xs
xsm
sm
md
lg

ไฟมาร ตอนที่ 13

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไฟมาร ตอนที่ 13

นิคไม่มีกะจิตกะใจทำงานทั้งเซ็งทั้งเหนื่อยหน่าย ไม่นานต่อมานิคเดินหน้าม่อย ท่าทีเหงาๆ มาตามทางในสวนสาธารณะที่เคยมากับสองสาว ก่อนจะมาหยุดนั่งเล่นอยู่ริมน้ำ

จังหวะหนึ่งนิคหยิบก้อนหินข้างๆ ตัว ขว้างลงไปอย่างเบื่อๆ สะท้อนใจเมื่อหวนคิดถึงภาพความหลัง ตอนเพื่อนทั้งสามคนเคยสุขด้วยกัน

ภาพตอนที่สามคนเลิกงาน มาเดินเล่นในสวนสาธารณะ เดินกันมากินกันไป แย่งขนม ลูกชิ้นปิ้งกิน หัวเราะสนุกสนาน
จังหวะต่อมาหนึ่งชายสองหญิงมานั่งเล่นกันที่สนามเด็กเล่น แกล้งกันไปมา แถมเล่นแรงๆประสาเพื่อน
อีกครั้งตอนที่นิคนั่งเศร้าเซ็งเบื่อโลกอยู่ริมน้ำ สักพักมะยมเดินมานั่งข้างๆ ยื่นอมยิ้มให้ พร้อมกับยิ้มแฉ่ง และกรรณนรีก็ตามมานั่งข้างๆ พร้อมยื่นแก้วน้ำให้
สองสาวยิ้มให้นิค ทำท่าไฟต์ติ้ง-สู้ตาย เชียร์อัพ จนนิคยิ้มออกมาได้

นิคนั่งหงอยอยู่คนเดียวที่ริมน้ำที่เก่า มองซ้ายมองขวา วันนี้ไม่มีทั้งมะยม ไม่มีกรรณนรีแล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า นิคถอนหายใจเฮือกๆ ตระหนักชัดว่าวันเวลาเก่าๆ โมงยามแห่งความสุขคงไม่หวนคืนกลับมาแน่แล้ว

นิคไม่ได้ทะเลาะกับมะยม เพียงแต่หลังๆ มานี้ มะยมไปสนิทสนมกับนพ จึงทำให้ห่างเหินกัน และนิคก็ไม่รู้ความเคลื่อนไหวของมะยมเหมือนก่อน นิคเลยเหมือนอยู่ตัวคนเดียว

ภายในร้านอาหารยามนั้น สองคนนั่งทานข้าวด้วยกัน นพตักอาหารให้มะยม แสดงท่าทีเปิดเผยว่าจีบมะยมมองจ้อง จนนพต้องถาม
“มีอะไรเหรอครับ”
มะยมถามซีเรียส “กาวบอกฉันว่าคุณมีภรรยาแล้ว จริงหรือเปล่า”
นพอึกอัก และพูดบอกความจริงครึ่งเดียว “มีครับ แต่ผมเลิกกับเค้าแล้ว”
มะยมถอนหายใจโล่งอก “ขอโทษนะคะที่เสียมารยาท แต่ฉันจำเป็นต้องถาม เพราะฉันไม่อยากทำลายครอบครัวใคร”
“ครับ” นพหน้าเจื่อนไปนิด ก่อนตักอาหารให้มะยม ท่าทางของมะยมเปิดใจมากขึ้น

กรรณนรีเดินตามทาง มุ่งหน้าสู่โรงพยาบาล
“แทนที่จะได้เจอคุณหญิงสุดา...ไม่น่าเจออีตาสรวงบ้าเลยจริงๆ”
กรรณนรีได้แต่บ่นอยู่อย่างนั้น

ตกกลางคืนสรวงครุ่นคิด ดวงตาไม่ได้มองกรรณนรีในแง่ร้ายแล้ว
“ที่กรรณรีกลับมาที่นี่ ต้องมีอะไรแน่ๆ”
สรวงนิ่งคิด แต่ยังคิดไม่ตกมันคืออะไร?

ที่โรงพยาบาลแฉล้มยังนอนไม่ได้สติ กรรณนรีมอง
“น่าสงสารจังเลยนะคะ”
“เท่าที่พ่อรู้จัก แฉล้มไม่มีใคร? พ่อแม่ก็ตายไปนานแล้ว ญาติพี่น้องก็ไม่มี”
“แต่ตอนทำประวัติ กาวใส่ชื่อแม่เป็นเพื่อน เผื่อทางโรงพยาบาลจะติดต่อ”
เกริกนึกบางอย่างได้ “งั้นเดี๋ยวพ่อโทร.บอกแม่ดีกว่า แฉล้มจะได้มีคนดูแล”
กรรณนรีตกใจมาก เกริกเดินออกไป กรรณนรีรีบตาม

ด้านภาพิศกดมือถือ นึกสงสัยที่ติดต่อแฉล้มไม่ได้
“ทำไมคุณแฉล้มไม่รับสาย ติดต่อก็ไม่ได้” เสียงมือถือดัง ภาพิศสะดุ้ง ดีใจ
นึกว่าแฉล้ม จะรับแต่ชะงักกึก “พี่เกริก” ภาพิศไม่รับ
เกริกอยู่ที่โรงพยาบาล มองโทรศัพท์หน้าเจื่อน กรรณนรีเดินออกมาอย่างกังวล กลัวจะเจอภาพิศ
“แม่ว่ายังไงบ้างพ่อ? แม่จะมาเยี่ยมคุณแฉล้มมั้ย?” กรรณนรีหยั่งเชิง เพราะถ้ามาจะได้ไม่อยู่
“แม่ไม่รับสาย...คงไม่อยากคุยกับพ่อน่ะ กาวไปบอกแม่หน่อยไปลูก”
กรรณนรีอิดออด “แต่กาว”
“เถอะน่า..ช่วยหน่อยแล้วกัน คุณแฉล้มไม่มีใคร”
“แต่พ่อห้ามบอกแม่นะ ว่ากาวเป็นลูก” เกริกมองหน้ากรรณนรีปด “กาวไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับแม่อีก”
เกริกพยักหน้า “พ่อเข้าใจ แต่ยังไงกาวต้องระลึกอยู่เสมอนะลูก ต่อให้แม้ไม่ได้เลี้ยงดูกาว ยังไงแม่ก็คือแม่”
“ค่ะ”

กรรณนรีรับปากพ่ออย่างไม่เต็มคำ

เช้าวันต่อมากรรณนรีพาตัวเองมายืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ภาพิศ ซึ่งภาพิศเห็นจากกล้องวงจรปิด

ภาพิศตาลุกวาวโกรธเกลียดมาก “นังศุภาวีร์” เดินออกมา
กรรณนรีกดกริ่งที่หน้าประตู น้อยยินเสียงจะมาเปิด ภาพิศเดินออกมาร้องบอก
“ไม่ต้อง ฉันเปิดเอง” เดินไปกระชากประตูออก เห็นกรรณนรี “เธอกล้ามากเลย
นะก้าง ที่ยังหน้าด้านมายืนอยู่ตรงนี้น่ะ”
“ฉันไม่ได้มารบกวนค่ะ แค่มาแจ้งข่าว คุณแฉล้มถูกทำร้าย ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล
“ฝีมือเธอล่ะสิ” ภาพิศผลักกรรณนรีด้วยโทสะ “เธอโกรธใช่มั้ย ที่แฉล้มไปตามหาบ้านเธอน่ะ ถึงได้ทำร้ายแฉล้ม ทำไมเธอร้ายกาจอย่างนี้ศุภาวีร์”
ภาพิศขยุ้มผมกรรณนรี ทั้งโกรธทั้งเกลียดอยู่แล้ว เห็นหน้าก็หมั่นไส้ อยากตบ
“ปล่อยฉันค่ะปล่อย”
ภาพิศขยุ้ม “ไม่ปล่อย เธอรนหาที่เอง รู้ไว้ด้วยแค่เห็นหน้าเธอฉันก็ขยะแขยง ทำเป็นแอ๊บ ใส่ซื่อ ที่แท้ก็ร้ายกาจที่สุด ฉันเกลียดเธอศุภาวีร์ ฉันเกลียดเธอ”
ภาพิศขย้ำกรรณนรี ขยุ้มผม กรรณนรีร้องให้ปล่อย สองคนยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา
สร้อยคอกรรณนรีหล่นโดยไม่รู้ตัว กรรณนรีผลักภาพิศออก ภาพิศเซไปชนรั้วบ้าน
ภาพิศโกรธจัด “นังศุภาวีร์” ถลันเข้ามาจิกผมตบ
กรรณนรีร้องขอ “อย่าค่ะอย่า”
ภาพิศขู่คำราม “ไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากตายอยู่ตรงนี้” พร้อมกับแผดเสียงกรี๊ดใส่ “รู้ไว้ฉันเกลียดเธอ ฉันเกลียดเธอ”
กรรณนรีมองหน้าภาพิศ เสียใจเหลือแสน ภาพิศยิ่งมองยิ่งเกลียด
“อย่ามาบีบน้ำตา แถวนี้ไม่มีผู้ชายให้เธอออดอ้อน คนดัดจริต” จะตรงเข้ามาตบอีก กรรณนรีวิ่งหนีเตลิดไปอย่างเจ็บปวดร้าวราน
ภาพิศมองตามโกรธเกลียดแต่ลึกๆ กลับรู้สึกเสียใจอย่างประหลาด เสียความรู้สึก หายใจหอบเหนื่อย
ภาพิศน้ำตาคลอเสียใจ “เธอไม่น่าทำร้ายฉันเลยก้าง ไม่น่าเลย”
ภาพิศร้องไห้โฮออกมา น้อยวิ่งมาหา
“คุณหญิง...คุณหญิงเป็นยังไงบ้าง”
“ฉันไม่เป็นไร...ถ้าเด็กคนนั้นมาอีก ไม่ต้องไปสนใจ” จะเดินเข้าบ้าน
น้อยมองตามกรรณนรีแววตาเกลียดชัง แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นสร้อยตกอยู่ที่พื้น
“คุณคะสร้อยหล่น”
ภาพิศหันมามอง น้อยยื่นสร้อยให้ตรงหน้า ภาพิศเบิกตาโพลง หน้าซีดราวกับกระดาษ มือสั่นระริก ขณะคว้าสร้อยมาดู จดจำมันไม่อย่างแม่นยำถึงที่มาสร้อยเส้นนี้

วันนั้นเมื่อในอดีตสร้อยเส้นนั้นอยู่ในมือภาพิศขณะยังเป็นนุดีเมื่อวัยสาว และยังไม่มีลูกภาพิศยื่นสร้อยให้เกริกดู
“ฉันทำสร้อยเป็นพิเศษให้พี่จ้ะ...มีเส้นเดียวในโลก”
เกริกยิ้มกริ่มปลื้มใจ “โห!ขนาดนั้นเชียว มีเส้นเดียวในโลก”
“ก็ฉันตั้งใจทำพิเศษให้พี่นี่...พี่ต้องสวมไว้ตลอด อย่าถอดนะ เพราะสร้อยเส้น
นี้จะช่วยปกป้องอันตราย คุ้มกันภัยให้กับพี่”
“จ้ะ”
ภาพิศสวมสร้อยให้เกริกใบหน้ายิ้มแย้ม

ภาพิศดึงตัวเองกลับมา หน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ตกใจมาก
“สร้อยของเราอยู่กับเด็กคนนั้นได้ยังไง? ก้าง...” เสียงภาพิศสั่นสะท้าน ใจจะขาดรอนเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวก่อนจะเอ่ยชื่อลูกสาวที่ทิ้งมานานออกมา
“กาว”
ภาพิศมือไม้สั่นลนลานกดมือถือ
ขณะที่กรรณนรีวิ่งร้องไห้อยู่ที่ข้างทาง ตะโกนก้องร้องร่ำอยู่ในใจ
“แม่...กาวขอโทษ..กาวขอโทษ”
เสียงมือถือดัง กรรณนรีหยิบมาดูเห็นเป็นเบอร์ภาพิศ นึกถึงคำพูดที่จงเกลียดจงชัย พร้อมกับขู่ฆ่า ดังก้องในหัว
“ไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากตายอยู่ตรงนี้” ภาพิศแผดเสียงกรี๊ดใส่ “รู้ไว้ฉันเกลียดเธอ ฉันเกลียดเธอ”
กรรณนรีได้แต่มองไม่กล้ารับสาย ภาพิศใจจะขาดเสียให้ได้
“พี่เกริก” นึกได้รีบกดหาเกริก ทว่ายินเพียงเสียงลอดออกมา ว่าเกริกปิดเครื่อง
ภาพิศทำท่าราวกับจะขาดใจรอนๆ

ภาพิศทนไม่ไหว ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านเกริก พร้อมกับวิ่งไปทุบประตู ร้อนรนตกใจตื่นเต้น
“พี่เกริกๆๆๆ เปิดประตูเดี๋ยวนี้ เปิดๆๆๆ” ภาพิศทุบประตูบ้านอย่างบ้าคลั่ง
สองป้าเดินมาชะโงกหน้ามอง เห็นด้านหลังภาพิศ
“ทุบอะไรคู้ณ...เดี๋ยวบ้านเค้าก็พังหรอก” ตั๊กแตนโวยใส่
ภาพิศหันมา สองป้าตกใจ
“นุดี..นี่นุดีจริงๆเหรอ?” จักจั่นมองเหมือนมองดารา “โห ทำไมสวยอย่างนี้”
ตั๊กแตนมองไม่วางตา “จริงด้วย ยังกับดารา สมกับได้ผัวรวยจริงๆ เลย”
ภาพิศชักเริ่มไม่พอใจ พูดเสียงแข็ง “ฉันมาหาพี่เกริก พี่เกริกไม่อยู่เหรอ”
“บ้านปิดก็คงงั้นมั้ง...” จักจั่นบอก
ตั๊กแตนถามตามประสา “เลิกกับท่านนายพลแล้วเหรอ? ถึงได้กลับมาหาพ่อเกริก”
สองป้ามองท้องของภาพิศแบบอยากรู้อยากเห็น
ภาพิศสุดจะทนไหว ถามลอยๆ “คนชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเค้าเรียกว่าอะไรนะป้า”
สองป้าจ๋อย ค่อยๆ เดินออกไป ภาพิศทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง และเริ่มกระวนกระวาย เสียงมือถือดัง
ภาพิศกดรับ “ค่ะ..ฉันภาพิศค่ะ....” นิ่งฟังสีหน้าดีใจ “คุณแฉล้มฟื้นแล้ว ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”

ภาพิศลุกขึ้นมองรังรักหลังเก่า หงุดหงิดขัดใจที่เกริกไม่มาซักที ก่อนจะเดินหงุดหงิดออกไปในที่สุด

ครู่ต่อมาภาพิศเปิดประตูห้องพักแฉล้มเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรนร้อนใจ พุ่งตรงไปที่เตียง ที่แฉล้มยังมีท่าเจ็บปวดมึนหัวอยู่

“คุณแฉล้ม..เป็นไงบ้าง?”
“เจ็บ” แฉล้มบอกพลางนิ่วหน้า ยังไม่ได้สติเต็มร้อย
ภาพิศจับไหล่แฉล้มถามคาดคั้นเสียงรัวเร็วอย่างร้อนใจ “คุณเจอบ้านเด็กคนนั้นมั้ย คุณเจอบ้านเด็กคนนั้นรึยัง”
แฉล้มร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย..เจ็บ..คุณฉันเจ็บ”
“คุณตอบฉันมาหน่อยสิ..คุณเจอบ้านเด็กคนนั้นมั้ย พ่อแม่เค้าเป็นใคร ตอบฉันมาเร็ว ฉันอยากรู้”
เสียงแฉล้มร้อง ทำให้พยาบาลที่เปิดประตูเข้ามาจะฉีดยาเห็นตกใจ
“คุณคะ เบาๆ ค่ะ คนเจ็บเพิ่งฟื้น”
แฉล้มร้องครางพร้อมกับเอามือกุมหัว “เจ็บ...ฉันเจ็บ”
“เดี๋ยวฉีดยาแก้ปวด แล้วก็ยานอนกลับให้ค่ะ”
พยาบาลฉีดยาให้แฉล้มก่อนบอกภาพิศ
“คนเจ็บเพิ่งฟื้น คุณต้องให้เค้าพักผ่อนเยอะๆนะคะ อย่าเพิ่งรบกวน”
แฉล้มนอนหลับไป พยาบาลดูอาการอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินออกไป ภาพิศหน้านิ่วคิ้วขมวด บ่นอย่างเหลืออด
“นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องซักที” ภาพิศกดมือถือ แต่ไม่ติด บ่นอุบ “พี่เกริกนะพี่เกริก ปิดมือถือทำไม”

เวลาเดียวกัน เกริกเดินเข้ามาที่หน้าบ้าน เปิดประตู สองป้าที่ดักรออยู่ก่อนแล้วรีบวิ่งเข้ามาหา
“พ่อเกริก ทำไมไม่เปิดมือถือ ฉันโทร.หาตั้งนาน” จักจั่นถาม
“แบตหมด ลืมชาร์จ มีอะไรล่ะป้า” เกริกว่า
ตั๊กแตนโพล่งออกมา “นุดีมาที่นี่”
เกริกชะงัก “ว่าไงนะ นุดีมา”
จักจั่นพยักหน้า “ฮื่อ! ท่าทางร้อนรนกระวนกระวาย ไม่รู้มีเรื่องอะไร”
ตั๊กแตนยิ้มย่อง “แต่ที่สำคัญ นุดีสวยมากก สวยไม่บันยะบันยัง สวยเว่อร์ๆ”
จักจั่นผสมโรง “สมกับเป็นเมียนายพล”
เกริกฝืนยิ้ม พูดเหมือนปลงได้ “สวยเลือกได้ก็อย่างนั้นล่ะ”
“อ้าว! แล้วไม่โทร.หาเค้าหน่อยเหรอ” ตั๊กแตนถาม
เกริกยิ้ม บอกด้วยเสียงขื่นขม “ฉันไม่นิยม โทร.หาเมียชาวบ้าน มีอะไรเดี๋ยวเค้าก็โทร.มาเอง”
น้ำเสียงของเกริกยามนี้ พูดเหมือนคนตัดใจได้ ไม่สนใจ สองป้ามองหน้ากันอย่างผิดหวัง จักจั่นกระซิบกระซาบอย่างเซ็ง
“ว้า! ไม่มีเรื่องตื่นเต้นเลย”

กรรณนรีครุ่นคิด ติดใจเรื่องแฉล้ม
“เราต้องรู้เรื่องคุณแฉล้มให้ได้”
สีหน้ากรรณนรีเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น ตัดสินใจแล้วที่จะลุย

ไม่นานต่อมากรรณนรีเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ สุดามองกรรณนรีตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเบ้ปากใส่
“ไม่มีใครต้อนรับแล้วยังจะมาอีก”
“ฉันจำเป็นต้องมา”
“ทำไม..อยากได้อะไรจากอริยะวรรต” สุดาเหยียดเย้ย
สรวงเดินลงมาจากชั้นบน เห็นสองคนทะเลาะกันอยู่ ชะงัก หยุดฟัง
“คุณให้คนไปทำร้ายคุณแฉล้มทำไม?” กรรณนรีถาม
สุดางงจริงๆ เพราะไม่รู้เรื่อง “อะไรของเธอ แฉล้มมันจะเป็นจะตายยังไง แล้วมาใส่ร้ายป้ายสีฉัน”
“เพราะที่ผ่านมาแผนการร้ายทุกอย่างก็มาจากคุณทั้งนั้น”
สุดาแผดเสียง “นังกรรณนรี”
สีหน้าสรวงตกใจสุดขีด สุดาเรียกชื่อกรรณนรีชัดเจน
“หรือไม่จริงคะ” กรรณนรีย้อนถาม
“ปากดีนักนะแก”
สุดาคำราม ตบสุดแรงสองฉาดติดกัน แรงจนกรรณนรีซวนเซล้มลงกับพื้น สุดาทำท่าจะเข้ามาตบอีก สรวงวิ่งลงมาร้องห้าม
“อย่าครับ! คุณแม่” สรวงเข้ามาประคองกรรณนรีที่ล้มอยู่ให้ลุกขึ้น
สุดากระชากสรวงออก “อย่ามายุ่งตาสรวง ไม่ได้ยินรึไง มันด่าแม่ๆๆๆ”
สุดาโผนเข้ามาตบกาวอีก แต่สรวงเอาตัวบังไว้ สุดาจึงฟาดถูกหลังสรวงอย่างจัง
สรวงร้อง “โอ๊ย!
“ตาสรวง” สุดาตกใจ ตวาดด่ากรรณนรี “เพราะแกกรรณรี เพราะแก” พร้อมกับจะพุ่งเข้าตบให้ได้
ถูกสรวงกันไว้ “รีบหนีไปเร็วเธอ”
“ต่อให้ฉันไป คุณหญิงก็ต้องรับรู้...คุณหญิงกำลังจะฆ่าคน”
กรรณนรีวิ่งออกไปเลย สรวงมองจ้องมารดาเขม็ง สุดาบอกเสียงจริงจัง ในท่าทีตกใจ
“ไม่นะ..ตาสรวง แม่ไม่รู้เรื่อง”
สรวงมองหน้าสุดา อย่างค้นหาความจริง ก่อนวิ่งตามกรรณนรีออกไป

สุดากรี๊ด แผดเสียงดังกึกก้อง “ตาสรวง”

ไฟมาร ตอนที่ 13 (ต่อ)

กรรณนรีจะวิ่งออกนอกรั้วบ้านอริยะวรรตแล้ว สรวงตามมากระชากแขนไว้ ตะคอกถาม

“บอกฉันมากรรณรี มันเรื่องอะไร”
“ได้...ถ้าคุณอยากรู้....ฉันจะบอก คุณแฉล้มถูกคนร้ายทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ตอนนี่ยังไม่รู้สึกตัวอยู่โรงพยาบาล”
สรวงสวนออกมาอย่างไม่พอใจ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแม่ฉัน”
“ไปถามแม่คุณเองแล้วกัน”
พูดจบกรรณนรีก็วิ่งหนี สรวงเครียด ไม่อยากจะเชื่อเลย แต่ได้ยินหลายครั้งจนเริ่มหวั่นใจ

คืนนั้นกรรณนรีวิ่งหนีมาตามทาง รู้สึกขัดใจตัวเอง ที่ยังทำอะไรสุดาไม่ได้สักที
“นี่เราทำอะไรคุณหญิงสุดาไม่ได้เลยเหรอ”

รุ่งเช้า สุดาเดินลงบันไดมา เห็นสรวงนั่งอยู่ในห้องโถง สุดาเอ่ยถาม
“อ้าว! ทำไมตื่นแต่เช้าจังลูก”
“ผมยังไม่ได้นอนครับ”
“ทำไมล่ะ”
“ผมสงสัยเรื่องกรรณนรี” สรวงบอก
คุณหญิงสุดาตกใจมองหน้าสรวง ก่อนเมินหลบไปทางอื่น สรวงมองสุดาถาม
น้ำเสียงสรวงจริงจังขณะพูด “เมื่อวานผมได้ยินแม่เรียกเค้า กรรณนรี”
สุดาหน้าซีด ใจเต้นไม่เป็นส่ำ สรวงบอกต่อ
“ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นแม่เรียกเค้าสุภาวีร์”
สุดาโวยวายกลบเกลื่อน “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ก็วันนั้นแม่เข้าไปที่สตาร์ อินเทรนด์ คน
ที่นั่นบอก ว่าจริงๆ แล้วแม่นั่นชื่อกรรณนรีโอ๊ย...เรื่องแค่นี้เอง สรวงจะมาสงสัยอะไร?” ทำท่าจะเดินไป
“ผมสงสัยครับ..เพราะผมรู้มา..ว่าลูกของคุณภาพิศชื่อกรรณนรี”
สุดาหันมามอง
สรวงย้อนถาม “คุณแม่รู้มั้ยครับ”
สุดาตีหน้าซื่อบอก “แม่ไม่รู้...” แล้วเดินหนี หน้าตาท่าทางส่อพิรุธเต็มๆ
สรวงไม่เชื่อแม่

สุดาเดินหลบมุมมายืนอยู่คนเดียว ท่าทางกลัดกลุ้มร้อนรนบ่นอยู่ในใจ
“แส่หาเรื่องดีนัก ประเดี๋ยวฉันก็ปล่อยคลิปส่งให้พ่อแกซะหรอก”
สุดาคิดถึงกรรณรีก็ยิ่งแค้นใจ

สรวงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในบริษัททำงานไปด้วย พลางคิดไปด้วย นึกถึงคำพูดกรรณนรีที่บอกให้ถามแม่ตัวเอง
สรวงกดโทรศัพท์เข้าเบอร์บ้าน แม่บ้านรับสาย สรวงถาม “คุณแม่อยู่บ้านหรือเปล่า” นิ่งฟัง “โอเค”
สรวงลุกพรวดเดินออกไปทันที

ไม่นานนักสรวงเดินเข้ามาบ้าน เจอแม่บ้านที่ยิ้มแย้มทักทาย
“วันนี้คุณสรวงกลับเร็ว”
สรวงทำท่าเอามือจุ๊ปากก่อนเดินเข้าไปข้างใน

สองนางมารคุยมือถือกันอยู่ สุขหฤทัยอยู่ในบ้านตัวเอง ถามสุดาออกมา
“จริงเหรอคะ สรวงถามคุณหญิงแม่อย่างนี้เลยเหรอคะ”
น้ำเสียงสุดาเป็นกังวล “ใช่...แม่ต้องแก้ตัวแทบตาย”
สรวงเดินเข้ามาที่ด้านหลัง แอบฟัง สุดาไม่รู้ตัวคุยกับสุขหฤทัยต่อ
“แต่ที่แม่สงสัย...สรวงถามแม่อย่างนั้นก็แปลว่า..สรวงรู้น่ะสิ ว่านังกรรณรีเป็นลูกของนังภาพิศ”

สีหน้าสรวงแน่วนิ่ง แน่ใจและชัดเจนแล้วว่าสุดารู้เรื่องกรรณนรีอย่างดี ชายหนุ่มตำหนิตัวเองที่พลาด ลืมนึกถึงเรื่องนี้

ด้านสุขหฤทัยคิดตามคำพูดสุดา
“จริงด้วยค่ะ สรวงต้องรู้แน่ๆ เลย ว่านังกรรณรีเป็นลูกนังภาพิศ
“แล้วสรวงปิดเราทำไม” สุดาตั้งข้อสังเกต
“คุณหญิงแม่ก็ถามเลยสิคะ” สุขหฤทัยบอก
“ถ้าแม่ถาม....สรวงก็ต้องรู้สิว่าแม่รู้เรื่องนังกรรณรี นังภาพิศน่ะ... ฤทัยเนี่ยพูดอะไรไม่คิดเลย แทนที่จะช่วยทำให้แม่สบายใจ กลับทำให้แม่กลุ้มใจ ฮึ้ย!”
สุดาด่าเสร็จก็วางสายอย่างขัดใจ
สุขหฤทัยเหวอ อึ้ง มองมือถือด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง
“อะไร พูดไม่ถูกใจก็โกรธ โอ๊ย! ขืนเข้าไปเป็นสะใภ้จริงๆ ฉันจะไม่ประสาทตายเหรอเนี่ย”

สุขหฤทัยฟึดฟัด หน้างอง้ำด้วยความหงุดหงิด

สุดาทั้งเครียดและกังวล ถอนหายใจเฮือกๆ...บ่นงึมงำ

“สรวงทำอะไรของสรวงเนี่ย”
ส่วนด้านหลัง สรวงมองสุดาอยู่ หน้าตาครุ่นคิด และมั่นใจมากขึ้น สรวงพูดอยู่ในใจ
“คุณแม่ต้องมีส่วนรู้เห็นอย่างที่กรรณรีบอกแน่”
สรวงเดินออกมาหน้าตึกใหญ่ โทร.หากรรณนรี แต่สัญญาณสายไม่ว่าง
“มัวแต่คุยกับใคร”
สรวงขัดใจยิ่งนัก กดมือถือใหม่

เวลานั้นกรรณนรีเดินออกจากบ้านคุยโทรศัพท์กับกาวินทร์ไปด้วย
“เออ..พี่แก้ว ตะกี้กาวลืมบอก กาวจะไปโรงพยาบาลเฝ้าคุณแฉล้ม วันนี้พี่แก้วอย่า
ไปไหน อยู่เป็นเพื่อนพ่อแล้วกัน แค่นี้นะ มีสายเข้า”
กรรณนรีวางสายจากพี่ชาย มองมือถือ เห็นเป็นเบอร์สรวงโทร.มา
“คุณสรวง...” กรรณนรีนิ่งคิดก่อนรับสาย “มีอะไรคะ”
สรวงพูดประชดด้วยอารมณ์หึงล้วนๆ “มัวแต่คุยสายกับใคร ถึงไม่ยอมรับสาย”
กรรณนรีฉุน “คุยกับใครก็ไม่ใช่เรื่องของคุณ...รู้แค่ว่า ฉันไม่อยากคุยกับคุณเพราะมันไม่มีประโยชน์”
“ใจเย็นก่อนสิเธอ ฉันอยากคุยเรื่องแม่กับเธอจริงๆ”
กรรณนรีรู้สึกหนักใจ “อย่างที่คุณเคยบอกฉันล่ะค่ะ ต้องมีหลักฐานคุณถึงจะเชื่อ...หลักฐานมันหาไม่ยากหรอก...คุณหาเองแล้วกัน” กดวางสายทันที
“กรรณรีๆๆ” สรวงขัดใจ กดโทร.จิกอีก “คุยยังไม่รู้เรื่องเลย จะปิดมือถือทำไม แล้วจะหาได้
ยังไงหลักฐาน”
กรรณนรีกลัดกลุ้มและไม่สบายใจมาก บอกกับตัวเองในใจ ขณะเดินไปตามทาง

“การกระทำทุกอย่างของแม่คุณมันคือหลักฐาน ซักวันคุณต้องได้เห็นเอง”

ขณะเดียวกันภาพิศเดินตรงมาที่รถ ในมือกำสร้อยแน่นท่าทางเร่งรีบร้อนรนเหลือแสน
“โลกต้องไม่โหดร้ายกับฉันขนาดนั้น”
ภาพิศพึมพำ ใจเต้นระรัว กลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่คิดจะเป็นจริง ภาพิศกดมือถือหาเกริก ทว่าโทรศัพท์ของเกริกวางอยู่ในห้องนอนกรีดเสียงดังก้อง โดยไม่มีคนรับสาย และเกริกไม่ได้อยู่ในห้องนั้น
สีหน้าภาพิศยิ่งสับสนและว้าวุ่นหนัก

ทางด้านสุขหฤทัยนั่งหน้าหงิกอยู่ที่บ้าน เบื่อ เซ็งไปหมด
“โอ๊ย! เบื่อ” สาวแสบคว้ามือถือมากดไล่ดูชื่อ “โทร.หาใครดีเนี่ย”
สุขหฤทัยไล่ชื่อที่เม็มไว้ทีละคน แล้วมาหยุดที่ชื่อของกาวินทร์ สีหน้าครุ่นคิด แววตาหวามไหว และอ่อนลง

เวลานั้น มาลินีเดินหิ้วตะกร้าขนมและของกินประดามีเข้าไปในบ้าน เกริกเห็นก็เอ่ยทัก
“อ้าว!มด...ไม่มานานเลย”
“มดยุ่งๆ น่ะค่ะ แต่วันนี้ทดลองทำขนมสูตรใหม่เลยเอามาให้คุณลุงชิม”
เกริกมองดูขนม “น่าทานมากเลย ขอบใจจ้ะ เดี๋ยวลุงเอาไปจัดใส่จานก่อน”
เกริกเดินเข้าไปด้านในครัว กาวินทร์เดินออกมาเห็นมาลีนีก็ยิ้มอย่างดีใจ
“พี่นึกว่ามดจะไม่มาที่นี่แล้วซะอีก”
“มดเอาขนมมาฝากคุณลุง กับกาวค่ะ ไม่ได้มาหาพี่แก้ว” มาลินีบอก
กาวินทร์เย้า “จะมาหาพี่บ้าง พี่ก็ไม่ว่าหรอก” น้ำเสียงอ่อนโยนแต่จริงจัง “พี่อยากให้มดมา”
มาลินีมองแก้ว เริ่มจะใจอ่อนอีก เสียงมือถือดัง กาวินทร์รับมาดู สีหน้าเครียดเคร่ง
“พี่รับโทรศัพท์ก่อนนะ”
กาวินทร์เดินออกไป มาลินีมองตามด้วยความสงสัย

สักครู่หนึ่งกาวินทร์เดินออกไปทางหลังบ้าน ปรับสีหน้าข่มอารมณ์ก่อนรับสาย
“ครับคุณฤทัย” มาลินีเดินมาได้ยิน จึงหยุดยืนนิ่งฟังด้วยความอยากรู้
สุขหฤทัยอยู่ที่บ้าน นั่งอมยิ้มขณะคุยสาย และทำฟอร์มถากถางเช่นเคย
“ที่ฉันโทร.มาก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ..แค่เห็นนายหายไป เลยอยากรู้ว่าตายรึยัง? ถ้าตายจะได้ช่วยค่าทำศพ”
แววตากาวินทร์กร้าวและดุดันขึ้นมาด้วยความโกรธ แต่ปากพูดคำหวานซึ้ง
“ผมยังตายไม่ได้หรอกครับ...ถ้าคุณยังไม่ใจอ่อน ยอมรับรักผม ผมอยากพบคุณ คุณออกมาพบผมได้มั้ย”

มาลินีหน้าเสียหนัก เสียใจยิ่งนัก จึงตัดสินใจเดินออกไป

สุขหฤทัยยิ้มกริ่มแต่แกล้งทำทีเป็นไม่แยแส
“ไม่...ฉันไม่อยากเจอนาย ที่โทร.มาเพราะอยากรู้ นายตายรึยังเท่านั้นล่ะ”

สุขหฤทัยวางสายอย่างมีความสุข ขณะที่กาวินทร์เหยียดยิ้ม มั่นใจว่าสาวไฮโซตัวแสบกำลังตกหลุมพรางที่ตัวเองขุดล่อ

กาวินทร์เดินกลับเข้าไปด้านในบ้าน เห็นเกริกถือจานขนมออกมา กาวินทร์เดินตรงเข้าไปถาม

“อ้าว! มดล่ะพ่อ?”
“สงสัยกลับไปแล้วมั้ง...เลยไม่ได้คุยกันเลย” เกริกหยิบขนมมาทาน “มดทำขนมอร่อยเหมือนเดิม ชิมสิ”
กาวินทร์รับจานขนมมา ใบหน้าหม่นลง เพ่งมองไปที่หน้าบ้าน มาลินีก็ไม่อยู่ตรงนั้น

มาลินีทนฟังไม่ไหว และทำใจกับเรื่องที่ได้ยินไม่ได้ จึงหนีออกมาโดยไม่ได้บอกกล่าวร่ำลา และมานั่งทานข้าวเย็นกับภรตสองต่อสอง ที่ริมน้ำสวยแห่งนั้น
สองคนนั่งทานข้าวด้วยกันอย่างเงียบและเรียบง่าย มาลินียิ้มบอกภรต แต่เป็นรอยยิ้มแสนเศร้าหมอง และมาลินีนั้นปักใจเชื่อว่ากาวินทร์จะชอบสุขหฤทัยจริงๆ จึงปรารภกับภรต

“สงสัยพี่แก้วจะชอบคุณฤทัยจริงๆ”
ภรตทักท้วง “เหรอ?..พี่ว่าน่าจะแค่หลงรูปมากกว่านะ...” พูดไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดจะให้กำลังใจมาลินี “อย่างแก้วน่าจะชอบผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน ใจเย็นๆ”
“แต่พี่แก้วชอบคุณฤทัยจริงๆ ค่ะ”
ภรตหันหน้ามามองมาลินี “ทำไมมดคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ก็...มดได้ยินกับหูน่ะสิคะ ท่าทางพี่แก้ว แคร์คุณฤทัยมากด้วย” ภรตมองอย่างสงสาร มาลินียิ้ม “มดไม่เป็นไรค่ะ....ก็ดี..ได้ยินชัดๆ จะได้รู้..จะได้ไม่มานั่งหวังลมๆ แล้งๆ อีก” มาลินีตักอาหารให้ภรต “ทานเยอะๆค่ะพี่ภรต ไม่หมดมดเสียใจแน่เลย”

ภรตมองมาลินี ทั้งสงสารและเห็นใจ

ตอนเย็นวันต่อมา ภาพิศมาเยี่ยมแฉล้มที่ยังคงไม่ฟื้น และกำลังยืนหันหลังกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทางยืนไม่ติดฟื้น ร้อนรุ่มในใจ

แฉล้มฟื้นตื่นขึ้นมาอีก สิ่งแรกที่ทำได้คือส่งเสียงครางออกมาอย่างเจ็บปวก ภาพิศเหลียวขวับ เดินมาหา
“คุณแฉล้ม”
แฉล้มหันมามองภาพิศท่าทางดีขึ้น “คุณ...” รีบบอกท่าทีร้อนใจ “นี่คุณรู้เรื่องรึยัง”
ภาพิศถามรัวเร็ว ตื่นเต้น พูดแทบไม่เป็นภาษา “เรื่องเด็กคนนั้นใช่มั้ย”
“ใช่!! เด็กคนนั้น ศุภาวีร์” น้ำเสียงแฉล้มรัวเร็วตื่นเต้นสุดขีด “ศุภาวีร์เป็นลูกคุณ”
ดวงหน้าของภาพิศซีดเผือด ถามเสียงรัวเร็วน้ำตาคลอ สติแตกแทบจะเป็นบ้า
“คุณอย่าล้อฉันเล่นนะ”
“ฉันพูดจริง เด็กคนนั้น ศุภาวีร์เป็นลูกคุณ ฉันไปที่บ้านเก่าคุณ เห็นทั้งเด็กคนนั้น ทั้งพี่เกริก...”

ภาพิศใจจะขาดเสียให้ได้ ฟังไม่ทันจบคำ ก็ร้องไห้วิ่งเตลิดออกนอกห้องไปทันที แฉล้มพยุงกายขึ้น ปลดสายน้ำเกลือออกลุกจากเตียง แล้ววิ่งตามด้วยความห่วงใย

ไฟมาร ตอนที่ 13 (ต่อ)

เย็นนั้นสรวงอยู่ที่บ้านในอาการร้อนรนกระวนกระวาย เสียงของกรรณนรีที่เตือนเรื่องคุณหญิงสุดาผู้เป็นมารดาเมื่อวันก่อนติดค้างในใจดังก้องอยู่ในหัว

“การกระทำทุกอย่างของแม่คุณมันคือหลักฐาน ซักวันคุณต้องได้เห็นเอง”
“ไม่..แม่ต้องไม่ทำอะไรอย่างนั้น”
ปากว่าแต่สายตาคลางแคลงยิ่งนัก

ขณะเดียวกันสุดากำลังโทรศัพท์คุยกับร้านกำจัดปลวกอยู่ หน้าตาเข้มเคร่ง น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตามนิสัยชอบวางอำนาจ
“ปลวกมันแทะบ้านฉันจนจะหมดหลังอยู่ คุณต้องมาจัดการให้ฉันเร็วที่สุด” นิ่งฟัง แล้วชักสีหน้าไม่พอใจ ถามเสียงเข้ม “อะไรนะไม่ว่าง....” ฟังต่อ
สรวงเดินเข้ามา ตั้งใจจับผิดสุดา ได้ยินเสียงสุดาฟังดูโหดเหี้ยม
“ไม่ได้! ฉันเกลียดมัน ฉันอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับมันไม่ได้ คุณต้องฆ่ามันให้เร็วที่สุด” จากนั้นก็วางสายอย่างฉุนเฉียว
สรวงเข้าใจผิด ถามออกไป “ทำไมคุณแม่เป็นคนใจร้ายแบบนี้ สั่งคนมาฆ่าใครอีก”
สุดาหัวเราะขำ “อะไรกันสรวง แม่ใจร้ายอะไร แม่ก็แค่สั่งคนมาฆ่าปลวก”
สรวงเยาะไม่เชื่อ “ปลวก”
“ก็ใช่น่ะสิ... พรรณีมาบอกว่าปลวกขึ้นพวกบิลด์อิน แม่เดินเช็กรอบบ้าน โอ้โห! พวกปลวกมันล่อแทบหมดบ้านเลย”
“คุณแม่คิดว่าผมเชื่อเหรอครับ”
สุดางุนงง สรวงเอาจริง สรวงไม่เชื่อ ต่อว่าสุดาอีก ด้วยน้ำเสียงเข้ม
“ผมไม่เชื่อ และผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคุณแม่คิดอะไรอยู่...ถึงได้คิดทำร้ายคนนั้นคนนี้ไม่มีที่สุดสิ้น แม่โกหกผม หลอกใช้ผม แม่ทำยังกับผมเป็นคนโง่”
สุดาเสียใจ “ทำไมสรวงมองแม่ในแง่ร้ายอย่างนั้นล่ะลูก”
“เพราะคุณแม่ทำให้ผมเห็นครับ แม่ทำให้ผมเห็น”
สุดาตกใจมาก “สรวง”
“งั้นแม่ก็ตอบผมมาเรื่องกรรณนรี”
สุดาจ้องหน้าสรวง สรวงก็มองสุดา สองแม่ลูกสู้สายตากัน พรรณี แม่บ้านเข้ามาเห็นตกใจ จะถอย
“ประทานโทษค่ะ”
“มีอะไรว่ามา”
“ดิฉันเจอปลวกอีกแล้วค่ะ คราวนี้อยู่ในห้องรับแขก”
“ฉันตามคนมาฆ่ามันอยู่...รอก่อน”
“ค่ะๆ” แม่บ้านเดินออกไป
สรวงมองตามแม่บ้าน ชักงง เสียงมือถือของสุดาดัง สุดายื่นให้สรวง
“ไม่เชื่อแม่...สรวงก็รับดูสิ”
สรวงค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับมือถือ กดรับสาย ทันทีที่รับเสียงปลายสายก็ดังเข้ามา
“ขอโทษครับคุณหญิง ตะกี้ผมลืม ที่จะให้ไปกำจัดปลวก บ้านคุณหญิงอยู่ไหนครับ” สุดากับสรวงมองหน้ากัน เสียงคนในสายตะโกนลั่น “คุณหญิงๆ”
สุดาหยิบมือถือมากดปิดมองสรวงเสียใจ “แม่เสียใจ ที่สรวงเชื่อคนอื่นมากกว่าแม่ จนมองแม่ เป็นคนใจร้ายใจดำ ทั้งๆ ที่ผ่านมา คนที่ถูกกระทำ คือแม่
สุดาเดินไปอย่างฉุนเฉียว ทั้งโกรธ และน้อยใจ ขณะที่สรวงหน้าสลดลงด้วยความเสียใจ

ภาพิศขับรถมาตามทาง ตาปวมช้ำเพราะร้องไห้มาตลอดทาง ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ภาพเหตุการณ์ความหลังระหว่างกรรณนรีกับตัวเอง ผุดขึ้นมาราวกับสายน้ำไหล
ตั้งแต่กรรณนรีมาหาครั้งแรกที่คฤหาสน์ เห็นขนมเค้กที่นำออกมาให้ทาน กรรณนรีก็ร้องไห้ออกมา ทุกคำพูดของกรรณนรีหลายๆ คำล้วนกระแทกใจแต่ตนกลับไม่สำเหนียก
ภาพิศทำร้ายกรรณนรีต่างๆ นาๆ จนล่าสุดถึงกับวางแผนฆ่าให้ตาย
ยิ่งคิดภาพิศสุดแสนจะเสียใจ
ภาพิศไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง แฉล้มซึ่งเปลี่ยนชุดคนไข้แล้ว หอบสังขารอันแสนจะทรุดโทรม อ่อนล้านั่งแท็กซี่ตามมาด้วยความเป็นห่วง
เกินจะรับได้ ภาพิศตะโกนก้องรถ ไม่อยากให้เรื่องเลวร้ายเหล่านี้เป็นความจริง
“ไม่...มันต้องไม่จริง มันต้องไม่จริง”
สร้อยในมือหล่นร่วงไปอยู่ที่เท้าของภาพิศภายในรถ

เย็นนั้นสามพ่อลูกอยู่ภายในบ้าน นั่งทานข้าว ทานขนมกัน กรรณนรีเอ่ยขึ้น
“พี่มดทำขนมอร่อยขึ้นทุกวันเลยนะคะ”
“ฮื่อ! เสียดาย ไม่รู้มีอะไร มดรีบกลับ ไม่ได้คุยกัน” เกริกบอกโดยไม่คิดอะไร
“พี่แก้วทำอะไรให้พี่มดเสียใจรึเปล่า” กรรณนรีดักคอพี่ชาย
กาวินทร์งง “เปล่า...พี่ไม่ได้ทำ เดินเข้ามายังงอยู่เลย มดหายไปไหน”
“แล้วแฉล้มอาการเป็นไงมั่งลูก” เกริกถามถึงแฉล้มขึ้นมา
“กาวไม่ได้ไปค่ะ”
เกริกฉงน “อ้าว! ทำไมล่ะ”
“พอดีโทร.เข้าไปแล้วเจ้าหน้าที่ บอกว่าแม่ไปเฝ้าแล้วค่ะ” กรรณนรีบอก
เกริกได้ฟังก็เงียบกริบ สองพี่น้องมองหน้ากัน กาวินทร์รีบเปลี่ยนเรื่อง พูดกลบเกลื่อน
“วันนี้พ่อทำกับข้าวอร่อยมาก กินเยอะๆ นะพ่อ กินเยอะๆ กาว”
กาวินทร์เอาอกเอาใจ ตักอาหารให้พ่อให้น้อง กรรณนรีก็ร่วมด้วย รีบตักอาหารให้พ่อกับพี่ชายจนเกริกหัวเราะ
“ขุนพ่อกันขนาดนี้ งั้นเราสองคนก็ต้องกิน”
เกริกตักอาหารให้ลูกสองคน กลายเป็นว่าทุกคนแข่งกันตักข้าวตักอาหารยกใหญ่ พร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข
โดยไม่รู้ว่าที่บริเวณหน้าบ้านยามนั้น ภาพิศจับประตูรั้วแอบมองอยู่ ขอบตาร้อนผ่าว มือไม้สั่นไปหมด ยิ่งมองเห็นแต่ความรักความอบอุ่น ภาพิศยิ่งร้องไห้หนักด้วยความสะเทือนใจ
“ลูกแม่....ลูกแม่จริงๆ”
ภาพิศมองไปยังกาวินทร์...กับเกริก ก็ยิ่งเจ็บปวดเสียใจ
ระหว่างนั้นแฉล้มตามมาทางด้านหลัง เดินเข้ามา กอดภาพิศร้องไห้ ในจังหวะเดียวกันทีด้านหลังสองคน ผัวเมียคู่หนึ่งไล่ตีกันมา ฝ่ายผัววิ่งหนีจุกตูด  ส่วนเมียวิ่งไล่ตีไม่ลดละ
ปากยัยเมียร้องลั่น “หยุดเลยนะไอ้แก่ แก่ป่านนี้ยังมีเมียน้อยอีก หยุดๆๆๆ”

ภาพิศกับแฉล้มหันไปมอง เห็นผัวเมียไล่ตีกันมา พร้อมๆ กับไทยมุงที่เริ่มโผล่หน้าออกมาประสาหมู่มวลผู้ถือคติ...เรื่องของเขาเราต้องเกี่ยว

เช่นเดียวกับที่ด้านในบ้าน เกริกเหลียวขวับมองออกมา เห็นเหมือนภาพิศยืนอยู่ แต่ในมุมที่ไม่ชัด ทำให้เกิดความลังเลสงสัย เกริกลุกพรวดขึ้น

“อะไรพ่อ” กรรณนรีแปลกใจ
“ลุงศักดิ์กับน้าแก้วตีกันตามเคย ไม่มีอะไรหรอก” กาวินทร์ว่า
เกริกไม่ได้สนใจฟังลูกสองคน เดินออกมา กรรณนรีกับกาวินทร์ตามมา
ภาพิศเห็นสามคนกำลังออกมา กันตัวกลับแล้ววิ่งหนีออกไปแบบทำใจไม่ได้ แฉล้มวิ่งตาม

เกริก เดินแกมวิ่งออกมา พร้อมกาวินทร์ กับกรรณนรี เกริกมีท่าทีร้อนใจ กวาดสายตามองหาภาพิศ ในหมู่ไทยมุง แต่ก็ไม่เห็น ระหว่างนั้นสองป้าขาเมาท์ก็เดินปรี่เข้ามาหา
ตั๊กแตนถามขึ้นอย่างจับกิริยา “มองอะไรพ่อเกริก”
จักจั่นเสริมก่อนเกริกจะตอบ “ไม่มีอะไรหรอก ตาศักดิ์กับยัยแก้ว ตีกันเหมื้อนเดิม อยู่กันไม่ได้ก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม”
“ฉันว่ารักกันมากต่างหาก ถึงขาดกันไม่ได้” ตั๊กแตนพูดท่าทีขำๆ “เช้าตี เย็นต่อย สนุกจะตาย”
เกริกกวาดตามองหาภาพิศ แต่ปากตอบออกไป “น่าเบื่อ วุ่นวาย”
“สังคมทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้แหละ เดี๋ยวก็ข่าวนั่นข่าวนี่ อาทิตย์ก่อนเมียเป็นโรคจิตฆ่าหั่นศพผัว บรื๋อน่ากลัว” จักจั่นทำท่าสยอง ขนลุกขนพอง
“น่ากลัวจริงๆ กาว...อย่าถอดสร้อยที่พ่อให้นะลูก เข้าใจมั้ย” เกริกกำชับ
“ค่ะ” กรรณนรีรับคำ
“ค่ะ...แล้วถอดทำไม” เกริกถามเมื่อมองที่คอไม่เห็นสร้อย
กรรณนรีตะปบที่คอรู้ทันทีว่าสร้อยหาย ใจหายวูบ เกริก กาวินทร์มอง กรรณนรีรีบแก้ตัว
“เอ่อ..กาวถอดเก็บไว้ตอนอาบน่ะพ่อ”
“รีบไปใส่ซะ สร้อยศักดิ์สิทธิ์แม่ให้พ่อมา”
“ค่ะ”
ทุกคนแยกย้ายสลายโต๋ กรรณนรีหน้าเครียด ที่สร้อยหล่นหายไปโดยไม่รู้ตัว

ภาพิศวิ่งร้องไห้เข้ามาในบ้าน แฉล้มวิ่งตามมา ภาพิศทุ่มตัวลงบนเตียงร้องไห้คร่ำครวญปิ่มว่าจะขาดใจ
“ไม่..ไม่..ไม่จริง” ภาพิศกำมือทุบตีหมอน กรี๊ดร้อง ระบายความเจ็บปวดในใจ
แฉล้มวิ่งตามมา พยายามห้ามด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่ตัวเองก็ย่ำแย่
“คุณ..ใจเย็นๆ ก่อนคุณ”
ภาพิศแหวใส่ “คุณจะให้ฉันเย็นได้ยังไง ที่ผ่านมาฉันจะฆ่าลูกตัวเองนะคุณแฉล้ม” ภาพิศกรีด
เสียงร้องโหยหวน “ฉันจะฆ่าลูกตัวเอง” ฟูมฟายขึ้นมา และเริ่มอาละวาด ขว้างปาข้าวของในห้องอีก
แฉล้มห้าม กอดภาพิศเอาไว้ “ก็คุณไม่รู้นี่...”
“ก็แล้วทำไมฉันถึงได้โง่ขนาดนั้น..ที่โง่ๆๆๆๆ” ภาพิศแทบอยากจะกลั้นใจตาย “ที่ผ่านมา
ทำไมฉันไม่เคยฉุกคิด ทั้งๆ ที่กาวทำดีกับฉันมาตลอด”
ภาพิศมองหน้าแฉล้มร้องไห้คร่ำครวญ อย่างน่าเวทนา
“คุณรู้มั้ย ฉันอยากเข้าไปกอด อยากเข้าไปจูบ อยากเข้าไปขอโทษลูก แต่ฉันก็ละอาย ละอายที่จะหน้าด้านเดินเข้าไป...ที่ผ่านมาฉันไม่ได้เลี้ยงดูเค้าไม่พอ แต่ฉัน..ฉันยังจะฆ่าเค้าอีก”
แฉล้มปลอบ “แต่คุณอธิบายให้เค้าฟังได้นี่…”
“ใช่..ฉันอธิบายได้...แต่ลูกฉันจะคิดยังไง? พี่เกริก...พี่เกริกจะว่ายังไง ถ้าลูกที่แสนรักเป็นเมียน้อย...เมียน้อยของท่านอารักษ์...ผู้ชายที่พรากฉันไปจากพี่เกริก”
“แล้วคุณจะปล่อยให้ลูกคุณตกอยู่ในสภาพนี้น่ะเหรอ?”
ภาพิศเสียงสั่น “ไม่..ไม่มีวัน ฉันไม่มีวันปล่อยให้ลูกมัวหมองอย่างเด็ดขาด ไม่มีวัน...”
ภาพิศกรี๊ดร้องออกมาสุดเสียงก่อนหมดสติไป แฉล้มร้องเรียก
“คุณภาพิศๆๆ” แฉล้มตกใจตะโกนลั่นบ้าน “น้อย..เรียกหมอมาเร็ว น้อย”
น้อยชะโงกหน้าเข้ามาให้อง “ค่า” แล้ววิ่งออกไป
แฉล้มมองอย่างเวทนา...ลูบเนื้อลูบตัวภาพิศ “โธ่เอ๊ยย...นี่ฉันเป็นคนนำไฟให้คุณหรือนี่” แฉล้มครางมองภาพิศรู้สึกผิดเหลือเกิน

คืนนั้นเกริกเดินเข้ามาในห้อง ท่าทางครุ่นคิด ตอนที่เห็นหน้าภาพิศ
“เราไม่น่าจะตาฝาด” เกริกส่ายหน้าสลัดความคิด หยิบมือถือบนเตียง เห็นมิสคอลค้างอยู่หน้าจอ “ใครโทร.มา” กดดูเห็นเป็นเบอร์ภาพิศ “ถ้าอย่างนั้นเราไม่ได้ตาฝาดแน่ นุดีมาที่นี่”

ส่วนภาพิศนอนน้ำตาไหลอยู่ในห้องนอน ในมือถือสร้อยเอาไว้ น้ำตาริน แฉล้มเดินเอานมมาให้
“โชคดีนะ ที่เด็กในท้องไม่เป็นอะไร” แฉล้มบอกอย่างโล่งอก
ภาพิศลูบท้องเบาๆ “ถ้าเป็น..ฉันคงบาปยิ่งกว่าเดิม...”
แฉล้มวางแก้วนมลง แต่ภาพิศไม่กิน “อย่าคิดในทางที่จะทำให้ตัวเองแย่ไปกว่าเดิมสิ มันไม่มีประโยชน์ คุณต้องคิดไปข้างหน้า ในเมื่อคุณเลือกที่จะไม่บอกความจริงกับลูก คุณจะทำยังไงต่อไป”
“ฉันจะสืบหาความจริง”
“ความจริง” แฉล้มฉงน
“มันต้องมีเหตุผลอะไรที่ทำให้กาวต้องเอาตัวเองมาพัวพันกับท่านอารักษ์ แล้วยิ่งฉันประติดประต่อเรื่องทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ฉันยิ่งรู้สึกว่ามันมีเงื่อนงำ”
แฉล้มครุ่นคิดตาม “คุณหมายความว่า...”
ภาพิศตาวาววับโกรธแค้นสุดาขึ้นมา “คุณหญิงสุดา ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่”
“ก็ไปถามลูกคุณเลยสิ...”
“คุณคิดว่ากาวลงทุนทำขนาดนั้นแล้ว...กาวจะบอกง่ายๆ เหรอ ไม่มีทาง..หรือต่อให้กาวบอกว่าทุกอย่างมาจากคุณหญิงสุดาจริงๆ...ลูกจะให้ฉันทำผิด ทำชั่วด้วยการไปกระชากหัวนังคุณหญิงสุดามาตบเหรอ? ถึงฉันจะไม่ได้เลี้ยงดูลูกมา...แต่ฉันก็รู้ดี..ลูกไม่มีทางปล่อยให้ฉันทำอย่างนั้นแน่”
แฉล้มเตือนสติ “คุณต้องใจเย็นๆ”
“ใช่! ฉันต้องใจเย็นๆ แกล้งโง่อีกครั้งแล้วก็ค้นหาเรื่องทุกอย่างเอง แล้วถ้าคุณหญิงสุดา อยู่เบื้องหลังอย่างที่เราคิด ฉันจะเอาคืนมันให้แสบสันต์ที่สุด”

ภาพิศคำราม ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้นสุดา

เช้าวันรุ่งขึ้น สรวงเดินลงบันไดมาที่ห้องโถง เจอสุดาที่นั่งหน้าบูดบึ้ง เพราะน้อยใจเรื่องถูกลูกชายด่าว่าเมื่อวาน สรวงใจไม่ดีรีบตรงเข้าไปขอโทษ

“คุณแม่..ผมขอโทษ”
“ขอโทษตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร? ในเมื่อสรวงเชื่อคนอื่นไปแล้ว สรวงด่าแม่”
สรวงอึดอัดลำบากใจ สุดาถามเสียงเครือ
“ด่า...ทั้งๆ ที่แม่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย...ใช่! แม่อาจจะเคยทำความผิด แต่มันก็เป็นเพราะแม่ทำเพื่อปกป้องครอบครัว...แม่ถามจริงๆ แม่ผิดเหรอ?...แม่เสียใจ...เมื่อก่อนสรวงก็เคยอยู่ข้างแม่ แต่ตอนนี้สรวงจับผิดแม่...มันเกิดอะไรขึ้นสรวง มันเกิดอะไร”
สุดาร้องไห้ฟูมฟายแล้วเดินหนีไป
สรวงเดินตามพูดง้อ “ผมยังอยู่ข้างแม่เหมือนเดิม”
“แต่สิ่งที่สรวงทำมันไม่ใช่...” น้ำเสียงสุดาเริ่มแผ่วลง “ส่วนเรื่องกรรณนรี แม่ผิดเหรอที่ไม่อยากจดจำ แม่อยากลืมทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับภาพิศ...แม่กับเค้าจะได้อยู่กันอย่างสนิทใจ แม่ผิดเหรอที่แม่จะบอกว่าไม่รู้จักกรรณนรี”
สุดาพูดโกหก แล้วเดินหนีไป สรวงได้แต่กลัดกลุ้ม เสียใจ ตะโกนไล่ตามหลัง
“คุณแม่ไม่ผิดครับ ผมเองนี่ล่ะผิด ผมขอโทษ..ต่อไปผมจะตามใจคุณแม่ ผมจะไม่ขัดใจ ผมจะไม่ทำให้คุณแม่เสียใจ”
สุดาได้ยินก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ แต่ไม่ยอมหยุด แกล้งงอนต่อเดินหนีไป

ทางด้านกรรณนรีอยู่ที่บ้าน ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ตบตีกับภาพิศ และมั่นใจว่าสร้อยต้องหล่นตอนนั้นแน่
“สร้อยต้องหล่นตอนนั้นแน่ๆ”
กรรณนรีกลุ้มใจ

ห้วงเวลาเดียวกันภาพิศหยิบเอาสร้อยขึ้นมาดูร้องไห้ฟูมฟายออกมาอีก ดวงตาเต็มไปด้วยความขุ่นข้อง ครุ่นคิดถึงคำพูดสุดาเป็นฉากๆ
ตอนที่สุดาด่ากรรณนรีและบอกว่าอยากรู้ว่าแม่มันเป็นยังไงก็ให้ไปส่องกระจกดู สุดาด่าย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่า แม่กรรณนรีต้องเป็นคนเลว
เมื่อประมวลเหตุการณ์แล้วสีหน้าแววตาภาพิศยิ่งมั่นใจ..พูดกับตัวเองในใจ
“เรื่องทั้งหมดคุณหญิงสุดาต้องเกี่ยวแน่ๆ”

สรวงนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน แต่ใจไม่อยู่กับงานเอาเสียเลย ครุ่นคิดติดใจแต่เรื่องสุดา และกรรณนรี เพราะสองคนพูดไม่เหมือนกัน หนังคนละม้วน
“แล้วจะเชื่อใคร”
สีหน้าสรวงเครียดหนัก

ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง สุขฤทัยประจบเอาใจสุดา หลังฟังเรื่องราวจบ
“โอ้โห! ดราม่าหนักมาก ฤทัยอยากเห็นภาพตอนนั้นจริงๆ สรวงเชื่อคุณหญิงแม่สนิทใจเลยใช่มั้ยคะ”
สุดายิ้มสะใจ “ใช่ แต่พูดไปแล้ว อยากตบนังกรรณนรีจริงๆ ก่อนไปยังอุตส่าห์วางยาแม่อีก”
“ตบเลยค่ะฤทัยช่วย...จะตบมันให้น่วมเหมือนตบวอลเล่ย์บอลเลย เกลียดนักหน้าจืดๆ มาทำเป็นเชิดหน้า คงคิดว่าตัวเองสวยตายล่ะ ทั้งๆ ที่ความจริงอาซิ้มลืมแต่งหน้าชัดๆ”
“แม่ก็เกลียดมัน เกลียดทั้งแม่ทั้งลูก....แต่ยิ่งเกลียดมันเท่าไหร่ แม่ก็ยิ่งปลื้มใจฤทัยมากขึ้นเท่านั้น”
สุขหฤทัยยิ้ม สุดามองมาอย่างซาบซึ้งใจจริงๆ
“ขอบใจมากนะฤทัยที่อยู่เคียงข้างแม่ตลอด ถึงเวลาที่แม่จะตบรางวัลให้ฤทัยแล้ว”
“คุณแม่จะให้เพชรหรือกระเป๋าฤทัยเหรอคะ”
“มากกว่านั้นอีก....เพราะแม่จะให้หนูเป็นสะใภ้อริยะวรรต”
สุขหฤทัยหน้าเจื่อนลงไปนิด เพราะตอนนี้ลังเลสับสน เพราะเริ่มมีใจให้กาวินทร์ แต่สุดาเข้าใจผิด
“ไม่ต้องห่วงนะลูก...แม่จะคุยกับตาสรวงเอง...”

ที่สรวงนั่งทำงานอยู่ในห้อง ถามสุดาหน้าเครียดเสียงดังตกใจ
“อะไรนะครับ..แม่จะให้ผมแต่งงานกับฤทัย”
สุดายิ้มไม่รู้สึกรู้สา “ก็มันถึงเวลาแล้วนี่ลูก”
สรวงฉุนกึก แต่พยายามข่มความรู้สึก “ผมไม่ใช่เด็กนะครับคุณแม่ ที่ 6 โมงจะต้องตื่น 7 โมงจะต้องกินข้าว 8 โมงจะต้องไปโรงเรียน ผมโตแล้ว..แล้วเรื่องแต่งงานก็เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต ผมตัดสินใจเองได้ ว่าผมจะแต่งงานเมื่อไหร่”
“งั้นสรวงก็ตัดสินใจซักทีสิ ในเมื่อลูกก็รู้จักกับฤทัยมาแล้วตั้งนาน”
สรวงพูดด้วยคำพูดหนักแน่น และผ่อนเสียงลงไม่ดังเหมือนเดิม “ครับ...ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะไม่แต่งงานกับฤทัย” จากนั้นสรวงก็เดินหนีไป
“ตาสรวง” สุดาได้แต่ร้องเรียกอย่างขัดใจ “ไหนบอกว่าจะตามใจแม่ ไม่ขัดใจแม่ แล้วทำไมทำอย่างนี้ ฮึ้ย”

ไม่นานต่อมา ขณะที่กรรณนรีกำลังก้าวเท้าอย่างเร่งรีบออกมาจากบ้าน เจอสรวง ที่หน้าเครียดจริงจังเข้ามาขวาง
“ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย”
กรรณนรีพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่ดุ ไม่งอนแล้ว “ขอโทษนะคะคุณสรวง ฉันไม่ว่างจริงๆ” เดินหนีไป
ทว่าสรวงกลับเข้าใจผิด “นี่เธอยังโกรธ ยังงอนฉันอีกเหรอ บอกมา ฉันพร้อมรับฟังทุกอย่างแล้วจริงๆ”
“แต่ฉันก็ไม่ว่างจริงๆ ขอโทษค่ะ”

กรรณนรีเดินหนีไปด้วยท่าทางร้อนรน ในขณะที่สรวงฮึดฮัดขัดใจ

ไฟมาร ตอนที่ 13 (ต่อ)

กรรณนรีเดินปรี่ท่าทีร้อนรนใจมาหยุดยืนอยู่ที่หน้ารั้วคฤหาสน์ของภาพิศ เจอน้อยกำลังเก็บกวาดขยะอยู่แถวนั้นพอดี

“เอ๊ะ เธอนี่..เห็นหน้าตาจืดๆ แต่ทำไมมันถึงได้หนาเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กนักฮะ จะมาที่นี่อีกทำไมห๊า” น้อยแหวใส่
กรรณนรีอึกอัก “ฉันมา...”
น้อยไม่ปล่อยให้พูดจบด่าขึ้นก่อน “จะมาอะไรฉันก็ไม่สนใจ กลับไปเดี๋ยวนี้นะนังหน้าจืด ไป๊ แหม...ยิ่งมอง หน้าแกมันก็ยิ่งน่าตบจริงๆ นัง...” เงื้อมือจะตบอยู่แล้ว
แต่ภาพิศเดินออกมาร้องห้าม “น้อยหยุด”
วูบแรกแวบเดียวเท่านั้น แววตาที่ภาพิศมองมายังกรรณนรี มีแต่ความรัก ความรู้สึกผิด สะท้อนสะเทือนใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นโกรธและเกลียด ถามออกไปด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“เธอมาที่นี่ทำไม”
“ฉัน...” กรรณนรีอึกอัก ไม่กล้าบอกว่ามาเรื่องสร้อยศักดิ์สิทธิ์ของผู้เป็นพ่อ “ฉัน...”
ภาพิศพูดด้วยท่าทีเมินเฉยและเย็นชา “ทำของหล่นไว้ใช่มั้ย”
กรรณนรีมองหน้าภาพิศอย่างตกใจ ตกใจที่ภาพิศรู้ว่าตนทำของหล่น
“อยากได้...ก็เข้ามา” พูดเท่านั้นภาพิศก็หมุนตัวเดินเข้าไปในบ้าน
น้อยทักท้วงขึ้นอย่างเป็นห่วง “คุณคะ...แต่นังนี่มันอันตรายนะคะ”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าหล่อนจะมาไม้ไหน....” ภาพิศหยุด พูดหยอดด้วยน้ำเสียงเหยียดเย้ยกวนประสาท “เข้ามาสิจ๊ะ ศุภาวีร์” แล้วเดินนำเข้าไป
กรรณนรีเดินตามภาพิศ แต่ขณะผ่านน้อย น้อยเงื้อมือจะตบ กรรณนรีหลีกหลบ น้อยมองหมั่นไส้สุดๆ

ภาพิศเดินเข้าไปในบ้าน กรรณนรีเดินตาม มีน้อยตามหลัง ด้านในแฉล้มเดินถือสร้อยออกมา
ภาพิศถามกรรณนรี “สร้อยสับปะรังเคเส้นนี้ใช่มั้ยที่เธออยากได้”
กรรณนรีมองอย่างสะเทือนใจ จุก เจ็บและเสียใจ ตอบห้วนสั้น
“ค่ะ”
“คืนหล่อนไปค่ะคุณแฉล้ม”
“ค่ะคุณ” แฉล้มโยนสร้อยลงพื้น
กรรณนรีตะลึง อึ้ง ภาพิศพูดว่าหน้าตาเฉยเมย
“รีบเก็บเอาไป แล้วก็ไสหัวไปจากที่นี่”
กรรณนรีกลั้นน้ำตา มองจ้องหน้าภาพิศ ทั้งเสียใจ และสะเทือนใจ ในห้วงเวลาเดียวกันนั้น ดวงตาภาพิศไหวระริก มีแต่ความเจ็บปวด รวดร้าว จิตใจอ่อนล้า แทบทรุดลงไปกอง แต่ต้องทำเป็นกร้าวแกร่งเหมือนเดิม แฉล้มยืนกอดอกถากถางด่าว่า เสียงเป็นนางมารร้ายละครหลังข่าว
“ดู๊ดู..ยังมายืนมองหน้าอีก....หน้าเธอนี่มันเหมือนบันไดจริงๆ ศุภาวีร์”
“ทำไมคะคุณแฉล้ม” น้อยงง
“น่าเหยียบ” แฉล้มว่า
น้อยชอบใจหัวเราะคิก มองจ้องกรรณนรีอย่างหมั่นไส้
“จริงด้วยค่ะ น่าเหยียบจริงๆเลย”
“ถ้าไม่อยากโดนเหยียบก็เก็บสร้อยสะเร่อๆ ของเธอ แล้วไสหัวไปได้แล้วแม่ศุภา
วีร์ ไปสิ..ไป๊” แฉล้มเงื้อมือเหมือนจะตบ
กรรณนรีรีบก้มลงเก็บสร้อย แล้ววิ่งออกไปทั้งน้ำตา
ภาพิศสะท้านไปทั้งตัว ใจจะขาดรอนๆ ร่างซวนเซเหมือนจะเป็นลม แฉล้มรีบเข้ามาประคอง

กรรณนรีกำสร้อยแน่น วิ่งร้องไห้มาตามทาง ตะโกนก้องร่ำร้องอยู่ในใจ
“แม่ลืม...แม่ลืมทุกอย่างของพ่อแล้วจริงๆ”

ภาพิศเองที่อยู่ในคฤหาสน์ร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตาย ยิ่งมั่นใจ แน่ใจในสิ่งที่ตนคิด
“เหมือนที่ฉันว่ามั้ยคุณแฉล้ม ขนาดฉันทำถึงขนาดนี้...ลูกยังปากแข็ง”
แฉล้มมีสีหน้าเป็นกังวลและสงสาร “ปากแข็งจริงๆ...ขนาดฉันเอง มองคุณกับเค้ายังใจแทบ
ขาด แต่กรรณนรีไม่แอะอะไรออกมาซักคำ”
“มันต้องเป็นเรื่องใหญ่...มันต้องเป็นเรื่องใหญ่ กาวถึงต้องทำอย่างนี้ คุณหญิงสุดา..ฉันต้องรู้ให้ได้”

ภาพิศขบกรามแน่นคำรามเสียงเข้ม “คุณหญิงสุดา”

คืนนั้นที่คฤหาสน์บ้านอริยะวรรต เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สุดามองเบอร์เห็นชื่อภาพิศก็เบ้ปาก แต่ปั้นหน้าพูดออกไปพร้อมรอยยิ้ม

“ว่าไงคะคุณน้อง”
ภาพิศยืนอยู่ข้างแฉล้มดวงตาวาวโรจน์ แนวโน้มที่คิดว่าสุดาเสี้ยมและอยู่เบื้องหลังทุกข์เรื่องเลวร้าย มีเกือบ 100% แล้ว เปิดเสียงสนทนา
ภาพิศกดข่มอารมณ์ลงลึกสุดหัวใจขณะพูดออกไป “คุณหญิงพี่..น้องไม่สบายใจเรื่องนังศุภาวีร์เลยค่ะ”
“คุณน้องทำมันเกือบตายแล้ว...ยังจะไม่สบายใจเรื่องอะไรอีกคะ หรือกังวลว่ามันไม่ตายจริงๆ”
ภาพิศจับสังเกตน้ำคำของคุณหญิงสุดาได้ แฉล้มเองก็เช่นกัน ภาพิศคุยต่อ โดยแกล้งทำเป็นโกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชังกรรณนรีเหลือจะเอ่ย
“ก็ขนาดเราสองคนกะให้มันตาย แต่มันยังรอด แสดงว่าพิษสงมันร้ายกาจ”
“อาจจะได้เลือดพ่อ” สุดาเน้นเสียงทุกคำอย่างสะใจ “เลือดแม่มันมาก็ได้ค่ะ เลือดพวกคนชั้นต่ำมันหัวแข็ง”
ภาพิศกับแฉล้มมองหน้ากัน คิดตรงกันเด๊ะ
ภาพิศพูดไม่มีเสียง เห็นแต่ปากว่า “มันหลอกด่าฉัน” ก่อนจะข่มอารมณ์พูดต่อ “เพราะอย่างงี้ไงคะ น้องถึงต้องปรึกษา เพราะมั่นใจว่าคนชั้นสูงอย่างคุณพี่ต้องคิดอะไรเลวๆ ได้แน่ๆ...คืนนี้เจอกันที่ร้านประจำของเรานะคะ”
สุดาวางสาย คิดเอะใจว่าถูกหลอกด่านี่หว่า
ขณะที่แฉล้มพูดกับภาพิศขึ้นทันที
“ฉันค่อนข้างมั่นใจว่า ยัยคุณหญิงสุดาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่นอน”
“ฉันก็มั่นใจ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะช่วยคุณสืบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด”
แฉล้มพูดอย่างหนักแน่น

สุดายังกำโทรศัพท์ท่าทางสงสัย
“ท่าทางนังภาพิศแปลกๆ เหมือนมันจะสงสัยอะไร” หยิบมือถือกดโทร.หาคู่หูทันที
“ฤทัย แม่นัดกับนังภาพิศทานข้าว มาเป็นเพื่อนแม่หน่อยนะลูก”

คืนนั้นสุดาเดินเข้ามาหน้าร้านพร้อมกับสุขหฤทัย สาวแสบเอ่ยขึ้น
“โอ๊ยย..คุณหญิงแม่จะไปกลัวอะไรมันคะ”
“ก็มันพูดแปลกๆ มีแอบเหน็บ” สุดาคาใจ
“ฤทัยก็เห็นมันกับคุณหญิงแม่หลอกด่ากันประจำ ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ไปช่วยมันวางแผนจัดการลูกมันดีกว่าสนุกจะตาย”
สุขหฤทัยหัวเราะคิกคัก สุดามีท่าทางผ่อนคลายลง สองคนเดินเข้าไปในร้านพร้อมกัน

เวลานั้นแฉล้มนั่งหลบมุมอยู่มุมหนึ่ง แอบลอบมองสังเกตการณ์อยู่ เห็นภาพิศนั่งคุยอยู่กับสุดา และสุขหฤทัย หน้าตาภาพิศยามนั้น ดูกังวลเป็นอย่างมาก สุดาหัวเราะ
“พี่บอกแล้วไงคะ ว่าคุณน้องไม่ต้องกังวล”
ภาพิศตีเนียน “ก็น้องบอกแล้วไงคะ ว่านังศุภาวีร์มันร้าย”
“ร้ายนักคุณน้องก็จัดการให้มันตายไปเลยสิคะ”
ภาพิศแกล้งตกใจ กวาดสายตามองไปรอบๆ ท่าทีหวาดกลัว ลดเสียงพูดเบาลง “น้องก็อยากทำอย่างนั้น แต่...พูดตรงๆ ค่ะว่า...กลัว”
สุดาเยาะ “คนอย่างคุณน้องกลัวเป็นด้วยเหรอคะ”
ภาพิศรีบปะเหลาะพูดทีเล่นทีจริง “เป็นสิคะ..พูดอย่างไม่อายเลย คนแรกและคนเดียวที่น้องกลัวคือคุณหญิงพี่ค่ะ”
สุขหฤทัยร้อง “ว้าย งั้นคุณหญิงแม่ก็ร้ายกว่าสิคะ...ขนาดคนร้ายๆ อย่างคุณภาพิศยังกลัวเลย”
สุดาขึ้นเสียงส่งสายตากำราบ “ฤทัย”
“อุ๊บส์” สุขหฤทัยรีบเอามืออุบปาก
“ไม่ต้องกลัวพี่หรอกค่ะ....เพราะพี่อยู่ข้างน้องอยู่แล้ว”
“แต่คุก แต่ตะรางน่ะสิคะที่จะไม่อยู่ข้างเรา..เรื่องนี้ล่ะค่ะที่น้องกลัว” ภาพิศแสร้งทำเป็นวิตกกังวล
“ไม่ต้องกลัว พี่เลี้ยงแพะไว้เยอะ” สุดาปลอบ
“ฉุกละหุกยังไง ฤทัยช่วยได้ค่ะ ลูกน้องของคุณพ่อเยอะแยะ” สุขหฤทัยผสมโรง
“งั้นฉันจะได้จัดการอย่างสบายใจซักที” ภาพิศบอก
“เอาให้นังศุภาวีร์มันตายไปเลยค่ะ” สุดาอวยส่ง
ภาพิศยิ้มเยื้อน แกล้งทำท่าเออออไปด้วย

สุดากับสุขหฤทัยเดินตรงไปทางห้องน้ำในร้าน โดยไม่เอะใจว่า ที่ด้านหลังแฉล้มแอบย่องตามมาในมือกำมือถือแน่น แอบถ่ายคลิปไว้ตลอดเวลา สองคนหัวเราะร่า สีหน้าสะใจมาก
“วันหลังฤทัยต้องแอบถามแล้วค่ะ นังภาพิศมันกินอะไร จะได้ไม่กินตาม โง้โง่” สุขหฤทัยเยาะ
“ตรงกันข้ามถ้าแม่รู้ว่ามันกินอะไร แม่จะส่งไปให้มันกินเยอะๆ มันจะได้โง่ๆๆ” สุดากระแทกเสียงอย่างสะใจ
“โอ๊ย แค่นี้นังภาพิศมันก็โง่จนจะไปฆ่าลูกตัวเองแล้วค่ะ” สุขหฤทัยว่า
“ต้องให้มันลงมือฆ่าจริงๆ ก่อน วันไหนที่มันอุ้มท้องติดคุก นั่นแหละ แม่ถึงจะสะใจ”
สองคนหัวเราะร่วน เดินเข้าห้องน้ำ แฉล้มรีบผละออกมา

แฉล้มออกมาใกล้โต๊ะที่ภาพิศนั่งอยู่แล้วกวักมือเรียก ภาพิศมองซ้ายมองขวา รีบตามไป

ครู่หนึ่งภาพิศเดินมากับแฉล้ม อยู่ตรงมุมลับตาคนในร้านอาหาร แฉล้มเอ่ยขึ้นทันที
“เป็นอย่างที่เราสองคนคิดจริงๆ...ยัยคุณหญิงสุดามันเป็นคนวางแผนทุกอย่าง” แฉล้มกดเปิดคลิปเมื่อครู่ให้ดู
ภาพิศจ้องจอมือถือโกรธจนตัวสั่น คำรามออกมาอย่างเคียดแค้น
“นังสุดา มันเสี้ยมให้ฉันฆ่าลูกฉัน”
“ไม่ใช่แค่คุณเป็นเหยื่อ ลูกคุณก็ตกเป็นเหยื่อมันเหมือนกัน”
นัยน์ตาภาพิศวาวโรจน์ กำมือแน่น

กลางดึกคืนนั้น ขณะที่สุดากำลังจะเดินเข้าบ้าน ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวฉับๆมาจากด้านหลัง สุดาตกใจ หันหลังขวับ เห็นภาพิศ เดินเข้ามา สุดาถอนหายใจโล่งอกเอ่ยทักทาย
“อ้าวว่าไงคะคุณน้อง....เพิ่งจากกัน...คิดถึงพี่อีกแล้วเหรอคะ”
“ใช่! คิดถึงมาก”
พูดจบภาพิศก็กระโจนเข้าไปจิกผมสุดา ตบๆๆๆ ตบอย่างแรง แบบคนที่มีความแค้น
สุดขีด สุดาล้มลง ภาพิศขึ้นคร่อม บีบคอ สุดาดิ้นรนสุดแรงเกิด
สุดาร้องลั่น “ปล่อยฉัน..ปล่อย”
“ฉันจะปล่อยก็ต่อเมื่อแกตายเท่านั้น นังสุดา”
สุดาตาเหลือกใกล้จะหมดลมหายใจเต็มที รวบรวมกำลังถามออกไปเหมือนไม่เคยรู้เรื่องราวใดๆ
“ฉันทำอะไรเธอ”
ภาพิศตะคอกใส่หน้า “แกทำร้ายลูกฉัน แกทำลายฉัน แกทำให้ฉันเกือบฆ่าลูกตัวเอง คนเลวอย่างแกไม่สมควรจะอยู่ในโลกใบนี้ ตายซะเถอะแก นังสุดา”
ภาพิศบันดาลโทสะกดมือบีบคอแรงขึ้น

สุดาหมดสติคามือ ดวงตาภาพิศยามนี้เหลือกลาน เหมือนคนโรคจิตในหนังสยองขวัญยังไงยังงั้น

ไม่นานต่อมา ภาพิศลากร่างไร้สติของสุดามาตามทาง ดวงตาของภาพิศวาววับน่ากลัวเหลือแสน ร่างของสุดาถูกลากมาบนผืนหญ้าจนเห็นเป็นรอยทาง เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ภาพิศก็เหวี่ยงร่างสุดาทิ้งลงข้างทาง

ดึกสงัด ดวงจันทร์บนท้องฟ้าเคลื่อนคล้อยลอยเลื่อน เวลาผ่านไปอีกสักครู่ใหญ่ สุดาฟื้นตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีอ่อนแรง อยู่ในอาการงัวเงียและมึนงง
จังหวะนั้นหูแว่วยินเสียงดัง ฉึก..ฉึก...ฉึก..เป็นจังหวะ เหมือนคนขุดอะไรอยู่
สุดาหันขวับไปทางเสียงนั้นเห็นเป็นภาพิศที่กำลังออกแรงขุดหลุมอยู่อย่างคร่ำเคร่ง ในสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ตาขวาง น่ากลัว สุดากระถดตัวจะลุกหนี แต่ไปไม่ได้ เพราะถูกมัดอยู่ สุดาส่งเสียงกรี๊ดออกมาด้วยความตื่นตระหนกตกใจสุดขีด และหวาดกลัวจับจิต
ภาพิศยินเสียงเหลียวขวับมามอง ยิ้มหวานให้
“ฟื้นแล้วหรือคะคุณหญิงพี่”
สุดามองภาพิศเนื้อตัวสั่นเทา สภาพภาพิศยามนี้ เหมือนฆาตกรโรคจิต
ภาพิศลากจอบในมือเดินมานั่งข้างๆ สุดา พูดเรื่อยๆ เหมือนชวนคุยเรื่องลมฟ้าอากาศ
“ทีแรก น้องก็ว่าจะฝังคุณหญิงพี่ทั้งเป็น...แต่ถ้าเทียบกับความเลวคุณหญิงพี่มันคงทรมานน้อยไป เรามาทำอะไรเลวๆ เหมือนที่คุณหญิงพี่..ชอบชวนน้องทำดีกว่านะคะ” ขาดคำภาพิศเหวี่ยงจอบทิ้ง เฉียดหัวสุดาแค่เส้นยาแดงผ่าแปด
สุดาผวาตัวร้องกรี๊ด “แอร๊ยยยย...แกจะทำอะไร”
ภาพิศหยิบมีดแล่เนื้อขึ้นมาถือ ดวงตาเลื่อนลอยไร้แววเหมือนคนบ้า “คุณหญิงพี่คิดว่า....น้องจะเอามีดมาผ่าผลไม้เล่นเหรอคะ” หัวเราะร่า “แถวนี้..ไม่มีผลไม้...มีแต่สุดา” เปลี่ยนเสียงเป็นดุดันน่ากลัว “ผ่าสุดาแล้วกัน” ภาพิศหัวเราะกึกก้อง
สุดามองจ้อง เห็นคมมีดวาววับสะท้อนแสงจันทร์ สุดาร้องกรี๊ด
“แอร๊ยยย อย่าทำฉัน อย่าทำฉัน ฉันกลัวแล้ว”
ภาพิศหัวเราะลั่น ขณะนั่งลับมีดกับที่ลับ เสียงคมมีดครูดกรีดหินยิ่งทำให้บรรยากาศแสนวังเวงดูน่ากลัวอีกหลายขุม
“คุณหญิงพี่ทำร้ายน้องกับลูกเยอะแยะ แค่ถูกมีดเฉือนทีละชิ้น..ทีละชิ้น เจ็บนิดเดียว กลัวทำไม”
สีหน้าสุดาหวาดหวั่น พลางกระถดตัวหนี ภาพิศเดินมานั่งยองๆ ข้างๆ
“ลองซักชิ้นนะคะคุณหญิงพี่”
สุดาหวีดร้องขึ้นสุดเสียง น้ำเสียงโหยหวนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

เสียงนั้นผสานกับเสียงภาพิศตื่นจากฝันร้าย กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งเหมือนคนควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว
ภาพิศวิ่งเตลิดร้องไห้มาตามทาง โดยมีแฉล้มวิ่งตามมาฉุดกระชาก ก่อนจะคว้าร่างภาพิศไว้สุดแรง จนภาพิศล้มลงอย่างเจ็บปวด ภาพิศกรีดร้อง จะไปให้ได้ แฉล้มฉุดตัวเอาไว้
“คุณจะไปไหน”
ภาพิศโกรธ เคียดแค้นสุดาจนตัวสั่นเทา “ฉันจะไปฆ่านังสุดา” ลุกขึ้น แล้วจะวิ่งไปอีก
แฉล้มกระชากตัวภาพิศไว้สุดแรงเกิด ด่าเตือนสติ “แล้วตัวคุณติดคุกน่ะเหรอ...คิดซะบ้างสิ ลูกที่อยู่ในท้องคุณ กาวกับแก้วอีกจะเป็นยังไง” เสียงแฉล้มดังขึ้นอีก “แม่..กลายเป็นฆาตกร”
ภาพิศคับแค้นใจ ร้องไห้โฮออกมา “แล้วจะให้ฉันทำยังไง” แหวเสียงดัง “ในเมื่อคุณหญิงสุดามันทำกับฉัน” เสียงดังขึ้นอีก “...มันทำกับลูกฉัน วิธีที่จะแก้แค้นมันอย่างสาสมคือ ฉันต้องฆ่ามัน”
ภาพิศจะวิ่งไปอีก แฉล้มคว้าร่างภาพิศเอาไว้ แล้วตบผลัวะสุดแรงเพื่อเรียกสติ ภาพิศล้มลงกับพื้น ร้องไห้ฟูมฟาย พร้อมกับเหลียวมองมาอย่างไม่เข้าใจ แฉล้มทรุดตัวลงนั่ง บอกภาพิศด้วยน้ำเสียงเห็นใจ
“ฉันรู้ว่าคุณเจ็บ คุณปวด คุณแค้น แต่คุณจะปล่อยให้ความแค้นอยู่เหนือสติไม่ได้ เพราะถ้าคุณทำอย่างนั้น...ก็เท่ากับว่า คุณสร้างรอยแผลให้ลูกคุณไม่มีที่สิ้นสุด”

ตอนสายวันนั้น ที่ด้านในบ้านของเกริก สองพี่น้องกรรณนรี กับกาวินทร์ กำลังช่วยกันทำงานบ้าน และกระซิบกระซาบกันอยู่
“ว่าไงนะ..แม่จำสร้อยไม่ได้”
กรรณนรีพยักหน้า รู้สึกจุก เจ็บ และเสียใจขึ้นมาอีก กาวินทร์ตัดพ้อ พร้อมพูดกำชับ
“แม่คงลืมเราไปแล้วจริงๆ...อย่าเล่าให้พ่อฟังเด็ดขาดเข้าใจมั้ย”
“ค่ะ” กรรณนรีรับคำหน้าเศร้า
เสียงเกริกดังแทรกขึ้น “ขนมเสร็จแล้วลูก”
เกริกเดินถือถาดขนมออกมา สองพี่น้องแกล้งหันมาหยอกล้อ เล่นหัวกัน แวบแรกที่มองพ่อ กรรณนรีสงสารจับใจ พอเกริกหันมามอง กรรณนรีก็ทำหน้ายิ้มแย้มปกติ
ส่วนที่ด้านนอกภาพิศกับแฉล้มเดินมาแอบเกาะรั้วมองดู เห็นภาพสามคนพ่อลูก หยอกล้อกันอย่างมีความสุข ภาพิศสะเทือนใจร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด และเสียใจ ขณะที่แฉล้มยังคงพยายามปลอบ
“คุณดูสิ ครอบครัวคุณ...ลูกคุณเค้าอบอุ่นมีความสุขกันขนาดไหน”
ภาพิศสะท้อนใจ “ใช่...เค้ามีความสุข..มีความสุขกันจริงๆ แม้จะไม่มีฉัน”
“นั่นประไร...เพราะงั้น...คุณอย่าทำให้เค้ามีคุณ...พร้อมกับคำว่า แม่ขี้คุกเลย”
ภาพิศหันไปมองแฉล้ม แฉล้มพยักหน้า

จังหวะนั้นสองป้าขาเม้าท์เดินมาจากอีกมุมเห็นเข้าพอดี
จักจั่นบุ้ยใบ้ “นั่นนุดีนี่...”
ตั๊กแตนท้วง “ตอนนี้เค้าเป็นคุณภาพิศ”
จักจั่นแปลกใจ “ก็คนเดียวกันนั่นแหละ...เอ๊ะ! หมู่นี้มาทำไมบ่อยๆ”
ตั๊กแตนพูดเป็นนัย “หรือว่า...” สองป้ามองหน้ากัน

ไม่นานนัก ในขณะที่เกริกกำลังตัดแต่งต้นไม้ที่หน้าบ้าน ยินเสียงเกริกถามขึ้นเสียงดัง
“ว่าไงนะ นุดีกับฉันจะคืนดีกัน”
“อ้าว ไม่งั้นแล้วนุดีจะมาทำไมบ่อยๆ” จักจั่นตั้งข้อสังเกต
“วันนั้นเราสองคนก็เห็น” ตั๊กแตนว่า
จักจั่นผสมโรง “วันนี้เราสองคนก็เห็น”
“แต่ฉันไม่เห็น” เกริกบอก
“ก็ไปดูซิ” จักจั่นพยักเพยิด

เกริกมองไปยังหน้าบ้านด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะเดินออกไปดู โดยมีสองป้าตามติดด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 
โปรดติดตาม "ไฟมาร" ตอนที่ 14
กำลังโหลดความคิดเห็น