คอลัมน์ Good Morning News วันที่ 14พฤษภาคม 2555
โดย วรวรรณ ธาราภูมิ
และทีมจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง
เศรษฐกิจโลก
• สเปนเสนอแผนการสะสางปัญหาในภาคธนาคารและปฏิรูประบบการเงิน เช่น ให้ธนาคารแยกหนี้เสียในภาคอสังหาริมทรัพย์ไปไว้ภายใต้บริษัทโฮลดิ้ง และจะนำหนี้เสียดังกล่าวออกขายในภายหลัง รวมทั้งกำหนดให้ธนาคารกันสำรองเพิ่มอีก 3.5 หมื่นล้านยูโร (เพิ่มขึ้นจาก 5.4 หมื่นล้านยูโร) เพื่อชดเชยหนี้คุณภาพดีในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งจะจ้างผู้ตรวจสอบบัญชีมาประเมินสินทรัพย์ทั้งหมดของธนาคาร
• คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ระบุว่า ถ้าสเปนต้องการบรรลุเป้าหมายลดยอดขาดดุลสู่ 5.3% ในปีนี้จาก 8.5% ในปีที่แล้ว และลดลงสู่ 3% ในปีหน้า สเปนจะต้องอนุมัติการลดงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรทางการเงิน
ทั้งนี้ EC ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ของสเปนลง โดยคาดว่าจะติดลบ 1.8% ในปีนี้ และหดตัวลงอีก 0.3% ในปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนโดยรวมจะขยายตัว 1% ในปี 2013 หลังจากที่คาดว่าจะหดตัวลง 0.3% ในปี 2012
• เยอรมนีเตือนกรีซว่าประเทศต่างๆ ในยุโรปจะให้ความช่วยเหลือต่อถ้ากรีซปฏิบัติตามเงื่อนไขในมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ทั้งนี้ กลุ่มผู้ปล่อยกู้ของกรีซต้องการรายงานเชิงบวกเกี่ยวกับความคืบหน้าในการปฏิรูปของกรีซ ก่อนที่จะเบิกจ่ายเงินช่วยเหลืองวดที่ 2 ราว 4 พันล้านยูโรในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน
• กรีซอาจต้องจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนมิถุนายนนี้ หลังพรรคสังคมนิยม หรือ PASOK ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคฝ่ายซ้ายหรือ SYRIZA ได้ เนื่องจากความคิดเห็นที่แตกต่างของแต่ละพรรคการเมืองเกี่ยวกับมาตรการรัดเข็มขัดที่กรีซได้ดำเนินการตามที่รับปากกับสหภาพยุโรป
ทั้งนี้ ประธานาธิบดี คาโรลอส ปาปูลิอัส ได้ขอให้ทุกพรรคร่วมมือกับพรรคอนุรักษนิยม หรือพรรค New Democracy ที่ชนะการเลือกตั้ง เพื่อจัดตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมา
• สหภาพยุโรป (EU) ลดประมาณการ GDP ยูโรโซนปีนี้จากที่คาดว่าจะขยาย 0.5% เป็นติดลบ 0.3% และปีหน้าจากที่คาดว่าจะขยายตัว 1.8% เป็นขยายตัว 1.0% หลังจากมองว่าวิกฤตหนี้ยุโรปจะกดดันให้ประเทศในยูโรโซนต้องลดงบประมาณรายจ่ายลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ว่างงานเพิ่มขึ้น
• ประธานาธิบดี บารัค โอบามา กดดันคองเกรสให้ทำ “สิ่งที่ต้องทำ" เพื่อสร้างงานและช่วยฟื้นความมั่นคงทางเศรษฐกิจสำหรับชนชั้นกลาง เช่น ยุติการลดหย่อนภาษีแก่บริษัทที่มีการจ้างงานในต่างประเทศ หรือช่วยให้เจ้าของบ้านรีไฟแนนซ์เงินกู้จำนองได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง รวมทั้งเรียกร้องให้ขยายเครดิตภาษีในปัจจุบันแก่บริษัทพลังงานสะอาดเพื่อหนุนการสร้างงานและลดการพึ่งพาน้ำมันต่างประเทศ และช่วยเหลือทหารผ่านศึกโดยการจัดตั้งบริษัทจ้างงานทหารผ่านศึก
• เบน เบอร์นันเก้ ย้ำว่าระบบธนาคารสหรัฐฯ มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงิน โดยเงินกองทุนและสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์มีความแข็งแกร่ง แต่การปล่อยกู้จำนองบ้านยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว
แต่การจะกลับไปใช้มาตรฐานการปล่อยกู้แบบเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตปี 2007-2009 ก็ไม่เหมาะสม ขณะที่การปล่อยกู้ในปัจจุบันก็ตั้งเงื่อนไขที่เข้มงวดมากจนกลายเป็นการสกัดกั้นการปล่อยกู้
• สหรัฐฯ เกินดุลครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี โดยรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นขณะที่งบประมาณรายจ่ายลดลง โดยเดือนเมษายนเกินดุลงบประมาณ 59.1 พันล้านดอลลาร์ จากที่ขาดดุล 40.4 พันล้านดอลลาร์ในเดือนเดียวกันปีก่อน และมีแนวโน้มเกินดุลมากขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจและการจ้างงานขยายตัว
• เฟรดดี้แมครายงานว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจำนองอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ อายุ 30 ปีลดลงมาอยู่ที่ 3.83% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้มีความหวังว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มจะมีเสถียรภาพแล้ว ขณะที่อัตราดอกเบี้ยจำนองระยะ 15 ปีลดลงมาอยู่ที่ 3.05% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์จาก 3.07% ในสัปดาห์ก่อนหน้า
เศรษฐกิจเอเชีย
• ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) แก้กฎการบริหารสินทรัพย์สกุลเงินต่างชาติใหม่โดยให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยและสภาพคล่องมากยิ่งขึ้น โดยจะจำกัดการถือครองสินทรัพย์ต่างชาติของ BOJ ไว้เพียงแค่เงินฝากในธนาคารกลางต่างประเทศ และหลักทรัพย์ที่ออกโดยรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลของประเทศสำคัญในยุโรป
• BOJ สัญญาว่า ในกรณีฉุกเฉินจะใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศแก้ปัญหาตลาดเงินตลาดทุนของโลกร่วมกับองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ โดยในเดือนเมษายนทุนสำรองฯ ของญี่ปุ่นอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้ญี่ปุ่นมีทุนสำรองฯ มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากจีน ซึ่งมี 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนมีนาคม
• ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ เตรียมเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) แบบไตรภาคีภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาทางเศรษฐกิจฉบับแรกระหว่าง 3 ประเทศ เพื่อช่วยเพิ่มการค้าและการลงทุนที่ 3 ชาติรวมกันคิดเป็น 20% ของ GDP โลก ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้ GDP ของญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 0.3%, 0.4% และ 2.8% ตามลำดับ
• ธนาคารกลางจีนจะลดสัดส่วนกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 0.5% ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคมนี้ โดยเป็นการลดครั้งที่ 2 ในปีนี้ ส่งผลให้ RRR ของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของจีนลดลงมาอยู่ที่ 20% ขณะที่สถาบันการเงินขนาดกลางถึงขนาดเล็กอยู่ที่ 16.5%
ทั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อปล่อยสภาพคล่องเข้าสู่ระบบในขณะที่เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณชะลอตัว ซึ่งคาดว่าจะช่วยอัดฉีดเงินทุนเข้าสู่ตลาดได้ประมาณ 4 แสนล้านหยวน (6.349 หมื่นล้านดอลลาร์)
• ผลผลิตภาคโรงงานของจีนเพิ่มขึ้น 9.3% ในเดือนเมษายน หลังจากเพิ่มขึ้น 11.9% ในเดือนมีนาคม ซึ่งต่ำกว่าที่คาดเป็นอย่างมาก เนื่องจากความต้องการสินค้าและบริการชะลอตัวลงทั้งในจีนและต่างประเทศ ส่งผลลบต่อการเติบโตทางการผลิต
นอกจากนี้ ยอดค้าปลีกยังเติบโตขึ้น 14.1% ในเดือนก่อนซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ 15.2% ทำให้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนกำลังชะลอตัวลงตามที่จีนต้องการ และจะเน้นกระตุ้นการบริโภคภายในโดยลดการพึ่งพาการส่งออกและอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะ
• สิงคโปร์เห็นความสำคัญของการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับเกาหลีเหนือ โดยประธานาธิบดี โทนี ตัน เค็ง ยัม ของสิงคโปร์ ได้พบกับนายคิม ยอง นัม ประธานรัฐสภาเกาหลีเหนือ เพื่อแสดงความยินดีที่เกาหลีเหนือสร้างความเชื่อมั่นกับสิงคโปร์และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และให้ความสำคัญต่อการขยายและพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสองประเทศ
• อิหร่านอยู่ระหว่างติดตามแผนการพัฒนาด้านไฟฟ้าและพลังงานจำนวนมากนอกประเทศ เพื่อก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการจัดส่งพลังงานของภูมิภาค โดยเครือข่ายกระแสไฟฟ้าของอิหร่านครอบคลุมกระแสไฟฟ้าของเพื่อนบ้าน 7 ประเทศ ได้แก่ อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อิรัก ตุรกี อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน และเติร์กเมนิสถาน
ทั้งนี้ บริษัทอะตอมสทรอยเอ็กซ์พอร์ตของรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่กำลังจะแล้วเสร็จของอิหร่าน จะเริ่มดำเนินการเต็มศักยภาพตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม ซึ่งป็นโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แห่งแรกในอิหร่าน
• ธปท.เพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2555-2556 โดยเพิ่ม GDP ปีนี้เป็น 6% จากที่คาดครั้งก่อนที่ 4.9% และปี 2556 เป็น 5.8% จากเดิมที่คาดไว้ 5.6% อันเป็นผลจากฐานในปีก่อนต่ำ และเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวสู่ภาวะปกติได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี ซึ่งเร็วกว่าที่คาด
• ธปท.เพิ่มประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปีนี้และปีหน้าเป็น 2.5% และ 2.1% ตามลำดับ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็น 3.5% ทั้ง 2 ปี เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในทุกด้าน โดยเฉพาะอุปสงค์ที่ปรับขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
• นายกรัฐมนตรีเชื่อว่า ราคาสินค้าที่สูงขึ้นจะเริ่มปรับตัวลงในไตรมาส 3 และกลับสู่ภาวะปกติในไตรมาส 4 ซึ่งรัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาด้วยมาตรการของกระทรวงพาณิชย์เป็นหลัก เช่น เปิดทางเลือกในการซื้อสินค้าทางร้านถูกใจ ร้านธงฟ้า รวมทั้งนำอาหารปรุงสำเร็จเข้ามาอยู่ในรายการสินค้าควบคุม ขณะเดียวกัน จะดูต้นทุนสินค้าตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง จนถึงปลายทาง
Equity Market
• ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค มียอดขาดทุนด้านเทรดดิ้งอย่างน้อย 2 พันล้านดอลลาร์จากแผนการทำประกันความเสี่ยงที่ล้มเหลว ทั้งนี้ เจมี ไดมอน CEO ของเจพีมอร์แกนยอมรับว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข่าวในวอลล์สตรีท เจอร์นัล ที่ระบุว่าเทรดเดอร์คนหนึ่งซึ่งมีสมญานามว่า “ปลาวาฬแห่งลอนดอน” มีสถานะการลงทุนสูงผิดปกติ
ทั้งนี้ ฟิทช์ เรทติ้งส์ได้ปรับลดอันดับเครดิตระยะยาวของเจพีมอร์แกน เชส สู่ระดับ A+ จาก AA- จากความเสี่ยงด้านชื่อเสียงและความบกพร่องในการกำกับดูแลความเสี่ยง
• SET Index วันศุกร์ปิดที่ 1,191.01 จุด เพิ่มขึ้น 0.36 จุด หรือ 0.03% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 37,699 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,130 ล้านบาท
ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยกดดันบรรยากาศการลงทุนจากความกังวลในปัญหาการเมืองของกรีซและวิกฤตหนี้ในแถบยุโรป รวมทั้งยังหมดช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทฯ จดทะเบียนไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายตลาดมีแรงเข้าซื้อดีขึ้นจากข่าวที่แบงก์ชาติเพิ่มประมาณการณ์ GDP
Fixed Income Market
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยเปลี่ยนแปลงอยู่ในช่วง -0.01 ถึง 0.03% โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรช่วงอายุ 1 เดือน ถึง 3 ปี ปรับลดลง -0.01 ถึง 0.00% และช่วงอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป +0.00 ถึง +0.03%
Gold Corner
• ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส ชี้ว่า ในภาพรวมราคาทองคำยังไม่เป็นขาลงอย่างชัดเจน เนื่องจากติดแนวรับสำคัญที่ 1,580 เหรียญ/ออนซ์ โดยปัจจัยกดดันมาจากความไม่แน่นอนของการจัดตั้งรัฐบาลในกรีซ หลังจากพรรคการเมืองที่มีคะแนนมาอันดับ 1 ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
นอกจากนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรของสเปนยังปรับตัวเพิ่มขึ้น สร้างความกดดันถึงภาพรวมเศรษฐกิจในยุโรปอีกทาง ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันจิตวิทยาการลงทุนในสินทรัพย์ทองคำช่วงนี้
