xs
xsm
sm
md
lg

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 12

ญาณินรีบเดินจ้ำๆ หนีมา
 
“หนูญาณินๆ อย่าเดินหนีแบบนี้ เจ้าติณห์มันคงถูกยัยปากแดงยั่วยวนจนแยกแยะดีชั่วไม่ออก หนูคนเดียวที่จะช่วยมันได้หรือหนูจะปล่อยให้มันเสร็จนังปากแดง ไม่ได้นะ ชั้นไม่ยอม”
ญาณินไม่ได้ยินที่หลวงพิชัยภักดีพูด เดินจ้ำไป อีกด้านหนึ่งป้าอรวรรณวิ่งสวนเข้ามาหาญาณินพอดี
“คุณหนู หายไปไหนมาค่ะ ป้าเป็นห่วงแทบแย่ แฮ่กๆ” ป้าอรวรรณเปิดกล่องข้าว
“นี่ค่ะๆ อาหารเที่ยง” แต่พอป้าอรวรรณหันมองอีกที ญาณินก็เดินไปไกลแล้ว
“อ้าว คุณหนูๆ จะรีบไปไหนคะ เดี๋ยวๆ”
ญาณินเดินผ่านไป ไม่สนใจป้าอรวรรณ
“ใช่สิ เค้ามีเจ้าของอยู่แล้ว ชั้นก็รู้อยู่แก่ใจ แล้วจะมาเพิ่งเจ็บปวดทำไม เวลานี้ เราไม่มีสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์...”
“เป็นอะไรอีกแล้วเนี่ย”
“ไม่ต้องกลุ้มใจ ยังไงชั้นก็จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยให้ได้”
ป้าอรวรรณยืนถอนใจข้างๆ หลวงพิชัยภักดี แล้วสักพักก็รู้สึกขนลุกวาบๆ ตะหงิดๆ เริ่มระแวงๆ มองซ้ายมองขวา แล้วรีบเดินหนีไป
“เฮ้อ”

ที่ห้องทีวีวงจรปิดของโรงละคร ภาพในวงจรปิดเห็นแต่ภาพคนร้ายแต่ไม่เห็นหน้าตาเลย
“ไอ้นี่เหรอคนร้าย ทำไมหน้าดำเชียว”
“มันใส่หมวกปิดฮู้ดหน้าอยู่”
“แบบนี้เราจะไปรู้ได้ยังไงว่าไอ้คนที่ฟันผมคือใคร”
“มันจะต้องเป็นคนๆ เดียวกับที่เคยทำร้ายน้องออนซ์แน่ๆ เลยครับคุณปาณัท ใช้วิธีรัดคอแบบเดียวกันเลย”
ปาณัทหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะ กดโทรออก
“คุณปาณัทจะโทรหาใครครับ”
“ผมจะแจ้งผู้กองณัฐเดช มันอาจเกี่ยวข้องกับคดีการตายของใบหม่อนก็ได้”
หมอวรวรรธรีบมากดตัดสาย
“อย่าโทรครับ ออ่อ คือดี๋ยวผู้กองณัฐเดชก็จะมาอยู่แล้ว ค่อยแจ้งทีเดียวเลยก็ได้ครับ”
แองเจโล่คิดอะไรขึ้นมาได้
“ฮ้า”
มาริโอ้ สะดุ้ง
“เฮ้ย เป็นอะไร ร้องทำไม”
“ฉันรู้แล้วว่าเป็นฝีมือใคร”
“ใคร”
“ใบหม่อน”
“ใบหม่อน?”
“ไปกันใหญ่แล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับใบหม่อนหรอก เราทุกคนก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นคน หัวผมถึงโดนอัดน่วมอยู่นี่ไง” ปาณัทบอก
“คนแน่ๆ ครับ และหมัดหนักมากด้วย ผมยืนยันอีกคน” หมอวรวรรธบอก
“หรือว่า ใบหม่อนจะเข้าสิงคน แล้วก็มาฆ่าน้องเนตร ต้องใช่แน่ๆ มันถึงได้จับเนื้อต้องตัวพวกเราได้” มาริโอ้บอก
“ยิ่งถ้าเหตุผลนี้ยิ่งไม่ใช่แน่ๆ” ปาณัทบอกอย่างมั่นใจ
“เพราะอะไรครับ คุณปาณัทถึงได้แน่ใจขนาดนี้”
“ก็ เอ่อ ก็ผมรู้จักใบหม่อนดีกว่าใคร”
สองแฝดมองหน้ากัน
“เชื่อผมเถอะ คนร้ายเป็นคน ไม่เกี่ยวกับใบหม่อน” ทุกคนเงียบ หมอวรวรรธนึกขึ้นได้ มองหาเนตรศิตางศุ์ แต่ไม่เจอ “เนตร เนตรอยู่ไหน”

ขณะนั้นเนตรสิตางศุ์หลบมานั่งคุยอยู่กับใบหม่อนสองคน
“ฉันขอโทษนะเนตรสิตางศุ์ ที่ทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณใบหม่อน...เนตรตัดสินใจช่วยคุณแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เนตรก็จะไม่ยอมแพ้”
ใบหม่อนโอบไหล่เนตรศิตางศุ์
“เก่งมาก ชั้นขอบใจเธอมากนะ ชั้นมั่นใจว่ามันต้องเป็นคนเดียวกับที่ฆ่าชั้นแน่ๆ”
“เนตรเห็นด้วยค่ะ”
“คราวหน้าเธอต้องระวังตัวให้มากกว่านี้นะ ชั้นอาจจะช่วยเธอไม่ทันเหมือนคราวนี้ก็ได้ เธอคงต้องให้คุณหมอนั่นประกบเธอตลอด ดูเขาชอบเธอมากนะ”
ใบหน้าเนตรศิตางศุ์เศร้าลง อดสงสารตัวเองไม่ได้ที่เกือบตายแต่กลับกลายเป็นว่าคนที่เธออยากให้อยู่เคียงข้างกลับไม่อยู่

หมอวรวรรธตามหาเนตรศิตางศุ์มาตามทางด้วยท่าทางร้อนใจ เดินมาจนถึงบันไดที่เนตรศิตางศุ์อยู่ ทีแรกเดินผ่านไปไม่สนใจ แต่แล้วก็ชะงักหันกลับมามองอีกที พบว่าเนตรศิตางศุ์นั่งกอดเข่าหลบมุมอยู่ด้านหนึ่ง หมอวรวรรธรีบเดินเข้าไปหา
“เนตร มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียวครับ” เนตรศิตางศุ์ลุก มองหน้าหมอวรวรรธ ไม่ตอบคำถาม จะเดินไป
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
“เด็กน้อยอย่างคุณโกหกไม่เนียนหรอก ไม่พอใจอะไรใคร บอกผมได้นะ”
“เปล่าค่ะ”
เนตรศิตางศุ์จะเดินไป แต่หมอวรวรรธขวางเอาไว้
“โกรธผมเหรอ” เนตรศิตางศุ์เงียบ
“พูดออกมาเถอะ”
“คุณหมอทราบไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเนตรบ้าง เนตรถูกเชือกรัดคอจนเกือบตาย เนตรหายใจไม่ออก พี่มาริโอ้ก็ช่วยจนตัวเองโดนแทงเลือดไหล ตอนนี้เนตรก็ยังเจ็บคอและหายใจไม่สะดวก กลืนน้ำลายแทบไม่ไหว”
หมอวรวรรธจะเข้าไปดูอาการเนตรศิตางศุ์ แต่เนตรศิตางศุ์หลบแล้วเดินผละจากหมอวรวรรธออกมา
“ผมขอโทษที่ไม่ดูแลคุณ”
หมอวรวรรธรีบเดินตามเนตรศิตางศุ์ไป
“หัดเข้าใจผู้หญิงบ้างคุณหมอ ไม่ใช่เอาแต่ผ่าศพ”

ใบหม่อนบอกขณะมองตามเนตรศิตางศุ์และหมอวรวรรธ

 
หมอวรวรรธเดินตามเนตรศิตางศุ์ออกมา พยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น
 
“คุณคิดว่าที่ผมวิ่งไล่ตามจับคนร้าย เพราะอะไร เพราะผมเจ๋งเหรอ ผมชกกะใครเป็นที่ไหน” หมอวรวรรธชี้ให้ดูแผล
“แผลนี้ นี้ แล้วก็ตรงนี้ ก็เพราะผมเป็นห่วงคุณนั่นแหละ แล้วคุณยังจะงอนผมอีกเหรอ” เนตรศิตางศุ์ยังคงเงียบไม่ตอบ เดินต่อไป
“ผมขอโทษ ผมจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ดีกันนะ”
เนตรศิตางศุ์หยุดเดิน
“ถ้าไม่แน่ใจ หมออย่ามาสัญญาอะไรเรื่อยเปื่อยนะคะ”
“แน่ใจสิครับ” หมอวรวรรธยกนิ้วก้อยให้ “กรุ้ง กริ๊งๆ”
เนตรศิตางศุ์อมยิ้ม
“ก็ได้ค่ะ คุณหมอตาหนู”
“เฮ้ย ใครอนุญาตให้คุณเรียกชื่อนั้น”
“คุณหมอตาหนู ฮะๆ”
“ยังไม่หยุดอีก”
“ทำตัวซะฮาร์ดคอร์ ขี่มอเตอร์ไซค์คันเบ้อเริ่ม แต่ชื่อคุณหมอตาหนู”
“หยุดล้อเลียนผมนะ”
เนตรศิตางศุ์ล้อเลียนอย่างสนุกสนาน หมอวรวรรธพยายามจะปิดปาก วิ่งไล่ จนกระทั่งหมอวรวรรธจับตัวเนตรศิตางศุ์เอาไว้ได้ ทั้งคู่ใกล้ชิดกัน สบตากัน หวานๆ แต่แล้วอยู่ๆ พวกวิญญาณเร่ร่อนที่ตามหมอวรวรรธอยู่ ก็ปรากฏขึ้นมาเป็นรัศมี ล้อมรอบหมอวรวรรธไว้ เนตรศิตางศุ์ผงะร้องออกมา
“ว้ายๆ”
เนตรศิตางศุ์ผละออก ปิดตา ถอยลนลาน รีบหยิบแว่นตาขึ้นมาสวม
“ยังไม่ชินความหล่อผมอีกเหรอ”
“ไม่ใช่ความหล่อ แต่...” เนตรศิตางศุ์ทำมือใบ้ให้รู้ว่า หมายถึงผีรอบๆ ตัวหมอวรวรรธ
หมอวรวรรธรู้ว่าหมายถึงผี มองรอบๆ ตัวเอง ถึงไม่เห็น แต่ก็อดสยองไม่ได้

ญาณินกำลังคุมคนงานทำงานอยู่ที่ไซต์งานด้วยท่าทางหงุดหงิด เตะฝุ่นเตะหินไปตามเรื่อง อยู่ๆ มีเสียงหัวเราะคิกคักดังมา ญาณินมองไปก็เห็นเพ็ญนภากับติณห์กำลังวิ่งไล่จับกันอยู่ เพ็ญนภาวิ่งหนีไปเกาะต้นไม้นั้นที ต้นนี้ที ราวกับหนังแขก
“เก่งจริงก็จับให้ได้สิคะ”
“จับได้เมื่อไหร่ ผมจะหอมคุณให้เข็ดเลย”
เพ็ญนภาวี้ดว้าย คิกคัก วิ่งวนมาใกล้ๆ ที่ญาณินทำงานอยู่ พวกคนงานต่างชะงัก ยืนมองกันงงๆ แต่ติณห์กับเพ็ญนภาก็ไม่ได้แคร์สายตาใคร
“นี่ คุณไปเล่นกันที่อื่นได้มั้ย”
ญาณินบอกแต่เพ็ญนภายังวิ่งวนรอบญาณิน เอาญาณินเป็นกำบัง
“ว้ายๆอย่าเข้ามานะ คุณนินช่วยด้วย”
ญาณินทนไม่ได้ เข้ามาขวาง ผลักอกติณห์
“หยุด”
“อะไรของคุณ ผลักผมทำไม”
“คุณเล่นอะไรกัน คนกำลังทำงานอยู่ไม่เห็นหรือไง”
“คุณนินจะซีเรียสอะไรกันคะ มีนายจ้างร่าเริงแบบนี้ไม่ชอบเหรอ อยากมีนายจ้างโหดๆ เหี้ยมๆ หรือไง”
“คุณอยากให้รีสอร์ทเปิดได้ทันตามกำหนดเดิมหรือเปล่าล่ะ ถ้าอยาก ก็อย่ามากวนการทำงานของชั้น”
ติณห์เข้ากอดเพ็ญนภา ไม่ได้สนใจที่ญาณินพูดเลย
“ฮั่นแน่ จับได้แล้ว”
“ว้าย ขี้โกง”
“มาให้ผมหอมซะดีๆ”
ติณห์กำลังจะหอมเพ็ญนภาให้ได้ แต่อยู่ๆ ป้าอรวรรณเดินเข้ามา
“บัดสีบัดเถลิง กลางวันแสกๆ จะทำอะไรกัน ก็ช่วยหัดอายผีสางเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขาบ้างได้มั้ยคะคุณติณห์”
“โนๆ มัวแต่อาย ก็ขายไม่ออกพอดี”
“นี่คุณว่าป้าเหรอ”
“ดาร์ลิ้งงงง มามะ Come to me baby...”
ติณห์จะหอมแก้มเพ็ญนภา ญาณินเบือนหน้าหนี ญาณินหันไปมองป้าอรวรรณก็เห็นป้าอรวรรณยืนหน้ามึนอยู่ เลยหันไปมองติณห์ ญาณินเห็นติณห์ยื่นหน้าจะหอมเพ็ญนภาแต่กลับหอมไม่ได้เหมือนมีอะไรบางอย่างดึงหัวจากด้านหลังเอาไว้ ติณห์ได้แต่พยายามยื่นปากจะจุ๊บให้ได้ แต่ยังไงปากก็ไม่ถึงแก้มเพ็ญนภาซะที
“จุ๊บๆ”
หลวงพิชัยภักดียืนจิกหัวติณห์จากด้านหลังอยู่
“ชั้นไม่ให้แกเสียปากกับนังปากแดงหรอก”
“เอ้า จะจุ๊ฟก็อย่าเล่นสิคะ เร็วๆ เพนนีอาย อ่ะๆ ทำเป็นรอให้เพนนียื่นแก้มเข้าไปหาใช่มั้ยล่ะ ก็ได้ๆ”
เพ็ญนภาจะยื่นแก้มเข้าไปหา แต่อยู่ๆ กุมาริกาก็โผล่มา
“โกลเด้นท์เบบี้มาแล้ว”
กุมาริกาดึงหัวเพ็ญนภาจากด้านหลังเช่นกัน ทั้งเพ็ญนภาและติณห์ต่างพยายามสุดฤทธิ์ แต่ก็เข้ามาจุ๊บกันไม่สำเร็จ ญาณินได้แต่สะเทือนใจ ป้าอรวรรณมองงงๆ มึนๆ แล้วรีบดึงญาณินออกไปจากบริเวณนั้น
“อย่าอยู่เลยคุณหนู ไปก่อนดีกว่า เอ้า ทำงานต่อสินค้า หนุ่มๆ ทั้งหลาย”
ป้าอรวรรณหันไปบอกคนงาน

หมอวรวรรธมีสีหน้าขัดใจ
“สรุปว่า วิญญาณของศพไม่มีญาติที่ผมชันสูตร ตามผมอยู่ มีกี่ท่าน”
หมอวรวรรธถามแต่มือสั่นด้วยความกลัว
“หมอไม่ต้องกลัวนะคะ” เนตรศิตางศุ์จับมือหมอวรวรรธให้นิ่ง “พวกเค้าไม่ทำร้ายอะไรหมอหรอกค่ะ แค่พวกเค้าไม่มีที่ไป”
“นั่นแหละๆ แล้วอยู่หลังผม อยู่ทั้งหมด กี่ท่าน”
“ไม่ถึงโหลค่ะ”

“เอื้อก” หมอวรวรรธกลืนน้ำลาย

 
“พวกเค้าก็ไม่อยากจะอยู่แบบนี้หรอกค่ะ ทุกคนก็อยากไปสู่สุคติ หรือที่เค้าชอบพูดกันว่า...ไปที่ชอบๆ...แต่คนเราเลือกที่จะตายแบบไหนไม่ได้นี่คะ กฏหมายของโลกมนุษย์เรามีการอภัยโทษ หรือนิรโทษกรรมคดีต่างๆ ได้ แต่กฏแห่งกรรม ใครทำอะไร ต้องได้สิ่งนั้นแน่ๆ ต่อรองไม่ได้ค่ะ กรรมแก้ไม่ได้ นอกจากไม่ทำกรรมซะแต่แรก ก็เป็นผลจากกรรมที่พวกเค้าทำกันมานั่นเอง พวกเค้าช่วยตัวเองไม่ได้ อยากไป ก็ไปไม่ได้ ดังนั้นหมอตาหนูทำงานอยู่กับศพอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้อย่าปอดสิคะ”
 
“แล้วตอนนี้คุณเห็นมั้ย”
“ไม่ค่ะ แว่นอันนี้ มีอาคมของแม่หมอสุคนธรส ช่วยสะกดเซ้นส์ของเนตรไว้ เนตรเลยมองไม่เห็นวิญญาณค่ะ”
“แล้วทำไม เดี๋ยวคุณก็เห็น เดี๋ยวก็ไม่เห็นล่ะ”
“เซ้นส์ของเนตรจะแรงหรืออ่อน ขึ้นอยู่กับพระจันทร์ค่ะ ถ้าเป็นคืนเดือนหงาย เซ้นส์ก็จะแรงมาก มองเห็นวิญญาณทั่วไปหมด แล้วเซ้นส์ก็จะอ่อนลงไปเรื่อยๆ จนถึงคืนเดือนดับที่แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย...มันก็จะวนเวียนแบบนี้ไปค่ะ เนตรถึงต้องพกแว่นอันนี้ติดตัวตลอดเวลาไงคะ”
“แปลว่า คุณต้องใส่แว่นดำนี่ เป็นส่วนใหญ่ที่เราอยู่ด้วยกัน”
“ก็เนตรกลัวนี่คะ”
“ยังงี้ผมก็มองไม่เห็นตาคุณน่ะสิ ไม่ยุติธรรมเลย”
“ช่วยไม่ได้”
“มันไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่าใส่แว่นดำแล้วเหรอ”
“จริงๆ มันก็มีวิธีค่ะ เนตรเคยปรึกษายัยรส แล้วยัยรสก็ให้ของขลังมาอย่างนึง บอกให้เอามาให้หมอ แล้วเนตรก็จะมองไม่เห็นวิญญาณรอบๆ ตัวหมออีก แต่ แต่เนตรไม่แน่ใจว่าหมอจะโอเคมั้ย”
“โอเค ผมโอเคทุกอย่าง อะไร เอามาเลย”
“นี่ค่ะ” เนตรศิตางศุ์ล้วงหยิบสายรัดข้อมือลายแพนด้าหวานแหว๋วออกมา
“หา”
“ยัยรสปลุกเสกให้แล้ว แค่หมอสวมสายรัดข้อมือนี้ไว้ เนตรก็จะมองหน้าหมอได้โดยไม่ต้องใส่แว่นอีกต่อไป”
“คุณดูลุคผม แล้วจะให้ใส่ลายหมีแพนด้าเนี่ยนะ ไม่มีลายช้างเหรอ ผมชอบของไทยๆ”
“ก็จริงๆ มันเป็นของผู้หญิงนี่คะ”
“ไม่ได้ ร็อคเกอร์กับหมีแพนด้า มันไปด้วยกันไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ ผมไม่ใส่”
หมอวรวรรธยืนยันเสียงหนักแน่น

เนตรศิตางศุ์เดินร่าเริงกลับมาที่มอเตอร์ไซค์ของหมอวรวรรธที่จอดอยู่ เนตรศิตางศุ์ไม่สวมแว่น เอาแว่นคาดผม หันกลับไปมองด้านหลัง หมอวรวรรธเดินเซ็งๆ ตามมา ที่ข้อมือสวมสายรัดข้อมือแพนด้าแล้ว เนตรศิตางศุ์อมยิ้ม
“ไม่ต้องยิ้มเลย”
“หมอร็อคเกอร์อะไรก็ไม่รู้ น่ารักกุ๊กกิ๊กอ่ะ”
“หยุด อย่าตอกย้ำ เออ เราจะบอกเรื่องไอ้คนร้ายชุดดำกับพี่ณัฐยังไงดี ที่เค้าจะไม่รู้ว่าผมพาคุณมาเจออันตรายเกือบตาย”
“อย่าให้เค้ารู้นะคะ ถ้ารู้ละก็คราวนี้หนักกว่าเดิมแน่ค่ะหมอ”
“แต่ ผมกะเค้าต้องหาทางจับมันให้ได้นะครับ เราต้องรู้ให้ได้ ว่ามันคือใคร เพราะมันอาจเป็นผู้ร้ายที่ฆ่าใบหม่อนนะครับ”
“แต่ที่แน่ๆ คือเราต้องรีบกลับนะคะหมอ ก่อนที่พี่ณัฐจะจับคุณแทน”
ทั้งสองรีบขึ้นมอเตอร์ไซด์แล้วหมอวรวรรธก็บึ่งรถออกไป

ณัฐเดชขับรถเข้ามาจอดในซองจอดอย่างเร็วและแม่นยำ ท่าทางรีบ หายใจหนักๆ ณัฐเดชเดินฉับๆ เข้ามาในสถาบันนิติเวชด้วยท่าทางโกรธจัด ตะโกนถามลั่น
“ไอ้วรวรรธอยู่ไหน”
เจ้าหน้าที่กางหนังสือพิมพ์ จิบกาแฟ สะดุ้ง
“ข้างในมั้งครับ”
ณัฐเดชผลักประตูเข้าไปในห้อง แต่ไม่เห็นหมอวรวรรธ ณัฐเดชกลับออกมาข้างนอก
“ไม่มี”
“แสดงว่าไม่อยู่”
ณะฐเดชกระชากคอเจ้าหน้าที่
“ผมไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณ มันอยู่ไหน”
“ผมไม่ทราบครับ”
“ไอ้หมอวรวรรธมันกำลังมีคดีติดตัวอยู่ ถ้านายคิดจะปกปิดให้ที่ซ่อนกับคนร้าย ชั้นจะตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับนายด้วย”
“คุณหมอวรวรรธอาจจะชันสูตรศพอยู่ห้องไหนสักห้องก็ได้ครับ”
“ห้องไหน พาชั้นไป ไป”
ณัฐเดชเร่งจี้เจ้าหน้าที่ให้นำไป

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่รีสอร์ทติณห์ หัวหน้าคนงานเดินนำญาณินและป้าอรวรรณมาที่บ้านพักติณห์
“ทางนี้ครับ”
“เค้าเรียกชั้นมาทำไม”
“ไม่ทราบจริงๆ ครับคุณญาณิน”
“คุณหนูจะไปจริงๆ เหรอคะ”
“เค้าเป็นเจ้านายหนู เค้าเรียกหนู แล้วจะให้ปฏิเสธได้ยังไงคะ”
“แต่ป้าเป็นห่วง”
“หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คงจะคุยเรื่องงานเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น เค้าคงไม่คุยกับนินหรอก”
อยู่ๆ กํมีเสียงคนเล่นน้ำดังมา กุมาริกาโผล่มาขวางหน้า
“เจ๊จีจ้าอย่าไป เชื่อหนู”
“ทำไม มีอะไร”
“ไม่ต้องถามหรอก แต่หนูเตือนด้วยความหวังดี อย่าไป”
ญาณินยิ่งอยากรู้ เดินฝ่ากุมาริกาไป
“คุณหนูพูดกะใครอ่ะคะ รอด้วยค่ะ” ป้าอรวรรณรีบตามไป
ญาณินกับป้าอรวรรณเดินตามเสียงไป จนไปถึงสระว่ายน้ำพบว่าติณห์กับเพ็ญนภากำลังเล่นน้ำ โยนลูกบอลเล่นกันอย่างร่าเริง แล้วเสี่ยปิยะพันธ์กับเปรมในชุดว่ายน้ำก็วิ่งออกมา กระโดดลงน้ำ
ญาณินกับป้าอรวรรณอึ้งที่เห็นทั้งเสี่ยปิยะพันธ์และเปรมอยู่ด้วย
“ก็บอกแล้วว่าอย่ามา ไม่เชื่อหนู”
“ทำไม สี่ยปิงกับนายเปรมมาอยู่นี่”
เพ็ญนภาหันมาเห็นญาณิน
“ไฮ้ คุณนินมาแล้วค่ะดาร์ลิ้งก์”
“คุณนิน คุณเป็นกรรมการให้พวกเราทีนะ” ติณห์โยนนกหวีดให้ แล้วทำท่าจะเล่นโปโลน้ำ “ เอ้า คุณเตี่ยกับพี่เปรมพร้อมยังครับ ทีมผมพร้อมแล้ว ใช่มั้ยจ้ะดาร์ลิ้งก์”
“พร้อมค่ะ”
“เดี๋ยว คุณเรียกชั้นมาทำไม” ญาณินโวยขึ้นมา
“ก็ให้มาเป็นกรรมการไง”
“นี่คุณติณห์ คุณให้ชั้นหยุดทำงาน มาเพื่อเรื่องไร้สาระแค่เนี้ยเหรอ”
“เราแค่จะเล่นกีฬากระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว มันเป็นเรื่องไร้สาระตรงไหนเหรอครับคุณนิน” เสี่ยปิยะพันธ์ย้อนถาม
“คุณติณห์ไปเป็นครอบครัวกับพวกคุณเมื่อไหร่”
“เดี๋ยวนี้นี่แหละป้า แล้วตั้งแต่นี้ไป จะพูดจาอะไรกรุณาให้เกียรติเตี่ย อาเฮีย แล้วก็คนรักของผมด้วย เข้าใจมั้ย” ติณห์บอก
“หายสงสัยยังครับคุณญาญินคนสวยของผม” เปรมจะคว้ามือญาณิน แต่ญาณินชักมือหลบ “แต่ถ้า ยังข้องใจไอ้เปรมมันขอเสนอว่ามาเล่นน้ำกับพวกเราสิ”
แล้วเปรมก็จับญาณินอุ้มขึ้นแล้วโยนลงน้ำไป

“คุณหนู” ป้าอรวรรณเรียกญาณินอย่างตกใจ

 
เปรม เพ็ญนภา เสี่ยปิยะพันธ์ ติณห์หัวเราะสนุกสนานที่เห็นญาณินตกน้ำ เปรมจับตัวป้าอรวรรณที่จะโดดน้ำตามไปปกป้องญาณิน
 
“ปล่อยคุณหนูของป้าเล่นน้ำกับพวกเราเถอะ”
“ปล่อยชั้น” ป้าอรวรรณผลักเปรมออก
“อ้าว อยากด้วยก็ไม่บอก” เปรมผลักป้าอรวรรณลงน้ำ ทุกคนหัวเราะเยาะ ป้าอรวรรณรีบว่ายไปปกป้องญาณิน
“คุณหนูของป้า”
ทุกคนขึ้นมานั่งขอบสระ ติณห์เป็นหัวโจกนำรุมหัวเราะเยาะญาณินกับป้าอรวรรณ ญาณินได้แต่มองติณห์ด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

ญาณินเดินกลับมาที่บ้านพัก รีบเดินจะเข้าไปด้านใน ป้าอรวรรณตามมาติดๆ ด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนูคะ คุณหนู คุณหนู”
“คะ อะไรคะ”
“คุณหนู ไหวมั้ยคะ”
“ไหวค่ะ”
“ไหวแน่นะคะ”
“จริงๆ ค่ะ”
“คุณหนูว่ามั้ยคะว่าคุณติณห์ดูแปลกๆ ไปยังไงก็ไม่รู้”
“คนที่มีความรักก็ทำตัวแปลกๆ ทั้งนั้นแหละค่ะ หนูขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวไม่สบาย”
ญาณินเข้าห้องน้ำไป ป้าอรวรรณมองตามอย่างเป็นห่วง
“สระผมด้วยนะคะคุณหนู”
ญาณินเข้ามายืนตั้งหลักใสนห้องน้ำ แล้วญาณินก็ไปยืนส่องกระจก น้ำตาไหลออกมา ญาณินพยายามไม่ส่งเสียง ปาดน้ำตาๆ ทิ้ง
หลวงพิชัยภักดีกับกุมาริกามองญาณินอยู่มุมหนึ่งด้วยความห่วงใยและโมโหแทน
“แม่หนูญาณินต้องเสียน้ำตา”
“แค้นนี้ต้องชำระ”
หลวงพิชัยภักดีและกุมาริกาประสานมือกัน แล้วหันมาทำหน้าโกรธสุดๆ เหมือนกัน

เสี่ยปิยะพันธ์กับเปรมในชุดคลุมยืนอยู่ริมสระ ติณห์กับเพ็ญนภานั่งอาบแดดอยู่ใกล้ๆ
“พ่อกับเปรมกลับไปอาบน้ำที่บ้านก่อนนะจ๊ะเพนนี”
“ค่ะพ่อ เพนนีจะอยู่ต่ออีกหน่อย เดี๋ยวตามไปค่ะ”
“คุณพ่อ สวัสดีครับพี่เปรม บ๊ายบาย แล้วเจอกันครับ”
ทั้งคู่ออกไป เหลือแต่ติณห์กับเพ็ญนภา ติณห์ทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่เพ็ญนภา
ติณห์จูงมือเพ็ญนภาเข้ามาที่บ้าน ทั้งคู่สวมเสื้อคลุมทับชุดว่ายน้ำ
“จะพาเพนนีไปไหนคะ”
“ไปอาบน้ำด้วยกันไง น๊า”
“ติณห์อ่ะ คิดอะไรอยู่ เพนนีรู้นะ ไม่เอาอ่ะ เพนนีอาย”
เพ็ญนภาจะไป ติณห์ดึงกลับเข้ามากอด
“พลีส...”
“อย่าออดอ้อนนะ”
“พลีส...”
หลวงพิชัยภักดีกับกุมาริกาโผล่เข้ามา
“พี่ติณห์แค่จะชวนไปอาบน้ำ ทำไมทำท่าแปลกๆ ด้วย”
“มันไม่ใช่แค่อาบน้ำน่ะสิ แต่มันจะชวนไป ” หลวงพิชัยภักดีเกือบหลุดปาก แต่ยั้งไว้ทัน “เอา...เป็นว่า เราต้องจัดการให้นังปากแดงออกไปจากบ้านนี้ ตกลงมั้ย”
“ทราบ”
ติณห์ออดอ้อน เว้าวอน เพ็ญนภาขวยเขินๆ
“พลีส”
“หญิงชาย อาบน้ำพร้อมกัน แล้วมันจะไม่เลยเถิดไปไหนต่อไหนเหรอคะติณห์ คงไม่หรอก เพนนีเชื่อใจติณห์ โอเคค่ะ”
“แต่ชั้นไม่เชื่อใจแกนังงูพิษ”
หลวงพิชัยภักดีบอก ติณห์จูงมือเพ็ญนภาเข้าไปในบ้าน
“เดี๋ยวค่ะติณห์” เพ็ญนภาหันกลับไปล็อกประตู “จะได้ไม่มีใครเข้ามารบกวนการอาบน้ำของเรา”
“ห้องน้ำอยู่ทางนี้ครับ”
“ไปห้องนอนดีกว่าค่ะ”
ติณห์ยิ้มกรุ่มกริ่มๆ
“wow...lovely...ไปๆ”
ติณห์รีบเดินนำเพ็ญนภาไป เพ็ญนภายิ้มๆ วันนี้ได้เสียแน่ แต่อยู่ๆ เก้าอี้เคลื่อนออกมาขวางหน้า เพ็ญนภาเดินกระแทกเต็มๆ
“โอ๊ย”
เพ็ญนภาบ่นๆ แล้วจะเดินไปต่อ แต่กุมาริกาเอาน้ำในแจกันมาเทพื้น เพ็ญนภาเหยียบน้ำแล้วลื่นๆ จะหงายหลัง หลวงพิชัยภักดีหมุนเก้าอี้มารับ เพ็ญนภาหงายหลังนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมพอดี

“โอ๊ย”
 
อ่านต่อหน้า 2

The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 12 (ต่อ)

ขณะที่เพ็ญนภากำลังงง หลวงพิชัยภักดีก็หมุนเก้าอี้ เพ็ญนภาร้องวี้ดว้ายด้วยความตกใจแล้วเก้าอี้ก็หยุด โดยหันหน้าเพ็ญนภาออกไปทางประตู

“พร้อมแล้ว”
“ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง”
กุมาริกาเปิดประตูออก เพ็ญนภาตะลึงตาโต หลวงพิชัยภักดีจะดันเก้าอี้พุ่งตรงไปที่ประตู ตั้งใจจะเทเพ็ญนภาทิ้งออกไปนอกบ้าน จังหวะนั้นติณห์อุ้มเพ็ญนภาขึ้นมาพอดี เก้าอี้เลยไถลไปเปล่าๆ
“โธ่เว้ย”
ติณห์กำลังอุ้มเพ็ญนภาจะเข้าห้องนอน แต่กุมาริกาโผล่แว่บไปดึงชายเสื้อคลุมของติณห์รั้งเอาไว้ ติณห์ติดอะไรบางอย่าง เดินไปไม่ได้
“หึๆ อย่าหวังเลยว่าแกจะลงเอยกัน ไม่มีทาง”
“โอย อะไรเนี่ย ติณห์ ติณห์ รีบเข้าห้องนอนสิคะ ติณห์” เพ็ญนภาโวยวาย แต่อยู่ๆ กุมาริกาก็โผล่หน้าทะลุประตูออกมา
“ไม่มีคนอยู่ กลับไป”
“เฮ้ย”
เพ็ญนภาตกใจ ถอยออกมา ขยี้ตา แต่พอมองอีกทีก็ไม่เห็นอะไรแล้ว เพ็ญนภาขนลุกๆ สยองๆ รีบถอยกลับออกไป
ขณะนตั้นติณห์หาทางขยับให้ได้ แต่ไม่สามารถเดินต่อได้
“เพนนี ผมก้าวขาไม่ออก ไม่รู้ทำไม หรือคุณจะหนักไป ฮ่าๆ ล้อเล่น”
เพ็ญนภาเลยลงมายืนเอง
“ปล่อยเพนนีลงก็ได้ค่ะ เดินไปกันก็ได้” เพ็ญนภาจูงมือติณห์ หลวงพิชัยภักดีเห็นอาการทั้งคู่ที่ดูจะเป็นจะตายเอามากๆ
“ให้ตาย ข้าก็ไม่ยอมให้เอ็งได้เสียกับนังปากแดง”
ติณห์จะเปิดประตูห้องนอน แต่เปิดไม่ออกเพราะกุมาริกายืนดึงประตูไว้ ติณห์ยกเก้าอี้ขึ้นมาจะเอาทุ่มหน้าต่าง เพื่อจะออกไปหาเพ็ญนภา
“ให้ตาย วันนี้ยังไงผมก็ต้องอาบน้ำกับคุณให้ได้ อะไรก็ขวางผม มันต้องตาย ฮ่าๆ”
“เฮ้ย ถึงขั้นจะพังบ้านเลยเหรอวะ เอ็งบ้าไปแล้ว”
หลวงพิชัยภักดีตัดสินใจเอาไม้กอล์ฟของติณห์มา แล้วฟาดลูกกอล์ฟอย่างแรง ลูกกอล์ฟพุ่งผิดทาง ไม่โดนติณห์ ไปโดนผนังบ้านแทน แล้วเด้งไปโดนโต๊ะทำงานกระดอนไปที่ ฝาบ้าน แล้วชิ่งไปโดนหลอดไฟแตก แล้วกลับมาโดนหัวด้านหลังของติณห์อย่างแรง ติณห์สลบไปทันที
“อุ๊ย แม่นจัง...”
“เฮ้อ เอ็งหลงนังนั่นหน้ามืดตามัวขนาดนี้เลยเหรอวะ”
“ติณห์ๆ คะ ตื่นสิคะ อะไรกันเนี่ย ตื่น...ติณห์ๆ ตื่น”
เพ็ญนภาพยายามปลุกติณห์ แต่ปลุกยังไงรติณห์ก็ไม่ฟื้น เพ็ญนภาจึงร้องโวยวายออกมาด้วยความโมโห

ที่โรงพยาบาล เสี่ยจำเริญนอนพักฟื้นอยู่ในห้องพักคนไข้ มีสายระโยงระยาง มีเครื่องช่วยหายใจ ขาเข้าเฝือก มีบล็อกคอ แลดูอาการหนัก สักพักเสี่ยจำเริญกระดิกนิ้ว หนังตากระตุก
“อาสมหญิง อาสมหญิง”
เสาวภาเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นเสี่ยจำเริญพยายามจะขยับ รีบปราดเข้าไปข้างเตียง
“อาเฮีย อาเฮียฟื้นแล้ว อาเฮีย” เสาวภากุมมือเสี่ยจำเริญ
“เธอเป็นใคร”
“นี่อั๊วเอง เสาวภา”
“ที่นี่ที่ไหน”
“นี่โรงพยาบาล แล้วนี่ เสาวภาคนที่อยู่เฝ้าอาเฮียทั้งวันทั้งคืน อาเฮียเจ็บมากมั้ย อาเฮียต้องอดทนนะ อั๊วจะเป็นกำลังใจให้”
เสาวภาน้ำตารื้น จังหวะนั้นเจ๊หญิงเปิดประตูจะเข้ามาในห้อง แต่ต้องชะงักเพราะเห็นภาพเสาวภากับเสี่ยจำเริญกุมมือกันอยู่ เจ๊หญิงพยายามข่มอารมณ์

ไตรรัตน์เดินกดโทรศัพท์มาตามทางเดินในโรงพยาบาล ที่บริษัทซิกส์เซ้นส์ สุคนธรสนั่งทบทวนเรื่องเกี่ยวกับหมอผีสมคิดอยู่ที่โต๊ะทำงาน ก๊องนั่งอยู่แถวๆ นั้น แล้วอยู่ๆ มือถือสุคนธรสก็สั่นกึกๆๆ สุคนธรสรีบผละจากงาน คว้ามือถือจะมารับสาย แต่อยู่ๆ ท่านเจ้าที่โผล่แว่บมาก่อน
“เทพบุตรโทรมาแล้วๆ”
“เป็นอะไร” ท่านเจ้าที่ยิ้มเผล่ เยาะๆ
“ดีใจแทนไง อย่าบอกนะว่าไม่ได้รู้สึกแบบนี้” ท่านเจ้าที่ทำท่าดี๊ด๊า “รอมาทั้งวัน ไม่ใช่เหรอ”
ก๊องหันมาแซว
“ ฮ้า พี่รสรอโทรศัพท์ผู้ชายเหรอ”
“อะไร ใครรอ”
“แล้วใครล่ะ ที่ทั้งวันเอาแต่คิดทบทวนหาสาเหตุว่า ทำไมน้าเสี่ยจำเริญอยู่ดีๆ ถึงถูกรถชน ฝีมือหมอสมคิดหรือเปล่าแล้วจะเกี่ยวกับตอนที่ตลาดไฟไหม้ด้วยมั้ย แล้วครอบครัวคุณไตรรัตน์จะมีอันตรายอะไรอีก ใครคิดแบบนี้กันน้า”
“หายใจเข้าก็ เฮ้อเธอ หายใจออกก็ เฮ้อเธอ”
“สิ่งที่ชั้นกำลังทำอยู่ คือ การหาหลักฐานมาเอาผิดหมอสมคิดให้ได้ จะได้ไม่มีใครตกเป็นเหยื่อหมอผีชั่วร้ายอีก ชั้นไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อมนุษยธรรมล้วนๆ”
“อ๊ะๆๆ น้ำเสียงมีพิรุธ กลบเกลื่อนความรู้สึก”
“ไม่ต้องเขินหรอกพี่รส จะห้าวจะทอมแค่ไหน พี่ก็ผู้หญิง มีหัวใจเหมือนกัน รับสายสิครับ”
ก๊องทำตาแป๋วรอฟัง สุคนธรสทำท่าจะจิ้มตาก๊อง
“เดี๋ยวเถอะ”
สุคนธรสจะเดินแยกไปรับสาย แต่ก๊องกับท่านเจ้าที่เดินตาม สุคนธรสชะงัก หันกลับมา
“หยุด ถ้าตามมา เจอดีทั้งผีทั้งคนแน่”
สุคนธรสแก้เขิน เดินออกไป
“พี่รสว่าใครเป็นผีอ่ะ” ก๊องหันมาถามท่านเจ้าที่

“นั่นน่ะสิ”

 
สุคนธรสเดินแยกออกมาจะรับสาย แต่สายหลุดไปก่อน
 
“อ้าว”
สุคนธรสกดโทรกลับไป แต่สายไม่ว่าง เพราะขณะนั้นไตรรัตน์กดโทรกลับหาเช่นกันและพบว่าสายไม่ว่าง
“ทำไมไม่รับสาย ทำอะไรอยู่”
สุคนธรสโทรกลับ ยังไม่ติด
“สายไม่ว่างอีกแล้ว หรือโทรชนกัน งั้น...” สุคนธรสหยุดโทรกลับ “โทรมาสิ”
ไตรรัตน์หยุดโทรกลับเช่นกัน
“เดี๋ยวคงโทรกลับมา”
ไตรรัตน์เปิดประตูเข้าห้องพักคนไข้ไป
ไตรรัตน์เข้ามาในห้อง เห็นเจ๊หญิงยืนมองอยู่ก็แปลกใจ
“แม่ มายืนอะไรตรงนี้ครับ”
เสาวภาได้ยิน รีบผละมือจากเสี่ยจำเริญหันมา เพิ่งเห็นว่าเจ๊หญิงกับไตรรัตน์เข้ามาแล้ว เสาวภาลุกหันกลับมาเอาเรื่องทันที
“มาแล้วเหรอ ฉันเข้าห้องน้ำแป๊บเดียว เจ๊หายหัวไปไหนมา ทิ้งอาเฮียไว้คนเดียวได้ยังไง”
เจ๊หญิงพยายามกลบเกลื่อนอารมณ์ ข่มน้ำเสียงให้ปกติ
“พยาบาลมาตามให้ชั้นไปคุยกับคุณหมอ แล้วชั้นก็เห็นว่าอาเฮียมีเธอดูแลอยู่แล้ว”
“ผมเป็นใคร ผมคือใคร ” เสี่ยจำเริญถาม เสาวภารีบปราดไปดูแลเสี่ยจำเริญทันที
“อาเฮีย ระวังๆ อาเฮียยังไม่แข็งแรง อย่าขยับเขยื้อนเยอะ เอ้า ลื้อมานี่สิ จะให้อาเฮียลุกไปหาหรือไง”
เจ๊หญิงเดินเข้าไปข้างเตียง
“เสี่ย...”
“จับมือผมหน่อย”
เจ๊หญิงจับมือเสี่ยจำเริญ
“ป๊าไม่ต้องกังวลนะครับ ป๊าจะต้องหายดี”
“เดี๋ยวคืนนี้ชั้นอยู่เฝ้าอาเฮียเอง” เสาวภาบอก
“ชั้นเฝ้าเองได้” เจ๊หญิงบอก
“เธอต้องกลับไปดูแลกิจการตลาด เดี๋ยวตลาดก็โกลาหลกันพอดี อาม่าอยู่บ้านคนเดียวด้วย กลับไปดูแลอาม่าดูแลตลาดให้ดีๆ ไม่ต้องห่วงอาเฮีย” เสาวภาบอก
“แต่...”
“เสาวภา เสาวภา อั๊วกลัว อย่าทิ้งอั๊ว”
เจ๊หญิงผงะ
“เอ้า ชั้นจะเช็ดตัวให้อาเฮียเอง”
เสาวภาจัดแจงรูดม่านปิด เจ๊หญิงได้แต่ฉุนๆ ขณะที่ไตรรัตน์พูดไม่ออก

หมอวรวรรธขับมอเตอร์ไซด์กลับกรุงเทพฯ โดยมีเนตรศิตางศุ์ซ้อนท้าย
“หมอคะ ขับเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหมคะ”
“ขับเร็วมากๆ มันตรายนะครับ เท่าที่ขับอยู่นี่ก็เร็วแล้วครับ”
“ขอโทษ แต่ยังไงเราก็ต้องกลับไปทันก่อนที่พี่ณัฐจะรู้ตัวว่าเนตรหายไปนะคะ”
“เฮ้อ เข้าใจครับ แต่ผมต้องรับผิดชอบชีวิตคุณเนตรอยู่นะครับ ถ้าเร็วกว่านี้แล้วเกิดอะไรขึ้นมันจะไม่คุ้มกันนะ”
เนตรศิตางศุ์จ๋อย เงียบไป แต่ยังดูกระสับกระส่ายเพราะกลัวว่าพี่ชายจะรู้ความจริง
ทันใดมีแก๊งค์มอเตอร์ไซด์สองคันขี่มาตีคู่ มีทั้งแว้นทั้งสก๊อย เบิ้ลเครื่องเกทับหมอวรวรรธกวนประสาท หัวเราะแซวอย่างเฮฮา
“โหย เพ่..‘ก๊อยรถเพ่ น่ารักว่ะ”
เนตรศิตางศ์กลัว ก้มหน้าหลบซุกหลังหมอวรวรรธ กอดเอวไว้ หมอวรวรรธจับมือเนตรศิตางศุ์ปกป้อง
“มาวัดกันป่าวเพ่ รถใครแรงกว่า คนชนะเอา’ก๊อยไป”
หมอวรวรรธมองหน้า ไม่พูดอะไรตอบ
“ก๊ากๆ ขี่รถเท่ซะเปล่า แต่โคตรป๊อดเลย”
“ชีวิตคนเรามันสั้นมาก เอาเวลาไปทำอะไรดีๆ ดีกว่านะ ไม่เชื่อพี่ ก็สงสารพ่อแม่น้องเองก็ได้ กว่าจะเลี้ยงน้องมาโตแค่นี้ ท่านทุ่มเททั้งเวลา เงินทอง ความรัก ทุกสิ่งทุกอย่าง จะรีบตายไปก่อนที่จะได้ตอบแทนบุญคุณ มันจะถูกไหม”
“เฮ้ย มาแช่งว่าพวกชั้นจะตาย เดี๋ยวโดนตึ้บหรอก”
“แกคิดว่าขับช้าเป็นเกวียนแบบนี้แล้วตายไม่ได้หรือไงวะ”
ว่าแล้วแว้คนที่1 ก็ขับโฉบเข้ามาใกล้ เฉี่ยวมอเตอร์ไซด์ของหมอวรวรรธจนรถหมอหมอวรวรรธเซไปหน่อยนึง
“ก๊ากๆ จ้างพวกหนูก็ไม่ตาย แต่หนูจะบอกไรให้ ไอ้พวกที่ปากดีชอบสั่งสอนชาวบ้านแบบเพ่เนี่ย หนูก็ไม่เคยเห็นชีวิตยืนยาวสักคน”
“เฮ้ย ดูข้างๆ แกซิวะ เต่าแซงแล้วว่ะ”
พวกแว้นรุมหัวเราะเยาะ แล้วพวกแว้นก็แว้นเครื่องสุดกำลังพุ่งออกไป ทีละคันๆ เสียงดังแสบแก้วหูสุดฤทธิ์
เนตรศิตางศุ์เงยหน้ามองเห็นวิญญาณสก๊อยสาวที่ตายไปแล้ว ใบหน้าเละไปซีกนึงเพราะครูดไถพื้นถนน กำลังนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์อยู่หน้าหนุ่มแว้น โดยหันหน้าเข้าหาคนขี่ ในลักษณะที่เหมือนกอดกัน ใบหน้ายิ้มแย้มที่เหล่าแว้นนี้กำลังจะเจอชะตากรรมเดียวกันในไม่กี่วินาทีต่อจากนี้
“เฮ้ย”
เนตรศิตางศุ์ตกใจและเมื่อหันไปมองด้านข้าง ก็เห็นวิญญาณยมทูตลอยตามมา นุ่งโจงกระเบนแดง ถอดเสื้อ ตัวแดงทั้งตัว ในมือถือสามง่ามพร้อมจะมาเอาวิญญาณเด็กแว้นพวกนั้น เนตรศิตางศุ์เห็นภาพนั้นชัดเจน
“อย่า อย่านะ อย่าทำอะไร”
ยมทูตไม่สนใจอะไรเนตรสิตางศุ์ ลอยแซงรถหมอวรวรรธ ตามเด็กแว้นไปติดๆ
“คุณเนตร เป็นอะไร” หมอวรวรรธถามอย่างแปลกใจ
“เราต้องไปช่วยพวกเขา หมอวรวรรธ รีบตามไปเร็ว”
“หา”
“ไปเร็วๆ”
หมอวรวรรธงงๆ แต่เนตรศิตางศุ์จริงจัง เสียงแข็ง หมอวรวรรธรีบออกรถทันที ซิ่งไป แต่ไม่ทันเพราะเด็กแว้นเร่งเครื่องทิ้งห่างไปไกลมากแล้วจนพ้นโค้งไป เนตรศิตางศุ์มองไปข้างหน้าบนท้องฟ้าเหนือบริเวณโค้งที่เด็กแว้นขับหลุดไป ก็เห็นเป็นกลุ่มเมฆดำๆ ลอยต่ำอยู่ดูหน้ากลัว มีวิญญาณต่างๆ ลอยวนเวียนเหนือบริเวณนั้นเต็มไปหมด
หมอวรวรรธกำลังขับมาจนจะถึงโค้งนั้นก็ได้ยินเสียงเบรกเอี๊ยดดังสนั่นลั่นถนนจนมีเสียงคว่ำโครมครามดังมา
เนตรศิตางศุ์ถึงกับช็อก

ที่ป้าย โค้งอันตราย ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง เนตรศิตางศุ์ตัวสั่นเทาจนหมอวรวรรธสังเกตได้ สองข้างทางมีศาลเพียงตาเก่าๆ หักๆ ที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้เต็มข้างทาง หมอวรวรรธขี่รถผ่านทางโค้งนั้นมาเรื่อยๆ ช้าๆ น่าขนลุก เนตรศิตางศุ์มองเห็นวิญญาณสัมภเวสีต่างๆ ตามข้างทาง ผลุบๆ
“ว๊าย”

“ใจเย็นๆ คุณเนตร หลับตาไว้ก่อนแล้วกัน”

 
เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องเนตรศิตางศุ์เห็นวิญญาณ แต่ขณะนี้หมอวรวรรธก็อยู่ข้างเดียวกับเนตรศิตางศุ์ไว้ก่อน
 
พอมอเตอร์ไซค์หมอวรวรรธโผล่พ้นโค้งมา ก็พบกับภาพน่าหวาดเสียว ที่ข้างทางมีซากรถมอเตอร์ไซค์แว้นทั้ง 2 คัน ล้มคว่ำกระจัดกระจาย เด็กแว้นและสก๊อย กระเด็นไปคนละทิศละทาง เริ่มมีชาวบ้านบริเวณนั้นเข้ามามุงดูมากมาย
หมอวรวรรธช็อก รีบจอดรถหยิบมือถือออกมาโทรแจ้งตำรวจ แล้วรีบเข้าไปช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้
“แจ้งอุบัติเหตุครับ”
เนตรศิตางศ์ยืนตะลึงอยู่ข้างรถ มองภาพตรงหน้าอย่างสยองๆ กลัวๆ แล้วก็มีอะไรวูบๆ ผ่านไปด้านข้าง เนตรศิตางศุ์หันมองไป เห็นเป็นวิญญาณผู้ขับขี่ที่ประสบเหตุที่โค้งนี้เต็มไปหมด ทุกคนอยู่ในสภาพเละ และมองมาที่เนตรศิตางศุ์อยากจะเข้ามาสื่อสารด้วย ผีสก๊อยตัวเดิม ยืนหัวเราะชอบใจไปมา
“ฮ่ะๆ มาอยู่ด้วยกันให้หมด มาอยู่ด้วยกัน พวกตั้งตนอยู่ในความประมาท ไม่รักพ่อ ไม่รักแม่ ไม่รักชีวิต ไม่สนใจอนาคต ก็อย่ามีอนาคตมันเลย ฮ่ะๆ”
เนตรศิตางศุ์ผงะ กลัว ตัวสั่นไปทั้งตัว

หมอวรวรรธกำลังพยายามยื้อชีวิตเด็กแว้นคนนึงอยู่ ด้วยการเอามืออุดปากแผลที่หน้าท้องเอาไว้ เพื่อไม่ให้เลือดไหลหมดตัว ในขณะที่ใกล้ๆ กัน เด็กสก๊อยอีกคนก็ครวญคราง หายใจติดๆ ขัดๆ กำลังจะสิ้นใจ หมอวรวรรธอยากจะไปช่วยแต่ปล่อยมือไม่ได้ หมอวรวรรธมองหาเนตรศิตางศุ์ที่นั่งกุมหน้าอยู่
“คุณเนตร คุณเนตร มาช่วยกดปากแผลเด็กคนนี้ให้ที ผมจะได้ไปช่วยคนนั้น ได้ยินผมมั้ย คุณเนตร” เนตรศิตางศุ์เอาแต่ปิดหน้า กลัวอยู่อย่างนั้น “เลิกกลัวได้แล้ว คนกำลังจะตายนะ คุณเนตร”
“ฮือๆ เนตรกลัว”
เนตรศิตางศุ์ไม่มีท่าทีจะยอมมา หมอวรวรรธพะวงห่วงกลัวเด็กๆ ตาย ตัดสินใจผละมือจากเด็กแว้น วิ่งไปหาเนตรศิตางศุ์กระชากตัวขึ้นมาให้มาที่เด็กแว้นชาย
“เนตรทำไม่ได้ ไม่”
หมอวรวรรธจับมือเนตรศิตางศุ์กดแผลไว้
“กดไว้ ผมบอกให้กด”
เนตรศิตางศุ์เอาแต่ก้มหน้า ร้องไห้ มือก็กดอยู่อย่างนั้น จะชักมือออกให้ได้ แต่หมอวรวรรธจับกดไว้แน่น
“คุณเนตร มองหน้าผม แล้วฟัง คุณเนตร ตั้งสติ ตั้งสติ” เนตรศิตางศุ์เงยหน้า ลืมตามอง “อย่าปล่อยมือ เรากำลังช่วยชีวิตคนอยู่ ชีวิตเด็กคนนี้ขึ้นอยู่ที่คุณแล้ว”
หมอวรวรรธปล่อยมือเนตรศิตางศุ์ แล้วรีบไปช่วยเด็กสก๊อยทันที
เนตรศิตางศุ์หลับตาปี๋ แล้วสักพักก็มีเสียงครวญแผ่วๆ ของเด็กแว้นดังมา ประมาณว่าช่วยด้วยๆ เนตรศิตางศุ์ได้ยินเสียงแผ่วๆ นั้น ลืมตามอง แล้วก็สยองกับภาพตรงหน้า เกือบจะชักมือออก ปล่อยเลือดพุ่ง แต่กดเอาไว้ได้ทัน แล้วพอเนตรศิตางศุ์เบือนหน้าหนีมาอีกทางก็ต้องผงะ เพราะมีใบหน้าของผีสก๊อยรออยู่
“ว้าย”
เนตรศิตางศุ์เผลอปล่อยมือจากเด็กแว้น
“ฮ่าๆ”
“คุณเนตร อย่าปล่อยมือ กดแผลไว้”
เนตรศิตางศุ์จะกลับไปกดแผล แต่ดันมองเห็นผีสก๊อยยืนคร่อมร่างเด็กแว้นอยู่ ใช้เท้าเหยียบยอดอก จ้องเนตรศิตางศุ์อย่างท้าทาย เนตรศิตางศุ์ได้แต่ตัวแข็ง ไม่กล้าเข้าไป
“กดแผลไว้ ไม่ว่าคุณจะมองเห็นอะไร ก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตคน คุณต้องช่วยเด็กคนนั้นนะคุณเนตร”
เนตรศิตางศุ์ตัดสินใจรวบรวมความกล้า วิ่งเข้าไปกดแผลให้เด็กแว้น พยายามไม่มองหน้าผี
“ถึงเวลาของมันแล้ว”
“ชั้น ชั้นไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไร แต่ ปล่อยพวกเค้าไปเถอะ อย่าสร้างเวรกรรมให้กับตัวเองอีกเลย”
“ไม่”
เนตรศิตางศุ์สัมผัสได้ว่าผีไม่พอใจ
“ถึงเขาจะทำตัวไม่ดีนัก แต่เขาก็ควรได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ ถ้าคุณฆ่าเขา บาปกรรมมันก็จะทับถมทวีคูณอยู่ที่คุณ คอยเหนี่ยวรั้งคุณไว้ คุณต้องเป็นสัมพะเวสีเร่ร่อนทุกข์ทรมานอยู่ในภพภูมินี้ ไม่ได้ไปไหน คุณไม่อยากเป็นอิสระเหรอ ปล่อยเด็กพวกนี้เถอะนะ ปล่อยเค้า ปลดปล่อยตัวคุณเองให้เป็นสุข ชั้นขอตั้งจิตอธิษฐานขอให้ผลบุญที่ชั้นได้ทำมาในอดีต ปัจจุบัน รวมถึงอนาคนได้แผ่ให้กับพวกคุณและเด็กๆ พวกนี้”
ผีสก๊อยลังเล เนตรศิตางศุ์หลับตานิ่ง มีรัศมีสีขาวเปล่งออกมาจากตัวเนตรศิตางศุ์ กว้างออกคลุมบริเวณนั้น
วิญญาณสัมภเวสีต่างๆ บริเวณนั้นได้รับรัศมีเหล่านั้นซึ่งเป็นผลบุญของเนตรศิตางศุ์นิ่งไป รู้สึกถึงความสงบ ความนิ่ง
ทันใดรถพยายามบาลแล่นเข้ามาจอด พวกทีมพยาบาลกรูกันลงมา ทีมหนึ่งเข้าไปช่วยสก๊อยจากหมอวรวรรธ อีกทีมหนึ่งเข้ามารับช่วงต่อจากเนตรศิตางศุ์
“ปล่อยมือได้แล้วครับ คุณครับ”
เนตรศิตางศุ์ลืมตาออกจากพะวัง
“ชั้นขอร้อง”
เนตรศิตางศุ์บอกกับผีสก๊อย ผีสก๊อยยอมผละออกจากร่างเด็กแว้น เนตรศิตางศุ์ยังคงกดมือไว้จนพยาบาลต้องเอามือเนตรศิตางศุ์ออกเอง แล้วรับช่วงเด็กแว้นไป รีบพาตัวผู้บาดเจ็บขึ้นรถไป ขณะที่เนตรศิตางศุ์ยังยืนช็อคอย่างนั้น
“คุณเนตร” หมอวรวรรธรีบวิ่งมาดูแลเนตรศิตางศุ์ กอด ปลอบ เนตรศิตางศุ์ร้องไห้ออกมา หมอวรวรรธลูบหัว ปลอบ “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่มีอะไรแล้วนะ พวกเขาอยู่ในความดูแลของหมอแล้ว”

ที่สำนักหมอผีสมคิด หาญกำลังป่าวประกาศเชิญชวนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาให้ร่วมทำบุญ

“เอ้า เชิญๆ ทำมากได้บุญมาก ทำน้อยได้บุญน้อย เรื่องบุญเรื่องกุศลเราจะยอมแพ้ให้กันไม่ได้ ต้องแข่งขันประชันสะสมยอดบุญ ช่วงชิงตำแหน่งผู้มีบุญกันด้วยตัวเอง อย่ายอมแพ้กันนะครับ ทุกท่าน เรื่องหน้าใหญ่ใจบุญนี่...อย่าให้ใครมาแซงเราไปได้ครับ”

 
หมอผีสมคิดยืนมองพวกชาวบ้านที่แห่ทำบุญเอาเงินบริจาคด้วยความพอใจมาก สักพักกล้าถือโทรศัพท์วิ่งเข้ามาหา
 
“อาจารย์ครับ สายตรงจากสาวปากแดงเมืองกาญครับ”
“สาวเมืองกาญเหรอ หึๆ... หมอสมคิดพูดครับ”
เพ็ญนภาโทรศัพท์อยู่ที่ริเวอร์มูนรีสอร์ท
“เพนนีแค่โทรมาขอบคุณอาจารย์ค่ะ แท้งกิ้วๆ โซมัชๆ ตอนนี้ทุกอย่างเริ่ดมาก ติณห์เครซี่หลงเพนนีสุดๆไปเลย เพนนีรอวันนี้มานานแล้ว แท้งกิ้วๆ”
“ใจเย็นๆ ครับ อย่าเพิ่งชะล่าใจ ถึงตอนนี้คุณจะสมหวัง แต่ก็ใช่ว่าจะสมหวังตลอดไป ของแบบนี้มันมีเวลาเสื่อมของมัน เมื่อถึงเวลานั้น ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”
“เหมือนเดิม ไม่ได้นะคะ เพนนีไม่ยอม”
“ไม่ยาก เพียงแต่คุณเพนนีจะต้องหาเวลามาให้อาจารย์ลงอาคมซ้ำทุกเดือน เดือนละดอก รับรองของจะไม่มีวันเสื่อมอีกตลอดไป”
หมอผีสมคิดวางสาย หัวเราะพอใจ
“อาคมระดับอาจารย์ไม่เคยต้องลงซ้ำไม่ใช่เหรอครับ” กล้าถามอย่างแปลกใจ
“ก็ใช่น่ะสิ แต่สวยๆ แบบนั้น ไม่ซ้ำไม่ได้เว้ย ฮ่าๆ ข้าล่ะชอบจริงๆ นังพวกที่อยากให้ผัวรักผัวหลง มันหลงอยู่ในกิเลส หลอกง่ายดีว่ะ”
อยู่ๆ เจ๊หญิงเดินฝ่าเข้ามา
“อาจารย์สมคิด”
หมอผีสมคิดหันไปตามเสียง
“หึๆ กำลังรออยู่เลย”

เจ๊หญิงเข้ามาพบหมอผีสมคิดและอ้อนวอนให้ช่วยครอบครัวเธอ
“ชั้นทนให้ที่บ้านชั้นรับเคราะห์รับกรรมจากบรรดาเจ้ากรรมนายเวรอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว เหตุการณ์มันรุนแรงขึ้นไปทุกทีๆ อาจารย์บอกมาเถอะค่ะว่าต้องทำยังไง ชั้นและครอบครัวจะยอมทำตามหมดทุกอย่างเลยค่า”
“เจ๊อุปถัมภ์ค้ำจุนสำนักชั้นมาตลอด อะไรที่ช่วยได้มีหรือชั้นจะไม่อยากช่วย แต่เรื่องรถชนเสี่ยจำเริญมันเกินกำลังของชั้นจริงๆ ชั้นทำได้แค่ผ่อนหนักเป็นเบา แล้วนี่เสี่ยไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ ฟื้นแล้ว เดี๋ยวก็คงดีขึ้น เพราะได้คนเฝ้าดี”
หมอผีสมคิดรู้ทันทีว่าเจ๊หญิงหมายถึงใคร เข้าล็อคหมอผีสมคิดพอดี
“เจ๊หญิง เคราะห์ของเจ๊ยังไม่หมดเท่านี้นะ”
“ฮ้า”
“ช่วงนี้ ชั้นว่าเจ๊ควรจะอยู่ใกล้ๆ เสี่ยเอาไว้ให้มากๆ นะ”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“ชั้นก็ไม่แน่ใจ แต่ชั้นจับกระแสได้ว่า ดวงเจ๊ช่วงนี้มีเกณฑ์จะเสียของรัก”
“อาจารย์หมายถึงเสี่ยจำเริญจะ ”
“ไม่ใช่ๆ เสี่ยจำเริญน่าจะปลอดภัย แต่ตัวเจ๊นั่นแหละจะมีเรื่องให้ช้ำใจหนัก ต้องเสียของรักอันเนื่องมาจากคนใกล้ชิด”
“คนใกล้ชิด?”
“ชั้นก็ไม่แน่ใจนักว่าของรักคืออะไร คนใกล้ชิดคือใคร แต่มันจะเป็นเหมือนหอกข้างแคร่ เป็นบุคคลที่ 3 ที่ทำให้ครอบครัวเจ๊วิบัติ มีปัญหาใหญ่...มันมืดชั้นยังไม่เห็นหน้าเขา ยังไงเจ๊ก็ระวังตัวให้ดีแล้วกัน”
เจ๊หญิงครุ่นคิด แล้วก็ตาโต
“คนใกล้ชิดเหรอ...ฮ้า หรือว่า...”
เจ๊หญิงรีบเดินพรวดพราดออกมา รีบกลับกลับ หมอผีสมคิดเดินออกมามองที่ระเบียง หัวเราะๆ อย่างชอบใจ
“หึๆไอ้ไตรรัตน์ ถึงจะมีคนคุ้มครองอยู่ แต่ครอบครัวมึงไม่มีใคร หึๆ แล้วมึงจะเสียใจ ที่มาเล่นกับกู ฮ่าๆ”

หมอวรวรรธขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนน โดยมีเนตรศิตางศุ์นั่งซ้อนท้าย ทันใดนั้นมือถือของเนตรศืตางศุ์ดัง เนตรศิตางศุ์หยิบมาดูเบอร์แล้วก็ต้องตกใจ ร้องลั่น
“จอดๆ”
หมอวรวรรธตกใจ รีบเบรกรถ จอดทันที เนตรศิตางศุ์โดดลงจากรถ ลนลาน ไม่รู้จะทำไงกับมือถือที่ดังอยู่ดี
“ทำไงดีๆ พี่ณัฐโทรมา...พี่ณัฐต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าเนตรหนีออกจากบ้านไปพัทยา ตายๆ”
“ใจเย็นๆ ก่อน ยังไงเราก็ต้องรับสายเพราะ...”
“รับสายเหรอ” เนตรศิตางศุ์โชว์มือถือให้ดูว่าเผลอกดตัดสายซะงั้น “ตัดสายไปแล้วอ่ะ”
“เฮ้ย ตัดสายทำไม เดี๋ยวพี่ณัฐก็ยิ่งสงสัยหรอก”
“ก็ไม่รู้ ตกใจอยู่นี่” อยู่ๆ มือถือดังขึ้นมาอีก “พี่ณัฐโทรมาอีกแล้ว เอาไงดีๆ” เนตรศิตางศุ์จะตัดสายอีก หมอวรวรรธรีบห้าม
“อย่าตัดสาย ไม่งั้นตำรวจสายสืบอย่างพี่ณัฐยิ่งสงสัยแน่ เราเข้ากรุงเทพแล้ว อีกไม่ไกลก็ถึงบริษัท รับสาย แล้วบอกไปว่าอยู่บริษัท มาทำงาน ถ้าอยากคุยอะไรให้ไปคุยที่บ้าน”
“พี่ณัฐจะเชื่อเหรอ”
“ไม่รู้”
เนตรศิตางศุ์หวั่นๆ ค่อยๆ ยกมือถือมากดรับสาย
“อยู่ไหน ทำไมต้องตัดสายพี่ทิ้ง”
“เอ่อ...” หมอวรวรรธกำกับทำท่าให้เนตรศิตางศุ์พูดตาม “เนตรอยู่บริษัท ค่ะ เนตรไม่ได้โกหก พี่ณัฐมีอะไรหรือเปล่า เอาไว้คุยกันที่บ้าน”
“อยู่บริษัทเหรอไม่เป็นไร เพราะพี่กำลังจะถึงบริษัทซิกส์เซ้นส์อยู่แล้ว เดี๋ยวก็รู้ว่าโกหกไม่โกหก”
ณัฐเดชวางสายเลย สตาร์ทออกรถไป
“พี่ณัฐ พี่ณัฐ” เนตรศิตางศุ์บอกหมอวรวรรธ “พี่ณัฐกำลังไปที่บริษัท” เนตรศิตางศุ์บอกพร้อมกับกระโดดๆด้วยความตกใจ
“งานนี้มีตายหมู่แน่ ขึ้นรถเร็ว”
หมอวรวรรธรีบร้อนขยับออกรถทันที เนตรศิตจางศุ์ยังไม่ทันขึ้น หมอวรวรรธอารามตกใจไปด้วย เบรกรถ...
“เราต้องถูกพี่ณัฐจับได้แน่ๆ”
“เราต้องกลับไปให้ถึงบริษัทก่อนพี่ณัฐนะ ขึ้นรถมาเร็วๆ สิคุณ มัวแต่กระโดดเป็นกบอยู่ได้”
เนตรศิตางศุ์รีบไปขึ้นรถ หมอวรวรรธเร่งสุดขีด

ก๊องกำลังบิดเร่งเครื่องเช็คมอเตอร์ไซค์ตัวเองอยู่หน้าบริษัทซิกส์เซ้นส์
“แว้นๆ”
ท่านเจ้าที่โผล่แว่บมาเขกกบาลก๊อง
“จะส่งเสียงดังเรียกบุพการีเอ็งรึ”
“อ้าว ลุง ลุงมาได้ไง อยู่ๆ ก็มาโผล่แว้บๆ ยังกะนินจา ทำยังกะโผล่มาจากอากาศงั้นแหละ แล้วยังมาเขกหัวผมอีก มันมากไปแล้วนะลุง”
“เอ็งยังแยกแยะไม่ออกอีกเหรอว่าข้าเป็นอะไร”
“ลุงก็เป็น รปภ.ที่ไม่มีมารยาท ชอบจุ้นเรื่องคนอื่น เดี๋ยวก็ไป เดี๋ยวก็มา พอจะเรียกหาก็ไม่ยักกะเจอตัวน่ะสิ”
“ไปรับโทรศัพท์”
“อะไรนะ”
“โทรศัพท์มา เรื่องด่วน ไปรับเร็ว” ทันใดโทรศัพท์ออฟฟิศดัง ก๊องทำหน้างง “ไปรับเร็ว”
ก๊องรีบดินไปรับสาย
“บริษัทซิกส์เซ้นส์สวัสดีครับ กรุณากดหมายเลขภายในที่ท่านต้องการหรือกดศูนย์เพื่อติดต่อโอปะเรเตอร์ อ้าว พี่เนตร มีอะไรครับพี่ อะไรนะ พี่ณัฐจะมาพังบริษัท”

เนตรศิตางศุ์พูดโทรศัพท์ขณะที่ซ้อนท้ายหมอวรวรรธ
 
อ่านต่อหน้า 3

The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 12 (ต่อ)

“บอกทุกคนด้วยว่าถ้าไม่อยากให้พี่ณัฐถล่มบริษัท รีบไปถ่วงเวลาพี่ณัฐไว้ จนกว่าพี่จะไปถึง เข้าใจมั้ย”

“รับทราบ”
ก๊องวางสาย ท่านเจ้าที่นำพวกสุคนธรส กรรณา กรรัมภาออกมา
“พี่ๆ พี่เนตรโทรมาบอกว่า...”
“ไม่ต้องพูด พวกชั้นรู้หมดแล้วกรรัมภา ยัยเนตรนะยัยเนตร รู้ๆ อยู่ว่ามันจะทำให้เกิดเรื่อง ก็ยังจะทำอีก เอาไงดียัยรส”
“พวกเรา รวมทั้ง” สุคนธรสชี้ไปที่ท่านเจ้าที่ “คุณด้วย เราต้องช่วยกันถ่วงเวลาพี่ณัฐเอาไว้ จนกว่ายัยเนตรจะมาถึง ตกลงมั้ย”
“ตกลง”
ทุกคนแยกย้ายกันออกไป ไม่มีใครสนใจก๊อง
“เดี๋ยว ลุง ลุงเป็นคนบอกพวกพี่ๆ เค้าใช่มั้ย ลุงแย่งซีนผมทำไม” ก๊องต่อว่าท่านเจ้าที่
“นี่มันซีนของข้า ไม่ใช่ของเอ็ง”

ณัฐเดชกำลังขับรถจู่ๆ มือถือก็ดังขึ้นมา
“ฮัลโหล ว่าไงยัยแก้ม รถเสีย”
ขณะนั้นหมอวรวรรธขี่รถเข้ามาในโซนเมือง เจอรถติด ไม่ขยับเขยื้อน หมอวรวรรธซอกแซกอย่างร้อนใจ
ส่วนณัฐเดชกำลังดูรถให้กรรัมภาซึ่งยืนกางร่มกันแดดอยู่ ก่อนถึงปากทางเข้าบริษัท
“เสียยังไง พี่ว่ามันก็ปกติดีนะ”
“ปกติ? อิมพอซซิเบิ้ลค่ะ ก็มันไม่ยอมวิ่ง มันก็ต้องไม่ปกติสิคะ พี่ณัฐช่วยดูให้ละเอียดๆ ก่อนเถอะค่ะ นะคะๆ”
ณัฐเดชหันไปดูอาการรถต่อ กรรัมภากระสับกระส่าย
หมอวรวรรธตัดสินใจขี่ขึ้นฟุตบาทเพื่อหนีรถติด ณัฐเดชวางมือจากรถ
“พี่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติเลย”
“ว้า แย่จัง งั้นแก้มโทรเรียกศูนย์ดีกว่า แต่พี่ณัฐต้องอยู่รอเป็นเพื่อนแก้มด้วยนะคะ” กรรัมภาทำเป็นหยิบมือถือมากด “รอจนกว่า...” ณัฐเดชหายไปแล้ว “อ้าว พี่ณัฐ” กรรัมภามองหา พบว่าณัฐเดชเดินไปเปิดประตูรถแล้วสตาร์ท
“พี่ณัฐ” ปรากฏว่าณัฐเดชสตาร์ทติด กรรัมภาหน้าเจื่อน “อุ๊ย แสดงว่า มันไม่เป็นอะไรจริงๆ ด้วย” ณัฐเดชรู้สึกแปลกๆ ฉุนๆ ที่เสียเวลารีบผละออกไปที่รถตัวเองทันที กรรัมภารีบหยิบมือถือมาโทร “ด่านหนึ่งโดนตีแตกแล้ว”

อีกด้านกรรณาชะเง้อชะแง้มองถนนอยู่ สักพักเห็นรถณัฐเดชแล่นมาแล้วเปิดไฟเลี้ยวจะเข้าซอย
“ว้ายๆรถพี่ณัฐเลี้ยวเข้าซอยมาแล้ว เอาวะ” กรรณาลากถุงส้มออกมา แล้วเทกราดไปให้เต็ม แล้วแกล้งทำเป็นตกใจ ให้โดดเด่น เรียกสายตาณัฐเดช “อุ๊ย ถุงขาด”
ณัฐเดชเลี้ยวรถแล้ว มองเห็นกรรณากำลังเดือดร้อนเลยชิดซ้ายถอยกลับมาดูเหตุการณ์
“ยัยกรรณ มีเรื่องอะไร”
กรรณาทำท่าดีใจมาก
“ฮ้า พี่ณัฐ พี่ณัฐต้องช่วยกรรณนะคะ กรรณซื้อส้มจะเอาไปคั้นไว้รับแขก แต่ถุงมันขาดอ่ะคะ กรรณไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
ณัฐเดชส่ายหัวตัดสินใจดับเครื่อง ณัฐเดชเข้าไปช่วยกรรณาเก็บส้ม
เนตรศิตางศุ์ยืนหน้าเซ็งสุดขีดข้างทาง มองไปอีกด้านเห็นหมอวรวรรธคร่อมรถอยู่กำลังโดนตำรวจเขียนใบสั่งให้พลางอบรมวินัยไปด้วย
“ฟุตบาธเอาไว้ให้คนเดิน อย่าขึ้นมาอีกเข้าใจมั้ย”
“ครับ เฮ้อ”

ณัฐเดชส่งส้มทั้งหมดในถุงให้กรรณา แต่กรรณาไม่อยากรับกำลังคิดว่าจะถ่วงเวลายังไงต่อดี
“อ่ะ รับสิ”
“คะ ค่ะๆ”
ณัฐเดชจะรีบไป แต่นึกได้
“เอ้อ ยัยน้องหนูอยู่บริษัทหรือเปล่า”
“หา”
“อย่าโกหกนะ”
กรรณาตอบไม่ถูก มือไม้อ่อน ทำส้มในมือหลุดอีกรอบ ณัฐเดชจับพิรุธได้ ชี้หน้ากรรณาจับผิด
“ไม่ โกหก...”
ณัฐเดชระแวง ไม่รอฟัง รีบผละไปขึ้นรถ กรรณารีบหยิบมือถือมากด
“ด่านสองโดนทะลวงแล้ว”

หมอวรวรรธกับเนตรศิตางศุ์รีบขี่รถบึ่งมาแล้วหักเลี้ยวเข้าตลาด
“ว้าย หมอจะไปไหน” เนตรศิตางศุ์ถามอย่างตกใจ
“ไปทางลัด”
“ระวัง”
ชาวบ้านแบกของเดินผ่าน หมอวรวรรธรีบหักหลบ เฉี่ยวๆ ชาวบ้านจนข้าวของกระจาย ผู้คนวิ่งหลบรถมอเตอร์ไซค์หมอวรวรรธกันอลหม่าน หมอวรวรรธขี่มอเตอร์ไซค์ทะลุตลาด
หมอวรวรรธขี่มอเตอร์ไซค์มาจากท้ายซอยอีกด้านหนึ่ง กำลังจะถึงบริษัทแต่แล้วก็ผงะเพราะเห็นท้ายรถของณัฐเดช ที่กำลังแล่นเข้าไปจอดหน้าบริษัทพอดี
“พี่ณัฐถึงแล้ว เสร็จแน่”
ณัฐเดชขับรถมาจอดที่หน้าบริษัทลงจากรถจะเข้าไปด้านใน แต่แล้วต้องชะงักเพราะที่ตรงนั้นไม่ใช่บริษัทซิกส์เซ้นส์ แต่เป็นที่ร้างว่างเปล่า
“อ้าว เฮ้ย เรามาผิดซอยเหรอ”
อีกมุมมองท่านเจ้าที่กำลังใช้สองมือบังตาณัฐเดชอยู่
“โอม มหาคาถากำบัง นะจังงัง จงงง จงเบลอ จงเหวอ จงเซ่อซ่า อะไรอยู่ตรงหน้า ก็มองไม่เห็น โอม คุณรสคาถานี้ ใช้ได้แค่ 3 นาทีนะครับ”
สุคนธรสแอบดูอยู่หลังต้นไม้
“ว้าย ทำไมคาถาท่านเจ้าที่ไม่อึดเลยคะ ยัยเนตร มาซะทีสิ”
ก๊องเดินออกมามองไปนอกประตูบริษัท เห็นณัฐเดชจอดรถแล้วแต่ยืนงงอยู่
“อ้าว พี่ณัฐยืนงงอะไรอยู่ ทำไมไม่เข้ามา” ณัฐเดชทำท่าจะขึ้นรถ หันหลังให้บริษัท “พี่ณัฐ”
ณัฐเดชจะขึ้นรถ แต่มีเสียงเรียกดังมาจึงชะงัก
“เอ๊ะ ใครเรียก” ณัฐเดชพยายามฟัง แต่เสียงนั้นหายไป
ก๊องอ้าปากค้าง หายใจแค่กๆเพราะถูกสุคนธรสบีบคอหอยด้วยมือข้างเดียว
“อยากตายหรือไง”
“คุณรส ชั้นไม่ไหวแล้ว” ท่านเจ้าที่เอามือลงจากตาณัฐเดช

“เฮ้ย ยังไม่ถึง 3 นาทีเลย”

 
ณัฐเดชที่หันหลังให้บริษัทอยู่กำลังมองสำรวจรอบๆ บริเวณ และก็คิดว่ามันใช่ที่นี่แน่ๆ โดยไม่เห็นว่าที่รกร้างนั้นกลับกลายเป็นบริษัทซิกส์เซ้นส์แล้ว
 
“อีกนิดเดียวนะท่านเจ้าที่”
“ไม่”
“นะสุดหล่อ”
“สุดหล่อ ฮึ่บ”
ท่านเจ้าที่มีแรงฮึด ยกมือขึ้นปิดตาณัฐเดชอีก บริษัทกลายเป็นที่รกร้างอีกทีจังหวะเดียวกับที่ณัฐเดชหันกลับมาพอดี จึงเห็นว่าเป็นที่รกร้างไม่ใช่บริษัท
“สภาพแวดล้อมก็ใช่ แล้วทำไม ถึงไม่มีบริษัท”
ก๊องผละออกจากมือสุคนธรส
“แค่กๆ จะฆ่ากันหรือไงพี่รส”
“เงียบ แล้วเข้าบ้านไป”
“คนไรวะโคตรโหดเลย”
ก๊องเดินบ่นๆ ไป
ณัฐเดชกำลังจะกลับ อยู่ๆ มีลูกหมาตัวนึง เดินผ่านมาดมๆ แถวหน้าที่รกร้างณัฐเดชหันไปมอง แต่ไม่ได้สนใจอะไร
“ขึ้นรถกลับไปได้แล้วพี่ณัฐ” สุคนธรสพึมพำแต่แล้วก็มีเสียงจุ๊ๆ เรียกหมา สุคนธรสหันไปมอง เป็นก๊องนั่นเอง กำลังเรียกหมา “ไอ้ก๊อง”
“มองไรพี่”
ก๊องเรียกหมาต่อ ณัฐเดชกำลังจะขึ้นรถแต่ต้องชะงัก เพราะอยู่ๆ ลูกหมาก็ผละวิ่งเข้าไปในที่รกร้าง ทะลุ แล้วก็หายแว่บไปต่อหน้าต่อตา ณัฐเดชเหวอ หมาวิ่งเข้ามาหาก๊อง
“เฮ้ย หมาหายตัวไปได้ยังไง หรือว่าฝีมือยัยรสสินะ”
ณัฐเดชตัดสินใจ เดินเข้าไปในที่รกร้างนั่น แล้วณัฐเดชก็ทะลุเข้ามายืนที่บริษัทซิกส์เซ้นส์ ท่านเจ้าที่เอามือลง หอบแฮ่กๆๆ ณัฐเดชเห็นสุคนธรสกำลังเล่นงานก๊องอยู่
“ยัยรส”
“พี่ณัฐ”
ท่านเจ้าที่หอบเหนื่อย ผิวย่น มีริ้วรอย
“หักโหมมากไป ผิวเสียหมดเลย ขอตัวไปจำศีลก่อนนะ”
ท่านเจ้าที่หายแว่บไป ก๊องเอาหมาบังตัวเอง ย่องหลบมุม
“ยัยรส ฝีมือเราใช่มั้ย พี่ถึงมองไม่เห็นบริษัท”
“เอ่อ อ๋อ พอดีรสฝึกอาคมใหม่ๆ อยู่น่ะค่ะ”
กรรณากับกรรัมภากลับมาถึงพอดี
“พี่ณัฐ”
“พวกเธอ อ๋อ พวกเธอรู้ใช่มั้ยว่าพี่จะมาหายัยเนตร เลยรวมหัวกัน หมายความว่ายัยเนตรไม่ได้อยู่ที่นี่ใช่มั้ย”
“พี่ณัฐคะ คือ”
ณัฐเดชไม่รอฟังคำตอบ เดินบุกเข้าไปในบริษัท ค้นหาด้วยตัวเองทันที

ณัฐเดชเดินเข้ามาในบริษัท เข้าห้องนั้น ออกห้องนี้ แต่ไม่เจอเนตรศิตางศุ์เลย พวกสุคนธรสตามมาตลอด
“พี่ณัฐฟังก่อน”
“ยัยเนตรหนีไปพัทยาอีกแล้วใช่มั้ย ไปกับไอ้หมอวรวรรธใช่มั้ย”
ณัฐเดชฉุนขาดจะออกไปตาม อยู่ๆ เนตรเดินออกมาจากด้านในครัว คาดผ้าคลุมกันเปื้อน ถือชามสลัดออกมาด้วย หัวฟูยุ่งเหยิงจากที่นั่งมอเตอร์ไซค์ทะลุตลาดมา
“พี่ณัฐ”
“เนตร”
“เนตรบอกแล้วไงคะว่ามีอะไรให้กลับไปคุยที่บ้าน ทำไมต้องมาอาละวาดที่บริษัทด้วย เพื่อนๆ เนตรเอือมกันหมดแล้ว”
“แต่เมื่อกี้พี่เข้าไปหาในครัวแล้ว”
“พี่หาไม่ดีน่ะสิ เนตรกำลังทำสลัดให้ทุกคนทานอยู่”
“ใช่ๆ ยัยเนตรบอกว่ามีสูตรใหม่ ไหน ทำสลัดอะไร” กรรณามองในชามสลัด แล้วผงะ เพราะในชามนั้นมีแครอท กะหล่ำ ผักบุ้ง มะเขือ ทุกอย่างยังไม่ได้ผ่า ใส่มาทั้งดุ้น แบบรีบๆใส่ “สูตรใหม่แบบธรรมชาติๆ ไม่ปรุงแต่งๆ ดีเนอะ”
ณัฐเดชจ้องเนตรศิตางศุ์อย่างจับผิด ระแวง ไม่เชื่อใจ เนตรศิตางศุ์ฝืนยิ้ม ทำใจดีสู้เสือ

เจ๊หญิงเดินเข้ามาในโรงพยาบาลผ่านไปตามทาง ขึ้นลิฟต์ มาที่วอร์ดของชั้นห้องพัก เดินตรงไปตามทางเดิน จนกระทั่งถึงหน้าห้องพัก เจ๊หญิงเกิดลังเล
“เรากำลังทำอะไรอยู่”
เจ๊หญิงจะหันกลับ แต่แล้วก็ชะงัก ตัดสินใจเดินกลับไปเปิดประตู เจ๊หญิงค่อยๆ แง้มเข้าไปช้าๆ จนเห็นเสวภานั่งฟุบหน้าอยู่กับเตียง เจ๊หญิงเดินเข้าไปดูชัดๆ เห็นเสาวภานอนฟุบคาเตียงโดยกุมมือของเสี่ยจำเริญเอาไว้แนบแก้ม เจ๊หญิง
ปรี๊ดแตกทันที
“เสาวภา นี่เองหอกข้างแคร่ที่ท่านหมอบอกเรา คนทรยศ”
“เจ๊ เจ๊ กลับมาทำไม”
“กลับมาดูความเลวของแกไง” เจ๊หญิงกระชากเสาวภาออกมา “คิดจะแย่งผัวพี่สาวตัวเองเหรอ นังคนชั่ว”
“เจ๊พูดอะไร”
เสี่ยจำเริญตื่นขึ้นมา
“อะไรกัน ใคร ทำไม ทำอะไร ที่นี่ที่ไหน”
“เสี่ย ชั้นเป็นเมีย แต่เสี่ยไปห่วงมันเหรอ...นี่ เสี่ยกับมันมีอะไรกันโดยที่ชั้นไม่รู้เรื่องใช่มั้ย...ใช่มั้ย” เจ๊หญิงเข้าไปคาดคั้นกับเสี่ยจำเริญ
“เจ๊จะฆ่าอาเฮียเหรอ ปล่อยนะ”
เสาวภาเข้าไปห้ามเจ๊หญิง แต่ถูกเจ๊หญิงผลักเหวี่ยงกระเด็นแรงไปจนกระแทกกำแพง แล้วพวกพยาบาลก็แห่กรูกันเข้ามา
“มีอะไรกันคะคุณ”
เจ๊หญิงของขึ้นสุดๆ

“ต่อไปนี้แกกับชั้นขาดกัน”

 
เมื่อกลับมาบ้านเจ๊หญิงหอบเอาข้าวของของเสาวภามาโยนทิ้งไว้นอกบ้าน และยังหันไปสั่งเด็กในบ้านให้ขนออกมาให้หมด
 
“ไปขนของของมันมาให้หมด”
ไตรรัตน์ประคองอาม่าออกมา
“ไอ๊หย๋า อาสมหญิง ลื้อเอาของๆ อาเสาวภามาทิ้งทำไม”
“ตั้งแต่วันนี้ไป ยัยเสาวภาจะไม่ได้อยู่บ้านนี้อีกต่อไปแล้ว มันจะต้องไปอยู่ที่อื่น”
“ม้ากับอาอี๊มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
เสาวภากลับเข้ามาในบ้าน แล้วตกใจที่เห็นข้าวของของตัวเองเกลื่อนพื้น
“เจ๊ทำกับชั้นแบบนี้ได้ยังไง”
“ทำไมจะไม่ได้ นี่มันบ้านชั้น แกมันก็แค่คนอาศัย เก็บข้าวของออกไป ไม่งั้นชั้นจะเผาทิ้งให้หมด”
“อาเสาวภาทำอะไรผิด ทำไมต้องไล่อีออกจากบ้านด้วย”
“มันคิดจะแย่งผัวชั้น”
“ชั้นไม่ได้แย่ง”
“เห็นอยู่ตำตา แกยังกล้าโกหกอีกเหรอ นังหน้าด้าน”
“ถ้าจะมีใครที่แย่งผัวชาวบ้าน ก็เจ๊นั่นแหละ”
“อะไรนะ”
“ตอนนั้นอาเฮียกับชั้นรักกันอยู่ก่อน แต่เจ๊ แอบรักอาเฮีย เจ๊ก็เลยไปบอกป๊ากับม้าให้มาบังคับอั๊วถอนตัว เพราะอาม้าอยากให้พี่สาวคนโตได้แต่งงานก่อน ให้ชั้นต้องเสียสละ ยกอาเฮียให้เจ๊...เจ๊นั่นแหละที่แย่งผัวชั้น”
“แกเอาอะไรมาพูด”
“หรือเจ๊จะเถียงว่ามันไม่จริง จะบอกให้นะว่าถ้าชั้นไม่ยกอาเฮียให้เจ๊ ชาตินี้ทั้งชาติ เจ๊ก็หาผัวไม่ได้”
เจ๊หญิงยั้งไม่อยู่ ตบหน้าเสาวภาอย่างแรง
“ม้า”
“ว้าย”
“ตบชั้นเหรอ”
เสาวภาเข้าสู้ วี้ดว้าย ไตรรัตน์พยายามห้าม อาม่าโวยวาย
“พอได้เลี้ยว พวกลื้อเป็นอะไรกัน ลูกชั้นเจ็บใกล้จะตาย พวกลื้อยังมาทะเลาะกันอีก ลูกหลานก็ยืนอยู่นี่ทั้งคนเป็นบ้ากันเหรอไง”
อาม่าเสียใจจนเป็นลมล้มลงไป
“อาม่า” ไตรรัตน์รีบเข้าไปดูแลอาม่าทันที
“อาม่า” เสาวภาเข้ามาดูแลอาม่าอีกคน “เดี๋ยวชั้นไปเอายาหอมมาให้”
เสาวภารีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที ไตรรัตน์ประคองอาม่าไว้ เงยหน้ามามองเจ๊หญิง ที่ยังยืนคอแข็งทิฐิอยู่ ไตรรัตน์ไม่เข้าใจ

ที่บริษัทซิกส์เซ้นส์ เนตรศิตางศุ์ถูกณัฐเดชจับมานั่งซัก
“จะต้องให้เนตรพูดซ้ำกี่รอบว่าเนตรมาทำงานที่นี่ ไม่ได้ไปพัทยา”
สาวๆ ที่เหลือได้แต่ยืนนิ่ง
“ไหน เอางานมาให้ดูสิ”
“ก็...ได้ งานอยู่ในโน้ตบุ๊ค อยากดูก็จะเปิดให้ดู ยัยรสช่วยไปหยิบมาเปิดให้ที”
“หา?” ทีแรกเสาวรสงง แต่กลับลำทำเป็นไม่พอใจ “ถึงขนาดตัองเอางานมาเปิดให้ดูเลยเหรอ...”
“ใช่...งั้นพี่ณัฐอยากดูอะไรคะ แบบแปลนภายในหรือวัสดุที่ใช้ ผ้าม่าน กระเบื้องพื้น”
กรรัมภามามุขไม่เหมือนเพื่อน ออดอ้อนแทน
“ทำไมพี่ณัฐพี่ชายสุดเท่ห์นิสัยดีที่พวกเราชื่นชมกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วล่ะคะ”
“พอๆ ในเมื่อยืนยันว่าไม่ได้ไปพัทยาก็โอเค แต่อย่าให้จับได้คาหนังคาเขาแล้วกัน ไป กลับบ้าน” ณัฐเดชคว้ามือเนตรศิตางศุ์
“ไม่ค่ะ วันนี้เนตรจะค้างที่นี่”
“พี่บอกแล้วไงว่า พี่จะไม่ให้เรามาทำงานอีก เราต้องถูกกักบริเวณ”
“เนตรจะไม่ยอมให้พี่ณัฐบังคับเนตรอีกแล้ว” ณัฐเดชอึ้งเนตรศิตางศุ์ดึงมือออก “ถ้าพี่ณัฐขังเนตรอีก เนตรก็จะหนีออกมาอีกแล้ว คราวหน้าเนตรจะหนีไปให้ไกลสุดกู่ ไกลยิ่งกว่าพัทยาไปสุไหงโกลกเลย เนตรจะใจแตก ทำตัวเหลวแหลก ยอมเป็นภรรยา เป็นเมียหมอวรวรรธ มีลูกก่อนวัยอันควรด้วย”
เพื่อนๆ เหวอ
“พูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า”
“พูดจาแรงใช่มั้ยล่ะ ตั้งแต่นี้ไป เนตรจะร้าย จะแรง จะกรี๊ดกร๊าด ตบตีแย่งผัวชาวบ้านให้ยิ่งกว่าในละครอีก คอยดู”
เนตรจะกรี๊ด แต่กรี๊ดไม่ออก ไม่เป็น พวกสุคนธรสหน้าเจื่อนๆ งงๆ
“แกว่าแม่ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบจะทำได้มั้ย”
“ไม่เห็นต้องถาม”
เนตรศิตางศุ์เดินปึงปังออกไปจากตรงนั้น

เนตรศิตางศุ์เข้ามาในครัว ขยะแขยงสิ่งที่ตัวเองเพิ่งพูดออกไป
“เราพูดอะไรออกไปอ่ะ อี๋ แหวะๆ”
เนตรศิตางศุ์ตบปากตัวเอง แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงเคาะดังมาจากประตูห้องครัวที่ทะลุไปด้านหลังของบริษัท
“คุณเนตร”
“หมอ ทำไมยังอยู่อีกคะ”
“ผมเป็นห่วงคุณน่ะสิ พี่ณัฐจับไม่ได้ใช่มั้ยว่าเราหนีไปพัทยา”
“จับไม่ได้ หมอรีบหนี ไป...”
อยู่ๆ มือถือของหมอวรวรรธสั่น หมอวรวรรธรีบหยิบมาดูเบอร์
“สุพิชชา...” หมอวรวรรธกดรับสาย “ฮัลโหล...สุพิชชา...ใจเย็นๆ ก่อน อย่าเพิ่งร้องไห้ มีอะไรค่อยๆ พูด...คุณพ่ออาการทรุดหนักเหรอ คุณอย่าร้องสิ ได้ๆ ผมจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้”
“มีเรื่องอะไร” หมอวรวรรธวางสาย แล้วก็หันวิ่งหลบออกไปเลย โดยไม่ได้ร่ำลาเนตรศิตางศุ์ซักคำ “อ้าว หมอวรวรรธ”
เนตรศิตางศุ์ยืนอึ้ง
“เนตร...” ณัฐเดชเข้ามาเห็นเนตรศิตางศุ์ยืนนิ่งหันหลังให้อยู่ “พี่จะให้เรามาทำงานต่อก็ได้ แต่รับปากได้มั้ยว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับไอ้หมอวรวรรธอีก” เนตรศิตางศุ์ยังยืนนิ่ง “ยัยเนตร ได้ยินที่พี่พูดมั้ย มองอะไร” ณัฐเดชมองตาม แต่ไม่เห็นอะไร หันมาเห็นหน้าเนตรศิตางศุ์มีน้ำตาไหลออกมา “อ้าว ร้องไห้ทำไม เป็นอะไร”
“อ๋อ เปล่าค่ะ เนตรดีใจที่พี่ณัฐไม่บังคับเนตรแล้วค่ะ”
ณัฐเดชเข้ามากอดเนตรศิตางศุ์ เนตรศิตางศุ์น้ำตาหยด ไม่รู้อนาคตความรักของตน

“ดีใจขนาดนี้เลยเหรอ โถ นี่พี่คงเข้มงวดกับเรามากไปจริงๆ สินะ”

กรรณากับกรรัมภาเดินกลับเข้ามาจากการไปส่งเนตรศิตางศุ์
 
“เฮ้อ นานๆ ยัยเนตรจะออกฤทธิ์ออกเดชที ทำเอาตัวแม่อึ้งได้เหมือนกันนะเนี่ย”
“ไม่รู้ว่ายัยเนตรจะปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังไปอีกนานแค่ไหน พี่ณัฐไม่ใช่คนโง่ สักวันพี่ณัฐก็ต้องรู้อยู่ดี”
สุคนธรสเอามือถือออกมากดดู แล้วต้องตกใจเพราะมีมิสคอลของไตรรัตน์เยอะมาก
“สามสิบมิสคอล จะโทรมาทำบ้าอะไรเยอะแยะขนาดนี้”
“แล้วทำไมแกไม่รับ”
“ก็ชั้นช่วยยัยเนตรอยู่ แล้วชั้นก็ไม่ได้พกมือถือติดตัวด้วย”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า แกบอกว่าพ่อเค้าอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ”
สุคนธรสตกใจ
“ไม่จริง”
สุคนธรสรีบกดโทรกลับไป เสียงโทรศัพท์ดังอยู่ใกล้ๆ สุคนธรสเงยหน้ามอง พบไตรรัตน์เข้ามาในบริษัท
“คุณรส ช่วยผมด้วย”

สุคนธรสเดินหนีมา ไตรรัตน์ตามมา
“คุณพ่อนายยังสบายดี เฮ้อ โล่งอกไปที แล้วทีหลังนายก็อย่าตะบี้ตะบันโทรมาแบบนี้อีก ทำชั้นตกใจหมด”
“ผมรู้ๆ แต่ แต่ผมไม่รู้จะปรึกษาใครแล้ว ผมต้องการใครสักคนที่คุยด้วยได้”
“เลยจะคุยกับชั้น? ผิดคนหรือเปล่า ไปปรึกษาแฟนคุณดีกว่าไป”
“นี่ไม่ใช่เวลามาประชดประชันผมนะ ผมเครียดจริงๆ คุณเป็นคนที่ผมคิดถึงเป็นคนแรกเสมอ เพราะไม่มีใครที่จะเป็นที่ปรึกษาให้ผมเรื่องหมอสมคิด เหมือนคุณอีกแล้ว”
สุครธรสนิ่ง หันมามองหน้าไตรรัตน์
“หมอสมคิดอีกแล้วเหรอ”
“มัน มันเจาะจงเล่นครอบครัวผมแบบกัดไม่ปล่อยแน่ๆ แล้ว ผมว่า”
“อะไรนะ”
“ผมจะแจ้งความมันไปก่อนได้ไหม คดีอะไรก็ได้ โกหก ฉ้อโกง ต้มตุ๋น พยายามรวบรวมพยานหลักฐานเท่าที่มี แต่ตำรวจจะเล่นงานมันได้แค่ไหน แล้วกว่าจะใช้กฎหมายเล่นงานมันได้ ไม่รู้จะทันกับการกอบกู้ครอบครัวผมหรือเปล่า”
ไตรรัตน์เครียด ทรุดนั่ง สุคนธรสเห็นอาการของไตรรัตน์แล้วแปลกใจ
“เฮ้ย เครียดจริงเหรอ” สุคนธรสใจอ่อน เห็นใจ เดินเข้าไปจะปลอบแต่ไม่รู้ปลอบยังไงเลยตบๆ บ่าไตรรัตน์ “อย่าเครียดดิๆ”
“ขอมือหน่อย”
สุคนธรสอึกอัก จะไม่ให้มือ แต่ไตรรัตน์คว้ามือสุคนธรสมากุมเอาไว้ สุคนธรสเลยกุมมือและบีบตอบ ให้กำลังใจ
“คุณต้องช่วยผมนะคุณรส เห็นแก่ที่ครั้งนึงเราเคยได้เสียกัน นะ”
“ชั้นจะไม่ช่วยก็เพราะคำพูดนายนี่แหละ”

เช้าวันต่อมาที่เมืองกาญจน์ ทนายสมชาติรู้เรื่องติณห์จากป้าอรวรรณ
“คุณติณห์ทิ้งงานได้ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ต้องเรียกว่าหมกมุ่นกับสตรีเพศจนเสียงานเสียการมากกว่าค่ะ นี่ ออไม่ได้พูดเกินจริงหรือใส่ร้ายนะคะ ไม่เชื่อถามคุณหนูได้”
ญาณินไม่ได้สนใจฟัง กำลังเหม่อลอย ตักเครื่องปรุงพริกใส่ในถ้วยน้ำเต้าหู้อย่างไม่รู้ตัว
“คุณหนูคะ นั่นมัน” ว่าแล้วญาณินก็ยกดื่ม ไม่รู้ตัวและไม่รู้สึกว่ารสชาติผิดปกติ “คุณหนูขา”
“คะ?”
“น้ำเต้าหู้ เป็นไงคะ”
“อร่อยดีค่ะ” ญาณินกินต่อ
“โถ คุณหนูของป้า คุณทนายเห็นแล้วใช่มั้ยคะว่าทำไมออถึงต้องร้อนใจขนาดนี้”
“ผมว่าคุณติณห์ต้องคิดทำอะไรหรือมีแผนอะไรอยู่แน่ๆ”
“หวังว่าจะไม่ใช่แผนการเผด็จศึกยัยเพนนีนะคะ”
“ไม่ใช่ๆ คุณติณห์อาจจะต้องการให้การก่อสร้างรีสอร์ท เป็นไปด้วยความราบรื่น ไม่มีปัญหา ไม่มีใครมาขัดแข้งขัดขา โดยเฉพาะเสี่ยปิงกับคุณเปรม ก็เลยต้องแกล้งทำเป็นดีด้วยกับคุณเพนนี”
“ฮ้า อาจจะจริง แต่ถ้าเป็นแผนจริงๆ คุณติณห์ต้องได้ออสการ์ โทรทัศน์ทองคำ ตุ๊กตาทองเลยนะคะ เพราะแนบเนียนมากกก”
ทันใดมีเสียงหัวเราะคิกคักสลับวี้ดว้ายของเพ็ญนภากับติณห์ดังมา ทุกคนหันไปมองพบว่าติณห์กำลังให้เพ็ญนภาขี่หลังแบบหนังเกาหลี โดยไม่แคร์สายตาใครในตลาดเลย
“ว้าย เบาๆ ค่ะติณห์ ฮะๆ”
ญาณินมองภาพนั้น แล้วเผลอลุกพรวด
“เรากลับไปทำงานเถอะค่ะ”
“เดี๋ยวค่ะ” ป้าอรวรรณคว้ามือญาณิน “เราเป็นนางเอกต้องไม่หนีค่ะ”

เพ็ญนภากับติณห์กำลังหัวเราะคิกคัก
“ฮะๆ พอแล้วค่ะดาลิ้งก์ ให้เพนนีลงเถอะๆ”
ติณห์ย่อตัวให้เพ็ญนภาลง
“เอาล่ะ ตามสัญญาถ้าผมให้คุณขี่หลัง คุณจะทำอะไรเป็นการตอบแทนน้า” ติณห์ทำแก้มอูมๆ รอให้จุ๊บ
“อืม ติดไว้ก่อนนะคะ”
“ขี้โกง ผมไม่ยอม ถ้าคุณไม่จุ๊ฟ งั้นผมจุ๊ฟคุณนะ”
“จับให้ได้สิคะ”
ติณห์วิ่งไล่จับ เพ็ญนภาวิ่งหนี วี้ดว้าย เล่นกันสนุกสนานราวกับโลกนี้มีเราสองคน
“อยากจับเอาเธอนั้นไปลอยทะเล อยากดัดนิสัยคนใจโลเล
อยากทำทุกครั้งดวงใจของฉัน ก็พลันว้าเหว่
เฮ จับเอาเธอนั้นไปลอยทะเล ก็กลัวเธอนั้นจะจมทะเล
ขาดเธอตัวฉันก็คงสิ้นหวัง และคง จบเห่”
“เค้าบ้าไปแล้ว”
“ยังกับไม่ใช่คุณติณห์”
ติณห์ตะครุบกอดเพ็ญนภาเอาไว้ได้ จะหอมทันที เพ็ญนภาเอามือยันปากไว้
“อ๊ะ ก่อนจะจุ๊ฟ”

“เลิฟยู” ติณห์จะรีบหอมให้ได้ เพ็ญนภาเอี้ยวหลบไปมา
 
อ่านต่อหน้า 3 เวลา 17.00น.

The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 12 (ต่อ)
“เดี๋ยวค่ะ เพนนีไม่ได้ยิน”

“ไอเลิฟยู เพนนี ไอเลิฟยู เลิฟยู เลิฟยู” ติณห์ตะโกน ป้าอรวรรณ ทนายสมชาติ ญาณินเข้ามามองภาพนั้นอย่างตะลึง “ทีนี้ คุณจะยอมให้ผมคิสได้หรือยัง”
“ค่ะ”
ติณห์จะเข้าหอมเพ็ญนภา พวกชาวบ้านลุ้น
“จูบเลยๆ”
ป้าอรวรรณทนไม่ไหว พุ่งเข้าไปขวาง
“ คุณติณห์ทำอะไรเกรงใจสายตาชาวบ้านบ้างสิคะ ดูๆ เค้ามองกันทั่วตลาดแล้ว ไม่อายบ้างหรือไงคะ”
“ความรักไม่ใช่เรื่องน่าอาย คนที่ไม่มีความรักสิต้องอาย”
“อ้าว”
“คุณติณห์หมายถึงป้านั่นแหละค่ะ อยู่มาจนปูนนี้ ยังไม่เคยมีแฟน ฮ่าๆ”
“คุณติณห์กำลังมีแผนอะไรอยู่ใช่มั้ยครับ” ทนายสมชาตกระซิบถามติณห์
“แผน? แผนว้อท? You mean..” plan? No no no…”
“ก็...เรื่อง...”
“ฮ้า! ใช่ๆ ป้าออ นี่ไงๆ ทนายสมชาติ วัยเหมาะสม พอฟัดพอเหวี่ยงกัน จะทำให้ป้ารู้จักความรักได้แน่ ชวนกันไปฟีเชอริ่งได้เลยครับ”
“คุณติณห์”
ญาณินยืนจ้องหน้าติณห์อยู่ แล้วรีบหันกลับเดินแยกออกไปโดยไม่มีใครสังเกตยกเว้นเพ็ญนภา เพ็ญนภาหมั่นไส้ คิดแกล้ง

ญาณินแยกมา แต่อยู่ๆ ติณห์วิ่งตามมา
“คุณญาณิน” ญาณินหันกลับมา แปลกใจ “จะไปไหน”
“ไปทำงาน”
“ผมไปส่ง”
“ชั้นกลับเองได้”
ติณห์คว้ามือญาณิน
“แต่เพนนีอยากคุยด้วย”
เพ็ญนภาเดินเข้ามา
“ให้เราไปส่งเถอะนะ เราจะได้คุยกันระหว่างทาง เพื่อปรับความเข้าใจในทุกๆ เรื่องให้ตรงกัน”
“ชั้นเข้าใจทุกอย่าง ไม่มีอะไรต้องปรับ”
เพ็ญนภาสั่งติณห์
“อย่าปล่อย! แต่มีเรื่องนึงที่คุณคงยังไม่รู้ หรือรู้ แต่ไม่อยากจะรับรู้ คือชั้นกับติณห์ เรารักกัน ใช่มั้ยคะติณห์”
“ใช่ ติณห์เลิฟเพนนี”
“รักแค่ไหนคะ บรรยายออกมาสิคะ”
“รักมาก โซมั่ช เวรี่มั่ช รักยิ่งกว่าแผ่นฝ้าและผืนน้ำ ยิ่งกว่าภูเขาและท้องทะล เพนนีเปรียบเหมือนออกซิเจนในอากาศ ขาดเมื่อไหร่ ผมก็ตาย”
“ชั้นรู้แล้ว” ญาณินขัดขึ้นมา
“ติณห์ คิสมี”
ติณห์เดินเข้าไปจูบปากกับเพ็ญนภาทันทีตามคำสั่ง ญาณินอึ้งจะเดินไป ติณห์คว้ามือญาณินไว้
“จะไปไหน”

ญาณินต้องจำใจนั่งรถกลับรีสวอร์ทพร้อมกับติณห์และเพ็ญนภา ญาณินนั่งอยู่ในรถด้านหลัง ติณห์และเพนนีนั่งคู่กันข้างหน้าระหว่างทางติณห์คว้ามือเพ็ญนภามาจูบ ลูบ คลึง
“ทำไม ทำไมคุณต้องบังคับชั้นให้มารถคันนี้ด้วย” ญาณินถามติณห์
“อะไรที่เพนนีต้องการ ผมจะทำทุกอย่าง ชัดเจนมั้ย”
“ญาณิน ทำไมเธอพูดอย่างกับว่าชั้นไปทำร้ายอะไรเธองั้นแหละ พูดแบบนี้ชั้นเสียใจนะ”
“โอ๋ๆไม่ๆๆ ไม่เสียใจนะคะคนดี” ติณห์จอดรถข้างถนนทันที รีบหันมาปลอบใจเพ็ญนภา “อย่าทำหน้าบึ้งนะคะ คุณเศร้าผมเศร้ากว่า ยิ้มนะๆ” ติณห์จับหน้าเพ็ญนภาให้ยิ้ม “คุณทำดีแล้ว ถ้าคุณณินไม่เห็นความดีของคุณ ก็อย่าไปสนใจเค้าเลยนะ ยังไงคุณก็เป็นที่หนึ่งในใจผมเสมอ จุ๊ฟๆ”
ติณห์พยายามปลอบ เอาใจเพ็ญนภามากมาย ญาณินได้แต่นั่งมอง เจ็บช้ำ น้ำตาตกใน

รถติณห์แล่นมาจอดหน้าบ้านพักของญาณิน ญาณินรีบเปิดประตูลงจากรถจะเดินไปให้เร็วที่สุด แต่เพ็ญนภาเปิดประตูตามลงมา ติณห์ลงมายืนเท้าแขนบนรถ มองดูด้วย
“เดี๋ยว”
ญาณินหันกลับมา
“หวังว่าวันนี้เธอจะได้เข้าใจอะไรๆ ถูกต้องแล้วนะ ว่าติณห์เป็นของใคร แล้วก็อย่ามาเจ๋ออีก เข้าใจ๋?”
เพ็ญนภาสะใจ เดินกลับขึ้นรถไป
“เข้าใจ๋”
ติณห์กับเพ็ญนภาสบตากัน หัวเราะกัน สนุกสนาน ขับรถออกไป ญาณินได้แต่ยืนมองด้วยความเจ็บช้ำ น้ำตาไหลออกมา
ก๊องกับท่านเจ้าที่อ้าปากค้างเมื่อเห็นกรรัมภาในชุดราตรีสวยหรู กำลังหมุนตัวให้ทุกคนชื่นชม
“บร๊ะเจ้า ถ้าก๊องอยากให้พี่แก้มซ้อนท้ายก๊องสักวัน ต้องทำยังไง”
“ขอหลุยส์สักใบ แสนนิดๆ โอเคป่ะ”
“เฮ้อ แบบนี้ใช่มั้ย ที่เค้าเรียกว่าดอกฟ้ากับหมาวัด”
สุคนธรสเดินออกมา
“ยัยรส ขอลางานวันนึงนะ มีธุระด่วน อยู่ดีๆ หมอรุทธ์ก็โทรมานัดชั้นไปทานข้าวที่บ้าน อร๊ายๆ”
“เป็นเอามากกก” ก๊องกับท่านเจ้าที่บอกออกมาพร้อมกัน
“เออ รีบไปรีบกลับแล้วกัน”
“ชั้นไปด้วย” กรรณาบอก
“อะไรๆ แกเกี่ยวอะไรด้วยมิทราบจ๊ะยัยแม่ค้าแบกะดิน”
“แกคิดว่าอยู่ๆ หมอรุทธ์เค้าจะโทรหาแกเองงั้นเหรอ ฝีมือชั้นจ้ะ ชั้นเป็นคนโทรไปนัดคุณหมอหน้าเด้งหน้าภาชนะหุงต้มให้กับแกเอง”

“อะไรนะ”

 
“หมอรุทธ์เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย และไม่มีที่ไหนที่เราจะสืบหาหลักฐานได้ดีเท่ากับการไปที่บ้านของเค้า”
 

“หมอรุทธ์ไม่ใช่คนร้าย เมื่อไหร่แกจะเลิกสงสัยหมอรุทธ์ซะที กัดไม่ปล่อยแบบนี้มันมากไปแล้วนะ”
“งานนี้มีตบแน่ ลุงว่าใครชนะ” ก๊องถามท่านเจ้าที่
“หนูแก้มแน่นอน”
“ชั้นก็ไม่อยากตามกัดแบบนี้หรอก แต่ในเมื่อยังไม่มีอะไรยืนยันว่าหมอรุทธ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของคุณใบหม่อนจริงๆ ชั้นก็ต้องทำแบบนี้แหละ แล้วถ้าแกมั่นใจในความบริสุทธิ์ของหมอรุทธ์ขนาดนั้น แกจะกลัวอะไร...ก็ให้ชั้นไปด้วยสิ สืบให้รู้ จะได้ไม่ต้องกล่าวหาใครลอยๆ แบบนี้”
“ชั้นเห็นด้วยนะแก้ม ไปคนเดียวอันตราย มีเพื่อนไปด้วย อุ่นใจกว่า” สุคนธรสบอก
“แต่ แต่ชั้นอยากจะทานข้าวกับหมอรุทธ์สองต่อสอง”
“โอ๊ย ชั้นอยากไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยจะตายล่ะชิ”

รถของกรรัมภาจอดอยู่ที่หน้าบ้านพักริมทะเลของหมอรุทธ์ กรรัมภาบีบแตรรถ
“โห บ้านใหญ่นะเนี่ย”
ประตูรั้วเปิดออก
“เปิดแล้ว ไป”
“เดี๋ยว” กรรัมภาหันมากำชับกรรณา “ห้ามยุ่ง ห้ามอ่อย ห้ามให้ท่า มองตาก็ไม่ได้ ยิ้มก็ได้แค่เป็นมารยาท และให้ประกาศว่าแกมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว เข้าใจมั้ย”
“ให้บอกว่ามีลูกสามเลยดีมั้ยยะ”
“ดี” กรรัมภาขับรถเข้าบ้านหมอรุทธ์ไป “ยัยกรรณ”
“อะไรอีก”
“ตอนที่แกโทรมานัดหมอรุทธ์ แกบอกเค้ายังไง เค้าถึงยอมให้มาหาที่บ้าน”
“หึๆเดี๋ยวก็รู้”
รถกรรัมภามาจอดหน้าตัวบ้าน ลาภยืนรอสองสาวอยู่หน้าบ้าน
“สวัสดีครับคุณกรรัมภา”
กรรัมภาลงจากรถหันมาเสียงหวานทันที
“สวัสดีค่ะ”
“แล้วคุณ...”
“กรรณา” กรรณาตามลงมา
“ครับ คุณหมอรุทธ์กำลังรอพวกคุณอยู่เลยครับ เชิญครับ”
ลาภเดินนำไป กรรัมภากับกรรณาเดินตาม แขวะกันมาตลอดทาง

ลาภเดินนำกรรัมภากับกรรณาเข้ามาในบ้าน กรรัมภาเดินสง่ารักษาอาการ ในขณะที่กรรณาสอดส่ายสายตามองไปทั่วบริเวณบ้าน ชี้ชวนให้กรรัมภาดูนั่นดูนี่ จนกรรัมภาต้องกระชากตัวให้เดินตามมาดีๆ หมอรุทธ์ยืนรอต้อนรับอยู่ในห้องรับแขก พอเห็นกรรัมภาถึงกับตะลึง
“สวัสดีค่ะหมอรุทธ์ มีอะไรคะ”
“อ้อ เปล่าครับ วันนี้คุณแก้มสวยมากๆ เลยครับ”
“แล้วกรรณล่ะคะ สวยป่ะ”
“ยัยกรรณ”
“คุณแก้มพาเพื่อนมาด้วยเหรอครับ”
“คือ ยัยกรรณอยู่บริษัทคนเดียว สงสารมันน่ะค่ะ ไม่มีคนดูแล ก็เลยต้องพามาด้วย...แต่เดี๋ยวปล่อยมันไปวิ่งเล่นนอกบ้าน ไม่รบกวนอะไรมากหรอกค่ะ”
“ชั้นไม่ใช่หมานะ”
“เชิญคุณกรรณทานข้าวด้วยกันก็ได้นะครับ ผมก็อยากจะรู้จักเพื่อนคุณแก้มด้วย”
“อย่าเลยค่ะ กรรณเห็นหน้าคุณหมอแล้วทานไม่ลงอ่ะ”
“ทำไมครับ”
“เพราะกรรณก็คงจะเอาแต่จ้องหน้าคุณหมอ แล้วก็คิดว่า จมูกนั้นจริงหรือไม่ ตาตึงๆ นั้นปลอมหรือเปล่า”
“ยัยกรรณ มากไปแล้วนะ”
“เอาเป็นว่าเชิญคุณหมอกับคุณเพื่อนตามสบายเลยค่ะ เดี๋ยวกรรณเดินเล่นแถวๆ นี้ รับรองจะไม่ส่งเสียงรบกวนเลยสักแอะ” กรรณาจะเดินไป เห็นตู้ปลาทะเลอีกด้านจึงเสียงดัง “โหววว คุณหมอเลี้ยงปลาด้วยเหรอ”
“ยัยกรรณ”
“แหม ก็แค่ทึ่งนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้หรือไง โอเคๆ ชั้นไปก็...”
กรรณาพูดไม่ทันจบก็ต้องชะงัก เพราะได้ยินเสียงคนร้องไห้เย็นยะเยือกลอยมาตามมุมต่างๆ ในบ้าน จากด้านนั้นที ด้านนี้ที จับทิศทางได้ไม่ชัดเจนนัก กรรณาขนลุกเกรียว
“เป็นอะไร จะไปก็ไปสิ”
“อื้อๆ”
กรรณาจะเดินไปด้านในบ้าน แต่ลาภเรียกไว้
“เชิญด้านนี้ดีกว่าครับ เชิญ”
ลาภเชิญกรรณาไปอีกด้าน

ลาภเดินนำกรรณาออกมาที่ระเบียงนอกตัวบ้าน
“คุณผู้หญิงเดินเล่นริมหาดได้นะครับ เดินไปได้ไกลถึงโขดหินโน่น แล้วตรงนั้นมีร้านขนมหวานเจ้าอร่อยด้วยนะครับ”
“เอ่อ ไม่ดีกว่าค่ะ กรรณกลัวดำ เดี๋ยวขอนั่งที่ระเบียงนี้แล้วกัน”
“ครับ งั้นเดี๋ยวผมให้คนเอาน้ำกับของว่างมาให้นะครับ”
“ไม่ต้องค่ะๆ กรรณอิ่มแล้ว ว่าจะแอบงีบหลับตรงนี้สักหน่อย ลมเย็นสบายดี เชิญคุณลาภตามสบายเถอะค่ะ ไม่ต้องมาดูแลอะไรกรรณหรอก”
กรรณาทำทีจะนอนพัก
“งั้นผมขอตัวนะครับ”
ลาภเดินออกไป กรรณาเด้งขึ้นมา สงสัย อยากเข้าไปค้นหาเสียงที่ได้ยิน
“วิญญาณที่ไหนมาร้องไห้ในบ้านหมอรุทธ์ น่ากลัวชะมัด”

ส่วนที่โต๊ะอาหาร หมอรุทธ์กำลังเสิร์ฟซุปกุ้งให้กรรัมภา
“คุณหมอเสิร์ฟเองเลยเหรอคะเนี่ย”
“ไม่ใช่แค่เสิร์ฟครับ ผมเข้าครัวเองด้วยนะ ลองชิมดูสิครับ แล้วจะรู้ว่าผมไม่ได้มีดีแค่ทำให้คนสวยขึ้น”
“ค่ะ” กรรัมภายิ้มหน้าบาน ขวยเขิน หมอรุทธ์มองหน้ากรรัมภา แล้วยิ้มๆๆ “มองอะไรคะ”
“ผมดีใจมากนะครับที่คุณแก้มโทรมานัดทานข้าวกับผม เราจะได้คุยรายละเอียดเรื่องของเราให้เข้าใจตรงกัน”
“รายละเอียด”
“แหม ก็ตอนที่คุณโทรมานัด คุณบอกว่า คุณตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำหน้ากับคลินิกผมไม่ใช่เหรอครับ”
“อะไรนะคะ”
กรรัมภาอึ้ง แทบพ่นพรวด แต่รักษาอาการได้ทัน หมอรุทธ์รีบส่งผ้าเช็ดปากให้
“ผ้าครับ เราทานให้หมดก่อน แล้วค่อยคุยธุระของเราก็ได้ครับ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ ยัยกรรณ” กรรัมภาคิดแค้นกรรณา

 
กรรณาแอบเดินเข้ามาในบ้านพยายามเงี่ยหูฟัง เสียงผู้หญิงตะโกนพูดอะไรไม่รู้อย่างปวดร้าวดังมา เหมือนสัญญาณวิทยุหรี่ๆ ดับๆ จับความไม่ได้ กรรณาพยายามฟัง

“พูดว่าอะไร เสียงมาจากไหน โอ๊ย นี่ขนาดมีสามจีแล้ว สัญญาณยังติดๆ ดับๆ อยู่ได้ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าอยู่ตรงไหน บ้านก็หลังเล็กมากกก” กรรณาบ่นประชด
กรรณาเดินอีกด้านหนึ่งเปิดเข้าไปดูในห้องต่างๆ แต่ก็ไม่พบอะไร จนกระทั่งถอยกลับออกมาแล้วก็ต้องผงะ เพราะลาภยืนจ้องอยู่
“ว้าย”
“หาอะไรครับ”

ที่โต๊ะอาหารขณะนั้นกรรัมภากินอะไรไม่ลง เพราะไม่อยากผ่าตัด หมอรุทธ์คอยสังเกตอาหาร
“คุณแก้มทานน้อยจังครับ ไม่อร่อยเหรอครับ”
“อร่อยค่ะ แต่แก้ม...”
“แน่ะ คุณแก้มตื่นเต้นที่จะทำหน้าใช่มั้ยครับ”
“หา”
“ไม่ต้องห่วงครับ ทานได้ตามปกติ จะทานเยอะทานน้อย มีผลกับน้ำหนักตัว แต่ไม่มีผลตอนผ่าตัดแน่นอนครับ สบายใจได้”
“ค่ะ” กรรัมภาคิดแค้นกรรณา มือเผลอไปปัดถูกแก้วน้ำหกเลอะ “ว้าย...”
หมอรุทธ์รีบเข้ามาดูแล
“ระวังครับ เปื้อนมากมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ น้ำเปื้อนแค่ถุงมือ ไม่ได้เปื้อนเสื้อผ้าค่ะ”
“ถอดถุงมือออกสิครับ ใส่ทั้งชื้นๆ แบบนี้ มันไม่ดีนะครับ เอ้อ จะว่าไป ตั้งแต่รู้จักคุณมาผมยังไม่เคยเห็นมือคุณแก้มแบบเต็มๆ เลยนะครับ เจอทีไรก็สวมถุงมือตลอด มีความลับที่นิ้งนางข้างซ้ายหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ แก้มยังโสด”
“ไม่เชื่อ”
กรรัมภาตัดสินใจถอดถุงมือออกให้หมอรุทธ์ดูว่านิ้วไม่มีแหวน หมอรุทธ์ยิ้มๆ

อีกด้านขณะนั้นลาภจ้องกรรณาอย่างจับผิด
“อุ๊ย คุณลาภมาพอดี ห้องน้ำไปทางไหนคะ จะราดแล้ว”
“ห้องน้ำ ทางนั้นครับ เลี้ยวไป มีป้ายติดอยู่”
“ขอบคุณค่ะ”
กรรณารีบวิ่งไป ลาภมองตาม

ที่โต๊ะอาหาร กรรัมภาทำท่าจะใส่ถุงมือกลับตามเดิม
“อ้าว จะใส่อีกทำไมครับ ตากให้แห้งก่อนก็ได้ครับ มาๆๆ ผมจัดการให้” หมอรุทธ์ยื่นมือขอถุงมือ กรรัมภาลังเล ก่อนจะส่งให้ “ไว้ตรงนี้ แป๊บเดียวก็แห้ง ทีนี้ก็เชิญทานอาหารต่อครับ”
“ค่ะ” กรรัมภาจะจับช้อน แต่ชะงักมือไว้เล็กน้อย ขยับนิ้วด้วยความลังเล ก่อนจะตัดสินใจจับแล้วก็ไม่เกิดอะไรขึ้น กรรัมภาโล่งใจ “เฮ้อ ไม่น่าคิดมากเลย”
หมอรุทธ์ยกแก้วชูขึ้น รอชน
“คุณแก้มครับ เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีของเราสองคนครับ”
“ค่ะ”
กรรัมภารีบวางมีด แล้วหยิบแก้วขึ้นมา ทันใดนั้นกรรัมภาก็เห็นภาพหมอรุทธ์กำลังนั่งทานข้าวกับวาโย ซึ่งมีใบหน้าเหมือนกับใบหม่อน โดยวาโยหน้าตาเศร้ามาก ทั้งคู่ไม่คุยกัน ต่างคนต่างกิน อีกภาพวาโยในชุดดำนั่งทานข้าวคนเดียว ร้องไห้ไปด้วย
กรรัมภาผงะ ปล่อยแก้วที่อยู่ในมือร่วง
“คุณแก้ม...” กรรัมภารีบผุดลุกจากเก้าอี้ตัวนั้น เพราะในภาพเป็นที่นั่งของวาโย กรรัมภาจ้องมันสลับกับจ้องหมอรุทธ์อย่างตื่นๆ “คุณเป็นอะไรไปครับคุณแก้ม”
กรรัมภาช็อก พูดไม่ออก แต่พยายามระงับอาการไว้
“เปล่าค่ะ เปล่า ไม่มีอะไร”
กรรณาเดินตามเสียงผู้หญิงร้องไห้ไปเรื่อยๆ เสียงร้องไห้ดังเบาๆ แว่วๆ กรรณาฟังไม่ถนัด
“เจ๊ อยากให้ช่วยก็ร้องดังๆ สิ ร้องเบาๆ ใครจะไปหาเจ๊เจอ”
กรรณาเสียงดังทำใจดีสู้เสือ เสียงร้องไห้ดังแง้ โฮๆ ขึ้นตามคำสั่ง กรรณาเดินตามไปทางเสียงซึ่งดังมาจากในบ้าน
ส่วนที่โต๊ะอาหารลาภกำลังเอาที่โกยผงมากวาดเศษแก้ว หมอรุทธ์เอาแก้วใหม่มาตั้ง
“โทษทีนะคะ พอดี มือมันลื่นๆ น่ะค่ะ ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะจ๊ะ” กรรัมภาพูดกับลาภ ลาภหน้าหงิก มองหน้าหมอรุทธ์ที หน้ากรรัมภาที
“ไม่เป็นไรครับ”
“เสร็จแล้วก็ไปสิ”
ลาภหลบตา รีบไป กรรัมภาเลื่อนเก้าอี้ออก มือแตะขอบโต๊ะ ทันทีที่มือแตะโต๊ะก็เกิดภาพนิมิตในหัวของกรรัมภา
ภาพในอดีต วาโยนั่งกินข้าวกับหมอรุทธ์ หมอรุทธ์ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียวทำเหมือนไม่มีวาโยอยู่ร่วมโต๊ะด้วย บรรยากาศน่าอึดอัดมาก วาโยเครียดจ้องหน้าหมอรุทธ์ด้วยดวงตาปวดร้าว
กรรัมภาตาแข็ง ตัวแข็ง ตกตะลึงกับภาพที่เห็น หมอรุทธ์มองกรรัมภา งงๆ
“มีอะไรหรือครับ คุณแก้ม”
“เอ่อ คือ แก้ม แก้ม..อยากได้ อะไรที่ซ่าๆ หน่อยค่ะ คุณหมอมีเครื่องดื่มอะไร ที่ซ่าๆ เช่น น้ำแร่ซ่าๆ”
“อ้อ น้ำแร่ได้ครับ ได้ๆงั้นรอเดี๋ยวนะครับ ขืนเรียกไอ้ลาภ มันจะมาทำหน้างอใส่ผมอีก”
หมอรุทธ์หัวเราะแล้วเดินออกไปทางครัว กรรัมภายืดตัวขึ้น มองไปรอบๆ
“คุณใบหม่อนอยู่ที่นี่ได้ไง หรือเราฟังยัยเนตรมากเลยหลอน เอ๊ะ แต่เราไม่เคยหลอน หรือคุณใบหม่อนเคยอยู่ที่นี่จริงๆ” กรรัมภาสะบัดหน้า “โอ๊ยๆ ไม่รู้ๆ เอาไว้ก่อนแล้วกัน ตอนนี้เธอต้องตั้งสติดีๆ นะจ๊ะแก้ม คอนเซนเทรดกับเดทเท่านั้น ห้ามทำให้เดทดับเด็ดขาด สู้ๆ” กรรัมภาจัดทรงผมตัวเอง แล้วกรีดนิ้วกลางทั้งสองข้างแตะๆ ข้างจมูกซับความมัน ถึงรู้ว่าหน้าตัวเองมันมาก “อี๋”

กรรัมภายกก้นขึ้นจากเก้าอี้ เอื้อมมือดึงทิชชู่ที่อยู่บนโต๊ะ ทันทีที่มือแตะทิชชู่ก็เห็นภาพอีก

 
ภาพในอดีตในห้องนอนของวาโย วาโยร้องไห้โฮ ดึงทิชชู่มาซับน้ำตา หมอรุทธ์เปิดประตูผ่าง วาโยหันไปทำท่าไม่อยากฟัง ปิดหู หมอรุทธ์ด่าฉอดๆ หน้าตาดุร้าย

กรรัมภาสะดุ้งตกใจกับเสียงประตู กระเด้งลุกขึ้นถอยกรูดไปข้างหลัง มือไปแตะชั้นวางของเห็นภาพอีก
วาโยใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดชั้นวางของ หน้าตาเธอมีรอยฟกช้ำจากการถูกซ้อม วาโยเช็ดชั้นวางของแต่สายตาคอยแอบมองหมอรุทธ์ หมอรุทธ์เรียงรูปภาพบรรดาลูกค้าสาวๆ สวยๆ พลางยิ้มพอใจ วาโยเศร้า น้ำตารื้น แล้ววาโยก็เหลือบตามามองกรรัมภาเหมือนจะเห็นว่ากรรัมภาแอบมอง
“ว้าย” กรรัมภาร้องอย่างตกใจ
หมอรุทธ์ถือขวดน้ำแร่ของนอกแบบอัดแก๊ซ มือนึงถือมีดทำครั ชนิดแหลมและคมที่กำลังพยายามตัดขอบฝาขวด พลางยืนจ้องหน้ากรรัมภา
“อะไรครับ”
กรรัมภารู้สึกตัว ปากพูดแต่ขาถอยออกห่าง ภาพหมอรุทธ์ถือมีดดูหลอนๆ
“มีด คุณหมอ ถือมีดมาทำไม”
“อ๋อ ผมพยายามเปิดขวด แต่ฝามันติดๆ ก็เลยต้องใช้มีดตัด”
“อ้อค่ะๆ เอ่อ...เอ่อ...” กรรัมภาแกล้งสะดุ้ง “อุ๊ย! โทรศัพท์ในกระเป๋าสั่น” กรรัมภาเดินไปล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าออกมาหน้าจอไม่มีใครโทรมา “ยัยรสโทรมาค่ะ แก้มขอตัวสักครู่นะคะ” กรรัมภากดโทรศัพท์ แกล้งพูด “ว่าไงจ๊ะรส อะไรนะ ไม่ได้ยินเหรอ สงสัยคลื่นไม่ดี รอเดี๋ยวนะ”
กรรัมภาหันหน้ามายิ้ม ส่งสัญญาณบอกหมอรุทธ์ว่าขอโทรศัพท์แป๊บ หมอรุทธ์ยิ้มรับ กรรัมภาออกไป
“แปลกๆ แต่ก็น่ารักดี”
หมอรุทธ์ยิ้มพอใจ

กรรัมภาแนบโทรศัพท์กับหูถือกระเป๋าสะพาย เดินร้อนใจมาจากทางห้องอาหาร ขณะที่กรรณาเดินเงี่ยหูฟังเสียงมาอีกทาง ทั้งสองร้องพร้อมกัน
“แกฉันได้ยิน/ ฉันเห็น...”
สองสาวจ๊ะเอ๋กัน กรรัมภาชะเง้อมองเข้าไปในบ้านเช็คว่าหมอรุทร์ตามมาไหมแล้วดึงมือกรรณาเข้าไปในห้องน้ำ กรรัมภาล็อคประตูห้องน้ำ กรรณายืนอยู่ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังชัดเจน
“ฮือๆ”
กรรณาปิดหูสองข้าง งอตัว แสบแก้วหูมาก
“แกได้ยินเสียงอะไร”
“ผู้หญิงร้องไห้”
“ผู้หญิง คุณใบหม่อนหรือเปล่า”
“ฉันไม่มีเครื่องวัดระดับเสียงนะโว้ย ถึงจะได้รู้ว่าเสียงใครเป็นใคร โอ๊ย หยุดสักทีได้ไหม หูจะแตกแล้ว ไม่ไหวแล้วกลับไปคุยที่ออฟฟิศแล้วกัน”
กรรณาจะออกไป
“เฮ้ย เดี๋ยว ฉันมีเรื่องจะบอก ” กรรัมภาคว้าตัวกรรณา เท้ากรรัมภาสะดุดผ้าเช็ดเท้า “ว้าย”
กรรัมภาหงายหลังล้มลงไปในอ่างอาบน้ำ
“เย้ย แกเป็นไงมั่ง เจ็บมากมั้ย”
“เจ็บสิเฟ้ย ถามได้”
มือกรรัมภาแตะอ่างอาบน้ำ จู่ๆ ในอ่างก็มีน้ำล้นเอ่อมาท่วมตัวกรรัมภา กรรัมภาตกตะลึง ค่อยๆ หันหน้าไปมองในน้ำข้างหลัง เห็นวาโย ลืมตา อ้าปาก จมอยู่ในน้ำ กรรัมภาอ้าปากค้าง จู่ๆ วาโยผุดลุกขึ้นหน้าและผมเปียกโชก จ้องหน้ากรรัมภาในระยะประชิด ตึ่ง
“ช่วยด้วย”
วาโยบอก กรรัมภาตะเกียกตะกายลุกว้ายในอ่างไม่มีน้ำและผีวาโย เสียงร้องไห้ของวาโยดังระงมสลับกับเสียงกรรัมภา กรรณาโผมาดึงกรรัมภาลุกไปกอด ต่างกลัวตัวสั่น

หมอรุทธ์เดินเร็วๆ ออกมาจากในบ้าน
“คุณแก้ม เกิดอะไรขึ้น” หมอรุทธ์มองหาไม่เห็นกรรัมภา “คุณแก้มอยู่ไหนครับ”
เสียงสตาร์ทรถดังขึ้นจากหน้าบ้าน หมอรุทธ์เดินไปดูเห็นรถของกรรัมภาขับออกไปอย่างเร็ว ท้ายรถส่ายไปมา เพราะคนขับยังตกใจตั้งสติไม่ถูก หมอรุทธ์งง
“จะรีบไปไหนของเขา”
ระหว่างนั้น ผีวาโยในชุดดำหน้าตาเศร้า ยืนอยู่ด้านหลังหมอรุทธ์ หมอรุทธ์เห็นจากหางตาแว่บๆ ก็หันขวับไปมองแต่ไม่เห็นใคร

ที่บ้านสุพิชชา พ่อสุพิชชาลืมตาขึ้นมาช้าๆ ที่โซฟาข้างๆ เตียง หมอวรวรรธนอนหลับอยู่ พ่อสุพิชชามองหมอวรวรรธอย่างทึ่งๆ ซึ้งใจ สุพิชชาเปิดประตูเข้ามา
“หมอตาหนู มันค้างที่นี่หรือ”
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ”
“นี่ พ่อหลับไปนานมากสินะ”
“คุณพ่อหลับไป2 วัน กับ1 คืน...หนูนึกว่า...”
“นึกว่าพ่อตายหรือ”
“ค่ะหนูนึกว่าคุณพ่อโคม่า แต่อาจารย์หมอสุทัสน์มาดู บอกว่าคุณพ่อแค่หลับเฉยๆ แล้วตาหนูเค้าก็มาอาสาเฝ้าดูอาการคุณพ่อ เมื่อคืนเค้าไม่ได้นอนทั้งคืน เพิ่งหลับไปเมื่อเช้า”
“แบบนี้มันแปลว่า...”
“เราคือลูกกับหมอตาหนู คงกลับจะมารักกันเหมือนเดิมแล้วล่ะค่ะ”

สุพิชชากอดพ่อ และมองหมอวรวรรธที่ยังหลับปุ๋ย

จบตอนที่ 12

อ่านต่อตอนที่ 13 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
กำลังโหลดความคิดเห็น