ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 13
ฤทธิชัยค่อยประคองดาวยืนขึ้นประจัญหน้ากับนาคีอย่างเตรียมพร้อม นาคีไม่สนใจจันจิรากับป้าเนียนซึ่งอยู่ถัดไปทางด้านข้าง
“ป้าเนียน”
จันจิราเรียกเบาๆ แล้วโบกมือให้ถอยออกไป ป้าเนียนค่อยๆเคลื่อนตัวออกขณะที่ เธอปาดไปทางด้านหลัง
“คราวนี้ท่านพี่ต้องไปกับเราอย่างแน่นอน” นาคีบอกอย่างมั่นใจ
ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของนาคีเซไป เป็นจันจิรา เป็นคนยิง
“ไปคนเดียวดีที่สุด”
นาคีตาวาวแล้วแวบเข้าหา ตบจันจิรากระเด็นไป นาคีหันมาก็พบว่าดาวกับฤทธิชัยอยู่ตรงหน้า ทั้งสองปล่อยหมัดพร้อมกันแต่นาคีหายแวบไปทั้งสองคนวืด ต่างกราดสายตาระวัง แต่แล้วนาคีแวบโผล่มาทางด้านหลังของดาว นาคีตบเปรี้ยงแต่แขนของฤทธิชัยเข้ามารับไว้ทันท่วงที นาคีสะบัดสองมือ ปล่อยพลังกระแทกสองคนกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ดาวกลิ้งไปที่พื้น นาคียิ้มเยือกเย็นสะบัดมือในมือมีปืนติดขึ้นมากระบอกหนึ่งตวัดไปทางดาวแล้วเหนี่ยวไก เปรี้ยงๆๆ ทันใดนั้นร่างป้าเนียนเข้ามาขวางไว้พอดี ป้าเนียนทรุด อยู่ในอ้อมกอดของดาว
“ป้าเนียน”
ป้าเนียนหลับตานิ่งสนิท
“ป้าเนียน”
ดาวกอดป้าเนียนสายตากราดจ้องนาคี นาคีเสียอารมณ์ตวัดปืนหมายยิงซ้ำแต่แล้วร่างของฤทธิชัยแวบมาตรงหน้าตบเปรี้ยงนาคีกระเด็นกลิ้งไปที่พื้น จันจิราตั้งตัวได้ตวัดปืนใส่นาคีที่ดีดตัวขึ้นมาเปรี้ยงๆๆๆ นาคีเซไปตามแรงปืน ดาวกับฤทธิชัยต่างตวัดปืนในมือขึ้นมา ทั้งสองสาดกระสุนใส่
นาคีถอยไปตามแรงกระสุน จันจิราเดินเข้ามาสมทบกราดยิงนาคีด้วยอีกคน นาคีปัดป้องถอยกรูดๆที่สุดแวบหายไป ทั้งหมดกราดปืนไปมาเพื่อความมั่นใจ อึดใจผ่านไปเหตุการณ์สงบ ทั้งหมดปราดไปที่ร่างของป้าเนียนที่ฟุบอยู่ ดาวประคองป้าเนียนที่ไม่รู้สึกตัวขึ้นมา ทุกคนใจหาย
จันจิราเดินออกมากับหมอที่มาดูแลอาการป้าเนียน ดาว กับ ฤทธิชัยลุกขึ้น ดาวถามอย่างร้อนใจ
“เป็นยังไงบ้างคะ”
“พ้นขีดอันตราย แต่ยังต้องคอยตรวจเฝ้าระวัง”
“ขอบคุณครับ”
หมอถอนใจแล้วเดินออกไป ดาวกับฤทธิชัยหันไปทางจันจิรา
“อาการหนักพอดูค่ะ แต่จันจะคอยเฝ้าอย่างใกล้ชิดพี่ดาวกับคุณหนึ่งไม่ต้องเป็นห่วง”
“เป็นเพราะพี่กับคุณหนึ่งประมาท เราเห็นว่าพวกมันไม่ได้ สนใจจับตาดูบ้านป้าเนียน ก็เลยนัดกันมาที่นี่นึกไม่ถึงว่ากลับเป็นนาคีที่ตามมา”
ฤทธิชัยถอนใจ
“ดีที่คุณจันอยู่ด้วยเป็นสามพลัง เราถึงต้านนาคีได้”
ดาวคิดๆ
“แปลก…คราวนี้เหมือนกับว่านาคีมั่นใจที่จะได้ตัวคุณหนึ่งกลับไป”
“นาคีมั่นใจว่าจะได้ตัวผมทุกครั้งอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติไม่มีอะไรแปลกหรอกครับ”
ฤทธิชัยบอก ดาวครุ่นคิดกังวล
นาคีปรากฏตัวขึ้นในถ้ำ เธอเซเล็กน้อย ตามตัวมีรอยกระสุนเลือดออกซิบๆ นาคีค่อยๆทรุดตัวลงบนเตียงนั่งสมาธิ อึดใจรอยกระสุนก็ค่อยๆหายไปจนหมดในที่สุด นาคีลืมตาขึ้นก็พบว่าคายะมังยืนอยู่ตรงหน้า
“ท่านต้องการอะไรอีก”
“เราบอกเจ้าแล้ว ถ้าพวกมันรวมพลังกัน ท่านจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เจ้ายังดื้อดึงเสี่ยงอันตราย”
“พวกมันแค่โชคดีเท่านั้น”
“ต่อไปนี้ห้ามเผชิญหน้าตอนที่พวกมันอยู่พร้อมกันสามคนเป็นอันขาด มิฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้อยู่เห็นหน้าคนรักของเจ้าอีกต่อไป”
“ท่านเป็นห่วงเรารึ”
คายามังยิ้มเยือกเย็น แต่แล้วสายตาจ้องนาคีคาดไม่ถึง
“เจ้ากำลังลอกคราบ”
นาคีก้มลงมองที่แขนของตน แล้วเอามือลูกมีผิวหนังเป็นแผ่นติดมือขึ้นมา
ค่ำนั้น ดาวกับฤทธิชัยนั่งสมาธิอยู่ในห้อง ส่วนด้านนอก จันจิรายืนระวังเฝ้าเหตุการณ์อยู่
สายตากราดไปทั่วอย่างระมัดระวัง แต่แล้วรู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหวทางด้านล่าง จันจิราตวัดปืน ค่อยๆลงบันไดไปข้างล่างอย่างช้าๆ ปืนกราดไปมา เงาแวบมาทางด้านหลัง จันจิราตวัดปืนกลับไป แต่แล้วก็โล่งใจ ชายสมาชิกโจรยืนอยู่สองคน
“แม่สมพรส่งผมให้มาอยู่ช่วยคุณจันจิราครับ”
“แม่สมพรจะตามมาที่หลังครับ”
จันจิราตวัดปืนเก็บ
“ขอบใจจ้ะ”
นาคีมองแขนตนเองแล้วหันมาถาม คายามัง
“หมายความว่ายังไง ข้าเป็นอะไร”
“เจ้าไม่ต้องตกใจ เป็นเรื่องธรรมดาระหว่างนี้ห้ามไปไหน เพราะเจ้ากำลังอ่อนแอที่สุดจนกว่าร่างกายของเจ้าจะลอกคราบหมด”
“ข้าต้องรอถึงกี่วัน”
“อาจแค่วันเดียว หรือสองวัน แต่ไม่เกินสามวัน”
คายามังจ้องอึดใจแล้วค่อยๆเลือนหายไป นาคีมองตามด้วยสายตาดุดัน
โจอยู่หน้าจอแลบท็อปกำลังคุยกับนายใหญ่
“ได้เบาะแส พวกองค์กรหรือยัง”
“สายของเราส่งรูปมาให้เรียบร้อย 5 คนที่มีตำแหน่งของพวกมัน”
โจกดที่คีย์บอร์ด มีรูปถ่ายของชายแต่งชุดสากลเต็มยศขึ้นมาทีละคนจนครบ 5 คน
“งานนี้ คุณรับผิดชอบโดยตรง ไม่ต้องให้ใครรู้เรื่องนี้แม้แต่ท่านรองศักดา”
“ท่านคิดว่า ท่านรอง...”
“ทำตามคำสั่ง ไม่มีคำถาม”
จอดับวูบลง โจแปลกใจสงสัย
งิ้วกดคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว
“จ๊ะเอ๋…ได้แล้วรูปบุคคลที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของประเทศ”
จักจั่นเปรยๆ
“พวกที่โกงกินบ้านเมืองน่ะเหรอ”
งิ้วพยักหน้า
“เยส”
“ขอดูหน้าหน่อย”
จักจั่นลุกไปดูปรากฏเป็นภาพของนักธุรกิจ 5 คนเดียวกับที่ขึ้นมาจากคอมพิวเตอร์ของโจ
“โห...คนมีหน้ามีตาร่ำรวยทั้งนั้น ไม่น่าเชื่อ”
อภิชาติเดินเข้ามา
“ได้เป้าหมายหรือยัง”
“เรียบร้อย…แต่ยังไม่รู้ว่าพวกมันจะเล่นงานใครก่อน”
อภิชาติสั่งการ
“เอาล่ะเตรียมพร้อม คนพวกนี้เคลื่อนไหวเมื่อไหร่เราตามติดเมื่อนั้น”
ในถ้ำทุกอย่างมืดมิด แต่แล้วก็มีเสียงคำรามก้อง ตามด้วยประกายสีทองเป็นแสงปรากฏสว่างขึ้นเป็นร่างของสายฟ้ามีแสงทองสว่างเห็นทุกอย่างชัดเจน ไผ่รีบบอก
“สายฟ้า เราช้าไม่ได้ อาตง กับ เม่งจู ตกอยู่ในมือพวกมัน”
สายฟ้าคำรามเบาๆ ทันใดนั้นมือของไผ่ปรากฏเป็นแสงทอง สว่างขึ้นมาทุกคนมองอย่างตื่นเต้น สายฟ้าคำรามเบาๆ ทุกคนหันไปมองร่างของสายฟ้าที่ค่อยๆจางหายไป ไผ่ยกมือขวาที่มีแสงทองขึ้นสูง ลุงเดชเป็นกังวล
“เราจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง”
“ในเมื่อออกไม่ได้ เราก็เข้าข้างใน”
ไผ่ก้าวยาวไปทางด้านในของถ้ำ ทุกคนรีบเดินตามไป...ไผ่เดินนำทุกคนเข้ามาตามทางที่ซับซ้อน ลุงเดชชะงักอึ้ง
“นึกไม่ถึงว่าจะมีทางเข้าลึกขนาดนี้”
พ่ออาตงหันมาบอก
“ถ้ำส่วนใหญ่ จะมีทางออกหลายทางพวกเราชาวเขาใช้เป็นทางลัดบ่อยๆ”
แสงถอนใจ
“หวังว่าเป็นยังงั้น”
เสียงสายฟ้าคำรามแว่วมา
“ทุกคน เร็วเข้า”
ไผ่รีบก้าวนำไปตามเสียง ทุกคนรีบเร่งฝีเท้าตามไผ่ไป
พวกกองกำลังยืนอยู่เป็นจุดๆ ในค่ายตัดไม้ สองคนยืนอยู่ตรงหน้าเต๊นท์ คนงานสองคนเดินเข้าไปคนหนึ่งมีม้วนแบบอยู่ในมือ แต่มือปืนเข้ามาขวางไว้
“เอ็งสองคนจะไปไหน”
“หาคุณวิวัฒน์”
“คุณวิวัฒน์ไม่ว่างมีอะไร”
“ตามเขตนี่ตรงที่ให้ตัดไม้อยู่นอกเขตสัมปทานที่ขอไว้”
คนงานคลี่ม้วนกระดาษให้ดู มือปืนปัดกระดาษ
“เฮ้ยพูดมาก สั่งให้ตัดก็ตัด”
คนงานอีกคนแย้ง
“ไม่ได้”
มือปืนตวัดด้ามปืนกระแทกคนงานทรุดไป อีกสองคนตามเข้ามาลงไม้ลงมือจนคนงานคนนั้นกระเด็นไปตามแรงเท้าสุดท้ายทรุดนิ่ง คนงานมุงดูรอบๆ กองกำลังยืนถือปืนควบคุมเป็นจุดๆ
“จำไว้...ใครปากมาก จะโดนเหมือนไอ้นี่”
คนงานสองคนเข้ามาพยุงร่างที่หมดสติของคนงานที่ถูกซ้อมออกไป
คนงานสองคนพยุงคนงานที่ถูกซ้อมบาดเจ็บบอบช้ำ เข้ามาในสถานีอนามัย
“ช่วยเพื่อนผมด้วย”
พยาบาลมองชายที่ได้รับบาดเจ็บด้วยความตกใจ เพราะร่างกายบอบช้ำหน้าตาแตกยับเยิน
“เร็วเข้า เอาไปข้างใน”
งิ้วยบังคงเคร่งเครียดกับการหาข้อมูล ที่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ อภิชาติกับจักจั่น นั่งตรวจอาวุธที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ สักครู่งิ้วก็ส่งเสียงดีใจ
“เยส...เยส...เยส...”
จักจั่นกับอภิชาติหันมา งิ้วบอกทั้งสองอย่างพอใจ
“งานเปิดตัวสาขาบริษัท บ่ายโมงวันนี้ หนึ่งในเป้าหมายจะไปปรากฏตัว”
ในจอคอมพิวเตอร์เห็นรูปนักธุรกิจหนึ่งในห้าปรากฏอยู่ อภิชาติคว้าปืนแล้วลุกขึ้น
“ใช้รหัสเพื่อไม่ให้คนสงสัย เป้าหมายคือสินค้า มือปืน คือผู้ชื้อ...”
จักจั่นกับงิ้วร้องออกมาพร้อมกัน
“เยส”
“เย้…ร็อค แอนด์ โรล”
อภิชาติเดินทำท่าชูกำปั้นเดินไป จักจั่นกับงิ้วต่างมองหน้ากันยิ้มขำ จักจั่นแดกดัน
“แก่แล้วจะทำเป็นวัยรุ่น”
สองสาวต่างคิกคักแล้วเดินตามออกไป
คนงานสองคนลุกขึ้น เมื่อจันจิราก้าวออกมาจากด้านใน
“คนเจ็บปลอดภัยแล้ว...แต่ต้องพักที่นี่ก่อน เกิดอะไรขึ้น”
“ไอ้ย้งมันรายงานว่าไม้ที่ตัด เป็นไม้ที่ยังไม่ได้ขนาดและอยู่นอกเขตสัมปทาน”
“คุณวิวัฒน์ไม่ฟัง เลยให้พวกกองกำลังจัดการไอ้ย้งครับ”
จันจิราฉุนกึก
“ค่ายไหน”
“ค่ายเบอร์ 3 ครับ แต่ผมว่าทุกค่ายนั่นแหละ”
เพื่อนคนงานหันมาชวน
“ไปเถอะ ต้องรีบกลับไปทำงาน ไปช้าเดี๋ยวจะมีเรื่อง”
คนงานสองคนลุกขึ้นยกมือไหว้ จันจิรารับไหว้ ทั้งสองคนเดินออกไป จันจิรามองตามอย่างครุ่นคิด
“อย่างนี้ต้องแวะไปดูซะหน่อย”
ด้านหน้าศูนย์การค้ามีผู้คนแขกผู้มีเกียรติยืนอยู่กับพวกช่างภาพอภิชาติ งิ้ว จักจั่น ยืนอยู่คนละจุดห่างออกไป ต่างมีวิทยุจิ๋วติดต่อกัน ทั้งสามใส่แว่นดำพรางใบหน้าในมือมีโทรศัพท์ซึ่งมีรูปของเป้าหมายปรากฏอยู่
“ยังไม่เห็นสินค้า” จักจั่นพูดวิทยุติดต่อ
งิ้วกราดตามองรอบๆ แล้วตอบกลับ
“ยังไม่เห็นผู้ซื้อ”
อภิชาติดูภาพจากจอโทรศัพท์เห็นภาพมือปืนขึ้นมาทีละภาพ เขากราดสายตามองไปรอบๆ
“ยังไม่เห็นผู้ซื้อเหมือนกัน”
ทันใดนั้นจักจั่นขยับตัวเมื่อมีรถเก๋งมาจอด คนขับรถออกมาเปิดประตู ร่างชายคนหนึ่งในชุดสากลดูดีลงมาจากรถ จักจั่นยกโทรศัพท์ขึ้นดูเป็นภาพนักธุรกิจเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้เดินไปที่โพเดี่ยมสำหรับกล่าวคำปราศรัย
“สินค้ามาถึงแล้ว”
“รับทราบ” งิ้วตอบรับ
สายตางิ้วมองรูปที่หน้าจอโทรศัพท์กดให้ภาพมือปืนขึ้นมาทีละภาพ อภิชาติอยู่อีกจุดตอบวิทยุกลับไป
“รับทราบ ยังไม่เห็นผู้ซื้อ”
อภิชาติกราดสายตาไปดูภาพจากจอโทรศัพท์ไปซึ่งขึ้นวนมาทีละรูป...งิ้วที่กราดสายตาไปมามองเห็นชายคนหนึ่งในคราบของนักข่าว งิ้วดูที่หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏว่าเป็นหน้าของมือปืนพอดี
“ผู้ซื้อปลอมตัวเป็นนักข่าวตำแหน่ง บ่ายสองจากด้านหน้าโพเดี่ยมกำลังเคลื่อนตัวมาทางตำแหน่ง 9 โมงเข้าหาสินค้า”
อภิชาติกวาดตามอง
“เห็นแล้ว ผมกำลังเข้าหาผู้ซื้อทางด้านขวาตำแหน่งบ่ายสาม คุณงิ้วเคลื่อนตัวเร็วเกินไป ช้าลงหน่อยครับ”
งิ้วแหวกคนเข้าไป สายตาจ้องที่นักข่าวมือปืนเป้าหมาย แต่แล้วมีชายคนหนึ่งมาขวางไว้
“แขกอยู่ด้านโน้นครับ ด้านนี้สำหรับนักข่าวเท่านั้น”
คนงานตัดไม้กันอยู่ มีพวกกองกำลังของวิวัฒน์ยืนคุมอยู่รอบๆประมาณ 4-5 คน กองกำลังคนหนึ่งเดินมายังคนงาน สองสามคนที่หยุดคุยกันอยู่
“เฮ้ย...หยุดทำไม ตัดซิวะ”
“ต้นไม้พวกนี้นอกสัมปทาน ไม่ควรตัด”
“อีกแล้ว...ไม่จำ...ไม่ต้องพูดมาก ตัดไป”
มันขยับปืนในมือเงื้อสูง แต่แล้วเสียงสายฟ้าคำรามก้อง มันค้างกราดสายตาไปมา พวกมันเริ่มขยับตัว
“มีเสือด้วยเหรอวะ”
“ก็นางเสือที่พวกชาวบ้านร่ำลือไง”
คนงานจ้องหน้าพวกมัน
“ไอ้พวกนอกชายแดน นางเสือจะส่งพวกเอ็งลงนรก”
มันตวัดด้ามปืนถูกคนงานโครม คนงานล้ม มันเอาปืนส่อง
“เอ็งไปก่อน”
ทันใดนั้นเสียงปืนดังเปรี้ยง กองกำลังคนนั้นหงายผึ่งทรุดดับสนิท เสียงสายฟ้าคำรามก้อง ร่างของจันจิราในชุดนางเสืออยู่บนยอดไม้ ในมือถือปืนสองกระบอกส่องมาที่พวกกองกำลัง
“ฆ่ามัน”
พวกกองกำลังกราดปืนยิงใส่จันจิราเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พวกคนงานต่างพากันวิ่งหลบเข้าแนวป่า จันจิราตวัดปืนในมือสองกระบอก สาดใส่พวกมันทรุด ทีละคนเหลืออยู่คนเดียว
“บอกพวกเอ็งทั้งหลาย ถ้าไม่อยากตายรีบข้ามชายแดนออกไปซะ”
กองกำลังคนนั้นทิ้งปืนวิ่งหนีออกไป จันจิราสะบัดมือระเบิดสองลูกลงมาระเบิดตูมเสียงดังไฟลุกท่วมค่ายของมัน เสียงสายฟ้าคำราม
ไผ่ นำ ลุงเดช แสง พ่ออาตง เดินลึกเข้ามาในถ้ำ ยกฝ่ามือขึ้นสูงเป็นแสงสีทองมองเห็นทางอย่างชัดเจน จนกระทั่งพบโครงกระดูกมนุษย์ อยู่สองสามร่าง ไผ่มองอย่างสำรวจ
“มีคนเข้ามาถึงนี่ แต่ที่เราผ่านมาไม่พบร่องรอยอะไร แสดงว่าต้องเข้ามาทางอื่นแน่นอน”
ลุงเดชเห็นด้วย
“น่าจะเป็นยังงั้น”
ไผ่กวาดตามองรอบๆ
“ระวังตัวด้วย เราไม่รู้ว่าคนพวกนี้พบจุดจบเพราะอะไร”
แสงเข้าไปตรวจดูที่โครงกระดูกและสิ่งของรอบตัว
“ถูกยิง...”
ทุกคนหันไปมองแสง
“มีรอยกระสุนอยู่ที่หัว”
ทันใดนั้นเสียงพ่ออาตงเรียกดังมา
“ทาง...ทาง...ทางนี้”
ทั้งหมดต่างมองหน้ากันอย่างสงสัย ไผ่สำรวจต่อไปก็พบโครงของมนุษย์นอนกองทับถมกันร่วมสิบ ลุงเดชชะงักอึ้ง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ไผ่เดินเข้าไปสำรวจพบว่าเสื้อผ้าของโครงร่างทั้งหลายเป็นเสื้อผ้าธรรมดา ไผ่ตรวจดูเห็นซากบัตรอยู่ใกล้ๆจึงหยิบขึ้นมาดู
“พวกนี้เป็นพวกคนทำงาน พวกเชี่ยวชาญอะไรทำนองนั้นคงถูกพวกมันพามาเก็บเพื่อปิดปาก ใช่แล้ว น้องดาวเคยเจอวิศวะกรคนหนึ่ง หนีจากพวกมันไปได้”
แสงโกรธ
“เลวจริงๆ”
“ที่นี่ต้องเคยเป็นฐานของพวกมัน ต้องมีทางออกแน่นอน”
ไผ่เดินนำออกไป ทุกคนตามอย่างระมัดระวัง
ดาวกับฤทธิชัยขับรถมุ่งหน้าเข้าไปตามแนวป่า
“ไหนคุณบอกว่าจะรับจันจิรามาช่วยค้นหาอาวุธของพวกมันด้วยไงล่ะครับ”
“ดาวไม่อยากให้จักจั่นเป็นห่วง”
“แต่เราสองคนจะต้านนาคีไม่อยู่นะครับ”
“เราก็ต้องหลบหลีกให้ได้ ถ้าให้จันจิรามาช่วย เท่ากับปล่อยให้บ้านดอนเสือตกอยู่ในมือของพวกมันไม่มีใครคอยดูแล”
ฤทธิชัยถอนใจ
“จำไว้นะครับ ถ้าคับขันคุณดาวต้องรีบไปก่อนยังไงนาคีก็ไม่ทำอะไรผม รับปากนะครับ”
ดาวนิ่งอึดใจ
“แต่...”
“ไม่ต้องแต่เลย รีบไปก่อน จะได้หาทางกลับมาช่วยผมไง”
ดาวยิ้ม
“ก็ได้ค่ะ”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กันดาวค่อยๆจอดรถไว้ข้างทางตรงหน้าเป็นป่าทึบ
“รถไปได้แค่นี้ค่ะ”
ดาวกับฤทธิชัยต่างมองแผนที่ที่กางอยู่ในมือของฤทธิชัย ซึ่งมีวงกลมสีแดง วงตำแหน่งไว้ รอบๆบ้านดอนเสือสิบจุด ฤทธิชัยพับแผนที่เก็บใส่เป้ที่สะพายมา ต่างกราดสายตาไปตรงหน้า เป็นหมู่บ้านเล็กๆ
“จุดที่หนึ่ง ในแผนที่ เช็ค”
“อาวุธน่าจะอยู่ในหุบเขาหลังหมู่บ้าน”
ฤทธิชัยพยักหน้า
“ถ้ามี”
ดาวมองไปบนท้องฟ้า
“สายลม”
เสียงสายลมร้องก้อง ดาวหลับตาอึดใจก็ลืมตาขึ้น
“ไม่เห็นอะไรเลยค่ะ มันคงใช้มนต์กำกับไว้เสียดายถ้าเรามีพลังเห็นได้ก็ดี”
“สวรรค์ส่งพลังมาให้แค่นี้ก็ดีแล้วน๊ะจ๊ะ”
ดาวยิ้ม
“จริงค่ะ”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน ฤทธิชัยดึงดาวเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก
“สวรรค์ส่งคุณดาวมาให้ผมก็พอแล้ว”
ดาวยิ้ม
“เสียดายสวรรค์ไม่ได้ส่งคุณหนึ่งมาให้ดาว”
“อ้าว...”
“ดาวเป็นคนแย่งคุณหนึ่งมาจากสวรรค์มากกว่า”
“ผมนึกว่าเป็นหน้าที่ของผมซะอีกที่ต้องปากหวาน”
“นั่นนะซิคะ”
“อ๋อเหรอ มานี่”
ฤทธิชัยดึงดาวเข้ามากอดแน่น ดาวหอมฤทธิชัยหนึ่งฟอด
งิ้วจ้องหน้าชายที่อยู่ตรงหน้าท่าทางเป็นบอดี้การ์ดแล้วพูดขึ้นเบาๆ
“ถอยไป”
อภิชาติเห็นเหตุการณ์ตัวเองรีบเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้มือปืนที่ขณะนี้ทำท่าถ่ายรูป นักธุรกิจเป้าหมายที่กำลังเดินมาหยุดตรงหน้าโพเดี่ยมพอดี
“ดาหลิง ดูสินค้าให้ดี ผู้ซื้ออยู่ตรงหน้าโพเดี่ยม” อภิชาติพูดกับวิทยุ
จักจั่นก้าวเข้ามาทางด้านข้างของนักธุรกิจห่างออกไป
“เห็นผู้ซื้อชัดเจนสามารถเช็คบิลได้ทันที”
“ไม่ต้อง...ผมกับคุณงิ้วจะคุยกับผู้ซื้อเอง”
งิ้วจ้องหน้าบอร์ดี้การ์ด
“บอกว่าให้ถอยไป”
“คุณนั่นแหละถอยไปด้านโน้น”
งิ้วเสียอารมณ์เตะโครมเข้าให้ที่จุดสำคัญ บอร์ดี้การ์ดทรุดลง เสียงคนร้องว๊ายขึ้นมา งิ้วกราดสายตาไปที่ตากล้อง มือปืนได้ยินเสียงเอะอะหันมามองมาพอดี ประสานสายตากัน งิ้วจ้องเขม็ง ทันใดนั้นมันหันหลังแหวกคนออกไป
“ผู้ซื้อถอนหุ้นแล้ว คุณอภิชาติ”
มือปืนกราดสายตา เห็นอภิชาติกำลังเดินตรงเข้ามา มันตวัดปืนขึ้นแล้วหันไปทางนักธุรกิจที่กำลังอยู่ยืนงงอยู่ตรงโพเดี่ยม มันส่อง แต่ร่างของจักจั่นเข้ามากระแทกร่างของชายนักธุรกิจล้มโครมแล้วตวัดปืนส่องมาที่มือปืน
“มา...ใครจะแม่นกว่ากัน”
อ่านต่อหน้า 2
ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 13
จักจั่นเล็งปืนไปที่มือปืนหน้านิ่งเยือกเย็น มือปืนเห็นจักจั่นส่องปืนมา มันหันหลังกลับเห็นงิ้วกับอภิชาติตีกรอบเข้ามา มันยิงปืนลงพื้นเปรี้ยง เปรี้ยงเสียงปืนทำให้คนแตกตื่นวิ่งกระแทกงิ้วกับอภิชาติเซไป มันพรวดไปอีกทางหนึ่ง มีรถมอเตอร์ไซด์พรวดเข้ามารับ มันโดดขึ้นท้าย มอเตอร์ไซด์บิดล้อหน้ายกแล้วพรวดออกไป จักจั่นกราดปืนตามแต่ไม่ทัน ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้น
“หยุดทิ้งปืนลง”
จักจั่นหันมามองอย่างรำคาญ เป็นพวกบอดี้การ์ดของนักธุรกิจ สองคนกำลังเล็งปืนมาทางจักจั่น
“นี่ฉันมาช่วยนายแกนะยะ”
บอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งกำลังพยุงร่างของนักธุรกิจขึ้นมา บอดี้การ์ดอีกคนสั่งเสียงเข้ม
“ทิ้งปืนลงเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้นเสียงอภิชาติดังขึ้น
“นายสองคนนั่นแหละทิ้งปืน”
บอดี้การ์ดหันมาเห็นอภิชาตกับงิ้ว ยืนส่องปืนมาที่ตน งิ้วตวาด
“เร็วเข้า”
บอดี้การ์ดสองคนทิ้งปืนในที่สุด จักจั่นเดินเข้าไปหานักธุรกิจ
“วันนี้ฉันช่วยนาย แต่วันหน้าฉันจะมาดับนาย”
จักจั่นตวัดปืนเก็บทางด้านหลัง แล้วเดินออกไป อภิชาติเล็งปืนใส่
“อยู่เฉยๆแล้วจะดีเอง คุณงิ้วเชิญ”
งิ้วตวัดปืนเก็บแล้วเดินไป จักจั่นคว้ามืองิ้วแล้วแวบหายไป เสียงผู้คนงึมงำ
“แล้วเจอกัน”
อภิชาติแวบหายไป ทุกคนต่างงงคาดไม่ถึง นักธุรกิจมองตามหน้าตาตื่นเต้น
ชาวบ้านเดินมากลุ่มหนึ่งต่างมองตรงหน้าอย่างแปลกใจ เพราะเห็นฤทธิชัยอุ้มดาวเดินเข้ามา หลายคนมองอย่างแปลกใจ
“แฟนผมเป็นลม อนามัยอยู่ใหนครับลุง”
“ไม่มีหรอกอนามัย มีแต่บ้านยัยเมี้ยน หมอตำแยอยู่ท้ายหมู่บ้าน”
“ขอบคุณครับลุง”
ลุงเดินไป ฤทธิชัยอุ้มดาวเดินต่อไป ดาวตอนนี้หน้าตามอมแมมพรางความสวยของใบหน้า
“หนักมั้ยคะ”
“โห...ผอมแบบนี้จะหนักได้ยังไง ผมว่าคุณต้องกินมากกว่านี้”
ดาวขำ ทันใดนั้น รถจิ๊ปของพวกกองกำลังขับตรงเข้ามา
“พวกมันมาแล้ว แอคชั่น”
ดาวร้องครวญคราง
“โอย ปวดท้อง”
รถของมันพรวดเข้ามา
“มาจากไหนวะ”
ฤทธิชัยหันไปตอบหน้าซื่อๆ
“บ้านดงไผ่จ้ะ”
พวกกองกำลังกราดตามองสายตาเข้มเครียด
“จะไปไหน”
“เมียฉันปวดท้อง จะไปหาหมอตำแยจ้ะ”
“เสร็จแล้วรีบออกไปจากหมู่บ้าน”
“จ้ะ...จ้ะ...”
กองกำลังออกรถผ่านไป ฤทธิชัยกราดตามองตาม
“พวกนอกชายแดน”
ฤทธิชัยอุ้มดาวเดินต่อไป ดาวกราดสายตามองรอบๆ เห็นพวกกองกำลังยืนอยู่เป็นจุดๆ
ไผ่ ลุงเดช แสง พ่ออาตง เดินออกมาก็พบ ลังไม้เก่าๆ ระเกะระกะ ไผ่ชี้มือไป
“นั่นไง ร่องรอยลังใส่อุปกรณ์ ของพวกมัน”
ลุงเดชมองอย่างสำรวจ
“น่าจะเคยเป็นที่เก็บของ หรือคลังอาวุธของพวกมัน”
แสงชี้ไปอีกทาง
“โน่น”
ทั้งหมดมองไปก็เห็นลำแสงเล็กๆสาดเข้ามา
“ทางออก”
ไผ่พรวดออกไป ทุกคนเดินตาม
ฤทธิชัยอุ้มดาวมาถึงบ้านยายเมี้ยน ก็พบว่ามีกองกำลัง 2-3 คนยืนอยู่หน้าบ้าน ฤทธิชัยพูดเบาๆ
“ลูกค้ายายเมี้ยนเยอะเหมือนกัน”
ดาวโอบคอฤทธิชัยส่งเสียงคราง ฤทธิชัยเดินผ่านพวกกองกำลังเข้าไป มันพยักหน้าให้ ไม่ได้ถามอะไร พอดียายเมี้ยนเดินออกมาพร้อมกับหญิงสาวสองคน พวกกองกำลังเดินมาลากสาวสองคนออกไป ฤทธิชัยกับดาวมองตาม พวกมันพาสาวสองคนขึ้นรถกระบะออกไป ยายเมี้ยนหันมาถาม
“เมียเอ็งเป็นอะไร”
“ปวดท้อง”
“สองคนนั่นยังเด็กอยู่เลย ท้องกันแล้ว”
“ไม่ได้ท้อง มารักษาโรค ถูกพวกมันจับมา”
ดาวดีดตัวลงจากอ้อมแขนฤทธิชัยทันที ยายเมี้ยนงง ฤทธิชัยยิ้มๆ
“เฮ่...สงสัยหายแล้ว”
ดาวดีดพุ่งออกไป ฤทธิชัยรีบตาม ยายเมี้ยนมองแล้วหมุนตัวกลับเข้าบ้าน
รถกระบะพวกกองกำลังมาจอดหน้าบาร์ในหมู่บ้าน พวกมันคุมตัวผู้หญิงสองคนลงมาจากรถ กองกำลังที่อยู่หน้าบาร์สองคนเดินเข้ามารับผู้หญิงสองคนเข้าไปในบาร์...ฝั่งตรงข้าม ดาวอยู่ในมุมข้างร้านขายของ ฤทธิชัยเข้ามา
“เรามาสืบเรื่องอาวุธ ไม่ใช่เรื่องผู้หญิง”
“รับทราบ”
ดาวหน้าตาเอาเรื่อง
กองหินปิดปากถ้ำเต็มไปหมด เหลือช่องเล็กๆเท่ากำปั้น ทันใดนั้นกำปั่นของไผ่โผล่พรวดขึ้นมากลายเป็นโพรงใหญ่ หินที่กองอยู่ค่อยๆทลายออกเป็นช่องใหญ่ในที่สุด ไผ่ก้าวออกมาก่อน ตามด้วยลุงเดช พ่ออาตง และแสง ก้าวตามออกมา ไผ่กราดสายตาไปรอบๆตรงหน้าคือหมู่บ้านอยู่ห่างออกไปลิบๆ ไผ่หลับตาสมาธิ
“สายลม”
เสียงสายลมร้องก้องอยู่บนท้องฟ้า เห็นแต่ภาพของหลายหมู่บ้านปรากฏแต่ไม่เห็นเงาของอาตงกับเม่งจู ไผ่ลืมตาขึ้น
“เราต้องรีบหา เม่งจู กับ อาตง ให้ได้เร็วที่สุด”
ไผ่ก้าวออกไป ทุกคนก้าวตามอย่างรวดเร็ว
ด้านในบาร์ มีพวกกองกำลังยืนอยู่ที่บาร์ และนั่งตามโต๊ะรวมๆแล้วเป็นสิบ ด้านหนึ่งมีพวกผู้หญิงนั่งรวมกันอยู่ 5 คน โดยมีผู้หญิงสองคนเดิมที่บ้ายยายเมี้ยนนั่งอยู่ด้วย ผู้หญิงสองคนจ้องมาที่ดาวกับฤทธิชัยที่เดินเข้ามา ฤทธิชัยกราดสายตารอบๆแต่ดาวมองผู้หญิงสองคนแล้วตรงไปที่บาร์ ฤทธิชัยหันไปสั่ง
“เหล้าขาวสอง”
ชายที่อยู่หลังบาร์เดินไป ฤทธิชัยกับดาวกราดสายตามองรอบๆ เห็นพวกมันต่างมองมาที่ทั้งสองเป็นตาเดียว กองกำลังสองคนเดินเข้ามาใกล้จ้องมองดาว ชายคนเสิร์ฟเอาเหล้ามาวางสองแก้ว ฤทธิชัยเอื้อมหยิบแก้วของตน ดาวเอื้อมหยิบแก้วแต่แล้วมือของกองกำลังคนหนึ่งมาจับมือดาว หญิงสาวเหลือบตามองมัน มันตีหน้าเข้ม ฤทธิชัยขยับมามองหน้ามันเตรียมพร้อม
“เลี้ยงเหล้าหน่อยเด้ น้องสาว”
ดาวพยักหน้า มันเลื่อนมือไปหยิบแก้วเหล้าของดาว ยกกระดกพรวดเดียวหมด กองกำลังอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา
“เฮ้ย ถึงเวรแล้ว กินเหล้าอยู่ได้”
กองกำลังคนนั้นทำมือตะเบ๊ะแล้วเดินออกไปพร้อมกับเพื่อนมัน ฤทธิชัยกวักมือเรียกชายหลังบาร์
“เหล้าขวดนึง จะเอากลับไปกินบ้าน”
ชายหลังบาร์เดินไปหยิบเหล้ามาให้ ฤทธิชัยโยนเงินแล้วคว้าเหล้าก้าวเดินออกไป ดาวเดินตามหันไปมองสาวสองคนสบตาแล้วเดินออกไป
ด้านนอกมีกองกำลังยืนกันอยู่สองสามกลุ่ม สองคนเดินออกมาแล้วไปที่รถกระบะซึ่งมีกองกำลังนั่งอยู่แล้ว ฤทธิชัยกับดาวเดินออกมาพอดี มือปืนสองคนหันมามอง
“พี่นี่เหล้าขวดนึง ขอติดรถไปลงข้างนอกเมียฉันเดินไม่ค่อยไหว”
“ไม่ได้หรอก พวกข้าไปเข้าเวรแต่เหล้าน่ะเอา”
ฤทธิชัยโยนเหล้าให้ มันรับไว้ พวกกองกำลังต่างเฮ มันสองคนขึ้นรถแล้วขับออกไป ดาวมองตามครุ่นคิด
“มันบอกว่าต้องไปเข้าเวร”
“ตามไปดูหน่อยน่าจะดี”
ทั้งสองเดินออกไป
เม่งจูกังอาตงถูกพวกมันคุมตัวออกมา ตรงหน้าคือสัตยามองอยู่
“เด็กสองคนนี่รู้ทางเข้ากำแพงมนต์ พวกเองเอาไปไว้ที่หมู่บ้าน...ย้ายทุกวัน อย่าให้พวกมันตามเจอ”
ทันใดนั้นร่างของคายามังปรากฏตรงหน้า
“ระวังนะอาจารย์อยู่ๆโผล่มา อาจเจอลูกปืนได้”
คายามังยิ้มเดินเข้ามาหา เม่งจู กับ อาตง
“ท่านรู้มั้ยว่าพวกนางเสือ มีเหยี่ยวมนต์ที่สามารถบอกตำแหน่งที่ซ่อนของเด็กสองคนได้”
“นั่นเป็นหน้าที่ของอาจารย์ ผมไม่เกี่ยว”
คายามังมองหน้าสัตยาอย่างรังเกียจ แล้วเดินไปยัง เม่งจู กับ อาตง ยกมือวนไปมาที่เด็กทั้งสองอึดใจก็หันมาทางสัตยา
“หน้าที่เราจบแล้ว ต่อไปนี้ถ้าเด็กสองคนหลุดมือไปได้ก็ต้องเป็นความผิดของท่าน”
คายามังเดินออกไป สัตยามองอย่างเสียอารมณ์
“เอาเด็กสองคนนี่ออกไป ทำตามแผนที่ข้าสั่ง”
“ทำไมไม่เชือดซะเลยล่ะพี่ จะได้หมดเรื่องหมดราว”
สัตยาตบเปรี้ยง มือปืนหน้าหัน
“เอ็งทำตามคำสั่ง ห้ามถาม ถ้าเด็กสองคนนี่เป็นอะไรเอ็งตายก่อน”
มือปืนพยักหน้าแล้วโบกมือให้ลูกน้องของมัน 3 คนจูงอาตงกับเม่งจูไปที่รถแล้วขับออกไป
“พวกเอ็งที่เหลือออกลาดตระเวนรอบพื้นที่ จัดการกับพวกมันทุกคนที่ขวางหน้า”
พวกมือปืนกระจายกำลังกันออกไป สัตยามองตามหน้าเคร่งเครียดพึมพำออกมา
“อย่างน้อยก็ยังพอเอาไว้ต่อรองกับพวกนางเสือได้”
อภิชาติ นั่งอยู่ที่โซฟาดูทีวีอยู่ ในทีวีมีนักข่าวสาว กำลังรายงานข่าวจากที่เกิดเหตุ มีรูปนักธุรกิจปรากฏที่จอ
“นักธุรกิจพันล้าน ถูกมือปืนบุกยิงแต่ในระหว่างงานเปิดตัวสาขาใหม่ แต่โชคดีที่บอดี้การ์ดช่วยไว้ได้ทันท่วงที ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังตามล่ามือปืนอยู่อย่างเข้มข้น”
“โห...บอดี้การ์ดช่วย พวกนี้โกงแม้กระทั่งผลงานของคนอื่น”
งิ้วอยู่ในห้องน้ำตรงอ่างล้างหน้า กำลังออกอาการอาเจียนเล็กน้อย จักจั่นยืนลูบหลังอยู่ข้างๆ งิ้ววักน้ำลูบหน้าขยับตัวขึ้นมา
“ไอ้แวบนี่ดีนะ แต่ไม่ไหว คลื่นไส้”
“อีกหน่อยก็ชินเองนั่นแหละ”
จักจั่นยิ้มแล้วเดินออกไป งิ้วทำหน้านิ่วแล้วก้มลงส่งเสียงโอกอากอีก
รถของกองกำลังขับมาตามทางป่า ผ่านไปดงไม้ไป ทันใดนั้นด้านบนเหนือยอดไม้เห็นร่างดาวกับฤทธิชัยพุ่งผ่านตามรถของพวกมันไป...รถของพวกมันวิ่งตะบึงมาแล้วจอดตรงหน้าหุบเขา มีมือปืนยืนอยู่แล้วกลุ่มหนึ่ง พวกกองกำลังลงจากรถ พวกมือปืนที่ยืนอยู่ต่างพากันขึ้นรถเปลี่ยนเวรกัน แล้วขับออกไป ตรงข้ามหุบเขา ดาวกับฤทธิชัยซุ่มดูอยู่
“พวกมันมาเปลี่ยนเวรกันนี่เอง ข้างในอาจเป็นที่ซ่อนอาวุธ” ดาวหันมาบอกเบาๆ
“จุดนี้เป็นจุดแรก อะไรจะโชคดีถึงขนาดนั้น”
“ไม่แน่”
“เราต้องเงียบที่สุด เท่าที่จะเงียบได้ อย่าให้พวกมันในหมู่บ้านรู้ตัว”
“โอเค”
“เดี๋ยวครับ…”
ฤทธิชัยล้วงอกเสื้อหยิบดอกไม้มาดอกหนึ่งส่งให้
“ถึงเราจะยุ่งปราบผู้ร้าย แต่ผมคิดถึงคุณดาวเสมอครับ”
ดาวยิ้ม
“น่ารักที่สุด”
ดาวยื่นมือให้ฤทธิชัยจับทั้งสองหลับตาสมาธิร่างก็ค่อยจางลงแล้วหายไป
กองกำลังยืนอยู่ตรงหน้าหุบเขา 5 คน ฤทธิชัยเดินตรงเข้าไปหากลุ่มพวกมันแล้วผ่านเข้าไป
พวกมันมองไม่เห็นมีคนหนึ่งพรวดเข้ามาตรงหน้าจะชนดาว ดาวใช้มือผลักโครมมันล้มลงไปก้นจ้ำเบ้า พวกกองกำลังหันมามองมันเป็นตาเดียว
“ใครผลักกูวะ”
พวกกองกำลังต่างหัวเราะ
“มึงเมาแล้วอย่าหาเรื่อง”
กองกำลังคนนั้นงงๆกราดสายตาไปมา เพื่อนด่า
“ไอ้นี่เมา...กว่าจะออกมาได้ ต้องไปไถเหล้าผู้หญิงกิน”
พวกกองกำลังต่างหัวเราะ กองกำลังคนนั้นลุกขึ้นมาปัดเสื้อผ้า แล้วเดินออกไป
ดาวกับฤทธิชัยค่อยๆปรากฏตัวขึ้น กราดสายตามองไปรอบๆ เห็นแต่ความว่างเปล่า
“เหลว…เราไปกันได้แล้ว”
ดาวกราดสายตามองไปรอบๆ หาพิรุธ
“มันลงทุนส่งคนมาเฝ้าที่เปล่าๆเพื่อหลอกเรา”
“ต้องยอมรับว่ามันไม่โง่เหมือนผู้ร้ายในหนัง”
ดาวขำ
“อย่าว่าแต่ผู้ร้ายเลยค่ะ พระเอกกับนางเอกในหนังบางเรื่องก็โง่ด้วย”
ทันใดนั้นมีเสียง ไอ ดังสะท้อนออกมาจากด้านใน
“มีคน”
ทั้งสองตวัดปืนขึ้นมาพร้อมกัน
จักจั่นเดินเข้ามา อภิชาตินั่งอยู่ที่โซฟา
“คุณงิ้วเป็นไงบ้าง”
จักจั่นยิ้ม
“ยังเมาแวบอยู่”
“แน่ใจนะว่าเมาแวบ…ไม่ใช่เอ้อ...ท้อ...”
“ฮันนี้ ทะลึ่ง จะฟ้องคุณงิ้ว”
งิ้วเดินเข้ามาพอดี
“ฟ้องเรื่องอะไรคะ”
อภิชาติยิ้มแหยๆ
“เฮ่ ผมแค่ล้อเล่น”
“คุณอภิชาติหาว่าคุณงิ้วอาจจะท้อง”
งิ้วตกใจ
“ตายแล้ว คุณอภิชาติ ทำยังไงดีคะงิ้วบอกแล้วว่าอย่า...”
จักจั่นหันขวับมองหน้า อภิชาติหน้าตื่น
“หา...ผมเปล่านะฮันนี้”
งิ้วหัวเราะคิก จักจั่นขำ
“ดีแล้ว อยากไปล้อคุณงิ้วก่อนสมน้ำหน้า”
จักจั่นเดินเข้ามาใกล้งิ้ว
“มุขนี้เด็ดมากค่ะคุณงิ้ว”
จักจั่นยกมือขึ้น งิ้วไฮไฟว์ด้วย อภิชาติยิ้มโล่งใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อภิชาติรับสายหน้าเคร่ง อึดใจก็วางสาย
“นายนพโทรมารายงาน หนึ่งในเป้าหมายกำลังไปไดร์ฟกอล์ฟ”
จักจั่นชะงัก
“หาไดร์ฟกอล์ฟ...รู้ตัวว่าถูกตามล่าแล้วยังทำซ่าปล่อยให้ตายไปในสนามไดร์ฟนั่นแหละ”
อภิชาติเห็นด้วย
“ดีเหมือนกัน พวกนี้ชอบเล่นกอล์ฟเดิมพัน ถือว่าเส้นใหญ่เล่นช้ามาก ไม่มีมารยาท ผมเคยพาลูกค้าไปเล่นเจอตามหลังพอดี รอจนเงก”
งิ้วขัดขึ้น
“รีบไปกันเถอะค่ะ”
อภิชาติยิ้มแย้ม
“ไปสาวๆ ไปไดร์ฟกอล์ฟออกกำลังกันหน่อย”
ดาวกับฤทธิชัยกราดปืนเดินเข้าไปด้านใน เห็นแสงสว่างสะท้อนมาจากด้านในแวบๆ ฤทธิชัยหันมาบอก
“แสงจากคบเพลิง”
“หรือว่าพวกมันเฝ้าอาวุธอยู่ข้างใน”
ฤทธิชัยกราดปืนนำเข้าไปดาวหันหลังกราดปืนระวัง ค่อยๆถอยตามเข้าไป
แสงจากคบเพลิงที่ติดอยู่ตรงผนังถ้ำตรงทางเข้า ทำให้เห็นฤทธิชัยกราดปืนเข้ามาด้านใน ตามติดมาด้วยดาว ทั้งสองถึงกับคาดไม่ถึง ตรงหน้าคือ เด็กชายหญิงอายุประมาณ 10 ขวบ ถึง 13 ขวบนับสิบ ถูกพวกมันขังอยู่ในกรงไม้ สองกรง ต่างนั่งอ่อนแรงหลับใหลไม่ได้สติกัน ดาวกับฤทธิชัยต่างมองหน้ากันคาดไม่ถึง
“เด็กทั้งนั้น”
ฤทธิชัยโกรธ
“มันเลวจริง มันเอาเด็กมาขังเพื่อถ่วงเวลาเรา”
“แต่เราจะทิ้งเด็กไว้ที่นี่ไม่ได้”
“กว่าเราจะเอาเด็กไปส่ง ต้องเสียเวลาอย่างน้อยหนึ่งวัน เรามีอีก 9 จุดที่จะต้องค้นหานะครับ”
“ดาวมีไอเดียแล้ว เราช่วยผู้หญิงออกมาก่อน แล้วให้ผู้หญิงพาไปส่งที่อนามัยน้องจันที่บ้านดอนเสือ”
“แล้วเกิดเจอพวกมันระหว่างทางล่ะ”
ดาวนิ่งจนด้วยเหตุผล
“คุณหนึ่งไปส่งดีที่สุด ดาวค้นหาจุดต่อไป คุณหนึ่งรีบตามให้ทัน”
“คุณคนเดียวต้านนาคีไม่ไหวแน่นอน”
“ดาวสัญญาว่าจะไม่ต้าน จะหนีอย่างเดียว”
“ก็ได้ คุณไปปล่อยเด็ก ผมจะออกไปจัดการกับพวกมัน”
ฤทธิชัยเคลื่อนกาย ดาวดึงไว้ ยิ้มหวานให้
“ระวังตัวนะคะ”
ฤทธิชัยยิ้มแล้วเคลื่อนกายออกไป ดาวกราดสายตาไปที่เด็ก เคลื่อนตัวเข้าไป
งิ้ว จักจั่น อภิชาติ เดินเข้ามาในห้องของเซฟเฮาส์
“วันหลังไปตีกอล์ฟ จักจั่นไปด้วย”
“โห...ไม่สนุกหรอกจ้ะ น่าเบื่อออก ผมไปเพราะลูกค้าชวนน่ะ”
“งิ้วก็ไปด้วยคนนะคะ คุณอภิชาติจะได้สอน”
“ตู...ซวย”
งิ้วขำคิก จักจั่นเลยพลอยขำไปด้วย งิ้วหันมาถาม
“ตกลงเราต้องคอยเฝ้านักธุรกิจพวกนี้ไปถึงไหน”
อภิชาติหน้าเครียด
“จนกว่าคุณดาวจะหาอาวุธพบ คุณไผ่เจอกำแพงมนต์ แล้วเราดับนายใหญ่ได้”
ทั้งหมดต่างมองหน้ากันอย่างเซ็งๆ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่กันแน่ !
รถของพวกมือปืนวิ่งมาตามแนวป่า สายตาพวกมันกราดไปมาสอดส่อง ทันใดนั้น ไผ่ร่อนลงมาขวางหน้าพวกมัน
“เฮ้ย”
พวกมือปืนจอดรถพรวดลงจากรถ
“กระทืบมันซะ ดันมาขวา...”
ยังไม่ทันที่มันพูดจบ ไผ่ก็พุ่งเข้ามาถึงตัวมันตบโครม มันกระเด็นไปที่เหลือล้อมเข้ามาเกิดการต่อสู้ประชิดตัวไผ่ร่อนไปมาอยู่กลางวง ครู่หนึ่งพวกมันก็ทรุดลงหมด ลุงเดช แสง ก้าวออกมาจากแนวป่า ยึดอาวุธของพวกมันเก็บไว้ไผ่กระชากหัวหน้ามือปืนขึ้นมา
“เด็กสองคนอยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้”
ไผ่ตบผัวะมันหน้าหัน
“ครั้งต่อไป เอ็งลอยขึ้นไปอยู่บนยอดไม้แน่”
หัวหน้ามือปืนกลัวตัวสั่น
“เด็กถูกส่งไปที่หมู่บ้านแล้วย้ายทุกวัน ไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน”
ไผ่เหวี่ยงมันทรุดไปที่พื้น แล้วดีดตัวขึ้นรถ
“เราต้องลุยมันทุกหมู่บ้าน”
ลุงเดช แสง พ่ออาตงต่างรีบขึ้นรถ ไผ่ขับรถออกไป
รถของไผ่จอดอยู่ในราวป่าบนเนินเล็กๆ ไผ่กับทุกคนยืนมองกราดสายตาไปรอบๆ
“รอบๆมีหมู่บ้านนับสิบ เราไม่มีทางรู้เลยว่าเม่งจู กับ อาตง อยู่ที่ไหน”
พ่ออาตงหน้าเครียด
“นอกจากว่า เม่งจู กับ อาตง จะส่งสัญญาณให้เรารู้”
ทุกคนหันมามองพ่ออาตง ลุงเดชถามอย่างสงสัย
“สัญญาณอะไร”
“สัญญาณควัน ผมเคยสอนให้เด็กๆ ถ้าหลงให้ก่อไฟส่งสัญญาณควัน”
แสงหนักใจ
“ข้าว่า เม่งจู กับ อาตงจะไม่มีโอกาสได้ก่อไฟนะซิ”
“เม่งจู กับ อาตงฉลาด ต้องทำได้แน่ๆ”
ไผ่ตั้งสมาธิ
“สายลม ควันไฟหรือกองไฟ คือเป้าหมาย”
เสียงสายลมร้องก้อง ไผ่ลืมตาขึ้น
“ทุกคนรออยู่ที่นี่ ผมจะลองตระเวนดูรอบๆ แล้วผมจะรีบกลับมา”
ลุงเดชเห็นด้วย
“ดีเหมือนกัน ไผ่เดินทางคนเดียวจะเร็วกว่า”
แสงตบบ่าลูกชาย
“โชคดีนะลูก”
ไผ่ยิ้มแล้วพุ่งตัวหายขึ้นไปบนยอดไม้
ด้านนอกหุบเขา มือปืน 5 คนยืนคุยกันอยู่ ทันใดนั้น ฤทธิชัยแวบโผล่มาตรงกลางแล้วลงมืออย่างรวดเร็วพวกมันไม่ทันตั้งตัวเพราะเมาและเป็นมือปืนชั้นเลวมาเฝ้าเด็กเท่านั้น พวกมันคนหนึ่งชักปืนแต่ฤทธิชัยเข้าถึงตัวก่อนชกเปรี้ยงมันคว่ำไป ฤทธิชัยแวบไปมาปล่อยหมัด พวกมันทรุดหมดในที่สุด พอดีดาวพาเด็กๆออกมา
“เราต้องพาเด็กหลบไปก่อน”
ทั้งสองต่างพาเด็กหลบเข้าแนวป่าไป
อ่านต่อหน้า 3
ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 13
ดาวกับฤทธิชัยพาเด็กหลบเข้ามาในแนวป่า เด็กทั้งหมดต่างเกาะกลุ่มกัน ดาวหันมาหาฤทธิชัย
“ต่อไปคือช่วยพวกผู้หญิง”
“คุณอยู่ที่นี่คอยดูเด็ก ผมไปคนเดียว”
“คนเดียวเสี่ยงแล้วก็ยืดเยื้อเกินไป” ดาวคิดอึดใจ “ดาวรู้แล้วว่าจะทำยังไง”
ดาวหันไปทางเด็กๆ เลือกคนอายุมากออกมาสองคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ฤทธิชัยกราดสายตาระวังรอบด้าน
“หนูชื่ออะไรจ๊ะ”
“มะลิค่ะ”
ดาวหันไปหาเด็กชาย
“หนูล่ะ”
“เก่งครับ”
“เก่งกับมะลิช่วยดูน้องๆได้มั๊ยจ๊ะ แป๊บเดียว เดี๋ยวพี่มา”
เก่งพยักหน้า
“ผมดูได้ครับ”
มะลิหน้าเสีย
“หนูกลัวพวกมันค่ะ”
ดาวพยักหน้าเหลือบสบตามองกับฤทธิชัย ถอนใจ แต่แล้วดาวก็นึกได้
“อ้า...พี่จะหาใครมาอยู่ด้วย…พี่สายฟ้า”
ทันใดนั้นเสียงสายฟ้าร้องก้อง ร่างของสายฟ้าปรากฏห่างออกไป เด็กๆต่างถอยรวมตัวเป็นกระจุก ดาวยิ้มแย้มแนะนำ
“นี่คือพี่สายฟ้าใจดีกับทุกคน แต่ร้ายกับคนเลว พี่ให้พี่สายฟ้าอยู่เป็นเพื่อน โอเคมั๊ย รับรองได้ว่าพวกผู้ร้ายไม่กล้าเข้าใกล้พวกหนูเด็ดขาด”
สายฟ้าคำรามเบาๆ เก่งกับมะลิ พยักหน้าดาวยิ้มอย่างพอใจ
“พี่สายฟ้า ฝากเด็กๆด้วยนะจ๊ะ”
สายฟ้าคำรามก้อง ดาวกับฤทธิชัยยิ้มด้วยความพอใจ
รถของมือปืนเข้ามาจอดตรงลานหมู่บ้านซึ่งมีพวกมือปืนยืนอยู่เป็นกลุ่ม เม่งจู กับ อาตง อยู่บนรถ พวกมันต่างอุ้ม เม่งจู กับ อาตงลงมา
“เอาเด็กสองคนนี่มาส่ง เย็นๆพวกเอ็งเอาไปส่งอีกหมู่บ้านหนึ่งตามคำสั่ง ดูแลให้ดีด้วย”
หัวหน้าโบกมือเรียกสมุน
“เอ็งเอาเด็กไปไว้ที่บ้าน แล้วนั่งเฝ้าไว้”
พวกมือปืนต่างหัวเราะกันงึมงำ มือปืนเดินออกมาหาเด็กๆหน้าตาเซ็งๆ
“เด็กๆ มานี่ อย่าซ่า”
เม่งจูกับอาตงเดินมา มือปืนต้อนออกไป
เม่งจู กับ อาตง นั่งอยู่บนแคร่ในกระต๊อบ มีเสื่อปูและมีหมอนสองใบ ต่างมองมือปืนตาไม่กระพริบ มือปืนนั่งอยู่บนเก้าอี้มองหน้าเด็กสองคนอย่างรำคาญ
“มองอะไรวะ...เอ็งสองคนอย่าคิดมาทำซ่า กับข้า”
มันบ่นพลางหยิบขวดเหล้าขึ้นกระดก เม่งจูเบ้หน้า
“กินเหล้า...นิสัยไม่ดี”
มือปืนตวาด
“เอ็งอย่ายุ่ง นอนไปซะ”
มือปืนวางขวดเหล้าลงเอามือล้วงไปมาในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตของมัน หยิบซองบุหรี่ออกมา เด็กสองคนจ้องตาเป็นมัน
“ทำไม...”
มือปืนดึงบุหรี่ออกมา พร้อมไฟแช็คพลาสติคทำท่าจะจุด อาตงเอามือปิดจมูก
“สูบบุหรี่ ไม่ดี เหม็น”
เม่งจูเสริม
“นอนไม่หลับ เสียสุขภาพ”
มือปืนส่ายหน้ารำคาญ แต่ก็ยังอุตส่าห์เก็บเข้ากระเป๋า อาตง กับ เม่งจู ต่างสบตากัน แล้วทำเป็นล้มตัวลงนอน มือปืนยิ้มแล้วยกขวดเหล้าขึ้นกระดก
ดาวกับฤทธิชัยยืนอยู่ตรงข้ามบาร์ในหมู่บ้าน ฤทธิชัยมองไปทางหนึ่งก่อนจะบอกเบาๆ
“ตอนเข้าไปครั้งแรก ผมสังเกตว่าด้านหลังของพวกผู้หญิงมีประตูทางออก ผมจะพาพวกผู้หญิงออกมาทางด้านนั้น”
ดาวมองไปที่รถ
“ดาวจะหาทางเอารถของพวกมันไปรับคุณหนึ่ง”
“โอเค...งั้นผมเข้าไปก่อน”
ดาวพยักหน้า ฤทธิชัยเคลื่อนตัวออกไป...พวกมือปืนยืนกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละสอง คนสามคน อยู่หน้าบาร์
ฤทธิชัยเดินดุ่มๆจะเข้าไปในบาร์ พวกมันคนหนึ่งมาขวางไว้
“เอ็ง...ไปแล้วนี่หว่า มาทำไมอีก เป็นสายตำรวจเหรอ”
“เปล่าจ้ะพี่ ฉันทะเลาะกับเมีย แค่จะหาเหล้ากิน”
พวกมันต่างหัวเราะฮึมฮัม ฤทธิชัยเดินผ่านบาร์เข้าไป ด้านในเห็นพวกมัน รวมตัวกันอยู่นับสิบ เขามองไปที่ผู้หญิงที่นั่งกันอยู่ 5 คน ฤทธิชัยเดินไปที่บาร์ซึ่งมีพวกมือปืนยืนกันอยู่สองสาม ชายเจ้าของบาร์ถามขึ้น
“เหมือนเดิม”
“เอามาขวดนึง”
เจ้าของบาร์เดินไปแล้วกลับมาพร้อมเหล้าขาวหนึ่งขวด ฤทธิชัยโยนเงินให้ มันมองตาเป็นมัน
“พี่…พวกผู้หญิง เห็นนั่งกันอยู่เฉยๆ ทำไมเหรอ”
เจ้าของบาร์ยิ้ม
“ยังวันอยู่มั๊ง ดึกๆถึงจะยุ่ง”
“ฉันเหมาหมดได้หรือเปล่า”
พวกมือปืนยืนที่บาร์ต่างขำกัน เจ้าของบาร์ตาโต
“เฮ้ย...หมดเนี่ยนะ”
ฤทธิชัยพยักหน้า
“ใช่ เมียด่าครั้งนึง ก็ต้องยุ่งกับผู้หญิงคนนึงถึงจะหายกัน”
พวกมือปืนต่าง หัวเราะอีก พยักหน้าเห็นด้วย
“ว่าแต่พี่มีห้องอยู่ข้างหลังหรือเปล่า”
“มีเด้…แต่เอ็งมีเงินจ่ายเหรอ”
ฤทธิชัยเอาเงินวางปึกนึงตรงหน้า เจ้าของบาร์ยิ้มกว้าง คว้าเงินหมับ มองหน้าฤทธิชัยอย่างพิจารณา
“เอ็งมาจากไหนวะ ทำไมเงินเยอะ”
ฤทธิชัยจ้องหน้านิ่ง
อาตงกับเม่งจู จ้องมือปืนอย่างตื่นเต้น ที่เห็นมือปืนเมาพับโงกเงกอยู่บนเก้าอี้ ทั้งสองมองหน้ากันแล้วพยักหน้าให้กันต่างค่อยๆลงจากเตียง จรดฝีเท้าเดินเข้าหา มือปืนขยับตัวเล็กน้อย เด็กสองคนสะดุ้งหยุดกึก มือปืนหลับต่อ เด็กทั้งสองหายใจอย่างโล่งอก ค่อยเดินเข้าไปจนใกล้แล้วต่างช่วยกันล้วงกระเป๋าที่ใส่บุหรี่ของมันอย่างระมัดระวัง มันขยับตัว เด็กสองคนหยุดแทบไม่หายใจ
มือปืนนั่งบ้าง ยืนบ้างอยู่ที่ลานหน้าหมู่บ้าน หัวหน้ามือปืนเดินตรงมาที่คนขับรถที่นั่งอยู่บนรถ กับมือปืนอีกสองคนพวกมันกินเหล้ากันสบายใจ
“เฮ้ย...ได้เวลาแล้ว เอาเด็กไปส่ง”
คนขับรถแย้ง
“ยังไม่เย็นเลยลูกพี่”
“ใครถามเอ็ง”
มือปืนคนหนึ่งลงจากรถเดินไปที่กระต๊อบสำหรับขังเด็กสองคน
เม่งจูกับอาตง ยังคงพยายามล้วงไม้ขีดจากกระเป๋าของมือปืน ทันใดนั้นได้ยินเสียงเรียกแว่วเข้ามา
“เฮ้ย ลูกพี่ให้เอาเด็กไปส่งตอนนี้เว้ย”
เม่งจูกับอาตงสะดุ้งเฮือก
ดาวเดินมาที่รถกระบะที่จอดอยู่ มือปืนยืนอยู่ข้างรถสองสามคน ดาวเดินยิ้มเข้าไปถาม
“รถพี่เหรอ”
มือปืนส่ายหน้า
“มันกินเหล้าอยู่ข้างใน”
ดาวพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปที่หน้าบาร์
ในบาร์...ฤทธิชัยจ้องหน้าเจ้าของบาร์นิ่ง ก่อนจะพูดเบาๆ
“ข้ามาจากชายแดน เอาของไปส่ง เพิ่งได้เงินมา ของน่ะเอ็งเข้าใจหรือเปล่า”
เจ้าของบาร์ยิ้ม
“ออกประตูหลังไป มีบ้านติดกันอยู่ขึ้นบ้านไปเลย เฮ้ย สาวๆไอ้บ้านี่มันเหมาพามันไป”
พวกมือปืนหัวเราะกันอีก
“เยี่ยมมาก”
ฤทธิชัยคว้าขวดเหล้า
“ห้ามบอกเมียฉัน โอเคะ”
ฤทธิชัยเดินไปตรงที่ผู้หญิงนั่งอยู่ พวกผู้หญิงต่างลุกขึ้นมาทำหน้าที่อย่างฝืนใจพาฤทธิชัยออกประตูหลังไปเจ้าของบาร์มองตามเดินไปคุยกับพวกมือปืนที่เข้ามายืนที่บาร์
“มันบอกว่าเมียด่าครั้งนึง ต้องแก้แค้นยุ่งกับผู้หญิงคนนึง...มันเหมาที่เดียว 5 คน สงสัยเมียมันด่าเป็นไฟ”
พวกมือปืนต่างพากันหัวเราะ แต่แล้วประตูบาร์เปิดผลัวะ พวกมันหันไป เป็นร่างของดาวปรากฏ
ทุกคนมองดาวเป็นตาเดียว ดาวกราดสายตาไปรอบๆสีหน้าเคร่งเดินเข้ามาที่บาร์ ถามเจ้าของบาร์
“รถกระบะที่จอดอยู่ข้างหน้า ของใคร”
“ทำไม”
ดาวบีบน้ำตา
“ฉันทะเลาะกับแฟน อยากจะขอติดรถออกไปลงข้างนอก”
เจ้าของบาร์กวักมือเรียกมือปืนคนหนึ่ง…มันเดินเข้ามา
“พี่ขับรถกระบะข้างนอกเหรอ”
มือปืนยิ้มโยนกุญแจแล้วรับ
“แน่นอน”
มือปืนเก็บกุญแจใส่กระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต ดาวจ้องกุญแจมันแวบ เจ้าของบาร์บอกกับมือปืน
“น้องสาวคนนี้จะขอติดรถไปข้างนอก” เจ้าของบาร์ขยิบตาส่งซิก “ทะเลาะกับแฟน”
มือปืนยิ้มกว้าง
“ได้...แต่รอแป๊บนึง”
“ฉันเลี้ยงพี่เอง”
ดาวพยักหน้า เจ้าของบาร์เอาเหล้ามาวางตรงหน้า แต่แล้วมีแขนข้างนึงของมือปืนอีกคนมาโอบไหล่อีกด้านหนึ่ง
“ไงจ๊ะคนสวย ไม่เลี้ยงพี่มั่งเหรอ”
ดาวหันไปตบเปรี้ยง มันหน้าหัน มือปืนโกรธ
“หนอยนังนี่”
มันเงื้อมือดาวรีบถอยจนเซไปชนมือปืนที่เป็นคนขับรถเซไปทั้งคู่ มือปืนเสียอารมณ์ หันไปตวาดเพื่อนดังลั่น
“เฮ้ย...ถอยไปเว๊ย”
ทันใดนั้นสัตยาก็ดังขึ้น
“อะไรกันวะ”
มือปืนชะงัก ดาวยืนจ้องหน้ามือปืนอย่างระวังไม่ได้สนใจเสียงสัตยาที่ขัดจังหวะ มือปืนหันมาบอกสัตยา
“ไม่มีอะไรครับคุณสัตยา”
ดาวถึงกับนิ่ง แต่ในมือมีกุญแจรถของมือปืนอยู่เรียบร้อย
มือปืนเดินเข้ามาถึงหน้ากระต๊อบ เปิดประตูพรวดเข้ามาเห็น อาตง กับ เม่งจูนอนหลับอยู่บนเตียง มันหันมาเห็นมือปืนคนเฝ้านั่งเมาหลับอยู่ จึงเอาขาเตะเก้าอี้โครม มือปืนที่เมาหลับทรุดลงกับพื้นงัวเงียตื่นขึ้นมา
“ต้องเอาเด็กไปส่งแล้วเว๊ย”
มือปืนเดินออกไป...มือปืนคนเฝ้าค่อยๆลุกขึ้นสะบัดหัวไล่ด้วยความมึนงงแล้วเดินไปที่เตียง
“อะไรวะยังไม่ทันเย็นเลย...เฮ้ย”
ทันใดนั้น อาตง กับ เม่งจู ก็ลุกขึ้นมา มองมันเขม็ง มือปืนตวาด
“ออกไปข้างนอก”
เม่งจูกับอาตงลงจากเตียงเดินผ่านมันออกไป มาถึงรถจิ๊ปตามด้วยมือปืนขี้เมา มือปืนอีกสองคนเข้ามาอุ้ม ขึ้นรถ มือปืนขี้เมาหันไปถาม
“ตกลงไปส่งเด็กที่ไหนวะ”
“รอหัวหน้าสั่งก่อน”
มือปืนขี้เมาพยักหน้าควักบุหรี่ออกมายัดเข้าปาก เอามือล้วงไปมาหาไฟแช็คของมัน เซไปเซมา
“เฮ้ย ใครขโมยไฟแช็คกูไปวะ”
เม่งจู กับ อาตง ต่างลอบสบตากันหน้าตาตื่น แต่ทำเฉยในมือของเม่งจูกำไฟแช็คของมันแน่น มือปืนขี้เมาหันมามองเด็กทั้งสอง หรี่ตามองจ้องหาพิรุธ หัวหน้ามือปืนเดินมาถึงมองมือปืนขี้เมาแล้วตบเปรี้ยงมันเซไปบุหรี่หลุดกระเด็น พวกมือปืนต่างหัวเราะกันงึมงำ
“ไอ้บ้าเอ๊ย...เมาจนเสียงานเอ็งไม่ต้องไปแล้ว พวกเอ็งพร้อมแล้วเอาเด็กไปส่งที่หมู่บ้านป่าโพง”
คนขับสตาร์ทรถแล้วออกรถไป อาตง กับ เม่งจู ถอนใจโล่งอก มือปืนขี้เมายังยืนเซ หัวหน้าหมั่นไส้ตบอีกเปรี้ยง มันทรุด พวกมือปืนต่างหัวเราะ
สัตยามายืนข้างๆดาว ซึ่งก้มหน้าและเบี่ยงไปอีกด้านหนึ่ง เจ้าของบาร์เอาเบียร์มาตั้งให้ สัตยาคว้าเบียร์มาดื่มแล้วหันหลังพิงบาร์พูดกับพวกมือปืน
“ข้าผ่านมา บางพื้นที่ยังหละหลวม พวกเอ็งต้องกระชับพื้นที่ให้แน่นกว่านี้”
พวกมือปืนงึมงำ ดาวกราดสายตามองไปรอบๆ เห็นประตูออกทางด้านหลังเปิดอยู่ พอดีเจ้าของบาร์เดินมาตรงหน้ากระซิบเบาๆ
“ผัวเอ็งอยู่ข้างหลัง ออกประตูนั่นไปอย่ามาเกะกะเจ้านายข้า”
ดาวพยักหน้าค่อยๆขยับตัวออกไป แต่แล้วมีมือเข้ามาจับมือดาวไว้ เป็นมือปืนคนขับรถกระบะ
“กินเหล้ากันก่อนเด้” มือปืนคนนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ดาวไม่มีทางเลือกตบโครมเข้าให้มันกระเด็นไปกระแทกร่างของสัตยาที่ยืนอยู่พอดี สัตยาคว้าคอเสื้อมันแล้วทุ่มโครมไปที่พื้น สัตยามองหน้ามันอย่างเสียอารมณ์ เจ้าของบาร์หันมาไล่ดาว
“ยังไม่รีบไปอีก”
ดาวจะเดินไปแต่เพิ่งก้าวออกไปได้ก้าวเดียว สัตยาก็เรียกไว้
“เดี๋ยว”
ดาวหยุดกึก เจ้าของบาร์รีบบอก
“มันจะไปหาผัวมันครับ คุณสัตยา”
สัตยาจ้องอึดใจ
“จะรีบไปไหนครับคุณดาว”
ดาวหันกลับมายิ้มให้อย่างเยือกเย็น สัตยากับพวกมือปืนต่างจ้องปืนตรงมาที่ดาวเป็นจุดเดียว
ฤทธิชัยเดินโอบสาวๆเข้ามาในบ้าน พอทุกคนเข้ามาหมดแล้ว ฤทธิชัยก็รีบไปที่ประตู กราดสายตาออกไปด้านนอก พวกผู้หญิงต่างตกใจรวมกลุ่มกัน
“ทุกคนไม่ต้องกลัว ผมมาช่วยพวกคุณ”
หญิงสาวสองคนที่เห็นฤทธิชัยกับดาวที่บ้านยายเมี้ยนเริ่มจำได้
“ฉันจำพี่กับเมียพี่ได้ ที่บ้านยายเมี้ยน”
“แต่พวกเราไม่มีทางหนีพ้น”
สาวๆต่างส่งเสียงเห็นด้วยน้ำเสียงกลัว ฤทธิชัยหนักใจ
ลุงเดช แสง พ่ออาตง นั่งรอไผ่อยู่ เสียงสายลมร้องก้อง สักครู่ไผ่ร่อนลงมาแล้วเดินเข้ามาหาทุกคน ส่งห่อเสบียงพร้อมกระติกน้ำให้ทั้งสามรับมาแจกจ่ายกัน ไผ่เดินไปนั่งตรงขอนไม้ตรงข้าม
“ผมผ่านหลายหมู่บ้าน แต่ยังไม่มีวีแวว ไม่มีควันไฟอะไรทั้งสิ้น”
ลุงเดชถอนใจ
“ต้องใจเย็นๆหน่อย เม่งจู กับ อาตง ยังเด็กอาจยังไม่มีโอกาส”
ไผ่พยักหน้ารับ พ่ออาตงบอกอย่างมั่นใจ
“เม่งจู กับ อาตง ฉลาด ผมเชื่อว่าไม่ช้าหรือเร็วลูกของผมต้องทำได้”
ไผ่ยิ้มให้กำลังใจ
“ผมรู้”
ทั้งหมดต่างมองหน้ากันด้วยความหวัง ต่างแบ่งเสบียงกัน
ดาวยิ้มกราดสายตามองสัตยา พวกมือปืนขณะนี้เริ่มล้อมวงเข้ามา รอบๆ ดาวขยับตัวเดินกลับเข้ามา ชำเลืองมองเจ้าของบาร์ที่ยืนงงอยู่ กราดตามองทุกคน เจ้าของบาร์ขยับมือไปใต้บาร์ซึ่งมีปืนลูกซอง พิงอยู่ ดาวเดินมาหยุดตรงหน้าบาร์ หันหลังให้มันพอดี
“คุณสัตยา”
สัตยายิ้มเหยียด
“ไม่ได้พบกันซะนาน เที่ยวไกลเหมือนกันนี่”
ดาวยิ้มกวน
“เที่ยวทั่วไทยไม่ไปไม่รู้”
ดาวกราดตามอง
“ข้าจะคุยกับเจ้านายเอ็ง พวกเอ็งจะเลือกออกไป หรือจะตายที่นี่”
ทันใดนั้นมือปืนสองคนขยับเหนี่ยวไกเปรี้ยงๆๆๆแต่ดาวไม่สะเทือนตวัดปืนสาดกระสุนใส่พวกมันเปรี้ยงๆ มันสองคนทรุด พวกมันต่างตกใจเริ่มขยับตัว มองหน้ากันไปมา
“กระสุนจริง ตายจริง ศาลไม่รับฟ้อง จะเอายังไง”
ดาวกราดปืนไปมา
เสียงปืนดังขึ้น สาวๆต่างมองกันหน้าตาหวาดกลัว
“เสียงปืน พวกมันมาแล้ว”
ฤทธิชัยปลอบ
“ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวแฟนผมจะเอารถ มารับพวกเราออกไป พวกคุณจะปลอดภัย”
แต่แล้วทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวดังมาจากบาร์ ฤทธิชัยหันมาบอกสาวๆ
“มีบางอย่างผิดพลาด พวกคุณต้องไปก่อน”
สาวตื่นกลัวมาก
“พวกมันต้องจับเราได้”
“จะอยู่หรือจะไป”
“ไปจ้ะ...”
“พวกมันกำลังยุ่งอยู่ในบาร์ พวกคุณรีบหลบเข้าไปในแนวป่าห่างจากที่นี่ให้มากที่สุด”
“แต่พวกเราไม่รู้ทาง”
“ผมหาพวกคุณเจอเอง ไม่ต้องห่วงรีบไปเร็วเข้า”
สาวๆต่างพากันออกไปอีกด้านหนึ่ง ฤทธิชัยพุ่งกลับเข้าไปในบาร์
ดาวกราดปืนยิงเปรี้ยงๆพวกมือปืนล้มอีกสองสามคน พลางกราดปืนไปมา มือปืนต่างเริ่มขยับตัวมองกันไปมา สัตยาหันไปขู่สมุน
“ใครขยับออกไป โดนข้ายิงก่อน”
พวกมือปืนต่างขยับปืนในมือจ้องมาที่ดาว
“เฮ้อ…ตอนแรกตั้งใจว่าจะทำบุญไม่ทำบาป แต่ในเมื่อเรียกร้องกันก็จำเป็นต้องจัดให้”
เจ้าของบาร์ค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาของมันหยิบลูกซองขึ้นมาอย่างช้าๆ ดาวยังหันหลังให้มันอยู่ มันค่อยๆยกลูกซองขึ้นเล็งที่หลังของดาว…สัตยาลุ้น จ้องอย่างตื่นเต้น ดาวสังเกตเห็นสายตาของสัตยาก็ขยับตัวมือตวัดเร็วแต่ช้าไปเสียงปืนดังขึ้นก่อนเปรี้ยง เจ้าของบาร์ทรุดลงตาย
“ใครขยับดับชัวร์ ชัวร์”
ฤทธิชัยอยู่ตรงประตูหลังค่อยๆก้าวเข้ามาปืนในมือสองกระบอกกราดไปมาที่พวกมือปืน สัตยากับพวกมือปืนต่างถือปืนจ้องนิ่งกันอยู่ สัตยาตะโกนออกมา
“ฆ่ามัน”
ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ดาวถอยเอาหลังพิงบาร์แล้วถีบตัวตีลังกากลับหลังหลบกระสุนไปลงที่หลังบาร์พอดี ฤทธิชัยสาดกระสุนใส่พวกมันล้มคว่ำไปแล้วพุ่งเข้ามาหลังบาร์เช่นกันฤทธิชัยยื่นหน้ามาใกล้ดาว กระสุนปลิวว่อน
“คิดถึงผมหรือเปล่า”
ดาวยิ้มหอมแก้มฤทธิชัยฟอดหนึ่ง
“มาได้ทันเวลาพอดี”
ดาวพูดแล้วพุ่งตัวขึ้นมาอีกครั้งปืนในมือสองกระบอกยิงกราดพวกมันล้มกันเป็นใบไม้ร่วง สัตยาเห็นสถานการไม่ดียิงพลางถอยพลาง มุ่งจะออกนอกบาร์
“จะรีบไปไหนทัวร์ยังไม่จบ”
ดาวตวัดปืนยิงใส่ สัตยาร้องพลางเอามือกุมที่หูซ้าย ดาวยิ้มตวัดเล็ง แต่แล้วพวกมือปืนด้านนอกก็พรวดเข้าล้อมบังสัตยาไว้หมด พวกมันกราดยิงสาดมา ดาวกราดปืนยิงพร้อมกับฤทธิชัยที่โผล่ขึ้นมาช่วยยิงกราดพวกมันล้มกันทีละคนจนหมด ดาวเจ็บใจ
“นายสัตยาหลุดไปอีกจนได้”
“ใช่…เสียดายเรามีเด็กและผู้หญิงรออยู่”
ดาวพยักหน้ารับ…ตวัดปืนเก็บ เสียดายโอกาส
รถจิ๊ปวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าบาร์เล็กๆแห่งหนึ่ง ที่หมู่บ้านป่าโพงมีพวกมือปืนยืนเป็นกลุ่ม 4-5 คน ไอ้คนขับลงจากรถ
“เฮ้ย ใครเป็นคนรับเด็กวะ”
มือปืนคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ข้าเอง”
“งั้นเอาไปเลย พวกข้าจะเข้าไปดริ๊งซะหน่อย”
พวกมือปืนสองคนที่มาด้วยโดดลงจากรถ ปล่อยอาตงกับเม่งจูนั่งอยู่บนรถ อาตงกับเม่งจูนั่งนิ่ง เม่งจูกำไฟแช็คแน่น มือปืนเดินมาอุ้มเด็กสองคนลง
“เอ็งสองคน วิ่งเล่นแถวนี้ ได้ แต่ห้ามไปไกล” มันกระชากปืนขึ้นมาวนอยู่ตรงหน้าเด็ก “ไม่ยังงั้นข้ายิงดับแน่”
เม่งจูกับอาตงพยักหน้าหงึกๆรับอย่างรวดเร็ว มันเหน็บปืนแล้วเดินกลับไปหาพวกมันที่ยืนอยู่ มือปืนคนหนึ่งโยนขวดเหล้ามาให้เพื่อน เม่งจู กับ อาตง ลอบสบตากัน
ฤทธิชัยอุ้มเด็กขึ้นรถกระบะซึ่งขณะนี้ทางด้านหลังรถมีเด็กและผู้หญิงขึ้นจนเต็มหมดแล้ว ฤทธิชัยเดินมาใกล้ดาว ทั้งสองต่างยกมือจับกัน เสียงเด็กส่งเสียง อูอา ล้อกันใหญ่ ดาวกับฤทธิชัย ต่างหันไปยิ้มให้
“ผมจะรีบตามไป ระวังตัวด้วยนะครับ”
ดาวพยักหน้า ฤทธิชัยหันตัวมาทางรถ แกล้งชูกำปั้นให้เด็กๆเด็กๆต่างขำกัน ฤทธิชัยขึ้นรถแล้วขับออกไป เด็กๆต่างโบกมือให้ดาว หญิงสาวโบกมือตอบ เสียงสายฟ้าคำรามก้อง
“ขอบใจพี่สายฟ้า ที่ช่วยดูพวกเด็กๆ”
สายฟ้าคำรามก้อง ตามด้วยเสียงสายลม ดาวแหงนขึ้นมองบนท้องฟ้า แล้วก้าวออกไป
ฤทธิชัยขับรถวิ่งมาตามเส้นทาง ทันใดนั้นเสียงสายลมร้องก้อง ฤทธิชัยกราดสายตาแล้วเลี้ยวรถเข้าไปทางด้านหลังพงไม้หนาทึบ ชายหนุ่มเปิดประตูลงจากรถ พวกผู้หญิงและเด็กๆต่างตกใจตื่นเต้น หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว
“ทำไมเราจอดที่นี่”
“พวกมันกำลังผ่านมาทางนี้ ทุกคนรีบลงมา เงียบๆอย่าส่งเสียง”
หญิงสาวต่างลงจากรถช่วยกันอุ้มเด็กลงมาจากรถจนครบ เด็กๆต่างรวมตัวกันเงียบสนิท
“สาวๆ ช่วยดูแลเด็กๆด้วย”
“พี่จะทิ้งพวกเราเหรอ”
ทุกคนต่างตกใจเริ่มจะร้องไห้
“พี่ไม่ได้ไปไหน...พี่จะออกไปจัดการกับพวกมันทุกคนจะได้ปลอดภัย”
“ให้พี่สายฟ้ามาอยู่เป็นเพื่อนได้มั๊ยคะ”
“ได้อยู่แล้ว พี่สายฟ้า”
เสียงสายฟ้าคำรามก้อง ฤทธิชัยยิ้มให้เด็กๆ
“มาแล้ว...พี่สายฟ้าอยู่ใกล้ๆคอยระวังดูอยู่ ไม่ต้องกลัว”
ทุกคนต่างพยักหน้าสงบลงได้ ฤทธิชัยกำชับ
“อย่าสงเสียงดัง เดี๋ยวพี่มา”
ฤทธิชัยพูดจบก็พุ่งออกไป พวกผู้หญิงต่างช่วยกันดูแลเด็กๆโดยใช้ด้านหนึ่งของตัวรถเป็นที่กำบัง
รถมือปืนพรวดเข้ามาสองคัน พวกมือปืนโดดลงมานับสิบ หัวหน้าชี้ไปทางหนึ่ง
“รอยพวกมันมาทางนี้ ค้นให้ทั่ว”
พวกมือปืนมันรีบกระจายกำลังกันออกไป
สัตยาขับรถเข้ามาจอดหน้าค่าย พวกมือปืนต่างหลีกทางให้
“ส่งข่าวออกไปให้ทุกจุดเตรียมกำลังให้พร้อมตามแผน”
“ครับผม”
พวกมือปืนต่างแยกย้ายกันไป สัตยาเสียอารมณ์เอามือจับใบหูที่ถูกกระสุนเฉี่ยวอย่างแค้นใจ
“พวกนางเสือ คิดว่าฉลาดนักเหรอ” สัตยายิ้ม “พวกแกกำลังเข้ามาติดกับ”
โจอยู่ในเซฟเฮาส์ กำลังคุยกับนายใหญ่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“เราวางแผนถ่วงเวลาพวกมันแล้ว ล่อพวกมันมาติดกับพร้อมๆกัน ทุกอย่างไปได้สวย”
“แล้วทางอาจารย์คายามัง”
“อาจารย์กำลังล่อหลอกนาคีให้จัดการกับพวกนางเสืออยู่ครับ”
จอดับวูบ โจยิ้มอย่างพอใจ
เม่งจู กับ อาตง เดินไปเดินมาอยู่หน้าบาร์ สายตาชำเลืองเห็นพวกมือปืนยืนส่งขวดกินเหล้ากันอยู่ ทั้งสองค่อยๆทำเป็นวิ่งเล่นห่างจากหน้าบาร์ไปทุกที ทุกที สายตามองพวกมือปืนเป็นระยะ เห็นพวกมันคุยกัน
ไม่สนใจทันใดนั้นทั้งสองวิ่งหายออกไปอย่างรวดเร็ว พวกมือปืนยังยืนหัวเราะกินเหล้ากันอยู่ พอดีคนขับกับพวกมือปืนสองคนออกมา
“ไปก่อนนะเพื่อน”
“เออ”
“แล้วอย่าลืมเอาเด็กไปส่ง”
“เออ”
แต่แล้วมันขวับไปตรงที่เด็กวิ่งเล่น กราดสายตาไปมา
“ฉิบเผงแล้วเด็กหายไปไหนวะ”
มือปืนคนนั้นวิ่งออกไป พวกมือปืนทั้งกลุ่มวิ่งตามไปเป็นพรวน คนขับรถกับมือปืนสองคนต่างมองอย่างสงสัย
เม่งจู จูงอาตง วิ่งเข้ามาในแนวป่า อย่างรวดเร็ว แต่แล้วได้ยินเสียงปืนดังเปรี้ยง ทั้งสองตกใจ หยุดกึกแล้วรีบหลบเข้าไปหลังพงไม้นิ่งเงียบสนิท
อ่านต่อหน้า 4
ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 13
ดาวร่อนมาตรงหน้าทางเข้าหุบเขาลึกลับ เท้าของเธอเหยียบทับรอยยางรถบรรทุกที่วิ่งเขาไปในหุบเขา...
พวกมือปืนนับสิบยืนอยู่ตรงหน้าหุบเขา ด้านหลังของมันคือรถบรรทุกอาวุธทหารสองคันจอดอยู่ ทันใดนั้นดาวร่อนลงมายืนตรงหน้าทางเข้า พวกมือปืนต่างขยับปืนตั้งแถวจ้องปืนไปที่ดาว
“เฮ้อ จะให้บอกกี่หนก็ไม่รู้ อยู่ตาย ไปรอด”
พวกมือปืนไม่ฟังเสียงมันสาดกระสุนเข้าใส่ ดาวดีดตัวแวบเข้าหาพวกมัน ไม่ใช้ปืนแต่ใช้หมัดและเท้าหมุนตัวเข้าหาพวกมันแวบไปแวบมาพลางปล่อยหมัดปล่อยเท้าอึดใจ พวกมือปืนก็ทรุดลงหมด ขยับครวญครางกันทุกคนแต่ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมา
“ตอนเรียนมัวแต่เที่ยว โตขึ้นเลยคิดไม่เป็น”
ดาวแวบไปที่รถบรรทุก สายตาเป็นสายตาของเหยี่ยวสายลม กราดสายตามองไปที่ตัวรถอึดใจสายตากลับเป็นอย่างเดิม ก่อนจะพึมพำออกมา
“มีแต่เศษเหล็ก”
ดาวหันกลับเดินผ่านพวกมือปืนที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ คว้าคอเสื้อมือปืนคนหนึ่งขึ้นมาซึ่งสะพายเข็มขัดกระสุนและมีระเบิดห้อยอยู่สองสามลูก ดาวดึงระบิดออกจากตัวมันแล้วตวัดขว้างปล่อยไปที่รถบรรทุกสองคันที่จอดอยู่อย่างแม่นยำ รถทั้งสองก็ระเบิดตูมไฟท่วม ดาวเหวี่ยงมันลงไปที่พื้นอย่างเดิม เสียงสายลมร้องก้อง ดาวนิ่งสื่อกับสายลม เห็นรถบรรทุกสองคันเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน วิ่งไปตามเส้นทางในป่า ดาวยิ้มแล้วดีดตัวออกไป
หญิงสาวทุกคนต่างช่วยกันรวมเด็กๆไว้เป็นกลุ่มตรงกลางตัวเองล้อมเด็กไว้อยู่ด้านนอก ทันใดนั้นมือปืนสามคนพรวดเข้ามา ทุกคนต่างตกใจจ้องดูพวกมัน พวกมือปืนถือปืนเดินดาหน้าเข้ามา
“ที่แท้มาอยู่ที่นี่เอง”
หญิงสาวถอยกันเด็กไว้ตรงกลางรวมกันเป็นกระจุกทันใดนั้นเสียงสายฟ้าคำรามลั่น เด็กๆต่างส่งเสียง เฮ พวกมือปืนต่างมองหน้ากันหน้าตาตื่น
“นางเสือ”
“เฮ้ย เรียกพวกเรามา”
มือปืนยกปืนขึ้นฟ้ายิงเปรี้ยง ผู้หญิงกับเด็กต่างร้องกันกรี๊ดกร๊าด พวกมันพรวดกันเข้ามานับสิบ หัวหน้าตะโกนถาม
“ไหนวะนางเสือ”
เสียงสายฟ้าคำรามก้องขึ้นมาอีก เด็กต่างส่งเสียง เย้ หัวหน้ามือปืนตวาด
“เงียบ”
เด็กๆต่างเงียบซุกตัวอยู่ด้านหลังของพวกผู้หญิง พวกมันต่างกราดปืนไปมาหานางเสือ หัวหน้ามือปืนหัวเราะ
“นางเสือของพวกเองไม่โผล่มาแล้...”
ทันใดนั้นกิ่งไม้ท่อนใหญ่ลอยวิ่งเข้ามาที่หน้าของหัวหน้า มันหลบทันท่วงที กิ่งไม้เลยไปกระแทกสมุนที่อยู่ข้างหลังเต็มๆร้องลั่นทรุดนิ่งไป พวกมือปืนต่างตกใจยิงปืนกราดไปรอบๆอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฤทธิชัยแวบโผล่มากลางกลุ่มพวกมันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผ่านตัวพวกมันได้ยินแต่เสียงตึบๆ ก่อนที่พวกมือปืนจะลอยออกไปในดงไม้ ผู้หญิงและเด็กมองกันอย่างตื่นเต้นอึดใจพวกมันก็หายไปจนหมด ฤทธิชัยยืนนิ่งอยู่
“พวกเราไปกันดีกว่า”
เด็กๆต่างส่งเสียงเฮวิ่งกันเข้ามา
รถเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคันวิ่งเข้ามาที่หน้าตึกอินเตอร์บิส ตำรวจหลายนายลงมาจากรถ...โจอยู่ในห้องทำงาน นั่งตรวจเอกสารอยู่ที่โต๊ะ พนักงานเข้ามารายงาน
“เจ้าหน้าที่ตำรวจมาขอพบค่ะ”
“เชิญ”
หัวหน้าชุดเดินเข้ามาสามนาย
“มีคำสั่งให้ปิดตึกอินเตอร์บิส ในข้อหามีการลักลอบฟอกเงิน”
โจจ้องหน้าเคร่งเครียด
พวกมือปืนพากันวิ่งมา มันหยุดตรงพุ่มไม้ที่อาตงกับเม่จูแอบอยู่แล้วยิงปืนขึ้นฟ้าเปรี้ยง
“ถ้าไม่ออกมา ข้ายิงสาดเข้าไป เอ็งสองคนไม่รอดแน่หนึ่ง สอง สาม”
เม่งจูโผล่ออกมา มันเสียอารมณ์ เข้ามาตะคอก
“อีกคนอยู่ไหน”
“น้องหนู ปู้ปู้”
เม่งจูชี้ไปในพงไม้ พวกมือปืนมองหน้ากันอึดใจก็หัวเราะกัน
“เด็กมันปวดท้อง พี่ทำพวกผมตกใจหมดเลย”
มือปืนมองหน้าเม่จู
“ทีหลังบอกข้าก่อน รู้มั๊ย”
เม่งจูพยักหน้า พวกมือปืนยังขำกัน เม่งจู ถอนใจโล่งใจ แต่แล้วมือปืนสังเกตเห็นมือของเม่งจูกำอะไรบางอย่างอยู่
“มือกำอะไรอยู่”
เม่งจูมองหน้านิ่ง มือปืนตะคอก
“แบมือ เร็วเข้า”
เม่งจูแบมือเขียดตัวเล็กกระโดดออกจากมือไป มือปืนยิ้มขำ พอดีอาตงเดินออกมาจากพงไม้ พวกมันต่างขำทำมือปัดจมูกแล้วโบกมือให้เด็กสองคนเดินไปข้างหน้า พวกมือปืนเดินตามยังขำกันพลางส่งขวดเหล้ากันกินต่อ เม่งจูลอบสบตากับอาตงโล่งอกในมืออาตงกำไฟแช็คแน่น
ดาวร่อนลงมาในลานป่ากราดสายตาไปมาแล้วนิ่งสมาธิสัมผัส...สายลมร้องก้อง เห็นรถบรรทุก สองคันวิ่งไปทางด้านหนึ่ง แต่แล้ว สายลมร้องก้องอีก เห็นรถบรรทุกอีกสองคันเหมือนกันทุกอย่าง มุ่งออกไปยังอีกเส้นทางหนึ่ง และอีกสองคัน มุ่งไปอีกเส้นทางหนึ่ง และ อีกสองคันมุ่งออกไปอีกทิศหนึ่ง
“เชอะ...ที่แท้พวกมันเล่นแผนซ่อนหาแบบนี้เอง”
ฤทธิชัยพาผู้หญิงและเด็กมาที่ค่ายอาสา แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อรู้ว่าป้าเนียนฟื้นแล้ว
“คาดไม่ถึงว่าป้าเนียนฟื้นแล้ว ปาฏิหาริย์ มีจริง”
จันจิรายิ้มแย้ม
“ความดีย่อมชนะความชั่วค่ะ”
“ผมฝากเด็กๆแล้วก็พวกผู้หญิงด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เราปิดค่ายก็จริงแต่ก็มีชาวอาสาเข้ามาช่วยดูแลพวกที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นทุกคนอย่างดี”
“ดีครับ...ตอนนี้ให้ทุกคนอยู่ห่างค่ายของพวกมันนายวิวัฒน์จะได้ไม่มาก่อกวนที่นี่ปล่อยให้นางเสือจัดการพวกมัน”
“ทุกคนทราบดีแล้วค่ะ”
ฤทธิชัยยิ้ม
“คุณจันเก่งขึ้นทุกวันนะครับ”
จันจิรายิ้ม ฤทธิชัยเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป
อภิชาติเดินเข้ามาในห้องของเซฟเฮาส์ ตรงมาที่โต๊ะซึ่งงิ้วและจักจั่นกำลังนั่งตรวจหน้าจอมอนิเตอร์อยู่
“ได้ร่องรอยพวกมันหรือยังครับ”
งิ้วส่ายหน้า
“ยังเลยค่ะ ยังเงียบอยู่เลยค่ะ”
“โดนพวกเราเล่นงานเข้าให้ก็เลยหดหัวอยู่ในกระดองแล้วมั๊ง”
อภิชาติไม่ไว้ใจ
“เงียบแบบนี้ไม่ดีเลย”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอภิชาติรับสาย
“เฮ้ย ไอ้คุณหนึ่ง”
ฤทธิชัยจอดรถอยู่ที่ตลาดดอนเสือกำลังคุยโทรศัพท์
“เฮ้ยเพื่อน มันกำลังปั่นหัวพวกเรา ตำแหน่งที่บอกไม่เจออาวุธของพวกมัน”
“เดี๋ยวนะเพื่อน...” อภิชาติหันมาหางิ้ว “คุณงิ้วช่วยตรวจตำแหน่งที่พวกมันซ่อนอาวุธ อีกครั้งได้มั๊ยครับ”
งิ้วกดคีย์บอร์ดอย่างเร็ว
“เอ๊ะ...จุดแสดงตำแหน่งหายไปหมดแล้วค่ะ”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน อย่างคาดไม่ถึง งิ้วอึ้งๆ
“พวกมันรู้ตัว ตัดสัญญาณทุกอย่างจนหมด”
อภิชาติหันไปพูดโทรศัพท์ต่อ
“เพื่อน จริงอย่างที่แกคิด ตอนนี้ตำแหน่งทุกจุดหายไปหมดแล้ว”
ฤทธิชัยถึงกับพูดไม่ออก
“ขอบใจเพื่อน ฉันจะลองถาม ท่านรองศักดาดู”
“ระวังนะเพื่อน ฉันว่าอย่าไว้ใจท่านรองมาก”
“รู้น่า แต่ท่านรองต้องการกำจัดพวกแบล็คอีวิล คงไม่เล่นตุกติกกับเราตอนนี้”
“โชคดี เพื่อน เฮ๊ย...เดี๋ยว นายยังติดข้าวฉันมื้อนึง”
อภิชาติวางสาย ฤทธิชัยอดขำไม่ได้
รถนำขบวนวิ่งนำรถบรรทุกสองคันมา เสียงสายฟ้าคำราม เสียงสายลมร้องก้อง รถคันหน้าจอดกึก พวกมือปืนพรวดลงจากรถต่างกราดสายตาไปรอบๆ จนกระทั่งมีคนหนึ่งหันมาที่กระบะ ดาวในชุดนางเสือนั่งไขว่ห้างอยู่บนหลังคารถกระบะในมือถือปืนข้างละกระบอก
“เฮ้ย...”
มันตวัดปืนใส่แต่ดาวยิงเปรี้ยง มันทรุด ที่เหลือต่างกราดปืนเข้าใส่ ดาวหายแวบไปอยู่บนต้นไม้เหนือหัว
“ยังไม่รีบไปอีก”
พวกมือปืนหันกลับมาสาดกระสุนเข้าใส่ แต่ปืนในมือของดาวสาดใส่พวกมันจนทรุดไปสองสามคน
มือปืนคนหนึ่งกระชากระเบิดขึ้นมาหมายจะขว้างใส่ ดาวสะบัดมือออกไป ระเบิดของมันปลิวจากมือไปที่
รถบรรทุกระเบิดตูมสนั่น ไฟลุกท่วมเท่านั้นเองพวกที่เหลือต่างวิ่งหายเข้าป่าไป ดาวยิ้มอย่างพอใจ
ศักดาเดินไปเดินมาอยู่ในเซฟเฮาส์ พูดสายกับฤทธิชัยไปด้วย
“ผมไม่มีข้อมูลเรื่องตำแหน่งของอาวุธเลย”
“มันตัดสัญญาณหมด ตอนนี้เท่ากับว่าเรางมเข็มในมหาสมุทร”
“อืม...ผมจะลองหาทางสืบดูอ้อ...ตอนนี้พวกองค์กรก็สั่งปิดตึกอินเตอร์บิสของพวกมันแล้ว”
“ไหนว่าจะทำให้ต่างประเทศขาดการเชื่อถือไงครับ”
“เราไม่ได้โละสัญญาสัมปทาน แต่เรายัดคดีฟอกเงินให้พวกมันอย่างน้อยก็ทำให้พวกมันทำงานลำบากขึ้น”
“ถ้าได้เรื่องคืบหน้ารีบแจ้งพวกเราด่วนที่สุด”
“แน่นอนครับ”
ศักดาวางสาย ฤทธิชัยวางสาย แล้วออกรถไปจากตลาดบ้านดอนเสือ
อภิชาติ งิ้ว จักจั่น ต่างนั่งบ้าง ยืนบ้างอยู่บริเวณโต๊ะทำงาน อภิชาติครุ่นคิด
“สัญญาณถูกตัดขาดหมด ทางที่เราจะได้ตัวนายใหญ่มืดสนิท”
จักจั่นหันไปหางิ้ว
“ยังไงมันต้องเปิดสัญญาณอีก ใช่มั๊ยคะคุณงิ้ว”
“แน่นอนที่สุด ไม่ยังงั้นเครือข่ายของมันต้องสะดุดเหมือนกัน ทำงานไม่ได้”
อภิชาติถอนใจ
“ไอ้นายใหญ่…นึกว่าเป็นนายดำรง กลับกลายเป็นศูนย์อีก”
จักจั่นมองหน้าอภิชาติ
“แน่ใจหรือคะว่านายดำรงที่ตายไป เป็นนายดำรงตัวจริง”
“ประวัติทันตกรรม...กรุ๊ปเลือด...ดีเอ็นเอ ทุกอย่างตรงหมด นายดำรงแค่เป็นหุ่นตัวหนึ่งของมัน”
“แล้วเรื่องแบตเตอร์รี่กระตุ้นหัวใจ”
“พบอยู่ที่ตัวของมัน ไม่ใช่ที่หัวใจ มันหลอกเราได้สนิทจริงๆ”
“ตกลงว่ามันมีแบตเตอร์รี่ฝังอยู่ที่หัวใจหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ผมเชื่อว่าข้อมูลที่ได้จากท่านณุพันธ์คุณพ่อคุณงิ้ว เชื่อถือได้ตัวจริงต้องมีแน่ๆ”
งิ้วหนักใจ
“ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง มันฉลาดมาก จนป่านนี้แล้ว แม้กระทั่งนางเสือยังตามรอยมันไม่เจอยังไม่มีใครรู้จักหน้าตาที่แท้จริงของมัน”
“ทำไมต้องสนด้วยว่าหน้าตาของมันเป็นยังไง วันหนึ่งมันต้องพลาด มันจะหัวล้านหน้าเหลี่ยมหน้ากลมหน้าด้าน หรือหล่อแค่ไหน จักจั่นก็จะส่งมันลงนรกแน่นอน”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อภิชาติรับสาย…
“โอเคครับ” อภิชาติวางสายหันมาบอกสองสาว “ท่านรองศักดาแจ้งมา เป้าหมายคนสำคัญเคลื่อนไหวแล้ว”
อภิชาติขับรถเข้ามาจอดในลานจอดรถของโรงแรม
“เป้าหมายคนสำคัญมาประชุมกับนักธุรกิจจากสหรัฐ ท่านรองรู้ว่าพวกมันมีแผนที่จะลงมือ”
งิ้วตรวจสอบวิทยุทันที
“วิทยุจิ๋ว...เทส”
จักจั่นสงเสียงเช็ควิทยุ
“ชัดเจน เทส”
อภิชาติพยักหน้ายิ้มๆ
“เรียบร้อย ใช้รหัสเดิม...คุณจักจั่นประกบเป้าหมายรหัสเรียกคือสินค้า เผื่อฉุกละหุกพาแวบออกไปได้
ผมกับคุณงิ้วจับตาดูพวกมือปืนรหัสเรียกคือผู้ซื้อ โอเคะ...พร้อม”
สองสาวตอบรับพร้อมกัน
“พร้อม”
ทุกคนพรวดออกจากรถแล้วปิดประตูโครม
ฤทธิชัยขับรถกระบะมาตามเส้นทางใกล้พื้นที่ควบคุมของพวกมัน ดาวร่อนลงมาขวางหน้า ฤทธิชัยจอดรถแล้วลงมาหา ทั้งสองต่างยิ้มให้กันก่อนจะโผเข้าอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน อึดใจต่างก็ขึ้นรถ
“พวกมันตัดสัญญาณทุกอย่างหมดแล้ว”
“ยังมีแผนแยกตัวออกไปตั้งหลายจุดดาวเห็นผ่านทางสายลม จัดการไปแล้วหนึ่งชุดก็เลยคิดว่ารอคุณหนึ่งก่อน”
“ดีครับ”
“เด็กกับผู้หญิงทุกคนปลอดภัย”
“อ๊ะ...แน่นอน ชั้นนี้แล้ว เจอพวกมันเหมือนกันแต่ทุกคนถึงค่ายอาสาโดยปลอดภัย ผมมีข่าวดี ป้าเนียนฟื้นแล้ว”
ดาวดีใจมาก
“ข่าวดีจริงๆ ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์”
“เหลืออีกสามวัน ที่ทางองค์กรต้องเซ็นสัญญาตามคำเรียกร้อง”
“สามวัน...ทำลายอาวุธ หาทางเข้ากำแพงมนต์ จับนายใหญ่” ดาวถอนใจ “ไม่ง่ายเลย”
“เราไม่มีทางเลือก เราต้องดูให้แน่ใจว่ารถบรรทุกพวกนั้นไม่มีอาวุธที่เราตามหาอยู่”
ดาวพยักหน้าหลับตาสมาธิ เสียงสายลมร้องก้องบนท้องฟ้า อึดใจดาวลืมตาขึ้น
“ใกล้ที่สุดคือ ชายแดน บ้านสาปเสือ 10 กิโลจากนี่”
“อืมฟังดูไม่เลว ยังงี้ต้องฮันนีมูนรอบสอง”
ฤทธิชัยยิ้มกริ่ม ดาวยิ้มๆขยับตัวเข้ามาใกล้หอมแก้มหนึ่งฟอด ฤทธิชัยยิ้มแล้วเคลื่อนรถออกไป
นาคีนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำ ค่อยๆลืมตาขึ้นเห็นคายามังอยู่ตรงหน้า
“ดูเหมือนเจ้าจะกลับคืนสู่ปกติแล้ว”
“ท่านเกรงว่าจะไม่มีใครอยู่เพื่อรับใช้ท่านกระมัง”
“ถ้าเจ้าไม่มัวแต่บ้าเรื่องความรัก ข้าก็ไม่จำเป็นต้องควบคุมเจ้า”
นาคียิ้มเยาะสายตาขุ่นเคือง
“ยังไงก็แล้วแต่ ข้าจะช่วยเจ้าให้สมหวัง”
นาคีชำเลืองมองรอฟัง
“ข้าจะช่วยเจ้าจัดการกับนางเสือหญิงของชายที่เจ้ารักจะได้ไม่เหลือใครขวางทางของเจ้า”
นาคีตาเป็นประกายตื่นเต้น คายามังยิ้มอย่างพอใจ
นักธุรกิจเป้าหมาย เดินมากับ นักธุรกิจจากสหรัฐ 3 คน ศักดา ร่วมต้อนรับด้วยในฐานะเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิเศษ มีบอดี้การ์ดคุมหน้าและคุมหลังด้านละ 3 คน เดินมาตามทางเดินไปยังห้องประชุมที่จัดไว้ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่หน้าห้อง 3 - 4 คนคอยระวังอยู่ อภิชาติ กับ จักจั่นยืนอยู่ด้วย เจ้าหน้าที่เปิดประตูให้ นักธุรกิจเป้าหมาย กับ ธุรกิจจากสหรัฐ 3 คน เข้าไปในห้อง ศักดิ์และคนอื่นๆอยู่นอกห้อง อภิชาติกับจักจั่นเดินเข้ามาหา
“ห้ามใครเข้าออกจากห้องนี้โดยไม่ผ่านผม”
ศักดายิ้มๆ
“เชิญคุณเดินเกมได้ตามสบาย…คุณงิ้วล่ะ”
“อยู่ข้างนอกคอยจับตาดูพวกมันอยู่”
ศักดาพยักหน้า
“งั้นผมขอตัวก่อน”
ศักดาเดินไปกับบอดี้การ์ดสองคน อภิชาติ กับ จักจั่น ต่างสบตากัน กราดสายตามองเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ยืนระวังอยู่ด้านนอกห้อง อภิชาติสั่งการ
“คุณไปที่ลิฟท์ คุณไปตรวจดูที่ลิฟท์ขนของทางด้านหลัง คุณสองคนระวังตรงหัวมุมทางเดิน”
บอดี์การ์ดที่มาด้วย หกคน แยกออกไปสี่คนตามคำสั่ง อภิชาติหันไปหาสองคนที่เหลือ
“คุณสองคนแยกกันไปอยู่ตรงบันไดหนีไฟทั้งสองด้าน”
บอดี้การ์ดสองคนพยักหน้าแล้วแยกออกไป อภิชาติกับจักจั่นพยักหน้าให้กัน แล้วต่างเดินไปตามทางเดินคนละด้าน อภิชาติพูดวิทยุหางิ้ว
“ด้านในเรียบร้อยดี ด้านนอกเป็นยังบ้าง”
งิ้วพร้อมกล้องส่องทางไกลกราดสายตาไปรอบๆตึก
“ยังไม่พบผู้ซื้อ”
“โอเค เดี๋ยวผม จะขึ้นไปช่วยดู”
“รับทราบ”
อภิชาติเรียกหาจักจั่น
“ฮันนี้”
จักจั่นตอบกลับ
“รับทราบ...กำลังเดินกลับไปที่สินค้า ดาหลิง”
งิ้วแซวมา
“กรุณารับทราบไว้ด้วยว่ามีดิฉันฟังอยู่ด้วยอย่าให้หวานมาก แหวะ”
จักจั่นขำ แกล้งพูด
“แค่นี้นะจ๊ะดาหลิง”
งิ้วส่ายหน้าเซ็ง อภิชาติยิ้มขำ
“รับทราบ”
รถจิ๊ปเข้ามาจอดในราวป่า โจอยู่บนรถกราดสายตาไปมา แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อหันมาเจอคายามังยืนอยู่ใกล้ตัว
“ท่านต้องการพบเรา”
“แน่นอนที่สุด นายใหญ่ต้องการรู้ว่าท่านมีปัญญาจัดการกับพวกนางเสือหรือไม่ พวกมันทำลายแผนการทุกอย่างของนายใหญ่พังหมดแล้ว”
คายามังยิ้ม
“ได้แน่นอน ในไม่ช้านี้”
“ท่านแน่ใจเหรอว่า นาคีจะไม่ก่อเรื่องขัดขวางอีก”
“แน่ใจที่สุด เรามีบ่วงเงินที่ควบคุมนาคีไว้และบ่วงทองที่สามารถคุมตัวฤทธิชัยได้ นาคีได้ตัวมันมาเมื่อไหร่ เราจะใช้มันบังคับนาคี” คายามังหัวเราะ “นาคีไม่มีทางขัดขืน”
โจยิ้มเย็น
“อยากเห็นเหมือนกัน”
คายามังหัวเราะแล้วเลือนหายไป โจแค่นยิ้มไม่เชื่อน้ำยา คายามัง
ดาวกับฤทธิชัยขับรถมาจอด ทั้งสองลงมาจากรถอย่างรวดเร็ว
“พวกมันกำลังมาทางนี้”
ดาวพุ่งขึ้นไปบนยอดไม้ ฤทธิชัยตาม ทั้งสองจ้องมองขบวนรถที่วิ่งหายเข้าไปในหุบเขา ดาวเปรยๆออกมา
“หุบเขาสาปเสือ”
“คิดเสียว่าไปปิกนิกก็แล้วกัน แทนที่จะเตรียมอาหาร ก็เตรียมกระสุนไปแทน”
“ดาวคิดว่าเป็นรถเปล่า”
“ไม่ดูก็ไม่รู้”
ฤทธิชัยออกไป ดาวยิ้มแล้วพุ่งตาม
ดาวกับฤทธิชัยซุ่มดูพวกมันอยู่ พวกมือปืนยืนกันนับสิบด้านหลังของมันคือรถบรรทุกอาวุธสองคันจอดอยู่
“คุณดาวบอกว่าพวกมันใช้รถอาวุธแยกกันออกไปถึง 5 เส้นทาง”
“ค่ะพวกมันใช้รถบรรทุกอาวุธหลอกเรามาหลายครั้งแล้วสงสัยว่าคราวนี้จะเจออะไร”
“ผมว่าเรารีบลงไปถล่มมันให้ราบจะดีกว่า”
ฤทธิชัยขยับตัว แต่ดาวจับแขนไว้ ฤทธิชัยหยุดหันมามองอย่างสงสัย
“มีอะไรเหรอครับ”
“เอ้อ...คือดาวอยากให้คุณหนึ่งระวังตัวน่ะค่ะ”
ฤทธิชัยยิ้ม
“ผมระวังตัวอยู่แล้วทุกครั้ง แม้ว่าเราจะได้พรจากสวรรค์ ผมก็ไม่เคยประมาท ไม่ใช่เพราะผมกลัว แต่เพื่อคุณดาว เพื่อที่จะได้กลับมาหาคุณดาวของผม”
ดาวเอามือสัมผัสใบหน้าอย่างซึ้งใจ
“ดาวรู้ค่ะ ดาวเองก็เช่นกันแต่นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ดาวอยากให้คุณหนึ่งระวังเป็นพิเศษ”
ยิ้มมีเลศนัย มีความลับ ฤทธิชัยจ้องลึกซึ้งสงสัย แต่แล้วดวงตาเบิกกว้าง
“คุณดาวหมายถึง...”
ดาวยิ้มเขิน
“ดาวรู้สึกว่าตอนนี้ไม่ใช่ดาวคนเดียวแล้วค่ะ ที่คุณหนึ่งต้องกลับมาหา”
“โอ...มายก๊อด...โอ...พระเจ้า...เยส...เยส...เยส...”
ฤทธิชัย จับไหล่ทั้งสองข้างของดาวจ้องอย่างตื่นเต้นแล้วดึงเข้ามากอดอึดใจ ก็ถอยห่างมือยังเกาะที่ไหล่ทั้งสองข้าง
“ดาวยังไม่แน่ใจนะคะ แค่รู้สึกเท่านั้นเอง อาจจะไม่ใช่ก็ได้”
“ตั้งแต่ตอนไหน เมื่อไหร่ครับ”
ดาวเขิน
“ดาวคิดว่า ตอนที่อยู่เราอยู่ในหมู่บ้าน ในกระท่อม”
“รู้แล้ว ตอนที่คุณดาวสอนวิชาพรางตัว แล้วเราก็พรางตัว เอ้อ...”
ดาวยิ้มเขิน ฤทธิชัยยิ้มกว้าง
“อ๋อ...อย่างนี้เอง วันหลังต้องพรางตัวอีก จะได้มั่นใจ”
ดาวไม่พูดซบอกของเขาด้วยความเขิน อึดใจฤทธิชัยก็ถอยห่าง
“เดี๋ยวผมจะลงไปถล่มพวกมันเป็นการฉลอง ให้ตัวเล็กดูว่าพ่อเก่งแค่ไหน”
ดาวยิ้มขำ
“อย่าเว่อร์มากนะคะ”
ฤทธิชัยยิ้ม
“อย่ากลัวเลยครับคุณดาว ถ้าลูกเราจะมาเกิดคงไม่ปล่อยให้พ่อแม่เป็นอันตรายหรอกครับ”
ทั้งสองต่างอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
จบตอนที่ 13
อ่านต่อตอนที่ 14