สาวน้อย ตอนที่ ๒๓
หลังละครเลิก บริเวณหน้าโรงละครจันทร์กระจ่างในเวลากลางคืนของวันใหม่ เสวกยืนยิ้มปริอยู่ที่หน้าป้ายโฆษณารูปวนิดา ที่รับบทศกุนตลา
“พระเจ้าทรงโปรด ฉันจะได้ไปกินข้าวกับวนิดา ... คราวนี้แหละแกสองคนต้องแนะนำฉันให้เป็นเรื่องเป็นราวซะที” เสวกว่า
“ฉันว่าฉันก็แนะนำไปแล้วนะ วันแสดงศกุนตลาวันแรก” สรรค์บอก
“โธ่ คนเป็นหมื่นได้พูดทักทายแค่ 2 คำ เขาจะจำฉันได้หรือ”
“ใครบอก วนิดาสนใจแกออก เขายังถามฉันเลยว่าแกเป็นพี่ชายสุวลีแน่หรือ”
“จริงหรือ”
เสวกหน้าเห่อราวขึ้นปราสาทเหม บุญมากัดทันที
“วนิดาคงสงสัยว่าทำไมพี่ชายเจ้าหญิงสุวลีถึงเหมือนจิ๊กกะโล่ขี้เมา”
“ไอ้บุญมา ไอ้หอกหัก...นั่นไง วนิดามาแล้ว”
นิดกับแก้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินมา มีนักข่าวชูกล้องชูแฟลช ถ่ายภาพพึ่บไฟสว่างลุกไฟร่วงพรู เสวกยิ้มร่าก้าวไป นิดยิ้มให้ เสวกดีใจแล้วรู้สึกว่านิดไม่ได้ยิ้มให้ตนแต่กลับเลยไปให้สรรค์
เสวกเหลือบดูเห็นสรรค์มองนิดอย่างผูกพันก็เริ่มเอะใจ
ภัตตาคารบนตึกสูงมีการจัดโต๊ะดินเนอร์ยาวริมหน้าต่าง ไม่หรูหราแต่ดูเป็นกันเอง วนิดานั่งหัวโต๊ะ สรรค์นั่งใกล้วนิดา แก้วนั่งกับบุญมา เสวกนั่งข้างสรรค์ แอบมองสรรค์กับวนิดาด้วยใบหน้าที่ขรึมลง
“คุณเสวกวันนี้ดูเงียบไปนะคะ” นิดว่า
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“คงจะผิดหวังที่ไม่ได้นั่งใกล้คุณวนิดา” บุญมากระเซ้า
วนิดายิ้มหวานแล้วบอก
“โธ่ ไม่จริงหรอกค่ะ คุณบุญมา”
สรรค์ยิ้มขำ
“แกไม่บอกฉันซักคำจะได้สละที่นั่งให้”
เสวกหัวเราะแต่แววตามีนัยยะ
“แกก็น่าจะรู้ว่า คนที่ควรจะนั่งใกล้คุณวนิดามันควรจะเป็นฉันไม่ใช่แก จริงไหมไอ้น้องชาย” เสวกตบบ่าสรรค์พูดอย่างจงใจ สรรค์หน้าเจื่อนไป บุญมาชะงัก นิดรู้ถึงนัยยะที่เสวกส่งมา แต่ทำเป็นไม่รู้เรื่องพรายยิ้มอย่างสมใจในที
บริเวณเทอเรซข้างบ้านเนาวรัตน์คอนกลางวันของวันใหม่ สุวลีสวมสร้อยข้อมือเพชรของธนากำลังรินน้ำชาลงถ้วยให้ ธนานั่งอยู่ตรงหน้า ธนาพึมพำขอบคุณแล้วยกชาขึ้นจิบ พลางมองรอบๆ
“ทำไมตอนนี้บ้านเนาวรัตน์ดูเงียบๆ ไป”
สุวลีนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วยิ้ม
“ก็สุเบื่อที่จะเป็นแม่งานแล้วน่ะซีคะ”
“คุณสุไม่น่ารีบเบื่อเพราะใต้ฟ้าเมืองไทย ไม่มีที่ไหนจัดงานได้หรูหราน่าตื่นตาตื่นใจได้เท่าบ้านเนาวรัตน์อีกแล้ว”
“นั่นคำชมหรือคำค่อนว่ากันแน่คะ”
“คือความจริงต่างหากครับ”
ธนาจิบชาอีก
“ผมได้ข่าวว่าตอนนี้ร้านสรรค์ศิลป์กลายเป็นแหล่งรวมดาราละครกับศิลปินเขียนรูปไปแล้วหรือครับ”
สุวลีพูดปัดอย่างไม่ยินดียินร้าย
“หมู่นี้สุไม่ค่อยได้แวะไปค่ะ”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ธนาแสร้งถาม สุวลียิ้มยักไหล่
“สุเชื่อว่า คนเราควรมีระยะห่างระหว่างกันบ้างค่ะ”
“เหมือนกับเสาหินของมหาวิหารอย่างนั้นหรือครับ”
“เลิกพูดเรื่องของสุเถอะค่ะ มาพูดเรื่องของคุณบ้างดีกว่า”
“คนอย่างผมชีวิตไม่มีอะไรวูบวาบหรอกครับ ก็มีแต่เรื่องราคา ประเมินทรัพย์สิน”
ธนาเหลือบดูตัวตึกของบ้านเนาวรัตน์
“เรื่องดูที่ เรื่องจำนองบ้านไปวันๆ”
สุวลีพูดหยั่งเชิง
“แล้วเรื่องสร้อยระย้าธิดาของรัฐมนตรีสุพจน์ละคะ”
ธนาหัวเราะ แล้วส่ายหัวอย่างเบื่อๆ
“พวกคอลัมนิสต์ข่าวสังคมคงอยากเป็นแม่สื่อแม่ชักกระมังครับ”
“แปลว่าข่าวไม่จริงหรือคะ”
“คนที่เคยใกล้ชิดเพชรน้ำเอกมาแล้วจะมาใส่ใจอะไรกับพลอยหุงพื้นๆ ละครับ ...”
ธนาเอื้อมมือมาจับมือสุวลียกขึ้นดูสร้อยข้อมือเพชร สุวลีค้อนนิดๆ
“ผมเพิ่งไปเจอชุดสร้อยคอกับต่างหูที่เข้ากันกับสร้อยข้อมือเส้นนี้ยังกะเป็นเซตเดียวกัน”
สุวลียิ้มดวงตาวาววาม ในใจคิดว่า ธนายังคงอยู่ในอาณัติไม่ทันเห็นว่าแววตาธนามีแววเยาะหยัน และประเมินอะไรบางอย่างอยู่ ที่บริเวณซุ้มไม้เลื้อยห่างออกไป เสวกมองทั้งคู่อย่างไม่สบายใจ
ภายในห้องนั่งเล่น สุวลีวางแผ่นเสียงลงบนแป้นหมุนของเครื่องเล่นจรดเข็มลงเสียงเพลงวิเวกไพเราะดัง สุวลีเดินมาที่โซฟาและนั่งลงหยิบสะดึงมาปักผ้าที่ปักค้างไว้ ฝีเข็มงดงามวิจิตร
เสวกเดินมาทิ้งตัวลงนั่งพลางถอนใจ สุวลีเงยหน้ามองพลางยิ้ม
“มีอะไรคะ คุณพี่”
“พี่ว่าเธอสนิทสนมกับนายธนามากเกินไป นายคนนี้พี่บอกตรงๆ ว่าพี่ไม่ค่อยไว้ใจมัน บางทีดูมันมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง”
“เขาเป็นเพื่อนที่ดีออกค่ะ”
“แต่คุณน้องมีคู่หมั้นอยู่แล้วนะ”
สุวลีวางสะดึงลง มองเสวกอย่างเย็นชา
“การที่สุสนิทสนมกับธนาก็ไม่ต่างกับที่สรรค์สนิทสนมกับวนิดาหรอกค่ะ”
เสวกอึ้งรู้ว่าสิ่งที่สุวลีพูดนั้นจริงแต่พยายามไกล่เกลี่ย
“คุณน้องคิดมากไป นายสรรค์กับวนิดาไม่ได้มีอะไรกันหรอก”
“แต่ที่สุได้ยินมา...มันไม่ใช่อย่างนั้นนี่คะ”
เสวกหลบตานิดหนึ่งแล้วโกหก
“แต่เท่าที่พี่เห็นมากับตา วนิดาพูดจากับเจ้าสรรค์ไม่ต่างอะไรที่พูดจากับพี่กับเจ้าบุญมา คุณน้องเชื่อพี่เถอะ อย่าหมางเมินกับเจ้าสรรค์เลย”
สุวลีรู้สึกดีขึ้นแต่ก็ยังไว้เชิง
“แต่สุก็ไม่อยากทำเป็นคนขี้หวง เที่ยววิ่งเร่ตามคู่หมั้นไปทั่วเมืองนะคะ”
“พี่รู้ว่าเธอก็รู้ว่า เธอควรทำอย่างไร”
สุวลีคิดๆ แล้วยิ้มออกมา เสวกเมินหน้าไปเพื่อซ่อนสีหน้ากังวล
วันใหม่ตอนกลางวันที่ร้านสรรค์ศิลป์ สุวลีเดินเข้ามาในส่วนของแกลอรีก็เห็นสรรค์กับนิดในชุดหรูยืนดูรูปทะเลอยู่ สุวลีคิ้วขมวดหน้าเคร่ง
“ดิฉันอยากได้ภาพทะเลอีกซักรูปนึง”
“รูปนี้เป็นยังไงครับ”
“แต่ว่าวันนี้ดิฉันไม่มีรถมา คุณต้องไปส่งดิฉันให้ถึงที่หมายนะคะ”
“ด้วยความยินดีครับ”
นิดยิ้มมองเลยมาเห็นสุวลี หน้าเปลี่ยนไปแค่เสี้ยววินาทีก็ยิ้มพราย
“คุณสุวลี”
สรรค์มองตามแล้วเจื่อนไปเล็กน้อย นิดก้าวไปหาสุวลีที่ยิ้มหวานตอบ นิดก้าวไปจับมือสุวลี อีกฝ่ายหนึ่งบีบมือตอบ
“คุณน้อยหรือจะให้เรียกวนิดาดีค่ะ”
“แล้วแต่คุณสุวลีเถอะค่ะ”
สุวลีดึงมือออกแล้วเดินมาดูรูปด้วยก่อนพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจซึ่งมีแววแดกดันอยู่ในที
“จะซื้อรูปอีกหรือคะ”
“ค่ะ ดิฉันถือว่าการซื้อรูปเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งค่ะ”
นิดจงใจพูดให้กำกวม สุวลีรู้ทันหันมายิ้มแล้วพูดกินนัย
“กลัวแต่ว่าคุณวนิดาจะขาดทุนน่ะสิคะ”
“กับคุณสรรค์ ดิฉันยอมเสี่ยงค่ะ”
สุวลียิ้มถอยไปแตะแขนสรรค์แบบคนรักพลางพูดเย้า
“ตายจริง นี่คุณกลายเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงไปแล้วนะคะ สรรค์”
“คุณสองคนพูดอะไรกัน...”
สรรค์พูดปรามนิดยิ้มพราย ขณะที่สุวลียิ้มเชือดเฉือน
“ดิฉันตกลงซื้อรูปนี้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ...รูปก่อนเป็นทะเลหัวหิน รูปนี้ผมเขียนที่ประจวบ”
“ถ้าคุณไม่บอกว่าเขียนที่ประจวบแล้วให้ดิฉันทาย ดิฉันก็ต้องทายว่าเขียนที่เกาะสีชัง” “คุณน้อยเคยไปเที่ยวสีชังหรือครับ”
“เคยยิ่งกว่าไปเที่ยวอีกค่ะ”
“ผมยังไม่เคยไปเลย ผ่านก็ไม่เคยผ่าน”
สุวลีได้ยินก็อึ้งไปนิดหนึ่ง นิดยิ้มมีแววเยาะวูบหนึ่งจนสุวลีแปลกใจ นิดพูดต่อ
“คุณน่าจะลองหาโอกาสไปดูบ้างนะคะ คนที่นั่นจิตใจสะอาดโอบอ้อมอารีมีศีลมีสัตย์ ผิดกับที่กรุงเทพ บางคนหน้าตาดีมีการศึกษาสูงเป็นลูกผู้ดี แต่จิตใจกลับสกปรกชั่วร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ”
นิดพูดยิ้มๆ สุวลีกลับไม่รู้ว่ากำลังโดนแขวะ
“โธ่ คนที่สีชังมีเป็นเรือนร้อย แต่คนกรุงมีเป็นแสนเป็นล้านก็ต้องมีคนทั้งดีทั้งร้ายมากกว่าอยู่แล้ว” สรรค์บอก
นิดดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วบอก
“ดิฉันต้องไปธุระต่อแล้วละคะ เสียดายจังได้คุยกับคุนสุวลีไม่กี่คำเอง”
“อย่าห่วงเลยค่ะ ฉันว่าเราคงจะได้เจอกันอีกบ่อยๆ แน่”
“นี่คุณคงจะไปส่งดิฉันไม่ได้แล้ว” นิดพูดยิ้มๆ
“ใครว่า”
สุวลีกลับยิ้มพูดขัดขึ้น
“สรรค์ค่ะ ช่วยไปส่งคุณวนิดาหน่อยเถอะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงร้านหรอกคะ สุจะดูแลให้”
“ตายจริง ดิฉันเกรงใจคุณสุวลีจัง”
“อย่าเกรงใจเลยค่ะ แค่ประเดี๋ยวเดียวดิฉันเต็มใจให้ยืมค่ะ” สุวลีพูดพลางเน้นคำว่า “ให้ยืม”
“ต้องถามคุณสรรค์มากกว่ากระมังคะว่าเต็มใจหรือเปล่า”
“โธ่ เต็มใจซีครับ”
สรรค์ยิ้ม และไม่รู้ว่า สองสาวกำลังเชือดเฉือนกันภายใต้หน้ากากสังคมบนรอยยิ้มแย้มนั้น
ภายในบ้านธรรมนูญภักดีในเวลากลางวันต่อมา สรรค์และนิดเดินเข้ามาในบ้าน สรรค์มองดูรอบๆ เพราะไม่ได้มาที่นี่เป็นเวลาราวปีหนึ่งแล้ว ชื่น ถวิลและบรรดาสาวๆ อีก ๔-๕ นางมาดูวนิดายิ่งเห็นสรรค์กิ๊กกั๊กอยู่กับนิยิ่งชอบใจ จนชื่นต้องถลึงตาใส่ให้รักษามารยาท
“คิดว่าคุณน้อยจะไปหาท่านผู้ใหญ่ที่ไหน”
“คุณเองก็รู้จักท่านดีไม่ใช่หรือคะ”
“ก็สนิทสนมอยู่เหมือนกันครับ เพียงแต่ช่วงหลังๆ นี่...มีเรื่องให้ห่างๆ กันไปบ้าง”
สรรค์หมายถึงเรื่องพระยาธรรมนูญภักดีหย่าขาดกับมะลิ แต่นิดทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“อ้อ หรือคะ”
“แต่ผมเองไม่ทราบว่าคุณน้อยก็รู้จักท่านด้วย”
“นี่เป็นความลับสุดยอดนะคะ”
“ได้ครับ”
นิดหันมาหาชื่นและถวิล
“ป้าจ๋า ท่านเจ้าคุณอยู่บนตึกหรืออยู่ที่ระเบียงหลังจ๊ะ”
“อยู่ซะที่ไหนละคะ” ชื่นว่า
“อ้าว แต่ท่านบอกให้หนูมาพบตอนนี้นี่จ๊ะ”
“ท่านได้รถคันใหม่เอารถไปลองเครื่องตั้งแต่เช้า” ถวิลว่า
“แต่ท่านนัดไว้เดี๋ยวก็คงกลับค่ะ”
นิดหันมาหาสรรค์ที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า”
“ค่ะ พรุ่งนี้อย่าลืมเอารูปไปส่งดิฉันนะคะ” นิดย้ำ
สรรค์ออกไป นิดลงนั่งที่โซฟา ดวงตามีรอยยิ้ม แล้วได้ยินเสียงเครื่องรถดังกระหึ่มเข้ามา เสียงเบรกดังเอี๊ยด! นิดลุกขึ้นกรายออกไป
นิดเดินออกมาดูเห็นรถใหม่เอี่ยมดูวาววับไปทั้งคันจอดอยู่ พระยาธรรมนูญลงมาอย่างกระฉับกระเฉง นิดเข้ามาไหว้อย่างนอบน้อม
“รถคันใหม่หรือคะท่าน”
“ไม่ไหว คันเร่งไวเหลือเกินคนแก่จะหัวใจวายตาย” พระยาธรรมนูญภักดีว่า
“ใต้เท้ายังไม่แก่ซักหน่อย”
“อย่ามาประจบฉัน ฉันไม่เชื่อ”
พระยาธรรมนูญดุขำๆ นิดยิ้ม
ภายในห้องโถง นิดและพระยาธรรมนูญนั่งอยู่ที่โซฟา พระยาธรรมนูญพับหนังสือพิมพ์ที่ลงโฆษณาแป้งส่งมาให้
“นี่มันยังไง เมื่อวานฉันเห็นเธอโฆษณายาสีฟัน วันนี้มาโฆษณาแป้งผัดหน้าเสียแล้ว”
“พรุ่งนี้ก็คงจะมีโฆษณาน้ำหอม มะรืนก็จะมีโฆษณาลิปสติกเจ้าค่ะ”
นิดตอบหน้าตาเฉย
“แล้วที่แย่ก็คือ ดิฉันไม่เคยใช้น้ำหอม แป้ง ยาสีฟันและลิปสติกพวกนั้นเลยซีคะ”
“นี่แหละคือโลกล่ะ คนเราอยู่กับความลวงมากกว่าความจริง วนิดา ตอนนี้เธอเป็นดาวที่จรัสแสงที่สุดบนฟากฟ้าแล้ว รถคันนี้ เหมาะกับเธอมากกว่าฉัน” พระยาธรรมนูญพูดพลางยื่นกุญแจรถให้
ชื่น ถวิลถึงกับอ้าปากค้าง นิดนิ่งอึ้งแล้วทรุดลงกราบกับพื้น พระยาธรรมนูญลูบผมอย่างปรานี
นิด ชื่น ถวิลยืนอยู่บนเทอเรซมองรถอย่างชื่นชม ส่วนบรรดาสาวใช้ใหม่ยืนซุบซิบกันคิกคักดูวนิดาอยู่
“แม่นิด เรื่องคุณสรรค์นี่มันยังไงกัน”
“แล้วป้าชื่นจะให้เป็นยังไงละจ๊ะ”
แม้ชื่นถวิลจะเคยได้ยืนชื่อสุวลีใช้ให้กลั่นแกล้งนิด แต่ก็ยังปะติดปะต่อเรื่องไม่ได้ ไม่เข้าใจถ่องแท้นัก นิดแกล้งถามยิ้มๆ ป้าชื่นค้อนควัก
“อุ๊ย ก็ป้าเห็นคุณสรรค์มาส่งหนู แล้วแม่นิดก็มีกิริยายังไงๆ อยู่”
“แน่ะ ยังไงๆ อีกแล้ว” นิดพูดพลางยิ้มขำ
“วุ้ย ไม่อยากพูดแล้ว”
“ไม่ใช่แค่นิดดูยังไงๆ หรอกป้า คุณสรรค์ก็ดูท่ายังไงๆ กับนิดอยู่เหมือนกัน” ถวิลว่า
นิดแววตายิ้มสดใส
“พี่หวินกับป้าชื่นแน่ใจหรือจ๊ะเรื่องยังไงๆ”
“ฉันน่ะไม่เคยมีผัว แต่ป้าชื่นน่ะเคยคงรู้เรื่องยังไงๆ มากกว่าฉัน” ถวิลบอก
“อุ๊ย อีหวิน .. นี่นิด ป้าเป็นห่วงหนู คุณสรรค์น่ะเขายังคงหมั้นหมายอยู่กับคุณสุวลีไม่ใช่
หรือ”
“จ๊ะ”
“ป้าไม่อยากให้หนู เสียใจเปล่านะลูก”
นิดยิ้มขอบใจ
“เขาเป็นแค่คู่หมั้นนะจ๊ะ ยังไม่ได้แต่งงานกันซักหน่อย เขาหมั้นได้ก็ถอนหมั้นได้”
ชื่นกับถวิลอ้าปากค้าง
“ต๊าย แม่นิด”
นิดดวงตาวาวมุ่งมั่น คิดในใจต่อ
“เพราะฉันต่างหากที่แต่งงานกับเขาก่อน”
ชื่นตบอกผาง ถวิลอ้าปากค้างแล้วมองตากัน
“แม่คุณ แม่เป็นนางเอกยุคใหม่จริงๆ”
“เออ ใช่ ท่าทางจะหมดยุคนางเอกนั่งร้องไห้ผะอืดผะอมแล้ว”
สุวลีเดินหน้าเชิดผ่านสาวใช้เข้ามาในบ้านโพธิ์ธารา แม่ผินออกมาต้อนรับ สีหน้าเย็นชาของ
สุวลีกลายเป็นยิ้มแย้ม
“คุณหนูสุวลี ทูนหัวของผิน”
“แม่ผินสบายดีหรือคะ”
สุวลีจับแขนแม่ผินยิ้มอย่างสนิทสนม แม่ผินปลาบปลื้มประโลมใจ
“โถ แม่คุณ สบายดีค่ะ ไม่ได้เจ็บไข้อะไร นี่คุณสรรค์ยังอยู่ที่ร้านเลยค่ะ”
“สุทราบค่ะ สุเพิ่งมาจากที่ร้าน”
“อ้าว หรือคะ”
“แต่สุไม่ได้กราบคุณอาพระมานานแล้วก็เลยแวะมาเยี่ยมค่ะ”
มารศรียืนอยู่ที่ประตู เลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนร้องขึ้น
“ตายจริง วันนี้ฝนฟ้าท่าจะตกใหญ่”
สุวลีหน้านิ่ง ทำเหมือนมารศรีเป็นอากาศ แม่ผินค้อนจนคอเคล็ด
“เอะอะมะเทิ่งอะไร ไม่ใช่กงการอะไรของหล่อน .. เชิญคุณหนูข้างในเถอะค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ แม่ผิน”
แม่ผินแทบประคองสุวลีผ่านมารศรีที่ยิ้มอารมณ์ดีไป ทันที่สุวลีกับผินลับตา มารศรีก็ครุ่นคิด
ที่ห้องรับแขก พระชาญและสุวลีที่นั่งนั่งตัวตรงงดงามอยู่บนเก้าอี้ พระชาญมีอาการเกรงใจเช่นเคย
“คุณอา ทราบเรื่องวนิดาแล้วใช่ไหมคะ”
“ฉันกะอยู่แล้วว่าหนูสุวลีต้องไม่สบายใจ แต่ใจเย็นๆ เถอะ ไม่มีอะไรหรอก ผู้ชายทุกคนก็มี
เรื่องไปลุ่มหลงพวกนักร้อง นางละคร พวกเต้นกินรำอะไรแบบนี้เสมอล่ะ”
พระชาญพูดปลอบอย่างลืมนึกถึงตัวเองไป สุวลีมองพระชาญแล้วยิ้มด้วยแววเยาะ
“ค่ะ ก็มีให้เห็นกันอยู่ สุพอจะนึกออก”
พระชาญเม้มปากเพิ่งนึกได้ว่าด่าตัวเองไป ภายในประตูห้องส่วนที่ติดกับห้องรับแขกเป็นห้องสมุดที่ค่อนข้างมืดเพราะปิดหน้าต่างไว้ มารศรีเอาหูแนบประตู แอบฟังความอยู่ด้วยความสังเวชพระชาญ
พระชาญยังคงเกลี้ยกล่อมสุวลี
“มันก็เรื่องหวือๆ หวาๆ ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นแหละหนูสุ”
“แต่สุจะไม่ทนหรอกนะคะ ถ้าสรรค์ไปมีอะไรกับนางละครนั่นจริง”
“โธ่ เจ้าสรรค์มันไม่มีอะไรหรอก มีแต่แม่นั่นต่างหากที่มาคอยตอแย มัน”
“สุทราบค่ะว่าแม่นั่น เอาเรื่องงาน เรื่องนั้น เรื่องนี้มาบังหน้าเสมอเพื่อมาเกี่ยวข้องกับ
สรรค์”
มารศรียังคงนิ่งแอบฟังอยู่
“แล้วสุก็คงไม่ลดตัวลงไปหึงหวงแค่นางละครคนหนึ่งหรอกค่ะ”
“ใช่ หนู น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย เอาไว้อาจะพูดกับมันเอง”
“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นค่ะ สุเองก็คงต้องหาทางทำอะไรเพื่อป้องกันเอาไว้เหมือนกัน”
ในห้องสมุด มารศรีมองสีหน้าและแววตาอันร้ายกาจของสุวลีพลางนึกสังหรณ์ใจแทนด้วยความเป็นห่วงนิด
สาวน้อย ตอนที่ ๒๓ (ต่อ)
ภายในห้องนอน บ้านเนาวรัตน์ในเวลากลางคืน สุวลีใส่ชุดนอนหรูหรานั่งอยู่หน้าโต๊ะแต่งตัว ตรงหน้ามีกล่องเครื่องประดับที่มีเครื่องเพชรแพรวพราว สุวลีมีผ้ากำมะหยี่ผืนเล็ก เช็ดเครื่องเพชรเล่นๆ ไปด้วย ระหว่างที่คุยกับรตีซึ่งมานอนค้างด้วยตามปกติ
“เป็นเรื่องจริงเหรอ ยัยสุ” รตีพูดพลางเอามือทาบอกทำตาโต
สุวลีตอบเสียงเรียบๆด้วยหน้าตาใจเย็น
“เขาว่ากันมา...แต่ไม่มีไฟก็คงไม่มีควันจริงไหม”
“เรื่องชู้สาวแบบนี้ถ้าใครรู้เข้าคงเอาไปนินทากันสนุกปากพิลึก”
สุวลีไม่ตอบแต่พรายยิ้มน้อยๆบนในหน้า ก่อนหันไปหยิบต่างหูเล็กๆ ที่ทำจากไพลินขึ้นมา
“ต่างหูคู่นี้มีคนซื้อให้ฉันเป็นแค่ไพลิน ไม่ใช่เพชร แต่แบบก็สวยน่ารักใช้ได้นะหรือเธอว่าไง”
รตีมองงงๆ ไม่เข้าในนัก แต่ก็เออออไปด้วย
“สวยดีออก คู่เล็กๆ ไม่หรูหรา ใส่กับชุดกลางวันไปกินน้ำชากำลังดี”
“ชอบก็เอาไปซี ฉันให้”
รตีตาโตรีบรับมาแล้วยังงง ไม่เข้าใจคำพูดของสุวลี
“เธอให้ฉัน”
สุวลียิ้มแล้วบอก
“แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะ”
ภายในโถงบ้านเช่าของนิดในเวลากลางวันของวันใหม่ สรรค์แขวนรูปทะเลประจวบให้อีกมุมหนึ่ง นิดมองอย่างพอใจ แก้วยืนเชิดอยู่
“ตรงนี้เหมาะแล้วนะครับ"
นิดกำลังจะตอบแต่แก้วพูดสอดขึ้น
“ตรงนี้ก็ทะเล ตรงนั้นก็ทะเล จะจมทะเลตายอยู่แล้ว” แก้วว่า
สรรค์ชะงัก นิดยิ้มปลอบใจแล้วหันมาทำตาเขียวใส่แก้ว แล้วหันกลับมายิ้มให้สรรค์อีกครั้ง
“แก้วเป็นคนปากไม่ตรงกับใจค่ะ” นิดบอก
“อ๋อ ครับ...เหมือนบุญมาเลย”
แก้วค้อนอย่างเขินอาย
“นี่คุณเสียมสรรค์ ทำไมมาทำหน้ามีเลศสะนัยกับฉัน”
นิดสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อแก้วเอ่ยชื่อเสียม สรรค์อมยิ้มทำไม่รู้ไม่ชี้
ในเวลาต่อมา นิดกับแก้วเดินมาส่งสรรค์ขึ้นรถ รถคันใหม่ของนิดจอดอยู่
"รถคันใหม่ของคุณน้อยนี่รุ่นล่าสุดเลยนะครับ เครื่องก็แรง"
"แพงด้วย...ตั้งเกือบสองหมื่นแน่ะ"
สรรค์ทำตาโตนิดหนึ่ง
“แต่สำหรับวนิดาจะซื้อรถถูกๆ ทำไม ใช่ไหมครับ" แก้วว่า
“มีรถถูกหรือแพงก็ไม่ภาคภูมิใจหรอกค่ะ ถ้าคนขับขับไม่เป็น"
แก้วมองนิดอย่างงงๆ นิดทำหน้าซื่อ
"จะไปไหนทีก็ต้องกวนเด็กของพี่ชดให้มาขับทุกครั้ง จะหาคนสอนก็ไม่รู้จะไว้ใจใครได้”
"ถ้าผมจะเสนอตัวสอนขับรถให้คุณ คุณจะรังเกียจไหมครับ" สรรค์บอก
นิดทำหน้าเหมือนไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน
“โอ จริงสิ ขอบคุณมากค่ะ คุณสรรค์”
“ด้วยความยินดีครับ”
สรรค์ยิ้มใสซื่อ แก้วมองแอบหมั่นไส้นิด
ทั้งสองเดินกลับเข้ามาในบ้าน แก้วหันขวับมาใส่นิดทันที
“นี่ แกขับรถไม่เป็นแล้วเมื่อวานใครเป็นคนขับรถคันนี้กลับเข้าบ้านมายะ"
"แก้วรู้ แต่พี่เสียมไม่รู้นี่ ไม่เห็นเป็นไรเลย"
"ร้ายนะยะแม่วนิดา"
แก้วเท้าสะเอว นิดทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
ถนนเล็กๆ นอกเมือง สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าที่มีกอดอกหญ้าออกดอกขาวเป็นปุย ท้องฟ้าสดใส ประทุนของรถนิดถูกพับไปด้านหลังกลายเป็นรถเปิดประทุนดูโฉบเฉี่ยว
สรรค์สอนนิดให้เปลี่ยนเกียร์ เหยียบคลัตช์ ปล่อยคลัตช์เหยียบคันเร่ง นิดอยู่หลัง พวงมาลัยมีทีท่าไม่เข้าใจ สรรค์นั่งข้างอธิบายอย่างใจเย็น นิดทำตั้งใจฟัง
นิดลองเคลื่อนรถ สรรค์บอกใช่ นิดเอียงศีรษะมาใกล้ สรรค์ยื่นหน้าอธิบาย
รถเคลื่อนไปได้นิดหนึ่งก็เครื่องดับ นิดทำหน้าม่อย สรรค์หัวเราะบอกไม่เป็นไร แล้วโน้มตัวมาบิดกุญแจติดเครื่องรถให้ สรรค์ตัวชิดใกล้แขนพาดแนบชิด สรรค์อึ้งมองหน้านิด นิดสบตาทำปกติ สรรค์ขยับถอยออก หน้าร้อน ใจคอวูบวาบ บอกให้นิดลองเคลื่อนรถอีกที นิดทำหน้าเฉยลองเคลื่อนรถใหม่ รถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างนิ่มนวล
สรรค์ดีใจชมนิดไม่ขาดปาก นิดทำเป็นเงอะงะเล็กน้อย รถคันงามแล่นไปช้าๆ สองข้างทางดูงดงาม
ทุ่งหญ้าเขียวขจี มีดอกไม้ขึ้นแซมตรงนั้นตรงนี้ ออกดอกสีสันต่างๆ พราวพร่าง ทางด้านหนึ่งเป็นเนินหญ้าเหนือขึ้นไปบนเนินมีต้นไม้สูงใหญ่ แผ่กิ่งก้านออกไปเป็นปริมณฑล ใต้ต้นไม้จึงร่มรื่น ที่พื้นหญ้าปูผ้าปูโต๊ะผืนหนาไว้ ตะกร้าปิกนิกทั้งสองใบเปิดออก กระติกน้ำร้อน , น้ำแข็งวางอยู่ นิดกำลังเอาอาหารมาวางเรียงราย สรรค์นอนตะแคงมองอย่างเพลิดเพลิน
นิดจัดสำรับอยู่บนชานเรือน เรียกสรรค์ให้มากิน สรรค์หยีตาสั่นศีรษะไม่เข้าใจว่าคือภาพอะไร นิดมองดูแล้วถาม
“คุณสรรค์ เป็นอะไรไปคะ”
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่มึนศีรษะนิดหน่อย”
“เมื่อคืนไปสังสรรค์หนักไปหน่อยหรือคะ” นิดถาม
“โธ่ ผมไม่ได้เมาซักหน่อย ถ้าเมาก็เมาความงามมากกว่า”
สรรค์หลุดปาก นิดชะงักยิ้มนิดๆ
“คุณสรรค์เมาความงามอะไรกันคะ”
สรรค์มองตามใบหน้ายิ้มละไม
“ความงามของทุกสิ่งรอบตัวนี่ไงครับ ต้นไม้ใบหญ้า ท้องฟ้า หรือเมฆขาวตรงโน้น”
ไกลออกไป ที่หลังแนวต้นไม้ นักข่าวคู่แข่งบุญมาถ่ายรูปทั้งคู่อยู่ สรรค์มองไปรอบตัว แล้วกลับมาหยุดที่นิด
“ผมอยากวาดภาพที่นี่เก็บไว้จริงๆ”
“วันหลังมาอีกคุณก็เอาเครื่องมือเขียนรูปมาด้วยซีคะ”
“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ”
“ทำไมคะ”
“ถึงที่นี่จะสวยยังไง ก็ไม่สมบูรณ์ถ้าขาดนางแบบ”
นิดสบตาสรรค์ แล้วเสเปลี่ยนเรื่อง นิดชะเง้อชะแง้
“สองคนนั้นไปไหนนะ”
สรรค์ลุกขึ้นส่งมือให้นิดแล้วดึงนิดขึ้น ยืนเคียงกันอย่างใกล้ชิดชะเง้อหารถบุญมา นักข่าวถ่ายรูปทั้งคู่อีก นิดมองไปรอบๆ ตัว สรรค์มองนิด พูดอย่างอ่อนโยน
“วันนี้เทวีแห่งแรงดลใจอยู่กับผมแต่ผมกลับไม่มีเครื่องมือเขียนรูป”
“คุณกลัวว่าเธอจะจากคุณไปอีกหรือคะ”
“ถ้าเธอทอดทิ้งผมไปอีก ผมคงจะต้องเลิกวาดรูปตลอดไป”
“เทวีแห่งแรงดลใจไม่ทิ้งคุณไปไหนหรอกค่ะ คุณต่างหากที่ลืมเลือนเธอไป”
นิดพูดตอบตัดพ้ออย่างอ่อนหวาน สรรค์เคลิบเคลิ้มงงงันที่เทวีในฝันก็พูดเช่นนั้น ทั้งคู่สบตากัน สรรค์มองนิดนิ่ง นิดมองตอบ สรรค์ก้มลงใกล้ นิดลังเล
ทันใดมีเสียงเครื่องยนต์ดังสนั่น สรรค์กับนิดชะงักไป เห็นรถคันใหม่ของนิดพุ่งลงจากเนินดิน เสียงบุญมาตะโกนลั่น
“เบรก เบรก เบรก เบรก เบรกโว้ย”
สรรค์กับนิดวิ่งไปเห็นรถพุ่งเข้าหาต้นไม้ มีเสียงเบรคสนั่นหวั่นไหว บุญมากับแก้วแหกปากร้องพร้อมกัน รถหยุดลง กันชนจ่อต้นไม้ห่างแค่กระเบียดเดียว บุญมาลากแก้วลงจากรถ
“ทำไมสอนยากสอนเย็นอย่างงี้ฮะ”
“ก็คนสอนสอนไม่ดีเอง”
แก้วทะเลาะไล่ตีกับบุญมาไปรอบรถ สรรค์กับนิดมองดูแล้วกลั้นหัวเราะ นักข่าวคนนั้นยิ้มกับตัวเองอย่างพอใจ
ภายในห้องโถงบ้านบันเทิงไทย บรรดานางเล็กๆ กำลังดูแลซ่อมแซมเครื่องแต่งกาย บ้างก็เอามารีด พลับเดินลากผ้าระพื้นประหนึ่งนางในหนังมหากาพย์มาด้วย
"เอ้า ซ่อมให้ดีนะยะ วันก่อนนังอนุสยากับนางปิยวาท นมเกือบพลัดออกมาเป็นของแถมให้คนดูแล้ว"
บนโต๊ะกินข้าว ชด ประภา จิตรานั่งกินอาหารในตอนสายอยู่ ประภากับจิตราที่เล่นเป็นบทปิยวาทและอนุสยาหัวเราะคิกคัก
"ดีซีคะพี่ คนดูจะได้ตาสว่าง" ประภาบอก
พลับค้อนตาคว่ำ สะบัดผ้ามานั่งโต๊ะ
"ต๊าย พูดได้ไม่อายปาก"
พลับพลิกหนังสือพิมพ์อ่านแล้วร้องวี๊ด ประภา จิตราสะดุ้งจนนมในแก้วหก
"เอ้า อะไร ปู้โธ่ ร้องยังกะเปรตนางวันทอง" ชดว่า
"ไม่ได้อ่านกันเลยหรือ นางเอกสาวคาวคลุ้งพลอดรักหนุ่มกลางทุ่ง"
ชด ประภา จิตรา สะดุ้งเฮือกเข้ามาดู
ภาพในข่าว นิดกับสรรค์ยืนใกล้คล้ายจูบกัน เห็นใบหน้านิดค่อนข้างชัด แต่สรรค์ไม่ชัด
“ลงรูปนิดกับนายสรรค์หราอยู่นี่" นิดว่า
ทมกับหลวงจันทรเดินเข้ามาถือหนังสือพิมพ์มาด้วย
"ตายๆ งามหน้าแล้วทีนี้ แล้วจะทำยังไงนี่ โธ่ ถ้าคนดูเกิดไม่ชอบใจขึ้นมา ละครก็ม้วนเสื่อแน่" หลวงจันทรว่า
"นี่คุณหลวงหุบปากก่อน" ชดบอก
"แล้วนี่นิดรู้ข่าวหรือยัง"
นิดกับแก้วเข้ามา แก้วปริวิตก แต่นิดไม่ทุกข์ร้อนนัก
“รู้แล้ว แต่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่นี่”
นิดเข้ามาหยิบหนังสือพิมพ์มาดู
“แหม รูปที่ลงถ่ายไม่สวยเลย” นิดบอก
พลับตบอกผาง หลวงจันทรจะเป็นลม แก้วเกาหัวแกรกกราก ชดคิดหนัก
บนโต๊ะกินข้าวสรรค์นั่งนิ่ง พระชาญชลาศัยหน้าบึ้งตึงโยนหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ มารศรีนั่งดูอยู่ แม่ผินเป็นลมอยู่ที่ตั่งเล็กๆ บัวกำลังเอายาดมให้ดม
"ฉันเตือนแกแล้ว เรื่องนางผู้หญิงคนนี้แกฟังฉันซะที่ไหน"
"แต่เราไม่มีอะไรจริงๆ นี่ครับ วนิดาแค่ไปหัดขับรถ ผมเป็นคนสอนก็เท่านั้นเอง ตอนนั้นเราแค่ยืนคุยกันเฉยๆ"
“ทำไมรูปมันถึงออกมาอย่างนั้น"
"เรียกว่ามุมกล้องค่ะ คุณพระ คนหน้าห่างกันเป็นคืบก็ถ่ายออกมาเป็นจูบกันได้"
“เธอนี่ช่างรู้ดีจริงนะ" พระชาญชลาศัยค่อนขอด
“ก็แค่อยากบอกว่า อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเราเห็นแค่นั้นเองค่ะ"
สรรค์ถอนใจ แม่ผินคร่ำครวญ
"โธ่ คุณหนูไม่น่าเลย ไปจูบกับแม่นางเอกเย้ยฟ้าท้าดินได้ยังไง ถ้าคุณหนูสุวลีเห็นเข้าคงอกแตก”
"ยิ่งพระยากีรติอีกคน ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าท่านจะว่ายังไง”
บนโต๊ะอาหาร พระยากีรติที่ยังป่วยทรุดโทรมลดหนังสือพิมพ์เล่มหนึ่งลง คุณหญิงบัวผันรับหนังสือมาพับวางลง พระยากีรติถอนใจ เฟื่องยืนอยู่ข้างหลังท่าทางโกรธกว่านาย
“ท่านจะคิดอ่านยังไงดีเจ้าคะ”
พระยากีรติมองดูเฟื่อง
“ก็ไม่เห็นต้องทำยังไงนี่ แม่เฟื่อง”
“แต่ลูกสาวเราต้องมาพลอยเป็นขี้ปากคนมันเสื่อมเสียนะคะ” บัวผันว่า
“เรื่องลูกสาวของเธอกับนายธนานั่นก็เสื่อมเสียเหมือนกัน”
“เจ้าคุณพี่พูดอะไรขนาดนั้นคะ”
เสวกเดินเข้ามาด้วยอาการร้อนใจ
“เจ้าคุณพ่อ คุณแม่เห็นข่าวแล้วใช่ไหมครับ”
“เห็นแล้ว” บัวผันว่า
“อย่าไปสนใจนะครับ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ชอบลงแต่ข้าวปั้นน้ำเป็นตัว ที่จริงคงไม่มีอะไรหรอก”
“แม่ก็หวังว่าอย่างงั้น ตาเหวก”
“แต่ที่สำคัญ อย่าให้คุณน้องเห็นข่าวเลยจะยิ่งหมางใจกันเปล่าๆ”
“เพื่อนยายสุน่ะตัวร้ายทั้งนั้นจะปิดไปได้ซักกี่เพลากัน” ท่านพระยาว่า
“จะปิดถ้อยปิดความอะไรกันหรือคะ”
สุวลีก้าวเข้ามาในห้องหน้าสดใส จวนเดินตาม บัวผันรีบพับหนังสือพิมพ์ให้เล็กลง ซ่อนไว้บนตัก
“ไม่มีอะไรหรอกคุณน้อง”
สุวลีนั่งลงที่โต๊ะกวาดตามองทุกคนยิ้มให้
“วันนี้มีข่าวสารการเมืองอะไรบ้างคะ ขอหนังสือพิมพ์สุหน่อย”
“โธ่ ไม่เห็นมีข่าวอะไรสลักสำคัญเลย” เสวกว่า
“หรือคะ คงเพราะข่าวขวัญใจของคุณพี่กับสรรค์กลบข่าวอื่นหมด” สุวลีพรายยิ้มมากขึ้น
“คุณน้อง!”
“ลูกรู้แล้วหรือ!” พระยากีรติถาม
“สุทราบข่าวนี้ก่อนที่หนังสือพิมพ์จะลงเสียอีกค่ะ”
สุวลียิ้มเยาะ เสวก พระยากีรตินึกรู้สึกได้ว่า สุวลีอยู่เบื้องหลังข่าวนี้
ภายในห้องโถงบ้านเช่า นิด มารศรีนั่งอยู่ที่โซฟา แก้วยกน้ำมาให้มารศรีแล้วนั่งลงด้วย
“ฉันคิดว่าเป็นฝีมือแม่ผู้ดีเก่าเหง้าผู้ดีนั่นแน่ๆ” มารศรีบอก
“หนูก็คิดว่าอย่างนั้นค่ะ”
นิดยังสงบไม่โวยวายจนแก้วหมั่นไส้
“นี่ถึงข่าวมันจะไม่พูดชื่ออกมา แต่คนเขาก็เดาว่าคือนายสรรค์ ที่มีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว”
“แล้วยังไงหรือ” นิดถาม
“คนเขาก็ว่าแกไม่ใช่แค่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว แต่ยังเป็นคนแย่งชิงคนรักคนอื่นด้วยนะซี คนดูจะพากันเกลียดแกนะ”
“ยิ่งมีข่าวคนก็ยิ่งโจษจัน แล้วอาจจะยิ่งพากันมาดูฉันก็เป็นได้”
“ก็เป็นไปได้ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องรีบออกมาแก้ข่าวซะ ก่อนที่คนจะ ทึกทักว่าเป็นเรื่องจริง”
“หนูกับคุณบุญมาเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
แก้วถอนใจ
“ฉันไม่เข้าใจเลย นิด ว่าทำไมแกถึงไม่เดือดร้อน ทำท่าเหมือนกันพออกพอใจนักหนา”
“ฉันไม่ได้พอใจที่เป็นข่าวหรอกแก้ว แต่ฉันพอใจที่คุณสุวลีเขาลุกมาโต้ตอบฉันต่างหาก”
นิดสบตามารศรี มารศรียิ้มรับอย่างเข้าใจ
“ตอนนี้แม่ผู้ดีนั่น ไม่ได้เห็นวนิดาเป็นแค่อากาศธาตุเหมือนแต่ก่อน”
“ค่ะ ตอนนี้เขาเห็นฉันเป็นศัตรูหัวใจเต็มตัวแล้ว”
แก้วทำหน้าเบ้
“ทำสะใจไปเถอะ แกคิดบ้างหรือเปล่าถ้าข่าวไปถึงสีชัง ถึงหูพี่เชิดเข้าแล้วจะเป็นยังไง”
นิดอึ้งไปและเริ่มกังวลขึ้นมา
บริเวณตลาดหน้าด่าน เกาะสีชัง ทับทิมกางหนังสือพิมพ์อ่านหน้าบันเทิงอย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่แผงขายของ นางแสมองอย่างหมั่นไส้
“ไงยะ แม่นางเอกขวัญใจของแก เผลอแผล็บเดียวไปแย่งผัวเขาซะแล้ว”
“ดีออกแม่ นางเอกยุคใหม่ก็ต้องเปิ้ดซะก๊าดอย่างนี้แหละ” ทับทิมยังถียงแทน
“อ้าว อีนี่กลับเห็นดีเห็นงามตามเสด็จไปอีก”
“ก็ดูรูปผู้ชายในข่าวซีแม่ ขนาดไม่ชัดก็รู้ว่ารูปหล่อเหมือนดาราหนัง ถ้าฉันเป็นวนิดา ฉันก็ไม่ปล่อยไว้หรอก หล่อจริงๆ นะแม่นะ แม่ดูซี”
นางแสชะโงกมาดูแล้วบอก
“ก็งั้นๆ”
“แต่ฉันว่าหน้าตาหล่อแบบนี้คุ้นตายังไงไม่รู้ หรือจะเคยเป็นเนื้อคู่ฉันมาแต่ปางก่อน”
เนื่องเดินผ่านเข้ามาได้ยินเข้า
“ใคร ใครโชคร้ายเกิดมาเป็นเนื้อคู่เอ็ง”
“ไม่มีหรอก...พูดกับเรื่องไอ้ผู้ชายของแม่วนิดาเขาน่ะ”
“ไหน .. มีข่าววนิดาอะไรหรือ”
“นี่ไง พี่ ข่าววนิดาไปจูบกับผัวชาวบ้านจ้ะ”
เนื่องคว้าหนังสือพิมพ์มาดู ทับทิมมาช่วยชี้ให้อ่าน เนื่องเบิกตากว้าง เชิดเข้ามาอีกคน
“ไหน มีข่าวอะไรบ้างวะ วันนี้”
จบตอนที่ ๒๓
สาวน้อย ตอนที่ ๒๔
ทับทิมยิ้มขยับจะพูดเจื้อยแจ้ว เนื่องจับมือทับทิมจนชะงักไป นางแสเขม่นมอง เนื่องรีบพูด
“ไม่เห็นจะมีข่าวอะไรเลย”
“แหม แต่ว่า”
“ไม่มีแต่ เออ ไอ้เชิด แม่นิ่มถามหาเอ็งแน่ะ”
“อ้าว เรอะ งั้นข้าไปดูแม่นิ่มก่อน”
เชิดไม่สงสัยอะไรเดินไปทางแผงผักแม่นิ่ม เนื่องมองดูทับทิมที่เริ่มชะม้ายชายตา
“พี่เนื่อง ทำไมถึงมาห้ามฉันพูดจากับพี่เชิด”
“วันนี้เอ็ง เอ้ย ทับทิมแต่งตัวสวย ข้า เอ้ย พี่อยากคุยกับทัมทิมนาน ๆ”
“วุ้ย พี่เนื่อง จู่ ๆ มาทำปากหวานลดเลี้ยวเกี้ยวพาฉัน”
“ไม่ใช่แค่นั้น พี่ยังจะอุดหนุนหนังสือพิมพ์ทับทิมเองด้วย ฉบับที่มีข่าววนิดาน่ะ เอามาให้หมดแล้วต่อไปมีข่าวอีกก็รีบบอกพี่ก่อน”
เนื่องหอบหนังสือพิมพ์ราว 7-8 ฉบับเดินไป ทับทิมถือธนบัตร 1 บาท มองตามด้วยสายตาหวาน
“แม่จ๋า” ทับทิมเรียกนางแส
“อะไรอีก”
“เห็นไหม พอฉันแต่งตัวเป็นวนิดาเข้าเท่านั้นได้ผลทันตาเลย พี่เนื่องมาเกี้ยวฉัน”
นางแสเข้ามาใกล้ เห็นทับทิมทำท่าฟุ้งฝันก็สะบัดตูดไป ทิ้งทับทิมพูดเพ้ออยู่คนเดียว “แถมยังมาเหมาหนังสือฉันไปเป็นตั้ง ตังค์ทอนก็ไม่เอา แม่ แม่จะว่ายังไงถ้าฉันมีผัวเป็น ...”
ทับทิมพูดยังไม่จบหันมาเจอไอ้แม้นยื่นหน้าอยู่ในระยะประชิด
“ไอ้แม้น ว้าย ไอ้บ้า เข้ามาทำไมใกล้ๆ ตกใจหมด แกเกือบจะจูบแก้มฉันอยู่แล้วเห็นไหม”
แม้นหัวเราะแหะๆ เหมือนเด็ก
บริเวณหน้าบ้านนิดที่ไม่มีคนเดินไปมา เนื่องนั่งมองหนังสือพิมพ์ที่ไฟกำลังโหมอยู่ แล้วดึงโทรเลขซึ่งยับยู่ยี่ออกมาดู ข้อความของนิดเขียนบอกว่า
“พี่เนื่อง หนังสือพิมพ์ลงข่าวฉันไม่ดี พี่เนื่องทำยังไงก็ได้อย่าให้ถึงหูแม่และพี่เชิด”
เนื่องส่ายหัวดิก
บริเวณล็อบบี้โรงละครจันทร์กระจ่าง มีการตั้งโต๊ะแถลงข่าว นิด บุญมา แก้ว นั่งเรียงราย ตรงหน้ามีบรรดานักข่าว แฟนละคร และคนทั่วไปมุงดูเต็ม รวมทั้งอาล็อก
“ถึงหนังสือพิมพ์ฉบับนี้จะไม่ระบุชื่อ แต่ก็จงใจให้คนอ่านเข้าใจว่า วนิดาทำตัวเสียหาย ทางเราขอยืนยันว่าข่าวนี้เป็นเท็จทั้งสิ้น” ชดบอก
พาดหัวหนังสือพิมพ์ “วนิดาปฏิเสธข่าวพลอดรักหนุ่มศิลปิน”
“วันนั้นเราไปหัดขับรถกัน ๔ คน แต่นักข่าวไร้จรรยาบรรณคนนั้นกลับทำเหมือนกับไปกันสองต่อสอง”
หน้าหนังสือพิมพ์เป็นภาพถ่ายเห็น สรรค์ นิด บุญมา แก้วอยู่ด้วยกัน
“แก้วขอเอาหัวเป็นประกันว่าเราอยู่ด้วยกันตลอด”
ในหน้าหนังสือพิมพ์ หัวข่าวรอง พระรองเพื่อนสนิทบอกอยู่กับวนิดาตลอดเวลา
“ดิฉันขอยืนยันว่าดิฉันกับเพื่อนคบกันแบบพลาโตนิก เฟรนด์ชิพ”
พาดหัวหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น “วนิดายืนยันคบกับเพื่อนศิลปินแบบลัทธิพลาโตนิก”
นิดพูดโดยมีอารมณ์ น้ำตาเอ่อท้นขึ้น
“ดิฉันเป็นแค่นางละครตัวเล็ก ๆ ที่อยากทำในสิ่งที่รักเพื่อสร้างความสุขให้คนดู แต่กลับมีคนคอยใส่ร้าย”
บรรดานักข่าว แฟนละคร ชาวบ้านร้านถิ่นนิ่งอึ้งด้วยความเห็นใจ นิดพูดต่อน้ำตาหยด
“ชีวิตของดิฉันขอมอบให้กับคนดูละครของดิฉัน ดิฉันจะไม่มีวันทำตัวเสื่อมเสียให้คนดูผู้มีพระคุณต้องผิดหวังเป็นอันขาด นี่คือคำสัญญาจากใจของวนิดา”
บรรดานักข่าว แฟนละคร ชาวบ้านพากันอิน บ้างร้องไห้ บ้างตะโกนปลอบใจ บ้างปรบมือให้พลางพูดว่า
“โถ แม่คุณ ทูนหัว”
ภาพข่าวในหนังสือพิมพ์มีพาดหัว วนิดาร่ำให้บอกชีวิตเป็นของแฟนละคร
คนดูหลั่งไหลมาดูละครแน่นขนัดกว่าเดิม ป้ายหน้าโรง ละครเรื่อง “ศกุนตลา” เพิ่มรอบบ่ายโมงวันอาทิตย์ ตามคำเรียกร้อง นิดยิ้มพรายหันไปสบตากับมารศรีที่ยืนแอบอยู่หลังโปสเตอร์ มารศรีปรบมือให้
มุมหนึ่งของโรงละคร มารศรีเดินมากระซิบข้างหูวนิดา
“เธอเล่นละครเก่งกว่าที่ฉันคิดมากนัก แม่นิด”
“คุณกับพี่ชดสอนหนูมาดี”
“ฉันอยากรู้จริงว่า คุณสุวลีจะชอบละครฉากนี้ของเธอไหม”
บริเวณเทอเรซข้างบ้านเนาวรัตน์ สุวลีพับหนังสือพิมพ์ลงช้า ๆ ดวงตาวาวอย่างไม่พอใจ อนงค์ รตี นิ่งมองดูท่าทีอยู่ อนงค์เป็นแฟนพันธุ์แท้ของวนิดาพูดกับสุวลีอย่างท้าทายด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“ไงจ๊ะ ไหนเธอบอกว่า วนิดาจะดับแสงในวันสองวันนี้ไง ทำไมกลับยิ่งโด่งดังไปกว่าเดิม .. โซ เฟมัส”
“คนดูพวกนั้นปัญญาอ่อนน่ะซี แค่บีบน้ำตา พูดยกยอปอปั้นคนดูเข้าหน่อยก็ลืมข่าวอื้อฉาวหมด”
“ก็ข่าวนั้นมันเป็นข่าวเท็จต่างหาก บุลชิท”
สุวลียิ้มเยาะอย่างไม่พอใจ
“เธอกับคนดูพวกนั้นก็คงมีสมองเท่ากัน เจอนางละครบีบน้ำตาเข้าหน่อย ก็หลงเชื่อ”
“ฉันไม่ได้โง่ แต่ฉันแน่ใจว่าวนิดาเป็นคนดี ดีกว่า...”
อนงค์เกือบจะพูดว่าดีกว่าเธอ แต่ชะงักไว้ทัน สุวลีกับรตีมองแล้วถามคาดคั้น
“ดีกว่าใคร”
อนงค์มองสุวลีแล้วค่อยๆเบนสายตาไปที่รตี
“ดีกว่าหล่อนน่ะแหละ นังรตี”
“อะไรยะ”
“ทำไมหล่อนถึงให้พี่ชายหล่อนเขียนข่าววนิดาเสีย ๆ หาย ๆ แบบนั้น”
“แค่ลูกพี่ลูกน้องย่ะ”
“ฉันไม่ได้ให้ลำดับญาติ... ฉันถามว่าทำไม วาย วาย วาย”
“ก็มีแหล่งข่าวบอกฉันมาอีกที .. ไม่ทำก็ไม่ได้”
“แหล่งข่าวอะไรของหล่อน”
สุวลีจิบน้ำชาทำเป็นไม่สนใจ อนงค์มองสุวลีอย่างแน่ใจว่าคือตัวการ ส่วนรตีทำท่าว่าฉันไม่เกี่ยวพลางเอามือแตะต่างหูไพลินคู่ใหม่เล่นอย่างพอใจ
ภายในภัตตาคารหรู ธนายิ้มขบขัน ลดหนังสือพิมพ์ลง สุวลีนั่งอยู่ตรงหน้ามองอย่างค้อน ๆ บนเก้าอี้มีถุงและกล่องจากการไปช้อปปิ้งของสุวลี
“พลาโตนิก เฟรนด์ชิพ”
“ทำไมคะ”
“วนิดาให้สัมภาษณ์ว่าคบกับคุณสรรค์ของคุณแบบพลาโตนิก เฟรนด์ชิพไง”
สุวลีแค่นยิ้มเยาะ ธนามองดูด้วยแววประเมินค่า
“น่าขัน .. นางละครคนนี้มีแอฟแฟร์กับสรรค์แน่ แต่ทำเจ้าน้ำตาหลอกใครต่อใคร แล้วที่น่าขันยิ่งกว่านั้นที่คนแบบนี้รู้จักใช้คำ พลาโตนิก เฟรนด์ชิพ ด้วย”
“คนแบบนี้คือคนแบบไหน”
“ก็คนต่ำๆ ไม่มีชาติมีตระกูล ที่อยากจะชุบตัว เข้าสู่วงสังคมชั้นสูงไงคะ”
สุวลีพูดไปด้วยความโกรธ ไม่ทันได้นึกถึงธนา ธนาจิบน้ำชาฉายยิ้มบนใบหน้า
“ตอนนี้สยามเป็นประชาธิปไตยแล้วนะครับ คนทุกคนเท่าเทียมกัน”
“มันก็แค่ลายลักษณ์อักษรเท่านั้นแหละค่ะ แต่ในความจริงคุณก็ทราบอยู่”
“ไม่ว่ายังไงผมก็เชื่อ ว่าคนเราเปลี่ยนสถานะได้ ไม่ว่าจะสูงขึ้นหรือ...ต่ำลง”
ฑนามองสุวลีอย่างหยันแต่สุวลีไม่เอะใจยังคงระบายความเกลียดชังออกไป
“ไม่ว่าจะเลื่อนสถานะตัวเองแค่ไหน แต่ของปลอมก็จะฟ้องตัวเองออกมาค่ะ ว่าของปลอม...ก็คือของปลอม”
ธนายิ้มดวงตามีแววดูแคลนแวบหนึ่งแล้วหายไป ธนายิ้มขบขัน
“แล้วนี่คุณขันอะไรคะ”
“ผมขันเพราะเพิ่งนึกได้ว่า คุณสุเคยพูดว่า คุณสุกับผมคบกันแบบพลาโตนิก เฟรนด์ชิพ เหมือนกันไงครับ”
สุวลีชะงักแล้วค้อนธนา
เช้าวันใหม่ พระชาญชลาศัยนั่งหน้าเคร่งอยู่ที่โซฟาพูดกับสรรค์ที่กำลังดื่มกาแฟ โดยมีแม่ผินกับบัวดูแลอยู่ มารศรีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์แล้วยิ้มๆ
“แม่คนนี้เก่งไม่ใช่เล่น เรื่องร้ายกลายเป็นดีไปหมด”
“นี่คุณพระไม่ได้พูดถึงดิฉันใช่ไหมคะ”
มารศรีแกล้งเย้า พระชาญชลาศัยยิ่งหน้าหงิก ผินเปรย
“ไม่ใช่ หล่อนน่ะทำให้เรื่องดีกลายเป็นเรื่องร้าย”
มารศรีเหลือบดู พระชาญชลาศัยยิ่งขุ่นมัว ผินหลบตาจนบัวต้องรับมุขให้
“ค่ะ บัวจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ”
สรรค์มองพระชาญชลาศัย
“ที่มันกลายเป็นดีก็เพราะมันไม่มีอะไรจริง ๆ นะซีครับ”
“ไม่มีอะไรจริง ๆ นี่แกกล้าสาบานไหมว่า แกกับหล่อนน่ะไม่มีอะไรในใจเลย”
สรรค์อึ้งไป มารศรีมองพระชาญชลาศัยที่จ้องเอาผิด
“ผมกับวนิดาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดทำนองคลองธรรม”
“แปลว่า แกไม่มีวันเลิกคบแม่นี่ใช่ไหม”
“วนิดาไม่ได้ผิดอะไรนี่ครับ”
“แล้วหนูสุวลีผิดอะไรถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
คราวนี้สรรค์อึ้งสีหน้ารู้สึกผิดขึ้นมา พระชาญชลาศัยได้ที
“นึกถึงสุวลีให้มาก ๆ สุวลีมีบุญคุณกับแกมากนะ แล้วเขาก็มีแกคนเดียวเท่านั้น”
สรรค์ยิ่งรู้สึกผิด มารศรียิ้มแล้วพูดขึ้น
“ไม่แน่หรอกค่ะ คุณสุวลีก็มีข่าวกับลูกชายเจ้าสัวทองคำอยู่บ่อย ๆ”
พระชาญชลาศัยโกรธ
“นี่เธอพูดอะไร
ผินตบอกผาง
“ดู๊ ดูมัน”
“ก็พูดเรื่องจริงไงคะ ข่าวสังคมเขียนแขวะคุณสุวลีกับนายธนาอยู่บ่อย ๆ เพียงแต่เส้นสายของเธอยังดีเลยไม่มีใครกล้าตำหนิเป็นเรื่องเป็นราว”
สรรค์ยิ่งรู้สึกแย่ พาลโกรธมารศรี
“มารศรี...นี่คงไม่ใช่กงการอะไรของเธอนะ”
“อย่าเอาเรื่องผู้หญิงต่ำ ๆ กับสุวลีมาเปรียบกัน”
สรรค์ยิ่งวุ่นวายใจมากขึ้นอีกเมื่อได้ยินพระชาญชลาศัยด่าวนิดา
“สุวลีคือดอกฟ้า แต่แม่นางละครนั่นเป็นแค่ดอกไม้ริมทาง ถูกใครเด็ดดมมาบ้างแล้วก็ไม่รู้”
“ค่ะ พวกผู้หญิงกลางคืน”
“พวกเต้นกินรำกินอย่างนี้ ต่อให้ไปชุบตัวมายังไงก็ล้างคราบล้างคาวไม่หมด”
สรรค์เสียงเข้มบอก
“คุณพ่อหยุดพูดเถอะครับ”
“ฉันจะพูด พวกนางละครเล่นละครจนเข้าเนื้อ มีจริตมายาอยู่ในสายเลือด มันถึงได้ยั่วยวนแกให้ลุ่มหลงไป ฉันไม่อยากให้แกไปติดเบ็ดมันเหมือน...”
พระชาญชลาศัยนึกคำพูดไม่ออก มารศรีลุกขึ้นพูดอย่างเชือดเฉือน
“เหมือนกับที่คุณพระมาติดเบ็ดดิฉัน...หรือคะ”
พระชาญโกรธและรู้สึกเสียหน้า
“นี่ ฉันพูดกับลูกฉัน เธออย่ามายุ่ง”
สรรค์กับผินอึ้ง มารศรีลุกขึ้น ตาวาว
“คุณพระไม่ยุติธรรม คนเราดีชั่วอยู่ที่การกระทำค่ะ ไม่ใช่จากชาติตระกูลหรืออาชีพ”
“ว้าย แม่หลักการ” ผินแขวะ
“คนเต้นกินรำกินที่ปล่อยตัวคงมีไม่น้อย แต่คนขายเสียง ขายฝีมือแต่ไม่ขายตัวก็มีมากเหมือนกัน”
สรรค์เริ่มยิ้มนิด ๆ พอใจกับคำพูดของมารศรี
“นักร้องหรือนางละครที่ใช้มายายั่วผู้ชายอาจจะไม่ได้ยั่วยวนผู้ชายทุกคน แต่แค่ยั่วยวนผู้ชายที่...ตัวรัก แค่นั้นก็ได้”
มารศรีมองพระชาญชลาศัยแล้วมีแววสะท้อนสะท้านใจผุดขึ้นแวบหนึ่ง สรรค์นิ่งคิดและยิ้มมากขึ้น
“คนต่ำ ๆ ยากจนบางคนอาจจะมีจิตใจสูงส่ง แต่ผู้ดีร่ำรวยล้นฟ้าบางคนอาจจะมีจิตใจชั่วร้ายต่ำทรามก็ได้”
“นี่เธอว่าฉันหรือ”
มารศรีมองพระชาญชลาศัยด้วยความรู้สึกเสียใจและท้าทาย
“ถ้าคุณพระคือผู้ดีใจต่ำพวกนั้น ดิฉันคงต้องขอประทานโทษด้วย”
พระชาญชลาศัยโกรธเงื้อมือ มารศรีเชิดหน้า ผินร้องอุทาน บัวปิดปาก สรรค์ก้าวมาร้องห้ามและคว้าข้อมือพ่อไว้
“คุณพ่อ!”
พระชาญชลาศัยสะบัดมือจากสรรค์มาคว้าข้อมือมารศรี
“อย่าปากดีให้มันเกินไปนัก”
“ถ้าคุณพระแน่จริงต้องหักล้างคำพูดของดิฉันต่างหากค่ะ ไม่ใช่ใช้อำนาจเข้าข่ม”
พระชาญยิ่งโกรธเหวี่ยงมารศรีล้มไปกับพื้น พระชาญมองสรรค์ทำนองว่าแกคือตัวต้นเหตุ แล้วเดินบึง ๆ ออกไปข้างนอก สรรค์ยืนอึ้ง บัวประคองมารศรี ผินเองกลับรู้สึกว่า มารศรีพูดถูกไม่ได้ค้อนควักอะไร
มารศรีน้อยใจ เจ็บใจแต่กลับเชิดหน้าไม่แยแส สรรค์มองอย่างเห็นใจ ถอนใจ แล้วเดินออกไป
เวลาบ่ายในส่วนแกลเลอรี่ ร้านสรรค์ศิลป์ สรรค์ยืนเหม่อมองรูปถ่าย “ยามเศร้า” ของวนิดาที่ย้ายมาติดที่ร้าน สุวลีพูดกับสรรค์อย่างเข้าอกเข้าใจ
“สุว่าเราควรจะทำอะไรซักอย่างให้คนเลิกลือกันแบบนี้”
“ปากคน...เราจะไปทำอะไรได้”
สุวลีทำท่านึกออกแล้วตาโต
“เอาอย่างนี้ดีไหมคะ งานวันเกิดเจ้าคุณพ่อเดือนหน้า สุจะเชิญวนิดามาร้องเพลงอวยพรให้เจ้าคุณพ่อในงาน คนจะได้เห็นว่าสุกับวนิดาไม่ได้มีอะไรหมางใจกันเลย”
สรรค์ไม่ค่อยเห็นด้วย
“จำเป็นด้วยหรือสุที่เราต้องลุกขึ้นมาเต้นตามข่าวลือ ..เดี๋ยวหมดจากเรื่องนี้ก็มีเรื่องนั้นมาอีก”
สุวลีมองนิ่งด้วยแววตาตัดพ้อ สรรค์ใจอ่อน
“แต่ถ้าสุคิดว่าดีก็ลองดู”
“ดีซีคะ ดีมากเลยด้วย”
สุวลียิ้มออก ดวงตาวาดแผนการทันที
การ์ดเชิญร่วมงานฉลองครบรอบวันเกิดของพระยากีรติเกษตร เป็นการ์ดออกแบบอย่างงดงามวิจิตรบรรจงและหรูหรา กระดาษนั้นฉลุฉลักตัวอักษรเดินทองมากจนเกินเหตุ
ภายในโถงบ้านเช่าของนิด มารศรีทำหน้าพิกลก่อนลดการ์ดเชิญลง นิดและแก้วอยู่บนโซฟาตรงข้าม
“รสนิยมคุณสุวลีนี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”
“แต่หนูว่าคราวนี้ดูจะหรูหราเกินงามไปหน่อย”
“แล้วมันยังไงกัน จู่ ๆ ก็มาเชิญแกไปงานวันเกิดพ่อนี่” แก้วว่า
นิดยิ้มดวงตาวาววาม
“จะอะไร ก็แปลว่างานนั้นคงมีหลุมพรางเตรียมไว้ดักฉัน”
“แหม...แล้วแกยังจะไปอีกหรือ”
“ถ้าไม่ไปแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะว่า เขาเตรียมอะไรไว้เล่นงานฉันบ้าง”
มารศรีนึกเป็นห่วงเข้ากุมมือนิด
“นี่เธอกำลังเข้าถ้ำเสือนะนิด”
“แต่คุณเองก็ติดเขี้ยวเล็บไว้ให้หนูพอตัวแล้วนี่คะ”
“เธอนี่เป็นลูกศิษย์ตัวร้ายของฉันจริง ๆ” มารศรีพูดพลางหัวเราะ
“แกเข้าถ้ำเสือคราวนี้ไม่ได้หวังลูกเสือนี่ แกหวังพ่อเสือมากกว่า”
มารศรีหัวเราะอีก นิดมองค้อนแก้ว
“ฉันไม่ได้หวังพ่อเสือ...ฉันหวังพี่เสียมต่างหาก”
บ้านเนาวรัตน์ในเวลากลางคืน ประดับไฟงดงามเต็มที่ตามเคย แขกในงานทะยอยกันมาน่วมงาน แต่งชุดสีขาว นวล เหลืองจางกันทั้งงานเพราะเป็นธีมวันจันทร์
ภายในห้องจัดเลี้ยงบ้านเนาวรัตน์ บนเวทีมีวงดนตรีและสเตทสำหรับนักร้อง และวางแกรนด์เปียโนไว้ ที่หน้าเวทีเป็นโต๊ะของเจ้าภาพและบรรดาแขกรุ่นใหญ่ เช่น มีพระยากีรติ คุณหญิงบัวผัน ท่านหญิงพิไลเรขา บรรดาคุณหลวง คุณพระ และเมีย ๆ แต่เห็นชัดว่า มีแขกฝรั่งทั้งหญิงชายมากมายในงาน ส่วนทางวงนอกออกมาเป็นที่ของเจ้าภาพรุ่นเล็กและแขกรุ่นเล็ก ได้แก่ เสวก สุวลี สรรค์ บุญมา อนงค์ รตี ธนา นพ และบรรดาเพื่อน ๆ แขกทุกคนสวมชุดขาว นวล เหลืองอ่อนกันทั้งงาน
ขณะนั้นสุวลีกำลังแสดงฝีมือเล่นเปียโนด้วยชุดสีขาวนวลเหมือนนางฟ้า ดูบริสุทธิ์งดงาม เสียงเปียโนไพเราะดังไปทั่วทั้งห้องจัดเลี้ยง พระยากีรติแม้จะยังป่วยอยู่แต่สีหน้าดีกว่าทุกวัน คุณหญิงบัวผันอยู่ข้างๆ แขกผู้ใหญ่ บรรดาทูตต่างมองดูสุวลีอย่างทึ่งและปลาบปลื้ม สรรค์มองดูสุวลีแต่ใจลอย เสวกปลื้มน้อง ธนายิ้มมองดูสุวลี บุญมาเซ็งและเบื่อ รตีเบื่อ อนงค์ นพมองไปทางนอกงาน
สุวลีบรรเลงเพลงมาถึงกลางเพลง พรมนิ้วดีดนิ้วอย่างมีลูกเล่น เสียงเปียโนวิเวกหวาน
บรรดาแขกจำนวนหนึ่งที่ออกมาสูดอากาศกระซิบกระชาบชี้ชวนกันดูไปเทอเรซ
แก้วใส่สูทสีขาวแต่ผูกโบว์แดงฉาดฉานเดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวในชุดราตรีปักเลื่อมแดงเจิดจ้ารองเท้าส้นสูงปรี๊ดสีแดงเจิดจ้าระยิบระยับ ชุดนั้นคอกว้างแต่ไม่ลึกแต่เปิดเปลือยแผ่นหลัง ชุดยาวกรอมเท้า ทุกคนมองตาค้างตะลึงไป
ภายในห้องจัดเลี้ยง เสียงเปียโนยังคงบรรเลง เสียงซุบซิบมาจากหน้างานเบาๆดังลามมาจนถึงหน้าเวที “วนิดา - วนิดามาแล้ว”
สรรค์หันขวับไป บุญมามองตาม เสวกยินดี นพร้องอุทาน
“วนิดาเหรอ”
“วนิดามาแล้ว”
อนงค์พลันวิ่งออกไป นพก้าวตาม เสวกลังเลแล้วก้าวไปดูบ้าง จู่ ๆ คนในงานทั้งเด็กผู้ใหญ่พลันระส่ำระส่ายกรูกันออกไปทางหน้างาน
สุวลีชะงักเสียงเพลงแปร่งไปมองเห็นผู้คนที่ทยอยขยับหายไป เหลือเพียงแขกผู้ใหญ่จริง ๆ และพวกมารยาทดีไม่กี่คน สรรค์กับบุญมายังคงยืนอยู่
สุวลีโกรธจัดแต่ข่มไว้ ยังคงเล่นเปียโนท่อนสุดท้ายต่อ...
อนงค์ นพ เสวก ถลามายืนหน้าคนอื่น บรรดาแขกในงานทั้งเด็กและผู้ใหญ่ตามมาดูเต็มไปหมด แก้วและนิดยืนอยู่หน้าบันได นิดยิ้มพริ้มพราย ดวงหน้ากระจ่างตกแต่งเนียนละมุนข้นเข้ม ผมลอนใหญ่เป็นมันวับ ต่างหูระย้าลงไประไหล่เปลือย เสวกก้าวไปหาอย่างเคลิ้ม ๆ กล่าวเชิญ วนิดาวางมือลงในมือเสวกเดินขึ้นบันไดมา บรรดาแขกในงาน อนงค์ นพ ฮือฮา ซุบซิบ ชมโฉมกันขนานใหญ่
สุวลีเม้มปากพรมนิ้วลงบนคีย์เปียโนเหลือบมองไปหน้างาน สรรค์ บุญมา แขกผู้ใหญ่ เจ้าภาพหันมองไปวนิดากับแก้วกันหมด แขกในงานแยกออกเป็น 2 ข้าง เผยให้เห็น เสวกจับมือพาวนิดาเดินมา แก้วเดินเยื้องไปเบื้องหลัง นพ อนงค์ เดินตาม ตามมาด้วยบรรดาแขกที่กรูไปรับ
สรรค์มองดูนิดนิ่ง นิดไม่ได้มองตอบ แต่ยิ้มทักทายตามรายทาง ชุดแดงเด่นโดดออกมา บุญมามองแก้ว แก้วทำท่าโก้ยิ่งกว่านิด ทักทายคนมาตามทางราวสุภาพบุรุษอังกฤษ
ธนากลั้นยิ้มมองดูสุวลีที่ซ่อนความโกรธไว้ไม่อยู่ สุวลีเริ่มรู้ตัวว่า ตนเองเหมือนกำลังบรรเลงเพลง “พญาเดิน” ประกอบการห้าวย่างเข้ามาของวนิดา
เสวกพาวนิดามาถึงด้านหน้าเวที นิดมองไปสบตากับสรรค์ สรรค์แม้รู้ว่า ต้องซ่อนท่าทีกลับตะลึงไป นิดยิ้มนิด ๆ ให้สรรค์ แล้วเปิดยิ้มกว้างให้บุญมา
สุวลีจบเพลงลงโดยไม่มีใครรู้ตัว สุวลีอึ้ง นิดฉายแววยิ้มเยาะเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานให้สุวลีแล้วยกมือขึ้นปรบมือนำ ผู้คนงงไปวูบหนึ่ง สรรค์รีบปรบมือตาม ผู้คนในงานปรบมือตามกันถ้วนหน้า
ธนากลั้นหัวเราะปรบมือ รู้สึกสนุกในการดูสงครามเย็นระหว่างสองสาว สุวลีย่อตัวขอบคุณแต่แววตาเคียดแค้น
เสวกพานิดไปหาพระยากีรติ พระยาธรรมนูญ คุณหญิงบัวผัน มจ. พิไลเรขา และพระชาญชลาศัยที่นั่งรวมกับอยู่ที่โซฟา
“เจ้าคุณพ่อขอรับ วนิดา”
พระยากีรติมองวนิดาอย่างเมตตา คุณหญิงบัวผันมองทึ่งในความงาม มจ.พิไลเรขาแววตาใจดี พระยาธรรมนูญหัวเราะเบา ๆ พระชาญชลาศัยเมินใส่อย่างเย่อหยิ่งจำไม่ได้แม้แต่น้อยว่าเป็นนิด
นิดพลันย่อตัวลงกราบบรรดาท่านผู้ใหญ่กับพื้นอย่างงดงาม ทุกคนมองอย่างทึ่งและชื่นชอบกล่าวทักทายอย่างไม่ถือตัว
สรรค์มองดูนิดอยากเข้าไปหาแต่ข่มไว้ สุวลีพลันเข้ามาชิดจับมือสรรค์ทันที
“สุ”
“เข้าไปต้อนรับวนิดาเถอะค่ะ สรรค์”
เสวกดึงนิดให้ยืนพอดี นิดหันมา สุวลีเกาะแขนสรรค์ยืนอยู่ตรงหน้า สองหญิงยิ้มอ่อนหวาน ดวงตาเเข็งกล้าประสานกัน
“คุณเล่นเปียโนได้ไพเราะมากค่ะ”
“แต่คงไม่เท่าเพลงที่คุณจะร้องในงานมังคะ”
“นี่ชื่นชมกันเองพอหรือยังครับ” สรรค์ถาม
สรรค์พยายามซ่อนความอึดอัดโดยการพูดเย้า สุวลีค้อนตาหวานพลางกอดแขนสรรค์แน่นเข้า
“แหม สรรค์”
“แหม คำชื่นชมตามมารยาทสังคมน่ะ บางครั้งก็มาจากใจจริงนะคะ” นิดว่า
นักข่าวในงานมาถ่ายรูปวูบวาบ ผู้คนมองดู บ้างซุบซิบ นิดเดินเข้าไปชิดอีกข้างของสรรค์ เอามือแตะแขนเบาๆ อย่างเพื่อนทำกัน โพสต์ท่าโปรยยิ้มให้กล้อง สุวลีฝืนยิ้ม แล้วยืนให้ถ่ายรูปร่วมกันสามคน ธนามองอย่างสนุก สาสมใจ
ี
สาวน้อย ตอนที่ ๒๔ (ต่อ)
มุมหนึ่ง รตีผู้เกลียดคนทั้งโลกยืนอยู่กับสุวลีและธนา ทั้งสามมองไปเห็นสรรค์ บุญมาคุยกับเพื่อนฝูงอยู่ที่มุมหนึ่ง ส่วนนิดอยู่กับเสวก นพและอนงค์ และยังมีแขกฝรั่งอยู่อีกวง
“ต้าย บัตรเชิญก็บอกไม่ใช่หรือว่าให้แขกแต่งขาวกับเหลืองอ่อนแต่แม่นี่ก็ยังแดงโร่มา” รตีว่า
“จะเอาเอตติเคต (๑) อะไรกับคนพวกนี้เล่า”
“ก็คุณเชิญเขามาเป็นศิลปินในงานไม่ใช่หรือ ไม่ใช่แขกสักหน่อย”
สุวลีมองธนาเป็นเชิงถามว่า คุณอยู่ข้างไหนกันแน่ ก่อนตัดสินใจเดินกรายไปหาวนิดา ธนาเดินตามไปอย่างสนใจ
นิดเหลือบดูสรรค์เช่นเดียวกับสรรค์เหลือบดูนิด นิดหันมาคุยกับเสวก นพ และอนงค์ที่มาคอยชื่นชมบารมีวนิดา
“ฮิ ฮิ ฮิ คุณวนิดาพูดจาขันจัง”
“นั่นคำชมแน่นะคะ”
“คำชมจริงแท้แน่นอนครับ” นพบอก
สุวลียิ้มเข้ามากับธนา นิดยิ้มตอบ มีท่านทูตฝรั่งวัย 50 แต่งกายหรูเนี๊ยบเดินผ่านมา สุวลียิ้มหวานร้องทัก
“Your Excellency May I present Miss Wanida,”
“Wanida Sir Thomas Grant.”
เสวกมองสุวลีก็รู้ว่าสุวลีจงใจ อนงค์ นพ มอง สรรค์ บุญมา แก้วขยับมา ลุ้น
นิดยิ้มละไมส่งมือให้ พลางถอนสายบัว ท่านทูตจูมพิตมือ โค้งให้
“Good evening, it’s a great honor to meet you, your Excellency.”
สุวลีหน้าเปลี่ยนสีในทันที สรรค์ บุญมา เสวก นพ อนงค์ทึ่ง ธนามองดูสุวลีอย่างขบขัน
นิดยิ้มหวานให้สุวลีอย่างท้าทาย
ภายในห้องจัดเลี้ยง พระอักษร หลวงไพจิตร และแขกผู้ใหญ่ ๒-๓ คน มองนิดตาเป็นมันชวนพูดคุย พระยาธรรมนูญ พระชาญชลาศัย ธนาและพระยากีรติอยู่ใกล้ ๆ อีกวงหนึ่ง เสวกอยู่กับนิด คอยกันท่านพด้วย
“ฉันชอบเรื่องศกุนตลาของเธอตรงที่เอาเรื่องโบราณ มาทำให้ทันสมัย แต่ก็ยังคงบทกลอนของพระองค์ท่านอยู่” หลวงไพจิตรว่า
“นั่นคือสิ่งที่เราต้องการค่ะ”
“คุณวนิดาทราบไหมครับว่าผมดูเรื่องศกุนตลา ๓ รอบแล้ว”
“งั้นก็น้อยกว่าผม เพราะผมดูมา ๕ รอบแล้ว”
นพทำตาขุ่นใส่เสวก เสวกมองตอบ นิดยิ้ม สองชายรีบยิ้มตอบ พระอักษรเปลี่ยนเรื่องคุย
“พวกเราสุขสงบยังดูหนังดูละครรื่นเริงกันได้ แต่ทางยุโรปกลายเป็นแดนมิคสัญญีไปแล้ว น่าหวั่นใจจริง ๆ”
สุวลีควงสรรค์เดินมารวมกลุ่ม สรรค์พยายามทำเฉย ๆ กับนิด
“สงครามอยู่ตั้งอีกซีกโลก ไกลตัวเหลือเกินไม่เห็นต้องกลัวเลยค่ะ” สุวลีว่า
“นั่นซี” หลวงไพจิตรขานรับ
“แต่ดิฉันขอไม่เห็นด้วยค่ะ”
นิดขัดด้วยรอยยิ้ม สุวลีเลิกคิ้ว
“ยังไงหรือคะ”
“สงครามครั้งนี้ขยายวงกว้างออกไปทุกที่ค่ะ ญี่ปุ่นรุกรานจีนอย่างหนัก รัสเซียเองก็พิพาทกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจะเป็นตัวแปรสำคัญทีเดียวค่ะ”
“นี่เธอคิดว่า เอเชียเราเองก็จะเกิดสงครามไปด้วยหรือ” หลวงไพจิตรถาม
“ค่ะ แม้แต่สยามเองก็อาจต้องเข้าสงครามครั้งนี้ด้วย” นิดพูดอย่างมั่นใจ
พระยากีรติมองอย่างทึ่ง ธนาและพระชาญชลาศัยก็ได้ยิน พระยาธรรมนูญภักดียิ้มบนหน้าที่ทำเฉย ๆ กับนิด สุวลียิ้มพูดอย่างปราม ๆ
“ขออย่าให้เป็นจริงเลยนะคะ เดี๋ยวทุก ๆ ท่านจะไม่ได้ดูละครกัน”
“ใครว่าคะ ยามสงครามนี่ละคะกลับยิ่งสำคัญมากขึ้น”
“ใครจะมีแก่ใจมาดูกันคะ”
“ดูซีครับสุ งานศิลปะไม่ใช่มีแต่เรื่องบันเทิงเริงใจ แต่ยังสามารถให้กำลังใจ ปลุกใจ หรือแม้แต่ถ่ายทอดอุดมการณ์บางอย่างได้ด้วย” สรรค์บอกอย่างเข้าใจ
“คุณสรรค์ พูดเหมือนใจดิฉันค่ะ”
สรรค์ยิ้มให้ นิดยิ้มตอบ สุวลีนิ่งอึ้ง เสวก นพ พระอักษร หลวงไพจิตรพากันทึ่ง พระยากีรติพยักหน้าด้วยแววชื่นชม พระชาญชลาศัยถึงกับอึ้งไป
“ไง คุณพระ วนิดานี่พูดจาเข้าท่าทีเดียวนะ”
“อ้อ หรือครับ ผมไม่ค่อยได้ฟัง”
ธนามองดูสุวลีพลางยิ้มพลางขบขัน สุวลีเชิดหน้าขึ้น เสียงร้องเพลงของนิดดังมา
นิดยืนอยู่บนเวที ร้องเพลง “บัวขาว” ท่อนสุดท้าย เสียงไพเราะเสนาะใสดังไปทั่วห้อง บรรดาเเขกผู้ใหญ่นั่งฟังอยู่ที่โต๊ะ แต่บรรดาแขกรุ่นเล็กยืนออกันชะเง้อชะแง้อยู่รอบฟลอร์
สรรค์ บุญมา แก้ว ยืนอยู่เคียงกัน
“ไม่ยักกะเหมือนที่แม่...เอ๊ย คุณมารศรีร้องนะ”
สรรค์ทำตาดุใส่บุญมา
ที่โต๊ะแขกผู้ใหญ่ พระยากีรติ คุณหญิงบัวผัน ท่านหญิงพิไลเรขา พระยาธรรมนูญภักดี ฟังอย่างประทับใจ แต่พระชาญมองอย่างตั้งแง่ ส่วนบรรดาแขกฝรั่ง แหม่มต่าง ๆ ฟังกันตาแป๋ว เพราะไม่รู้เรื่องแต่ก็รู้ถึงความไพเราะ
นิดร้องเพลงยิ้มแย้มกรายมือเล็กน้อย ส่งไปยังแขกในงาน และมามองดูสรรค์อย่างยั่วเย้า สรรค์ยิ้มตอบสบตากัน แหวนพลอยในมือนิดส่งแสงจ้า
สุวลียืนนิ่งหูดูไม่ได้ยินเสียงใด ๆ นอกจากความโกรธที่วิ่งพล่านอยู่ ธนาก้าวมามองสุวลีแล้วยิ้มด้วยแววสะใจ
นิดร้องจบลงเสียงปรบมือดังกราวสนั่น เพลง “ยังรักยังรอ” ขึ้นต่อทันที
“มีคนขอให้ดิฉันร้องเพลงนี้ ดิฉันขอมอบเพลงนี้ให้กับทุกท่าน และท้าวทุษยันต์ของดิฉัน”
คนอื่นหัวเราะกันคิดว่านิดปล่อยมุข สรรค์นิ่งฟัง นิดขึ้นเพลง เสียงร้องนั้นแผ่วในช่วงแรกแต่ชัดเจนราวกระซิบอยู่ข้างหู เมื่อเพลงดังขึ้นและเต็มไปด้วยอารมณ์ ในวินาทีนั้น แสงไฟในห้องคล้ายมืดมัวลง มีแสงสว่างเพียงนิดและสรรค์ที่มองตากัน นิดร้องเพลงยื่นมือวิงวอนขอร้อง สรรค์เกิดความสะเทือนใจกับเนื้อร้องและการแสดงออก ทั้งคู่สบตากัน ความรู้สึกมากมายหลั่งใหลออกมา แหวนพลอยส่งแสงจ้าเข้าตาสรรค์ สรรค์หลับตาลง
ภาพสั้นๆแวบเข้ามา สรรค์เช็ดน้ำตาให้วนิดา, เสียมเช็ดน้ำตาให้นิด, วนิดาโปรยข้าวให้ไก่, เสียมดูนิดโปรยข้าวให้ไก่, สรรค์สอนวนิดาขับรถ, นิดสอนเสียมพายเรือ
สรรค์สบตานิด ต่างซาบซึ้งกับภาพเหล่านั้น และงุนงงกับภาพที่คล้ายจินตนาการที่แทรกมา นิดร้องเพลงจบลง คนทั้งห้องจัดเลี้ยงปรบมือกึกก้อง สรรค์ปรบมือนิ่งนาน นิดยิ้มแล้วย่อตัวให้เจ้าของงานและคนดู
สุวลีสะบัดเดินออกไปจากห้อง ธนามองตามอย่างขบขัน
งานเลิกรา แขกทั้งหลายทะยอยเดินทางออกจากบริเวณบ้านเนาวรัตน์ พระยากีรติ คุณหญิงบัวผันและเสวกมายืนส่งเเขก พระยากีรติเหนื่อยและอิดโรย พระยาธรรมนูญภักดีกำลังล่ำลา
“ฉันกลับละนะ”
“ขอรับ ขอบพระคุณใต้เท้าอีกครั้ง" พระยากีรติบอก
นิดกับแก้วตามมา พระยาธรรมนูญเดินเฉียดกระซิบ
“คืนนี้คะแนนเต็มร้อย ฉันให้เธอพันนึงเลย”
นิดยิ้มแก้มแทบปริ พระยาธรรมนูญทำหน้าเฉยลงไปขึ้นรถ นิด แก้ว เข้าไปลาเจ้าภาพ
“ขอบใจนะหนู ที่อุตส่าห์มา” พระยากีรติบอก
“ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากกว่าค่ะ”
คุณหญิงบัวผันปลาบปลื้ม
“คุณวนิดา... รูปก็งาม เสียงก็เพราะ จริงไหม ตาเหวก”
นิดขยับมาลาเสวก เสวกยิ้มชื่นชม
“คุณสุวลีละคะ คุณเสวก”
“เห็นว่าปวดศีรษะขึ้นข้างบนไปแล้วครับ”
“ดิฉันลาล่ะค่ะ”
นิดกับแก้วหันมา เห็นสรรค์และบุญมาออกมาพอดี สรรค์ก้าวมาตรงหน้านิด
“วันนี้แทบไม่ได้คุยกันเลย”
“บางทีคำพูดอาจจะไม่สำคัญก็ได้ค่ะ”
สรรค์ยิ้มสบตานิด แต่ทั้งคู่ไม่อาจพูดได้มากกว่านั้น แก้วค้อนสรรค์เลยไปถึงบุญมา
“อ้าว มาทำตาเหลือกกับฉันทำไม”
“คุณน่ะแหละ ตาแหก”
นิดดึงแก้วไป สรรค์กับบุญมามองตาม เสวกมองดูสรรค์หน้าขรึมลง ธนากับนพก้าวมาลาพระยากีรติ พระยากีรติเจื่อนลงเกือบเห็นได้ชัด
“งานใหญ่โตหรูหราครึกครื้นดีนะขอรับใต้เท้า”
“ขอบใจ”
“พรุ่งนี้ผมขออนุญาตมาคุยธุระกับใต้เท้านะครับ”
“มาเถอะ ฉันจะรอ”
พระยากีรติมีแววปลง ธนายิ้มสุภาพ นพยิ้มเยาะพระยากีรติ
ธนาขัยรถเเล่นมาตามถนนในเวลากลางคืน โดยมีนพนั่งเคียงข้าง
“นี่เจ้าสรรค์มันคบหากับวนิดาจริงหรือ” นพถาม
“คงจะจริง ไม่งั้นสุวลีคงไม่จัดงานเพื่อฉีกหน้าวนิดาขนาดนี้”
นพงงไป
“ฉีกหน้าอะไร นี่วนิดากลายเป็นคนในแวดวงสังคมชั้นสูงไปแล้วเพราะงานนี้ ใครต่อใครก็อยากเชิญวนิดาไปเป็นแขกผู้มีเกียรติทั้งนั้น”
“ก็เพราะแผนการของสุวลีล้มไม่เป็นท่าน่ะซี”
ธนายิ้มด้วยแววสะใจ
“นี่ถามจริง ๆ นายไม่เห็นเจ้าสรรค์เป็นศัตรูหัวใจแล้วหรือ”
“ไม่แล้ว”
“ร้านของมันกำลังเจริญรุ่งเรืองน่าจะสั่งสอนมันสักหน่อย”
“ตอนนี้มีคนอื่นที่ฉันอยากสั่งสอนมากกว่านายสรรค์”
ในเวลาเดียวกัน พระชาญชลาศัยและสรรค์เข้ามาจากเทอเรช มารศรีนั่งพลิกดูแมกกาซีนแบบเสื้ออยู่ที่โซฟารีบลุกขึ้นมารับคุณพระที่มีสีหน้าอารมณ์เสีย
“งานสนุกครึกครื้นดีไหมคะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ลองถามเจ้าสรรค์มันดูซี ท่าทางมันสนุกมากนี่”
พระชาญชลาศัยนั่งลงบนโซฟา มารศรีมองดูสรรค์ที่แม้จะกังวลใจเรื่องสุวลีแต่ความชื่นชมวนิดามีมากกว่า บัวเอาน้ำเย็นเข้ามาให้ สรรค์นั่งลง
“คืนนี้ วนิดาเป็นยังไงบ้างคะ”
พระชาญชลาศัยที่จิบน้ำอยู่ชะงัก มองมารศรีตาเขียว
“เธอถามถึงแม่นี่ทำไม”
“อ้าว ก็งานในแวดวงชั้นสูงขนาดนี้ วนิดาเป็นแค่เด็กผู้หญิงการศึกษาก็ต่ำต้อย เป็นแค่พวกเต้นกินรำกิน ดิฉันก็คิดว่าเธอคงไปทำตัวน่าขายหน้าให้พวกผู้ดีดูถูกเอาน่ะซีคะ”
สรรค์จับนัยคำพูดได้ว่ามารศรีกำลังกัดจิกพระชาญชลาศัยอยู่
“ผิดถนัด วนิดาวางตัวได้งดงามเข้ากับทุกคนได้ ฉลาดเฉลียวจนฝรั่งมังค่าออกปากชม”
คุณพระหน้าบึ้งมากขึ้นทุกที
“ยิ่งเมื่อร้องเพลงก็ชนะใจทุกคนจนราบคาบ”
“เฮอะ ฉันขอยอมรับว่านางละครคนนี้ เล่นละครเก่งจริง ถึงได้มาเล่นละครในวงสังคมผู้ดีได้อย่างไม่มีที่ติ”
มารศรียิ้ม สรรค์หน้าตึงขึ้นทันที
“คนบางคนคงไม่เล่นละครตลอดเวลาหรอกครับ”
“ฉันไม่รู้ แต่ไม่ว่ายังไงก็แค่พลอยหุงให้แพรวพรายยังไงก็ไม่ใช่เพชรแท้”
พระชาญชลาศัยตาเขียวลุกพรวดเดินขึ้นชั้นบนไปในทันที มารศรีอมยิ้ม
“นี่ไงคะ วนิดาไม่ได้ชนะใจทุกคนในงานหรอกค่ะ”
“แปลกนะ ฉันรู้สึกเหมือนกับเธอกำลังถือข้างวนิดาอยู่”
มารศรีทำหน้าเฉยเมย
“ดิฉันเป็นคนเต้นกินรำกิน ก็ต้องเข้าข้างคนเต้นกินรำกินด้วยกันซีคะ”
สรรค์มองมารศรีอย่างรู้สึกละอายใจขึ้นมาบ้างที่เคยดูถูกมารศรีเอาไว้ อยากจะขอโทษ แต่เหมือนคำนั้นไม่สามารถจะเอ่ยออกมา
“ฉัน...ฉันขึ้นนอนก่อนล่ะ”
มารศรีหมุนตัวพลิ้วอย่างมีความสุขสมหวัง
“อยากรู้จริง แม่เพชรแท้ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง”
สุวลีเดินลงบันไดมาด้วยสีหน้าเย็นชา ดวงตาแข็งกร้าวด้วยโทสะและเเรงริษยา ที่เชิงบันได วาดและเดือนเดินถือถาดวางถ้วยชามจากงานเลี้ยง กำลังจะเอากลับไปยังเรือนครัว
“ฉันได้ดูวนิดาร้องทุกเพลงเลย” วาดบอก
“แม่คุณเอ๋ย สวยยังกะนางฟ้า” เดือนว่า
วาดกับเดือนหัวเราะคิกคักมองไปเห็นสุวลีก็สะดุ้งรีบลนลานไป สุวลีเชิดหน้าลงมาเห็น พระยากีรติ บัวผัน เสวก เฟื่องและคนสนิทพระยากีรติยืนคุยกันเหมือนจะเตรียมขึ้นมา
“สมใจแกละซีเจ้าเหวก ตามเขาต้อย ๆ” พระยากีรติว่า
“โธ่ เจ้าคุณพ่อ ลูกก็แค่อำนวยความสะดวกเขา”
“วนิดาน่ารักจริง ๆ เรื่องเขากับพ่อสรรค์คงจะไม่จริงหรอก” บัวผันว่า
สุวลีได้ยินก็โกรธตาวาว จวนที่มาช่วยงานถือถาดถ้วยชามผ่านมา สุวลีเอามือปาดผลัก จนล้มลง ถาดถ้วยชามแตกเปรื่อง
“คุณน้อง” จวนเรียก
จวนตัวสั่นน้ำตาปริ่มอยู่ที่พื้น สุวลีตาวาว
“เดินยังไงนังไพร่”
พระยากีรติ เสวก บัวผัน เฟื่อง คนสนิท วาด เดือนหันมาดู
“จวนกำลังเก็บของอยู่ คุณน้องต่างหากเดินยังไง”
เสวกไม่ได้จงใจว่าแต่ต้องการถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สุวลีทนไม่ได้อีกต่อไป ยื่นมือไปปัดแจกันบนไซด์บอร์ดกระเด็นแตกเพล้ง แจกันราชวงศ์หมิงสูงค่าแตกกระจายกับพื้น เสวกมองอย่างตกใจ พระยากีรติอึ้ง คุณหญิงบัวผันไม่พอใจอย่างมาก
“คุณน้อง!” เสวกเรียก
“นี่ลูกทำอะไร” คุณหญิงบัวผันถาม
“สุต่างหากค่ะที่ต้องถามว่าทุกคนเป็นอะไรถึงได้ยกย่องเชิดชูนังละครชั้นต่ำคนนั้นนัก”
ทุกคนนิ่งอึ้ง แต่ก็ถึงบางอ้อ
“รู้อยู่ว่ามันมาตอแยกับสรรค์ มันมาเป็นมารหัวใจสุ มันมาเล่นละครตบตาทุกคน เสแสร้งทำเป็นแสนดี ทุกคนก็ยังไม่มีตาไปสรรเสริญเยินยอมันอีก”
“เสวกแม่รักน้อง แต่ทนไม่ได้”
“แปลกจริง แต่พี่กลับเห็นนางละครอีกคนที่เลิกเสแสร้งทำเป็นแสนดี กำลังเต้นเร่า ๆ อยู่”
“คุณพี่ นี่หน้ามืดตามัวเอาน้องไปเทียบกับมันเชียวหรือคะ”
“สุวลี พอได้แล้วลูก”
“ไม่ค่ะ ทุกคนตำหนิลูก แต่ไปยกย่องมัน ลูกอยากรู้นักว่าทุกคนเป็นอะไรไปหมด”
พระยากีรติก้าวเข้ามา โกรธจนตัวสั่น ดวงตาปวดร้าว
“ฉันต่างหากที่ต้องถามเธอว่า เธอเป็นอะไรไป วันนี้ควรจะเป็นวันมงคลของฉัน แต่ฉันกลับพบว่าเธอไม่ได้จัดงานนี้ให้ฉัน เธอจัดงานขึ้นเพื่อฉีกหน้าวนิดา แต่มันกลับไม่เป็นไปตามที่เธอต้องการ เธอก็เลยมาฟาดงวงฟาดงาทำลายข้าวของพังพินาศขนาดนี้”
สุวลีหน้าซีด เสวกและบัวผันเพิ่งรู้ เฟื่องก้าวไปยืนหนุนสุวลี
สุวลีทำโกรธกลบเกลื่อน พูดประชด
“สุขอโทษค่ะที่ทำของรักของหวงเจ้าคุณพ่อแตก แต่มันก็ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรไม่ใช่หรือ”
“ของนั่น...พอจะเป็นค่าเงินเดือนคนใช้ในบ้านเราได้ทั้งเดือน” พระยากีรติพูดอย่างเจ็บปวด
สุวลี เสวกงง คุณหญิงบัวผันเกาะแขนพระยากีรติพยักหน้าว่าพูดก็ดี
“เจ้าคุณพ่อพูดอะไรคะ”
“ตอนนี้บ้านเรากำลังขายสมบัติเก่ากินไปวัน ๆ ตอนนี้บ้านเรามีแต่เปลือก แทบไม่มีเงินเหลือให้แก ๒ คนผลาญอีกต่อไปแล้ว”
สุวลีผงะ เสวกเซไปเกาะโซฟา สุวลีมองพ่อและแม่แล้วถอยกรูดแล้ววิ่งขึ้นบันไดไป เฟื่องรีบตามไป
พระยากีรติทรุดลงบนเก้าอี้ คุณหญิงมองดูเป็นห่วงมาก เสวกคุกเข่าลงหน้าพ่อ
“เจ้าคุณพ่อ ผมไม่ทราบเลย ทำไมไม่บอกผมซักนิด ผมจะได้ไม่ทำตัวโง่ ๆ แบบนี้”
เสวกน้ำตาไหล พระยากีรติฝืนยิ้ม
สุวลีเซซังเข้ามาในห้องนอนราวนกปีกหัก ทุ่มตัวลงบนเตียง หน้าซบลงกับที่นอน มือกำแน่น ดวงหน้าซีดขาว แต่ดวงตากลับไม่ยอมรับความจริง
“ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง นี่ไม่ใช่ความจริง”
สุวลี กีรติขจร ทั้งปวดร้าว ทั้งผิดหวังและอับอาย เหมือนนางฟ้าตกมาจากสวรรค์ลงมานอนกองกับพื้นดินโคลน
จบตอนที่ ๒๔
หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง
๑ เอตติเคต - Ettiquette แปลว่า มารยาทสังคม สมบัติผู้ดี