หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 12
ขณะที่เนติมาร้องไห้ด้วยความเสียใจก็มีแสงไฟจากหน้ารถสาดเข้ามา เนติมาชะงักมองไปรู้สึกเหมือนมีรถมาจอดหน้าบ้าน เนติมาปาดน้ำตามองไปที่ประตูรั้ว เห็นตำรวจนอกเครื่องแบบเดินเข้าไปคุยกับคนที่อยู่ด้านนอก เนติมาชักสีหน้าด้วยความสงสัย
เนติมาเดินเข้าไปหาตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองคนที่กำลังแง้มประตูคุยกับคนที่อยู่ด้านนอก
“มีอะไรรึเปล่าคะ”
ตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองนายหันมารายงานพร้อมเปิดประตูรั้วทันที
“เออ..ท่านนายกฯมาครับ” ตำรวจคนแรกบอก
ประตูรั้วเปิดออก ศิวัชอยู่ในชุดสูทยืนอยู่ด้านนอก ศิวัชมองเนติมาด้วยความเป็นห่วง ขณะที่เนติมามองศิวัชด้วยความแปลกใจ
“พี่ศิวัช...”
เนติมากับศิวัชยืนคุยกันอยู่โดยมีการ์ดของศิวัชยืนอยู่ห่างๆเพื่อรักษาความปลอดภัย โดยมีรถขบวนของศิวัชจอดอยู่ด้วย
“พี่เป็นห่วง อยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าเนติ์ปลอดภัย ความจริงเมื่อกลางวันพี่ควรจะอยู่กับเนติ์”
“พี่ศิวัชติดงานนี่คะ อีกอย่าง...”
ศิวัชพูดแทรกทันที
“โชคดีที่คุณระบิลช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นพี่คง...คุณระบิลอยู่ไหนเหรอเนติ์ พี่อยากขอบคุณเขา”
เนติมาสีหน้าสลดลงก่อนพูดอย่างอดที่จะตัดพ้อระบิลไม่ได้
“พี่ศิวัชก็รู้นี่คะว่าเขาลาออกไปแล้ว เรื่องที่เขามาช่วยวันนี้คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”
ศิวัชมองเนติมาอย่างสังเกต ขณะที่เนติมาถามด้วยความสงสัย
“พี่ศิวัชงานเยอะเหรอคะถึงมาดึกจัง”
“เออ...บังเอิญพี่ต้องไป...”
เนติมารู้ได้ในทันที
“ไปงานเลี้ยงกับคุณตี้”
“ขอโทษนะจ๊ะเนติ์ บังเอิญคุณพ่อ...”
“เนติ์เข้าใจค่ะ”
เนติมาพูดตัดบทออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ศิวัชชะงักมองเนติมาอย่างรู้สึกผิด
“เนติ์...”
“เชื่อสิคะ เนติ์เข้าใจจริงๆ”
เนติมาพยายามพูดกลบเกลื่อนทั้งที่เต็มไปด้วยความน้อยใจที่ศิวัชให้ความสำคัญกับปฏิพรมากกว่าตนมากขึ้นทุกที เนติมากับศิวัชมองหน้ากันนิ่งโดยเนติมาเป็นฝ่ายหลบตาเพราะเริ่มมีระบิลเข้ามาอยู่ในหัวใจ ศิวัชเห็นอาการแล้วก็เริ่มหวั่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เนติมากับศิวัชยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่หน้าประตูรั้ว
เจือจันทร์ซึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความสงสัย
“สองคนนั่นกำลังมีปัญหากัน”
กันต์ที่กำลังอ่านหนังสือประมวลกฎหมายอยู่ใกล้ๆก็เลื่อนรถเข็นเข้ามาอยู่ข้างเจือจันทร์ถามด้วยความสงสัย
“คุณรู้ได้ยังไง”
“คนรักกัน คุยกัน เจอหน้ากัน เขาไม่ทำหน้าหมางเมินอย่างนั้นหรอกค่ะ”
กันต์มองตามเจือจันทร์ไปที่เนติมากับศิวัชอย่างสังเกตก่อนจะถอนใจออกมา
“เมื่อถึงเวลาหนูเนติ์ก็จะหาทางออกได้”
“กว่าจะถึงเวลานั้นจะอกแตกตายกันหมดน่ะสิคะคุณ”
“ความรักไม่เคยทำให้ใครตายหรอกคุณ คนที่ตายเพราะผิดหวังในรัก ล้วนทำร้ายตัวเองทั้งนั้นและคนอย่างหนูเนติ์ มีสมองพอที่จะไม่ทำอะไรโง่ๆอย่างนั้น”
กันต์พูดอย่างใจเย็นก่อนจะเข็นรถเข็นกลับเข้าไปด้านใน เจือจันทร์หันกลับไปมองเนติมาด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
ในเวลาต่อมา ศิวัชเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ เพราะกังวลเรื่องเนติมาเป็นอย่างมาก ภายในโถงคฤหาสถ์ของธำรง
“เรื่องผู้หญิงอีกล่ะสิ”
ศิวัชหันไปเห็นธำรงเดินออกมาจากทางหนึ่งและส่งสายตามองอย่างรู้ทัน
“เนติ์เขาไม่เหมือนเดิมครับ”
“แกเอาอะไรมาวัด รึเขาบอกแก”
“สายตาที่เนติ์มองผมไม่เหมือนเดิม ผมควรทำยังไงดีครับพ่อ” ศิวัชพูดพลางถอนหายใจ
“ก็ไม่เห็นต้องทำอะไร”
“คุณพ่อหมายความว่าไงครับ”
“จุดที่แกยืนอยู่ในสังคมตอนนี้จะหาผู้หญิงที่ดี พรั่งพร้อมอีกสิบคนร้อยคนก็ได้”
“คุณพ่อก็รู้นี่ครับ ว่าผมไม่มีวันเปลี่ยนใจจากเนติ์ ผมรักเนติ์ครับ”
“ทั้งๆที่แกก็บอกอยู่เมื่อกี้ว่าหนูเนติ์ไม่เหมือนเดิมงั้นเหรอ”
ธำรงพูดเพื่อต้องการให้ลูกชายได้คิด
“เรื่องความรัก อย่าตามใจหัวใจตัวเองนักนะเพราะหัวใจมันไม่มีสมอง”
ธำรงเอื้อมมือไปจิ้มที่หน้าอกด้านซ้ายของศิวัช พลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เดินตามเส้นที่พ่อขีดไว้รับรองว่าแกจะไม่พบกับคำว่าผิดหวัง”
ธำรงอมยิ้มอย่างผู้มากประสบการณ์ก่อนเดินออกไป ศิวัชนิ่งคิดตามที่ธำรงพูด
ภายในบ้านพงษ์เลิศในเวลาเดียวกัน พงษ์เลิศหันขวับมามองอิทธิหาญด้วยความโมโหอย่างมาก
“ในที่สุดแกก็พลาดอีกจนได้แล้วรู้มั้ยว่าพลาดครั้งนี้มันหมายถึงอะไร”
อิทธิหาญเบือนหน้าหนีด้วยความเซ็ง ขณะที่พงษ์เลิศขยับเข้ามาพูดใกล้ๆ
“มันหมายถึงแกอาจพาให้เราทุกคนจนตรอก”
“ไหนว่าคนอย่างพ่อไม่เคยกลัวใครไง หรือพ่อกลัวติดคุก”
พงษ์เลิศฉุนขาดตรงเข้าไปกระชากคอเสื้ออิทธิหาญเข้าไปติดผนัง
“ถ้าให้ฉันมีลมหายใจอยู่ในกรงขัง ฉันยอมไม่มีลมหายใจเลยดีกว่า”
อิทธิหาญเอื้อมมือไปดึงมือพงษ์เลิศออกอย่างเซ็งๆ
“แล้วพ่อจะเอายังไง”
“เอาชนะพวกมันเอาอำนาจของเราคืนมา ฉันไม่สนใจว่าจะต้องแลกอีกกี่ชีวิต”
พงษ์เลิศพูดด้วยความเลือดเย็น แววตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
“ก็เท่านั้นแหละพ่อ ฮ่าๆ”
อิทธิหาญหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจพลันสีหน้าก็ฉายความโหดเหี้ยมออกมาไม่แพ้
ผู้เป็นพ่อ
เช้าวันใหม่ ผู้กำกับวิเชษฐ์เพิ่งตื่นนอนและเดินออกเปิดประตูบ้านด้วยสภาพงัวเงีย แต่ต้องตกใจที่เห็นเนติมายืนอยู่ปากประตู
“คุณเนติ์ ! คุณเนติ์เข้ามาได้ยังไงครับเนี่ย”
“ลูกน้องผู้กำกับไม่กล้าห้ามฉันหรอกค่ะ”
เนติมาพูดพลางมองเลยผ่านผู้กำกับวิเชษฐ์เข้าไปในบ้าน
“ขอฉันเข้าไปคุยกับคุณระบิลหน่อยนะคะ”
“แต่...”
“ฉันจำมอเตอร์ไซค์คันนั้นได้นะคะ”
เนติมาชี้ให้ผู้กำกับวิเชษฐ์ดูรถมอเตอร์ไซค์คันที่ระบิลขี่ไปช่วยเนติมาจอดอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน เนติมาจะเดินผ่านผู้กำกับวิเชษฐ์เข้าไปในบ้านทันที
“เออ..เดี๋ยวครับคุณเนติ์ เดี๋ยว งานงอกแล้วไง”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ถอนใจก่อนจะรีบตามเนติมาเข้าไปด้านในทันที
เนติมาเดินเลี้ยวเข้ามาในห้องครัวด้วยความร้อนใจ
“คุณระบิล !”
เนติมามองไปรอบๆห้องที่เรียบง่ายและมีขนาดไม่กว้างขวางนัก แต่ไม่พบระบิลอยู่ในนั้น
“คุณเนติ์ครับ...”
ผู้กำกับวิเชษฐ์พยายามจะอธิบาย แต่เนติมาวิ่งย้อนออกไปด้านนอกทันที
“อ้าว..เดี๋ยวสิครับคุณเนติ์..คุณเนติ์ เฮ้ย ! อย่าขึ้นไปนะครับ เฮ้อ...”
เนติมาวิ่งขึ้นบันไดมาจากชั้นล่างด้วยความรวดเร็ว
“นายอยู่ไหน ออกมาพูดกันให้รู้เรื่องเลยนะ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์วิ่งตามขึ้นมาด้วยความร้อนใจ
“คุณเนติ์ ระบิลเขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกนะครับ”
เนติมาตรงเข้าไปเปิดประตูที่ห้องๆหนึ่งแต่ไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย ผู้กำกับวิเชษฐ์ตามขึ้นมาทันและพยายามจะอธิบาย แต่เนติมากลับตรงดิ่งไปยังห้องอีกห้องหนึ่งทันที
“คุณเนติ์เชื่อผมเถอะ...”
“ฉันรู้ว่านายอยู่ที่นี่ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
อีกห้องหนึ่งที่เนติมาปรี่เข้าไปก็ว่างเปล่า เนติมาถอนใจออกมาอย่างเซ็งๆ ก่อนหันขวับไปยังห้องนอนผู้กำกับวิเชษฐ์ทันที
“เออ..นั่นห้องนอนผมเองครับ คุณเนติ์ อย่า !”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มเจื่อนอย่างใจไม่สู้ดีนัก ผู้กำกับวิเชษฐ์ร้องด้วยความตกใจเมื่อเนติมาเปิดประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เนติมามองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าผิดหวัง สภาพห้องถูกเก็บอย่างเรียบร้อยไม่มีอะไรน่าเป็นพิรุธ
ผู้กำกับวิเชษฐ์มองรอบๆห้องตัวเองด้วยความแปลกใจ ก่อนตั้งสติแล้วอธิบายให้เนติมาฟัง
“ผมบอกคุณเนติ์แล้วว่าระบิลไม่ได้อยู่ที่นี่ รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นของผมเองครับ ผมเพิ่งซื้อมาแล้ววันนั้นระบิลเขายืมไปใช้ แล้วก็บังเอิญไปเจอคุณเนติ์กำลัง...”
“ก็แสดงว่าคุณระบิลกับผู้กำกับก็ยังติดต่อกันอยู่ ตอนนี้คุณระบิลเขาอยู่ไหนเหรอคะ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ชะงักตอบอะไรไม่ถูก
“ผมไม่ทราบจริงๆครับ ปกติระบิลเขาไปไหนมาไหนเขาไม่เคยบอกให้ใครรู้หรอกครับ”
เนติมาสลดลงอย่างเห็นได้ชัดพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
ในเวลาต่อมา ผู้กำกับวิเชษฐ์ยืนส่งเนติมาอยู่หน้าบ้าน เนติมานั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถด้วยสีหน้าเศร้า มีบอดี้การ์ดร่างใหญ่ที่สวมแจ็คเก็ตดูภูมิฐานเป็นทางการ ประกบดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด และมีมอเตอร์ไซค์คุ้มกันอีกหนึ่งคันวิ่งออกจากบ้านไป ผู้กำกับวิเชษฐ์มองตามรถของเนติมาไปก่อนถอนใจอย่างโล่งอก
ผู้กำกับวิเชษฐ์เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนพลางเรียกเสียงดัง
“ระบิล !”
ระบิลสะพายเป้เสื้อผ้าเดินเข้ามาจากระเบียงด้วยความไม่สบายใจนัก
“โชคดีที่ผมไหวตัวทัน”
“แล้วฉันต้องโกหกคุณเนติ์อีกกี่ครั้งวะ”
ระบิลถอนใจออกมาด้วยความสับสน
“พี่เชษฐ์อยากให้ผมไปให้ไกลคุณเนติ์มากกว่านี้ใช่มั้ยครับ”
“การที่คุณเนติ์มาตามหาแกถึงที่นี่ แกยังไม่เข้าใจไม่เข้าใจอีกเหรอว่า คุณเนติ์รู้สึกกับแกยังไง”
ระบิลเข้าใจความหมายที่ผู้กำกับวิเชษฐ์พูดทุกอย่าง ระบิลคิดอย่างตัดสินใจ
ภายในคอนโดฯ กระเป๋าใส่เสื้อผ้าสองใบที่วางอยู่ ยศวีร์เปิดประตูห้องออกมาพูดกับอนงค์และคำเที่ยงที่นั่งรออยู่ที่โซฟา
“เก็บของเรียบร้อยแล้วนะจ๊ะอ้อ”
“เรียบร้อยจ้ะพี่ดล แต่...”
อนงค์พูดพลางพยักเพยิดให้ยศวีร์ดูเนติมาที่นั่งซึมอยู่ใกล้ๆ สายตามองโทรศัพท์มือถือที่มีลิสต์ชื่อระบิลอยู่อย่างลังเล ยศวีร์เดินเข้าไปลงนั่งข้างๆ มองด้วยความสงสัย
“พี่เนติ์”
เนติมาสะดุ้งนิดหนึ่งแล้วถาม
“หา..พร้อมแล้วเหรอดล”
“พร้อมครับพี่เนติ์”
เนติมาพยายามยิ้มกลบเกลื่อนแต่ก็ไม่สามารถปิดบังความเศร้าได้มิด ยศวีร์ อนงค์และคำเที่ยงมองอย่างเป็นห่วง
ภายในห้องนั่งเล่น ขวัญชนกเดินนำเนติมา ยศวีร์ อนงค์และคำเที่ยงเข้ามาพลางพูดคุยด้วยรอยยิ้ม
“น้องอ้อนอนกับพี่เนติ์ ส่วนดลกับคุณลุงขวัญกับคุณแม่จัดห้องด้านบนไว้ให้แล้วนะคะ”
“รบกวนทางนี้แย่เลย ความจริงผมกับลูกๆกลับไปอยู่ที่สิงห์บุรีก็น่าจะปลอดภัยอยู่นะครับ” คำเที่ยงพูดด้วยความเกรงใจ ขณะที่กันต์กับเจือจันทร์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆยิ้มอย่างมีน้ำใจ
“อยู่ด้วยกันที่นี่เถอะครับจะได้ดูแลความปลอดภัยได้ง่ายขึ้น”
“เอาไว้ทุกอย่างเรียบร้อย ค่อยกลับไปดีกว่านะคะ”
“ความจริงก็ดีเหมือนกันนะจ๊ะพ่อ พี่ดลกับพี่เนติ์จะได้อยู่ด้วยกันซะที”
อนงค์พูดอย่างอารมณ์ดีพลางมองไปที่ยศวีร์
“จริงด้วยนะครับพี่เนติ์”
ยศวีร์ยิ้มแล้วหันไปพูดกับเนติมาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเนติมายืนเหม่อมองไปที่ห้องหนังสือเพราะความคิดถึงระบิล
ภายในสวนหย่อมในเวลาต่อมา ยศวีร์เดินเข้ามานั่งข้างๆ มองพี่สาวอย่างเข้าใจ
“คิดถึงคุณระบิลเหรอครับ”
“ดล...”
เนติมาชะงักนิดหนึ่ง
“แววตาของพี่เนติ์มันบอกอย่างนั้นนี่ครับ”
“พี่ผิดมากใช่มั้ยดล”
“ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกไว้ว่า หัวใจเป็นกล้ามเนื้อก้อนเล็กๆ ที่แข็งแรงกว่าพลังช้างสาร แล้วอย่าหาเหตุผลกับหัวใจเพราะเราจะไม่มีวันได้คำตอบเลย”
เนติมาครุ่นคิดตามที่น้องชายพูด แล้วต้องถอนใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ
“คงจริงเนอะ เพราะทุกวันนี้ พี่เองก็ยังไม่รู้ ว่าตัวเองรู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แล้วพี่เนติ์ยังรักคุณศิวัชอยู่รึเปล่าครับ”
ยศวีร์คิดอยู่นิดหนึ่ง แล้วตัดสินใจถามอย่างตรงไปตรงมา เนติมาชะงักนิดหนี่งก่อนตอบ
“ดล..พี่กับพี่ศิวัชตกลงจะแต่งงานกันแล้วนะ”
“การแต่งงาน ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่ายังรักกันเสมอไปนี่ครับพี่เนติ์”
ยศวีร์ความอยากรู้ความรู้สึกของพี่สาว เนติมาชะงักพูดอะไรออกมาไม่ถูก
“ผมว่ารักเพราะรัก กับรักเพราะคุ้นเคย มันต่างกันนะครับพี่เนติ์”
เนติมาชะงักหันมามองยศวีร์นิดหนึ่ง
ปานเปิดประตูเข้ามาในบ้านจิ๊กพร้อมกับถุงข้าวของเครื่องใช้และอาหารเต็มสองมือ แต่ต้องตกใจเมื่อเห็นระบิลนั่งอยู่กับจิ๊ก
“จิ๊ก พี่...ระบิล !”
ระบิลลุกขึ้นพลางจ้องปานไม่วางตา ปานรีบวางถุงที่ถือมาแล้วชักปืนขึ้นเล็งไปที่ระบิลทันที ขณะที่ระบิลยังคงจ้องปานนิ่ง
“เอ็งมาที่นี่ทำไม !” ปานถาม
“พี่ปานอย่า ! พี่บอกแล้วไง ว่าห้ามมีเรื่อง”
“ไม่ต้องห่วงพี่จิ๊ก ผมแค่อยากคุยกับพี่ปาน”
“ฉันไม่มีอะไรต้องคุยกับแก”
ปานพูดอย่างหงุดหงิดพร้อมกับเก็บปืน ขณะที่ระบิลเข้าไปพูดกับปานด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมไม่ได้เป็นบอดี้การ์ดให้คุณเนติ์แล้ว”
“แกจะพูดเพื่ออะไร ในเมื่อวันก่อนแกยังเป็นฮีโร่ไปช่วยเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ”
อ่านต่อหน้า 2
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 12 (ต่อ)
จิ๊กเดินเข้ามายืนมองออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าเศร้า ปานเดินตามเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
“เรื่องก้องพี่ก็รู้สึกไม่แพ้จิ๊กหรอกนะ”
“สิบปีแล้วนะพี่ปาน ฉันยังไม่รู้เลยว่าพี่ก้องหายไปไหน ป่านนี้พี่ก้องจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างก็ไม่รู้”
จิ๊กพูดเสียงสั่นเครือด้วยความเสียใจ ปานชะงักรู้สึกอึดอัด รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเพราะจิ๊กยังไม่รู้ว่าก้องเสียชีวิตไปแล้วและไม่รู้ว่าคนที่ฆ่าก้องคือปาน
“พี่สัญญาจะพยายามตามข่าวให้ได้ว่าไอ้ก้องมันหายไปอยู่ไหน”
“ถึงตอนนี้ฉันหวังแค่เอากระดูกพี่ก้องมาทำบุญฉันก็พอใจแล้ว”
จิ๊กพูดทั้งน้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยความเสียใจ ปานมองตามจิ๊กไปอยากจะเรียกอยากจะอธิบาย แต่พูดอะไรออกมาไม่ได้ ปานเอากำปั้นทุบกำแพงด้วยความอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก
บ้านสวนระบิล จังหวัดเพชรบุรี บรรยากาศในสวนผลไม้เก่าแก่ที่ร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่ มีเสียงนกการ้องเจื้อยแจ้ว รอบๆบริเวณดูรกเพราะไม่มีใครมาดูแลถางหญ้าเท่าไหร่นัก ระบิลเปิดหน้าต่างไม้ของบ้านสวนระบิลออกมาสูดหายใจลึกรับแสงแดดและอากาศบริสุทธิ์ ระบิลมองไปที่ระเบียงหน้าบ้านแล้วต้องชะงัก เมื่อนึกถึงอดีตที่ผ่านมา
เอมมิกากำลังจัดโต๊ะอาหาร ระบิลวิ่งขึ้นบันไดมาอย่างอารมณ์ดี ในมือของระบิลถือผลไม้มาเต็มสองมือ
“สดๆจากต้นมาแล้วจ้ะเอม”
“โห..ลูกใหญ่จังเลย”
“นี่ขนาดพี่ไม่ค่อยได้กลับมาดูแลนะเนี่ย ผลผลิตยังขนาดนี้เลย อีกหน่อยกลับมาอยู่ที่นี่ พี่จะทำสวนเกษตรอินทรีย์ปลุกชีวิตที่นี่ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”
ระบิลพูดพลางมองไปรอบๆบริเวณด้วยความผูกพัน
“เอมช่วยพี่ทำสวนด้วยนะคะ”
“รับทราบค่ะผู้กอง”
เอมมิกายิ้มพลางยกมือขึ้นตะเบ๊ะเป็นเชิงหยอก ระบิลยิ้มพลางเอื้อมมือไปกุมมือเอมมิกาอย่างมีความสุข
“ขอบคุณเอมมากนะคะที่เติมเต็มชีวิตพี่ เพราะตั้งแต่พี่ก้องหายตัวไป พี่ก็...”
ระบิลพูดได้แค่นั้นก็สลดลงทันที
“สักวันพี่ก้องจะกลับมา เอมเชื่ออย่างนั้นจริงๆนะคะ”
ทั้งสองคนโผเข้ากอดกันอย่างมีความสุข
“สุดท้ายก็เหลือแค่พี่คนเดียวนะเอม เฮ้อ..นี่เราจะมาเริ่มต้นชีวิตใหม่นี่หว่า”
ระบิลพยายามยิ้มออกมาอย่างปลอบใจตัวเอง
ภายในห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี ศิวัชกำลังเซ็นเอกสารอยู่ก่อนเงยหน้าขึ้นมามองเนติมาที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานอย่างรู้สึกผิด เนติมาตอบด้วยน้ำเสียงปกติ
“เอกสารแต่งตั้งคุณตี้เข้ามาช่วยทำงานท่านนายกฯที่ทำเนียบค่ะ”
“คุณพ่อส่งมาจ้ะเนติ์ ถ้าเนติ์อึดอัด เดี๋ยวพี่บอกคุณพ่อ...”
“เรื่องงานเนติ์เข้าใจค่ะ”
จังหวะเดียวกันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเนติมากับศิวัชหันไปมอง เห็นธำรงเดินเข้ามา พร้อมกับนายพลทวีและปฏิพรซึ่งแต่งตัวสวยยิ้มมีความสุขตามเข้ามาด้วย
ศิวัชกับเนติมารีบยกมือไหว้นายพลทวีทันที ศิวัชรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันทีเมื่อปฏิพรปรี่เข้ามามาคล้องแขนอย่างสนิทสนม ขณะเนติมาพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกให้เป็นปกติมากที่สุด
“พี่ศิวัช”
“ฝากน้องด้วยนะศิวัช”
นายพลทวีพูดยิ้มอย่างอารมณ์ดี ศิวัชยิ้มรับด้วยความเกรงใจ
“ครับท่าน”
“ตี้จะช่วยงานแกกับหนูเนติ์ได้มาก...โอเคนะหนูเนติ์” ธำรงพูดพลางหันไปถามเนติมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เนติมายิ้มรับทั้งที่ในใจรู้สึกสะเทือนใจ
“โอเคค่ะคุณอา”
“อย่าลืมเซ็นเอกสารโยกย้ายคนของพวกนายพงษ์เลิศด้วยนะศิวัช ถึงเวลาที่จะกระชากพวกนั้นจากดาวลงมาคลุกดินแล้ว” ธำรงบอก
“ครับคุณพ่อ”
ศิวัชรับปากอย่างแข็งขัน ขณะที่นายพลทวีเดินเข้าไปตบบ่าศิวัชอย่างเป็นกันเอง
“ไม่ต้องกลัวคลื่นใต้น้ำ งานนี้ผมออกตัวเอง” นายพลทวีบอก
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณลุง พี่ศิวัชคนเก่งเอาอยู่อยู่แล้วใช่มั้ยคะ”
ปฏิพรพูดออดอ้อนศิวัช เนติมาเบือนหน้าหนีด้วยความสะเทือนใจ
ธำรงหันไปบอกกับนายพลทวี
“ไปครับท่าน ปล่อยเด็กๆเขาทำงานกัน เราไปออกรอบกันดีกว่า”
“ไปสิครับ วันนี้ผมเอาคืนนะคุณธำรง ฮ่าๆ”
นายพลทวีหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนขยับจะเดินออกไปจากห้อง เนติมาที่ยืนครุ่นคิดอยู่พูดอย่างตัดสินใจ
“คุณอาคะ...”
ธำรงกับนายพลทวีชะงักหันกลับมาทันที ศิวัชกับปฏิพรหันมามองเนติมาด้วยความสงสัย
ศิวัชกับปฏิพรที่ยืนรออยู่หน้าห้องประชุมเล็กด้วยความอยากรู้ เมื่อประตูห้องเปิดออก ธำรงเดินนำออกมาจากในห้อง ตามด้วยนายพลทวี ทั้งคู่มีสีหน้าเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่เนติมาเดินตามออกมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก ศิวัชปรี่เข้าไปถามเนติมาด้วยความสงสัยอย่างมาก
“มีเรื่องอะไรเหรอจ๊ะเนติ์”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่ศิวัช”
“ไม่มีอะไร แล้วทำไมไม่ให้พี่เข้าไปคุยด้วยล่ะจ๊ะ”
“มีความลับอะไรเหรอคะคุณเนติ์”
ปฏิพรขยับเข้าไปพูดด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนนายพลทวีต้องปราม
“ตี้...”
“ขอโทษค่ะคุณลุง” ปฎิพรหน้าเจื่อนตอบเสียงอ่อย
ธำรงหันไปพูดกับศิวัชอย่างรู้สึกรำคาญ แต่จริงๆแล้วจงใจให้ศิวัชรู้เพื่อต้องการให้เนติมากับศิวัชแตกแยกกัน
“ก็ไม่เห็นมีอะไร ก็แค่หนูเนติ์เขาถามที่อยู่คุณระบิลก็เท่านั้นแหละ”
“อะไรนะครับ !”
ศิวัชพูดพลางหันไปมองเนติมาด้วยความตกใจ เนติมาหันไปส่งสายตาอย่างน่าสงสาร
“คุณอาคะ...”
“ขอโทษนะหนูเนติ์ แต่อาว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจ้าศิวัชต้องรับรู้ ถ้าเรื่องเล็กๆน้อยแค่นี้รับไม่ได้ ก็ไม่ต้องเป็นนายกฯ ไปครับท่าน เสียเวลามากแล้ว”
ธำรงพูดตัดบทพลางพานายพลทวีเดินออกไปทันที
ศิวัชหันขวับมามองเนติมาด้วยความหงุดหงิด เนติมาถอนใจออกมาด้วยความอ่อนใจ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแล้วเลี่ยงเดินออกไปอีกทางหนึ่งทันที
“เนติ์..เดี๋ยวสิเนติ์ !”
ศิวัชพยายามเรียกเนติมามาแต่ไร้ผล
“จะไปไหนคะพี่ศิวัช อะไรเนี่ย”
ปฏิพรมองตามศิวัชไปพลางถอนใจออกมาด้วยความเซ็ง
ทางเดินในทำเนียบรัฐบาล ศิวัชที่วิ่งตามมารีบคว้าแขนเนติมาไว้ทันที
“เดี๋ยวสิเนติ์”
“โอ๊ย..เนติ์เจ็บนะคะพี่ศิวัช”
ศิวัชตกใจรีบปล่อยแขนเนติมาทันที
“เออ..พี่ขอโทษ แต่เนติ์ไม่เห็นต้องปิดพี่เลยนี่จ๊ะ โดยเฉพาะเรื่องคุณระบิล”
“ถ้าเนติ์บอกพี่ศิวัช พี่ศิวัชจะแฮปปี้รึเปล่าล่ะคะ”
เนติมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น
“ก็พี่ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องไปตามหาคุณระบิลเขาสักนิด เขาเป็นแค่ลูกจ้างเรานะจ๊ะเนติ์”
“แต่เขาก็ช่วยชีวิตเนติ์ไว้ตั้งหลายครั้ง แล้วเนติ์ก็ไม่คิดว่าเขาเป็นแค่ลูกจ้าง”
“ถ้าไม่ใช่ลูกจ้าง แล้วเนติ์จะให้คุณระบิลเขาเป็นอะไร”
เนติมาชะงักพูดอะไรไม่ออก ทั้งสองคนเงียบไม่พูดจา เนติมาพูดตัดบททันที
“เราเลิกเถียงกันเรื่องนี้ดีกว่านะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี”
“แต่...”
เนติมาถอนใจหันไปพูดกับศิวัชอย่างเซ็งๆ
“แต่พี่ศิวัชไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ เพราะคุณอาก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าบ้านคุณระบิลอยู่ตรงไหน คงต้องใช้เวลาสืบน่ะค่ะ”
“นี่เนติ์ยัง...”
ศิวัชยังไม่ทันพูดอะไร เนติมาก็มองเลยไปที่ด้านหลังของศิวัช แล้วก็ถอนใจ
“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยค่ะ เพราะดูคุณตี้จะมีธุระคุยกับพี่ศิวัชนะคะ”
ปฏิพรยืนหน้าเจื่อนแกล้งทำไร้เดียงสาให้ศิวัชใจอ่อน เนติมาเมินหน้าหนีไปทางอื่น ปฏิพรอมยิ้มอย่างได้ใจ เมื่อเห็นอาการของศิวัชและเนติมาที่ผิดใจ
ในเวลาต่อมา ที่บริเวณสนามกอล์ฟ ธำรงหวดลูกกอล์ฟออกไปสุดแรงพลางมองลูกกอล์ฟที่พุ่งไปไกลอย่างพึงพอใจ นายพลทวีมองตามธำรงไปก่อนยิ้มชอบใจพลางพูดแซว
“ดูมั่นใจเหลือเกินนะคุณธำรง”
“ท่านก็รู้นี่ครับว่าผมมั่นใจทุกเรื่องที่ผมทำ”
“รวมถึงเรื่องลูกชายคุณด้วยใช่มั้ย”
“อีกไม่นาน เราสองคนจะเป็นทองแผ่นเดียวกันแน่ สุดท้ายศิวัชเขาต้องรู้ว่าคู่ควงกับคู่ควร ควรเลือกอะไร”
นายพลทวีคิดตามที่ธำรงพูดแล้วยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“แต่อย่าลืมนะคุณธำรงว่า ก่อนถึงเรื่องมงคล เราต้องไล่อัปมงคลออกไปจากแผ่นดินนี้ก่อนนะ”
“เมื่อคำสั่งของศิวัชออกไปแล้ว พวกของนายพงษ์เลิศ ก็จะหมดวาสนาทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง รอวันที่กฏหมายจะจัดการให้ชดใช้กรรมที่ทำไว้กับประเทศเท่านั้น”
ธำรงกับนายพลทวียิ้มให้กันก่อนขึ้นรถกอล์ฟออกไปพร้อมกับแคตดี้
อนงค์ในชุดแฟชั่นของสาววัยรุ่นดูสดใสกำลังโพสท่าถ่ายรูปด้วยรอยยิ้ม ยศวีร์ยืนมองอนงค์อยู่ห่างๆในมุมหนึ่งของสตูดิโอ ทีมงานสองคนเดินผ่านมาพลางมองอนงค์ด้วยสายตาเจ้าชู้
“น้องคนนี้น่ารักชิบเป๋งเลยว่ะ” ทีมงานคนหนึ่งบอก
“สนใจก็ขอเบอร์จากโมเดลลิ่งสิวะ หน้าใหม่อย่างนี้จีบไม่อยากหรอกโว้ย ฮ่าๆ” อีกคนว่า
ยศวีร์ชะงักมองตามทีมงานสองคนที่เดินผ่านไปอย่างหัวเสีย จังหวะเดียวกับที่อนงค์ถ่ายแบบเสร็จพอดี อนงค์ยกมือไหว้ช่างภาพและทีมงานอย่างนอบน้อม แล้วเดินออกมาหายศวีร์ในทันที
“พี่ดล เป็นอะไรไปจ๊ะ รอนานหัวเสียเหรอ”
“หัวเสียเจ้าสองคนนั่นมากกว่า อ้อ..อย่าถ่ายแบบเลยนะ พี่ว่ามันอันตราย”
อนงค์มองตามสายตายศวีร์ไปเห็นทีมงานทั้ง 2 คนที่กำลังช่วยกันเก็บของพลางซุบซิบยิ้มหันมามองด้วยสายตาเจ้าชู้
“โธ่..ก็อย่างนี้แหละจ้ะ อ้อโดนแซวโดนมองจนชินแล้ว ถ้าเราไม่เล่นด้วยซะอย่างเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอกจ้ะ พี่ดลเป็นห่วงอ้อเหรอจ๊ะ”
“ถ้าพี่ไม่ห่วงอ้อแล้วจะให้พี่ไปห่วงใครล่ะ”
ยศวรีร์ตอบอย่างจริงใจ อนงค์ยิ้มชอบใจเอื้อมมือไปจับมืออย่างอบอุ่น
“อ้อรักพี่ดลก็ตรงนี้แหละ เพราะพี่ดลเป็นห่วงอ้อตลอดเวลา”
โมเดลลิ่งหญิงที่ยืนคุยกับช่างภาพอยู่หันมาเรียกอ้อ
“อ้อๆ มานี่หน่อยจ้ะ”
“ค่ะพี่เอิง...เดี๋ยวอ้อมานะจ๊ะ”
ยศวีร์ยิ้มพลางพยักหน้าให้อ้อ ก่อนวิ่งไปหาโมเดลลิ่งหญิงทันที
ในเวลาต่อมา ยศวีร์กับอนงค์เดินคุยกันมาในบริเวณทางเท้าที่ร่มรื่น
“ต่างจังหวัดเลยเหรอ ไม่ไปไม่ได้เหรออ้อ”
“อ้อเกรงใจเขาน่ะจ้ะพี่ดล บริษัทนี้เขาป้อนงานดีให้อ้อต่อเนื่องมาหลายชิ้นแล้วพี่ดล นี่จ๊ะว่างานแต่ละชิ้นไม่มีอะไรเสียหาย ไม่ต้องห่วงอ้อนะจ๊ะ”
“งั้นพี่ไปด้วยนะอ้อ”
“อุ๊ย..ไม่ได้หรอกพี่ดล รถเขามีจำกัด พี่ดลเองก็มีงานต้องทำ อีกอย่างอ้อก็เกรงใจเขาด้วย แถมขืนพี่ดลไปด้วยอีกคนพ่อสงสัยแน่ๆ อ้อคงต้องบอกพ่อว่าไปค่ายของโรงเรียน แต่เพื่อเงินที่เราจะไม่ต้องรบกวนพ่อมากนักเราก็ต้องทำงานไม่ใช่เหรอจ๊ะ”
ยศวีร์คิดอะไรอยู่นิดหนึ่งแล้วหันไปบอก
“อีกเรื่องที่พี่เป็นห่วงคือความปลอดภัยจากพวกนายอิทธิหาญ พี่กลัว...”
“อ้อไม่ใช่เป้าหมายของพวกเขานะจ๊ะ พี่ดลคิดดูสิ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เขาจะมาทำอะไรอ้อ อย่าคิดมากนะจ๊ะ นะๆๆ”
อนงค์ยิ้มพูดหยอกล้อกับยศวีร์อย่างอารมณ์ดี
บ้านสวนระบิล ในวันใหม่ เวลากลางวัน สภาพโถงของบ้านที่ถูกจัดเรียบร้อยเป็นระเบียบแต่เรียบง่าย ระบิลที่อยู่ในชุดขาสั้นเสื้อกล้ามถือผ้าขี้ริ้วถือมองสภาพบ้านที่เพิ่งทำความสะอาดใหม่อย่างพึงพอใจ
ระบิลสูดหายใจลึกเรียกความมั่นใจแล้วคว้าถังน้ำเดินออกไปทันที
ระบิลกำลังซ่อมเครื่องสูบน้ำอย่างตั้งใจ แม้เครื่องจะติดแต่ก็ยังทำงานไม่ได้ ระบิลพยายามอยู่ 3-4 ครั้งจนเครื่องสูบน้ำจะทำงานได้ น้ำสูบจากบ่อพุ่งขึ้นมาด้วยความแรง ระบิลยิ้มชอบใจ
ระบิลกำลังตัดแต่งกิ่งอยู่บนต้นไม้อย่างตั้งใจพลางปาดเหงื่อที่ไหลโทรมหน้าด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยม
ระบิลกำลังใช้จอบทำแปลงผักสวนครัวเล็กๆหน้าบ้านอย่างมีความสุข ก่อนเดินหยอดเมล็ดผักในแปลงสวนครัวที่ยกแปลงขึ้นมา 6-8 แปลง จากนั้นก็เอาป้ายไม้ที่เขียนไว้อย่างง่ายๆว่า “แปลงผักอินทรีย์” ระบิลยืนขึ้นมองแปลงผักที่มีสปริงเกอร์จ่ายน้ำเป็นสายสะท้อนแสงแดดสวยงาม
พ่อค้าเป็นเอาเป็ดราว 20-30 ตัวมาส่งในเล้า ระบิลมองเป็ดที่เดินเข้าเล้าด้วยรอยยิ้ม
ระบิลเอาพันธุ์ปลาที่บรรจุอยู่ในถุงราว 5-7 ถุง ปล่อยลงสู่บ่อ ระบิลยืนมองรอบๆบริเวณสวนของตนแล้วยิ้มออกมาอย่างมีกำลังใจ
“ชีวิตใหม่ในที่เดิมๆ จะเริ่มตั้งแต่วันนี้ แกจะไม่มีอดีตอีกแล้วระบิล”
ระบิลพยายามพูดเรียกความมั่นใจให้ตัวเองก่อนจะสูดลมหายใจลึกเรียกความมั่นใจ
เนติมากำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะอย่างไม่ค่อยมีสมาธินัก ก่อนจะวางงานครุ่นคิดถึงเรื่องที่เข้าไปคุยกับธำรง
ในห้องประชุมเล็ก ธำรงยืนอยู่ใกล้ๆกับนายพลทวี ธำรงถอนใจออกมาด้วยความเห็นใจเนติมาที่ยืนหน้าเศร้าอยู่
“อาไม่รู้ว่า บ้านเกิดเขาอยู่ตรงไหนจริงๆหนูเนติ์ อาจ้างคุณระบิลเขามาเพราะโปรไฟล์การทำงานเขาล้วนๆ”
“ดูหนูเนติ์อยากรู้จักบ้านคุณระบิลเขามาก” นายพลทวีว่า
“ค่ะ..หนูอยากถามเขาด้วยตัวหนูเองว่า ทำไมเขาถึงลาออก หนูไม่สบายใจ”
ธำรงกับนายพลทวี มองหน้ากันอย่างรู้ทันความรู้สึกของเนติมา
“เอาน่า ใจเย็นๆ หนูบอกว่าบ้านเขาอยู่เพชรบุรี เพชรบุรีเนี่ย มันไม่ได้กว้างเกินกว่าเราจะตามหาคนๆหนึ่งหรอกนะ ยังไงผมจะให้ลูกน้องช่วยสืบให้”
เนติมารู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างพลางยกมือไหว้นายพลทวีเป็นการขอบคุณ
“ขอบคุณมากค่ะท่าน”
นายพลทวีรับไหว้พลางยิ้มอย่างมีเมตตา ก่อนหันมามองหน้ากับธำรงนิดหนึ่ง
เนติมานิ่งคิดถึงระบิลและอยากพบที่สุด
“ป่านนี้ท่านทวียังไม่ส่งข่าวมาเลย ไม่ว่านายจะอยู่ที่ไหน ฉันจะตามหานายให้พบ นายไม่มีสิทธิ์ทำให้ฉันทรมานใจแบบนี้”
เนติมาถอนใจแล้วพยายามตั้งสมาธิ ก่อนจะข่มใจทำงานต่อไปอย่างยากลำบากเพราะคิดถึงแต่เรื่องระบิล แต่จังหวะเดียวกันเจ้าหน้าที่หญิงก็เดินถือซองเอกสารเข้ามายื่นให้เนติมา
“เอกสารถึงคุณเนติ์ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะพี่”
เนติมามองซองเอกสารด้วยความแปลกใจ ก่อนแกะออกดูแล้วก็ต้องตะลึงเมื่อด้านในคือกระดาษแผนที่ไปบ้านของระบิล ที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างเรียบร้อยชัดเจน ระบุเป้าหมายว่า “บ้านสวนคุณระบิล”
เนติมายิ้มออกมาด้วยความดีใจ ความหวังที่เนติมาจะพบระบิลเกิดขึ้นอีกครั้ง
อ่านต่อหน้า 3 .
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 12 (ต่อ)
ศิวัชลงนั่งลงที่โต๊ะทำงานแล้วคิดอะไรอยู่นิดหนึ่ง ก่อนจะเริ่มลงมือทำงานต่อ โทรศัพท์มือถือของศิวัชดังขึ้นพอดี ศิวัชรีบรับสาย
“ครับคุณพ่อ”
ธำรงหมุนเก้าอี้ที่นั่งอยู่กลับมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เห็นเอกสารที่จะให้เซ็นชุดใหม่รึยังลูก”
“เห็นแล้วครับคุณพ่อ เอกสารเสนอปลดคนของนายพงษ์เลิศ ผมจะรีบเซ็นให้หมดวันนี้เลยครับ”
ศิวัชหยิบแฟ้มเอกสารที่มีเอกสารรอเซ็นอยู่หลายฉบับขึ้นมาพลิกดูอย่างรู้งาน ธำรงยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยเลศนัย
“ดีมากลูก ล้างบางพวกนั้นเร็วเท่าไหร่ ประเทศก็จะกลับเข้าสู่เส้นทางการแข่งขันกับนานาชาติเร็วขึ้นเท่านั้น ตอนนี้ผลงานของแกดีมากรู้มั้ย ต่างชาติปรับระดับความน่าเชื่อถือประเทศเราอย่างต่อเนื่อง เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆรับรองนายกฯสมัยที่สอง แกนอนมาแน่ๆ”
“สมัยที่สอง ! ไม่นะครับ”
ธำรงพูดแทรกขึ้นมาทันที
“เฮ้ย..ไม่ต้องคิดมากน่า ฉันก็แค่พูดเผื่อไว้เท่านั้น แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้จริงๆ ว่า ถ้าคำสั่งนี้ออกไป พวกนั้นจะทำหน้ายังไง”
ภายในบ้านพงษ์เลิศ บนจอโทรทัศน์ ผู้ประกาศข่าวสาวกำลังรายงานข่าวอยู่
“เป็นที่แน่นอนแล้วนะคะว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีและเป็นการปรับเอาขั้วอำนาจเดิมที่มีนายพงษ์เลิศเป็นแกนนำออกทุกตำแหน่ง ส่วนเหตุผลในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ ไปฟังจากท่านนายกรัฐมนตรีเลยดีกว่านะคะ”
ในจอโทรทัศน์ ศิวัชกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวหลายคนที่รุมล้อมอยู่ ศิวัชพูดอย่างสุขุม
“ปรับเพื่อความเหมาะสมน่ะครับ”
“เป็นเกมการเมืองรึเปล่าคะ” นักข่าวคนที่ 1 ถาม
“การเมืองไม่ใช่เกมที่ใครจะมาเล่น ผมวัดผลที่ประโยชน์สูงสุดของประชาชนครับ”
นักข่าวคนที่ 2 ซักต่อ
“แล้วทำไมถึงเจาะจงปรับขั้วของคุณพงษ์เลิศออกด้วยล่ะครับ”
นักข่าวคนอื่นๆต่างแสดงความอยากรู้เป็นอย่างมาก
ศิวัชอมยิ้มแล้วตอบ
“เพราะเขาไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน เรื่องนี้ผมว่าทุกคนก็รู้ดีไม่ใช่เหรอครับ”
“มีข่าวว่าท่านนายกฯ กำลังจะดำเนินคดีกับคุณพงษ์เลิศกับพวก ข้อหาคอรัปชั่นสมัยที่เป็นรัฐบาลหลายคดีด้วยใช่มั้ยครับ”
“รวมถึงคดีเสียชีวิตของคุณวิเชียรกับคุณพรรณศรี อิสราวัชรด้วยครับ คดีทั้งหมดมีหลายคดี คดีไหนหลักฐานพร้อมเราส่งฟ้องทันที”
พงษ์เลิศมองข่าวในจอโทรทัศน์ด้วยความแค้น กำหมัดแน่น ก่อนจะใช้รีโมทกดปิดโทรทัศน์แล้วปารีโมทลงพื้นด้วยความโมโห
“โธ่โว้ย !”
อิทธิหาญที่นั่งอยู่ใกล้ๆพูดขึ้นด้วยความโมโหเช่นกัน
“หมดเวลาปรองดองแล้วพ่อ”
“รู้งี้ฉันเชื่อแกแต่แรกก็ดี ไม่น่าเสียเวลาเล่นเกมการเมืองกับพวกมันเลย”
ชลกรคุยโทรศัพท์เดินเข้ามา พงษ์เลิศกับอิทธิหาญหันไปมองเห็นสีหน้าของชลกรไม่สบายใจนัก
“อืม...ได้ งั้นแค่นี้ก่อนนะ”
ชลกรวางสายแล้วรีบรายงานพงษ์เลิศทันที
“เขาออกคำสั่งห้ามเราออกนอกประเทศ”
“อะไรนะ ! นี่มันแกล้งกันนี่หว่า” อิทธิหาญพูดด้วยความโมโห
“มันกลัวเราหนี”
พงษ์เลิศพูดอย่างคนรู้ทันเกม พยายามครุ่นคิดหาทางออก ชลกรหน้าเสียและรู้สึกกลัว
“นี่เราจะต้องติดคุกกันหมดนี่ใช่มั้ยคะ”
อิทธิหาญเดินเข้ามาพูดเสียงแข็งและมองอย่างดูถูกชลกร
“กลัวเหรอ ! กลัวก็ไปนอนกับไอ้ธำรงแลกความกลัวสิ ถามมัน..ว่าถ้าไม่ต้องติดคุกต้องรับกี่ประตู”
“นี่...”
อิทธิหาญพูดแทรกต่อ
“หรือต้องเผื่อไปถึงไอ้ศิวัชหรือลูกพรรคมันด้วย ฉันก็ว่าคุ้มนะชลกร”
อิทธิหาญยิ้มอย่างเย้ยหยันมองชลกรหัวจรดเท้า
“ในเมื่อชีวิตเธอหากินด้วยการแลกเปลี่ยนของเก่ากับผลประโยชน์อยู่แล้วนี่ ฮ่าๆ”
ชลกรเงื้อมือจะตบหน้าอิทธิหาญ แต่ต้องชะงักเมื่อพงษ์เลิศยืนนิ่งจ้องหน้าชลกรด้วยสายตาดุ ชลกรน้ำตาคลอเบ้ามอง 2 พ่อลูกด้วยความคับแค้นใจก่อนจะเดินออกไปทันที
อิทธิหาญมองตามชลกรไปอย่างชอบใจ ขณะที่พงษ์เลิศกำลังใช้ความคิดอย่างหนักในการหาทางออกกับปัญหา
บริเวณบ้านของพงษ์เลิศ ชลกรเดินออกมาแอบร้องไห้ด้วยความรู้สึกกลัว อัดอั้นตันใจ
“กลัวเหรอ! กลัวก็ไปนอนกับไอ้ธำรงแลกความกลัวสิ ถามมัน..ว่าถ้าไม่ต้องติดคุกต้องรับกี่ประตู
ชลกรบอกกับตัวเอง
“ไม่ ! ฉันจะไม่ยอมให้ใครดูถูกฉันอีกแล้ว แต่ถ้าต้องติดคุก ไม่..ฉันไม่ยอมให้ฉันมีจุดจบแบบนั้นเด็ดขาด”
ชลกรครุ่นคิดหาทางออกทันที
ภายในคอนโดฯ ชลกรนอนซบอกธำรงอยู่ในผ้าห่ม มือของชลกรไล้หน้าอกธำรงอย่างเอาใจ ขณะที่ธำรงนอนอมยิ้มด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“เมื่อคืนมีความสุขมั้ยคะ”
“คุณไม่เคยทำให้ผมผิดหวังอยู่แล้ว”
ชลกรยิ้มอย่างชอบใจ ก่อนพูดอ้อนต่ออย่างมีความหวังว่าจะรอดจากความผิดที่จะโดนเล่นงาน
“ดีใจจัง แล้ว..ไม่มีรางวัลให้คนดีคนนี้หน่อยเหรอคะ”
“อะไรดีล่ะ”
“แหม..คุณก็รู้”
ชลกรปรายตามองธำรงด้วยความน้อยใจ เมื่อธำรงแกล้งทำเป็นไม่รู้
“ถ้าเรื่องของวัตถุผมให้คุณสบายมาก แต่ถ้าเรื่องผิดชอบชั่วดี ก็ต้องว่าตามเนื้อผ้านะ”
“นี่หมายความว่า...”
ชลกรชะงักอึ้งอย่างใจเสีย
“แต่คุณธำรงคะ ฉัน...”
ธำรงพูดแทรกทันที
“คุณควรกลัว ตั้งแต่ก่อนเข้าไปร่วมสังฆกรรมกับคุณพงษ์เลิศแล้วนะ”
“แต่..แต่ฉันไม่อยากติดคุก”
ชลกรพูดขอร้องด้วยเสียงสั่นเครือ ธำรงขยับจะลุกออกจากเตียง แต่ชลกรรีบโผเข้ากอดทันที
“กระบวนการยุติธรรม ให้ความเป็นธรรมกับทุกคนน่า”
“คุณก็รู้ว่าถ้าขึ้นศาล ยังไงฉันก็ต้องติดคุก ช่วยฉันหน่อยนะคะ จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ กันฉันไว้เป็นพยานให้ฉันหลุดจากคดี อย่าให้ฉันต้องเข้าไปใช้ชีวิตในนั้นเลยนะคะ ฉันทำใจไม่ได้ นะคะคุณธำรง..นะคะ”
ธำรงถอนใจออกมานิดหนึ่งแล้วพูดกับชลกร
“ผมก้าวก่ายอำนาจตุลาการไม่ได้”
“ไม่ได้หรือไม่ทำคะ” ชลกรพูดออกมาด้วยความอัดอั้น
“ถ้ากฏหมายมีไว้แล้วไม่รักษา ประเทศก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านป่าเมืองเถื่อน”
ธำรงเอามือแกะมือชลกรที่กอดตนอยู่ออกอย่างไม่มีเยื่อใย
“ในที่สุดชีวิตฉันก็ไม่มีใครจริงใจกับฉันสักคน ทุกคนที่เข้ามาก็หวังแค่...”
“แต่คุณก็ได้ประโยชน์จากการร่วมหลับนอนทุกครั้งไม่ใช่เหรอ ที่ผ่านมาผมว่าคุณก็คุ้มทุนอยู่นะ”
ธำรงพูดอย่างไม่ใยดีพลางลุกหยิบเสื้อคลุมแล้วคว้าโทรศัพท์มือถือลุกออกไปนอกห้องทันที ชลกรมองตามธำรงไปทั้งน้ำตา
“ในเมื่อตีความเป็นคนของฉันแค่บนเตียง ได้...”
ชลกรเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักหัวเตียงหยิบปืนขึ้นมากำแน่นด้วยความแค้น
“ฉันก็จะตีค่าความเป็นคนของพวกแกด้วยกระสุนนัดเล็กๆนี่เหมือนกัน”
ธำรงกำลังยืนมองออกไปวิวผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องด้วยสีหน้าอมยิ้ม ธำรงจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะกดออก แต่จังหวะเดียวกันธำรงต้องชะงัก เมื่อเห็นเงาชลกรยืนถือปืนสะท้อนในกระจก ธำรงพยายามควบคุมสติ ก่อนหันไปหาชลกรช้าๆ
“ใจเย็นๆน่าชลกร ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้”
“ฉันพูดดีจนแทบจะลงไปกราบเท้าคุณอยู่แล้ว”
ธำรงอมยิ้มมั่นใจในคารมของตัวเองว่าจะกล่อมชลกรได้
“คิดมากน่า วางปืนลงก่อน แล้วค่อยๆเจรจากัน คุณก็รู้ว่าผมมีอำนาจสั่งการได้ทุกอย่างที่คุณต้องการ...ชลกร”
ชลกรแค่นหัวเราะออกมาเพราะไม่เชื่อในคำพูดของธำรงอีกแล้ว
“เก็บคำโกหกของคุณไว้กล่อมยมฑูตในนรกเถอะ คนอย่างคุณจริงๆแล้วก็ไม่ได้ต่างไปจากคุณพงษ์เลิศหรอก แต่น่ากลัวกว่า คุณเป็นซาตานที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากนักบุญ”
“หยุดคิดฟุ้งซ่าน แล้วมาคุยเรื่องล้างความผิดให้คุณดีกว่า ผมเองก็ยังไม่อยากตายไปพบกับยมฑูตของคุณหรอกนะ”
ชลกรชะงักอย่างครุ่นคิด ธำรงรีบพูดย้ำทันที
“ผมเป็นนักธุรกิจ เรามาทำธุรกิจชีวิตกัน ชีวิตผม แลกกับอิสรภาพของคุณ ผมว่าสมน้ำสมเนื้อดีนะ”
ชลกรครุ่นคิดอยู่นิดหนึ่งแล้วตัดสินใจ ชลกรค่อยๆลดปืนลง ธำรงอาศัยจังหวะเข้าไปแย่งปืนจากชลกรทันที แต่ชลกรรู้ตัวยื้อไว้สุดชีวิต
“โอ๊ย !”
ธำรงเหวี่ยงชลกรไปกระแทกกับฝาผนัง จนปืนหลุดมือกระเด็นไปอยู่ที่พื้นห่างออกไปไม่มาก ทั้งสองคนต่างพุ่งไปหมายจะคว้าปืน และคว้าได้พร้อมๆกัน ชลกรมองมองธำรงด้วยความแค้น
“เลว !”
“ตรงไหน ! ในเมื่อคนทำธุรกิจก็ต้องทำให้ตัวเองชนะคู่ต่อสู้ ธุรกิจชีวิตที่ผมพูดก็เหมือนกัน ผมก็ต้องทำให้ตัวเองรอดก็ถูกแล้วนี่” ธำรงพูดด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
ทั้งสองคนชุลมุนยื้อกันอยู่ที่พื้นห้องครู่หนึ่ง เสียงปืนก็ดังขึ้นมาหนึ่งนัด ธำรงกับชลกรต่างชะงัก ก่อนชลกรจะดึงมือของตัวเองขึ้นมาดูด้วยความตกใจเมื่อเห็นเลือดชุ่ม ธำรงทิ้งตัวนอนหงายลงกับพื้นห้องอย่างหมดสภาพ บริเวณท้องของธำรงมีแผลที่ชุ่มไปด้วยเลือด ชลกรมองธำรงด้วยความสะใจ
“ธุรกิจนี้ฉันชนะ”
ธำรงพยายามประคองร่างของตัวเองขึ้นมาพลางชี้หน้าชลกรด้วยความโมโห
“เธอ...”
ชลกรลั่นกระสุนเข้าใส่ธำรงอีกนัดบริเวณลำตัว ธำรงทรุดฮวบลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้นทันที ชลกรตะลึงกับภาพตรงหน้าอยู่ไม่น้อยก่อนจะเปลี่ยนสายตาเป็นความสะใจ
“ชีวิตของคนเลวๆอย่างคุณ แลกกับอิสรภาพของฉันถึงจะถูก แล้วฉันก็ไม่มีวันปล่อยให้ลูกชายของคุณ มาตามไล่ล่าอิสรภาพของฉันอีกแน่”
ชลกรพูดด้วยความแค้นอย่างที่สุดก่อนรีบกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว ธำรงนอนนิ่งจมกองเลือดไม่ได้สติ
ในเวลาต่อมา ชลกรรีบเอากระเป๋าเสื้อผ้าใส่ลงไปท้ายรถอย่างรวดเร็ว พลางมองไปรอบๆอย่างระวังตัวแล้วรีบขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
บริเวณโถงกลางคอนโดฯ ธำรงที่ร่างชุ่มเลือดค่อยๆลืมตาและกระดิกตัวอย่างช้าๆพลางร้อง “โอย” ธำรงมองหาโทรศัพท์มือถือซึ่งตกอยู่ที่พื้น ก่อนจะพยายามคลานไปกับพื้นด้วยความยากลำบาก ทั้งเจ็บแผลทั้งอ่อนแรง ก่อนธำรงเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือได้ก่อนจะหมดแรงพอดี ธำรงค่อยๆกดโทรศัพท์ออกด้วยความเหนื่อยล้าเต็มที
ศิวัชพร้อมการ์ดซุ้งถือแฟ้มเอกสารอีก 2 คนเดินเลี้ยวเข้ามาในบริเวณทางเดินพรรคสยามพัฒนา เสียงโทรศัพท์มือถือของศิวัชก็ดังขึ้น
“ครับคุณพ่อ”
ศิวัชนิ่งฟังปลายสายอยู่ครู่หนึ่งแล้วชักสีหน้าด้วยความตกใจ
“คุณพ่ออยู่ที่ไหนครับ...คุณพ่ออดทนนิดนะครับ ผมจะส่งรถไปรับเดี๋ยวนี้”
ศิวัชวางสายแล้วรีบหันไปสั่งงานการ์ดคนที่ 1 ทันที
“โทรเรียกรถพยาบาลด่วนที่สุด !”
“ครับท่าน”
หน้าที่ทำการพรรคสยามพัฒนา ศิวัชพร้อมการ์ดเดินออกมาจากด้านในอาคารด้วยความเร่งรีบ
“ไปกันแค่นี้ ผมไม่อยากเอิกเกริก แล้วบอกทุกคนที่เกี่ยวข้องด้วยว่าห้ามให้ข่าวสื่อมวลชนเด็ดขาด ผมจะเป็นคนให้ข่าวเอง”
ศิวัชกับการ์ดทั้งสองคนเดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ห่างนัก ชลกรขับรถเข้ามาขวางหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมเปิดกระจกแล้วเล็งปืนใส่ศิวัชทันที
“ท่านนายกฯระวัง!”
การ์ดคนที่ 1 รีบผลักศิวัชให้หมอบกับพื้นทันที กระสุนพลาดเป้าไปไปโดนต้นแขนการ์ดคนที่ 2
ชลกรตกใจรีบออกรถไปทันที การ์ดคนที่ 2 ตั้งหลัก กัดฟันยกปืนขึ้นยิงไป 2-3 นัดโดนตัวถัง ส่วนการ์ดคนที่ 1 ยกปืนขึ้นเล็งยิงไปที่ยางรถยนต์อย่างแม่นยำ รถของชลกรจะส่ายไปมานิดหนึ่งจนต้องจอด
ชลกรเปิดประตูรถออกมาเพื่อจะวิ่งหนี
“ฉันเอง แกคุ้มครองท่านนายกฯด้วย” การ์ดคนที่ 1 บอก
การ์ดคนที่ 1 จะวิ่งไล่ไปอย่างรวดเร็ว ชลกรหันมายิงปืนใส่การ์ด แต่พลาดเป้าและสะดุดขาตัวเองล้มลงอย่างไม่เป็นท่า ปืนกระเด็นหลุดจากมือ
“โอ๊ย !”
ชลกรกระเสือกกระสนจะไปหยิบปืนแต่ถูกการ์ดคนที่ 1 ที่วิ่งตามมาทันเตะปืนทิ้งไปได้อย่างเฉียดฉิว พร้อมเอาปืนจ่อแล้วกดร่างชลกรแนบกับพื้นทันที
“อยู่เฉยๆ !”
ศิวัชกับการ์ดคนที่ 2 และเจ้าหน้าที่พรรควิ่งตามมาทันพอดี ศิวัชมองชลกรด้วยสีหน้าจริงจัง
“ชลกร !”
ชลกรรู้ทันทีว่าสิ้นหนทางหนีรอดแน่แล้วจึงร้องไห้และพูดออกมาอย่างหนัก
“ทำไม...ทำไม ทำไม...”
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เนติมาเร่งฝีเท้าเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ ศิวัช ปฏิพร นายพลทวี ยืนรออยู่หน้าห้องผ่าตัดแล้ว ทั้งหมดมีสีหน้าไม่สบายใจเพราะเป็นห่วงธำรง
“เนติ์...”
เนติมายกมือไหว้นายพลทวีอย่างรีบๆ ก่อนหันไปถามศิวัชทันที
“คุณอาเป็นยังไงบ้างคะ”
“ยังไม่รู้เหมือนกัน นี่ก็เข้าไปหลายเป็นชั่วโมงแล้ว”
เนติมาเอื้อมมือจะไปกุมมือให้กำลังใจศิวัช แต่ปฏิพรรู้ทันชิงจังหวะไวกว่ารีบเอื้อมมือไปกุมมือศิวัชทันทีอย่างแนบเนียน เนติมาถอนใจด้วยความเหนื่อยใจ
“พี่ศิวัชใจดีๆนะคะ คุณอาต้องปลอดภัย คุณหมอที่นี่เก่งออก” ปฏิพรว่า
“เรื่องข่าวไม่ต้องห่วงนะ อาเคลียร์กับสื่อแล้ว ทุกสำนักจะเสนอข่าวตามที่เราส่งไปเท่านั้น” นายพลทวีบอก
“ครับ...”
ศิวัชถอนใจออกมาด้วยความกังวลพลางขยับจะดึงมือออกจากมือปฏิพรที่กุมอยู่ ศิวัชกับเนติมามองหน้ากันอย่างอึดอัด
อ่านต่อหน้า 4
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 12 (ต่อ)
ระบิลที่กำลังนั่งดูข่าวอยู่ด้วยสีหน้าไม่สบายที่บ้านสวนระบิล จอโทรทัศน์กำลังเสนอข่าวและภาพชลกรถูกคุมตัวไปที่สถานีตำรวจอย่างหมดสภาพ ตาเหม่อลอย น้ำตาคลอเบ้า มีนักข่าวหลายคนรุมทำข่าวกันอยู่หลายคน
“เหตุการณ์ที่เกิด น่าจะเกี่ยวข้องกับการถูกดำเนินคดีข้อหาคอรัปชั่นหลายคดี ต้องรอการขยายผลอีกทีนะคะ ว่าเหตุครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับคุณพงษ์เลิศกับลูกชายรึไม่ ส่วนอาการของคุณธำรง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพ้นขีดอันตรายแล้วค่ะ”
ใจนัก และเป็นห่วงเนติมา
“เหตุการณ์แรงขึ้นทุกที คุณเนติ์ คุณอย่าเป็นอะไรนะครับ”
พงษ์เลิศพอทราบรายละเอียดข่าวทั้งหมดก็โมโหหนักพลางกวาดของบนโต๊ะหล่นกระจาย
“บัดซบที่สุด นอกจากไอ้ธำรงไม่ตายแล้วยังนำความซวยมาเติมให้อีก”
“นังชลกรนี่มันโง่จริงๆ ไอ้พวกนั้นมันเลยฉวยโอกาสสาดโคลนมาให้เราเต็มๆ ถล่มมันให้รู้แล้วรู้รอดเลยมั้ยครับพ่อ”
อิทธิหาญพูดด้วยความมุทะลุ แต่พงษ์เลิศรีบปรามทันที
“แกคิดว่าพ่อไม่อยากเหรอ แต่ขืนทำอย่างนั้นก็เข้าทางมัน แล้วเราจะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกเลย”
“โธ่โว้ย !”
อิทธิหาญสบถออกมาด้วยความอัดอั้น ขณะที่พงษ์เลิศคิดอะไรอยู่นิดหนึ่ง แล้วพูดออกมาอย่างเอาจริง
“ทำตามแผนเดิมที่วางไว้ แล้วพวกมันจะเป็นฝ่ายที่ไม่มีโอกาสแก้ตัว”
อิทธิหาญคิดตามที่พงษ์เลิศพูดแล้วก็ยิ้ม
ภายในระเบียงบ้านกันต์ เนติมาแต่งตัวพร้อมจะออกไปข้างนอก ยศวีร์กับอนงค์เดินตามจากในบ้านออกมากด้วย
“เอาไว้ให้คุณอาธำรงแข็งแรงกว่านี้ เราสองคนค่อยไปเยี่ยมเนอะ”
“ครับพี่เนติ์”
เนติมาหันไปพูดกับคำเที่ยงที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ใกล้ๆด้วยความเกรงใจ
“คุณลุงขาไม่ต้องทำหรอกค่ะ คุณลุงเป็นแขกของเรานะคะ”
“ให้ผมทำเถอะครับคุณหนู อยู่เฉยๆผมเฉาตายแน่ๆ”
“ปล่อยให้แกทำเถอะจ้ะ พ่อกับต้นไม้ของคู่กัน” อนงค์บอก
เนติมายิ้มอย่างเข้าใจ จังหวะเดียวกัน ขวัญชนก เจือจันทร์ กันต์ก็ตามออกมา ขวัญชนกยื่นช่อดอกไม้ช่อโตให้เนติมา
“ฝากดอกไม้ไปเยี่ยมคุณอาธำรงด้วยนะจ๊ะเนติ์”
กันต์ยิ้มแล้วบอก
“อาโทรสั่งมาตั้งแต่เช้าแล้วถือว่าเป็นตัวแทนของพวกเราทุกคนนะหนูเนติ์”
“เดี๋ยวเนติ์บอกคุณอาให้ค่ะ”
“เฮ้อ..อย่าให้ใครต้องสูญเสียเลือดเนื้ออีกเลย” เจือจันทร์พูดอย่างกังวล
“แต่ถ้าต้องมีการสูญเสียต้องไม่ใช่ฝ่ายเราครับ” ยศวีร์บอก
เนติมาเอื้อมมือไปโอบไหล่น้องชายอย่างชื่นชมก่อนหันมาพูดกับทุกคน
“อดทนกันอีกนิดนะคะ อีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบแล้ว ทุกคนจะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นซะที”
ทุกคนรอคอยความหวังนี้มานานแสนนาน
ภายในห้องคนไข้พิเศษ ช่อดอกไม้จากบ้านกันต์ถูกจัดอยู่ในแจกันบนหลังตู้หัวเตียงคนไข้ ธำรงมองไปที่ช่อดอกไม้นิดหนึ่งแล้วหันมาพูด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงกับเนติมาอย่างอารมณ์ดี
“ฝากขอบคุณทุกคนด้วยนะหนูเนติ์”
“ค่ะคุณอา นี่โชคดีนะคะ ที่กระสุนไม่ได้ถูกอวัยวะสำคัญ”
“โชคดีอีกต่อที่ชลกรยิงด้วยอารมณ์ ไม่ใช่มือปืนอาชีพ แถมมองในมุมดีมันช่วยให้เกมที่เราเดินง่ายมากขึ้น สื่อทุกสื่อในโซเชียลเน็ตเวิร์กรุมประณามพวกของนายพงษ์เลิศ เพราะคิดว่าเป็นตัวบงการ”
ธำรงพูดอย่างพึงพอใจ
“แหม...ขนาดอยู่ในโรงพยาบาล ยังไม่ตกข่าวเลยนะคะ”
“หางเสือชีวิตมันหันเหได้ตลอดเวลานี่หนูเนติ์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเสียใจ อย่าละสายตาจากเป้าหมาย อย่าละมือจากพวงมาลัย อ้อ...แล้วนี่ตกลงได้ไปบ้านคุณระบิลรึยัง”
“ยังเลยค่ะ ก็พอดีคุณอาโดนยิงซะก่อน เนติ์ก็เลย...”
“แต่ตอนนี้อาปลอดภัยแล้ว ถ้าไม่อยากเสียใจ อย่าละสายตาจากเป้าหมาย”
ธำรงพูดเป็นเชิงชี้ช่องให้ เนติมายังไม่ทันตอบอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เนติมากับธำรงหันไปมอง เห็นศิวัชกับปฏิพรเดินเข้ามาด้วยกัน
เนติมาสีหน้าสลดลงทันที ศิวัชก็หน้าเจื่อนลง
“เนติ์...”
“สวัสดีค่ะคุณเนติ์ วันนี้คุณอาดูสดชื่นขึ้นตั้งเยอะนะคะ อีกไม่กี่วันก็กลับมาวิ่งปร๋อได้แล้วล่ะค่ะ”
ปฏิพรพูดแซวอย่างอารมณ์ดี ธำรงยิ้มอย่างถูกใจ
“เว่อร์น่าเรา แล้วนี่ไปไหนกันมาลูก”
“ไปงานเปิดตัวโครงการต้านคอรัปชั่นกันมาค่ะ เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาก่อน แล้วเดี๋ยวพี่ศิวัชต้องไปแสดงวิสัยทัศน์ให้นักศึกษาฟัง จากนั้นก็เข้าไปเคลียร์งานที่ทำเนียบค่ะ”
“แหม..คล่องแคล่วดีมากหนูตี้ อย่างนี้เบาแรงหนูเนติ์ได้เยอะเลยนะ”
ธำรงแกล้งพูดทีเล่นทีจริง ปฏิพรยิ้มให้เนติมาด้วยความชอบใจ
ภายในห้องคนไข้ เนติมาที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน จึงรีบพูดตัดบททันที
“เออ..งั้นเนติ์ขอตัวก่อนนะคะ”
“จะรีบไปไหนล่ะเนติ์ ไปงานกับพี่ก่อนนะจ๊ะ”
ศิวัชเอ่ยปากชวน เนติมามองไปที่ปฏิพรนิดหนึ่งก่อนฝืนยิ้มตอบศิวัช
“พี่ศิวัชไปกับคุณตี้เถอะค่ะ เนติ์มีงานที่ทำเนียบค้างอยู่อีกเยอะเลย แล้วเนติ์จะแวะมาเยี่ยมใหม่นะคะ”
เนติมาพูดพลางยกมือไหว้ธำรง ธำรงยิ้มรับไหว้ เนติมาเลี่ยงเดินออกจากห้องไปทันที
“เดี๋ยวสิเนติ์...”
“ศิวัช ตามหมอให้พ่อหน่อยสิลูก พ่อมีเรื่องถามหมอนิดหน่อย”
ศิวัชชะงักหันไปมองธำรงอย่างขัดใจ ธำรงแกล้งขยับตัวนิดหนึ่งเป็นเชิงว่าเจ็บแผล ปฏิพรแอบยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี
บริเวณทางเดินใกล้ห้องพักคนไข้พิเศษ เนติมาน้ำตาคลอเบ้ายืนพิงผนังอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดใจและเดินออกไปทันที
เวลากลางวันของวันใหม่ ภายในสวนหย่อมบ้านกันต์ ผู้กำกับวิเชษฐ์กับขวัญชนกเดินคุยกันมาตามทาง สีหน้าของขวัญชนกไม่ค่อยสบายใจนัก
“ขวัญเป็นห่วงเนติ์จัง เราพอจะช่วยอะไรเนติ์ได้บ่างมั้ยคะ”
“ถ้าเรื่องอื่นๆช่วยได้เต็มที่ครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องหัวใจ ผมว่าเราคงได้แต่ช่วยให้กำลังใจ”
“เรื่องความรักที่เกี่ยวกับคนสองคน บางทีผมก็ว่ามันซับซ้อนอยู่แล้ว ยิ่งกรณีที่เกี่ยวกับคนสามสี่คนอย่างนี้ หัวใจของพวกเขาเท่านั้นแหละครับที่จะพาเจ้าของหัวใจไปอยู่ในที่ๆควรอยู่”
“ความจริง ถ้าทุกคนเปิดใจพูดกันตรงๆ เรื่องคงง่ายกว่านี้นะคะ”
“คุณขวัญกล้าพูดเหรอครับ”
ขวัญชนกชะงักมองผู้กำกับวิเชษฐ์ด้วยความสงสัย
“ถ้าพูดแล้วต้องสูญเสียคนที่รักไป บางคนก็เลือกที่จะไม่พูดนะครับ”
ขวัญชนกครุ่นคิดตามที่ผู้กำกับวิเชษฐ์พูดอย่างเห็นด้วย ผู้กำกับวิเชษฐ์หันมองขวัญชนกแล้วตัดสินใจพูดออกมา
“ผมก็คนหนึ่งล่ะครับที่ไม่กล้าพูด”
ผู้กำกับวิเชษฐ์มองชวัญชนกด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความรัก ทั้งสองคนสบตากันนิ่งค้างอยู่นิดหนึ่ง จนขวัญชนกจะรู้สึกอายและรีบหลบตาทันที
ภายในห้องหนังสือ เนติมานั่งเหม่อใจลอยด้วยความคิดถึงระบิล ก่อนก้มลงมองหนังสืออาหารไทยที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า เนติมาเอามือสัมผัสหน้าปกหนังสือแล้วยิ่งคิดถึงระบิลในวันเก่าๆ
..ระบิลหันมายิ้มให้เนติมา พลางชี้ให้ดูอาหารที่เตรียมไว้บนโต๊ะอย่างอารมณ์ดี
“ตื่นแล้วเหรอคุณ ต้อนรับมื้อแรกของบ้านหลังนี้ด้วยมั่สมั่นไก่นะครับ”
“อืม..ดีจัง ฉันไม่ได้ทานตั้งนานแล้ว”
“เมนูนี้อยู่ในหนังสืออาหารไทยของคุณเลยนะ”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี เนติมายิ้มพยักหน้ารับรู้อย่างชอบใจ ก่อนระบิลจะหยิบขนมปังหัวกะโหลกอย่างดีขึ้นมาให้เนติมาดู
“เอาขนมปังหัวกะโหลกปิ้งจิ้มแกงมัสมั่นไก่ รับรองอร่อยถึงชาติหน้าเลยล่ะครับ”
“เว่อร์”
เนติมายิ้มแล้วค้อนให้ระบิลด้วยความหมั่นไส้
เนติมามองภาพแกงมัสมั่นไก่ในหนังสืออาหารไทยตรงหน้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า
ภายในห้องนอนที่บ้านสวน ระบิลนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กมองรูปเนติมาบนหอไอเฟลที่ตนเป็นคนถ่าย ระบิลอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงรอยยิ้มของเนติมาในภาพ จังหวะเดียวกันก็มีลมพัดเบาๆผ่านเข้ามาจากหน้าต่างที่อยู่ข้างระบิลเข้ามา ระบิลมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตของภาพถ่าย
... โทรศัพท์มือถือของเนติมาก็ดังขึ้น เนติมายิ้มดีใจรีบรับสายทันที
“พี่ศิวัชโทรมาแล้ว...มาถึงแล้วเหรอคะ”
เนติมาชะงักฟังปลายสาย ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความเข้าใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเนติ์กลับเองได้ พี่ไม่ต้องห่วงเนติ์นะคะ เจอกันค่ะ”
เนติมาวางสายก่อนหันไปพูดกับระบิล
“พี่ศิวัชยังคุยธุระไม่เสร็จเลยค่ะ”
“อ้าว..อดเลย เอางี้มั้ย..เดี๋ยวผมถ่ายรูปคุณเดี่ยวๆไว้อีกรูป แล้วเผื่อที่ข้างๆไว้ แล้วเดี๋ยวผมไปถ่ายรูปเดี่ยวคุณศิวัช เอามาทำโฟโต้ชอปแปะไว้ข้างๆคุณเนียนแอ๊บหวานนิดหนึ่งก็ได้รูปคู่แล้ว”
“โอ๊ย..วุ่นวายไปรึเปล่าคะ”
เนติมาอดขำไม่ได้ที่ระบิลเสนอความคิดพลางออกท่าทางประกอบด้วย
“ไม่วุ่นคุณ ผมทำบ่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ เราสองคนถ่ายคู่กันมาเยอะแล้ว แต่ตอนนี้ฉันว่าลงไปหาอะไรทานกันเถอะ ใช้พลังงานวิ่งขึ้นมาตั้งเยอะ ชักเริ่มหิวแล้วล่ะ”
ระบิลอมยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเนติมา จังหวะเดียวกัน เสียงโทรศัพท์มือถือของระบิลดังขึ้นพลางมองรูปเนติมาที่ขึ้นบนหน้าจออย่างสับสนก่อนตัดสายทิ้งพร้อมกับปิดมือถือทันที
“ขอโทษนะคุณ เข้าใจผมด้วยนะครับ”
เนติมาค่อยๆลดโทรศัพท์มือถือลงมาวางด้วยความผิดหวัง น้ำตาคลอเบ้าด้วยความเสียใจ
“นายนี่เป็นคนใจร้ายที่สุด”
เนติมาเอื้อมหยิบกระดาษแผนที่ในกระเป๋าออกมามอง
“ขนาดโทรศัพท์ยังไม่รับ แล้วถ้าฉันไปหานาย นายจะต้อนรับฉันมั้ย”
ภายในห้องนั่งเล่น เจือจันทร์กำลังช่วยพยุงกันต์ขึ้น แต่กันต์ไม่ไหวทรุดตัวลงนั่งที่รถเข็น
“โอ๊ย !”
“ฉันบอกคุณแล้วว่าให้ใจเย็นๆ เจ็บมากมั้ย”
เจือจันทร์ถามด้วยความเป็นห่วง กันต์เริ่มหงุดหงิดกับตัวเอง
“ไม่เท่าไหร่ แต่ผมเริ่มเบื่อสภาพผมตอนนี้เต็มทีแล้ว ผมอยากเดิน อยากวิ่ง อยากออกไปทำอะไรแบบที่เคยทำ”
“ทนมาได้ตั้งหลายปี ทนอีกหน่อยนะคุณ พอทุกอย่างเรียบร้อย คุณก็จะได้รักษาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวซะที”
กันต์ครุ่นคิดตามแล้วยิ้ม
“จริงสินะ ออกไปตอนนี้ก็มีแต่เป็นภาระลูกหลานเปล่าๆ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ฝันร้ายจะได้จากไปจากชีวิตพวกเราซะที”
ทั้งสองคนมองตากันอย่างเข้าใจความหมาย
“แต่ตอนนี้ที่เป็นห่วง คงเป็นคนในห้องหนังสือนั่นมากกว่า เก็บตัวอยู่ในนั้นทั้งวันแล้ว ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง”
กันต์มองตามเจือจันทร์ไปยังห้องหนังสือ
“ความรักไม่เคยทำให้ใครตายหรอกคุณ”
“แต่ฉันก็เห็นคนตายเพราะความรักมาเยอะแล้วละ”
“เขาทำตัวเองต่างหาก เขาแพ้ใจตัวเอง แต่เชื่อผมสิคุณ ไม่ใช่หนูเนติ์แน่ๆ”
ภายในห้องหนังสือ เวลากลางคืน เนติมาฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ โดยหนุนอยู่บนหนังสืออาหารไทย เนติมาค่อยๆงัวเงียตื่นขึ้นมา เนติมาและดูนาฬิกาข้อมือ
“นี่เราเผลอหลับไปเป็นชั่วโมงเลยเหรอเนี่ย”
ประตูห้องถูกเปิดออกมาอย่างช้าๆ เนติมาเดินออกมาด้วยสีหน้าเศร้าและเจอกับ ยศวีร์และอนงค์ที่เดินคุยกันอยู่
“พี่เนติ์ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”
“พี่ต้องถามเราสองคนมากกว่าว่าทำไมเพิ่งกลับ”
เนติมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เนติมามองอาการของยศวีร์กับอนงค์ก็พอจะรู้ว่า ทำไมทั้งสองคนนั่นถึงกลับบ้านช้า
ภายในห้องนั่งเล่น เนติมาพูดด้วยความไม่สบายใจ
“ดลกับอ้อก็รู้ว่า ช่วงนี้สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ”
“ผมก็ระวังตัวอยู่นะครับพี่เนติ์”
“แต่ที่ผ่านเราเกือบเอาชีวิตไม่รอดนะดล”
ยศวีร์พยายามอธิบายกับเนติมา
“พี่เนติ์ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมกับอ้อไม่ได้ทำตัวเป็นจุดสนใจ คงไม่เป็นอันตรายหรอกครับ”
“เลิกทำงานพิเศษซะ เงินที่ได้จากทำงานพิเศษเดือนละเท่าไหร่ พี่ชดเชยให้เอง”
“แต่...”
“เราเหลือกันอยู่สองคนที่น้องเท่านั้นนะดล และพี่ก็ไม่มีวันยอมให้น้องพี่เป็นอะไรไปเด็ดขาด”
เนติมาจับมือยศวีร์ด้วยความเป็นห่วง
ยศวีร์นิ่งครุ่นคิดตามที่เนติมาพูดก่อนมองตามเนติมาที่เดินออกไป
บริเวณสวนหย่อม เนติมาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างความอ่อนล้า
“เหนื่อยเหรอครับพี่เนติ์”
ยศวีร์นั่งลงที่ข้างๆพี่สาวด้วยความเป็นห่วง เนติมายิ้มพลางถอนใจ
“พี่สู้มาทั้งชีวิต ถึงพี่จะโตที่ฝรั่งเศส ดูเหมือนสบายกว่าดลที่โตในสวน สู้มาถึงตอนนี้ที่เรื่องทุกอย่างกำลังจะจบ แต่พี่ก็ยังต้องสู้กับหัวใจตัวเองอีก”
“พี่เนติ์เป็นคนเก่ง ผมว่าพี่เนติ์ต้องผ่านได้อยู่แล้วครับ”
ยศวีร์พูดพลางหันไปมองบ้านอิสราวัชร
“คิดถึงบ้านจังเลยครับพี่เนติ์ เรื่องทุกอย่างจบเมื่อไหร่ เรารีบกลับไปอยู่บ้านเรากันนะครับ”
“ก่อนเรื่องทุกอย่างจบ พี่ก็ต้องเข้าไปที่นั่นอีกครั้ง”
เนติมามองไปที่บ้านอิสราวัชรด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“หลักฐานที่คุณพ่อบอกไว้ใช่มั้ยครับ แล้ว..ทำไมเราไม่เข้าไปเอาวันนี้เลยล่ะครับพี่เนติ์”
“ดลพูดอะไรน่ะ”
“จริงๆนะครับพี่เนติ์ เมื่อกี้ตอนผมกับอ้อกลับมาแอบได้ยินลูกน้องเจ้าอิทธิหาญที่เฝ้าหน้าประตูคุยกัน ว่าคืนนี้นายมันไม่อยู่”
“มิน่า คืนนี้บ้านปิดมืดเชียว”
เนติมาลุกขึ้นมองไปที่บ้านอิสราวัชรที่ปิดเงียบ มีเพียงไฟดวงเล็กๆเปิดเป็นบางจุดเท่านั้น ยศวีร์ลุกขึ้นมายืนข้างๆเนติมา พลางพูดชวนอย่างรู้ใจ
“ผมว่าพี่เนติ์เองก็อยากทำภารกิจนี้ด้วยตัวเองไม่ใช่เหรอครับ ไม่งั้นพี่เนติ์ก็คงบอกให้พี่ศิวัชช่วยไปตั้งนานแล้ว”
“เรื่องนั้นน่ะใช่ แต่...”
“ถ้าไม่ใช่ผมแล้วจะเป็นใครครับ ลูกน้องผู้กำกับวิเชษฐ์ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกเหรอครับ ผมโตแล้วนะครับ ถ้าพี่เนติ์ไม่ให้ผมไป ผมก็ไม่ให้พี่เนติ์ไปเหมือนกัน”
ยศวีร์พูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาเนติมาคิดหนัก
จบตอนที่ 12
อ่านต่อตอนที่ 13 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.