xs
xsm
sm
md
lg

ไฟมาร ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เนื่องจากเนื้อเรื่องในตอนที่ 12 นี้ มีเนื้อหาบางส่วนซ้ำกับที่เคยอัพไปในตอนที่ 11 สำหรับใครที่เคยอ่านแล้ว ตัวหนังสือสีแดง คือเนื้อเรื่องที่เพิ่มเติมใหม่ เพื่อความสมบูรณ์ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้
 

ไฟมาร ตอนที่ 12

ค่ำคืนนั้น สุดานั่งอยู่ในร้านอาหารกับสุขหฤทัย คุยมือถือด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่ดวงตามีแผนร้าย

“ขอบใจมากค่ะคุณน้อง ไม่ต้องห่วง พี่ยินดีทำตามแผนคุณน้องทุกประการค่ะ ขอเพียงกำจัดนังศุภาวีร์ ออกไปจากชีวิตของเราก็พอ” วางสายไป
สุขหฤทัยอยากรู้มาก “อะไรคะคุณหญิงแม่”
“แผนการล่อนังกรรณรีออกไปเชือด” สุดาบอกเสียงกร้าว
“เชือดโดยแม่ของมัน” สุขหฤทัยต่อคำให้
สองคนหัวร่อสนุกสนาน

สุดามองด้านบนอย่างกระวนกระวายรอกาว พอเห็นกรรณนรีเดินลงมา ก็หยิบมือถือพูดเลยไม่ได้กด
“หนูไม่ต้องห่วงนะฤทัย ยังไงแม่ไม่มีวันยอมแพ้สองแม่ลูกนั่นแน่ๆ โดยเฉพาะนังภาพิศ” เหล่ตามองกรรณนรีตลอด
ได้ผล เพราะกรรณนรีมองมา ได้ยินเต็มหู กรรณนรีทั้งตกใจ และโกรธ นึกเป็นห่วงภาพิศ แอบฟังต่อ สุดาทำเป็นไม่เห็น แกล้งพูดเสียงดัง
“แม่นัดนังภาพิศเอาไว้แล้ว....ก็ที่สปาของเพื่อนมันนั่นแหละ มันคงไม่รู้..วันนี้เป็นวันที่มันจะต้องไปให้พ้นจากชีวิตแม่”
สุดาพูดจบก็หัวเราะร่าอย่างสบายใจ พลางแอบชำเลืองมองกรรณนรี แล้วเดินออกไป
กรรณนรีมองตามทั้งโกรธแค้น และเกลียดชัง ก่อนจะรีบตามไปด้วยความเป็นห่วงแม่

ไม่นานนัก สุดาเดินเข้าสปาอย่างสบายอารมณ์ แต่ปรายตามองด้านหลัง แล้วก้าวเท้าเดินเอื่อยๆ ทอดน่องรอคนตาม สุดาเห็นจากหางตาว่ากรรณนรีตามมาก็เดินเข้าไปด้านใน

ที่อีกห้องหนึ่งด้านในสปา ภาพิศเตรียมตัวนอนแช่น้ำ บอกพนักงานหน้าตายิ้มแย้ม
“ขอบคุณค่ะ ดิฉันขอนอนแช่ตัวสบายๆ ซักครู่”
พนักงานเดินออกไป ภาพิศรีบล็อกประตู แล้วจัดการเทครีมอาบน้ำลงบนพื้น บริเวณหน้าประตู ก่อนหยิบมือถือมาโทร.ออก
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณพี่”
สุดาที่อยู่ด้านหน้าเคาน์เตอร์รับโทรศัพท์
“โอเค.” สุดาเดินเข้าไปด้านใน
กรรณนรีรีบเดินตามไปอย่างร้อนใจ เป็นห่วงภาพิศ

ภาพิศแอบเข้าไปในห้องซาวน่าห้องหนึ่ง ปรับอุณหภูมิภายในห้องอบตัวเป็นความร้อนสูงสุด ดวงตาน่ากลัวแล้วเดินออกมารวดเร็ว

สุดาเดินลิ่วเข้ามาพลางแกล้งคุยโทรศัพท์
“แม่จะจัดการนังภาพิศให้มันตายอยู่ในนี้แหละ”
สุดาเดินเข้าไปด้านใน ฉากหลบไปอย่างว่องไว กรรณนรีตามมาสีหน้าตื่นตกใจมาก
กรรณนรีมองไปไม่เห็นภาพิศ จึงค่อยๆ ย่องเข้าไปดูด้านใน พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

ภาพิศอยู่ในอีกห้อง ที่มีอ่างอาบน้ำเมื่อครู่ แต่ไม่ได้แช่ อยู่ในเสื้อผ้าปกติ มือถือดัง เห็นชื่อ “ก้าง” ดวงตาภาพิศวาวรับ ถามเสียงเย็นเยียบ
“เธอมีอะไร?”
กรรณนรีอยู่ด้านนอกตามหาภาพิศถามเป็นห่วง
“คุณอยู่ห้องไหนคะ”
ภาพิศแกล้งทำเป็นไม่รู้ “อะไรของเธอ”
“ฉันรู้ว่าคุณอยู่สปา ฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับคุณ นะคะ..ฉันขอร้อง”
“ก็ได้...ฉันอยู่ที่ห้อง...” ภาพิศอธิบายบอกทางไปห้องที่ตนอยู่
กรรณนรีวางสายรีบเดินไปตามทางที่ภาพิศบอกอย่างร้อนใจ
ขณะที่ภาพิศยิ้มร้าย ไม่สำเหนียกสักนิดว่ากำลังจะทำบาปมหันต์

กรรณนรีเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาเลย เท้าเหยียบเข้ากับสบู่เหลวที่ภาพิศเททิ้งไว้ที่
กรรณนรีร้องสุดเสียง “ว้าย” ร่างเสียหลักร่วงลงไป ศีรษะกระแทกพื้นอย่างแรง กรรณนรีร้องโอดโอยเพราะเจ็บปวดมาก จะลุกขึ้นแต่พื้นลื่นไปหมด ร่างกรรณนรีล้มลงไปอีก หน้าฟาดพื้นอีก กรรณนรีเจ็บปวดไปทั้งสรรพางค์ เริ่มมึนเบลอ มองเห็นทุกอย่างรอบตัวพร่ามัวไปหมด กรรณนรีกระพริบตาถี่ ทำท่าจะหมดสติ สุดาเปิดประตูเข้ามา หัวเราะร่า
“ว่าไงจ๊ะแม่คนจอมแส่” กรรรณรีปรือตามองเห็นสุดาหัวเราะอยู่ “ไม่ต้องห่วง แกไม่ตาย
ตรงนี้หรอก”
จังหวะนั้นเองภาพิศก็ก้าวตามเข้ามา “เพราะฉันจัดที่ตายไว้ให้เธอแล้ว”
กรรณนรีเหลียวไปมองตามเสียงแล้วต้องเบิกตากว้าง “คุณภาพิศ”
“การตายของแก จะเป็นอุบัติเหตุแค่นั้น ศุภาวีร์”
สุดากับภาพิศตรงเข้าไปลากร่างของกรรณนรีที่เจ็บปวด และใกล้จะหมดสติออกไป

สุดากับภาพิศช่วยกันลากร่างที่แทบจะหมดสติของกรรณนรีเข้าไปในห้องซาวน่า เห็นควันพุ่งออกมา อากาศร้อนมาก สุดากับภาพิศลากร่างกรรณนรีเข้าไป
“นอนให้สบายนะจ้ะหนูศุภาวีร์” ภาพิศแสยะยิ้ม
“ชอบอะไรก็ไปเข้าฝันแล้วกัน....ฉันจะให้ท่านใส่บาตรไปให้”
สุดากับภาพิศ ปิดประตูห้องซาวน่า...แล้วเดินออกไป
กรรณนรีพาร่างอันอ่อนแรงเต็มที จะผลักประตูออกไป แต่ไม่มีแรง หมดสตินอนนิ่งอยู่ในนั้น ท่ามกลางควันสีขาว และความร้อนที่พวยพุ่งออกมา

เวลาเดียวกัน มะยมมาติดต่อใช้บัตรตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้า ก่อนจะเดินกลับมาหานิคถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่ทำด้วยกันซักหน่อยเหรอ”
“เอาเหอะ ตามสบาย เดี๋ยวฉันรอ”
“งั้น..ขัดเนื้อขัดตัว อบเนื้ออบตัวซักสองสามชั่วโมงแล้วแล้วออกมานะ”
“เออ..จะขัดผิวอบตัวจนเนื้อแกหลุด ฉันก็ไม่ว่าแกหรอก จะรอ”
“ขอบใจ” มะยมเดินเข้าไปด้านในล็อกเกอร์ นิคนั่งอ่านหนังสือรอ

ขณะที่มะยมเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านใน กรรณนรีนอนแน่นิ่งหมดสติไปแล้ว

ครู่ต่อมาสองคนนั่งจิบเครื่องดื่มอย่างสบายอารมณ์อยู่ในร้านอาหาร

“แน่ใจนะคะคุณน้อง แผนนี้จะได้ผล” สุดาถาม
“ไม่ตาย...ก็เลี้ยงไม่โตค่ะ...ว่าแต่คุณหญิงพี่หลอกล่อยังไงคะ? นังเด็กนั่นถึงได้ติดกับเราง่ายดาย” ภาพิศสงสัย
สุดาหัวเราะกลบเกลื่อน ไม่ยอมบอกว่าเอาชื่อภาพิศมาล่อ จนกรรณนรีเป็นห่วงเลยรีบตามมา
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ....แค่บอกว่า...ท่านนัดเด็กเอ๊าะๆ อึ๋มๆ เอาไว้...นังศุภาวีร์มันก็คงจะหวง กลัวตัวเองจะตกอันดับ เลยวิ่งแจ้นตามพี่มา”
ภาพิศยิ้มอวย “คุณหญิงพี่ฉลาดที่สุดเลยค่ะ”
“ก็พี่จะแพ้คุณน้องได้ยังไงล่ะคะ”
สองคนหัวร่อร่า พอใจชนแก้วกัน สุดายิ้มพลางพูดแบบมีเลศนัย
“แล้วพี่ก็เชื่อว่า...สองแรงแข็งขันร่วมมือร่วมใจกันขนาดนี้...ศัตรูทุกคน มันต้องพ้นทางเราแน่นอน”
สองคนยิ้มให้กัน แต่เป็นยิ้มที่ร้ายกาจและน่ากลัว

สรวงเดินลงบันไดมา เห็นบ้านเงียบเชียบเหมือนไม่มีใครอยู่ก็นึกแปลกใจ 
“หายไปไหนกันหมด”
สรวงถามตัวเองอย่างสงสัย

เวลาเดียวกันมะยมเดินเข้ามาในห้องซาวน่า เห็นไอร้อนด้านในเป็นฝ้าน่ากลัว สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาถึงข้างนอก
“ใครลืมเปิดสวิซท์เอาไว้ เดี๋ยวก็ไฟไหม้หรอก”
มะยมรีบเดินไปเปิดประตู โดยยืนข้างๆ คอยระวังไอร้อนจะพุ่งเข้าหน้า ทันทีที่ประตู
เปิดออก เห็นกรรณนรีนอนหมดสติอยู่ในนั้น มะยมหน้าซีดเผือด
“กาว!” มะยมกรี๊ดสุดเสียง รีบถลาเข้าไปพากรรณนรีออกมาอย่างรวดเร็ว

เวลาเดียวกัน ภาพิศ กับแฉล้มนั่งอยู่ในร้านกาแฟ แฉล้มรู้เรื่องก็ตกใจมาก
“ตาย!นี่คุณทำอะไรลงไป แรงมาก...เกิดนังเด็กนั่นมันตายขึ้นมาจริงๆ คุณจะว่าไง”
ภาพิศหน้าเสีย “มันไม่ตายหรอก ฉันก็แค่ขู่”
แฉล้มตำหนิ “ขู่ที่ไหน ยัยคุณหญิงสุดาบอกเด็กนั่นด้วยนี่..ชอบอะไรจะให้ท่านอารักษ์ใส่บาตรไปให้ คุณเอ๊ย”
“ฉันแค่แกล้ง ไม่ได้กะให้มันถึงตายจริงๆ นะ” ภาพิศเถียงข้างๆ คูๆ
“ถึงฉันจะเชื่อ แต่ถ้ามันตายขึ้นมาจริงๆ ล่ะ”
ถูกกุนซือประจำตัวตำหนิหนัก ภาพิศชักเป็นกังวล

ขณะนั้นสุดานั่งอยู่ในรถคุยสายกับภาพิศ
“อู๊ย! มันไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็คุณน้องเป็นคนบอกเองนี่คะ...ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต แล้วจะกลัวอะไรก็แค่อุบัติเหตุ”
ภาพิศ ที่ยืนโทรศัพท์อยู่หน้าร้านกาแฟ มีแฉล้มยืนอยู่ข้างๆตอบสุดากังวล
“แต่ตอนนี้ฉันกลัว”
สุดาค้อนลมแล้งในรถขวับ “อย่าทำตาขาวสิคะ...ต่อให้มันตายจริงๆ คุณน้องก็แอ๊บ เหมือน
อย่างเคยแอ๊บไปสิ ว่าไม่รู้เรื่อง ข้อสำคัญ มีเงินซะอย่างกลัวอะไร? นี่!!ต่อหน้าพี่...คุณน้องไม่ต้องมาแอ๊บนางเอกหรอกค่ะ พี่รู้ดี คนใจเสาะไม่ใช่นิสัยคุณน้อง”
ภาพิศกังวลหนัก ขณะที่สุดาวางสาย มองโทรศัพท์ ตาวามวับร้ายกาจและน่ากลัว
“ถ้านังกรรณรีมันตายจริงๆ ฉันจะบอกแกทันทีว่าแกฆ่าลูกตัวเอง...บาปกรรมมันจะติดตัวแกไปจนตาย ภาพิศ”
คุณหญิงใจทรามยิ้มเหี้ยมเกรียม

มะยมกับนิคพากรรณนรีมาส่งโรงพยาบาล เฝ้าดูอาการจนถึงตอนค่ำคืน
ในห้องคนไข้ กรรณนรีนอนหมดสติอยู่ มีสายระโยงระยาง สองคนนั่งเฝ้ามองหน้ากัน
“เอาไง” นิคถาม
“จะเอาไง? โทร.บอกที่บ้านกาวก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่” มะยมว่า
“งั้นก็โทร.บอกคุณสรวง..ยังไงฉันก็มั่นใจอยู่ดีว่าคุณสรวงยังรักและห่วงกาว”
มะยมพยักหน้า ควักมือถือกดโทร.ออก

ทั่วทั้งบริเวณสระน้ำมืดสลัว ไม่ได้เปิดไฟ สรวงนั่งอยู่ เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่อีกมุมดังขึ้น สรวงจะเดินไปรับ กลับเห็นไฟในบ้านเปิดสว่างพร้อมกับมองเข้าไปเห็น คุณหญิงสุดาที่เพิ่งกลับมา

ยินเสียงสุดาที่เจื้อยแจ้วคุยโทรศัพท์กับสุขหฤทัยอย่างสะใจ “แม่สะใจมากๆ เลยล่ะฤทัย”
สรวงรีบปิดมือถือทันที ยืนนิ่งรอฟัง
นิคมองหน้ามะยม
“คุณสรวงไม่รับสายเหรอ”
“ฮื่อ! ปิดมือถือไปเลย สงสัยไม่อยากคุยกับเรา”
“หรือพูดง่ายๆ ตอนนี้คุณสรวงเกลียดพวกเรา”
สองคนยิ้มให้กันอย่างขื่นขม

สรวงยืนนิ่ง มองสุดาที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในบ้าน สุดาพูดต่อ
“ทุกอย่างมันง่ายยิ่งกว่าที่แม่คิดซะอีก”
สุขหฤทัยอยู่ที่บ้านถามอย่างอยากรู้ “ยังไงคะคุณหญิงแม่”
“ก็...” สายตาสุดาเหลือบไปเห็นสรวงก็ตกใจ กดสายทิ้งทันที “ตาสรวง”
“คุณหญิงแม่..คุณหญิงแม่” สุขหฤทัยงง กดสายโทร.กลับอีก “ปิดมือถือทำไมเนี่ย”

ท่าทางสุดามีพิรุธ รีบยิ้มกลบเกลื่อน
“มานั่งอะไรมืดๆ ตรงนี้ลูก”
“นั่งคิดอะไรหน่อยครับ เกี่ยวกับคุณแม่”
สุดาตกใจ แสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน “แม่มีอะไรต้องให้คิด”
สรวงยิ้มนิดๆ แต่จับสังเกตมารดาตลอด “ก็ผมอยากรู้ว่าคุณแม่คุยอะไรกับฤทัย..ถึงได้สะใจ
ถึงได้หัวเราะง่ายๆ...”
สุดาหน้าซีด “อ๋อ..แม่ไปหัดตีสควอชมาน่ะลูก ตอนแรกก็นึกว่าจะเหนื่อย ไม่ไหวแต่เอาจริงง่าย พอตีแล้วก็สะใจ แต่ก็เหนื่อยเป็นบ้าเลยแม่ไปพักก่อนนะ”
สุดาเดินขึ้นบันไดไปเลย

สรวงมองตามด้วยความสงสัย

สรวงพกความสงสัยคาใจ เข้ามาในห้อง ชายหนุ่มครุ่นคิด คลางแคลงใจในตัวสุดา นึกถึงคำพูดกรรณนรีตอนที่บอกเรื่องสุดา

สรวงคิดในใจ “หรือจะเป็นอย่างกรรณรีพูด ทุกอย่างเกิดจากแม่”
สีหน้าสรวงยามนี้เครียดจัด

ค่ำคืนนั้น ภาพิศเป็นกังวลนอนไม่หลับ เสียงแฉล้ม ดังก้อง
“เกิดนังเด็กนั่นมันตายขึ้นมาจริงๆ ล่ะ”
“ไม่ตายหรอก”
ภาพิศบอกตัวเอง พยายามข่มตาให้หลับ แต่แล้วต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนเปิด
ประตูห้องอื่นๆ ในบ้าน ภาพิศผุดลุกขึ้นด้วยสีหน้าหวาดหวั่น มองฝ่าออกไปท่ามกลางความเงียบ เสียงฝีเท้าคนดังแว่วมา ภาพิศล้วงหยิบปืนใต้หมอนออกมา ค่อยๆ ลุกลงจากเตียง เปิดประตูออกไป

ภาพิศเดินออกมานอกห้อง กดสวิทซ์ไฟตรงระเบียง แต่ไฟไม่ติด ภาพิศทำหน้าฮึดฮัดขัดใจ
“ไฟมาดับอะไรตอนนี้?”
ภาพิศกำปืนแน่น มองลงไปด้านล่าง ยินเสียงฝีเท้าดัง แต่ไม่เห็นคน ภาพิศตะโกนก้อง
“น้อยเหรอ?..น้อย” เงียบไม่มีเสียงตอบ ยินเพียงเสียงฝีเท้าดัง ภาพิศหน้าซีด กำปืนแน่นขอสู้ ถามออกไปเสียงดังก้อง “ใคร?..ฉันถามว่าใคร?”
จังหวะนั้นหญิงสาวในชุดสีขาวโพลนก็ปรากฏกายขึ้น ภาพิศมองลงไปยังชั้นล่าง ผู้หญิงคนนั้นหันหลังให้ ค่อยๆ เดินออกไปที่ประตูด้านล่าง ภาพิศวิ่งลงบันไดตามไปติดๆ พลางตะโกนถาม
“หยุดนะ..หยุด ฉันบอกให้หยุด”

ภาพิศวิ่งลงมายังด้านล่าง ผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้ว ภาพิศหน้าซีดเผือด เหงื่อแตก รู้สึกหวั่นกลัว ถามตัวเองเสียงสั่น
“หายไปได้ยังไง”
พอภาพิศจะหันหลังเดินกลับขึ้นข้างบนบ้าน หางตาก็เห็นชายเสื้อสีขาวแวบๆ ภาพิศหันขวับไปมอง เห็นผู้หญิงคนนั้น ยืนหันข้างก้มหน้า ผมยาวสลวยสยายลงมาปรกหน้าดูน่ากลัว ภาพิศถามเสียงสั่น
“เธอเป็นใคร?” ผู้หญิงคนนั้นไม่ตอบ ภาพิศกำปืนแน่นเล็งใส่ เดินเข้าหา ตะโกนถามเสียงดัง “ฉันถามว่าเธอเป็นใคร?”
ผู้หญิงคนนั้นหายวับไปกับตา ภาพิศร้องกรี๊ดๆๆ หน้าตาตื่นตะลึง ท่าทางลนลานด้วยความหวากลัว และไม่ว่าภาพิศจะหันหน้าไปทางไหน ก็เห็นแต่ผู้หญิงคนนั้นยืนก้มหน้าผมยาวสยายอยู่อย่างนั้น ภาพิศกลัวกรีดร้องเสียงสั่น
ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าพรวดขึ้นมาเหมือนฉากสยองในหนังผี
ภาพิศตกใจสุดขีดเมื่อเห็นชัดๆ “ศุภาวีร์”
กรรณนรีพูดตอบด้วยเสียงยานคานเหมือนผี “ฉันเอง”
“อย่าเข้ามานะ แอร๊ยยย” ภาพิศกรีดร้องสุดเสียง ยิงปืนกระหน่ำออกไปไม่นับ
ร่างของกรรณนรีล้มฟุบลง นอนคว่ำหน้า ภาพิศใจสั่น กระชับปืนแน่น เข้าไปใกล้ร่างนั้นจะดูว่าตายหรือเปล่า ทันใดนั้นเอง กรรณนรีก็เงยหน้าขึ้นมาฟึ่บ ภาพิศร้องกรี๊ดผงะหงาย เสียหลัก พริบตานั้นเองที่ผีกรรณนรีก็โผนขึ้นมาคร่อมร่างภาพิศ คำรามเสียงน่ากลัว
“แกฆ่าฉัน ฉันจะฆ่าแก”
ผีกรรณนรีบีบคอภาพิศสุดแรง ภาพิศพยายามแกะมือออก
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“แกตั้งใจ ฉันจะฆ่าแก”
ผีกรรณนรีบีบเค้นคอภาพิศสุดแรง ก้มหน้าลงมาต่ำ ในสายตาภาพิศ เห็นกรรณนรีคือปิศาจร้ายน่ากลัวมาก

ภาพิศกรีดร้องออกมาสุดเสียง แล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา เหงื่อแตกพลั่ก ภาพิศกวาดสายตา
มองรอบๆ ห้องอย่างหวาดกลัว หายใจหอบถี่ๆ ที่แท้ฝันไป

เช้าวันต่อมา ขณะที่สรวงเดินลงมาจากบ้าน เสียงมือถือดังลั่น สรวงรับ
“สรวงครับ”
ภาพิศอยู่ที่บ้านหน้าตาซีดเซียวยังอยู่ในสภาพตกใจหวาดกลัว เนื้อตัวสั่น
“คุณสรวง... ช่วยพี่ด้วย..พี่มีเรื่อง”
“คุณภาพิศมีอะไรครับ”
สุดาเดินมาได้ยินพอดี จึงเดินตรงมาหา
“ภาพิศโทร.มาเหรอ”
“ครับ”
“แม่พูดเอง” สุดาไม่รออนุญาตคว้ามือถือสรวงมาพูดสาย “ว่าไงคะคุณน้อง”
“ฉัน..ฉันฝันไม่ดีเลยค่ะ”
“ฝันไม่ดี แล้วโทร.มาหาตาสรวง แปลว่าอะไรคะ” สุดาเหน็บ
ภาพิศหน้าตึง “นี่ฉันไม่ได้คิดอกุศลกับคุณสรวงอย่างที่คุณหญิงพี่คิดนะคะ”
“งั้นก็ไม่ต้องโทร.มาหาตาสรวง..คุณน้องอาจจะฝันไม่ดี แต่การกระทำของ
คุณน้องทำให้พี่ใจไม่ดีค่ะ”
สุดกดสายทิ้งเอามือถือคืนสรวงอย่างไม่ใส่ใจ สรวงได้ถอนใจ

ภาพิศบอกแฉล้มที่แวะมาหาทันที ท่าทางฉุนๆ เหนื่อยๆ
“สาบาน! ฉันไม่ได้คิดอะไรกับคุณสรวงจริงๆ ที่โทร.ไปก็เพราะ..จะมีใคร คุยกับฉันดีๆ ได้เท่าคุณสรวง”
“ก็ฉันนี่ไง” แฉล้มว่า
“เมื่อเช้าฉันโทร.ไปคุณไม่รับนี่”
“ก็ให้ฉันเข้าห้องน้ำห้องท่าบ้างสิ..นี่! คุณไม่ต้องคิดมากหรอก ถ้านังศุภาวีร์มันตายไปจริงๆ ข่าวลงแล้ว ไม่ก็สปาโทร.มาบอกแล้ว เจ้าของสปาเป็นเพื่อนคุณหญิงสุดาไม่ใช่เหรอ”
ภาพิศคิดตาม “มันก็จริง”
“อย่าเครียด อย่าลืม คุณมีลูกในท้อง...ถ้าคุณกังวลเรื่องนังเด็กนั่นจริงๆ เดี๋ยวฉันไปสืบหาบ้านมันให้ ถ้ามันตายจริงๆ ก็คงมีการจัดงานศพ แต่ถ้ามันไม่ตาย เจอบ้านมันจะได้แท็กทีมไปตบมัน”แฉล้มว่าอย่างเรื่อยเจื้อย ท่าทีขำๆ ไม่อยากให้ภาพิศซีเรียส “เฮ้อ! ทำความเดือดร้อนให้คนอื่นไปทั่ว ศุภาวีร์นะศุภาวีร์ น่าตบจริงๆ”

ที่โรงพยาบาล กรรณนรีฟื้นแล้วนอนหน้าซีด มีมะยมกับนิคคอยเฝ้าอย่างห่วงใย กรรณนรีบอกเสียงแผ่วน้ำตาซึม
“ฉันขอบใจพวกแกมากนะ..ถ้าไม่ได้พวกแก ฉันคงแย่”
มะยมถามอย่างเป็นห่วง “แล้วทำไมแกถึงไปทำอะไรอย่างนั้นได้”
กรรณนรีอึ้งไปนิด นึกถึงภาพิศ เสียใจที่เป็นภาพิศ นึกถึงสุดาขึ้นมา ตอบแค่นั้น “คุณหญิงสุดาทำฉัน”
นิคตกใจ คาดไม่ถึง “คุณหญิงสุดา....โห!ทำไมร้ายกาจอย่างนั้น ถ้ามะยมไม่เข้าไปเห็นแกตายแน่ๆ”
กรรณนรีตาวาวโรจน์ โกรธแต่ก็สะเทือนใจเพราะสุดาคือแม่สรวง “คุณหญิงสุดา..ไม่น่าทำกับฉันถึงขนาดนี้”
มะยมบอกเข้ม “ก็แกอยากไปยุ่งกับสามีเค้า” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นดุ “นี่! ไม่ว่าแกจะมีเหตุผลอะไร แต่แกต้องเลิกยุ่งกับท่านอารักษ์ได้แล้ว”
“แกต้องออกมา” นิคเสริม
“ฉันยังไปไม่ได้” ท่าทีกรรณนรีร้อนรน...พูดอ้อนวอนสองเพื่อน “แต่พวกแกเชื่อฉันนะ ฉันไม่ได้มีอะไรกับเค้า ฉันไม่ได้เป็นเมียน้อยเค้า อย่างที่ใครๆ เข้าใจ”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือกรรณนรีดัง มะยมที่ยืนอยู่ข้างๆ มองเหยียดหยัน
“ท่านอารักษ์”
กรรณนรีมองโทรศัพท์ มะยมว่าต่อ
“ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน...ว่าแกกับเค้าไม่ได้มีอะไรกันจริงหรือเปล่า”
มะยมกดเป็นสปีกเกอร์โฟน เสียงท่านอารักษ์ดังก้อง มะยม กรรณนรี และนิคนิ่งฟัง
อารักษ์พูดเสียงหวาน “หนูจ๋า...ทำอะไรอยู่จ๊ะ...” เงียบฟัง “หนู...ได้ยินหรือเปล่า...ฉันคิดถึงหนูมากเลยจ้ะ อยากกลับไปหาเร็วๆ...อยากกอด อยาก...”
มะยมกดวางสายทันที ตาเขียวใส่กรรณนรี
“นี่เหรอ?..คนไม่มีอะไรกัน เค้าพูดอย่างนี้เหรอ? สมแล้วที่แกต้องโดนเมียเค้าทำอย่างนี้กาว!” มะยมผลุนผลันออกไปด้วยความโกรธ
“มะยมๆๆ” นิครีบตามออกไป

กรรณนรีได้แต่อ้าปากค้าง มองโทรศัพท์ หยิบมาด้วยความโมโห แทบจะเขวี้ยงทิ้ง
 

เนื่องจากเนื้อเรื่องในตอนที่ 12 นี้ มีเนื้อหาบางส่วนซ้ำกับที่เคยอัพไปในตอนที่ 11 สำหรับใครที่เคยอ่านแล้ว ตัวหนังสือสีแดง คือเนื้อเรื่องที่เพิ่มเติมใหม่ เพื่อความสมบูรณ์ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้
 
ไฟมาร ตอนที่ 12 (ต่อ)

มะยมเดินฉับๆๆ ออกมาจากโรงพยาบาล โกรธกรรณนรีมาก บ่นกับนิค

“ฉันไม่อยากจะด่ากาวเลย แต่ผู้หญิงที่เป็นเมียน้อยร้อยละ 99.99 ส่วนใหญ่ก็พูดแต่แบบนี้” มะยมทำเสียงเล็กเสียงน้อย “ไม่มีอะไร ไม่คิดอะไร?..เฮ่อ! ไม่คิดอะไร ไม่มีอะไรแล้วไปคุยกับสามีชาวบ้านทำไม”
นิคเย้า “เอามาจากสำนักไหนเหรอ? ร้อยละ 99.99 น่ะน่ากลัว”
“สำนักฉันเอง...นี่นิค..ฉันเป็นผู้หญิง ฉันดูออก อย่างที่เค้าว่าผีเห็นผีน่ะแหละไม่มีอะไรแล้วท่านอารักษ์จะโทร.มาออดอ้อนกาวมันทำไม? ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ”
“กาวเอ๊ย! สิ้นคิดจริงๆ” สองคนเดินไปอย่างเซ็งๆ

ภายในห้องกรรณนรีปวดหัว ทำท่าจะหยิบมือถือมาเขวี้ยง คำรามใส่
“ท่านอารักษ์ ท่านจะโทร.มาทำไมตอนนี้” กรรณนรีเปลี่ยนใจไม่ขว้างลดมือถือลง
กดโทร.ออก “พี่แก้ว..กาวนะ...เบาๆ..อย่าบอกพ่อ ตอนนี้กาวอยู่โรงพยาบาลมารับหน่อย”

ไม่นานต่อมากาวินทร์กับกาวเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยกัน กาวินทร์ฮึดฮัด โกรธสุดขีด
“พี่ไม่อยากใจเย็นแล้ว เล่นกันแรงขนาดนี้ มันต้องพังกันไปข้างหนึ่ง”
“เค้าพังหรือเราพัง จะให้กาวไปกระชากผมคุณหญิงสุดา ตบๆๆๆ กาวก็ทำได้..” กาวินทร์เงียบ กรรณนรีพูดต่อ “แต่นี่..กาวไม่อยากทำ เพราะคุณหญิงสุดาคือแม่คุณสรวง” นิ่งไปนิด “กาวเคยทำพังมาแล้ว เพราะอารมณ์ชั่ววูบ เพราะฉะนั้น กาวจะพังอีกไม่ได้”
“มันก็จริง...เราต้องหาทางดึงแม่ออกมาจากนายอารักษ์ให้เร็วที่สุด และถึงจะดูใจร้ายกับคุณสรวง...แต่กาวต้องทำให้ท่านหย่ากับคุณหญิงให้ได้ ไว้ยัยฤทัยตกหลุมพรางพี่เมื่อไหร่ พี่จะให้ยัยฤทัยแฉคุณหญิงสุดาเอง กาวจะได้ไม่ต้องลำบากใจ”
“คุณหญิงสุดาไม่น่าเป็นแม่คุณสรวงเลย!”
กรรณนรีเครียดขึ้นมาอีก

กรรณนรีเดินเข้ามาในบ้าน หน้าตาบึ้งตึง สุดาเดินลงบันไดมาจากชั้นบนของบ้านเห็นก็ตกใจ แทบไม่เชื่อสายตา
“นังกรรณรี”
กรรณนรีมองจ้องหน้า ดวงตาวาววับ “ตกใจมากเหรอคะที่ฉันไม่เป็นอะไร เหมือนอย่างที่เค้าว่าค่ะ คนดีตกน้ำไม่ไหล แต่คนอย่างคุณหญิง ผีคงอยากเอาไปอยู่ด้วย”
สุดาโกรธจนตัวสั่น “แกด่าฉัน”
“ถ้าไม่ติดว่าคุณหญิงเป็นแม่คุณสรวง ฉันอยากทำมากกว่านี้อีก จะได้สาสมกับสิ่งที่คุณหญิงทำ” กรรณนรีจ้องหน้าสุดา อยากจะฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆ
“ทำไมแกจะทำไมฉัน” สุดาเอามือจิ้มหน้าผากกรรณนรีอย่างแรง
“คุณหญิง”
“ตบฉันสิ จิกหัวฉันสิ ฉันจะได้เรียกตาสรวงมาดู ว่าแกทำร้ายฉัน”
กรรณนรีจ้องหน้าสุดา แทบไม่เชื่อสายตา ว่าจะเป็นไปได้ขนาดนี้ สุดาเหยียดเย้ย
“ฉันให้โอกาสแล้ว แกไม่ทำเองนะ” สุดาตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ และเจ็บปวด “ตาสรวงๆๆๆ ช่วยแม่ด้วย ตาสรวง”
“อย่านะคุณหญิง ไม่งั้นฉันจะเอาคลิปให้คุณสรวงดู” กรรณนรีขู่
สุดาจ้องมองกรรณนรีอย่างโกรธแค้นชิงชัง เป็นจังหวะที่สรวงวิ่งลงมาหน้าตาตื่น
“คุณแม่เป็นอะไรครับ”
“ปวดหัว...ช่วยไปเอายามาให้แม่กินหน่อย”
สรวงลังเล มองสายตาที่สุดากับกรรณนรีจ้องมองกัน สุดาเร่ง
“เร็วสิลูก แม่ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว” สรวงจำต้องเดินออกไป
กรรรณนรีมองตามสรวง นึกเห็นใจจึงถามสุดา “ฉันไม่เข้าใจ คุณหญิงทำร้ายคุณสรวงได้ยังไง?”
“ฉันไม่เคยทำร้ายสรวง แต่ฉันทำร้ายแก ทำร้ายแม่แก พวกผู้หญิงหน้าด้านที่มันชอบเป็นเมียน้อย มันจะได้รู้ การที่มันทำลายครอบครัวคนอื่น ผลจะเป็นยังไง”
กรรณนรีมองอย่างเห็นใจ “ฉันเสียใจ...แต่ฉันขอร้อง ถ้าฉันพาแม่ฉันออกจากชีวิตพวกคุณ
ได้...คุณยุติความแค้นทุกอย่างลงได้มั้ย”
“เขียนด้วยมือ แล้วจะลบด้วยเท้า มันไม่ง่ายอย่างหรอก” สุดาเยาะ ไม่เชื่อในน้ำคำ
“งั้นเราก็ฟาดฟันกันต่อไป เพราะฉันก็ไม่ยอมให้คุณทำร้ายแม่ฉันเหมือนกัน” กรรณนรีบอกด้วยเสียงขุ่นเขียว
สรวงเดินเข้ามาพร้อมยา มองสองคนนิ่งๆ อย่างกลัดกลุ้ม

ครู่ต่อมาสรวงประคองสุดาให้นอนลงที่เตียง
“ผมทราบว่าคุณแม่เจ็บปวดกับการกระทำของคุณพ่อ แต่ถ้าคุณแม่ไม่อยากเจ็บปวด คุณแม่ก็ต้องยุติ
สุดาสวนทันควัน “สรวงจะให้แม่หย่ากับพ่อ แล้วให้พวกเมียน้อยมันชุบมือเปิบน่ะเหรอ? ไม่มีวัน...”
“งั้นถ้าไม่มีใครยุติ...ก็ต้องมีคนเจ็บอีกหลายคน”
“แล้วทำไมคนยุติต้องเป็นแม่...ที่ผ่านมาแม่ไม่ผิดนะสรวง แม่ไม่ผิด นังภาพิศต่างหากที่มันผิด มันเข้ามาทำลายครอบครัวของเรา” สุดาเสียงดัง “แม่เกลียดเมียน้อย แล้วแม่ก็ไม่สนด้วยว่าใครจะเจ็บ แม่รู้แค่ แม่ต้องไม่เจ็บคนเดียว”
ดวงตาของสุดาเกรี้ยวกราดเจ็บช้ำ สรวงกลุ้มไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง จับมือของสุดาบีบเบาๆ
“แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ยังไงผมก็อยู่ข้างแม่”
สุดาร้องไห้โฮ “แม่รักสรวง...”
สรวงกอดปลอบสุดาอย่างเห็นใจ แต่สายตายังคลางแคลงใจ สุดามองสรวงรู้ทัน รีบบอก
“อย่าคิดมากนะลูก เวลาแม่โมโห แม่ก็พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ตอนนี้แม่ไม่มีอะไรกับภาพิศแล้วจริงๆ มีแต่ศุภาวีร์เท่านั้น ที่เข้ามาเป็นหนามทิ่มแทงใจแม่”


กรรณนรียืนอยู่ในห้อง ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นสรวงยืนกลุ้มที่สระว่ายน้ำ กรรณนรีน้ำตาคลอ
“ฉันรักคุณ...ฉันไม่อยากให้คุณเจ็บแม้แต่นิดเดียว คุณสรวง” หยิบมือถือมาโทร.หากาวินทร์เสียงสั่นเครือ

“พี่แก้ว กาวทนไม่ไหวแล้ว กาวจะไปจากที่นี่”

สายวันต่อมาสุขหฤทัยว่ายน้ำอย่างสบายอารมณ์ ยินเสียงมือถือดัง สุขหฤทัยเห็นเป็นเบอร์กาวินทร์ ก็ลังเลนิดหนึ่งก่อนจะกดรับเสียงเย็นชา

“มีอะไร”
กาวินทร์อยู่ออฟฟิศพูดเสียงหวานแต่ตาร้ายกาจ “ผมคิดถึงคุณ...เมื่อไหร่คุณจะใจอ่อน
ยอมทานข้าวกับผมซักที” สุขหฤทัยนิ่งคิด


คืนนั้นสุขหฤทัยใจอ่อน กำลังเดินนำกาวินทร์เข้ามาในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ดวงตาสุขหฤทัยยิ้มเจิดจ้า แต่แกล้งทำฟอร์ม
“จริงๆ ฉันไม่อยากมากับนายหรอกนะ..แต่ตามตื้ออยู่ได้ รำคาญ”
กาวินทร์ที่เดินตามหลังฉุนคุมอารมณ์ “อย่ารำคาญเลยนะครับ เพราะผมเห็นคุณแล้ว ชื่นใจ”
สุขหฤทัยแอบอมยิ้ม กาวินทร์เลื่อนเก้าอี้ให้เอาใจ

ช่างบังเอิญเหลือแสน เป็นจังหวะเวลาเดียวกับที่สุดาและสรวงมาทานอาหารที่นี่ และสุดาเดินเข้ามากับสรวงบอก
“ขอบใจมากลูก ที่มาทานข้าวเป็นเพื่อนแม่”
สรวงพูดเสียงอ่อนโยนแต่แฝงความเคลือบแคลงสงสัย “ผมเต็มใจทำให้คุณแม่ทุกอย่าง
อยู่แล้วครับ”
“แต่ช่วงนี้แม่เห็นสรวงท่าทางแปลกๆ ดูห่างจากแม่ไป”
“งานยุ่งนะครับไม่มีอะไรหรอก...ทานอะไรดีครับ” ยื่นเมนูให้
สุดารับเมนูมา แต่ต้องชะงักเมื่อมองไปเห็นกาวินทร์กับสุขหฤทัยที่อยู่ตรงโต๊ะอีกมุม สุดาตกใจรีบกลบเกลื่อน
“สรวงช่วยเลือกให้แม่หน่อย...แม่จะไปห้องน้ำ หลายๆอย่างเลยนะลูก แม่หิว”
สุดารีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

สรวงก้มหน้าก้มตาอ่านเมนู

ที่ด้านในของร้านอีกมุม กาวินทร์พะเน้าพะนอเอาอกเอาใจสุขหฤทัย จู่ๆ เสียงมือถือดัง สุขหฤทัยรับมาดูบ่นตามประสา
“โทร.มาทำไมเนี่ย” รับสายเสียงหวาน “มีอะไรคะคุณหญิงแม่”
สุดาอยู่ตรงอีกมุมในร้านอาหาร พูดเสียงเขียวสั่ง
“อยู่เฉยๆ อย่ากระดุกกระดิก”
“ทำไมคะ”
“ตาสรวงนั่งอยู่ข้างหลังเธอ”
สุขฤทัยหันขวับโดยอัตโนมัติ แล้วก็เห็นสรวง สุขฤทัยหน้าซีดเอามือป้องปากคุย “ทำไงดีคะคุณหญิงแม่”
“ย้ายร้านให้เร็วที่สุด”
“จะย้ายยังไงล่ะคะ” กาวินทร์มองสุขหฤทัยที่มีท่าทีและคำพูดคำจาแปลกๆ
“ไม่รู้...แต่เธอห้ามให้ตาสรวงเห็นเด็ดขาด ไม่งั้นวงแตก”
“ค่ะๆ” สุขหฤทัยวางสาย
“มีอะไรครับ”
“ฉันไม่ค่อยสบาย กลับดีกว่าค่ะ”
พูดจบสุขหฤทัยคว้ากระเป๋าลุกขึ้นเดินไปทางอื่นที่ไม่ผ่านสรวง ในขณะที่สรวงก้มหน้าก้มตาอ่านเมนู ก่อนจะเรียกบริกร
“สั่งอาหารครับ”
จังหวะนั้นสรวงเห็นหลังสุขหฤทัยกับกาวินทร์แวบๆ สรวงเขม้นตามอง บริกรเดินมาหา
“รับอะไรครับ”
สรวงไม่ตอบรีบลุก แล้วเดินออกไปด้วยความสงสัย

สรวงจะเดินตามสุขหฤทัยออกไป สุดาเดินเข้ามาขวาง มองสรวงถามทันที
“มีอะไรลูก”
“เหมือนผมจะเห็นฤทัย”
สุดากวาดตามอง “ไม่เห็นจะเห็นเลย สงสัยจะหิวจนตาลาย เข้าไปข้างในเถอะลูก..แม่หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว”
สุดาคว้ามือสรวงให้เดินเข้าไปข้างใน สรวงกวาดสายตามองดู สงสัย แต่ไม่เห็น

สุขหฤทัยเดินรี่มาที่รถ กลัวสรวงมาเห็น กาวินทร์ตามมาช่วยประคอง
“เป็นอะไรรึเปล่าคุณ”
สุขหฤทัยแว้ด “จะมายุ่งอะไรกับฉัน” ปัดมือกาวินทร์ออกอย่างแรง จนถูกหน้ากาวินทร์
กาวินทร์ร้อง “โอ๊ย”
สุขหฤทัยตกใจ “เจ็บมากรึเปล่า”
“ไม่เป็นไรครับ...ขอโทษ..ผมไม่ได้ตั้งใจลวนลาม ผมแค่ห่วงคุณ”
สุขหฤทัยสงสัยตะหงิดๆ “นี่นายห่วงฉันจริงเหรอ”
กาวินทร์บอกหน้าซื่อ “ครับ”
“ขอบคุณ...ฉันไม่เป็นไร กลับบ้านกันเถอะ” สุขหฤทัยบอก
กาวินทร์เปิดประตูให้ สุขหฤทัยก้าวขึ้นรถ
 
ระหว่างที่อ้อมมายังที่นั่งคนขับ กาวินทร์เบ้ปากใส่สุขหฤทัยอย่างเกลียดชัง

สรวงเดินเข้ามาในบ้านกับสุดา ท่าทางเย็นชา สุดารู้สึกใจคอไม่ดีเลี่ยงถามเรื่องอาหาร

“อาหารอร่อยดีนะลูก ว่ามั้ย”
สรวงเงียบ ไม่ตอบสุดายิ่งกังวลหนักถามเสียงอ่อนโยน
“สรวงเป็นอะไรลูก” สรวงไม่ได้ยิน สุดาเรียกซ้ำ “สรวง”
สรวงได้สติ “ครับ”
“แม่ถามว่าเป็นอะไร”
“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่น่ะครับ”
สุดาใจหาย ยิ่งกังวล “ก็อะไรล่ะ”
สรวงมองหน้าแม่ทั้งรัก ทั้งสงสัย ไม่อยากผิดหวังในตัวแม่ “ยังไงผมก็สงสัยอยู่ดี คุณแม่..กับคุณภาพิศดีกันจริงเหรอครับ”
สุดาวัวสันหลังหวะแอบสะดุ้ง “ก็จริงน่ะสิ แม่บอกแล้วไง..เวลาแม่โกรธ แม่ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย”
“แต่มันก็น่าแปลกนะครับ คนเกลียดกันเข้ากระดูกดำ แต่ตอนนี้หันมารักกันเป็นซี้กัน เป็นไปได้ยังไง” สรวงพูดกระทบกระเทียบ แล้วเดินขึ้นบ้านไป
สุดายิ่งกังวล “ตาสรวงสงสัยเรา” หยิบมือถือขึ้นมาแววตาร้ายกาจ “คุณน้อง..พี่มีเรื่องด่วนจะปรึกษา เดี๋ยวพี่ไปหาที่บ้านนะคะ”

ภายในบ้านภาพิศเวลาต่อมา สองคนปรึกษากันอยู่ ภาพิศมองจ้องสุดาพูดว่า
“มันก็น่าสงสัยเหมือนที่คุณสรวงว่านะคะ คุณหญิงพี่กับน้องเกลียดกันเข้ากระดูกดำ แต่ตอนนี้หันมารักกัน จูบปากกันก็น่ากระไรอยู่”
“ก็เรารักกัน จูบปากกันเฉพาะกิจ” แววตาร้ายกาจ หวังหลอกใช้ “ถ้าตาสรวงสงสัยขนาดนี้...อาจถูกนังศุภาวีร์เป่าหูมาก็ได้”
ภาพิศหันขวับมามองสุดา
“คุณน้องก็รู้...เด็กนั่นมันเคยให้ท่าตาสรวงมาก่อน ตอนพี่ไม่อยู่มันก็อาจจะดอดไปให้ท่าตาสรวง ทางที่ดี คุณน้องต้องหาทางถลกหนังหัวมันให้เร็วที่สุดค่ะ”

สุดาเสี้ยมตามความถนัด

คืนเดียวกันนั้น เสียงโทรศัพท์ดัง แฉล้มรับ
“มีเรื่องอะไรอีกล่ะคุณ โทร.มาซะดึกดื่น”
“ฉันร้อนใจเรื่องนังเด็กนั่น คุณต้องช่วยฉันสืบหาบ้านมันให้ได้” น้ำเสียงภาพิศดุดัน “ฉัน
จะไปหาพ่อแม่มัน กำราบมัน”

แฉล้มวางสาย เกาหัวยิกๆๆ
“โอ๊ย! ไม่ใช่นักสืบจะไปหาที่ไหนเนี่ย?” คิดไปคิดมาแล้วนึกได้ คว้ามือถือมากดโทร.ออก

สองเกลอนั่งปั่นต้นฉบับอยู่ที่ออฟฟิศ นิคถามมะยม
“ไง?ข่าวกาว แกจะว่ายังไง”
“ฉันก็คงต้องบอกพี่จ๋า..ฉันเขียนไม่ได้ จะหาว่าฉันไม่มีสปิริตก็ยอม”
นิคยิ้มกอดคอมะยม “แต่สำหรับฉัน แกเป็นเพื่อนที่มีสติสุดยอดเลยว่ะมะยม”
สองคนยิ้มให้กัน เสียงโทรศัพท์ออฟฟิศดังพอดี
นิครับสาย “สตาร์อินเทรนด์ครับ”
แฉล้มดัดเสียงโทร.มา “สวัสดีค่ะ...ฉันอยากขอบคุณน้องก้างที่ช่วยเหลือฉัน..เลยอยากจะ
ส่งของไปให้ ขอที่อยู่บ้านน้องก้างได้มั้ยคะ”
“ส่งมาที่ออฟฟิศก็ได้ครับ”
แฉล้มดัดเสียงขัดใจ “ที่บ้านไม่ได้เหรอคะ เป็นของสำคัญจริงๆ ค่ะ”
“ที่สำนักพิมพ์ สะดวกกว่าที่บ้านครับ...” เน้นคำ “เพราะก้างไม่ค่อยอยู่บ้าน”
มะยมได้ยินหันขวับ ในขณะที่แฉล้มทำหน้าขัดใจอยากจะเบิ๊ดกะโหลกคนรับโทรศัพท์
“งั้นไม่เป็นไรค่ะ..เดี๋ยวฉันเอาไปให้ที่สำนักพิมพ์ ด้วยตัวเองก็ได้”
แฉล้มวางสายหน้าหงิก
“ใครมาหาก้าง” มะยมถาม
“ก็พรรคพวกของคุณภาพิศล่ะ ก็แหม...จะมีใครที่ไหนเรียกกาวว่าก้างนอกจากคุณภาพิศ”
มะยมเยาะ “เออ..ตอนตัวเองแย่งสามีคนอื่นไม่คิด...ทีถูกแย่งคืนเข้าหน่อย อยู่ไม่ติดเลย สมน้ำหน้า”

แฉล้มหน้าหงิก บ่นกระปอดกระแปดอยู่คนเดียว
“แล้วจะรู้ได้ยังไงเนี่ย บ้านนังศุภาวีร์อยู่ที่ไหน?” ชะงัก เหมือนรู้ “ใช่แล้ว..บ้านท่านอารักษ์”

เช้าวันต่อมากรรณนรีถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินออกมา เจอสรวง สรวงถามท่าทีตกใจ
“เธอจะไปไหน”
“จะสนใจทำไมคะ ในเมื่อคุณไม่อยากให้ฉันอยู่ที่นี่อยู่แล้ว” กรรณนรีประชด
สรวงยังอาวรณ์อยู่ในที “ถ้าเธออยู่ในฐานะผู้หญิงของพ่อ แน่นอนฉันไม่พอใจ แต่ถ้าเธอ
อยู่ที่นี่ ในฐานะคนรักของฉัน ฉันก็อยากให้เธออยู่”
กรรณนรีมองหน้าสรวง สุดาเดินมาทางด้านหลัง สรวงยิ้มมากรรณนรีเห็น
“ชาตินี้ไม่มีวันเป็นไปได้หรอกค่ะ”
สรวงเสียใจอย่างยิ่ง “แปลว่า...เธออยากเป็นผู้หญิงของพ่อฉัน”
“ถ้าฉันคิดอย่างนั้น ฉันจะไปจากที่นี่ทำไม? ช่างเถอะ...ฉันไม่อยากพูดมากซักวันคุณจะเข้าใจ” เดินหนีไป
“กรรณนรี”
“จะห้ามทำไมสรวง....เค้าปอกลอกคุณพ่อจนอิ่มแล้วเค้าก็ไป เป็นเรื่องธรรมดา” สุดาแดกดัน
กรรณนรีมองคุณหญิงสุดาอย่างเสียใจ ก่อนจะเดินไป สรวงมองตามเสียใจ เดินกลับเข้าด้านใน

กรรณนรีหิ้วกระเป๋าออกมา เรียกรถแท็กซี่ เห็นสติ๊กเกอร์ที่ติดบนรถแท็กซี่เด่นสะดุดตา กรรณนรียกดันกระเป๋าเข้าด้านในแล้วก้าวขึ้นรถไป บอกให้ไปส่งที่บ้าน

แฉล้มที่จอดรถซุ่มรออยู่หน้าบ้าน รีบขับตามไปทันที



เนื่องจากเนื้อเรื่องในตอนที่ 12 นี้ มีเนื้อหาบางส่วนซ้ำกับที่เคยอัพไปในตอนที่ 11 สำหรับใครที่เคยอ่านแล้ว ตัวหนังสือสีแดง คือเนื้อเรื่องที่เพิ่มเติมใหม่ เพื่อความสมบูรณ์ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้
 
ไฟมาร ตอนที่ 12 (ต่อ)

สรวงมีท่าทีเฉยชา และทำตัวห่างเหิน จนคุณหญิงสุดาหวั่นใจ กลัวว่าสรวงจะโกรธ

“นี่สรวงโกรธแม่เหรอลูก”
“ผมจะโกรธคุณแม่เรื่องอะไร”
“แม่ไม่รู้...หลายครั้งที่สรวงทำท่าห่างเหิน”
“ไม่มีอะไรครับ คุณแม่อย่าคิดมาก” จะเดินออกไป
“แล้วนั่นสรวงจะไปไหน”
“ไปตีกอล์ฟกับพี่นพครับ” สรวงเดินออกไปเลย
สุดาหยิบมือถือขึ้นมาโทร.ออกอย่างร้อนใจ “ฤทัยออกมาหาแม่หน่อยลูก”

ไม่นานนัก สองคนอยู่ที่ร้านอาหารประจำ สุดาคุยกับสุขหฤทัยท่าทางไม่สบายใจ
“เดี๋ยวนี้ตาสรวงทำท่าทางแปลกๆกับแม่.. หรือว่าวันนั้นตาสรวงจะเห็นฤทัยกับไอ้แก้ว”
“ไม่เห็นหรอกค่ะ ฤทัยมั่นใจ”
สุดากังวลหนัก “ก็แล้วทำไม ตาสรวงทำท่าแปลกๆ เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย เฮ้อ!วันนั้นฤทัยไม่น่าไปกับไอ้แก้วเลย”
สุขหฤทัยกลบเกลื่อน “ฤทัยก็ไม่ได้อยากไปหรอกค่ะ แค่แกล้งหลอกถามมันเกี่ยวกับเรื่องนังกรรณรี จะได้คิดแผนรับมือถูก”
“งั้นวันหลังอย่าไปนะ เพราะถ้าตาสรวงเห็น แย่แน่ๆ”
สุขหฤทัยรับคำเสียงอ่อย “ค่ะ” มือถือดัง สุขหฤทัยเห็นเป็นชื่อกาวินทร์ไม่กล้ารับ
สุดาถามเสียงดุ ด้วยความสงสัย “ใคร”
“เพื่อนน่ะค่ะ..ขี้เกียจคุย” รีบกดสายทิ้ง “คุยกับคุณหญิงแม่ดีกว่า ทานอะไรดีคะทานอะไร”
สุขหฤทัยเลื่อนเมนูให้ประจบเอาใจ

ฟากกาวินทร์อยู่ที่บริษัท รู้สึกแปลกใจที่สุขหฤทัยตัดสาย เดินไปเดินมาอย่างครุ่นคิด
“ยัยขี้ไคลก็ดูเหมือนจะติดกับเรา แล้วทำไมไม่รับสาย”
ขณะที่กาวินทร์คิดไปคิดมา แต่ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงโทรศัพท์ดัง รีบคว้า
“คุณฤทัย” กาวินทร์ตาวาวร้ายกาจแต่หยอดเสียงหวาน “ผมดีใจจังเลยที่คุณโทรฯกลับมา”
สุขหฤทัยจอดรถอยู่ข้างทาง ยิ้มอย่างเป็นต่อ “ตะกี้ฉันติดธุระอยู่ มีอะไร”
กาวินทร์หยอดอีกดอก “คุณสนใจผมด้วย ดีใจจัง”
สุขหฤทัยยิ้มกริ่ม “ไม่ได้สนใจ แค่ไม่อยากเป็นคนไม่มีมารยาท ไง มีอะไรว่ามา”
กาวินทร์ยิ้มร้ายออกมาอย่างเป็นต่อ

ทางด้านแฉล้มขับรถมาตามทาง จี้ติดกรรณนรีที่นั่งอยู่ในแท็กซี่ จู่ๆ ดันมีรถขับมาขวาง แถมบังจนมิด แฉล้มตามไม่ทัน หงุดหงิดมาก
“เฮ้ย! อะไรเนี่ย เผลอแป๊บเดียว หายไหนแล้ว หายไปได้ยังไง”
แฉล้มหงุดหงิด ชะเง้อคอมอง ไม่เห็นรถแท็กซี่คันนั้นแต่อย่างใด
“ทำไมดวงยัยเด็กนั่น มันดีอย่างนี้”
แฉล้มได้แต่กวาดตามองหาอย่างร้อนรุ่มกลุ้มใจ

สรวงมาออกรอบตีกอล์ฟ ตีวงสวิงแรงจนนพแซว
“ตีซะแรงเลย ยังกับโกรธใคร”
“พี่นพก็น่าจะรู้โกรธใคร” สรวงย้อนเอา แน่ละเขาหมายถึงกรรณนรีนั่นเอง
“ขอโทษ..พี่ไม่ตั้งใจจะพูดให้คิดถึง”
“ไม่เป็นไรพี่...”
สรวงตีกอล์ฟกับนพต่อ

ทางด้านกรรณนรีหิ้วกระเป๋าเดินเข้าไปในบ้าน บอกพ่อด้วยน้ำเสียงสดใส
“ต่อไป....กาวไม่นอนค้างที่ออฟฟิศแล้วล่ะพ่อ..จะกลับมานอนบ้านทุกวัน”
“ดีแล้วลูก อย่าโหมทำงานหนักมาก เดี๋ยวสุขภาพจะไม่ดี ที่สำคัญ พ่อคิดถึง”
เกริกดึงลูกสาวเข้ามากอดอย่างรักใคร่ กรรณนรีกอดเกริกยิ้มแย้ม
“กาวก็คิดถึงพ่อค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวพ่อโทร.ไปถามแก้วหน่อย จะกลับกี่โมง ถ้าไม่เย็นมากจะได้ออกไปกินข้าวข้างนอกกัน” เกริกว่า
“ไม่ต้องหรอกค่ะพ่อ เผื่อพี่แก้วติดธุระ พ่อก็รู้..พี่แก้วงานยุ่งจะตาย”
เกริกหัวเราะขำๆ “พ่อไม่รู้หรอกว่าแก้วงานเยอะ..รู้แต่...แก้วน่ะสาวตรึม” ส่ายหน้าอย่างระอา
“สงสารผู้หญิงจริงๆ”
เกริกพูดจบก็เดินเข้าไปด้านใน

กรรณนรีพูดเบาๆ “แต่ผู้หญิงบางคนก็ร้ายเกินกว่าที่จะสงสารจ้ะพ่อ” นัยน์ตาวาววับ “อย่างยัยฤทัย”

ที่สนามกอล์ฟเวลานั้น กาวินทร์เดินเคียงกันมากับสุขหฤทัย จังหวะหนึ่งกาวินทร์ถามพร้อมรอยยิ้ม

“นึกยังไง..ถึงได้มาออกรอบกับผม”
สุขหฤทัยเชิดๆ กลบเกลื่อน “ก็..เวลาจะไปไหนมาไหน นายเป็นคนขับรถให้ฉันตั้งหลายที ก็เลยอยากจะตอบแทนบ้าง ก็แค่นั้น”
“ยังไง..ผมก็ถือว่าเป็นเกียรติที่คุณมาด้วย”
กาวินทร์สาดหวานใส่ สุขหฤทัยทำเป็นเมิน แต่แอบยิ้ม บ่นโทษลมฟ้าอากาศแก้เขิน
“โอ๊ย! ร้อนชะมัดเลย ครีมกันแดด จะเอาไหวรึเปล่าเนี่ย”
กาวินทร์ยิ้ม นาทีนี้เริ่มรู้ตัวเองใกล้จะเป็นต่อ

ในขณะที่สรวงตีกอล์ฟอยู่กับนพ มองไปเห็นกาวินทร์เดินมากับสุขหฤทัย สรวงมองจ้องเขม้นตามอง
นพสงสัย “มีอะไรสรวง”
“เปล่าครับ”
นพมองตามสายตา “นั่นคุณฤทัยนี่..มากับใคร หน้าคุ้นๆ”
“ผมขอไปทักฤทัยเดี๋ยว”
ว่าแล้วสรวงเดินลิ่วไปทันที จังหวะเดียวกันนั้นสุขหฤทัยเงยหน้ามาเห็นสรวงเข้า
“สรวง”
สุขหฤทัยหน้าตาเลิ่กลั่ก รีบชิ่งหนีทันที กาวินทร์ไม่ทันเห็นสรวง เลยงงๆ
“คุณฤทัยๆๆ”
กาวินทร์วิ่งตามสุขหฤทัยอย่างงงๆ
พอสรวงวิ่งมาถึง กลับไม่เห็นสุขหฤทัยแล้ว สรวงนึกสงสัย ตามออกไปทันที

สุขหฤทัยวิ่งมาที่รถ กาวินทร์ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ยังไม่ทันได้ออกรอบเลย ทำไมรีบกลับนักล่ะครับ”
สุขหฤทัยเหลียวมองไปด้านหลัง “ฉันมีธุระ..รีบไปสิ เร็ว”
กาวินทร์อิดออด “แต่เรา...”
สุขหฤทัยชักฉุน เสียงดุใส่อย่างวางอำนาจ “ฉันบอกให้กลับก็กลับสิ เร็ว”
กาวินทร์จำต้องขึ้นรถขับออกไปทั้งที่หงุดหงิดมาก สรวงวิ่งมาตรงที่เห็นสุขหฤทัยไวๆ แต่ไม่เห็นใครแล้ว สรวงหรี่ตามองข้องใจว่าต้องมีอะไรแน่ๆ
จังหวะที่สรวงหันมา ชนเข้ากับมะยม ที่เดินมาหาพอดี สองคนต่างตกใจ
มะยมร้อง “ว้าย”
สรวงทักงงๆ “คุณมะยม”

สรวงเดินมากับมะยม ชวนคุยขึ้นก่อน
“บังเอิญจังเลยนะครับ เจอคุณมะยมที่นี่”
“ใครว่าบังเอิญคะ...คุณนพ..นัดมะยมมาที่นี่”
สรวงอึ้ง “พี่นพ”
นพโบกมือตะโกนเรียก “คุณมะยม”
มะยมโบกมือตอบ “ค่ะ” หันมายิ้มกับสรวง “คุณนพเรียกแล้ว…”
“เชิญคุณมะยมครับ ผมอยากนั่งพัก” สรวงออกตัว
“แล้วคุยกันค่ะ” มะยมเดินตรงไปหานพ
นพกับมะยมมีท่าทีสนิทสนมเกินเพื่อน นพสอนมะยมตีกอล์ฟ สรวงยืนมองภาพตรงหน้าไม่
สบายใจเอาเสียเลย

ด้านแฉล้มยืนอยู่ ข้างรถตัวเองตรงบริเวณข้างทางละแวกบ้านกรรณนรีนั้นเอง พลางกวาดสายตามองหารถแท็กซี่อย่างหงุดหงิด
“หายไปไหนเร็วจริงๆ” เสียงโทรศัพท์ดัง แฉล้มกดรับ ปากคุยสาย แต่ตามองถนนตลอดเวลา “ว่าไงคุณ”
“คุณได้ที่อยู่บ้านนังศุภาวีร์หรือยัง”
“เกือบจะได้แล้ว ฉันตามมันมาจากบ้านท่านอารักษ์ แต่อยู่ๆ ก็คลาดกัน สงสัยสวรรค์ไม่อยากให้คุณทำบาปมั้ง” แฉล้มสัพยอก
“ฉันทำบุญต่างหาก อย่างน้อยก็จะได้คุยกับพ่อแม่มัน ไม่ให้มันทำผิดศีลข้อ 3 แย่งสามีชาวบ้าน” ภาพิศบอก
แฉล้มเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ “เวลาคุณด่า..คุณลืมนึกถึงตัวเองทุกที นี่แหละเค้าถึงว่า...ความผิด
ของคนอื่นเท่าภูเขา ของตัวเราเท่าเส้นผม”
ภาพิศฉุนที่จู่ๆ ก็ถูกด่า “เอ๊ะ คุณ”
แฉล้มรีบบอก “ฉันแค่อยากเตือนสติ นี่ จริงๆฉันก็ไม่ได้อยากทำตัวเป็นนักสืบหรอกนะ แต่ที่
ทำก็เพื่อคุณ” รถแท็กซี่คันที่กรรณนรีแล่นผ่านมาพอดี แฉล้มจำได้รีบบอกภาพิศ “ฉันเห็นแท็กซี่คันนั้นแล้ว แค่นี้นะคุณ” วางสายตะโกนเรียกแท็กซี่ลั่น “แท็กซี่”
ภาพิศวางสายไปพร้อมกับบ่นกระปอดกระแปด
 
“หลอกด่าแล้ววางสายตลอด นี่ถ้าไม่ท้อง ลุยเองแล้ว”

แฉล้มหันมาคุยอยู่กับแท็กซี่ที่ยังอยู่ในรถ

“นี่...ผู้หญิงที่นั่งมากับคุณตะกี้...บ้านอยู่ไหน”
แท็กซี่บอกตามโลเคชั่นที่ไปส่งกรรณนรี แต่บอกแบบวกวน ฟังแล้วถ้าไม่คุ้นอาจจะงงหน่อย
ทว่าแฉล้มฟังไปด้วย คิดตามไปด้วย เหมือนจะคุ้นสถานที่นั้น “โอเคๆ ขอบคุณมาก”
แท็กซี่แล่นจากไป แฉล้มเดินมาล็อกรถตัวเอง แล้วเดินหา

แฉล้มเดินตามหาบ้านกรรณนรี เห็นบ้านที่อยู่บริเวณนั้นเหมือนคล้ายกันไปหมด ก็เริ่มงง
“บ้านก็เหมือนๆ กันหมด แล้วจะรู้ว่าหลังไหนล่ะเนี่ย”
สองป้าขาเมาท์เดินคุยกันมา
จักจั่นเปิดประเด็นด้วยรายการโปรด “นี่..ป้าจั๊กจั่น วันเสาร์ที่ผ่านมาได้ดูฟ้ามีตารึเปล่า”
ตั๊กแตนตอบเสียงสูง “ดูสิ....พลาดได้ยังไง ดูไป ขำไป คนอะไร สวยสกปรก”
จักจั่นผสมโรง “เด็กหอบางคนก็เป็นอย่างนี้ล่ะ? พอมีอิสระก็ตามใจตัวเอง ดีนะที่ในละครยัง
กลับเนื้อกลับตัวได้...”
ตั๊กแตนหัวเราะร่าขณะบอก “เพราะ...ฟ้ามีตา”
สองคนเดินผ่าน แฉล้มหันมาเห็นพอดี
“ป้า..ถามอะไรหน่อย”
จักจั่นโอภาปราศรัยอย่างอารมณ์ดี “ถามมาเถอะ ป้าตอบได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องตัวเอง”
“รู้จักบ้านคนชื่อก้างมั้ย” แฉล้มถาม
ตั๊กแตนงงเต๊ก “ก้างไหน..ไม่รู้จัก”
แฉล้มเย้า “อ้าว! ไหนว่ารู้ทุกเรื่อง”
“ก็มันจริงนี่...แต่แถวนี้รับรองไม่มีคนชื่อก้าง จะมีก็แต่กาว” จักจั่นบอก
ตั๊กแตนชี้ทางไปบ้านกรรณนรี “ถ้าเป็นบ้านหนูกาวก็โน่น..เดินตรงเข้าไป เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เลี้ยวขวา...จะเจอบ้านหลังที่สาม สีขาวนั่นแหละ”
“ไปป้าตั๊กแตน” จักจั่นพูดลอยๆ “แหม..อยากรู้จริงๆ ฟ้ามีตาเสาร์หน้าตอนอะไร ฉันช้อบชอบ”
แฉล้มครุ่นคิด
“ที่สองป้าบอก นั่นมันทางไปบ้านสามีเก่าคุณภาพิศนี่”
สีหน้าแฉล้มเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ระทึกใจ

นพกับมะยมเดินมาหาสรวงที่นั่งพักอยู่ มะยมเอ่ยขึ้น
“ร้อนจังเลย..เดี๋ยวมะยมไปล้างหน้าหน่อยนะคะ”
มะยมเดินไป นพนั่งลงข้างสรวง สรวงถามทันที
“พี่นพสนิทกับคุณมะยมจังเลยนะครับ”
แววตานพดูอบอุ่นขณะพูดถึงมะยม “คุณมะยมน่ารักดี”
สรวงหนักใจ “แล้วคุณนา…”
“สรวงก็รู้นี่...ว่าพี่เลิกกับคุณนาตั้งนานแล้ว”
“แต่พี่นพกับคุณนา..ยังไม่ได้หย่าขาดกัน ทางนิตินัยถือว่า…”
นพพูดขัดเสียงเข้ม “แต่ทางพฤตินัย เราจบกันนานแล้วสรวง..พี่ไม่มีอะไรกับคุณนาแล้ว”
“ผมเข้าใจครับ...แต่คนอื่นเค้าจะเข้าใจรึเปล่า...ถ้าไม่เข้าใจ คนที่เสียหายคือคุณมะยมนะพี่นพ”
สรวงพูดอย่างเป็นห่วง สีหน้านพดูออกว่าหนักใจเช่นกัน

แฉล้มค่อยๆ เดินมาตามทางที่สองป้าบอกด้วยความระทึกใจ เห็นเป็นบ้านของเกริก รังรักที่ไม่อบอุ่นของนุดี
แฉล้มเพ่งมอง ไม่อยากเชื่อสายตา ปากสั่นระริก ทั้งตื่นเต้นและตกใจ
“นี่บ้านคุณเกริก”
แฉล้มครางออกมา ก่อนจะขอเก็บหลักฐานเมคชัวร์ด้วยการค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ มองเข้าไปในบ้านในมุมที่มองเห็นเหตุการณ์ด้านในอย่างชัดเจน แฉล้มเขม้นมองเห็นสองพ่อลูกนั่งทานข้าวอยู่ด้วยกันอย่างเบิกบานสุขใจ เกริกตักอาหารให้กรรณนรี สลับกับกรรณรีตักอาหารให้พ่อ เป็นภาพครอบครัวที่น่ารักและดูอบอุ่น
แฉล้มตกตะลึงแทบช็อก! ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“เด็กนั่นคือลูกคุณภาพิศ”

แฉล้มรวบรวมสติ หันหลังกลับ ก้าวยาวๆ ด้วยท่าทีร้อนรน ตกใจกับความจริงที่ล่วงรู้แฉล้มเดินมาตามถนนตรงกลับไปที่รถ พลางควักมือถือออกมา โดยไม่รู้ว่ามีสายตาประสงค์ร้ายคู่หนึ่งของใครบางคนมองมาอย่างไม่วางตา

สายตาประสงค์ร้ายคู่นั้น มันมองจ้อง สร้อยเส้นใหญ่ และกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพง และเฝ้าเดินตามแฉล้มมาอย่างเงียบๆ แฉล้มง่วนอยู่กับมือถือ โทร.ออกหาภาพิศพัลวัน ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะตกใจไม่หาย
ภาพิศอยู่ที่บ้าน ได้ยินเสียงโทรศัพท์รีบเดินมารับ แต่ในจังหวะที่ลุก ก็นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด เพราะเจ็บท้อง จึงรับสายไม่ได้
แฉล้มหน้ายุ่งตื่นเต้นสุดๆ “ทำไมไม่รับซักที”
คนร้ายที่รอจังหวะมานาน ถือโอกาสกระตุกสร้อยแฉล้มสุดแรง แต่สร้อยไม่หลุดแฉล้มร้องกรี๊ด ทิ้งมือถือ ยกมือกุมสร้อยไว้อย่างหวงแหน
“อย่า..อย่าเอาของฉันไป”
“เอ๊ะ!นังนี่”
สองคนยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา
เวลาเดียวกันนั้นภาพิศ เจ็บท้องมารับสายไม่ได้

แฉล้มต่อสู้คนร้าย สู้แบบคนแกร่งไม่ยอมแพ้ ทั้งถีบทั้งเตะ จังหวะหนึ่งแฉล้มเอากระเป๋าฟาดใส่ตะโกนด่า “ไปให้พ้นนะไอ้เลว ไอ้บ้า ไม่รู้จักทำมาหากิน”
คนร้ายโมโหมาก “เอ๊ะ!นังนี่” ตบผลัวะเต็มแรง
“โอ๊ย” แฉล้มร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ร่างเซถลาไปตามแรง คนร้ายตรงเข้ามากระชากทั้งสร้อยและกระเป๋า
“เอามา!”
“ไม่...” แฉล้มร้องตะโกนสุดเสียง “ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย”
สองพ่อลูกอยู่ในบ้านได้ยินเสียงนั้น ไวเท่าความคิดเกริกคว้าไม้แถวนั้นวิ่งออกมาที่ถนนหน้าบ้าน กรรณนรีวิ่งตาม

แฉล้มยื้อแย่งกระเป๋าคืนจากคนร้าย สู้สุดชีวิตไม่ยอมง่ายๆ ตายเป็นตาย คนร้ายโมโหสุดขีด
“นังนี่”
คนร้ายผลักแฉล้มอย่างแรง แฉล้มเสียหลักล้มคะมำ หัวไปกระแทกเข้าตรงขอบฟุตบาทอย่างจังเสียงดังปั๊ก
“โอ๊ย”
แฉล้มร้องแค่นั้นก็สลบเหมือดหมดสติไป เลือดสดๆ สีแดงฉานไหลออกมาจากศีรษะ นองทั่วพื้นบริเวณนั้น เกริก กรรณนรีวิ่งออกมาเห็นคนร้ายพยายามจะปลดเอาสร้อย เกริกตะโกนก้อง
“เฮ้ย!หยุด”
คนร้ายตกใจวิ่งหนี โดยไม่ได้อะไรไปเลย เกริกกับกรรณนรีวิ่งมาถึง สองคนมองอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นใคร แต่ไม่มีใครหลุดชื่อแฉล้มออกมาจากปาก นอกจากเกริกบอก
“กาว...เรียกรถพยาบาลเร็ว”
“ค่ะพ่อ”

กรรณนรีควักมือถือออกมากดโทร.ออกอย่างรวดเร็ว

โปรดติดตาม ตอนต่อไป วันนี้ เวลา 22.30 น.

ไฟมาร ตอนที่ 12 (ต่อ)

ที่โรงพยาบาลยามนั้น เกริกกับกรรณนรี วิ่งตามรถเข็นที่เข็นพาร่างหมดสติของแฉล้มซึ่งศีรษะมีเลือดไหลจากการที่ล้มฟาดฟุตบาทอย่างแรง ตรงไปทางห้องฉุกเฉิน ด้วยอาการตื่นตกใจ ขณะเดียวกันมะยมเดินเข้ามาในออฟฟิศ จู่ๆ คิดถึงกรรณนรีขึ้นมาบ่นพึมพำ
“ยังไงกาวมันก็เป็นเพื่อน โทร.หามันหน่อยแล้วกัน”
ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เสียงมือถือดัง ทันทีที่กรรณนรีรับ มะยมรีบบอก
“กาวฉันเอง”
กรรณนรีบอกกลับเร็วๆ “ตอนนี้ฉันยุ่งมาก เดี๋ยวค่อยคุยกันนะมะยม”
พูดจบ กรรณนรีก็กดสายทิ้ง มะยมหน้าเสีย งอนขึ้นมาอีก
“ดี ไม่อยากคุย ก็ไม่ต้องคุย” มะยมเดินหน้าเหวี่ยงเข้าออฟฟิศในอาการฉุนเฉียว ทั้งน้อยใจ ทั้งโกรธ

ส่วนกรรณนรีมองร่างแฉล้มที่ถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินอย่างกังวล จับมือเกริกแน่น ทั้งกลัว และตื่นตกใจ
“ทำใจดีๆ ลูก เค้าไม่เป็นอะไรหรอก” เกริกมองตาม จำแฉล้มได้แม่นยำ แต่ยังไม่ยอมเอ่ยชื่อออกมา

ที่ด้านหลังสองพ่อลูกเวลานั้น ภาพิศที่มีอาการเจ็บปวดท้องอย่างรุนแรง เดินเอามือกุมท้องผ่านสองคนไป สามชีวิตที่ยึดเหนี่ยวเกี่ยวโยงต่อกัน แคล้วคลาดกันอีกคราครั้ง

ที่ออฟฟิศสตาร์ อินเทรนด์ มะยมหน้าหงิกงอ เหวี่ยงวีนเต็มที่ จนนิคต้องปลอบ
“ยังไงแกก็อุตส่าห์โทร.หากาว ก็อย่าเพิ่งโกรธมันเลยน่า มันอาจจะยุ่งจริงๆ”
“ยุ่งจนกดสายฉันทิ้งเนี่ยน่ะนะ”
“ทุกคนย่อมมีพื้นที่ส่วนตัว ก็เหมือนแกแหละช่วงนี้หายตัวไปไหนบ่อยๆ” นิคเปลี่ยนเรื่อง
มะยมไม่ตอบ นิคไม่ซัก ก้มหน้าทำงาน

กรรณนรีเดินมาพร้อมกับเกริก ท่าทางของเกริกนั้นเครียดหนัก กรรณนรีเองก็เครียดๆ สองคนต่างรู้จักแฉล้มแต่ไม่มีใครพูดออกมา จนในที่สุดเกริกก็ถามกรรณนรี
“กาวรู้จักแฉล้ม ด้วยเหรอลูก”
กรรณนรีตอบไม่เต็มเสียง “พอทราบค่ะว่าเค้าเป็นเพื่อนแม่”
“ใช่ เค้าเป็นเพื่อนแม่” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นขมขื่น “และเค้าก็เป็นคนพาแม่ไปรู้จักกับผู้ชายคนนั้น”
กรรณนรีมองมา รู้ว่าพ่อสะเทือนใจ “พ่อโกรธเค้าเหรอคะ”
เกริกปฏิเสธ “เปล่า..พ่อไม่ได้โกรธ เพียงแค่รู้สึกว่าโลกมันกลม เค้าย้ายไปตั้งนานแล้ว จู่ๆกลับมาอีก ไม่รู้ทำไม”
กรรณนรีก็อึ้ง คิดสงสัยระคนแปลกใจเหมือนกัน ขณะที่เกริกพูดต่อ
“แถมกลับมา ยังโชคร้ายอีก ท่าทางอาการหนักซะด้วย ไม่รู้เวรกรรมอะไร”
“พ่อว่าเกี่ยวกับที่เค้าพรากแม่ไปจากเรามั้ยคะ” กรรณนรีว่า
เกริกอึ้งไม่ทันตอบ เจ้าหน้าที่ก็เข้ามาเรียก
"ญาติคุณแฉล้ม เซ็นเอกสารด้วยค่ะ"
“ครับๆ” สองคนเดินตามเจ้าหน้าที่ไป
อีกมุม ภาพิศเดินออกมาท่าทางไม่ค่อยดี เสียงของหมอดังก้องในหัว
“คุณต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงนะคะ อย่าลืม..สุขภาพของแม่มีผลต่อลูกค่ะ”
ภาพิศยกมือกุมท้อง สีหน้าเครียดเคร่ง น้ำตาซึม ท่าทางโหยๆ เหมือนจะเป็นลม

ภาพิศยังอยู่ในอาการอ่อนระโหยโรยแรง เดินมาทรุดตัวลงนั่งตรงที่นั่งรอในโรงพยาบาล กดโทรศัพท์หาสรวง พูดน้ำเสียงเครือสั่น
“คุณสรวง...ช่วงนี้พี่สุขภาพไม่ค่อยดีเลย...เมื่อไหร่ท่านจะกลับมาคะ”
สรวงนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ พอได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายใจนัก
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
ภาพิศครวญคร่ำ “ท่านจงใจหลบหน้าพี่”
“ไม่หรอกครับ คุณพ่อจะหลบทำไม”
“ก็ท่านอยากเลิกกับพี่...” ยิ้มหยัน “แต่คงไม่ใช่หรอกค่ะ พี่คงคิดมากไป เพราะถึงท่านจะเกลียดพี่...ยังไงท่านต้องรีบกลับมาหาศุภาวีร์อยู่ดี”
ภาพิศสะเทือนใจ น้ำตาไหลพราก ในขณะที่สรวงเศร้าใจ

คืนนั้นสรวงกลับบ้าน เปิดประตูเข้ามาดูห้องของกรรณนรี ชายหนุ่มมองฝ่าความมืดสลัว สักครู่หนึ่งจึงเปิดสวิชท์ไฟ เห็นสภาพห้องเรียบร้อย ไม่มีคนอยู่ สรวงคิดถึงกรรณนรีเหลือเกิน
ระหว่างนั้นสุดาเดินผ่านมาเห็น เดินเข้ามาดูก็ทำหน้าไม่พอใจใส่ พร้อมกับถามเสียงขุ่น
“นี่ลูกอาลัยอาวรณ์มันเหรอ”
“เปล่าครับ”
สุดาไม่เชื่อ มองอย่างเสียใจ “แต่สายตาลูกบอกอย่างนั้น...อย่าทำให้แม่เสียใจมากไปกว่านี้เลยนะสรวง ศุภาวีร์เป็นเมียน้อยคุณพ่อ..ลูกอย่าคิดเอามาเป็นสะใภ้แม่เด็ดขาด แม่รับไม่ได้” สุดาเดินหนีอย่างฉุนเฉียว
“คุณแม่” สรวงเดินตาม

สุดาเดินหนีมา สรวงตามติดพยายามอธิบาย
“คุณแม่ครับคุณแม่...ฟังผมก่อน ผมไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิงคนนั้น”
“ดี! เพราะถ้าแม่ไม่ตาย มันไม่มีทางเป็นไปได้ จำไว้ คนที่จะแต่งงานกับสรวงต้องเป็นฤทัย แม่รับฤทัยเป็นสะใภ้แค่คนเดียว” คุณหญิงสุดาบอกเสียงดัง
“แต่ผมเห็นฤทัยไปกับแก้ว”

สุดาหน้าซีดเผือด “เค้าอาจจะมีธุระคุยกันก็ได้”
“เรื่องอะไรครับ”

สุดารีบกลบเกลื่อน “ก็เรื่องนังศุภาวีร์ไงล่ะ? ฤทัยอาจจะไปคุยกับพี่ชายนังนั่น ไม่ให้น้องมันมายุ่งกับสรวง”
“แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่”
“แต่แม่ว่าใช่...แล้วสรวงก็อย่าคิดว่าฤทัยจะเป็นอื่น เพราะฤทัยเป็นผู้หญิงที่ดี ไม่ใช่เมียน้อย เมียเก็บใคร อย่างนังศุภาวีร์” สุดารีบเดินหนี

สรวงโกรธกรรณนรีขึ้นมาอีก ขณะที่สุดาออกอาการหงุดหงิด สุดาอยู่ในห้องที่บ้าน โทร.ด่าทอต่อว่าสุขหฤทัยทันที
“เห็นมั้ย เป็นเรื่องจนได้”
สุขหฤทัยที่อยู่บ้าน รับสายอย่างงงๆ “เรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องที่เธอไปกับไอ้แก้วน่ะสิ...รู้ไว้ด้วยว่าสรวงเห็น”
สุขหฤทัยตกใจ “สรวงเห็น” สาวแสบนึกว่าวันนั้นสรวงไม่เห็น
สุดาต่อว่าเสียงขุ่น “ใช่! แล้วมันเรื่องอะไรเธอถึงได้ใฝ่ต่ำไปกับไอ้นั่น หรือว่า ทนอยู่คนเดียวไม่ได้ เลยไปคว้ามันมาแก้ขัด”

สุขหฤทัยฉุนกึกที่ถูกด่า “ทำไมคุณหญิงแม่ว่าฤทัยขนาดนี้คะ”
“หรือมันไม่จริง ไม่งั้นเธอจะไปกับมันทำไม? เธอทำให้ตาสรวงสงสัย ถ้าความแตก เธอไม่มีวันได้มาเป็นสะใภ้ฉัน รู้ไว้ด้วยฤทัย” สุดากดสายทิ้งทันที

สุขหฤทัยอ้าปากค้าง เขวี้ยงมือถือด่าระบดระบาย “โอ๊ย..อะไรกันนักกันหนา ยอมยิ่งกว่าแม่ แล้วยังมาด่ากันอยู่ได้ ทำยังกับลูกชายตัวเอง สนใจเรานักแหละ สรวงรักนังกรรณรีโน่น”

สุขหฤทัยได้แต่คว้าหมอนมาทุบๆ ระบายความโกรธขึ้ง และขัดเคืองใจ

ค่ำคืนนั้นสรวงยืนมองจ้องดวงดาว ท่าทางเศร้าสร้อย เสียงของสุดาดังก้องในหัว

“เพราะฤทัยเป็นผู้หญิงที่ดี ไม่ใช่เมียน้อย เมียเก็บใคร อย่างนังศุภาวีร์”

ใบหน้าสรวงหม่นเศร้า ร่ำร้องอยู่แต่ในใจอย่างเจ็บปวด
“ทำไมเธอต้องทำให้คนว่าได้ กรรณนรี”

คืนเดียวกันนั้นกาวินทร์กับกรรณนรีนั่งคุยกันในบ้าน กาวินทร์เอ่ยขึ้น
“พี่มั่นใจ ตอนนี้ยัยขี้ไคลเริ่มติดกับพี่แล้ว รออีกไม่นานกาว พี่จะทำให้หล่อนมาเป็นพวกเราให้ได้ ถึงตอนนั้นคุณหญิงสุดาจะได้รู้รสการถูกทรยศ หักหลังมันเป็นยังไง เออ..แล้วคุณแฉล้มเป็นยังไงบ้าง”
“ยังไม่ฟื้นเลยพี่...ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนแรงมาก พรุ่งนี้กาวกับพ่อก็จะไปเฝ้าเค้าที่โรงพยาบาล
“ขอให้เค้ารู้สึกตัวเร็วๆ แล้วกัน”
“กาวก็หวังอย่างนั้นล่ะพี่”

วันต่อมา สองพ่อลูกมาเยี่ยมแฉล้มแต่เช้า ทว่าแฉล้มยังคงนอนนิ่ง ไม่ได้สติ กรรณนรีกับเกริกยืนที่อยู่ข้างเตียงมองดูอย่างเป็นห่วง
“เค้าจะฟื้นขึ้นมามั้ยพ่อ”

เกริกให้กำลังใจ “ฟื้นสิ...ต้องฟื้น” เกริกนึกกังวล และเปลี่ยนเป็นสงสัยขึ้นมา “ที่พ่ออยากรู้แฉล้มนึกยังไง ถึงได้กลับมาแถวบ้านเราอีก มีเรื่องหน้าบ้านเราอีกด้วย”

กรรณนรีกลบเกลื่อน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแฉล้มมาทำไม “คงบังเอิญนะค่ะพ่อ”
“พ่อก็ขอให้มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”
เกริกกังวลใจไม่วาย ถอดสร้อยจากคอตัวเอง กรรณนรีสงสัย
“พ่อถอดสร้อยทำไม”
“เห็นกรณีคุณแฉล้มแล้วพ่อใจคอไม่ดีเลย...กาวสวมเอาไว้เถอะลูก..สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้คุ้มครอง” เกริกสวมสร้อยให้กรรณนรี

ทันใดนั้นเองร่างของแฉล้มก็กระตุก เกริกบอก
“เรียกหมอเร็วกาว”
กรรณนรีกดกริ่งเรียกหมอทันที “ช่วยมาที่ห้อง 302 ด้วยค่ะ”

ทางด้านมะยมนั่งทำงานอยู่ หันไปมองมือถือบนโต๊ะ ตัดสินใจโทร.หากรรณนรี เป็นจังหวะที่หมอเข้ามาดูอาการแฉล้มพอดี ที่เสียงมือถือดัง กรรณนรีกดรับ
“ฉันยังคุยตอนนี้ไม่ได้นะมะยม” พูดจบกรรณนรีก็กดสายทิ้งมะยมนั่งหน้าบูดบึ้ง น้ำตาคลอเบ้าด้วยความเสียใจ ขณะที่กรรณนรีกุมมือเกริกแน่น มองดูแฉล้ม

มะยมเดินหงุดหงิดโกรธขึ้งกรรณนรีอยู่ข้างทาง เสียงมือถือดัง มะยมรับเสียงห้วน อารมณ์ไม่ดี
“คะ คุณนพ”
นพที่อยู่บริษัทชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะถามอย่างอาทร “เป็นอะไรรึเปล่ามะยม..เสียงเขียวเชียว”
มะยมรู้สึกตัวเสียงอ่อนลง “มะยมขอโทษค่ะ...พอดีหงุดหงิดนิดหน่อย”
“เรื่องอะไรเอ่ย บอกผมได้นะ....ผมยินดีรับฟังมะยมทุกเรื่อง”
มะยมยิ้มออก รู้สึกดีที่มีคนรับฟัง “ขอบคุณค่ะ...ว่าแต่คุณนพโทร.มาหามะยมมีอะไรรึเปล่า”
“วันนี้เบื่อๆ เลยอยากจะชวนมะยมไปทานข้าว...อยู่ที่ไหนครับ...เดี๋ยวผมไปรับ”
ดวงตาของนพอ่อนอุ่น รู้สึกดีที่ได้คุยกับมะยม

เวลาเดียวกัน ในขณะที่นิคนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ จ๋าเดินมาถาม
“อ้าว! มะยมล่ะ”
นิคมองไปที่โต๊ะมะยม “ตะกี้ยังเห็นอยู่เลยครับ ไม่รู้ไปไหน? พี่จ๋ามีอะไร”
“พี่จะมาเอางานที่ให้ทำเรื่องกาว”
นิคหน้าจ๋อยตัดสินใจบอก ท่าทีกลัวจ๋า “มะยมทำไม่ได้ครับ..ผมก็ทำไม่ได้เหมือนกัน”
“เออ..ทำเสร็จตอนไหนก็เอามาส่งแล้วกัน” จ๋าจะเดินกลับ นิคเอ่ยขึ้นมา
“ความจริงพี่จ๋า..ก็ไม่อยากให้เราทำใช่มั้ยครับ ถึงได้แกล้งลืมตั้งนาน”
จ๋าหันมามอง “จะถูกจะผิดยังไง กาวมันก็น้องพี่”
“ขอบคุณครับพี่จ๋า...ขอบคุณจริงๆ”
จ๋าตบไหล่นิคแล้วเดินไป นิคมองไปที่เก้าอี้เพื่อนทั้งสอง
“ถือว่าเป็นข่าวดี..แต่ทำไม เวลามีข่าวดี พวกแกไม่อยู่กับฉันวะ”

กรรณนรีเดินมาตามทาง สีหน้าใคร่ครวญ ครุ่นคิดในใจ
“คุณแฉล้มเป็นเพื่อนแม่ หรือ ที่คุณแฉล้มถูกทำร้ายจะเป็นแผนคุณหญิงสุดา”

กรรณนรีตัดสินใจกดมือถือโทร.หาสุดา แต่สุดานอนหลับ มือถือปิดเสียงเห็นแต่ไฟสัญญาณโทร.เข้า กรรณนรีโทร.เข้าเบอร์บ้าน
“บ้านอริยะวรรตค่ะ” แม่บ้านรับสาย
“ขอสายคุณหญิงสุดา”
“ใครคะ”
“ศุภาวีร์”
“คุณหญิงท่านพักผ่อนอยู่ในห้องค่ะ” แม่บ้านบอก
“เดี๋ยวฉันเข้าไป”
“ดิฉันขออนุญาตเรียนถามท่านก่อนนะคะ ว่าจะให้คุณเข้ามารึเปล่า” แม่บ้านบอก
“ยังไงฉันก็จะเข้าไป” พูดจบกรรณนรีก็วางสายเลย
สรวงเดินลงมาพอดี จึงเอ่ยถาม
“ใครจะมาหาคุณแม่”
“คุณศุภาวีร์ค่ะ”
สรวงหน้าเครียด ไม่พอใจขึ้นมา

ไม่นานหลังจากนั้น กรรณนรีเดินเข้ามาในห้องโถง แต่ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อสรวงอ้อมมาด้านหลังคว้าตัวเอาไว้
 
“คุณ”
สรวงประชดทันที “ไปแล้วกลับมาทำไม? หรือว่าเสียดาย ทุกสิ่งทุกอย่างของ...อริยะวรรต”
กรรณนรีงอน “ใช่..ทุกสิ่งทุกอย่างของอริยะวรรต ยกเว้นคุณ ปล่อยฉัน” กรรณนรีผลักไส
“ไม่ปล่อย” สรวงกอดแน่นขึ้นอีก “วันนี้ฉันต้องรู้ให้ได้ ว่าสิ่งที่เธอทำมันคืออะไร”
สรวงอุ้มกรรณนรีตัวลอย กรรณนรีตกใจร้องลั่น
“ปล่อยๆๆ ปล่อยฉัน”
“ไม่ปล่อย” สรวงอุ้มกรรณนรีตรงไปที่ห้องทันที
กรรณนรีร้องไม่หยุด พร้อมกับดิ้นรนขัดขืน “ปล่อยนะคุณสรวง ปล่อยๆๆ”
สุดาอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงคนร้อง แต่ยังไม่รู้ว่ากรรณนรี ก็สะดุ้งตื่น เงี่ยหูฟัง
“ใครมาร้องอะไรแถวนี้”
เสียงกรรณนรีดังแว่วๆมา “ปล่อยๆๆๆๆ”
สุดาลุกพรวดขึ้นทันที

สรวงอุ้มกรรณนรีเข้าไปในห้อง ปิดประตู โยนร่างกรรณนรีลงบนเตียง กรรณนรีถอยหลังกรูด
“อย่าทำอะไรฉันนะ”
“งั้นเธอก็บอกมา..ว่าแม่ฉันทำอะไร ไม่งั้น เธอออกไปจากที่นี่ไม่ได้” สรวงแกล้งขู่
กรรณนรีลำบากใจ “อย่าบังคับฉันเลยคุณสรวง”
สรวงพูดเสียงเข้มแกล้งขู่ต่อ “ถ้าไม่อยากให้ฉันบังคับ เธอก็บอกฉันดีๆ”
กรรณนรีนิ่งเงียบ มองสรวงอย่างลำบากใจ สรวงเดินเข้าใกล้ หาเรื่องแกล้งอีก
“แต่ดูท่าทางเธอแล้ว คงไม่อยากบอกดีๆ เท่าไหร่?” กระชากร่างกรรณนรี
“อย่านะคุณสรวง” กรรณนรีขอร้องดีๆ

สรวงทำท่าจะจูบ “จะบอกหรือไม่บอก”
“อย่าค่ะ”
“ถ้าเธอไม่บอก แปลว่า..เธออยากให้ฉันจูบ” สรวงก้มหน้าลงอีก
กรรณนรีร้องสุดเสียง “อย่า”
ในจังหวะที่สรวงก้มหน้าลงมา สุดาเดินตรงรี่มา ทุบประตูปังๆๆ ตะโกนเรียก
“ตาสรวงๆๆ”
ด้านในห้องยามนั้น สรวงกับกรรณนรีกอดกันอยู่ สองคนตกใจ น้ำเสียงสุดาเหมือนคนใจจะขาด
“ตาสรวงเปิดประตูให้แม่เดี๋ยวนี้นะ เปิด..แม่บอกให้เปิด ซ่อนใครไว้เปิดออกมาเดี๋ยวนี้”
สรวงกับกรรณนรีหน้าซีด สรวงตะโกนบอก
“เดี๋ยวครับแม่เดี๋ยว”
สุดายิ่งโกรธ “แม่บอกให้เปิดๆๆๆๆ” ระดมกำลังทุบประตูเป็นการใหญ่
จู่ๆ สรวงก็ถอดเสื้อออก
กรรณนรีตกใจตาโต ไม่กล้าพูดเสียงดัง “คุณจะทำอะไร”
สรวงทำปากให้เงียบ “จุ๊ๆๆ มานี่”
แล้วลากกรรณนรีไปที่ห้องน้ำ เปิดฝักบัว พร้อมคว้าผ้าเช็ดตัวมานุ่ง ถอดกางเกงออกอีกต่างหาก กรรณนรีตาโต ถามเสียงสั่น ตกใจกลัว
“คุณจะทำอะไร”
“ไม่ปล้ำเธอหรอกน่า อยู่เฉยๆ อยู่นิ่งๆ แล้วทุกอย่างจะดีเอง”
สรวงเดินผ่านใต้ฝักบัวเร็วๆ แล้วเดินไปเปิดประตู

สรวงเปิดประตูให้สุดา พร้อมบอก
“ขอโทษครับแม่ผมอาบน้ำอยู่”
สุดามองอย่างสงสัย “มาอาบอะไรตอนนี้” เดินเข้ามาในห้อง
สรวงยิ้มแหยๆ “ก็...เค้าไม่ได้มีกฎห้ามนี่ครับแม่...อยากอาบตอนไหนก็อาบ”
สุดาเสียงสูงใส่ “กวนแม่เหรอ อย่ามาเล่นตุกติกกับแม่นะสรวง...แม่ได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง
สุดาเดินเข้ามาในห้อง กรรณนรีหน้าตื่นตกใจมาก สรวงเหงื่อแตก สุดาพูด
“แม่จับได้ล่ะน่าดู” สุดาขู่ ทำท่าจะเดินไปดูในห้องน้ำ
สรวงรีบเดินมาห้าม “ผู้หญิงที่ไหนครับแม่”
“ก็ที่มาร้องกรี๊ดๆ ปล่อยนะ..อย่านะ”
“อ๋อ! ผมนึกออกแล้ว นี่เลยครับแม่” สรวงจูงมือแม่มาที่คอมพ์
สุดาฉงน “อะไร”
สรวงกระซิบขำๆ สุดากรี๊ด

“แอร๊ยย..ตาสรวง...ลูกบ้า ได้เชื้อพ่อจริงๆ เลย”
สุดาเดินออกนอกห้องอย่างขัดใจ สรวงถอนหายใจ เดินไปปิดประตู

สรวงในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เดินเข้าไปในห้องน้ำ เห็นกรรณนรียืนตัวสั่นอยู่
“ออกมาได้แล้ว หรือจะอยู่รอให้ฉันปล้ำ”
“คุณนี่” กรรณนรีค้อนขวับ มองตาเขียวก่อนจะรีบเผ่นออกมา
“เดี๋ยว” ถูกสรวงกระชากแขนไว้
“อะไรของคุณอีก..ปล่อยฉันนะ”
“ไม่ปล่อย”
“งั้นฉันจะเรียกคุณหญิงสุดา” กรรณนรีขู่
“ก็เรียกสิ” สรวงยั่ว ทำตาเจ้าชู้ กรุ้มกริ่มใส่ พร้อมกับดันตัวกรรณนรีไปทางห้องน้ำ “คราวนี้ฉันจะอยู่กับเธอในห้องน้ำ ในสภาพนี้เลย”

กรรณนรีมองหน้าสรวง เห็นสรวงยิ้มยั่ว แถมทำหน้าทะเล้น คุยฟุ้ง
“ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เซ็กซี่อย่าบอกใคร”
“ใช่!” กรรณนรียิ้มหวาน ช้อนตาขึ้นมองสรวง “เซ็กซี่มากค่ะ”
จังหวะนั้นเอง มือของกรรณนรีกระตุกผ้าเช็ดตัวสรวงอย่างแรง สรวงร้องลั่น รีบเอามือกุมเป้าซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำ ขณะที่กรรณนรีหัวเราะคิก บอกขำๆ ที่ได้แกล้งสรวง
“เก่งจริงก็วิ่งตามมาเลย ชีเปลือย!”
กรรณนรีรีบวิ่งหนีออกไป สรวงหน้าร้อนผ่าว
“เป็นผู้ชาย จะอายทำไมวะ”

สรวงก้มลงมองสารรูปตัวเอง ก่อนจะพึมพำเสียงจ๋อย “เออ...น่าอายจริงๆ ว่ะ”
 
จบตอนที่ 12
 
โปรดติดตามตอนต่อไป 
กำลังโหลดความคิดเห็น