที่ 14 (ต่อ)
เวลาเดียวกันนั้นนายแพทย์บุญยิ่งอยู่ที่คลินิก เสียงมือถือดัง บุญยิ่งกดรับ
“ว่าไงลูก”
ภรตอยู่ที่ไซต์งานขณะคุยสายกับผู้เป็นบิดา “พ่อ..ผมชักสงสัย...เรื่องที่พ่อบอกว่ากาวเป็นกิ๊กของท่านอารักษ์น่าจะมีมูล พ่อต้องรีบบอกเค้าแล้วล่ะ...กาวน่ะแฟนคุณสรวง”
บุญยิ่งตกใจกับสิ่งที่ลูกชายบอก
ขณะเดียวกันอารักษ์เดินจ้ำออกมาหน้าบ้าน และตรงไปยังรถ เพื่อจะตามสรวงขึ้นรถขับออกไป
จังหวะที่กำลังจะขึ้นรถ มือถือดัง อารักษ์กดรับ “ว่าไงหมอ”
บุญยิ่งยังอยู่ที่คลินิกขณะคุยสาย “ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับนาย”
อารักษ์ร้อนใจมองตามรถสรวงที่แล่นออกพ้นประตูบ้านไปแล้ว
“ไว้วันหลังแล้วกัน วันนี้ฉันไม่ว่าง” กดวางสายทันควัน
บุญยิ่งตะโกน “อารักษ์ ..อารักษ์ โธ่เอ๊ย! ทำไมไม่ฟัง” บุญยิ่งว้าวุ่นใจ
อารักษ์กำลังจะสตาร์ทรถ สุดาวิ่งตามมากระชากกุญแจไว้
อารักษ์ฉุนกึก “คุณนี่ อะไร”
“จะไปไหน ฉันไม่ให้คุณไป”
อารักษ์ขึ้นเสียง “เป็นบ้าอะไรอีก”
“ใครกันที่เป็นบ้า...เพิ่งกลับมาแท้ๆ ยังจะออกไปอีก คุณเคยคิดถึงหัวอกฉันบ้างมั้ยว่ารู้สึกยังไง มีลูกมีสามี ก็เหมือนไม่มี ต้องอยู่คนเดียวทุกวัน คุณรู้มั้ย คุณอารักษ์...ฉันเหงา ฉันเหงา”
สุดาแสร้งบีบน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญ
อารักษ์มองสุดาอย่างเห็นใจ ค่อยๆ เอามาตบปลอบประโลม ขณะสุดาแอบยิ้มร้ายตามแผน
ส่วนบุญยิ่งเดินไปมา อย่างว้าวุ่นใจอยู่ในคลินิก
“เรื่องใหญ่ ขนาดนี้..แกต้องรู้นะเว้ยอารักษ์ ไม่งั้นแย่แน่ๆ” กดมือถืออีกครั้ง
ที่บ้านอริยะวรรต สุดาแกล้งบีบน้ำตา ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร อารักษ์ใจอ่อน จับมือสุดาปลอบ เสียงมือถือดัง
อารักษ์รับสาย “ฉันติดธุระจริงๆ ว่ะหมอ” วางสายโดยไม่ยอมฟัง
“ไอ้...” บุญยิ่งหงุดหงิดมาก คับใจอย่างมาก เพราะต้องการบอกอารกษ์เรื่องกรรณนรีรักกับสรวง
อารักษ์มองสุดาอย่างเห็นใจ กุมมือแน่น พูดเสียงอ่อนโยน
“ผมไม่รู้จริงๆ ว่าคุณหญิงต้องอยู่คนเดียว”
สุดายิ่งบีบน้ำตา เป็นการใหญ่ พูดเสียงอ่อนลง “ความจริง สรวงก็ไม่ได้ทิ้งฉันหรอกค่ะ แต่ลูกทำงานทุกวัน ฉันต้องอยู่คนเดียว ฉันเหงา…”
“เอาเป็นว่า...คุณหญิงอยากไปไหน ผมจะพาไป”
“จริงนะคะ” สุดาสมใจ เข้าทางเป๊ะ
“จริงสิ” อารักษ์พูดไม่ทันจบ เสียงมือถือดังอีก
“ฉันรับเองค่ะ” คว้ามารับทันที
บุญยิ่งนั่นเองที่โทร.มา และท่าทางซีเรียสมาก
“อารักษ์..แกต้องออกมาหาฉันเดี๋ยวนี้”
สุดาบอกด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “ท่านออกไปไหนไม่ได้ค่ะ เพราะท่านต้องอยู่กับภรรยา รบกวนคุณหมอไม่ต้องโทร.มารบกวนท่านอีกนะคะ” วางสายไปเลย
บุญยิ่งเหวอไปใหญ่ สุดาหันมายิ้มกับอารักษ์ อารักษ์ยิ้มแหะๆ สุดาเข้าเรื่องทันที
“ฉันแพลนที่เที่ยวไว้แล้วค่ะ แล้วก็..มีข่าวดีจะบอก...”
“อะไรจ๊ะ”
“ถ้าคุณอยากให้ภาพิศ กับศุภาวีร์ไปด้วย..ฉันก็โอเค.นะคะ”
สีหน้าแววตาอารักษ์ดีใจมาก “คุณหญิง...ผมรักคุณหญิงที่สุดเลย”
อารักษ์กอดสุดาอย่างดีใจสุดๆ ตรงข้ามกับใบหน้าสุดาที่ดูร้ายกาจสุดๆ
ขณะที่สรวงขับรถมาจอดหน้าบ้านกรรณนรี เสียงมือถือดัง สรวงรับ
“ครับคุณพ่อ”
อารักษ์อยู่ที่บ้าน ท่าทีดี๊ด๊ามีความสุขมาก “สรวง...ตามศุภาวีร์มานะลูก...บอกน้องเค้า...พ่อให้รับไปเที่ยว”
สรวงฟังคำพ่อสุดจะขมขื่น
สรวงเดินเข้าไปหน้าบ้าน กรรณนรีเดินออกมา สองคนเผชิญหน้ากัน มองเจ็บ
กรรณนรีถือแก้วน้ำมาให้สรวง ก่อนบอก
“โชคดีนะคะที่วันนี้พ่อไม่อยู่ ไม่งั้น...ฉันคงไม่รู้จะบอกพ่อยังไง..ที่คุณมา”
สรวงนึกโมโห “ก็บอกไปสิ ว่าพ่อฉัน ให้ฉันมารับเธอ”
กรรณนรีมองสรวง ทั้งสะเทือนใจ เสียใจ และเปลี่ยนเป็นงวยงง “พ่อคุณให้มารับฉัน”
สรวงสะเทือนใจไม่ต่างกัน มองจ้องหน้ากรรณนรีด้วยแววตาแห่งความเสียใจ
“ใช่ กลับไปรับตำแหน่งคุณหญิงนอกทำเนียบของอริยะวรรตไงล่ะ”
บอกแค่นั้นสรวงก็เดินออกไปด้วยความเสียใจ กรรณนรีมองตามอย่างตกใจ
สรวงเดินออกจากบ้านกรรณนรีด้วยสภาพที่หัวใจบอบช้ำสุดขีด ยิ่งเมื่อคิดถึงความทรงจำต่างๆ ที่ผ่านมาของตนกับกรรณนรี ก็ยิ่งปวดหัวใจ
คืนนั้นอารักษ์แหวกว่ายน้ำออกกำลังกายอย่างสำราญใจ ส่วนสรวงเดินมามองพ่อ หน้าหม่นเศร้า สะท้อนใจ
รุ่งเช้าระหว่างรับประทานอาหาร สรวงนั่งทานเงียบๆ ไม่ได้มองอารักษ์ ขณะที่อารักษ์ไม่ได้สังเกตสรวง ถามขึ้นอารมณ์ดี
“ตกลง...สรวงไม่ไปพักผ่อนกับพ่อจริงๆ เหรอลูก?”
สรวงทำท่าทางปกติเหมือนไม่มีอะไร “อยากไปเหมือนกันครับ” ปรายตามองสุดา “ท่าทางจะ
สนุก แต่ผมงานยุ่งมาก”
สุดารีบเสริม “งั้นทำงานเถอะลูก เคลียร์งานเสร็จแล้วค่อยไป จะได้สบายใจ”
“ครับคุณแม่”
สรวงยิ้ม แล้วตักข้าวทาน และลอบมองสุดาอย่างจับสังเกตอาการ
สุขหฤทัยคุยโทรศัพท์กับสุดา ถามเสียงสูง
“อะไรนะคะสรวงไม่ไป”
“ดีแล้วล่ะลูก เราจะได้ทำอะไร สะดวกๆ หน่อย” สุดาอยู่ที่คฤหาสน์พูดเป็นนัย
“แต่มันน่าแปลกอยู่เหมือนกันนะคะ ทำไมสรวงไม่ไป.. หรือสรวงไม่อยากเห็นหน้าฤทัย..งั้นคุณหญิงแม่บอกสรวงแล้วกันค่ะ...ไม่ต้องห่วง..ตอนนี้ฤทัยไม่ได้คิดเรื่องแต่งงาน”
“แต่แม่คิด เสร็จเรื่องพวกนี้เมื่อไหร่..แม่จัดงานแต่งให้สรวงกับฤทัยแน่”
สุดากับสุขหฤทัยวางสายไป สุขหฤทัยบ่นอุบอิบ
“ก็ใครว่า..ฤทัยอยากแต่งงานกับสรวง...” สาวไฮโซแสบทำหน้านิ่งคิดนัยน์ตาเป็นประกาย “ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันชอบนาย แก้ว...”
ตอนกลางวัน วันนั้นสองพี่น้องอยู่ที่บ้าน กาวินทร์กระซิบบอกกรรณนรี
“พี่ลางาน พร้อมไปกับแกแล้วนะ งานนี้เอามันให้พังไปเลย”
กรรณนรีพยักหน้า สายตาจริงจังเด็ดเดี่ยวแต่แอบกังวล
ตกกลางคืนสุดาเดินเล่นอยู่ริมสระน้ำในบ้านอริยะวรรตอย่างสบายใจ แต่แววตาร้ายกาจฉายโชน เต็มไปด้วยไฟแค้น
สุดาบอกตัวเองในใจ “แกเป็นคนเอาไฟมาสุมใส่ใจฉัน...แกก็ต้องโดนไฟนั่นทำร้ายแกบ้าง
ภาพิศ”
แววตาสุดาแข็งกร้าว เต็มไปด้วยความเจ็บช้ำขมขื่นร้าวราน ดูแล้วช่างน่าสงสาร
ภาพิศเดินใช้ความคิดอยู่ภายในคฤหาสน์ สีหน้าเครียดเคร่ง ท่าทางแตกต่างจากสุดา ภาพิศร่ำร้องในใจ
“ที่ผ่านมาแม่ไม่เคยทำหน้าที่แม่...หนำซ้ำยังทำร้ายลูก...ต่อไป..แม่จะปกป้องลูกของแม่ด้วยชีวิต”
แววตาของภาพิศเต็มตื้นไปด้วยความรัก ความหวงแหน และเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว แต่มันช่างเป็นสายตาที่น่ากลัวเสียนี่กระไร
วันเวลาผ่านไป เมื่อถึงวันนัดหมายทริปทัวร์ เมียน้อย หลวง และกิ๊ก มาถึง การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งเวลานี้ สุดาเดินยิ้มแย้มนำทุกคนเข้ามาที่บริเวณบ้านพักของรีสอร์ทที่ไม่มีแขกรายอื่นนอกจากกลุ่มของสุดา
ทุกคนนอกจากคุณหญิงสุดาที่เป็นแม่งาน ยังมี อารักษ์ ภาพิศ กรรณนรี และสุขหฤทัย ต่างพากันชื่นชม บรรยากาศอันร่มรื่น ต้นไม้สีเขียวขจี และดอกไม้นานาพันธ์ ที่ประดับอยู่ตามมุมต่างๆ อย่างสวยงาม
สรวงซึ่งอยู่ในชุดลำลอง แอบตามมาด้วย เวลานั้นชายหนุ่มแอบหลบมุมมองกลุ่มสุดาตลอดอย่างสงสัยใคร่รู้
ขณะเดียวกันภาพิศ ปรายตามองกรรณนรีอย่างห่วงใย และมองสุดาด้วยความระแวดระวัง สุดามีสีหน้ายิ้มแย้มบอกในอาการระรื่น
“นี่แหละค่ะรีสอร์ทที่ฉันตั้งใจพาทุกคนมาพักผ่อน ฉันสั่งปิดรีสอร์ทเลยนะคะ”
อารักษ์ถามกรรณนรีเสียงหวาน “เป็นไง หนูชอบมั้ย”
“ก็ดีค่ะ” กรรณนรีบอกห้วนสั้น
สุดาค้อนขวับ ขณะที่กรรณนรีบอกอย่างระวังตัว
“ขอหนูเดินดูหน่อยนะคะ” กรรณนรีเอ่ยชวนภาพิศ อยากให้ห่างจากสุดา “คุณภาพิศไปเดินด้วยกันนะคะ”
สุดาหันขวับมามอง ภาพิศแกล้งทำท่าเอาเรื่อง
“ได้..เธอชวน ฉันก็จะไป”
อารักษ์แหลมออกมา “ฉันไปด้วย” ทำท่าจะตาม
สุดารีบห้าม “คุณขา...ฉันอยากไปทางโน้น..คุณไปกับฉันหน่อยนะคะ นะคะ”
อารักษ์อึกอัก สุดาฉุดแขนเบาๆ
“น่า...ไปดูห้องพักกันค่ะ ฉันมีเรื่องสำคัญจะพูดกับคุณ” บอกกับภาพิศ “คุณน้องขา..พี่ฝากหนูศุด้วยนะคะ หนุศุอยากได้อะไรช่วยจัดการแทนพี่ด้วย”
ภาพิศยิ้มรับมุข “ด้วยความเต็มใจค่ะคุณหญิงพี่...” แกล้งทำตาดุใส่กรรณนรี “ไปจ้ะ”
สุดายิ้มพอใจสองคนกลุ่มแยกกันไป สรวงเหวอ ไม่รู้จะตามใคร สุขหฤทัยเองก็เหวอ
“อ้าว! แล้วฉันล่ะ”
สุขหฤทัยมองสองกลุ่มแยกไป จังหวะนั้นสุขหฤทัยมองออกไปเห็นสรวงเข้าพอดี
“สรวง” เพ่งมองอย่างไม่แน่ใจ “นั่นสรวงนี่”
สรวงเองพอรู้ตัวว่าสุขหฤทัยเห็น ก็หัวเสีย โกรธตัวเอง แล้วรีบหลบไป สุขหฤทัยตามสรวงไป
สรวงเดินแกมวิ่งหนีสุขหฤทัยที่วิ่งตาม สุขหฤทัยมองไปตามมุมต่างๆ สรวงก็หลบ
“สรวงคะสรวง” มองจนทั่วก็ไม่เห็นมี เลยชักงง “เอ๊ะ! เราก็ตาไม่ได้ฝาดนี่” ตะโกนเรียก “สรวง”
สุขหฤทัยเดินหาต่อ สรวงรีบหาที่กำบัง แล้วก็ทำตัวลีบเล็กยืนนิ่งอยู่หลังต้นไม้ พอสุขหฤทัยเดินมาใกล้ สรวงต้องกลั้นหายใจ
โชคร้ายรังมดแดงแตก มันไต่ขึ้นเท้าสรวงแล้วกัด
สรวงร้อง “โอ๊ย”
สุขหฤทัยหันขวับ มาทางเสียง “สรวง”
สรวงวิ่งหนีแบบปัดเท้าไปด้วยเพราะคัน ขณะที่สุขหฤทัยวิ่งตาม แต่เกิดสะดุดหินล้มลง
“ว้าย!” สุขหฤทัยล้มลง กลิ้งตกเนิน ร้องให้ช่วย “สรวง ช่วยฤทัยด้วย”
สรวงถอนหายใจอย่างเซ็ง จำต้องกลับมาหาถามเสียงขุ่น “แล้วคุณจะวิ่งตามผมทำไม”
“แล้วคุณจะหนีฤทัยทำไม? ทำลับๆ ล่อๆ ยังกับจะมาสืบอะไรอย่างนั้นแหละ”
“จะให้ช่วยไม่ช่วย”
“ช่วยสิคะ?” สรวงยื่นมือมาให้สุขหฤทัยจับ “คุณก็ห่วงฤทัยเหมือนกันใช่ป่ะ”
สรวงเหน็บ “เดี๋ยวก็ได้ตกเนินอีกรอบ”
“สรวงอ่ะ” สุขหฤทัยหน้างอ จับมือสรวง แล้วทำหน้างออีก หงุดหงิดที่สรวงไม่กอดเลย
ส่วนที่บริเวณด้านนอกรีสอร์ท กรรณนรีเดินนำภาพิศมาภาพิศทอดสายตามองอย่างอ่อนโยน และอยากรู้
“เธอชวนฉันออกมาทำไม”
กรรณนรีมองอย่างเป็นห่วง “อย่างที่บอก ฉันเป็นห่วงคุณ”
ภาพิศสะท้อนใจ ขอบตาร้อนผ่าว แทบน้ำตาคลอ แต่ต้องกลั้นฝืนไว้
“ก็ฉันบอกเธอแล้วไง...ไม่ให้เธอมา เธอก็ยังจะดื้อมาอีก ฉันเลยต้องมา เพราะฉันก็ห่วงเธอ ห่วงมาก”
กรรณนรีมองภาพิศด้วยความตกใจ แทบไม่เชื่อสายตา
“คุณห่วงฉันจริงๆ ใช่มั้ยคะ”
ภาพิศกลั้นน้ำตา พยักหน้าให้ขณะจับมือกรรณนรี
“ใช่...ห่วงมาก แล้วก็ขอโทษ..ที่ผ่านมา...ฉันทำไม่ดีต่อเธอ”
กรรณนรีน้ำตาคลอ “ฉันไม่เคยโกรธคุณเลยค่ะ”
“นั่นล่ะ...ฉันยิ่งโกรธตัวเอง...ศุภาวีร์....เอาไว้ให้เรื่องยุ่งๆ ทั้งหมดนี้จบลงก่อนฉันมีบางอย่างจะพูด จะบอกเธอ แต่ตอนนี้...ฉันอยากให้เธอไปจากที่นี่…”
“เพราะมันไม่ปลอดภัยใช่มั้ยคะ” กรรณนรีบอก
ภาพิศอึ้ง “เธอก็รู้”
“ฉันรู้...แต่ฉันจะอยู่เพื่อฉีกหน้ากากคุณหญิงสุดา”
ภาพิศกวาดสายตามองรอบๆ ตัว บอกด้วยท่าทีจริงจัง
“งั้นเธอฟังฉันนะ” เกือบหลุดเรียกกาว “กะ... ก้าง...” กระซิบบอก
กรรณนรีมองภาพิศ ตกใจแทบช็อก ภาพิศพูดต่อ
“เธอต้องทำตามแผนที่ฉันบอก แล้วทุกอย่างจะสำเร็จ”
กรรณนรีงงในท่าทีที่เปลี่ยนไป ภาพิศหันไปมองเห็นสุดาอารักษ์เดินไปยังห้องพัก แต่สายตาสุดามองมาอยู่ ภาพิศปล่อยมือ เปลี่ยนท่าทีเป็นขึงขัง
“เชื่อฉัน ไม่งั้นเธอเละแน่”
กรรณนรีมองตามสายตาภาพิศก็นึกรู้ จึงแกล้งทำเป็นตาดุเอาเรื่อง
“ค่ะ ฉันจะทำตามที่คุณบอกทุกอย่าง”
ส่วนอีกมุม สุดากับอารักษ์เดินไปยังห้องพัก สุดานั้นลอบมองทั้งสองคนไม่คลาดสายตา พอเห็นภาพิศ กับกรรรณรี ทำท่าทางขึงขังใส่กัน ราวกับจะตบตีกันก็เบาใจ
พอเห็นสุดากับอารักษ์เดินเข้าที่พักไปแล้ว ภาพิศจึงเอ่ยขึ้น
“ขอบใจมาก....ที่ทำให้ฉันได้รู้ว่าผู้ชายที่ฉันเลือกเลวร้ายแค่ไหน...ยิ่งถ้าเทียบกับผู้ชายอีกคนที่ฉันทิ้งเค้ามา ...มันต่างกัน ราวฟ้ากับเหวเลยล่ะ”
กรรณนรีมองภาพิศอย่างซาบซึ้ง ดีใจที่ภาพิศเห็นเกริกเป็นคนดี
สุดาเดินมายังหน้าห้องพักอารักษ์ ด้านนอก เห็นวิวสวยสุดลูกตา
ระหว่างนั้นกาวินทร์ปลอมตัวจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม เพื่อไม่ให้ใครจำได้ ติดหนวด ติดเครา ผมเผ้ายาวรุงรังเหมือนคนบ้า แถมแต่งตัวมอซอ สวมหมวกเหมือนคนงาน ถือไม้กวาดเดินตามหลัง เฝ้าตลอดได้ยินสองคนคุยกัน
“ที่นี่อากาศดีจังเลยนะเหมาะกับการมาฮันนีมูน” สุดาว่า
“ฮันนีมูน” อารักษ์ทำท่าแหยง กลัวสุดา
สุดาเห็นท่าทีก็ยิ่งหมั่นไส้ อยากตบมาก “ไม่ใช่ของคุณกับฉันหรอกค่ะ แต่เป็นฮันนีมูนของคุณ
กับนังเด็กนั่น”
“จะได้ยังไง? ปลายเล็บเค้าก็ไม่ให้ฉันแตะ นี่มีธุระสำคัญอะไรก็พูดๆ มา ฉันจะได้ไปหาหนูศุ”
“ธุระของฉันก็จะทำให้คุณได้แตะมันทั้งตัว จะอยู่ฟังรึเปล่าล่ะคะ”
อารักษ์มองอย่างฉงน แกมตื่นเต้น สุดาอธิบาย
“บอกแล้วไงคะว่าที่มาเที่ยวเนี่ย ก็เพราะจะลวงมันมาให้คุณเชือด”
“จริงเหรอคุณหญิง...โธ่!คุณหญิงช่างเป็นภรรยาที่ประเสริฐที่สุด”
กาวินทร์ขบกรามแน่น โกรธมาก คิดในใจ
“อุบาทว์ที่สุดล่ะไม่ว่า”
“คุณไม่หึงไม่หวงผมเหรอ”
“แก่แล้วค่ะ อะไรทำให้คุณได้...ฉันก็อยากทำให้ คุณรีบไปฝึกร่างกายให้แข็งแกร่งมาแล้วกัน”
“ได้...งั้นผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกกำลังกายมาเดี๋ยวนี้เลย”
อารักษ์เดินเข้าไปในห้อง สุดาเหยียดยิ้มน่ากลัว
“แกสองคนแม่ลูกได้กระอักเลือดตายแน่”
กาวินทร์นึกเป็นห่วงกรรณนรี
ขณะที่กรรณนรีเดินมาตามทางในรีสอร์ท ด้วยท่าทีร้อนรน หยิบมือถือออกมาจะโทร. เวลานั้นกาวินทร์ที่ปลอมตัวจนแทบจำไม่ได้ โผล่พรวดมาเรียกเบาๆ
“กาว...”
กรรณนรีหันมามองด้วยความตกใจ เบื้องแรกจำไม่ได้ ก่อนจะเพ่งและเขม้นตามองอย่างพินิจ
“พี่แก้ว”
ไม่นานนัก สองพี่น้องคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งลับตาคน
“ไม่คิดจริงๆ ว่าจะเป็นพี่แก้ว ตะกี้กาวว่าจะโทร.หาพอดี” กรรณนรีบอกอย่างตื่นเต้น
“เพื่อนพี่เป็นผู้จัดการอยู่ที่นี่ เลยให้มันช่วย แต่จากที่กาวเล่า พี่ว่าแม่ต้องรู้ระแคะระคายอะไรมาบ้างแล้วล่ะ ถึงได้บอกให้กาวซ้อนแผนคุณหญิงสุดา พี่ว่ากาวทำตามแม่ดีที่สุด”
“ค่ะ..กาวจะทำตามแม่อย่างแรก คือ...ทะเลาะกับแม่ ให้คุณหญิงสุดาตายใจ”
“ไม่ต้องห่วง พี่จะอยู่แถวนี้ ดูแลแม่กับกาวเอง ไปทะเลาะกับแม่ให้สาใจคุณหญิงสุดาแล้วกัน”
กาวินทร์บอกอย่างหนักแน่นในท่าทีจริงจัง
ไฟมาร ตอนที่ 14 (ต่อ)
เวลาต่อมาที่บริเวณฟาร์มเลี้ยงแกะ กรรณนรีทำทีเป็นเดินเล่น ภาพิศเดินมา ตามด้วยสุดา ภาพิศบ่นเป็นนางร้าย
“นี่...ฉันไม่ใช่คนใช้เธอนะ...ถึงจะเดินต้อยๆ ตามก้นเธอน่ะ”
“ก็ฉันอยากเดินเล่นนี่.. คุณดูสิ” มองจ้องภาพิศ “มีแกะด้วย”
ภาพิศแกล้งร้องเสียงดังอย่างไม่พอใจ “อะไรนะ เธอว่าฉันกระแดะ” แล้วหันไปฟ้องสุดา “คุณหญิงพี่คะมันว่าน้องกระแดะ”
กรรณนรีรับมุข กวนกลับ “ฉันเปล่านะคะ ฉันว่าแกะ” ก่อนจะทำหน้าเย้ย “คุณไม่ได้ว่าคุณกระแดะ”
“เห็นมั้ยเธอหลอกด่าฉัน ว่าฉันกระแดะ”
สุดาเออออกับภาพิศ “จริงด้วย...เธอว่าคุณภาพิศกระแดะ ทำไมเธอพูดอย่างนี้ศุภาวีร์”
“ฉันไม่ได้ว่านะคะ”
ภาพิศจัดเต็ม เต้นเร่าๆ “เธอว่า...” หันมาทางสุดา “คุณหญิงพี่ได้ยินเหมือนน้องมั้ยคะ”
สุดาตอบทันที “ได้ยิน...” เน้นอีก หลอกด่า “ศุภาวีร์ด่าน้องว่ากระแดะ เต็มสองหูพี่เลย”
ภาพิศคำราม “นังศุภาวีร์”
ภาพิศปราดเข้ามาหากรรณนรี แกล้งกระชากผม ปากร้องตะโกน
“คุณหญิงพี่ช่วยน้องด้วยค่ะช่วยด้วย”
“ได้เลยค่ะ”
สุดาเข้ามาช่วยจับกรรณนรีเอาไว้ กรรณนรีสะบัดตัว แกล้งศอกใส่สุดาอย่างแรง สุดาร้อง ภาพิศตบสวนมา กรรณนรีหลบ มือของภาพิศถูกหน้าสุดาอย่างจัง สุดาร้อง ภาพิศไม่สนมือตบปากด่า
“นังศุภาวีร์ฉันจะตบแกๆๆๆ”
สุดาร้อง “นี่มันหนังหน้าฉัน…”
อารักษ์โผล่เข้ามาเห็นพอดี “ภาพิศ”
ภาพิศจำต้องออกผละออกมาท่าทีตกใจ สุดาร้องไห้ ผมเผ้ากระเซิง อารักษ์ดุ
“นี่เธอท้องจริงรึเปล่าเนี่ย กระโดดตบคุณหญิง ยังกับเป็นนักวอลเล่ย์”
“ขอโทษค่ะคุณหญิงพี่..น้องนึกว่าเป็นนังศุภาวีร์”
กรรณนรีแกล้งออเซาะ “ท่านขา...คุณภาพิศเรียกหนูว่านัง”
อารักษ์โมโห ตะเพิดทันที “คนอย่างเธอ มันไม่สมควรที่จะอยู่กับใครเลยจริงๆ เลยภาพิศ ไป..จะไปไหนก็ไป”
“ท่าน” ภาพิศแกล้งตกใจ
“ไป๊...” อารักษ์ไล่ตะเพิด
ภาพิศเดินไป กรรณนรีรีบบอก
“หนูไปก่อนนะคะ...หนูร้อน”
อารักษ์ร้องเรียกเสียงอ้อน “หนูจ๋า...หนู”
“ไม่ต้องตามมาค่ะ...หนูอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
กรรณนรีเดินทิ้งหางตาทำท่าสะบัดสะบิ้งออกไป อารักษ์ไม่กล้าตาม สุดารีบบอก
“น่าคุณ...อดเปรี้ยวไว้กินหวาน”
“แต่ผมไม่กินคุณหญิงนะ” มองดูสารรูปสุดา “น่วมเป็นกระท้อนเชียว”
สุดาค้อนปะหลับปะเหลือก ท่าทีน่าขัน
ภาพิศเดินนำ กรรณนรีวิ่งตาม ถามอย่างเป็นห่วง
“คุณคะ....คุณเป็นไรมั้ยคะ”
ภาพิศหยุดหันมายิ้ม “เปล่า..แต่ได้รู้จัก ท่านอารักษ์มากขึ้นทุกวัน” ยิ้มหยันอย่างขมขื่น “แล้วก็
รู้ว่า...ฉันควรหนีห่างคนแบบนี้ให้ไกล”
“แต่เด็กในท้องคุณ”
ภาพิศยิ้มอ่อนโยน “ฉันอยากให้ลูกฉันมีพ่อที่ดี....แต่ถ้าพ่อไม่ดี ก็ไม่ต้องมีซะดีกว่ารอให้สิ่งที่ฉันคิดสำเร็จซะก่อน ฉันจะไป...ไปจากท่านอารักษ์ให้ไกลที่สุด”
“ฉันเชื่อว่าคุณจะได้พบสิ่งที่ดีแน่นอนค่ะ”
“ใช่...เพราะที่ผ่านมา...ฉันเกลือกกลั้วอยู่กับสิ่งที่ไม่ดี...เปล่า...ฉันไม่ได้ว่าท่าน..เพียงแต่..ฉันคิดได้...” สีหน้าภาพิศสลดลง “การที่ฉันเข้ามาเป็นมือที่สาม ทำลายครอบครัวคนอื่น ฉันก็เป็นคนไม่ดีแล้ว และถึงเวลานี้..ฉันก็ควรหลุดพ้นซักที”
ภาพิศมองกรรณนรีพลางยิ้มแล้วเดินหนี กรรณนรียืนมองตามไปไม่วางตา ภาพิศเหลียวมามองกรรณนรี คิดในใจ “แม่ไม่ได้โกรธคุณหญิงสุดาที่ทำร้ายแม่ แต่แม่โกรธ ที่เค้าทำร้ายลูกต่างหาก กาว”
“ขอให้ถึงวันที่แม่หลุดพ้นได้จริงๆ” กรรณนรีภาวนาอยู่ในใจ มองภาพิศอย่างเอาใจช่วยเต็มที่
ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นสวยงามของรีสอร์ทแห่งนั้น สรวงประคองสุขหฤทัยมาตามทาง โดยไม่รู้ว่าแฉล้มซึ่งแอบตามมาเช่นกัน เดินตามมาห่างๆ พอเห็นสรวงอยู่กับสุขหฤทัยก็มองอย่างสนใจ
สุขหฤทัยถามสรวงอย่างคาใจ
“ไม่รู้ตะกี้สรวงจะวิ่งหนีฤทัยทำไม..? ว่าไงคะ? หรือมานี่เพื่อมาสืบดูอะไร”
“จะสืบอะไร ผมก็แค่อยากเล่นอะไรสนุกๆ”
“ก็แล้วทำไมไม่บอกฤทัย...” สุขหฤทัยทำตายั่วยวน “สรวงอยากเล่นสนุกแค่ไหน บอกมาเลยค่ะ ฤทัยพร้อมทำตามสรวงทู้กอย่าง”
“จริงเหรอ” สรวงยิ้มเจ้าเล่ห์
“จริงสิคะ...”
สุขหฤทัยเล่นหูเล่นตา พลางเอามือทำปูไต่ที่อกสรวง แม้ไม่ได้ชอบแล้ว แต่นาทีนี้หล่อนแค่อยากเอาชนะ
ไม่นานต่อมาร่างสุขหฤทัยถูกมัดเข้ากับเสาหลักธนู สาวแสบร้องกรี๊ดๆ
“สรวงคะ..สรวงจะทำอะไร”
“ก็หาอะไรเล่นสนุกๆ ไง”
“สนุกยังไง” สุขหฤทัยฉงน
“ก็อย่างงี้ไง”
จังหวะต่อมา คนงานเดินมาวางแอ๊ปเปิ้ลลงบนหัวสุขหฤทัย แล้วยื่นธนูให้สรวง
“ฤทัยสุดสวย สุดสูง อยู่นิ่งๆ นะจ๊ะ” สรวงพูดพร้อมกับเงื้อธนูสุดแขน
“สรวงงง..”
สุขหฤทัยตกใจ กรี๊ดสุดเสียง ก่อนจะคอพับคออ่อนหมดสติไป สรวงหัวเราะลั่น แฉล้มที่แอบตามมาดูรีบเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะ
ด้านภาพิศเดินมาที่บริเวณด้านนอกรีสอร์ท ลอบมาหาแฉล้มตามนัด ขณะที่แฉล้มหัวเราะคิกคัก
“นี่คุณ...คุณน่าจะได้เห็น ตอนคุณสรวงแกล้งแม่ฤทัย ตล้ก ตลก”
“อยากเห็นเหมือนกัน แต่คุณก็รู้ว่าฝั่งฉันมันมาคุแค่ไหน? นี่..แผนที่ฉันให้เตรียมไว้ เรียบร้อยใช่มั้ย”
“ใช่!จะแผนหนึ่ง แผนสอง แผนสาม แผนสี่ แผนห้า ฉันดักทางไว้ทู้กอย่าง เหมือนเดิม เงินถึง ทุกอย่างไม่มีปัญหา” แฉล้มหัวเราะคิก “แค่คิดก็สนุก เหมือนรายการเรียลิตี้โชว์เลยนะคุณ กล้องแต่ละมุม จับ เห็นแต่ละคนถือขวาน ถือจอบ ลากเสียม ห้ำหั่นกัน สนุกเป็นบ้าเลย”
แฉล้มว่าอย่างสนุก แต่หน้าตาภาพิศสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่สนุกตามด้วยเลย
“ฉันสงสารลูกกับคุณสรวง ไม่น่าต้องมารับกรรมที่ผู้ใหญ่ก่อไว้เลย”
ส่วนอีกมุมตรงด้านนอก สุขหฤทัยนอนอยู่ โดยมีสรวง กับสุดา คอยให้ยาลมยาดม และช่วยพัดวี
สุดาโวยวายใส่ลูกชาย “จะมาทำไมไม่บอกล่ะลูก?
“ก็ผมตั้งใจมาเซอร์ไพร้ส์” สรวงบอก
“อันดับแรก เซอร์ไพร้ส์ฤทัยก่อนเลยค่ะคุณหญิงแม่ สรวงจับฤทัยเป็นเป้าธนู” สุขหฤทัยเหน็บ
“ก็คุณชอบล่อเป้า...” สรวงว่า
“ล่อที่ไหน สรวงอ่ะ”
“อย่างที่คุณทำนั่นแหละ เค้าเรียกว่าล่อเป้า...”
“สรวงก็เอาหัวใจโยนเข้าเป้าสิคะ.....เอาลูกธนูมาทำไม” สุขหฤทัยอ้อล้อ
สุดาเห็นด้วย ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเป็นหงุดหงิดอีก “จริงด้วย...เฮ้อ! สรวงนะสรวง จะมาก็น่าจะบอกแม่ซักคำ”
“ก็ผม..อยากให้คุณแม่เซอร์ไพร้ส์นี่ครับ หรือคุณแม่ไม่อยากให้ผมมา” สรวงดักคอ
สุดาอึกอัก “อยากสิจ้ะ...แม่อยากให้สรวงมาจะตาย” ปากว่าแต่แววตาแสนจะหนักใจ
“ดีครับ..ผมก็อยากมาเซอร์ไพร้ส์คุณพ่อเหมือนกัน จะได้มาพักผ่อนกันเป็นครอบครัวซักที”
สรวงยิ้มแววตามีแผน สุดาหันไปยิ้มปูเลี่ยนๆ กับสุขหฤทัย
สองคนเดินตามทาง สุขหฤทัยตั้งข้อสังเกต
“สรวงต้องคอยขัดขวางเราแน่ๆเลยค่ะคุณหญิงแม่”
“แม่ก็ว่างั้นแหละ งั้นฤทัยต้องคอบประกบสรวงไว้ให้ดีนะลูก แม่จะหาทางจัดการนังสองแม่ลูกนั่นเอง”
“ได้ค่ะ...ฤทัยจะ จับเกาะติด สรวงทุกฝีก้าวเลย” สุขหฤทัยทำหน้าหื่นท่าทีน่าขัน
“หื่นไปนะฤทัย” สุดากัดทีเล่นทีจริง อาการขำๆ
สุขหฤทัยเองก็ยิ้มขำ “เบา..เบาค่ะคุณหญิงแม่..เพราะฤทัยว่า คุณพ่อต้องคอยจัดหนักจัดเต็มนังกรรณนรีแน่ๆ ค่ะ”
ขณะที่อารักษ์ แทบจะประคองกรรณนรีปิ้งย่างบาร์บีคิว โดยมีภาพิศยืนมอง คอยขวางไม่ให้
อารักษ์แต๊ะอั๋งลูกสาว อารักษ์พูดกับกรรณนรีเสียงหวาน
“หนูจ๋า...มาทาบาร์บิคิวกับฉันสิจ้ะ” ทำท่าจะเดินมาอ้อมหลังมากอดแต๊ะอั๋ง
ภาพิศรีบมาแทรกกลาง “เดี๋ยวภาทำให้ค่ะท่าน”
อารักษ์ดึงมือออก “ก็ผมอยากทำกับหนูศุ” มองจ้องกรรณนรีตาเชื่อม “อุ๊ย! หนูศุเหงื่อออก”
อารักษ์รีบคว้าผ้าเช็ดหน้าจะซับเหงื่อให้ ภาพิศรีบดึงผ้าเช็ดหน้าออก
“เดี๋ยวภาทำให้ค่ะ”
อารักษ์เริ่มหงุดหงิด “เอ๊ะ! เธอนี่ยังไงภาพิศ”
“ก็ภาอยากช่วยท่านนี่ค่ะ”
“แต่ฉันอยากทำเอง”
จังหวะนั้นสรวงเดินออกมาจากอีกทาง
“ผมช่วยทำดีกว่าครับพ่อ”
ภาพิศยิ้มออกมาอย่างดีใจ “คุณสรวง”
ด้านอารักษ์มองอย่างแปลกใจแต่ไม่ได้ติดใจสงสสัย “อ้าว! ตาสรวง...ไหงโผล่มาล่ะ มาๆ มากินบาร์บีคิวกัน”
กรรณนรีมองสรวงอย่างตกใจ ขณะที่สรวงมองกรรณนรีท่าทีไม่พอใจ สุดากับสุขหฤทัยตามมาสังเกตการณ์
สองคนมองหน้ากัน ต่างคนต่างสงสัย เพราะเห็นชัดเจน ว่าสรวงกับกรรณนรีน่าจะมีอะไรกัน ส่วนภาพิศแอบยิ้มอย่างพึงใจ ที่เห็นว่าสรวงมาแล้ว
ตัดรับภาพด้านนอก ระยะไกล มะยมกับนิคแอบมองอยู่
“กาวโกหกพ่อ” นิคมองมะยม “กาวไม่ได้ทำข่าว แต่มากับท่านอารักษ์”
“ฉันรู้แล้ว ไม่งั้นฉันจะตามมาที่นี่ได้ยังไง” มะยมว่า
นิคสงสัยสุดๆ “แล้วแกรู้ได้ยังไง”
สองเกลอเดินคุยกันมาตามทาง มะยมไขข้อข้องใจให้นิคฟัง
“ฉันก็คุยกับพี่แก้ว พี่แก้วเล่าให้ฉันฟังทุกอย่าง ฉันเลยชวนผู้ช่วยมาด้วย” มะยมพูดเป็นนัย
นิคงง “ใคร”
นพเดินเข้ามา
“ใครว่ามะยมชวนผม...ผมขอร้องมะยมตั้งนาน กว่ามะยมจะยอมให้ผมมา”
นิคอึ้ง “คุณนพ”
มะยมเยื้อนยิ้มให้นพ นิคมองสองคนที่ดูสนิทสนมกันมากๆ ถึงกับเหวอไป
ทั้งสี่คนคุยกันอยู่ตรงมุมกาแฟของรีสอร์ท กาวินทร์เปลี่ยนชุดปกติธรรมดาแล้ว นั่งอยู่ด้วย นพเอ่ยขึ้นก่อนใครอื่น
“ขอโทษนะครับที่ตามมา” นพหลุดปาก “ผมเป็นห่วง...” พลางทอดสายตามองมะยมอย่างห่วงใย
มะยมกะนิค มองนพเขม็ง นพรีบแก้ต่าง
“สรวง...” ทุกคนมองหน้านพอย่างรอฟัง “ครับผมห่วงนายสรวง”
“คุณนพรู้เรื่องด้วยเหรอครับ” กาวินทร์ถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“นิดหน่อยครับ... สรวงก็คุยให้ผมฟังบ้าง เรื่องคุณหญิงกับกาว...และที่สรวงตามมาก็เพราะเป็นห่วงกาวเหมือนกัน” นพบอก
เวลาเดียวกันสรวงลากแขนกรรณนรีออกมา
“ปล่อยฉันนะคุณสรวง..ปล่อย” กรรณนรีขัดขืน
“กลัวพ่อฉันเห็นรึไง” สรวงแดกดัน
“ใช่” กรรณนรีประชดส่ง
สรวงโมโห เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เธอ”
“เพราะถ้าพ่อคุณเห็น....ทุกอย่างจะไม่เป็นอย่างที่ฉันคิด”
“เธอคิดอะไรของเธอ”
“ฉันไม่อยากให้คุณเสียใจหรอกนะคะคุณสรวง....แต่ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องพูดซักทีเพราะฉันมั่นใจ ที่แม่คุณพาฉันพาคุณภาพิศมาที่นี่ ไม่ใช่เรื่องดีแน่”
“กรรณนรี” สรวงกระชากกรรณนรีเข้ามา จังหวะนั้นร่างกรรณนรีเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของสรวง
สุขหฤทัยซึ่งแอบตามมาเห็นพอดิบพอดี ดวงตาสุขหฤทัยเจิดจ้า สงสัยว่าสองคนมีอะไรกัน แต่ไม่ได้หึงหวงแล้ว แค่อยากรู้อยากเห็น
ขณะที่กรรณนรีบอกสรวงต่อ
“ต่อให้คุณฆ่าฉันให้ตาย ฉันก็ต้องพูด...เพราะนาทีนี้ฉันรู้ว่าปิดคุณไม่ได้ แต่เป็นหน้าที่..ที่คุณจะต้องสืบหาความจริงเองคุณสรวง”
พูดจบกรรณนรีก็ผลักสรวงออก แล้วผละออกไป สรวงตะโกนตามหลังอย่างขุ่นเคือง
“กรรณนรีๆ” กรรณนรีไม่ยอมหลียวหลัง สรวงได้แต่มองตาม ด้วยแววตาอยากรู้ความจริง
“ถ้าเธอใส่ร้ายแม่ฉัน น่าดู!”
โปรดติดตาม "ไฟมาร" ตอนที่ 15