หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 14 อวสาน
ภายในโกดังริมน้ำ อนงค์ถูกผลักให้ลงไปนอนบนเตียง ก่อนที่อิทธิหาญจะรีบตามขึ้นไปด้วยสายตาหื่นกระหาย อนงค์กระเถิบหนีด้วยความกลัวและตกใจสุดขีด ชูศักดิ์ และโปรยปรี่เข้ามาจับตัวอนงค์ไว้คนละข้าง อิทธิหาญค่อยๆกระเถิบเข้ามาใกล้ ก่อนจะใช้มือลูบไปบนใบหน้า อนงค์รู้สึกกลัวและขยะแขยงจนร้องไห้โฮออกมา
“อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา”
พงษ์เลิศ ปาน และทนงเดินเข้ามา
“ใจเย็นซิจะรีบร้อนไปไหน รอให้งานเสร็จก่อนซิ ยังไงนังเด็กนี่ก็เป็นของแกอยู่แล้ว” พงศ์เลิศบอก
“มันก็ต้องหาอะไรทำแก้เซ็งบ้างซิพ่อ กว่าไอ้พวกนั้นจะมาอีกตั้งหลายชั่วโมง”
“นี่พวกแกจับฉันมาทำไม”
“อยากรู้ก็จะบอก ว่าเธอคือพาสปอร์ตออกนอกประเทศของพวกฉัน”
“แล้วถ้าไอ้ศิวัชมันไม่ยอมเซ็นยกเลิกคำสั่งออกนอกประเทศของพวกเราล่ะ”
“มันไม่ยอมให้แฟนของน้องชายแฟนมัน ตายไปต่อหน้าต่อตาหรอกพ่อ”
“แล้วถ้ามันเซ็นให้เราเมื่อไหร่ ก็ถึงเวลาที่เราจะส่งไอ้สองพี่น้องนั่นลงไปพบกับพ่อแม่มันในนรกซักที”
“ไอ้พวกเลว พี่ดลไปทำอะไรให้แก แกถึงต้องทำกับพวกเค้าแบบนี้”
“แค่พวกมันยืนขวางทางผลประโยชน์ ก็มีโทษสมควรตายแล้ว”
พงษ์เลิศ และอิทธิหาญหัวเราะอย่างสะใจ
“ผมคันไม้คันมืออยากฆ่าพวกมันเต็มทีแล้ว เห็นทีต้องส่งตัวเร่งให้พวกมันมาที่นี่ไวๆซะแล้ว”
อิทธิหาญหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ๆอนงค์ที่พยายามขยับตัวหนี
“จับมันไว้ให้นิ่ง”
ปาน ชูศักดิ์ โปรย ทนงเข้ามาจับตัวอนงค์ไว้ อิทธิหาญเดินเข้าไปใกล้ แล้วฉีกเสื้อจนขาดเห็นหัวไหล่ขาว อนงค์กรีดร้องด้วยความตกใจด้วยความกลัวอย่างสุดๆ อิทธิหาญมองอนงค์ด้วยสายตาหื่นๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วหันกล้องไปทางอนงค์
ระบิลที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วนั่งอยู่ที่เก้าอี้ชุดรับแขก ก่อนจะจามออกมาเสียงดัง
“ฮ้าดเช่ย !”
เนติมาเดินถือถาดใส่ยาและแก้วน้ำมาให้ระบิล
“แค่นี้ก็เป็นหวัดแล้วเหรอ นายนี่อ่อนแอกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลยนะ แต่ไม่เป็นไรฉันจะดูแลนายเอง”
“เฮ้ยๆนั่นมันคำพูดผม อย่างคุณเนี่ยนะจะดูแลอะไรผมได้ ฮ้าด เช่ย !!”
“อย่างน้อยก็ทำกับข้าวให้นายกินได้ละกัน”
ระบิลตกใจ สะดุ้ง
“เย้ย! อย่างนั้นมันเรียกประทุษร้ายกันมากกว่า คุณไม่เคยทำกับข้าวเลยไม่ใช่เหรอ”
“ใช่! และนายจะเป็นคนแรกที่ได้กิน” เนติมาตอบอย่างมั่นใจมาก
เนติมายิ้ม ก่อนจะเดินไปทางครัวด้วยความมั่นใจ ระบิลตะโกนตามแซว
“รอกินอะไรล่ะ ผมว่ารอท้องเสียมากกว่า”
เนติมาเดินหายเข้าไปในครัวแล้ว ระบิลยิ้มออกมาด้วยความปลื้มใจ
“เอาวะ ตายเป็นตาย ...ฮ้าด เช่ย!”
ระบิลเอื้อมมือไปหยิบกระดาษทิชชูเป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือของระบิลดังขึ้น ระบิลกดรับด้วยน้ำเสียงมีความสุขสุดๆ
“ว่าไงคร๊าบ พี่จิ๊ก”
จิ๊กปล่อยโฮ...ร้องไห้ดังออกมาจากโทรศัพท์ ระบิลหน้าเครียดทันที
ภายในห้องนอน จิ๊กที่หน้าตาสะบักสะบอมกำลังร้องไห้ฟูมฟายปริ่มจะขาดใจ
“ระบิล ! ปานเป็นคนฆ่าพี่ก้อง ...ปานเป็นคนฆ่าพี่ก้อง ...พี่ขอโทษ พี่มันโง่เอง ยกโทษให้พี่ด้วยระบิล”
จิ๊กร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเสียใจและเจ็บปวดแบบที่ไม่เคยเป็นมาในชีวิต
เนติมาใส่ผ้ากันเปื้อนเดินอารมณ์ดีออกมาจากห้องครัว
“นี่ นายเอากระทะ ตาหลิว น้ำมันไปเก็บซ่อนไว้ตรงไหน ฉันหาไม่...”
เนติมาชะงักเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ระบิลยืนกำมือโทรศัพท์แน่น ไหล่สั่นเทิ้มด้วยความโกรธ เนติมาตกใจรีบเข้าไปดู เห็นระบิลหน้าเครียด ดูน่ากลัว
“นี่เกิดอะไรขึ้น นายเป็นอะไร”
“มันฆ่าพี่ชายผม ผมจะฆ่ามัน !”
ระบิลวิ่งไปเปิดลิ้นชักจะหยิบปืน เนติมารีบไปขวางไว้
“นายจะทำอะไรบ้าๆแบบนั้นไม่ได้นะระบิล ชีวิตกับอนาคตนายมีค่าเกินกว่าจะไปแลกกับคนชั่วๆแบบนั้น”
“ผมไม่สนอะไรทั้งนั้น ผมจะฆ่ามัน ผมจะแก้แค้นให้พี่ชายผม มันทำกับพี่ชายผมยังไง มันต้องเจ็บกลับกว่าสิบเท่า”
“ถ้านายทำแบบนั้นก็ไม่ต่างกับคนพวกนั้นหรอก”
“ผมไม่แคร์ มันฆ่าคนที่รักผม ตอนนี้ผมไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว ...”
“นายยังเหลือฉันไง ฉันอยู่ตรงนี้นายไม่เห็นเหรอ”
ระบิลอึ้งน้ำตาไหล เนติมาค่อยๆขยับเข้าไปกอดระบิลไว้แน่น
“ตอนนี้ฉันเหลือแค่นายจริงๆ นายอย่าไปนะ...อย่าทิ้งฉันไป ถ้านายเป็นอะไรไป ฉันจะอยู่ยังไง”
ระบิลกอดเนติมาแน่น
“ผมไม่ไปไหนแล้ว ..ผมขอโทษที่วู่วาม”
“ฉันเข้าใจนายทุกอย่างเพราะฉันก็รู้สึกไม่ต่างจากนาย ฉันสัญญานะว่าจะช่วยนายจับพวกนั้นเข้าคุกให้ได้ แต่นายต้องสัญญาว่าจะไม่วู่วามแบบนั้นอีก ฉันกลัว ฉันไม่อยากเสียนายไป”
“คุณจะไม่มีวันเสียผมไป ผมจะอยู่กับคุณเท่าที่คุณต้องการ”
“นายสัญญานะ”
“ผมสัญญา อย่าร้องไห้เพราะผมเลยนะ”
ระบิลค่อยๆเอามือเช็ดน้ำตาให้เนติมาอย่างแผ่วเบา ทั้งคู่ประสานสายตากันนิ่งนาน ความรู้สึกที่มีอยู่ภายในของทั้งสองก็ไม่อาจเก็บกดมันเอาไว้ได้อีก ระบิลค่อยๆก้มหน้าลงไปจะจูบเนติมา เนติมาค่อยๆหลับตาพริ้มรอรับจูบที่ใกล้เข้ามา .....บรรยากาศเคลิ้มหวาน แต่ยังไม่ทันที่ริมฝีปากของทั้งคู่จะสัมผัสกัน
ศิวัชเปิดประตูบ้านเข้ามาและช็อกกับภาพที่เห็นตรงหน้า
“เนติ์!”
เนติมาลืมตาขึ้นมองเห็นศิวัชยืนกำมือแน่นท่าทางโกรธมาก เนติมารีบผละออกจากระบิล กำลังจะอ้าปากพูดแต่ศิวัชไม่ฟัง รีบเดินหันหลังกลับออกไปทันที
ระบิลและเนติมาช็อกรีบตามศิวัชออกไปทันที
ศิวัชเดินผลุนผลันปึงปังออกมาทั้งโกรธ ผิดหวัง และเสียใจมาก เนติมาและระบิลรีบตามออกมา
“พี่ศิวัชคะ”
ศิวัชหยุด ก่อนจะหันไปมองระบิลเนติมาด้วยหน้าตาเจ็บปวด
“ทำไมเนติ์ทำกับพี่แบบนี้”
“คุณศิวัชครับ คุณกำลังเข้าใจผิดนะครับ”
“เข้าใจผิดงั้นเหรอ ...”
เสียงสัญญาณข้อความของโทรศัพท์เนติมาดังขึ้น เนติมาแปลกใจรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู ก่อนจะทำหน้าช็อกสุดขีด
ศิวัชกำลังเอาเรื่องกับระบิล
“เห็นขนาดนี้ นายยังแก้ตัวว่าเข้าใจผิดเหรอ”
เนติมาโวยวายขึ้นมา
“แย่แล้ว เกิดเรื่องแล้วค่ะ ”
ศิวัชและระบิล หยุดทะเลาะรีบหันไปทางเนติมาที่กำลังหน้าเสีย
“พวกนายพงษ์เลิศ มันจับตัวอ้อไปแล้ว”
บริเวณริมถนนย่านคลองถม ยศวีร์ซึ่งซื้อเครื่องเล่นเทปได้แล้วรับโทรศัพท์เนติมาด้วยสีหน้าตกใจ
“ว่าไงนะ อ้อโดนพวกไอ้พงษ์เลิศจับไป ไม่จริง ผมไม่เชื่อ”
“ตอนแรกพี่ก็นึกว่ามันขู่ แต่มันส่งรูปอ้อมาด้วย”
ยศวีร์รีบกดโทรศัพท์เพื่อรับภาพที่เนติมาส่งต่อมาให้
ที่หน้าจอโทรศัพท์รูปของอนงค์ เสื้อผ้าขาดจนดูเหมือนโป๊ ร้องไห้ หวาดกลัวโดยมีอิทธิหาญยื่นหน้าเข้ามาเหมือนไซ้ซอกคออยู่ ยศวีร์โมโหจนตัวสั่นไปทั้งตัว
“พวกมันอยู่ที่ไหนผมจะไปช่วยอ้อ”
“ดลต้องทำใจดีๆ ตั้งสติ นี่เป็นแผนที่พวกมันวางล่อพวกเรา ถ้าดลวู่วามทุกคนจะเป็นอันตราย โดยเฉพาะอ้อ”
“แล้วผมต้องทำยังไง ผมต้องทำยังไง”
“ดลต้องกลับไปที่บ้านไปบอกลุงคำเที่ยง แล้วติดต่อขอกำลังผู้กำกับวิเชษฐ์ ให้มาช่วย แล้วพี่จะตามไปสมทบเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ”
“พี่สัญญาว่า พวกเราจะช่วยอ้อออกมาอย่างปลอดภัย”
ยศวีร์วางโทรศัพท์ ก่อนจะตัดสินใจวิ่งเต็มแรงฝ่าฝูงคนมากมายบนถนนนั้นออกไปทันที
เนติมาวางโทรศัพท์หันไปมองระบิล และ ศิวัช บรรยากาศเราสามคนยังอึดอัดตึงเครียดอยู่
“เนติ์จะไปช่วยอ้อ”
“คุณจะไปคนเดียวได้ยังไง ผมจะไปช่วยด้วย”
ระบิลรีบวิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบอาวุธ เหลือเนติมาและศิวัชยืนอยู่ด้วยกันในบรรยากาศอึดอัดมาก เนติมามองหน้าศิวัชที่เบือนหน้าหลบตา ระบิลวิ่งออกมาพร้อมอาวุธ และ กุญแจรถ
“รีบไปกันเถอะ เรื่องอื่นค่อยมาจัดการทีหลัง ยังไงชีวิตคนก็สำคัญกว่า”
ระบิลและเนติมารีบวิ่งออกไป ศิวัชหันไปมองตามอย่างครุ่นคิด
ระบิลและเนติมากำลังจะขึ้นรถ ศิวัชรีบเดินเข้ามา
“ผมจะไปด้วย !”
ระบิลและเนติมาหันมามองศิวัชแปลกใจ
“พวกคุณไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะคนที่พวกมันต้องการเจอก็คือ ผม”
ศิวัชเดินไปไขกุญแจรถของตัวเองที่จอดอยู่ข้างๆรถระบิล ก่อนจะหยิบปืนออกมาเหน็บที่เอวเตรียมพร้อม
“รีบไปกันเถอะ”
ศิวัชเดินไปเปิดประตูรถ แล้วขึ้นไปนั่ง เนติมาและระบิลพยักหน้ากันก่อนจะรีบขึ้นรถทันที
บรรยากาศในรถดูอึดอัด ระบิลขับรถอยู่ แอบมองกระจกหลัง เห็นศิวัชกำลังจ้องหน้าระบิลเป๋งด้วยท่าทางเอาเรื่อง ระบิลรีบหลบตา ก่อนจะเหลือบหันไปมองเนติมาที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่กำลังมองระบิลอยู่ด้วยสายตาขอบคุณและให้กำลังใจ ระบิลพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ศิวัชมองภาพระบิลและเนติมามองหน้ากันอย่างเจ็บปวดแต่จำต้องนิ่ง
ห้องโถงกลาง ภายในบ้านกันต์ คำเที่ยงทรุดลงกองกับพื้น ยศวีร์ ขวัญชนก และ เจือจันทร์ต้องช่วยกันประคองไปนั่งที่โต๊ะ ยศวีร์ก้มลงกราบคำเที่ยง พร้อมร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“ผมขอโทษนะครับที่ช่วยน้องโกหกพ่อ ผมไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ถ้าอ้อเป็นอะไรไปผมจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย”
ยศวีร์กอดคำเที่ยงร้องไห้เสียใจ กันต์ปรึกษาเจือจันทร์ ขวัญชนกด้วยความเป็นห่วง
“ขวัญโทรเล่าเรื่องให้ผู้กำกับวิเชษฐ์ฟังแล้วใช่มั้ย” กันต์ถาม
“ค่ะ ผู้กำกับบอกว่าจะตามไปช่วยไม่ต้องห่วงนะคะ”
“งั้นพวกเรารีบตามไปสมทบกับหนูเนติ์ดีกว่า” เจือจันทร์ว่า
“ทุกคนไม่ต้องไปครับ ผมจะไปเอง ถึงเวลาที่ผมกับพี่เนติ์ต้องปิดบัญชีแค้นทุกบัญชีแล้วครับ”
“แต่ว่ามันอันตรายนะดล” กันต์ว่า
“ผมจะไปด้วย ผมต้องไปช่วยลูกสาวของผม” คำเที่ยงบอก
ยศวีร์มองหน้าคำเที่ยงที่พยักหน้าบอกลูกชาย
“แล้วพ่อไม่โกรธผม...”
“นี่ไม่ใช่เวลามาโกรธอะไรกันทั้งนั้น รีบไปกันเถอะ”
ยศวีร์ช่วยพยุงคำเที่ยงออกไป เจือจันทร์ ขวัญชนก และ กันต์ มองตามทั้งสองคนด้วยความเป็นห่วง
“ระวังตัวกันด้วยนะ”
“หวังว่าทุกคนคงช่วยอ้อได้สำเร็จนะคะ” ขวัญชนกบอก
ขวัญชนก เจือจันทร์ และ กันต์มองหน้ากันด้วยความกังวล
ภายในโกดังในเวลาต่อมา ได้มีการปะทะกัน กลุ่มของเนติมาเข้าช่วยเหลืออนงค์สำเร็จ คำเที่ยงเสียชีวิต ส่วนอิทธิหาญและลูกน้องทั้งหลายเสียชีวิต ระบิลได้รับบาดเจ็บ ส่วนพงษ์เลิศหนีไปได้เพียงคนเดียว
พงษ์เลิศวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกมาจากโกดังเมื่อเห็นผู้กำกับวิเชษฐ์และตำรวจอีก 2-3 คนกำลังตามหาตัวอยู่
พงษ์เลิศรีบหาที่กำบังหลบซ่อนทันที ผู้กำกับวิเชษฐ์และตำรวจ 2-3 นายเดินผ่านไปโดยที่มองไม่เห็นพงษ์เลิศ
พงษ์เลิศออกมาจากที่ซ่อนแล้วถอนใจอย่างโล่งอกก่อนหันกลับไปมองโกดัง ทั้งเศร้าและแค้น
“ไม่ต้องห่วง ! พ่อจะกลับมาแก้แค้นให้แก้แน่ “
พงษ์เลิศมองซ้าย มองขวา ก่อนจะรีบวิ่งหายเข้าไปในป่า โดยไม่มีใครเห็น
ภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เนติมาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องด้วยท่าทางกระวนกระวาย ศิวัชได้รับบาดเจ็บที่แขนนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องด้วยความสงบ แต่สายตาจับจ้องไปที่เนติมาที่มีท่าทางเป็นห่วงระบิลอย่างเห็นได้ชัด ศิวัชตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปหาเนติมา
“เนติ์...”
เนติมาหันมากอดศิวัชอย่างเสียขวัญ
“พี่ศิวัช ถ้าเค้าเป็นอะไรไปเนติ์จะทำยังไง ระบิลเค้าไม่น่าทำอะไรโง่ๆแบบนั้นเลย”
“ถ้าพี่อยู่ตรงนั้น พี่ก็จะทำแบบระบิลเหมือนกัน ไม่มีผู้ชายคนไหนยอมปล่อยให้ผู้หญิงที่ตัวเองรักเป็นอะไรได้หรอก”
เนติมามองหน้าศิวัชอย่างอึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก ศิวัชกลับยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นเหมือนเคย
“เชื่อพี่ซิว่าระบิลจะปลอดภัย”
“พี่ศิวัช”
ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก หมอเดินออกมา เนติมารีบเข้าไปหาหมอ ศิวัชรีบเดินตามเข้าไป
“ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ โชคดีที่กระสุนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ แต่ก็คงต้องพักฟื้นนานหน่อย”
เนติมาโล่งอกยิ้มออกมาได้
“ผมขอความกรุณาคุณหมอช่วยดูแลคนไข้รายนี้อย่างดีที่สุดนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับท่าน เราจะดูแลเค้าอย่างสุดความสามารถครับ”
เนติมาหันมองศิวัชด้วยความซาบซึ้งใจ หมอเหลือบไปเห็นแผลที่แขนของศิวัชก็ตกใจ
“ท่านเองก็มีแผลนี่ครับ ผมว่าท่านรีบไปทำแผลก่อนดีกว่า เชิญครับ”
หมอผายมือเชิญให้ศิวัชไป ศิวัชลังเลแต่หันไปเห็นเนติมาพยายามชะเง้อหน้ามองเข้าไปในห้องผ่าตัด ศิวัชยิ้มเศร้าๆ ก่อนตัดสินใจเดินตามหมอออกไป
พยาบาลทำแผลให้ศิวัชเสร็จกำลังจะเดินออกไปจากห้อง ก็สวนกับธำรงที่เปิดประตูสวนเข้ามาพอดี ธำรงเดินเข้าไปเอาเรื่องศิวัช
“แกคิดยังไงของแกถึงเอาตัวไปเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้ ถ้าแกเป็นอะไรไปจะทำยังไง อย่าลืมซิว่าตอนนี้แกไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้”
“ผมแค่ทำตามสัญญาที่พวกเราเคยให้ไว้กับเนติ์ว่า จะช่วยจัดการกับคนที่ฆ่าพ่อแม่ของเค้า คุณพ่อคงไม่ได้ลืมสัญญานั้นไปใช่มั้ยครับ”
“ก็แค่จัดการปลดพวกมันออกจากอำนาจแล้วเอาขึ้นศาลยังไม่พอรึไง”
“นั่นคุณพ่อแน่ใจเหรอครับว่าทำเพื่อเนติ์ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง”
ธำรงสะอึกจ้องมองหน้าศิวัชด้วยความโกรธ กำลังจะอ้าปากด่า แต่ปฎิพรเข้ามาในห้องพอดี ธำรงรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มต้อนรับทันที
“อ้าว หนูตี้มารวดเร็วทันใจดีจริงๆ เคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยใช่มั้ย”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ คุณลุงจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จะไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ พี่ศิวัชเป็นยังไงบ้างคะ เจ็บมั้ยคะเนี่ย แผลใหญ่เชียว”
ศิวัชหน้าตึงเล็กน้อยแล้วบอก
“ไม่เป็นไรมากหรอกครับ มีคนเจ็บมากกว่าพี่อีก”
“ตี้ขออาสาเป็นคนพาพี่ศิวัชมาทำแผลทุกวันได้มั้ยคะ”
“คือว่าพี่...”
ศิวัชยังไม่ทันพูดอะไร ธำรงรีบพูดแทรกขึ้นมา
“หนูตี้ดูแลเจ้าศิวัชดีแบบนี้ เห็นทีลุงคงต้องไปคุยกับท่านนายพลให้หนูตี้มาดูแลเป็นการถาวรดีมั้ย”
ปฎิพรหัวเราะแบบขำๆอายๆแล้วบอก
“คุณลุงน่ะ พูดอะไรก็ไม่รู้ ..พี่ศิวัชเค้าอาจไม่อยากให้ตี้ดูแลก็ได้”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกหนูตี้ ใช่มั้ยศิวัช”
ศิวัชหน้านิ่ง ขรึมลงทันทีและไม่ยอมตอบ ธำรงมองศิวัชอย่างไม่พอใจแต่ต้องเก็บอาการทำเป็นหันไปยิ้มกับปฎิพรที่แอบหน้าเสียไม่แพ้กัน
ในเวลากลางคืน ขวัญชนกยืนคุยโทรศัพท์ ในขณะที่สายตาก็เหลือบไปมองอนงค์ที่นั่งร้องไห้อยู่ โดยมี ยศวีร์ เจือจันทร์ กันต์ และผู้กำกับวิเชษฐ์คอยปลอบอยู่
“ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอกเนติ์ อยู่ดูแลคุณระบิลเถอะ เรื่องงานศพลุงคำเที่ยง ฉันกับผู้กำกับจะจัดการให้เองนะ”
“ทำให้เธอต้องลำบากอีกแล้ว” เนติมาว่า
“ไม่ลำบากหรอก ยังไงนี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะลำบากแล้วนี่”
“ตราบใดที่ที่นายพงษ์เลิศยังไม่โดนจับ เรื่องก็ยังไม่จบหรอก”
“อย่าเพิ่งคิดเรื่องนั้นเลย เธอเหนื่อยมาทั้งวันเลยนี่ พักผ่อนบ้างนะ”
“จ๊ะ”
ขวัญชนกวางโทรศัพท์ไปก่อนจะเดินเข้าไปหากอดปลอบอนงค์ที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่
“เพราะอ้อคนเดียว ถ้าอ้อไม่โกหก ไม่ดื้อ เชื่อที่พ่อบอก พ่อก็ไม่ต้องมาตายแบบนี้”
“ไม่ใช่อ้อคนเดียวหรอกพี่ก็ผิดเหมือนกัน” ยศวีร์ว่า
“ไม่มีใครผิดทั้งนั้นแหละ โทษตัวเองไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้แล้ว” กันต์บอก
“คิดว่าพ่อเค้าไปสบายแล้วนะหนูอ้อ” เจือจันทร์ปลอบ
“คนที่จากไปเค้าพ้นทุกข์ไปแล้ว แต่พวกเราที่ยังเหลือนี่ซิ ยังต้องลำบากกันไปอีกนาน”
ยศวีร์จับมืออนงค์และมองด้วยสายตาจริงจังอย่างให้สัญญา
“อ้อไม่ต้องห่วงนะ พี่จะดูแลอ้ออย่างดีที่สุด เหมือนอย่างที่พ่อเคยดูแล ต่อจากนี้อ้อคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพี่”
อนงค์โผเข้ากอดยศวีร์
“พี่ดล”
ยศวีร์ลูบผมอนงค์อย่างปลอบใจแต่สีหน้าเศร้าและเสียใจไม่แพ้กัน กันต์ เจือจันทร์ และ ขวัญชนก มองทั้งคู่ด้วยความสงสารและเห็นใจสุดๆ
เช้าวันต่อมา ภายในห้องพิเศษ เนติมาที่เฝ้าไข้ระบิลอยู่ นั่งดูข่าวในโทรทัศน์อยู่ในห้องคนไข้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ภาพในจอทีวีเสนอข่าวพงษ์เลิศ และทนายความที่เดินออกมาถึงที่จอดรถในสถานีตำรวจ กำลังจะขึ้นรถตู้ ด้วยท่าทางสบายใจ ไร้ความกังวลสุดๆ ผู้สื่อข่าว รายงานข่าวอยู่ไม่ไกล
“ วันนี้นายพงษ์เลิศ ชัยธวัช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวง...ที่เพิ่งถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และถูกดำเนินคดีหลายคดี ทั้งคดีคอรัปชั่น ทุจริตการจัดซื้อ จัดจ้างในหลายรัฐบาล รวมทั้งคดีการเสียชีวิตของ คุณวิเชียร และ คุณพรรณศรี อิสราวัชร อดีตนักธุรกิจใหญ่ผู้เคยให้การสนับสนุนพรรคที่นายพงษ์เลิศเคยเป็นสมาชิกคนสำคัญได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ เพื่อขอต่อสู้คดีในชั้นศาล โดยขอยื่นประกันตัวไปด้วยวงเงิน 10 ล้านบาท”
นักข่าวกำลังรุมยื่นไมค์รวมสัมภาษณ์พงษ์เลิศ
พงษ์เลิศพูดกับผู้สื่อข่าวอย่างใส่อารมณ์สุดๆ
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ทุกอย่างเป็นเกมการเมือง ผมถูกใส่ร้าย มีคนอยากดิสเครดิตผม”
“คนที่คุณพงษ์เลิศพูดนี่หมายถึงใครคะ”
“ผมไม่ต้องพูดพวกคุณก็คงรู้ว่าใคร” พงษ์เลิศพูดพลางยิ้มร้าย
“แล้วการเสียชีวิตของคุณวิเชียรและคุณพรรณศรี อิสราวัชร”
พงษ์เลิศรีบตะโกนแทรกขึ้นมา
“ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
ทนายความของพงษ์เลิศรีบกันพงษ์เลิศขึ้นรถตู้ ก่อนจะปิดประตูและขับออกไป
เนติมามองข่าวในทีวีกำมือแน่น เครียด ระบิลที่ตื่นขึ้นแล้วนอนมองเนติมาด้วยความเป็นห่วง
“ถึงวันนี้กฎหมายจะยังเอาผิดกับเค้าไม่ได้ แต่เค้าก็ไม่มีวันหนีเวรกรรมจากสิ่งที่ตัวเองก่อไว้ได้หรอก”
เนติมารีบเข้าไปหาระบิลด้วยความเป็นห่วงจนอยากจะร้องไห้
“นายเป็นยังไงบ้างเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“จะให้เจ็บตรงไหนได้ล่ะคุณ มันก็ต้องเจ็บตรงที่โดนยิงน่ะแหละ คุณนี่ปากพระร่วงจริงๆ พอบอกว่าอยากจะดูแลผม ผมเลยต้องมานอนเจ็บให้ดูแลจริงๆด้วย”
“งั้นก็หมายความว่าฉันยังติดหนี้ทำอาหารให้นายมื้อนึงใช่มั้ย”
“อันนั้นผมยกหนี้ให้เลยกลัวอาหารของคุณจะทำให้ผมเจ็บหนักกว่านี้”
“งั้นฉันไม่ทำให้กินก็ได้ เชอะ นายดูแลตัวเองก็แล้วกัน”
เนติมางอนหยิบกระเป๋าทำเป็นแกล้งจะเดินออกไป ระบิลรีบเอื้อมมือไปจับแขนเนติมาไว้
“สำหรับผม แค่คุณมาอยู่ตรงนี้ ผมก็อิ่มความสุขจะแย่แล้ว”
“น้ำเน่ามากเลยรู้มั้ย”
“รู้ แต่ทำไงได้ ผมมันน้ำเน่าเข้ากระแสเลือดแล้วนี่คุณ”
ระบิลและเนติมามองหน้ากัน ทั้งเขิน ทั้งขำ
ประตูห้องเปิดออก ขวัญชนก ผู้กำกับวิเชษฐ์ อนงค์ และ ยศวีร์เดินเข้ามา เห็นเนติมาและระบิลจับมือกัน ก็ชะงัก
“อุ๊ย ผมว่าเรามาผิดจังหวะนะครับเนี่ย” ยศวีร์ว่า
“ใครว่าผิด ไม่ผิดหรอก พอดีเป๊ะเลย” ผู้กำกับวิเชษฐ์บอก
เนติมาอายรีบสะบัดมือออก ก่อนจะรีบผละออกจากระบิล แล้วพยายามทำตัวปกติ ระบิลรีบโวย
“มารยาทน่ะมีมั้ย ประตูน่ะเค้ามีให้เคาะ พรวดพราดมายังกับจะรีบไปจับผู้ร้ายที่ไหน”
“อย่างน้อยเราก็จับผู้ร้ายปากแข็งได้แหละ”
“เนติ์ว่าเนติ์ออกไปหาอะไรทานดีกว่า”
อนงค์ชูถุงอาหารเพียบขึ้นโชว์
“ไม่ต้องไปหรอกค่ะพี่เนติ์ พวกเราซื้อมาให้เพียบเลย”
“งั้นพี่ขอลงไปซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่าน”
ขวัญชนกโชว์ถุงบ้าง
“ทั้งหนังสือพิมพ์ นิตยสารพวกเราซื้อมาให้แล้ว กลัวคุณระบิลเบื่อ”
“พี่เนติ์ก็บอกมาตรงๆเถอะน่าว่าเขิน” ยศวีร์บอก
เนติมามองหน้าทุกคนที่รู้ทันแบบอายๆ ก่อนจะรีบเดินออกไปด้วยความเขิน ผู้กำกับวิเชษฐ์รีบสะกิดขวัญชนกให้ตามออกไป วิเชษฐ์หันมามองหน้าระบิลล้อๆ
“แบบนี้ ท่าทางจะแฮปปี้เอนดิ้งนะ”
“มันไม่ใช่อย่างที่แกทุกคนคิดหรอก”
“ทำไมละครับ มีปัญหาอะไรอีก”
ภาพในทีวีตอนนี้เป็นภาพของศิวัชกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวประเด็นต่างๆ ระบิลสีหน้าขรึมลง วิเชษฐ์มองในทีวีก็รู้ว่าปัญหานั้นคืออะไร ได้แต่ตบบ่าให้กำลังใจระบิลอย่างเข้าใจ
อ่านต่อหน้า 2
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)
ภายในห้องอาหาร ขวัญชนกมองเนติมาที่กำลังกินอาหารด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนสุดๆก่อนจะโพล่งออกมา
“ตกลงเธอกับคุณระบิลลงเอยกันแล้วใช่มั้ย”
เนติมาตกใจถึงกับช้อนหลุดมือ ก่อนจะรีบอธิบาย
“ลงเอยอะไร ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะขวัญ”
“ก็เมื่อกี้เห็นๆกันอยู่ ฉันดีใจนะที่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้สักที”
“ตอนนี้ในหัวของฉันมีแค่เรื่องเดียวคือเรื่องที่ต้องให้นายพงษ์เลิศเข้าคุกให้ได้”
เนติมาพูดกับขวัญชนกด้วยสายตามุ่งมั่นจริงจัง
“จะกลัวอะไร หลักฐานสำคัญเธอก็ได้แล้วเธอชนะเห็นๆ”
“ไม่แน่หรอกนะ ลองถ้าคนอย่างนายนายพงษ์เลิศกล้าเดินกลับมามอบตัว ยอมสู้คดีแล้วละก็ เค้าคงต้องมีอะไรดีๆแน่ เพราะฉะนั้นฉันต้องไม่ประมาท แล้วก็ไม่ว่อกแว่กกับอะไรทั้งนั้น”
“แล้วเธอจะปล่อยให้เรื่องของเธอ คุณระบิล แล้วก็คุณศิวัชไว้แบบนี้น่ะเหรอ”
เนติมาถอนหายใจหน้าเศร้า ขวัญชนกมองเนติมาอย่างเห็นใจ
ภายในโถงบ้านกันต์ ผู้กำกับวิเชษฐ์ปิดเครื่องเล่นวิทยุที่กำลังเล่นเทปหลักฐานสำคัญ ก่อนจะมองหน้ายศวีร์และเนติมาด้วยความมั่นใจ
“หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ผมว่า พงษ์เลิศมันดิ้นไม่หลุดแน่ครับ”
“แต่ผมได้ข่าวว่า พงษ์เลิศจ้างทีมทนายมือหนึ่งไว้สู้คดีทั้งหมดเห็นว่าทนายแต่ละคนเคยแก้ต่างให้คดีผิดเป็นถูกมาแล้วทั้งนั้น” กันต์ว่า
“แต่ยังไงความจริงก็คือความจริง เค้าฆ่าพ่อแม่ผม เค้าก็ต้องโดนลงโทษ” ยศวีร์บอก
“เนติ์ยังมั่นใจว่ากฎหมายยังคงความยุติธรรมอยู่เสมอค่ะ”
“พรุ่งนี้แล้วใช่มั้ยพี่เนติ์”
เนติมาจับมือดล
“ใช่พรุ่งนี้แล้วดล เราจะต้องทำให้คนที่ฆ่าคุณพ่อ คุณแม่เข้าคุกให้ได้ พวกท่านจะได้นอนตายตาหลับสักที”
สองพี่น้องกอดกัน ขณะที่ผู้กำกับวิเชษฐ์และกันต์มองหน้ากันแล้วแอบกังวลเล็กน้อย
วันนัดเบิกความครั้งแรก ที่ศาลอาญา ผู้สื่อข่าวกำลังรายงานเหตุการณ์สด
“วันนี้คือวันแรกของการพิจารณาคดีประวัติศาสตร์ คดีการตายของนักธุรกิจใหญ่คุณวิเชียร และ คุณพรรณศรี อิสราวัชร ที่เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาเมื่อ 10 ปี ก่อน โดยมีนาย พงษ์เลิศ ชัยธวัช อดีตรัฐมนตรีผู้มีบทบาททางการเมืองของไทยมานานหลายสิบปีเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนในการตายของทั้งสองท่าน”
ผู้สื่อข่าวหันไปมองด้านหน้าศาล เห็นรถตู้ของพงษ์เลิศเข้ามาจอด นักข่าวคนอื่นๆ รวมทั้งผู้สื่อข่าวรีบกรูเข้าไปสัมภาษณ์ พงษ์เลิศลงมาจากรถ ด้วยหน้าตาท่าทางอารมณ์ดี พร้อมให้สัมภาษณ์
“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เรื่องไร้สาระทั้งนั้น”
ทีมทนายรีบพาพงษ์เลิศเดินเข้าไปข้างใน
ห่างกันชั่วครู่ รถของเนติมาและยศวีร์แล่นเข้ามาจอด ทั้งสองเดินลงมาจากรถ หน้าตาเคร่งขรึม สงบ นักข่าวกรูเข้าไปสัมภาษณ์ ทั้งสองคนทันที
“ถึงเวลาที่คนผิดจะต้องชดใช้ให้กับพ่อแม่ของเราแล้วครับ”
“ดิฉันมั่นใจว่ากระบวนการยุติธรรม จะนำความยุติธรรมมาให้พวกเราแน่ๆค่ะ”
ทนายของเนติมาและดลรีบพาทั้งสองเข้าไป
ผู้สื่อข่าวหันมารายงานกับกล้อง
“ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็มาถึงศาลแห่งนี้แล้ว การพิจารณาประวัติศาสตร์ที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างมากกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ....”
ภายในห้องพักคนไข้พิเศษ ระบิลและผู้กำกับวิเชษฐ์นั่งดูทีวีสีหน้าเครียด
“ดิฉันจะรายงานความคืบหน้าของการสืบคดีประวัติศาสตร์นี้เป็นระยะๆ”
ระบิลฟังข่าวเสร็จถึงกับถอนหายใจ
“อยากไปให้กำลังใจคุณเนติ์ด้วยรึไง”
“สังขารแบบนี้เนี่ยนะ แค่เดินยังลำบากเลย แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะไปทำอะไรแบบนั้นด้วย”
“คดีนี้ท่านนายกคงดูแลเต็มที่ เพื่อให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรมที่สุด”
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เค้าสองคนเป็นคู่หมั้นกันนะ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์พยักหน้าเข้าใจ ระบิลรู้และมีสีหน้าเจียมตัว
ภายในห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี ศิวัชกดอินเตอร์คอมพูดกับเลขาที่อยู่ด้านนอก
“รายงานการพิจารณาคดีของคดีนี้ให้ผมทราบเป็นระยะๆด้วยนะ”
ธำรงเปิดประตูห้องเดินปึงปังเข้ามาด้วยหน้าตาไม่พอใจ ก่อนจะโยนหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะทำงานของศิวัช
“ดูซะ ไอ้พงษ์เลิศมันแฉเรื่องของเราไม่เว้นแต่ละวัน”
“ก็ไม่แปลกนี่ครับ ไม่มีใครอยากเป็นเป้านิ่งให้โดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ก็ถ้าเรื่องที่พวกเค้าแฉไม่เป็นความจริงก็ไม่เห็นต้องกังวลอะไรนี่ครับ”
ศิวัชไม่สนใจก้มหน้าหยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน ธำรงเห็นแล้วยิ่งโมโห
“ฉันว่าแกเลิกยุ่งเกี่ยวกับคดีอิสราวัชร ฉันว่าแกเปลืองตัวเปล่าๆ เพราะไม่ว่าคดีจะตัดสินยังไง มันก็ไม่เกี่ยวกับแกอยู่แล้ว”
“เกี่ยวซิครับ เพราะผมกับเนติ์ ...”
“อ้อ ..แล้วฉันคุณกับท่านทวีเรื่องการแต่งงานของแกกับหนูตี้แล้วนะ บรรยากาศการเมืองอึมครึมแบบนี้มันต้องมีข่าวดีมาเบี่ยงเบนความสนใจหน่อย แกเตรียมตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน...”
ธำรงพูดเสร็จก็เดินออกไปโดยไม่สนใจศิวัชที่ยืนกำมือแน่นด้วยความไม่พอใจ
ภายในห้องพิจารณาคดี เทปบันทึกเสียงที่วิเชียรเคยแอบบันทึกไว้ ดังขึ้นในศาล ทุกคนในศาลฟังเทปด้วยความตื่นเต้น
“ตกลงเรื่องประมูลสร้างถนนหนนี้ คุณจะเอายังไง เพราะคราวที่แล้วข้อตกลงมันไม่ได้เป็นไปตามที่พูดเลยนะเสี่ย”
“ก็ถ้าท่านช่วยลดสเปกลงนิด ลดความยาวลงหน่อย รับรองส่วนที่เหลือจะไปอยู่ในกระเป๋าท่านครบตามจำนวนแน่นอนครับ”
“แล้วส่วนต่างที่เสี่ยบอกมันเท่าไหร่ล่ะ ผมจะได้ลองพิจารณาดู”
“ห้าร้อยล้านนี่น้อยไปมั้ยครับท่าน”
“จะไปเลือกตั้งอยู่ไม่กี่เดือน เงินแค่นั้นจะไปพออะไร แล้วไอ้วิเชียรมันก็ทำท่าทางแปลกๆ เหมือนจะไม่ยอมให้เงินสนับสนุนพรรคอีก ถ้ามันเกิดไม่สนับสนุนจริง เงินแค่นั้นมันคงไม่พอหรอกเสี่ย”
“ผมให้ท่านมากกว่านี้ก็ได้ แต่คุณภาพงาน...”
“คุณภาพค่อยว่ากันทีหลัง ยังไงเราก็ยังมีงบซ่อมบำรุงให้ถลุงเล่นอยู่แล้วนี่ ถ้าเสี่ยให้ได้ตามที่ผมขอ ประมูลสร้างถนนหนนี้จะเป็นของเสี่ย”
พงษ์เลิศหน้าเสียนิดๆ แต่ทำเป็นไม่สนใจอะไร อัยการเดินเข้าไปกล่าวกับศาล
“จากการที่ผู้เสียหายได้ทำการบันทึกเสียงของจำเลย ซึ่งเนื้อความได้ระบุชัดว่าจำเลยได้ทำการทุจริตในการประมูลงานทำถนน หลักฐานดังกล่าวเป็นมูลเหตุจูงใจให้จำเลยโกรธแค้นถึงโยงไปสู่การจ้างวานฆ่าได้”
ทนายความของพงษ์เลิศ รีบลุกขึ้นค้าน
“แต่เราก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า เสียงที่อยู่ในเทปม้วนนี้ คือจำเลย หากทางโจทก์ต้องการจะใส่ร้าย โดยการใช้โปรแกรมปรับแต่งเสียง ตัดต่อ ที่ในปัจจุบันทำได้อย่างแนบเนียนสร้างขึ้นมาก็ย่อมเป็นไปได้ อีกอย่างทางโจทก์ไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดที่จะระบุว่าเสียงบุคคลที่นายวิเชียร ผู้เสียหายอัดไว้ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว คือจำเลย”
ทนายความฝ่ายพงษ์เลิศพยายามแก้ต่าง สีหน้าพงษ์เลิศยิ้มพอใจ ในขณะที่เนติกาและดลมองหน้ากันกังวล
พงษ์เลิศเดินออกมาจากศาลอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเหล่มองเยาะเย้ยไปที่เนติมาและยศวีร์ที่เดินหน้าเครียดออกมา
“คิดว่าจะมีหลักฐานอะไรเด็ดกว่านี้ อุตส่าห์ไปขุดเอาเทปพระเจ้าเหาเต่าล้านปีมาใช้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ น่าสมเพชจริงๆ”
“ถ้าศาลยังไม่ตัดสิน อย่าเพิ่งแน่ใจอะไรทั้งนั้น” ยศวีร์ว่า
“แต่ระดับฉัน ถ้าไม่แน่จริงไม่อยู่มาจนวันนี้หรอก บอกไว้เลยนะไอ้หนู ว่าพวกแกไม่มีทางหาหลักฐานมาเอาผิดฉันได้หรอก”
“มันไม่มีหรอกนะคะ อาชญากรรมที่ไม่มีร่องรอย”
พงษ์เลิศชมองท้าทายแล้วบอกก่อนหัวเราะชอบใจ
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าร่องรอยนั้นเป็นของใคร...ไปเถอะคุณทนาย ไปฉลองล่วงหน้า ยังไงคดีนี้พวกเราชนะแน่ๆ”
พงษ์เลิศเดินหัวเราะอย่างสะใจแล้วเดินออกไป เนติมาและดลมองหน้ากันอย่างเจ็บใจสุดๆ
พงษ์เลิศและทีมทนายความเดินหน้าระรื่นมาที่รถตู้ซึ่งจอดไว้ พงษ์เลิศกำลังจะเดินขึ้นรถ
“ไอ้พงษ์เลิศ !”
พงษ์เลิศได้ยินเสียงก็แปลกใจรีบหันไปดู ชลกรยืนจ้องมาที่พงษ์เลิศ หน้าตาเอาเรื่อง
“ออกมาได้ยังไงเนี่ย เธอโดนจับไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไม่มีแต่แกคนเดียวหรอกนะที่ออกมาเดินลอยนวลทั้งๆที่ทำความผิดไว้ได้”
“เธอคงจะใช้วิธีเก่าๆที่เธอถนัดอีกล่ะซิ ไหนบอกหน่อยซิ ว่าเธอต้องนอนกับผู้ชายมากี่คน ถึงออกมาได้”
“ฉันยอมนอนกับผู้ชายทั้งเรือนจำก็ได้ ถ้ามันจะทำให้ฉันออกมาแก้แค้นผู้ชายชั่วๆอย่างแก”
ชลกรยกปืนที่ซ่อนไว้ เล็งไปที่พงษ์เลิศ
“ถึงใครจะเอาผิดแกไม่ได้ แต่ฉันที่แหละที่จะเอาแกไปลงนรกเอง”
“เดี๋ยวก่อนซิ ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน เธออยากให้ฉันช่วยอะไร เราตกลงกันได้นี่”
“คิดว่าฉันจะเชื่อ คำโกหกหลอกลวงของผู้ชายอย่างพวกแกงั้นเหรอ พวกแกใช้ประโยชน์จากฉันมากพอแล้ว ถึงเวลาที่ผู้หญิงอย่างฉันจะขอเอาคืนบ้าง”
ชลกรพูดเสร็จก็ยิงปืนใส่พงษ์เลิศจนทรุดลงทันที ทีมทนายความตกใจรีบวิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
ชลกรเดินถือปืนเข้าไปยืนคร่อมร่างของพงษ์เลิศไว้กะยิงซ้ำ พงษ์เลิศพยายามห้าม
“ยะ...อย่า...”
“ฝากความคิดถึงถึงลูกชายแกด้วยนะ”
“ยะ...”
พงษ์เลิศยังพูดไม่ทันจบ ชลกรก็ซัดปืนยิงเปรี้ยง ไปที่ตัวพงษ์เลิศไม่ยั้ง
ตำรวจ เนติมา และยศวีร์ที่ได้ยินเสียงปืนก็รีบวิ่งเข้ามาดู เห็นร่างพงษ์เลิศนอนขาดใจตายอยู่ใต้ขาชลกรที่ยืนคร่อมร่างของพงษ์เลิศไว้ ชลกรหัวเราะอย่างสะใจ เนติมาและยศวีร์ตกใจ
ตำรวจรีบเข้าไปรวบตัวชลกรไว้ โดยที่ชลกรไม่ได้ขัดขืน ได้แต่ตะโกนอย่างสะใจ
“ฉันแก้แค้นมันได้แล้ว ....ฉันแก้แค้นมันได้แล้ว”
เนติมาและยศวีร์มองภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
“ในที่สุดก็จบเรื่องซักที”
“เค้าถูกเวรกรรมตามมาลงโทษ ก่อนที่ศาลจะตัดสินเสียอีก”
สองพี่น้องมองพงษ์เลิศที่นอนตายอย่างอนาถอยู่บนพื้นถนน ด้วยความสังเวชใจ
อีกหลายวันต่อมา ในเวลากลางวัน เนติมาและยศวีร์เดินเข้ามาในบ้านอิสราวัชรพลางมองบ้านที่เคยเป็นของตัวเองด้วยความคิดถึง ในมือของเนติมา มีรูปครอบครัวอิสราวัชรที่เคยถ่ายด้วยกัน เนติมาเอารูปไปวางไว้บนชั้นโชว์ ทั้งสองพี่น้องมองภาพถ่าย ยิ้มมีความสุข
“คุณพ่อ คุณแม่คะ เนติ์กับวีร์กลับมาอยู่ที่บ้านของเราแล้วนะคะ ตอนนี้คนที่ทำร้ายคุณพ่อคุณแม่ได้รับกรรมไปแล้ว ถึงแม้ครอบครัวของเราจะกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ แต่เนติ์สัญญานะคะ ว่าจะดูแลวีร์อย่างดี ไม่แพ้ที่คุณพ่อคุณแม่เคยดูแลน้องเลยค่ะ”
ยศวีร์มองรูปพ่อแม่ด้วยสีหน้าเศร้า
“พ่อกับแม่เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อให้ผมกับพี่เนติ์มีชีวิตต่อไป ผมสัญญานะครับว่า จะใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มค่า และเป็นคนดีเหมือนอย่างที่พ่อกับแม่เคยเป็น ถึงผมจะพูดประโยคนี้ให้พ่อกับแม่ได้ยินไม่ได้ แต่ขอให้พ่อกับแม่ได้รู้ไว้ ว่าผมภูมิใจที่สุดได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่ครับ”
เนติมามองหน้ายศวีร์ก่อนจะโผเข้ากอดกัน ด้วยความปลื้มปิติและมีความสุขที่สุดที่ได้กลับมาบ้านของตัวเองอีกครั้ง
“ทุกอย่างจบลงแล้วเนอะ” เนติมาว่า
“ใครว่าจบ เพิ่งจะเริ่มต่างหากล่ะพี่เนติ์ ต่อไปพี่ก็สามารถเดินไปอย่างมั่นคง โดยไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ส่วนผมก็จะได้กลับมาเป็น “ยศวีร์ อิสราวัชร” สักที”
“ไม่อยากเป็น ดล เพราะไม่อยากรับบทเป็นพี่ชายแท้ๆ ของใครบางคนรึเปล่า” เนติมามองน้องชายอย่างล้อๆ
“พี่เนติ์พูดอะไรน่ะ ผมกับอ้อ เรายังเด็กมาก ยังไม่คิดเรื่องอะไรแบบนั้นหรอก”
“ความรักไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม พี่ดีใจที่น้องชายของพี่รู้จักให้เกียรติคนที่รัก ไม่เร่งร้อน ความรักที่เริ่มด้วยความมั่นใจจะเป็นความรักที่ยั่งยืนต่อไป”
“เรื่องของผมน่ะ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยังอีกนาน แต่เรื่องของพี่นี่ซิ...”
“ทำไม เรื่องของพี่ทำไม”
“พี่จะปล่อยให้มันคาราคาซังแบบนี้อีกนานเท่าไหร่ ใจคอพี่จะไม่สงสารคุณศิวัชกับพี่ระบิลบ้างเหรอ ถ้าพี่ไม่สงสารสองคนนั่นก็น่าจะสงสารตัวเองบ้าง ก่อนหน้านี้ที่พี่ยังไม่เคลียร์ ผมก็เข้าใจว่ามันยังมีเรื่องยุ่งๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างลงตัวแล้ว ถึงเวลาที่พี่จะจัดการปัญหาหัวใจของตัวเองได้แล้ว ...ผมก็อยากเห็นพี่สาวของผมมีความสุขเหมือนกัน”
ยศวีร์พูดเสร็จก็มองหน้าเนติมายิ้มๆ แล้วเดินออกไป เนติมาได้แต่ครุ่นคิด
ภายในห้องนั่งเล่น ภายในคฤหาสน์ของธำรง อีกหลายวันต่อมา ทีวีซึ่ในห้องเห็นภาพข่าวการเสียชีวิตของพงษ์เลิศ แต่ศิวัชไม่ได้สนใจดูเท่าไหร่ เพราะกำลังนั่งมองโทรศัพท์ที่มีชื่อเนติมา ศิวัชตัดสินใจว่าจะกดโทรหรือไม่โทรดี
ธำรงเดินถือแก้วไวน์เข้ามา ท่าทางมีความสุขสดชื่นแล้วพูดขึ้น
“ไม่มีคนอย่างไอ้พงษ์เลิศสักคนก็ไม่มีใครขุดคุ้ยเรื่องของพวกเรา ไอ้พวกที่พยายามต่อต้านก็กลัวจนหดหัวรีบไปตามน้ำเพราะกลัวเสียผลประโยชน์ ...ประชาชนก็ตาสว่างรู้ว่าควรเข้าข้างใคร คะแนนนิยมแกก็มากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ..ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่พวกเราจะทำอะไรก็ได้ ทางสะดวก”
“สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือ ทำให้ความแตกแยกหมดไปครับ เกมการเมืองกับผลประโยชน์ของคนไม่กี่คนทำให้บ้านเมืองของเราแตกแยก เสียหายมาเยอะแล้วครับ”
“ที่แกพูดน่ะหมายถึงใคร”
“ก็หมายถึงพวกเราทุกคนน่ะแหละครับ ผมว่าถึงเวลาที่เราต้องคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักแล้วครับ”
ธำรงชี้หน้าบอก
“นี่แกกำลังว่าฉันอยู่ ใช่มั้ย”
ศิวัชยกมือไหว้
“ถ้าคุณพ่อคิดอย่างนั้น ผมก็ต้องขอโทษครับ “
ศิวัชลุกขึ้นพยายามจะเลี่ยงธำรงออกไป ธำรงไม่พอใจตะโกนตามไล่หลัง
“เดี๋ยวนี้แกเปลี่ยนไป ไม่เหมือนลูกชายคนเดิมของพ่อ”
ศิวัชหันมองหน้าธำรงยิ้ม
“แต่เหมือนนายกที่ควรจะเป็นใช่มั้ยครับ”
ธำรงได้ฟังก็ยิ่งโมโหด้วยความไม่พอใจ ศิวัชยิ้มไม่กลัวธำรงเหมือนอย่างเคยแล้ว
“ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”
“แล้วเรื่องแต่งงานกับหนูตี้แกว่ายังไง” ธำรงโพล่งขึ้น
ศิวัชพูดอย่างแน่วแน่
“คุณพ่อคงลืมไปแล้วว่า คนที่ผมรักและอยากแต่งงานด้วยคือเนติมา คนเดียวเท่านั้นครับ”
ธำรงทั้งโมโหและเจ็บใจมองตามศิวัชที่เดินออกไป
ภายในห้องคนไข้พิเศษ ผู้กำกับวิเชษฐ์เดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง ท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรเครียดอยู่ ระบิลที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้เหล่มองวิเชษฐ์อย่างรำคาญใจ
“มันจะอะไรนักหนากะอีแค่ชวนคุณขวัญไปงานเลี้ยงรุ่นเพื่อนตำรวจแค่เนี้ย”
“ก็มันไม่กล้าน่ะซิ”
“กล้าๆหน่อย ฉันว่าพวกเพื่อนๆอยากจะเห็นว่าที่แฟนแกจะแย่อยู่แล้ว”
“แล้วฉันจะไปบอกเค้ายังไง ผู้หญิงเค้าต้องรู้อยู่แล้วว่าชวนไปงานแบบนี้ ก็เท่ากับชวนไปเปิดตัว”
“เปิดไปเลย... เป็นแฟนกับผู้กำกับหนุ่ม รูปหล่ออนาคตไกลแบบนี้ มันน่าอายตรงไหน”
“ก็น่าอายตรงที่เค้าอาจจะไม่ชอบฉัน อย่างที่ฉันชอบเค้าน่ะซิ”
“โหย..ฟังแล้วอยากจะเพลีย จับผู้ร้ายเยอะแยะทำได้ แต่จีบให้ผู้หญิงติดซักคนเนี่ย มันจะยากเย็นอะไรนักหนา”
“แหม..พูดอย่างกับมือโปร ฉันก็เห็นแกนั่งชะเง้อคอรอคุณเนติ์เค้าทุกวันแหละน่า”
“ใครว่ารอ...ไม่ได้ร้อ..แค่อยากรู้ข่าวเฉยๆ”
“เหรอ...ถ้าอยากรู้ทำไมไม่โทรไปล่ะ หรือกลัวว่าโทรแล้วจะไปเจอะว่าคุณเนติ์อยู่กับใคร”
“ถ้าเค้าสองคนปรับความเข้าใจกันได้ฉันก็ดีใจ ไม่มีใครเหมาะสมกับคุณเนติ์เท่าท่านนายกอีกแล้ว” ระบิลพูดด้วยสีหน้าเศร้า
“พูดอย่างนี้มันไม่แฟร์กับตัวเองนะระบิล แกยอมถอดใจตั้งแต่ยังไม่ได้สู้เหรอ”
“เรื่องอื่นฉันสู้ได้ แต่เรื่องนี้บอกตรงๆ ขอยอมแพ้ ผู้ชายธรรมดาๆ ไม่มีอะไรอย่างฉันจะไปสู้ท่านนายกได้ยังไง ฉันอยากให้คุณเนติ์ได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตเธอ”
วิเชษฐ์มองระบิลอย่างเซ็งๆ
“มาว่าฉันอะไรนักหนา ฉันว่าแกน่ะหนักหนากว่าฉันซะอีก รู้ตัวรึเปล่าเนี่ย”
วิเชษฐ์มองระบิลขำๆก่อนส่ายหน้า แล้วมองตั๋วหนังในมือครุ่นคิดต่อไป ฝ่ายระบิลสีหน้าเครียด ครุ่นคิด
ศิวัชนั่งอยู่ในห้องทำงานนายกรัฐมนตรี เสียงประตูเคาะดังขึ้น ก่อนเลขาฯชายจะเปิดประตูเข้ามา แล้ววางตั๋วเครื่องบินสองใบลงบนโต๊ะให้ศิวัช
“ตั๋วเครื่องบินสองใบสำหรับไป... ครับท่าน”
“ขอบคุณมาก”
“แล้วตั๋วอีกใบจะให้คอนเฟิร์มชื่อคุณเนติมา เลยมั้ยครับท่าน”
“ยังไม่ต้องหรอก ...แล้วจัดเอกสารการประชุมให้พร้อม ส่งไปที่บ้านผมชุดนึงคืนนี้ ผมอยากศึกษารายละเอียดให้มากที่สุดก่อนที่จะไปประชุม”
“ครับท่าน”
เลขาฯเดินออกไป บรรยากาศในห้องเงียบ เพราะเหลือศิวัชนั่งมองตั๋วเครื่องทิ่อยู่ตรงหน้า ครุ่นคิด ....
“คงไม่ผิดใช่มั้ย ถ้าผมจะขอทำตามใจตัวเองอีกสักครั้ง”
ศิวัชตัดสินใจหยิบตั๋วเครื่องบินขึ้นมาก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยความมุ่งมั่น
ภายในห้องคนไข้พิเศษ ระบิลใช้รีโมทกดเปลี่ยนทีวี แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปช่องไหนก็เจอแต่หน้าของศิวัชตามหลอกหลอนอยู่ทุกช่อง
“ยิ่งหนีก็ยิ่งเจอ”
ระบิลหงุดหงิด เครียด รีบยกรีโมทกดปิดทีวี เป็นจังหวะเดียวกับที่เนติมาเปิดประตูเข้ามาในห้อง มองระบิลด้วยท่าทางแปลกใจ
“นายทำอะไรของนายน่ะ”
ระบิลทำหน้าแหยๆ กลัวแนติมาจะรู้ว่ากดปิดทีวีหนีภาพศิวัช
“ดูทีวี”
เนติมาหันไปมองทีวีเห็นจอดำ
“จอดำๆแบบนั้นน่ะนะ”
“อือ...ก็สนุกดีนี่” ระบิลพูดแถไปเรื่อย
“พิลึก !”
เนติมาพูดขำๆ ก่อนจะเดินไปเอาของของพวกขนม ของกินใส่จานมาวางให้ระบิลกิน แล้วเอาดอกไม้สวยๆใส่แจกัน ระบิลมองเนติมาที่กำลังจัดดอกไม้แล้วแอบยิ้มมีความสุข เนติมารู้สึกว่าระบิลมองอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมอง
“จ้องอย่างกับไม่เคยเห็นหน้ากันอย่างนั้นแหละ”
“คุณไม่ได้มาเยี่ยมผมตั้งหลายวันนี่”
“ฉันต้องย้ายเข้าบ้าน แล้วต้องเคลียร์อะไรอีกเยอะ จะเอาเวลาที่ไหนมา”
ระบิลตื่นเต้นอยากรู้ รีบลุกไปถาม
“คุณต้องไปเคลียร์อะไรกับใครเหรอ”
“เคลียร์เรื่องคดี เรื่องงาน เรื่องบ้าน”
“อ๋อๆ”
เนติมามองระบิลจับผิด
“นี่นายคิดว่าฉันไปเคลียร์ เรื่องอะไร”
“ไม่ได้คิดแค่สงสัย”
เนติมาเดินเข้าไปหาระบิล จ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“สงสัยอะไรบอกมานะ”
ระบิลถอยหลังหนี
“ไม่บอก”
เนติมาเดินยกหมัดเอาเรื่องจนระบิลเดินถอยไปติดกับกำแพง
“จะบอกไม่บอก ถ้าไม่บอกนายโดนแน่”
เนติมาและระบิลมองหน้ากันแล้วหัวเราะกันอย่างขำๆ
ประตูห้องเปิดออก ศิวัชเดินเข้ามา ระบิลและเนติมาหันไปเห็น ระบิลรีบเข้าไปยกมือไหว้
“คุณดูอาการดีขึ้นมากแล้วนะ” ศิวัชพูดสีหน้าขรึม
“เพราะท่านสั่งให้หมอดูแลอย่างดีผมเลยหายเร็ว”
“ไม่ใช่เพราะมีนางพยาบาลดีเหรอ” ศิวัชว่า
ระบิลและเนติมาชะงักไปนิดหน่อย ศิวัชหันไปมองหน้าเนติมา
“ขอเวลาพี่สักหน่อยได้มั้ย พี่มีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
“ได้ค่ะ”
ศิวัชมองหน้าระบิลยิ้มอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินนำเนติมาออกไปจากห้อง ระบิลอึ้งๆไปนิด ก่อนจะคิดได้ และมองตามทั้งสองคน ก่อนจะแอบออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นสุดๆ
ที่หน้าห้องคนไข้ ศิวัชยื่นตั๋วเครื่องบินให้เนติมา เนติมายื่นมือไปรับมาไว้อย่างงงๆ
“พรุ่งนี้พี่จะต้องเดินทางไปประชุมหนึ่งอาทิตย์ พี่อยากให้เนติ์ไปด้วย”
เนติมามองตั๋วเครื่องบินอย่างอึกอัก
“พี่ยังไม่อยากได้คำตอบจากเนติ์ตอนนี้ พี่อยากให้เนติ์ตัดสินใจอย่างรอบคอบ สำหรับพี่ไม่ว่าเนติจะตัดสินใจยังไง พี่ก็ยังจะรักเนติ์เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”
“พี่ศิวัช”
ศิวัชมองเนติมาแล้วยิ้มเศร้าก่อนจะเดินออกไป เนติมามองตามศิวัชด้วยสีหน้าเครียดแล้วมองตั๋วเครื่องบิน ระบิลที่แอบยืนฟังอยู่หน้าเครียด
เนติมาเดินเข้ามาในห้อง พยายามทำตัวเหมือนปกติ มองไปที่เตียงเห็นระบิลนอนหันหลังให้ เนติมาทำเป็นร่าเริงเดินเข้าไปหาระบิลที่นอนเงียบ
“อะไรกัน ซื้อของกินมาให้ตั้งเยอะ ทำไมถึงไม่กิน แล้วจะมานอนอะไรกันป่านนี้ นี่มันเที่ยงวันนะ ไม่ใช่เที่ยงคืน”
ระบิลนอนนิ่งไม่ตอบ เนติมาแปลกใจ แต่ไม่ได้คิดอะไรเพราะคิดว่าระบิลหลับจริงๆ
“งั้นฉันกลับก่อนก็แล้วกันนะจะได้ไม่กวนนาย”
เนติมาเดินไปหยิบกระเป๋า ก่อนจะเดินออกไปจากห้องเงียบๆ ทันทีที่ประตูปิดสนิท ระบิลที่ปิดตาอยู่ก็ลืมตาโพลงขึ้นมา มองตามเนติกาที่เพิ่งเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าเศร้าพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
อ่านต่อหน้า 3
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)
ภายในห้องนอนเนติมา บ้านอิสราวัชร เนติมาเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ในมือถือตั๋วเครื่องบินครุ่นคิดหนัก
ภายในล็อบบี้ของโรงพยาบาล ระบิลครุ่นคิด นั่งเครียดอยู่บนเก้าอี้โซฟาคนเดียว ระบิลมองไปที่ทีวีที่ยังเปิดอยู่เห็นข่าวของศิวัชที่กำลังปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มีประชาชนมาต้อนรับรอให้ดอกกุหลาบกันอย่างล้นหลาม ระบิลคิดถึงช่วงเวลาที่ศิวัชและเนติมาคบหากันด้วยความสุข และความรักของทั้งสองที่มีให้กัน
ระบิลก้มหน้าถอนหายใจ ยิ้มเศร้า
ภายในห้องนอน ศิวัชกำลังเตรียมของใช้ส่วนตัวสำหรับเดินทางพรุ่งนี้ ก่อนจะมองไปที่กรอบรูปที่มีรูปที่มีเนติมายืนถ่ายอยู่ด้วยกัน
“หวังว่าเนติ์คงจะตัดสินใจถูกนะ”
เช้าวันรุ่งขึ้น ศิวัชแต่งตัวถือกระเป๋าเตรียมพร้อม ก่อนจะเดินไปขึ้นรถตู้ที่จอดอยู่หน้าบ้าน ธำรงเดินเข้ามา
“แกกลับจากต่างประเทศคราวนี้ ฉันจะจัดการเรื่องงานแต่งงานของแกกับหนูตี้ให้เร็วที่สุด”
ศิวัชชะงัก ค่อยๆหันมามองธำรงเหมือนคนที่ผ่านการตัดสินใจมาแล้ว
“ผมเคยเรียนให้คุณพ่อทราบแล้วว่า คนที่ผมอยากแต่งงานด้วย คือ เนติมาคนเดียวเท่านั้น และถึงผมจะไม่ได้แต่งงานกับเนติมา ผมก็คงจะไม่แต่งงานกับคุณตี้ตามคำสั่งของคุณพ่อครับ”
“นี่แกกล้าขัดคำสั่งฉันเหรอ แกรู้ใช่มั้ยว่าถ้าแกตัดสินใจแบบนี้อะไรจะเกิดขึ้น”
“ผมพร้อมและยินดี ถ้าหากท่านทวีจะเลิกสนับสนุนพรรคเรา”
“แล้วแกคิดว่าแกจะเดินไปบนเส้นทางนี้คนเดียวได้งั้นเหรอ พ่อขีดเส้นทางให้แกเดินดีแล้ว แค่แกเดินตาม ทุกอย่างก็จะสำเร็จ”
ศิวัชยกมือไหว้ธำรงแล้วบอก
“ผมต้องขอโทษคุณพ่อด้วยครับ เพราะต่อไปผมอาจต้องขัดคำสั่งคุณพ่อในทุกๆเรื่อง ถ้าผมเห็นไม่สมควร ผมไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยให้ใครมาขีดเส้นให้ผมต่อไปได้อีกแล้วครับ”
“อ๋อ นี่แกคงถือว่าแกเป็นนายกมีอำนาจ จะทำอะไรก็ได้ใช่มั้ย”
“ผมเป็นนายกในแบบที่คุณพ่อต้องการมานานแล้ว ผมอยากเป็นนายกในแบบที่ประชาชนต้องการบ้าง”
“นี่แกหาว่าฉันทำให้แกเป็นนายกที่ไม่ดีงั้นเหรอ”
“ผมไม่กล้าว่าคุณพ่อแบบนั้นหรอกครับ แต่ยุคของการเล่นการเมืองมันหมดไปแล้วครับ ถึงเวลาที่เราต้องพัฒนาประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง ประเทศเราเสียเวลาไปมากแล้ว”
ศิวัชเดินเข้าไปจับมือธำรงด้วยความจริงใจแล้วพูดต่อ
“ผมอยากขอให้คุณพ่อยุติบทบาททางการเมืองเสียที”
ธำรงอึ้ง พูดอะไรไม่ออก
“แก...แก”
ศิวัชยิ้ม สูดลมหายใจอย่างเต็มปอด ก่อนจะเดินออกไปด้วยความมุ่งมั่นตามทางที่ตัวเองได้เลือกแล้ว ธำรงได้แต่มองตามศิวัชทั้งโมโห แค้นใจ เจ็บปวดอย่างที่สุด
“ศิวัช ไอ้ศิวัช กลับมาก่อน กลับมาพูดกันให้รู้เรื่อง”
ธำรงแม้จะพยายามเรียกศิวัชยังไง แต่ศิวัชก็ไม่หันกลับมาอีกแล้ว ธำรงได้แต่ทรุดลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
ภายในห้องวีไอพี สนามบินสุวรรณภูมิ พนักงานสนามบินตั้งแถวต้อนรับนายกรัฐมนตรี ศิวัชเดินเข้ามาที่ห้องพักรับรอง พนักงานรีบเอาน้ำและของกินเข้ามาเสิร์ฟให้ บอดี้การ์ดเข้ามารายงาน
“อีกหนึ่งชั่วโมงเครื่องจะออกนะครับท่าน”
“คุณเนติมายังไม่มาใช่มั้ย”
“ยังไม่มาครับท่าน”
ศิวัชหน้าเสียไปนิดแล้วบอก
“พวกคุณออกไปรอข้างนอกก่อน ผมขออยู่เงียบๆคนเดียว”
บอดี้การ์ดเดินออกไป ศิวัชลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างมองออกไปที่รันเวย์ พร้อมดูเวลาด้วยท่าทางที่กังวลอย่างที่สุด
ยศวีร์ อนงค์ เจือจันทร์ กันต์ และ ขวัญชนก ที่นั่งคุยเล่นกันอยู่หน้าบ้านกันต์ก่อนมองไปที่จอดรถบ้านในบ้านอิสราวัชร เนติมาในชุดพร้อมเดินทางกำลังปิดกระโปรงหลังรถก่อนจะขึ้นรถขับออกไปอย่างรีบร้อน
“นั่นหนูเนติ์เค้าจะไปไหนของเค้า” เจือจันทร์ถาม
“พี่เนติ์เค้าไม่ได้บอกครับ... บอกแค่ว่าอาจจะไม่อยู่สักพัก” ยศวีร์บอก
“เอ..ทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้วนี่คะ ยังจะมีอะไรต้องไปทำอีก” ขวัญชนกพูด
“เรื่องอื่นน่ะเรียบร้อยเหลือแต่เรื่องหัวใจเท่านั้นที่ยังไม่ลงตัว” ยศวีร์ว่า
“อ๋อ งั้นก็แสดงว่า บางทีหนูเนติ์....” กันต์พูดยังไม่ทันหมดประโยค
“อาจจะตัดสินใจอะไรได้แล้ว” ยศวีร์พูดแทรก
“ถ้าอ้อเป็นพี่เนติ์ อ้อก็ลำบากใจนะคะ คนนึงก็เหมาะสม อีกคนก็ทำให้เรามีความสุข”
“แต่สำหรับพี่ พี่ขอเลือกคนที่รักพี่ก็พอ ...”
ยศวีร์สะกิดบอกขวัญชนก
“เหรอครับ ..งั้นฟ้าคงจัดมาให้พี่แล้วมั้งครับ พูดปุ๊บก็มาปั๊บเลย”
ยศวีร์ชี้ไปที่หน้าประตู ผู้กำกับวิเชษฐ์เดินหน้าตายิ้มแย้มเข้ามา ขวัญชนกเห็นถึงกับอาย
“พี่ว่าพี่เข้าบ้านดีกว่า”
ขวัญชนกจะเข้าบ้าน แต่กันต์พูดดักไว้
“พ่อว่าแกก็น่าจะตัดสินใจสักทีนะ ผู้ชายดีๆไม่ได้มีเข้ามาให้เลือกบ่อยๆนะ”
“ที่สำคัญ แม่ว่าเค้ารักลูกอย่างที่ลูกต้องการด้วยนะ”
ขวัญชนกถอนหายใจก่อนตัดสินใจหันกลับไปมองผู้กำกับวิเชษฐ์ที่เดินยิ้มหล่อเข้ามาด้วยความรู้สึกหวั่นไหว
ภายในห้องวีไอพี ศิวัชยังยืนอยู่ที่เดิมมองนาฬิกาที่ผ่านไปเกือบ 1 ชม. แล้ว บอดี้การ์ดเปิดประตูเข้ามา
“ถึงเวลาขึ้นแล้วครับท่าน”
“ขอเวลาผมอีกหน่อย”
บอดี้การ์ดพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ศิวัชมองนาฬิกาก่อนจะหันมองตั๋วเครื่องบินด้วยความหวัง
เนติมาขับรถเข้ามาจอด … เนติมาหันมองตั๋วเครื่องบินที่วางอยู่บนที่นั่งข้างๆ ก่อนจะตัดสินใจถอดแหวนหมั้นที่ศิวัชเคยให้ออกวางไว้ข้างๆตั๋วเครื่องบิน
“พี่ศิวัช เนติ์ขอโทษนะคะ”
เนติมาถอนหายใจเฮือกสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูลงจากรถ แล้วก้าวเดินเข้าไปในโรงพยาบาลด้วยความมั่นใจ
ที่ห้องวีไอพี ศิวัชมองนาฬิกาเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความกังวล บอดี้การ์ดสีหน้าเครียดเปิดประตูเข้ามาศิวัชมองหน้าบอดี้การ์ดแล้วยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงความเศร้า
“หมดเวลาแล้วใช่มั้ย”
“ทุกคนกำลังรอท่านอยู่ครับ”
ศิวัชมองไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าผิดหวัง ก่อนจะหลับหลับตา ถอนหายใจ แล้วค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าปอด แล้วลืมตาขึ้นจ้องไปข้างหน้า … เห็น ธงประเทศไทยที่ตั้งอยู่ในห้องพร้อมกับเงาสะท้อนตัวของศิวัชในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ยืนอยู่เคียงข้างธงนั้น
ศิวัชยิ้มออกพร้อมสีหน้าที่มุ่งมั่นใจ
“ท่านครับ”
“เราเข้าใจแล้วรีบไปกันเถอะ”
ศิวัชเดินไปตามทางในสนามบินโดยมีบอดี้การ์ดคุมเข้ม สมเป็นขบวนของนายกรัฐมนตรี
“ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ ต่อไป..ตัวเราจะไม่ใช่ของเรา แต่จะเป็นเครื่องมือที่คอยแก้ปัญหาและความทุกข์ยากของประชาชน หัวใจก็ไม่ใช่ของเรา แต่จะเป็นเครื่องหลอมรวมใจของคนทั้งชาติเอาไว้ด้วยกัน พละกำลังก็จะไม่ใช้หาผลประโยชน์เข้าตัว แต่จะใช้ผลักดันให้ประเทศชาติข้ามผ่านนาวาแห่งความทุกข์ยาก และด้วยเวลาที่เหลือในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะกี่เดือนกี่วัน เราจะใช้เวลาทั้งหมดเพื่อประชาชน....”
ศิวัชหันมาก้มหัวให้ทุกคนที่มายืนส่ง ก่อนจะยิ้มให้ด้วยความมั่นใจ และก้าวขึ้นเครื่องบินไป
เนติมาเดินมาถึงหน้าห้องที่ระบิลอยู่ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป
บนเตียงที่ควรจะมีระบิลนอนอยู่กลับว่างเปล่า ข้าวของทุกอย่างภายในห้องหายไปหมด เนติมาอึ้งช็อก เป็นจังหวะเดียวกับที่พยาบาลเดินเข้ามา
“คนไข้ออกไปแล้วนะคะ”
“กลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมถึงกลับได้ เค้าหายดีแล้วเหรอคะ”
“คนไข้ขอคุณหมอกลับไปเมื่อครูใหญ่ๆนี้เองค่ะ คุณหมอเห็นไม่มีอะไรแล้วเลย คุณ...”
เนติมาไม่ทันฟังพยาบาลพูดจนจบก็รีบวิ่งออกไปจากห้องทันที
ในเวลาต่อมา เนติมาเดินมาที่หน้าบ้านสวนระบิลอย่างร้อนใจ เห็นบ้านปิดเงียบ เหมือนไม่มีใครอยู่ก็ยิ่งแปลกใจ เนติมาตัดใจเดินเข้าไปบิดลูกบิดประตู แต่ประตูล็อกแน่น คนข้างบ้านเดินเข้ามาหาเนติกา
“เจ้าของบ้านเค้าไม่อยู่ที่นี่แล้ว เค้าโทรมาบอกให้ป้าบอกเช่าบ้านหลังนี้”
“อย่างนั้นเหรอคะ ขอบคุณนะคะป้า”
คนข้างบ้านเดินออกไป เนติมามองเข้าไปในบ้านระบิลด้วยความรู้สึกเศร้าและเสียใจสุดๆ
“วันนี้ฉันเลือกนายแล้ว แต่ทำไมนายถึงไม่รอฉัน....ระบิล”
จากสัปดาห์เป็นเดือน...ที่สวนหน้าบ้านกันต์ บรรยากาศรายล้อมด้วยความสุข ยศวีร์ อนงค์ เจือจันทร์ และกันต์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หน้าบ้าน
“ภูมิใจจริงๆ ประชุมอาเซียนซัมมิทที่นายกไป มีแต่นำผลประโยชน์ให้ประเทศ นี่ถ้ารู้ว่าคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงแบบนี้ ลุงเลือกไปตั้งนานแล้ว”
“สรุปคราวที่แล้ว คุณไม่ได้เลือกพรรคของศิวัชเหรอ”
“ผมก็ไม่ได้เลือกใครทั้งนั้นแหละก็ตอนนั้นมันไม่มั่นใจนี่”
“แต่คราวนี้มั่นใจแล้วใช่มั้ยคะ” อนงค์ถาม
“พอคุณธำรงวางมือจากการเมือง ศิวัชก็ไม่ต้องเป็นนายกหุ่นเชิดให้ใคร ก็สามารถคิดอ่านทำประโยชน์ให้ประเทศได้เต็มที่”
“เสียดายนะครับ ผมเลยอดได้นายกเป็นพี่เขย” ยศวีร์ว่า
“พี่ดล !ทำไมพูดแบบนั้น ไม่สงสารพี่เนติ์รึไง”
“ก็ช่วยไม่ได้ อยากทำนายกหนุ่มขวัญใจสาวๆอกหัก ตัวเองก็เลยต้องมาอกหักเอง”
“ก็ใครจะไปอารมณ์ดี รักสดชื่นสมหวังอย่างเราล่ะ” ขวัญชนกแซว
ขวัญชนกมองล้อยศวีร์กับอนงค์
“ก็คงแพ้พี่ขวัญคนนึงแหละ เห็นว่าตั้งแต่ยอมไปดูหนังกับท่านผู้กำกับ เดี๋ยวนี้ก็ไปดูกันไม่ได้หยุดเลยเหรอ คุณอาเตรียมตัวได้เลยครับ ผมว่าเร็วๆนี้แหละ”
“เตรียมตัวเรื่องอะไร” เจือจันทร์ถาม
“ก็เตรียมตัวเผื่อท่านผู้กินกับ เอ๊ย..ผู้กำกับจะมาสู่ขอพี่ขวัญไงครับ ..นั่นไง พูดถึงก็มาพอดี คนอะไรตายยากชะมัด”
ผู้กำกับวิเชษฐ์เดินถือต้นไม้เข้ามา ก่อนจะเข้ามาไหว้เจือจันทร์ และ กันต์ด้วยความเคารพ
“ผมไปเจอดอกพุดที่คุณน้าชอบ เลยกะว่าจะเอามาปลูกให้คุณน้าที่หลังบ้าน คุณขวัญไปช่วยผมปลูกนะครับ”
ขวัญชนกพยักหน้าตอบรับวิเชษฐ์ก่อนจะช่วยกันขนต้นไม้ไปหลังบ้านกับวิเชษฐ์ ทุกคนมองตามยิ้ม พลอยมีความสุขไปด้วย
“ถ้าระบิลอยู่ ที่นี่คงครึกครื่นกว่านี้...” เจือจันทร์ว่า
“นั่นซิครับ ไม่รู้ป่านนี้พี่ระบิลเค้าไปอยู่ที่ไหน” ยศวีร์ว่า
เนติมายืนดูภาพที่ใส่กรอบซึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำงานในทำเนียบรัฐบาล ก่อนจะเก็บลงกล่องกระดาษ ...และค่อยๆเคลียร์ของอื่นบนโต๊ะลงกล่องเหมือนกัน เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเด้วยสีหน้าเศร้า
“จะลาออกจริงๆเหรอคะน้องเนติ์ พี่คงคิดถึงน้องเนติ์แย่เลย”
“ไว้เนติ์จะส่งโปสการ์ดจากฝรั่งเศสมาให้นะคะ”
“แล้วน้องเนติ์ไปเมื่อไหร่จะกลับละคะ”
เนติมายิ้มแต่ไม่ตอบ เนติมามองไปรอบๆ ห้องที่เคยทำงานด้วยความอาลัยและคิดถึง โดยเฉพาะห้องทำงานของศิวัช เนติมาถอนหายใจเบาๆ ยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะถือกล่องเดินออกไป โดยไม่มีอะไรติดค้างในใจอีกแล้ว
ในเวลาต่อมา เนติมาเดินถือกล่องข้าวของจากที่ทำงานมาวางไว้ในห้องนอน ก่อนจะทรุดลงนั่งบนเตียงอย่างเหนื่อยหน่ายและเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เนติมามองไปรอบๆห้อง ก่อนจะเห็นรูปถ่ายที่ระบิลถ่ายที่หอไอเฟล เนติมาหยิบขึ้นมาดูก่อนจะระลึกความหลัง
“เอางี้มั้ย..เดี๋ยวผมถ่ายรูปคุณเดี่ยวๆไว้อีกรูป แล้วเผื่อที่ข้างๆไว้ แล้วเดี๋ยวผมไปถ่ายรูปเดี่ยวคุณศิวัชเอามาทำโฟโต้ชอปแปะไว้ข้างๆ คุณเนียนแอ๊บหวานนิดหนึ่งก็ได้รูปคู่แล้ว”
“โอ๊ย..วุ่นวายไปรึเปล่าคะ”
เนติมาอดขำไม่ได้ที่ระบิลเสนอความคิดพลางออกท่าทางประกอบด้วย
“ไม่วุ่นคุณ ผมทำบ่อย”
เนติมายิ้มขำมีความสุขปนเศร้าเมื่อคิดถึงระบิล เนติมามองไปรอบๆห้อง มองไปทางไหนก็มีความทรงจำเกี่ยวกับระบิลผุดขึ้นมาทั้งนั้น
“ป่านนี้นายไปอยู่ที่ไหน....นายจะรู้มั้ยว่าฉัน ... คิดถึงนาย”
เนติมาพูดจบก็น้ำตาไหลปล่อยความเศร้าที่อัดอั้นตันใจทั้งหมดออกมา
อีกหลายวันต่อมา เนติในชุดพร้อมเดินทางไกล เข้ามากราบลาแทบตัก ทั้งของกันต์ และ เจือจันทร์ ทั้งสองคนลูบหัวเนติมาด้วยความรักประหนึ่งลูกสาว
“แน่ใจเหรอจ๊ะว่าจะไปจริงๆ”
“ค่ะ ..เนติ์อยากให้เวลาตัวเองลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ..เนติ์จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆสักที”
“ลุงเชื่อว่า หนูเนติ์จะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับความสุขที่แท้จริง”
“แค่เนติ์เห็นทุกคนมีความสุขเหมือนเดิม เนติ์ก็มีความสุขแล้วละคะ”
“ไม่ต้องห่วง ดลกับอ้อนะ พวกเราจะช่วยดูแลทั้งสองคนเอง เนติ์ใช้เวลานี้ดูแลตัวและหัวใจของตัวเองให้ดีที่สุดนะจ๊ะ”
เนติมาก้มกราบทั้งสองอีกครั้ง
“ค่ะ เนติ๋จะกลับมาเป็นเนติมาที่เข้มแข็งเหมือนเดิม”
เนติมาพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากบ้านด้วยความเข้มแข็ง เจือจันทร์และกันต์ที่แม้จะรู้ว่า เนติมาดูแลตัวเองได้แต่ก็อดรู้สึกห่วงไม่ได้
ผู้กำกับวิเชษฐ์และขวัญชนกยืนรอส่งเนติมาอยู่ที่หน้าบ้าน ขวัญชนกโผเข้ากอดเพื่อนรักไว้ เนติมามองขวัญชนกด้วยสีหน้าเศร้าแต่ต้องแกล้งทำเป็นขำกลบเกลื่อน
“อย่ามัวแต่ชวนกันปลูกต้นไม้อย่างเดียวนะคะ ผู้กำกับต้องชวนยายขวัญแต่งงานด้วย บ้านนี้จะได้หายเงียบเหงาซักที”
“ยายเนติ์เธอพูดอะไรเนี่ย อายเค้านะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณเนติ์ ต่อไปผมจะชวนคุณขวัญแต่งงานทุกวัน ขอบ่อยๆผมมั่นใจว่าคุณขวัญต้องใจอ่อนแน่”
“นี่คุณจะบ้าเหรอ ขอแต่งงานเค้าต้องขอครั้งเดียวแบบอลังการ ไม่ใช่ขอพร่ำเพรื่อ ขอทิ้งขอขว้างแบบนั้น”
ผู้กำกับวิเชษฐ์มองหน้าเนติมาอย่างรู้กัน แล้วค่อยๆเดินไปที่รถของตัวเองที่จอดไว้ ก่อนจะเปิดประโปรงหลังรถเห็นมีลุกโป่งมากมาย ลอยออกมาจากหลังรถที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบแดง พร้อมป้ายผ้าที่เขียนไว้ว่า “แต่งงงานกับผมนะครับ” โดยมีตุ๊กตาหนุ่มรูปหล่อ ถือแหวนรอเตรียมพร้อม
ขวัญชนกเห็นแล้วถึงกับอึ้ง พูดไม่ออก
“อย่างนี้เรียกว่า อลังการพอมั้ยครับ”
ขวัญชนกทั้งดีใจ ทั้งอาย ทั้งเขิน
“เนติ์ !”
“เธอก็ตอบรับเค้าไปซิ ฉันรู้ว่าเธอโอเค รีบๆแต่งจะได้ไปเยี่ยมฉันที่ฝรั่งเศส”
“ว่าไงครับคุณขวัญ”
“จัดเต็มมาซะขนาดนี้ ใครจะปฎิเสธได้ละคะ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ได้ฟังก็ดีใจรีบกระโดดกอดขวัญชนกอย่างมีความสุข ทั้งสองกอดกันสายตาจ้องมองกันด้วยความรัก เนติมามองภาพนั้นด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะค่อยๆถือกระเป๋าเดินออกมา
บริเวณอาคารผู้โดยสารขาออก สนามบินสุวรรรณภูมิ เนติมาหันไปสั่งเสีย ยศวีร์และอนงค์ที่มาส่งด้วยหน้าเคร่งเครียด
“เธอทั้งสองคนต้องตั้งใจเรียนภาษาให้ดี แล้วสอบภาษาอังกฤษให้ผ่าน ถ้าพี่กลับมาแล้วจะได้รีบดำเนินการเรื่องส่งเธอสองคนไปเรียนต่อทันที”
“แล้วถ้าอ้อสอบผ่านคนเดียว แล้วผมสอบไม่ผ่านละครับ”
“พี่ก็จะส่งอ้อไปเรียนก่อนน่ะซิ”
“ได้ไงล่ะพี่ อย่าลืมซิว่าตอนนี้ผมเป็นผู้ปกครองต้องคอยตามดูแลอ้อนะครับ”
“งั้นก็ต้องช่วยกันเรียน ช่วยกันติวให้ผ่านทั้งคู่ อ้อต้องดูแลอย่าให้ดลเหลวไหลนะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะพี่เนติ์ อย่างพี่ดลน่ะ อ้อมีวิธีจัดการ”
“น้อยๆหน่อย อย่างเธอน่ะนะจะมาจัดการพี่ ไม่มีทางหรอก”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องเถียง เอาเป็นว่าทั้งอ้อและดลต้องช่วยดูแลกันและกันนะ โอเคมั้ย”
“ครับพี่เนติ์ ผมสัญญาว่าจะดูแลผู้หญิงคนนี้ด้วยชีวิตของผม”
ยศวีร์และอนงค์มองหน้ากันด้วยความรัก เนติมายิ้มก่อนจะมองนาฬิกา
“พี่ต้องไปแล้วละ”
เนติมาตัดสินใจเดินเข้าไปด้านใน ยศวีร์และอนงค์จับมือกันแน่นเดินตามก่อนจะโบกมือลาเนติมา จนเนติมาเดินหายลับไป
“สงสารพี่เนติ์จังเลยนะคะพี่ดล”
“พี่เนติ์ทำเพื่อคนอื่นมามากแล้ว พี่มั่นใจว่าความสุขที่แท้จริงจะรอพี่เนติ์อยู่”
เครื่องบิน บินทะยานไปบนท้องฟ้า จากสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทยสู่ประเทศฝรั่งเศส
ส่วนเพิ่มเติม
เนติมากลับมาฝรั่งเศสด้วยความรู้สึกโหยหาความสุขเมื่อครั้งที่ได้รู้จักกับระบิล เนติมาและระบิลต่างเดินอยู่ในสถานที่เดียวกันเพื่อรำลึกถึงความทรงจำต่างๆ ในช่วงเวลาที่ต่างกัน … ทั้งคู่ยังไม่ได้พบกัน เนติมาย่ำเดินไปด้วยอารมณ์อันแสนเศร้า
เนติมาเดินเล่นจนมาถึงจุดที่เนติมาเคยข้ามถนนโดยไม่ดูสัญญาณไฟจนเกือบจะโดนรถชนแต่ระบิลช่วยเอาไว้ เนติมาหยุดยืนที่ริมฟุตบาทยิ้มกับภาพอดีตภาพนั้น
เนติมาเดินมาจนถึงร้านขายของที่ระลึก เนติมาเดินดูของอย่างเศร้าๆจนมาถึงมุมขายโปสการ์ด ภาพอดีต ผุดเข้าในหัวเนติมาอีก เนติมาคิดถึงภาพนั้นอย่างมีความสุข ก่อนที่จะเลือกโปสการ์ดใบหนึ่งขึ้นมาเพื่อที่จะเขียนแบบระบิลบ้าง จังหวะที่เนติมาพลิกโปสการ์ดเพื่อที่จะเขียน ทันใดนั้น เนติมาสังเกตเห็นว่ามีคนเขียนข้อความในโปสการ์ดแผ่นนั้นแล้ว เนติมาอ่านข้อความนั้นด้วยความรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก
ข้อความนั้น … บอกความรู้สึกทุกอย่างที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่ง
เนติมาอ่านข้อความจนจบแล้วรู้ทันทีว่า ระบิลต้องมาที่นี่ แต่เธอคิดไม่ออกว่าระบิลอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นเธอเหลือบไปเห็นรูปหน้าโปสการ์ดเป็นรูปชายหาด Etretat เนติมาคิดอะไรออกทันที
ในเวลาต่อมา เนติมาวิ่งมาที่ชายหาดEtretat ตามหาระบิลด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา
เนติมาวิ่งตามหาระบิลอยู่นานแต่กลับไม่เจอ เนติมาเดินจนมาหยุดในจุดที่เคยยืนคุยกับระบิล น้ำตาของเนติมาไหลพรากออกมาอีกครั้งด้วยความเสียใจที่ถาโถม พลางพูดด้วยความน้อยใจ
“ระบิลนายอยู่ที่ไหนนะ ไหนนายเคยบอกว่า อยากจะบอกรักกับคนที่นายรักที่นี่ไง ฉันมาแล้วไง ฉันอยู่ที่นี่แล้ว แล้วนายล่ะ หรือว่านายไม่ได้รักฉัน...คนบ้า คนใจร้าย”
เนติมาพูดแล้วหันหลังกลับไปชนกับชายคนหนึ่งที่ยืนข้างหลังพอดี เนติมาหันมาจะขอโทษ แต่ชายคนนั้นรีบชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ใครบอกว่าผมไม่รักคุณล่ะ ขอบคุณนะที่มาตามหาผมถึงที่นี่”
“ ฉันไม่ได้มาตามนายซะหน่อย ฉัน”
ระบิลสวนทันที
“ผมรักคุณนะ...เจ้านาย”
“ฉันก็รักนาย..ระบิล”
ทั้งสองคนกอดกันอย่างมีความสุขท่ามกลางความสวยของชายหาด Etretat
จบบริบูรณ์