มณีแดนสรวง ตอนที่ 19
ที่โกดังร้างแห่งนั้น...ชิโลถูกผลักเข้ามาจนล้มลงพื้นส่งเสียงอู้อี้ สาโรจน์เข้าไปเอาผ้าปิดปากออกให้
“แผนของพวกเจ้าไม่มีทางสำเร็จ ผู้กองสการจะไม่ยอมแลกข้อมูลนั่นกับฉัน”
ทองทิวจ้องหน้า
“แต่ดูจากสายตาที่มันมองเธอแล้ว ฉันว่าถ้าฉันจะขอแถมชีวิตมันมาด้วย มันก็คงยอมแลกได้โดยไม่มีเงื่อนไข”
ชิโลชะงัก
“ไม่นะ...ฉันขอร้องล่ะ ถ้าพวกเจ้าไม่เลิกทำบาป พวกเจ้าต้องตกนรก”
ทองทิวนิ่งไปแล้วหันมองหน้ากับสาโรจน์ก่อนจะพากันหัวเราะกันสนุกสนาน
“อ๋อ...ฉันจำได้แล้ว ไอ้ผู้กองเคยพาเธอมาเจอฉัน เธอบอกว่าเป็นนางฟ้ามาจากสวรรค์”
“ฉันไม่ได้โกหก สวรรค์มีอยู่จริง นรกก็เหมือนกัน คนที่ก่อบาปทำกรรม สุดท้ายจะต้องลงไปชดใช้กรรมในขุมนรก ต้องทนทุกข์ทรมานกับบาปที่ก่อไว้ เพราะฉะนั้นพวกเจ้าควร หมั่นทำดี สิ้นบุญเมื่อไหร่จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงกว่า”
“สาธุนะนังหนู ถ้านรกมีจริงอย่างที่ว่า ฉันว่านรกคงแตกไปนานแล้ว เพราะบนโลกนี้ฉันไม่เคยเห็นมีใครดีสักคน มีแต่คนอย่างฉันเดินเพ่นพ่านกันให้เต็มไปหมด ฮ่าๆๆๆ”
ทองทิวหัวเราะสะใจก่อนจะหันไปที่สาโรจน์
“เตรียมสินค้าล็อตใหญ่ครั้งนี้ให้พร้อม ฉันจะส่งนังบ้านี่ไปให้อาเหม็ด มันจะได้ไปเห็น นรกบนดินของจริง”
“แล้วพวกตำรวจล่ะครับ”
“ฉันมั่นใจว่าไอ้ผู้กองสการต้องมาแลกตัวนังนี่แน่ และถ้ามันมาถึงเมื่อไหร่…”
ทองทิวยิ้มร้าย สาโรจน์เข้าใจ
“ครับนาย...มันตายคามือผมแน่”
ทองทิวหัวเราะชอบใจแล้วเดินออกไป สาโรจน์เข้ามาเอาผ้าปิดปากชิโลเอาไว้เหมือนเดิม ชิโลร้องอู้อี้ขอร้องอย่า ทำอะไรสการ
ที่สำนักงานตำรวจ...สการเข้ามาเห็นทีมตำรวจหน่วยจู่โจม กำลังเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการจับกุมทองทิว ดำเกิงเข้ามาสมทบ สการทำความเคารพ ผู้การดำเกิงยิ้มชื่นชม
“ทำได้ดีมากผู้กอง คุณตรีชฎาบอกว่าหลักฐานที่จะใช้มัดตัวนายทองทิวให้ดิ้นไม่หลุด อยู่กับคุณ”
“ครับท่าน”
“ดี...นี่จะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่เราจะได้ปิดคดี เพื่อลากคอคนเลวอย่างมันให้เข้าคุก”
สการสงสัย
“ทำไมครับท่าน”
“ผมได้ข่าวมาว่าเงินทุนก้อนโตที่นายทองทิวจัดหาให้กับพรรคการเมืองกำลังจะทำให้ชื่อของมันถูกขยับไปอยู่ในปาร์ตี้ลิสต์อันดับต้นๆ เราต้องเร่งส่งหลักฐานไปตรวจสอบ เพื่อออกหมายจับให้เร็วที่สุด ก่อนที่คดีนี้จะถูกทำให้กลายเป็นแค่เกมส์การเมือง”
สการได้ฟังเงื่อนไขแล้วก็นิ่งไปหน้าเครียด แต่ผู้การดำเกิงเข้าใจไปว่าสการเป็นห่วงชิโล
“ทีมที่ผมเลือกมาครั้งนี้ ฝีมือคัดมาอย่างดี มั่นใจได้ ว่าจะช่วยชิโลให้ปลอดภัยกลับมา”
“แล้วผมล่ะครับท่าน”
“คุณเหนื่อยมามากแล้ว ผมอยากให้คุณพัก ปล่อยให้ที่เหลือเป็นหน้าที่ของทีม”
“แต่ว่า...”
“เชื่อผม สภาพคุณล้าเกินกว่าจะออกไปลุยอีก เอาล่ะ...ผมขอหลักฐานด้วย ผมจะได้ส่ง ไปตรวจสอบ”
สการหยิบแฟลชไดร์ฟจากกระเป๋ากางเกงออกมา กำไว้แน่นและจะยื่นให้ผู้การ แต่ระหว่างนั้นตรีชฎาเข้ามา
“ท่านคะ...มีสายด่วนค่ะ” ตรีชฏากระซิบผู้การดำเกิง “ภรรยาท่านค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวคุณจัดการเรื่องหลักฐานต่อด้วย”
ผู้การดำเกิงเดินออกไป ตรีชฎาแบมือขอหลักฐานจากสการ
“หลักฐานล่ะคะผู้กอง”
สการกำแฟลชไดร์ฟแน่น ลังเล ตัดสินใจยากลำบาก ตรีชฎาสงสัยที่เขาไม่ยอมให้หลักฐานซะที
“ผู้กองคะ ดิฉันขอหลักฐานด้วยค่ะ”
สการยังไม่ทันจะตัดสินใจเลือกว่าจะเอายังไง ตรีชฎาก็คว้าเอาแฟลชไดร์ฟในมือไปทันที สการอึ้ง
“ขอบคุณค่ะผู้กอง”
ตรีชฎาถือหลักฐานเดินออกไป สการขบกรามกำหมัดเจ็บใจตัวเอง
สการปรี่เข้ามาชกกระจกห้องน้ำทันที...เปรี้ยง !! กระจกห้องน้ำแตกคามือ
“โธ่โว้ย ! ชิโล...ฉันต้องทำยังไง...ฉันถึงจะช่วยเธอได้”
มือสการชุ่มไปด้วยเลือด อึดอัดใจระหว่างหน้าที่กับความรัก ดรัณเปิดประตูเข้ามาตามหา พอเห็นเข้าก็ตกใจ
“เฮ้ยไอ้แซม…นี่ทำบ้าอะไรของแกวะเนี่ย”
ดรัณรีบไปดึงกระดาษทิชชู่มาช่วยซับเลือดพันมือให้
“ฉันหาทางช่วยชิโลไม่ได้”
“ฉันเจอคุณตรีชฎาแล้ว เข้าใจความรู้สึกของแก ถ้าเป็นฉันคงไม่ใช่แค่เอามือไปชก กระจกหรอก ฉันคงเอาหัวไปโขกอ่างล้างหน้าให้ตายๆไปซะถ้าต้องเสียคุณชิโลไป”
“ถ้าพวกมันฆ่าเธอ ฉันก็ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“อย่านะเว้ยไอ้แซม…แกจะคิดสั้นแบบนั้นไม่ได้ คิดถึงแม่แกบ้างสิวะ ต่อให้ทำบุญเยอะ แค่ไหน แต่ก็ไม่ได้โชคดีบ่อยๆหรอก ที่จะได้กลับมาเจอลูกตัวเอง หลังจากที่ลูกตายไป แล้วนะเว้ย”
สการชะงัก
“นี่แกพูดเรื่องอะไรของแก”
“โธ่เว้ย...ไม่น่าหลุดปากเลยกู”
“ไอ้ดรัณ…แกปิดบังอะไรฉันอยู่ บอกฉันมา”
ชิโลถูกจับมัดมือมัดเท้ามีผ้าปิดปาก ลูกน้องของสาโรจน์คนหนึ่งที่ถูกส่งมาเฝ้าเดินป้วนเปี้ยนวนไปวนมา มองตาไม่กระพริบ เพราะขาสวยๆยาวๆขาวๆ ชิโลรู้ว่ามันมีจุดประสงค์ไม่ดีจึงคิดใช้โอกาสนี้หาทางออก เลยส่งเสียงอู้อี้เรียกร้องความสนใจ
“อยากให้พี่ช่วยเหรอจ๊ะคนสวย”
ชิโลพยักหน้ารับ ลูกน้องหันซ้ายหันขวาเห็นไม่มีใครเข้ามาก็เข้าไปช่วยดึงผ้าปิดปากออกให้
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร พี่เห็นน้องอึดอัดแล้วอดสงสารไม่ได้”
“ใจดีแบบนี้ไม่น่ามาเป็นโจรเลยนะจ๊ะ”
“พี่ก็ไม่ได้อยากทำหรอก...ถ้ามีงานดีๆทำพี่ทำไปนานแล้ว”
“งั้นช่วยฉันสิ…แล้วฉันจะช่วยหางานดีๆทำให้ จะได้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี”
“ฟังดูเข้าท่า…งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยนะ”
ลูกน้องเข้าไปช่วยแกะเชือกที่มือและเท้าให้ ชิโลดีใจจะรีบลุก แต่กลับถูกมันจับมือเอาไว้
“เดี๋ยวสิคนสวย…พี่ช่วยน้องพี่ไม่ได้อยากได้อะไรมากหรอก ขอแค่น้องตอบแทนพี่ให้ ชื่นใจหน่อยก็พอแล้ว”
ลูกน้องบีบแขนชิโลแล้วยิ้มหื่น
“นึกอยู่แล้วเชียว มนุษย์ที่จิตใจหยาบช้าจนเป็นสันดาน แก้ยังไงก็ไม่หาย”
ชิโลเตะผ่าหมากใส่...ป้าบ มันจุกตัวงอแล้วชิโลก็ใช้สองนิ้วจิ้มลูกตามันแรงๆซ้ำไปอีก ก่อนจะวิ่งหนีทันที
“โอ้ย…นังตัวแสบ อย่าหนีนะ อู้ย”
ชิโลวิ่งหนีออกมาพยายามหาทางออก มองซ้ายมองขวาเห็นประตูที่จะออกไปได้ จะวิ่งไปแต่ได้ ยินเสียงเด็กสาวๆร้องห่มร้องไห้ดังมาจากอีกทาง หญิงสาวชะงักเดินตามไปดูเห็นพวกเด็กสาว ที่ถูกพาตัวมากอดกันกลมร้องห่มร้องไห้อ้อนวอน
“พี่จ๋า…ปล่อยพวกหนูไปเถอะ หนูอยากกลับบ้าน”
พวกลูกน้องของสาโรจน์ไม่สนใจ เข้าตบหน้าสั่งสอนจนเด็กสาวเลือดกลบปาก เป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆกลัว ชิโลเห็นแล้วรู้สึกโกรธ สองจิตสองใจว่าจะหนีออกไปทั้งๆที่มีโอกาส หรือจะเข้าไปช่วยผู้หญิงพวกนั้น ให้หนีไปด้วยกัน เธอมองประตูแล้วตัดสินใจคว้าไม้ขึ้นมาจะเข้าไปช่วย แต่ต้องชะงักเมื่อสาโรจน์ยื่นปืนเข้ามาจ่อหลัง พร้อมขึ้นไก…คลิ๊ก
“คิดผิดแล้วคนสวย มีทางรอดมันก็ควรหนี เพราะถ้าเลือกเป็นคนดีเมื่อไหร่ ก็หมาย ความว่าอยากอายุสั้น”
สการอึ้งไปกระชากคอเสื้อดรัณมาถามซ้ำ
“แกอย่ามาล้อฉันเล่นนะเว้ย ชิโลน่ะเหรอเป็นพี่สาวของฉันที่ตายไปตั้งแต่ยังเล็กแล้ว ได้ไปเกิดเป็นนางฟ้า แล้วก็กลับมาหาแม่ฉันอีก”
“ของอย่างนี้ใครจะล้อเล่นวะ แม่แกเพิ่งจะเล่าทุกอย่างให้ฉันฟังมานี่แหละ”
สการผลักดรัณแล้วหันมาอึ้งตะลึงงันแทบไม่เชื่อหู
“ที่จริงฉันก็ไม่ได้อยากเล่าให้แกฟังหรอก แต่คิดอีกทีถ้าแกรู้เอาไว้ล่วงหน้า เวลาที่คุณ ชิโลปลอดภัยกลับมา แกจะได้ไม่คิดกับเธอไปไกลเกินกว่าคำว่า…พี่น้อง”
สการกำหมัดแน่นตัดสินใจ
“ไม่ว่าชิโลจะเป็นอะไร ฉันก็จะไม่ปล่อยให้เธอตกอยู่ในอันตรายคนเดียวเด็ดขาด”
“ไอ้แซม…แต่ผู้การสั่งไม่ให้แกร่วมทีมนะ”
“ฉันมีวิธีจัดการของฉันเอง”
สการออกไป ดรัณรู้สึกใจคอไม่ดีแต่ตัวเองก็ยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่
“มันจะทำบ้าอะไรของมันอีกวะ”
ผู้การดำเกิงกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ในห้อง ตรีชฎาวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“ท่านคะ…ท่าน…แย่แล้วค่ะ”
“อะไรของคุณ…ไม่เห็นเหรอว่าผมติดสายอยู่”
ตรีชฎาไม่สนใจรีบเข้าไปแย่งโทรศัพท์มาวางทันที
“แต่เรื่องนี้สำคัญกว่าโทรศัพท์จากภรรยาของท่านค่ะ”
“หมายความว่าไงเนี่ยคุณตรีชฎา”
“ก็ผู้กองสการน่ะสิคะ แอบมาลบข้อมูลมัดตัวนายทองทิวที่ดิฉันกำลังจะส่งไปตรวจสอบ ทิ้งจนเกลี้ยง แล้วยังขโมยหลักฐานนั่นไปอีกด้วยค่ะ”
ผู้การดำเกิงตกใจ
“ห๊ะ ! ผู้กองสการจะทำแบบนั้นไปทำไม”
“ดิฉันว่า…ผู้กองคงเอาไปช่วยคุณชิโลค่ะ”
“เวรแล้วไง ผู้กองสการ” ผู้การดำเกิงเครียดไปทันที
ทองทิวอยู่กับลูกน้องที่ห้องโถง
“เจอตัวยัยสิแล้วเหรอ”
“ครับนาย คุณสิขับรถไปประสบอุบัติเหตุ ประกันแจ้งมาว่าตอนนี้อยู่โรงพยาบาล แต่ไม่ เป็นอะไรมากครับ”
“ดีแต่หาเรื่องให้ฉันได้ตลอด ไปคอยประกบไว้อย่าให้วุ่นวายอีก”
ลูกน้อง รับคำแล้วเดินออกไป ลูกน้องอีกคนเดินสวนเข้ามา
“นายครับ...ทีมตำรวจที่มาซุ่มรอจับนายอยู่หน้าบ้าน ยังไม่ไปไหนเลยครับ”
ทองทิวยังนิ่งไม่มีท่าทางตื่นตระหนก ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือดัง ทองทิวดูเบอร์แล้วรับสาย
“ผู้กอง...ทำไมให้ผมรอนานนักล่ะ”
สการขับรถไปตามถนน อีกมือโทรศัพท์ติดต่อกับทองทิว
“ฉันกำลังจะเอาหลักฐานไปให้ แกเตรียมตัวปล่อยชิโลได้แล้ว”
“จะให้ผมเชื่อได้ยังไง ที่หน้าบ้านผม ยังเห็นทีมตำรวจมาซุ่มรอจับผมอยู่เลย”
“ไม่มีหลักฐานให้ออกหมายจับ ใครจะทำอะไรแกได้”
ทองทิวนิ่งไปแล้วหันไปสั่งลูกน้อง
“เช็คดูอีกทีสิ”
ลูกน้องรับคำสั่งแล้ววิทยุถามพวกที่อยู่นอกบ้าน ก่อนจะหันกลับมาตอบ
“พวกตำรวจถอนกำลังกลับไปแล้วครับนาย”
ทองทิวยิ้มพอใจก่อนจะตอบสการกลับไป
“ผมเชื่อคุณเลย ผู้หญิงดีๆมีตั้งเยอะทำไมถึงได้ไปหลงรักผู้หญิงบ้าๆสติไม่สมประกอบ”
“คนเลวอย่างแกไม่มีวันได้มองเห็นเนื้อแท้ของชิโลหรอก ถ้าแกทำให้ชิโลมีรอยข่วนแม้ แต่นิดเดียว ฉันจะจองล้างจองผลาญแกไปถึงนรกเลย”
สการกดวางสายแล้วหันไปมองที่กระเป๋าข้างๆตัวหยิบเอาระเบิดลูกหนึ่งขึ้นมามองหน้าเคร่งเครียดจริงจัง ก่อนจะเหยียบคันเร่ง รถพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว
สิริสุดานั่งกอดเข่า น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่บนเตียงเศร้าๆคนเดียว เสียงเปิดประตูเข้ามา สิริสุดานึกว่าเป็น พยาบาลเลยดึงม่านมาปิดไม่อยากเจอใคร
“ออกไป...ฉันอยากอยู่คนเดียว”
ม่านค่อยๆเปิดเข้ามา สิริสุดารำคาญหันไปตวาดเสียงดัง
“หูหนวกเหรอไง ฉันบอกว่าฉันอยากอยู่คนเดียว”
“แต่ผมไม่ยอมให้คุณอยู่คนเดียวหรอก...สิ”
สิริสุดาชะงัก
“ดรัณ !...นี่...นี่คุณรู้ได้ไงว่าสิอยู่ที่นี่”
“คุณป้าแม่ไอ้แซมเห็นคุณที่นี่...สิ...คุณเป็นอะไรมากมั้ย ผมเป็นห่วงคุณนะ”
“สิไม่ได้ต้องการความเห็นใจจากคุณ ออกไป....บอกให้ออกไป”
“สิ...ฟังผมก่อน”
“สิไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ทั้งคุณทั้งพ่อสิ ทุกคนที่สิรักมีแต่โกหกหลอกลวงทั้งนั้น”
“ผมขอโทษที่ผมเคยโกหกคุณ หน้าที่มันบังคับให้ผมทำอย่างนั้น แต่ความรักของผม ที่มีต่อคุณมันเป็นของจริง ไม่มีคำโกหกอยู่ในนั้นเลยนะสิ”
สิริสุดาปิดหู
“ไม่...ไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว”
“ถ้าคุณไม่อยากฟัง งั้นคุณก็ต้องดูให้เห็นกับตา...ท่านอุ้มสม”
อุ้มสมเข้ามาในห้อง สิริสุดาแปลกใจ
“พวกของนังชิโล นี่คุณพามันมาทำไม”
อุ้มสมถลึงตาใส่
“หุบปากของเจ้าไปซะ ไม่รู้ตัวซะแล้วว่ากำลังพูดจาอยู่กับใคร”
“ใจเย็นก่อนครับท่าน เราต้องขอความช่วยเหลือจากสินะครับ”
อุ้มสมเชิดหน้าหยิ่งๆก่อนจะถอยไปยืนเตรียมพื้นที่แล้วเอามือถูจมูกตัวเองฟุดฟิดๆอยู่ครู่ก่อนจะจามออกมาเสียงดัง
“ฮัด...ฮัด....ชิ้ว”
สิ้นเสียงจามอุ้มสมก็กลายเป็นนกแก้วบินมาเกาะที่โต๊ะ สิริสุดาตะลึง...
“อุ้มสม ดรัณ…นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย”
“สิ่งที่ชิโลพยายามจะบอกคุณมาตลอดไง…สิ”
เสียงฮัดชิ้วดังขึ้นอีกครั้ง นกแก้วอุ้มสมกลายร่างเป็นอุ้มสมเหมือนเดิม สิริสุดาเหวออีก อุ้มสมมองหน้า
“เอาล่ะ เจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าอะไรคือความจริง ทีนี้ก็จงตั้งหน้าตั้งตา…ฟัง”
สิริสุดาอึ้งไปเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของดรัณและอุ้มสม
“ชิโลเป็นนางฟ้ามาจากสวรรค์ ห้ามไม่ให้เราแต่งงานกันเพราะเราไม่ใช่คู่พรหมลิขิต”
อุ้มสมพยักหน้า
“ใช่...เพราะการปล่อยให้พวกเจ้าแต่งงานกัน สุดท้ายก็ต้องเลิกรา ต่างฝ่ายต้องเจอแต่ ความเจ็บปวด ชิโลสงสารเลยลงมาช่วย แต่ผิดกฎสวรรค์เลยถูกสาปให้เป็นมนุษย์”
“ตอนนี้ชิโลถูกพ่อคุณจับตัวไป ไม่รู้ว่าเอาตัวไปไว้ที่ไหน ทางเดียวที่จะช่วยได้ก็คือ ทำภารกิจของชิโลให้สำเร็จ ชิโลจะได้กลับมาเป็นนางฟ้าอีกครั้ง”
“จะให้สิกลับมาคืนดีกับคุณ แล้วกลับมาแต่งงานกับคุณตอนนี้น่ะเหรอดรัณ”
“ใช่จ้ะ...แต่ไม่ใช่แค่เพื่อช่วยชิโลอย่างเดียว เพื่อเราสองคนด้วย ผมรักคุณนะสิ”
ดรัณกุมมือสิริสุดาตั้งใจบอกรัก แต่สิริสุดากลับคิดหนัก
“ถ้าสิยอมช่วยชิโล แล้วคุณป๋าล่ะ ใครจะช่วย”
อุ้มสมถอนใจ
“กรรมใดใครก่อก็ต้องรับกรรมนั้นไป พ่อของเจ้าทำบาปไว้หนัก แม้แต่เทวดาก็จน ปัญญาช่วย”
ดรัณรีบขัด
“ท่านอุ้มสม ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ”
“เราพูดความจริง ผิดตรงไหน”
สิริสุดายกมือปราม
“พอได้แล้ว สิไม่สนหรอกว่าชิโลจะเป็นนางฟ้าแสนดีมาจากไหน แต่สิ่งที่ชิโลทำเรียก ว่าจุ้นไม่เข้าเรื่อง ถ้าสิจะเจ็บปวด สิก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่ใช่มาเสนอหน้าทำลายงานแต่งของสิ”
“แต่ชิโลทำเพราะต้องการช่วยพวกเจ้านะ”
“แล้วฉันเคยยกมือไหว้ขอให้ช่วยรึเปล่า”
อุ้มสมชะงักอึ้ง
“เออ...ก็จริง”
“ออกไปได้แล้ว...ไม่ใช่หน้าที่ฉันที่จะต้องยอมไปช่วยนางฟ้าจอมจุ้น”
ดรัณพยายามอ้อนวอน
“ไม่นะสิ...ผมรักคุณจริงๆนะ...สิผมขอร้อง”
“จะไม่ออกไปใช่มั้ย...ได้...งั้นสิไปเอง”
สิริสุดาผลักดรัณออกแล้วรีบเดินออกไปทิ้งดรัณกับอุ้มสมไว้ในห้อง
สิริสุดาเดินออกมาที่บริเวณทางเดินของโรงพยาบาล ระหว่างนั้นลูกน้องของทองทิวสองคน เดินเขามาประกบ
“คุณหนูสิครับ...นายให้พวกผมมารับคุณ”
สิริสุดาชะงัก
“นี่...ปล่อยมือนะ อย่ามาจับตัวฉัน”
“พวกผมขัดคำสั่งนายไม่ได้ครับ นายให้พาคุณกลับบ้าน”
สิริสุดาสะบัดเต็มแรง
“ฉันไม่กลับบ้าน แต่พวกแกต้องพาฉันไปหาคุณป๋า”
ลูกน้องชะงัก
“ไม่ต้องมาทำหน้าโง่ ฉันมีเรื่องสำคัญต้องไปเตือนคุณป๋า”
พวกลูกน้องยังลังเล
“ดรัณอยู่ ที่นี่จะให้ฉันบอกเขามั้ย...ห๊ะ”
สิริสุดาจ้องหน้าเอาเรื่องพวกลูกน้องที่มองหน้ากันเอายังไงดี
ดรัณกับอุ้มสมรีบตามเข้ามา
“สิ...สิ...หายไปไหนแล้ว”
“แล้วทีนี้จะทำไงล่ะ สิริสุดาเป็นเบาะแสเดียวที่จะตามหาชิโลได้ ชิโลแย่แน่...โธ่เอ้ย”
สิริสุดาอยู่ในชุดคนไข้โรงพยาบาล ยืนหน้าเครียดอยู่หน้าโกดัง ทองทิวเดินออกมาแล้วหันไปมองหน้าลูกน้องที่พา สิริสุดามาอย่างไม่พอใจ
“ฉันบอกให้พาไปที่บ้าน สะเออะพามาที่นี่ทำไม”
“คุณสิบังคับพวกผมครับ บอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องเตือนท่าน ให้พามาพบท่านให้ได้”
สิริสุดาเข้ามา
“สิต้องการคุยกับคุณป๋าตามลำพัง” สิริสุดาหน้าตาจริงจังมาก “เป็นเรื่องสำคัญมาก สิต้องเตือนให้ป๋ารู้”
ทองทิวมองลูกสาวแล้วโบกมือไล่พวกลูกน้องออกไปยืนห่างๆ
“มีอะไร”
“คุณป๋าต้องหยุด หยุดทุกอย่างที่กำลังทำอยู่ให้หมด”
“สิ...ที่ป๋าไม่อยากให้สิรู้เรื่องของป๋าก็เพราะแบบนี้นี่แหละ ป๋าไม่อยากให้สิมายุ่งกับงาน ของป๋า และที่สำคัญ ป๋ามาไกลเกินกว่าจะหยุด”
“ไม่ได้นะคะคุณป๋า ถึงคุณป๋าจะไม่กลัวตำรวจ แต่คุณป๋าก็ควรจะต้องกลัวบาป”
“บาป...นี่ลูกเอาอะไรมาพูดเนี่ย”
“สิเห็นมากับตาแล้วนะคะคุณป๋า ชิโลเป็นนางฟ้า มีเทวดา มีสวรรค์ แล้วก็มีนรกจริงๆ สิ่งที่เราเคยมองว่าเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้มันมีอยู่จริงๆ ถ้าคุณป๋าไม่หยุดทำบาป เวรกรรม จะไล่ตามเล่นงานคุณป๋า สิไม่อยากให้ป๋าตกนรก”
ทองทิวฉุนกึก
“ไร้สาระ นี่เหรอเรื่องสำคัญที่แกมาเตือนฉัน ฉันก็นึกว่าแกรู้อะไรดีมาจากไอ้ดรัณมันถึงได้ยอมให้แกคบหากับตำรวจอย่างมัน”
สิริสุดาอึ้ง
“คุณป๋า นี่…นี่หมายความว่า ตลอดมาคุณป๋าใช้สิเป็นเครื่องมือ”
ทองทิวเข้าไปบีบแขนเอาจริงไม่ใจดีกับลูกอีกแล้ว
“ฉันลงทุนทุกอย่างไปเยอะมาก ต่อให้สิบ เทวดา สิบยมบาลมายืนขวาง ฉันก็ไม่สน เฮ้ย”
ทองทิวตะโกนเรียก ลูกน้องเข้ามา
“พากลับไปอย่าให้มาเกะกะที่นี่อีก”
ทองทิวส่งลูกสาวให้พวกลูกน้อง
“คุณป๋า...คุณป๋าต้องเชื่อสินะ หยุดทำบาป ไม่อย่างนั้นคุณป๋าจะต้องตกนรก”
ทองทิวไม่สนใจเดินออกไปพร้อมกับสาโรจน์ พวกลูกน้องจับแขนสิริสุดาจะพาออกไป ตอนนั้นเองที่สิริสุดา ตัดสินใจในเมื่อขอร้องคุณป๋าไม่ได้ ก็ต้องหยุดทุกอย่างด้วยตัวเอง หญิงสาวยกเท้ากระทืบใส่ลูกน้องพ่อ แล้วแย่งเอาปืนจากเอวมันมาขู่
“อย่านะ...ถ้าใครตามฉันมาฉันยิงจริงๆด้วย”
ทองทิวกับสาโรจน์หันมาเห็นสิริสุดาแย่งปืนไปได้ก็ตกใจ
“ยัยสิ...อย่าทำอะไรโง่ๆนะ”
สิริสุดาลั่นไกเปรี้ยงใส่พื้น ทุกคนกระโดดหลบแทบไม่ทัน
“ในเมื่อคุณป๋าไม่หยุด สิก็จะหยุดป๋าเอง”
สิริสุดาถือปืนวิ่งเข้าไปในโกดัง พวกลูกน้องชักปืนจะยิงตามแต่โดนทองทิวกระชากคอเอาไว้
“นั่นลูกสาวฉันนะเว้ย จับตัวมา”
พวกลูกน้องแห่ตามสิริสุดาเข้าไป ระหว่างนั้นลูกน้องอีกคนเข้ามา
“นายครับ ผู้กองสการมาถึงแล้วครับ”
ทองทิวหงุดหงิดหัวเสีย
“โธ่เว้ย ! สาโรจน์แกไปกับฉัน ส่วนพวกแกหยุดยัยสิให้ได้ อย่าให้ ยัยสิทำแผนการฉันพัง”
ทองทิวออกไปกับสาโรจน์พร้อมลูกน้องอีกสองสามคน
อีกด้านของโกดัง ชิโลกับพวกเด็กสาวถูกพาตัวออกมากำลังจะโดนพาตัวไปขึ้นรถตู้ที่มาจอดรอรับ
“ไป...อย่ามาอ้อยอิ่ง รีบไปขึ้นรถ”
พวกเด็กสาวพากันร้องไห้สะอื้นและกลัว ระหว่างนั้นสิริสุดาถือปืนเข้ามาจ่อที่หัวลูกน้องของพ่อ
“ปล่อยทุกคนไป”
“คุณหนูสิ”
สิริสุดาใช้ด้ามปืนทุบเข้าต้นคออย่างแรง ลูกน้องร่วงหมดสติ ลูกน้องอีกคนตกใจจะชักปืน สิริสุดาหันปืนไปขู่
“ทิ้งปืนซะ”
ลูกน้องยังไม่ทันจะวางปืน อีกสองคนก็ตามเข้ามา
“คุณสิครับ…หยุดเถอะครับ”
“พวกแกนั่นแหละ อย่าเข้ามานะ ถ้าพวกแกทำอะไรฉัน ที่คุณป๋าเคยส่งให้ฉันไปเรียน ยิงปืนมาฉันได้ใช้พวกแกเป็นเป้าจริงแน่”
พวกลูกน้องอึกอักไม่กล้าเข้าใกล้ สิริสุดาขยับไปหาชิโล
“ชิโล…พาพวกผู้หญิงหนีไป”
“คุณสิ”
“เร็วเข้าสิ”
ชิโลพยักหน้ารับแล้วเข้าไปช่วยพาพวกเด็กสาวหนีออกไปอีกทาง สิริสุดาส่ายปืนขู่แล้วตามชิโลไป
ภาพสิริสุดาช่วยชิโลปรากฏในกระจกที่อสุเรศยืนดูอยู่กับพวกสมุน
“สนุกดีนะขอรับนายท่าน นั่งดูพวกมนุษย์ต่อสู้กัน” จิตราสูรหันไปหาอัคราสูร “แกว่าใครจะชนะวะไอ้อสูรหัวลูกโป่ง”
“ผู้หญิงตัวนิดเดียวจะสู้พวกผู้ชายตัวโตๆได้ไง” อัคราสูรนึกได้ “เฮ้ย…นี่แกหลอกด่าข้าอีกแล้ว”
อสุเรศปรามสมุน
“พอซะที…นั่งดูความพยายามเอาตัวรอดของพวกมันแล้ว ข้าว่า…ถึงเวลา แล้วที่ข้าจะได้ตัวนางฟ้าแสนสวยมาเป็นเมียซะที”
จิตราสูรไม่เข้าใจ
“ยังไงล่ะครับนายท่าน รัศมิชโลธรยังมีสร้อยวิเศษปกป้องกายจากพวกเราอยู่นี่ขอรับ”
“เดี๋ยวนางก็จะไม่มีแล้ว…เชื่อข้าสิ…ฮ่าๆๆๆๆ”
อสุเรศหัวเราะกึกก้อง สองสมุนมองหน้ากันสงสัย
อีกมุมหนึ่งของโกดัง สการเผชิญหน้ากับพวกทองทิวและสาโรจน์
“ผมชื่นชมคุณจริงๆผู้กอง ยอมทิ้งอนาคต ยอมเสี่ยงชีวิตมาที่นี่คนเดียวเพื่อช่วยผู้หญิง บ้าๆคนนึง”
สการไม่ตอบอะไรสายตาสำรวจไปรอบๆนับจำนวนลูกน้องของทองทิวที่รายล้อมรอบตัว
“ชีวิตของชิโลมีค่ามากกว่าชีวิตฉัน และก็มีค่ามากกว่าที่คนอย่างแกจะคิดถึง ถึงรู้ว่าต้อง มาตาย แต่ก็คุ้มที่ต้องเสี่ยง ปล่อยชิโลมาได้แล้ว”
“แล้วไหนล่ะ หลักฐานของผม”
สการชูแฟลชไดร์ฟขึ้นให้เห็นชัดๆ
“ถึงวันนี้หลักฐานนี่จะทำอะไรแกไม่ได้อีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ หมายความว่า บาปกรรมจะหยุดตามแกไปด้วย ยิ่งแกทำชั่วมากเท่าไหร่ เวรกรรมก็ จะยิ่งไล่ตามแกเร็วขึ้น”
“เวรกรรม นรก สวรรค์ สาโรจน์ วันนี้วันพระเหรอวะถึงมีแต่คนพูดเรื่องนี้ให้ฉันรู้สึก คันหูทั้งวัน”
สาโรจน์ยิ้มๆ
“สงสัยจะใช่ครับนาย”
ทองทิวกับพวกลูกน้องหัวเราะเยาะเย้ยสการ ระหว่างนั้นลูกน้องที่โดนสิริสุดาเล่นงานเข้ามาที่ทองทิว
“นายครับ คุณสิช่วยตัวประกันกับผู้หญิงหนีไปหมดแล้วครับ”
ทองทิวชะงัก
“แกว่าไงนะ ไอ้เวรเอ้ย”
ทองทิวกระชากคอเสื้อลูกน้องมาแล้วเหวี่ยงกระเด็น สการได้ยินก็ตกใจ
“ชิโล!”
ทองทิวหันไปสั่งลูกน้อง
“ฆ่าไอ้ผู้กอง แล้วตามตัวลูกสาวฉันกลับมาให้ได้”
สาโรจน์กับพวกลูกน้องชักปืนแล้วยิงใส่แต่สการเตรียมตัวมาแล้วเลยรีบกระโจนหลบแล้วยิงตอบโต้เสียงปืนดังสนั่น สการยิงสวนเปิดทางให้ตัวเองหนีออกไป สาโรจน์กับพวกไล่ยิงตามไป
บริเวณรั้วลวดหนามมีประตูทางออก สิริสุดาพาพวกหญิงสาวหนีออกมาและเปิดประตูให้หนีออกไปก่อน
“เร็วเข้า...รีบหนีไป วิ่งให้สุดชีวิตเลย ฉันจะช่วยถ่วงเวลาไว้ให้”
หญิงสาวคนหนึ่งดีใจมากจนน้ำตาคลอเข้ามาสวมกอดสิริสุดา
“ขอบใจเธอมากนะ...เธอเป็นคนดีจริงๆ”
หญิงสาวกอดแล้วก็รีบหนีออกไป สิริสุดายืนอึ้งๆเพราะตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยมีใครมาชื่นชมว่าเธอเป็นคนดีเลย หญิงสาวคนสุดท้ายหนีออกไปได้ เหลือชิโลกับสิริสุดารั้งท้าย
“รออะไรอยู่ล่ะชิโล เธอก็เหมือนกัน รีบหนีไปสิ”
“คุณสิ...เพราะอะไรคะ ทำไมคุณถึงทำอย่างนี้”
“ฉันรู้เรื่องที่เธอ...เอ่อ...เธอเป็นนางฟ้ามาจากสวรรค์แล้ว ถ้าสวรรค์มีอยู่จริง นรกก็ต้องมี จริงเหมือนกัน” สิริสุดาน้ำตาคลอเสียใจ “ฉันไม่อยากให้พ่อต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในขุมนรก ถ้าไม่มีใครหยุดเขาได้ก็เหลือแต่ฉันเท่านั้น”
สิริสุดาร้องไห้เสียใจ ชิโลสงสารจึงดึงเธอมาโอบกอดปลอบใจ
“คุณสิ...ฉันดีใจค่ะที่คุณเชื่อว่าบุญกรรมมีจริง”
ระหว่างนั้นเสียงลูกน้องของทองทิวดังเข้ามา สิริสุดากับชิโลตกใจ แล้วสิริสุดาก็นึกขึ้นได้
“ชิโล...ถ้าพ่อฉันเชื่อว่าเธอเป็นนางฟ้ามาจากสวรรค์จริงๆ บางทีพ่ออาจจะยอมเลิกทำ บาปก็ได้ ไปกับฉันนะชิโล มีฉันอยู่ด้วยพ่อไม่ทำอะไรเธอแน่”
เสียงทองทิวดังเข้ามา
“คิดว่าพ่อจะเชื่อเรื่องไร้สาระแบบนั้นเหรอ...ยัยสิ”
สิริสุดาตกใจ
“คุณป๋า !”
สการถูกพวกสาโรจน์ปิดล้อมทางหนีหลบอยู่ที่กองยางรถยนต์ซึ่งใช้เป็นที่กำบังกระสุนจากพวกมันที่ระดมยิงใส่ สาโรจน์ทำสัญญาณมือให้ลูกน้องคนหนึ่งยิงใส่เพื่อล่อให้สการยิงตอบโต้แล้วเขาก็ลัดเลาะเข้าไปใกล้จนถึง ตัว ขณะที่สการกระสุนหมดและกำลังจะเปลี่ยนแม๊กกาซีน สาโรจน์จ่อปืนเข้าข้างหลัง
“หยุดอวดเก่งคิดสู้กับพวกเราได้แล้วผู้กอง”
สการเจ็บใจ สาโรจน์ตะคอก
“ทิ้งปืนไปซะ”
สการยังกำปืนเอาไว้แน่ สาโรจน์จี้เข้าที่หลังแรงๆ
“บอกให้ทิ้งปืน!”
สการยอมทิ้งปืน สาโรจน์กระชากขึ้นมาแล้วชกเข้าที่ท้องทันที...สการจุกทรุดเข่าตัวงอ สาโรจน์ขึ้นไปเตรียมจ่อยิง
“วันนี้เป็นวันตายของผู้กองแล้ว”
แต่สาโรจน์ยังไม่ทันจะลั่นไก ท้องฟ้าก็เริ่มแปรปรวน ฟ้าผ่าครืนๆลมพัดกรรโชกเข้ามา อย่างน่าแปลกประหลาด สาโรจน์กับพวกลูกน้องพากันแปลกใจ สาโรจน์ได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่เหม็นมากๆ
“กลิ่นอะไรวะ เหม็นชะมัด”
สการอึ้ง
“อสูร!”
ไมทันขาดคำอสุเรศก็เดินเข้ามาพร้อมกับสองสมุนคู่ใจ พวกมันเข้ามาอย่างเท่ห์ด้วยชุดสูทสีดำ สาโรจน์มองงงๆ
“มีพรรคพวกมาด้วยช่วยเหรอผู้กอง…หึ…ยังไงก็ไม่รอดหรอก…เฮ้ย จัดการพวกมัน”
พวกลูกน้องรับคำสั่งกรูกันเข้าไปจะเล่นงานพวกอสุเรศ แต่ก็โดนพวกอสูรจับหักคอ จับหักแขน อย่างง่ายดาย สาโรจน์อึ้งตะลึงตกใจ
“เฮ้ย…พวกแกเป็นใครวะ”
“อยากรู้เหรอว่าข้าเป็นใคร”
อสุเรศยิ้มร้ายก่อนจะหายตัววับ แล้วมาโผล่…ยืนอยู่ข้างๆสาโรจน์ทันที สาโรจน์หน้าเหวอแต่ก็รีบหันปากกระบอกปืนไปทางอสุเรศ แต่อสุเรศแค่จ้องตาอย่างเดียว มือของสาโรจน์ก็ถูกบังคับให้หันปากกระบอกปืนกลับมาจ่อที่หน้าอกตัวเองแทน
“นี่…นี่แกทำอะไรฉัน…อย่า…อย่านะ…อย่า!”
อสุเรศยิ้มร้ายน่ากลัว สการเบือนหน้าหลบเพราะรู้ว่าสาโรจน์จะต้องลงเอยยังไง เปรี้ยง !เสียงปืนดังลั่น สาโรจน์ล้มตึงตายคาที่ สองสมุนอสูรเข้ามายืนขนาบสการที่รู้ตัวดีว่าหมดทางหนีและสู้
อสุเรศกระชากคอเสื้อสการให้ลุกขึ้น แล้วหัวเราะร้ายกาจและน่ากลัว ออกมา “ฮ่าๆๆๆๆ”
มณีแดนสรวง ตอนที่ 19 (ต่อ)
สิริสุดากับชิโลถูกพวกลูกน้องทองทิวพาตัวเข้ามา
“คุณป๋า...ปล่อยสินะ”
“หุบปากแกไปเลยนังลูกไม่รักดี ฉันนึกว่าแกจะเข้าใจฉัน แต่แกกลับทำลายทุกอย่างที่ ฉันสร้างมาเพื่อแก”
“คุณป๋าอย่าเอาสิมาอ้าง คุณป๋าทำเพื่อตัวเองต่างหาก สิไม่เคยอยากยิ่งใหญ่ สิต้องการ ให้คุณป๋าเป็นคนดี ไม่อยากให้ต้องตกนรกเพราะบาปที่คุณป๋ากำลังทำอยู่”
ชิโลมองหน้าทองทิว
“นายทองทิว...บารมีควรได้มาด้วยการหมั่นทำความดี ไม่ใช่ด้วยการทำบาป”
ทองทิวมองชิโลแล้วเข้าไปบีบปากเธออย่างไม่พอใจ
“แกกล่อมลูกสาวฉันยังไง ลูกฉันถึงหลงเชื่อไอ้เรื่องไร้สาระของแกได้ ห๊ะ นังบ้า”
สิริสุดาร้องห้าม
“ปล่อยชิโลนะคะคุณป๋า...เธอเป็นนางฟ้าจริงๆ คุณป๋าต้องหยุดทำบาป เชื่อสินะ”
ทองทิวมองหยัน
“นางฟ้ามาจากสวรรค์...หึ ถ้าเธอเป็นนางฟ้าจริงๆก็แสดงอิทธิฤทธิ์ออกมา บางทีฉัน อาจจะยอมเชื่อ”
ทองทิวจ้องตาชิโลอย่างเอาจริง ชิโลไม่มีอิทธิฤทธิ์ทำอะไรแบบนั้น
“ไงล่ะ...เป็นนางฟ้าอะไรถึงแสดงปาฏิหาริย์ไม่ได้”
ไม่ทันขาดคำลูกน้องสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆทองทิวก็ชักปืนออกมาแล้วจ่อยิงกันเอง...เปรี้ยง ๆ ทองทิวหันไปตกใจอึ้ง
“ฝีมือแก”
ชิโลรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“เปล่า…ฉันไม่ได้ทำ”
ทันใดนั้นเสียงอสุเรศก็ดังขึ้น
“เอามือของแกออกไปให้พ้นหน้าสวยๆของว่าที่เมียข้าเดี๋ยวนี้ ไอ้มนุษย์สกปรก”
ทุกคนหันไปเห็นอสุเรศที่ยิ้มร้ายกาจเดินอาดๆมาดเท่ห์เข้ามา
“แกเป็นใครวะ”
อสุเรศยิ้มร้ายแล้วสบัดมือทีเดียว ทองทิวกระเด็นล้มกลิ้ง พวกลูกน้องที่เหลือชักปืนจะยิงแต่ก็โดนอสุเรศบังคับ ให้พวกมันหันปืนเข้ายิงกันเอง…เปรี้ยง ๆๆๆๆ
สิ้นเสียงปืน พวกลูกน้องทั้งหมดของทองทิวล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ทองทิวถึงกับตะลึง สิริสุดาเองก็ตกใจ
“ชิโล…มัน…มันเป็นใคร”
“มันชื่ออสุเรศ มันเป็นอสูร”
ชิโลหน้าเครียดหนัก ในขณะที่อสุเรศยิ้มอย่างน่าหวาดกลัว จิตราสูรกับอัคราสูรก็หิ้วปีกสการพาเข้ามา ชิโลตกใจ
“ผู้กอง !”
ดรัณเข้ามาถามอุ้มสมที่ขึ้นมายืนหน้าเครียดมองท้องฟ้า
“เป็นยังไงบ้างท่าน ติดต่อกับสวรรค์ได้รึเปล่า”
อุ้มสมหันมาอย่างผิดหวัง
“เจ้าเห็นท้องฟ้านั่นมั้ย”
อุ้มสมชี้ให้ดรัณดูท้องฟ้าที่มืดครึ้มมีฟ้าแลบแปล๊บๆอยู่ไกลๆ
“ฟ้าน่ากลัวมาก สงสัยพายุจะเข้า”
อุ้มสมส่ายหน้า
“ไม่ใช่หรอก...นั่น...เหล่าเทวดากับพวกอสูรกำลังรบกันอยู่ต่างหาก”
ดรัณอึ้ง
“เทวาสุรสงครามน่ะเหรอท่าน”
“ใช่...ตอนนี้เหล่าเทวดาบนสวรรค์คงกำลังวุ่นวายอยู่กับการสงคราม คงไม่มีใครได้ยินคำขอร้องให้ช่วยชิโลของเราหรอก”
“แล้วชิโลกับไอ้แซมล่ะท่าน”
อุ้มสมเศร้า
“เฮ้อ...ก็คงต้องแล้วแต่บุญแต่กรรม ที่สองคนนั้นได้ทำร่วมกันไว้”
อุ้มสมถอนใจอย่างหมดหวัง ดรัณหน้าเสีย
สการสภาพร่างกายบอบช้ำเพราะโดนพวกอสูรเล่นงานสั่งสอนไปแต่ก็ยังฝืนความเจ็บปวดเป็นห่วงชิโล
“ชิ...ชิโล”
สการพยายามจะสบัดตัวแต่ก็โดนอัคราสูรจิกหัวเอาไว้ อัคราสูรคำราม
“ยังเหลือเรี่ยวแรงอีกเหรอเจ้ามนุษย์ หรือว่าข้าต้องหักขาเจ้าก่อน เจ้าถึงจะหมดฤทธิ์”
ชิโลร้องห้าม
“อย่านะ พวกเจ้าห้ามทำอะไรเขาเด็ดขาด”
อสุเรศยิ้มหยัน
“หึๆๆ โถๆๆ รัศมิชโลธร นางฟ้าแสนสวยผู้เย่อหยิ่ง นี่เจ้าถึงกับหลั่งน้ำตาให้มนุษย์เดิน ดินเลยเหรอ”
ชิโลโกรธ
“อสุเรศ ! ปล่อยเขาไป”
“เจ้าอยากให้ข้าปล่อยมัน...ได้...แต่เจ้าต้องมีของมาแลกเปลี่ยน”
ชิโลชะงัก อสุเรศหัวเราะ
“ฮ่าๆๆๆ รู้ใช่มั้ยว่าข้าต้องการอะไร”
ชิโลผงะเอามือแตะที่แก้ววิเศษที่ห้อยคออยู่ สิริสุดาถามอย่างสงสัย
“ชิโล...พวกมันต้องการอะไร”
“แก้ววิเศษของฉัน ถ้าฉันทำลายมัน จะไม่เหลืออะไรไว้ปกป้องฉันจากพวกมันได้อีก คุณสิคะ ฉันว่าคุณรีบไปเถอะค่ะ อสุเรศมันเป็นอสูรที่ชั่วร้าย มันไม่มีทางยอมไว้ชีวิต มนุษย์แน่”
ทองทิวได้ฟังก็ตกใจกลัวลนลาน
“ยัยสิ...รีบหนีเถอะ”
ทองทิวรีบหนีเอาตัวรอดอย่างเห็นแก่ตัวทันที
“คุณป๋า!”
สิริสุดามองตามพ่อรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
“คุณป๋า…ชิโล ฉันจะไม่หนีไปไหน ฉันจะช่วยเธอ ชดใช้ความผิดที่คุณป๋าทำไว้กับเธอ”
สิริสุดาหันไปคว้าปืนที่ตกอยู่ใกล้ๆข้นมาแล้วลั่นไกใส่อสุเรศไม่หยุด…เปรี้ยงๆๆๆๆ สิริสุดายิงจนกระสุนหมด อสุเรศยืนเฉยและยิ้มร้ายเอามือปัดตัวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“มนุษย์ที่ลุ่มหลงแต่ในกิเลศอย่างเจ้า สายเกินไปที่จะกลับเนื้อกลับตัว”
อสุเรศยกมือขึ้นสะบัดทีเดียว สิริสุดาเหมือนถูกตบหน้าจากระยะไกลอย่างแรงจนหน้าหันแล้วสลบเหมือด ชิโลตกใจ
“คุณสิ !”
“นังนั่นมันยังไม่ตายหรอก แต่หลังจากที่ข้าพาเจ้าไปกับข้าแล้ว มันจะกลายเป็นอาหารของไอ้สองตัวนั่น...ปล่อยตัวมันมาให้ข้า”
สองสมุนยิ้มร้ายก่อนจะปล่อยสการแล้วผลักให้เดินไปหาอสุเรศ
“ว่าไงล่ะรัศมิชโลธร นางฟ้าแสนดีอย่างเจ้า จะยอมแลกตัวเองกับชีวิตของมันรึเปล่า”
อสุเรศหันไปคว้าตัวสการมาบีบคอด้วยมือข้างเดียว เรี่ยวแรงมหาศาลของมันทำให้สการดิ้นไม่หลุด ชิโลมแมองอย่างเป็นห่วง
“ผู้กอง...ได้โปรด อย่าฆ่าเขาเลย ฉันขอร้อง...อย่าฆ่าเขา”
ชิโลร้องไห้เสียใจอ้อนวอน สการน้ำตาซึมจนไหลออกมา
“ชิ...ชิโล”
อสุเรศหัวเราะร่า
“ฮ่าๆๆ มนุษย์กับนางฟ้า ไม่ใช่คู่ที่ควรจะลงเอยกันหรอก ทำลายแก้ววิเศษของเจ้าซะ”
ชิโลเห็นสการเจ็บปวด น้ำตาไหลอาบแก้วแล้วค่อยๆถอดสร้อยแก้ววิเศษออกจากคอ สการพยายามห้าม
“อย่า…อย่านะชิโล”
“ผู้กอง…ฉันเสียใจ”
ชิโลปล่อยมือจากสร้อยแก้ววิเศษ สร้อยตกกระทบพื้นแตกกระจาย…เพล้ง อสุเรศสะใจหัวเราะเสียงดัง จิตราสูรดีใจกับนาย
“นายท่าน แก้ววิเศษถูกทำลายแล้ว ไม่มีอะไรปกป้องนางจากท่านได้อีกแล้ว”
ชิโลขอร้อง
“ปล่อยเขาได้แล้วอสุเรศ เรายอมเจ้าแล้ว...ปล่อยเขาไปซะ”
สการพยายามห้าม
“ไม่นะชิโล อสูรอย่างมันไม่คู่ควรกับนางฟ้าอย่างเธอ”
สการพูดไปก็ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อคว้าระเบิดที่เตรียมมา จัดการปลดสลักและกำไว้ในมือ ชิโลตะลึง
“ผู้กอง!”
“ชิโล ไม่ต้องห่วงฉัน...เธอยังเหลือพรข้อสุดท้าย ใช้มันเพื่อตัวเธอเอง”
“ไม่นะผู้กอง อย่าทำอย่างนี้”
“ชีวิตคนธรรมดาเดินดินอย่างฉัน แค่ได้รับความรักจากนางฟ้า ฉันก็ตายตาหลับแล้ว”
สการหันมายิ้มให้ทั้งน้ำตาและพร้อมยอมตาย ชิโลตะโกนลั่น
“ไม่ ! คุณจะตายไม่ได้ ฉันรักคุณนะผู้กอง…ฉันรักคุณ”
ชิโลตัดสินใจยกมือขึ้นแล้ววนเหนือหัวสามครั้งเพื่อเป็นการใช้พรข้อสุดท้าย ทันใดนั้นแสงสว่างก็สว่างวาบไปทั่ว บริเวณ พวกอสูรพากันแสบตา ชิโลยืนน้ำตาคลอเสียใจอยู่ท่ามกลางแสงสว่างสีเหลืองนวลที่ห่อหุ้มตัวเธอ
“คุณจะต้องมีชีวิตต่อไปนะคะผู้กอง แล้วสักวัน...เราคงจะได้พบกันอีก”
พูดจบทุกสิ่งทุกอย่างก็สว่างจนขาวโพลนเหมือนไฟแฟลชที่ถูกยิงออกมา...ฟึ่บ
อุ้มสมสะดุ้งตกใจรับรู้ได้ด้วยพลังบางอย่างที่มาจากอีกฝากฝั่งของเมือง อุ้มสมรีบเดินไปดู ดรัณถามอย่างสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นเหรอท่าน หรือว่าสวรรค์ได้ยินคำร้องขอของท่านแล้ว”
“เปล่า...เรารู้สึกได้ว่าชิโลกำลังใช้พรข้อสุดท้าย”
“งั้นท่านก็รู้แล้วสิว่าชิโลอยู่ไหน”
อุ้มสมหันมาพยักหน้ารับ ดรัณดีใจ
อุ้มสมรีบพาดรัณเข้ามาพบสการนอนฟุบหน้าหมดสติอยู่ที่พื้น ส่วนสิริสุดาก็นอนสลบอยู่ไม่ไกล ดรัณตกใจ
“สิ !”
ดรัณเข้าไปประครองสิริสุดาขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง และเรียกสติอยู่หลายครั้ง สิริสุดาจึงค่อยๆรู้สึกตัว
“ดรัณ”
สิริสุดาตกใจกลัวโผกอดดรัณแล้วร้องห่มร้องไห้ ส่วนอุ้มสมเข้ามาที่สการและพยายามเรียกสติ
“ผู้กอง...ผู้กอง”
อุ้มสมจับพลิกตัวขึ้นมา สการจึงค่อยๆรู้สึกตัว พอรู้ตัวได้ก็ผลุดลุกทันที
“ชิโล...ชิโลอยู่ไหน อุ้มสม ชิโลอยู่ไหน”
“เราควรจะถามเจ้ามากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่...เรารู้แต่ว่าชิโลใช้พรข้อสุดท้ายไปแล้ว แล้วชิโลอยู่ไหน”
สการอึ้ง
“ชิโล...พรข้อสุดท้าย”
วันใหม่...สิริสุดาก้มกราบที่หน้าตักของนารี
“ขอบคุณนะคะคุณป้า”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พักอยู่ที่นี่กับป้าไปก่อนได้ไม่เป็นไร ห้องหับป้ามีเหลือเฟือ”
เอิงเอยซึ่งออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ยังมีเฝือกหุ้มคอกับที่แขนอยู่
“แกจะอยู่ที่นี่ได้จริงๆเหรอยัยสิ ห้องหับเล็กกว่าที่บ้านแกอีกนะ”
“ได้สิยัยเอิง ตอนนี้ฉันไม่อยากกลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นอีก ฉันทั้งรังเกียจ ทั้งขยะแขยงทรัพย์สินเงินทองที่พ่อฉันได้มาจากการทำบาป”
“ก็จริงของแก แล้วไหนจะพ่อแกที่หนีเตลิดไม่ยอมให้ตำรวจจับอีก เฮ้อ...ชื่อเสียงแก ป่นปี้หมด แต่ฉันก็ไม่ทิ้งแกนะ”
สิริสุดาจับมือเพื่อนแล้วรู้สึกดีที่เพื่อนยังคงเป็นเพื่อน
“ขอบใจนะยัยเอิง”
ดรัณยิ้มแย้มเข้ามา
“ผมก็เหมือนกันนะสิ ผมสัญญาว่าผมจะดูแลคุณเอง จะไม่ทำให้คุณลำบากเด็ดขาด”
“ไม่ต้องห่วงสิหรอกค่ะดรัณ...ตอนนี้เราควรจะห่วงผู้กองสการมากกว่า”
คำพูดของสิริสุดาทำเอาทุกคนนิ่งไป
ทุกคนอยู่พร้อมหน้าและตกใจเมื่อสการยืนยันกับอุ้มสม
“เจ้าว่ายังไงนะผู้กอง เจ้าจะให้เราบอกทางเจ้าไปพิภพอสูร”
“ท่านได้ยินไม่ผิดหรอกอุ้มสม ชิโลใช้พรข้อสุดท้ายเพื่อปกป้องชีวิตของผมแล้วยอมแลก ตัวเองให้พวกอสูรจับตัวไป เพราะฉะนั้นผมจะตามไปพาชิโลกลับมา”
อุ้มสมหน้าเหวอ
“พิภพอสูรนะผู้กอง ไม่ใช่พารากอนที่นึกจะขึ้นรถไฟฟ้าไปได้ง่ายๆ”
ดรัณหันมาถาม
“แล้วเราจะยอมให้ชิโลถูกพาตัวไปโดยไม่ทำอะไรเลยเหรอท่าน”
นารีขัดขึ้น
“ไม่ใช่ว่าเราจะยอมปล่อยชิโลไปหรอก แต่พิภพอสูรไม่ใช่ที่ๆมนุษย์ธรรมดาจะไปได้”
อุ้มสมถอนใจ
“แม่เจ้าพูดถูกแล้วผู้กอง ถ้าจะเข้าไปในพิภพอสูรก็ต้องให้พวกอสูรพาไป หรือไม่ก็มีแต่ มหาเทพฉันผู้ใหญ่เท่านั้นที่เข้าไปได้ เทพบุตรเล็กๆอย่างเราไม่มีสิทธิ์ และเราก็เชื่อว่าตอนนี้ชิโลอาจจะไม่ได้อยู่ที่พิภพอสูร”
สิริสุดาแปลกใจ
“อ้าว ทำไมล่ะคะท่าน”
“เพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงของเทวาสุรสงคราม อสุเรศควรจะต้องไปช่วยรบกับพวกอสูร แต่ถ้าอสุเรศพาชิโลเข้าไปที่นั่นตอนนี้ จอมอสูรจะต้องโกรธ ที่หนีทัพมายุ่งกับผู้หญิง”
สการเป็นห่วงชิโลมาก
“ถ้าชิโลไม่อยู่ที่พิภพอสูร แล้วมันจะพาชิโลไปอยู่ไหน”
อุ้มสมนิ่งคิด
“ที่ไหนสักที่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี่แหละ มันต้องเอาชิโลไปซ่อนตัวไว้ จนกว่ามันจะบีบบังคับให้ชิโลยอมเป็นเมีย เพื่อมันจะได้ทำให้เหล่าเทวดาเสียหน้าและยอมแพ้ สงครามแก่พวกอสูร”
เอิงเอยสอดขึ้นมา
“ที่ไหนสักที่ในจักรวาล...ตาย...แบบนี้จะไปรู้ได้ยังไงว่าอยู่ที่ไหน ทุกวันนี้แค่ดาวอังคาร ยังไปกันไม่ถึงเลย”
ทุกคนหน้าเครียดที่จนปัญญาจะรู้ได้ว่าชิโลถูกพาตัวไปที่ไหน
สการนั่งเศร้าเหม่อมองไปบนท้องฟ้าอยู่ที่สระว่ายน้ำ ดรัณกับสิริสุดาเข้ามามองด้วยความสงสาร
“ทิ้งไว้แบบนี้ไอ้แซมได้เป็นบ้าแน่”
“ผู้กองคงอยากตามหาตามไปช่วยคุณชิโลใจจะขาด”
“ลำพังตามหาคนหายบนโลกบูดๆเบี้ยวๆใบนี้ก็ว่ายากแล้ว งานนี้ยิ่งยากกว่า เฮ้อ...สงสัย ต้องพึ่งหมอดู หรือไม่ก็ต้องพวกทรงเจ้าเข้าทรงซะแล้วมั้ง”
คำพูดของดรัณทำให้สิริสุดาฉุกคิดขึ้นมาได้
“ดรัณคะ...สินึกออกแล้ว”
สิริสุดาดีใจรีบวิ่งไปหาสการทันที
“ผู้กองคะ...ผู้กอง...ฉันรู้แล้วค่ะว่าเราจะตามหาชิโลได้ยังไง”
สการหันมาสงสัย
“ยังไงครับคุณสิ”
ที่ออฟฟิตเทพธิดาตาทิพย์ สการมองไปรอบๆอย่างไม่แน่ใจ
“คุณแน่ใจเหรอคุณสิว่าผมจะได้คำตอบจากที่นี่”
“ฉันก็ยังไม่รู้หรอกค่ะว่าจะได้คำตอบรึเปล่า แต่เราไม่มีทางเลือกอื่นไม่ใช่เหรอคะผู้กอง”
ดรัณตัดบท
“เอาน่า...ลองดูก็คงไม่เสียหายหรอก”
ระหว่างนั้นเอง เทพธิดาตาทิพย์ก็เดินออกมาโดยมีผู้ช่วยสาวจูงมือพามา
“มากันแล้วเหรอ ฉันกำลังรออยู่เลย ผู้กองสการ”
สการแปลกใจที่รู้จักเขา
ในห้องทำงาน เทพธิดาตาทิพย์จุดเทียนไขสร้างบรรยากาศให้ดูขลัง สิริสุดาอธิบาย
“เทพธิดาตาทิพย์เคยได้รับอุบัติเหตุเมื่อตอนเป็นเด็ก เลยทำให้มีประสาทสัมผัสพิเศษ เห็นทุกอย่างที่คนธรรมดามองไม่เห็น เคยทักสิเรื่องแก้ววิเศษของชิโลก็เป็นเรื่องจริง”
ดรัณมีความหวัง
“งั้นก็น่าจะช่วยตามหาชิโลได้สิ”
สิริสุดาหันไปหาเทพธิดาตาทิพย์
“ได้มั้ยคะเทพธิดา”
“ฉันเป็นเทพธิดาตาทิพย์ สิ่งที่ใครมองไม่เห็น ฉันเป็นคนเดียวที่รู้ที่เห็นได้หมดทุกอย่าง”
เทพธิดาตาทิพย์หันไปที่สการจ้องเขม็ง
“ผู้กองสการ คุณมาเพื่อขอร้องให้ฉันตามหา เทพนารีองค์งามที่หายตัวไปพร้อมกับพวกอสูร คุณมาหาถูกคนแล้ว”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างมีความหวังขึ้นมาทันที
“ถ้าอย่างนั้นชิโลอยู่ที่ไหน แล้วผมจะตามไปช่วยเธอได้ยังไง”
สิริสุดาน้ำเสียงจริงจัง
“เสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่เราจ่ายให้ไม่อั้น ขอแค่ช่วยชิโลให้ได้”
เทพธิดาตาทิพย์มองหน้าสิริสุดา
“ใจเย็นๆก่อนคุณสิริสุดา ครั้งที่แล้วเพราะความละโมบอยากได้เงิน เลยทำให้ฉันมองผิดพลาดไม่เห็นรัศมีเทพของเทพนารีองค์นั้น ครั้งนี้ยังไงฉันก็ต้องช่วยหาเพื่อเป็นการขอ ขมาต่อเทวดา...ขอเวลาฉันสักครู่”
เทพธิดาตาทิพย์หันมาสงบนิ่งแล้วเริ่มใช้สัมผัสพิเศษ ทุกคนรอลุ้น
บรรยากาศสุดขลังในห้องทำงาน เทพธิดาตาทิพย์นั่งนิ่งเข้าสู่สมาธิขั้นสูงสุด ทุกคนลุ้นอยากรู้สุดฤทธิ์
เทพธิดาตาทิพย์นิ่งอยู่นานก่อนจะเริ่มตัวสั่นงึกๆๆๆแล้วพร่ำออกมา
“หนาว...หนาวเหลือเกิน อากาศเย็นมาก ตัวฉันกำลังพุ่งไปเร็วมาก เร็วอย่างกับจรวด”
ดรัณหันมากระซิบสิริสุดา
“สงสัยเทพธิดาของคุณกำลังนั่งกระสวยอวกาศพุ่งไปดาวอังคาร”
สิริสุดาตีแขน
“พูดมากน่าดรัณ”
สการถามอย่างร้อนใจ
“ตกลงเจอรึยังครับ”
เทพธิดาตาทิพย์พูดขึ้น
“ต้นไม้เยอะแยะ สรรพสัตว์มากมาย คุณพระช่วย สวยเหลือเกิน ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน...อยู่ไหน...เทพนารี เธออยู่ไหน นั่น...ฉันเห็นเงาเธอแวบไปแวบมา”
สการร้อนรน
“ที่ไหน...ชิโลอยู่ที่ไหน”
เทพธิดาตาทิพย์พยายามเพ่งมอง ก่อนร่างจะสั่นสะเทิม แล้วสีหน้าหวดกลัวขึ้นมาแทนที่
“โอ๊ย ! ไม่...ไม่...ฉันกลัวแล้ว...กลัวแล้ว”
เทพธิดาร้องเสียงหลงก่อนจะร่วงผล่อย สิริสุดารีบเข้าไปประครองทันที
“เป็นยังไงคะเทพธิดา ชิโลอยู่ที่ไหน”
“ฉันพบเทพนารีวิ่งหนีพวกอสูรอยู่ที่นั่น แต่ฉันตามไปไม่ได้ พวกมันน่ากลัวเหลือเกิน”
สการร้อนใจมาก
“ที่ไหน ชิโลหนีพวกมันอยู่ที่ไหน”
“ฉันเห็นเทพนารีโดนพวกมันจับตัวไปไว้ที่...ป่าหิมพานต์”
ทุกคนโพล่งออกมาพร้อมกัน “ป่าหิมพานต์ !”
มณีแดนสรวง ตอนที่ 19 (ต่อ)
อุ้มสมถึงกับหน้าเครียดคิ้วขมวดเงียบกริบ เมื่อสิริสุดามาบอกเรื่องป่าหิมพานต์ ในขณะที่สการหงุดหงิดหัวเสีย
“ชิโลถูกจับตัวไปซ่อนไว้ที่ป่าหิมพานต์เนี่ยนะ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วเราจะไปช่วยได้ยังไง”
“นั่นสิ ผมว่าเทพธิดาตาทิพย์คงจะมั่ว พูดอะไรเป็นตุเป็นตะ”
อุ้มสมแทรกขึ้น
“ผู้หญิงคนนั้นไม่มั่วหรอก ในยามเทวสุรสงครามเช่นนี้ ถ้าอสุเรศจะจับชิโลไปไว้ในที่ๆปลอดภัยไม่มีใครสนใจ ก็คงต้องเป็นป่าหิมพานต์ที่เดียว เพราะที่นั่นเป็นภพกลางระหว่างสวรรค์กับพิภพอสูร”
สิริสุดาแปลกใจ
“งั้นถ้าป่าหิมพานต์ก็มีอยู่จริง แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ พอจะมีสายการบินไหนไปลงที่นั่นบ้าง”
ดรัณนึกออก
“ใช่แล้ว...ผมเคยได้ยินมีคนบอกว่าเทือกเขาหิมาลัยก็คือป่าหิมพานต์”
สิริสุดาคิดๆ
“งั้นก็ต้องบินไปด้วยสายการบินแอร์อินเดียสิ เอ๊ะหรือว่าสายการบินเนปาล”
อุ้มสมหน้าเครียดเซ็ง
“เว้ย! หยุดเพ้อเจ้อ ไม่มีสายการบินไหนบินไปถึงป่าหิมพานต์ได้หรอก”
นารีที่นิ่งฟังอยู่พูดขึ้น
“ใช่จ้ะ...เพราะป่าหิมพานต์ไม่ได้อยู่ที่ภพภูมิมนุษย์ ในไตรภูมิพระร่วงบอกไว้ว่าอยู่ที่เชิงเขาพระสุเมรุ ซึ่งอยู่กึ่งกลางของจักรวาล มีทิวเขาและทะเลล้อมสลับกันเจ็ดฉัน”
อุ้มสมเสริม
“ทิวเขาพวกนั้นเรียกรวมว่าสัตบริภัณฑ์ ส่วนทะเลที่ล้อมรอบก็คือมหานาทีสีทันดร โลกมนุษย์ที่พวกเจ้าอาศัยอยู่เรียกว่าชมพูทวีป เป็นเกาะที่อยู่ไกลออกมาอีกหลายหมื่นโยชน์ เพราะฉะนั้นไม่มีทางเลยที่มนุษย์ธรรมดาจะไปถึงได้”
สการหน้าเศร้าหมอง
“หมายความว่าถึงจะรู้ว่าชิโลอยู่ไหน พวกเราก็ได้แต่นั่งงอมืองอเท้า ช่วยอะไรชิโลไม่ได้เลยงั้นเหรออุ้มสม”
อุ้มสมได้แต่เงียบเพราะทำได้แค่ที่สการบอกมาเท่านั้น สการกำหมัดแน่นเจ็บใจ
“ผมจะไม่มีวันยอมเสียชิโลเด็ดขาด”
สการย้ำอย่างหนักแน่นแล้วออกไป บรรยากาศเหลือแต่ความตึงเครียด นารีอดสงสารลูกไม่ได้
ป่าหิมพานต์อันกว้างใหญ่ไพศาล ต้นไม้หน่อยใหญ่สีสันแปลกตาฉูดฉาด เหมือนกับภาพวาดจิตรกรรม...ที่บริเวณน้ำตกแห่งหนึ่ง ชิโลวิ่งหนีเอาตัวรอดจากพวกอสูรล้มลุกคลุกคลานมาตามทางน้ำ หันรีหันขวางพยามจะหาทางหนีต่อเพราะพวกอสูรรุกไล่ใกล้เข้ามา ก่อนจะได้กลิ่นบางอย่างมาเตะจมูก
“กลิ่นหอมนี่มัน…” ชิโลพยายามนึกแล้วดีใจ “มีทางรอดแล้วเรา”
ชิโลรีบเดินลุยน้ำไปหลบที่ซอกหิน รออยู่ครู่หนึ่งพวกอสุเรศกับสมุนพากันตามเข้ามา จิตราสูรกวาดตามอง
“หายไปไหนแล้ว ตัวเล็กกระจิริดแต่ไวเหลือเกิน”
อสุเรศตะโกนลั่น
“รัศมิชโลธร…เจ้าอย่าพยายามหนีให้เหนื่อยเปล่าเลย เวลานี้เจ้าไม่ใช่นางฟ้า ไม่มีแก้ววิเศษคอยคุ้มกาย ที่นี่เป็นป่าหิมพานต์ ไม่มีทางที่เจ้าจะหนีข้าพ้นหรอก”
ชิโลยังหลบอยู่ที่หลังซอกหินไม่ไกลจากมัน พวกมันทำจมูกฟุดฟิดดมหา ชิโลค่อยๆถอยเดินหลบเข้าไปลึกขึ้น อัคราสูรจับกลิ่นของชิโลได้
“นางอยู่ใกล้ๆแถวนี้แหละขอรับนายท่าน ข้าได้กลิ่น”
อัคราสูรสูดกลิ่นเข้าไปเต็มๆจนหน้าตาเคลิ้มๆ จิตราสูรสูดกลิ่นตาม
“กลิ่นหอมกระแทกดั้งจมูกแบบนี้ ต้องเป็นกลิ่นกายทิพย์นางฟ้าของนางแน่ๆ ข้าจะพานางมาให้นายท่านเอง”
จิตราสูรแสยะยิ้มร้ายแล้วรีบตามชิโลไป อัคราสูรไม่รอช้าตามไปด้วย อสุเรศกอดอกยิ้มร้ายและสูดกลิ่นหอมที่มาเตะจมูกก่อนจะชะงักนึกขึ้นได้
“กลิ่นหอมแบบนี้...ไม่ใช่กลิ่นกายทิพย์ของนางฟ้า”
ใกล้ๆกับบริเวณน้ำตก เป็นป่าสวยงาม อัคราสูรกับจิตราสูรรุกไล่ตามชิโลเข้ามาพวกมันทำจมูกฟุดฟิด “หอม...หอมเหลือเกิน...หอมจนข้าขนลุกเกรียวไปทั้งตัวแล้ว”
จิตราสูรตาเริ่มลอยเคลิ้ม ตัวสั่นเหมือนกับทาแป้งเย็นตรางู อัคราสูรเองก็อาการไม่ต่างกันเคลิ้มจนตาลอย
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวดังเข้ามา สองอสูรตามเสียงหัวเราะไปก็เจอพวกนารีผลนุ่งน้อยห่มน้อยนั่งห้อยขากวักมือยั่วยวนสุดฤทธิ์
แต่ละนางรูปร่างสวย ผิวขาว หุ่นอึ่ม ปากแดง แต่ในแววตามีสีเขียวเข้ม กลิ่นมนตราของนารีผลครอบงำเต็มที่ ดวงตาของพวกมันเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มจนไม่เหลือสติสัมปชัญญะ นารีผล 3-4 นางเข้ามาล้อมรอบนัวเนีย จูบพรมไปทั้วตัวแล้วล่อลวงควงแขนพาสองอสูรเดินหายเข้าไปในป่า ชิโลก้าวออกมาจากที่ซ่อนแล้วเป่าปากโล่งอกที่ยืมมือพวกนารีผลจัดการกับอสูรได้
สองสมุนอสูรวิ่งไล่จับนารีผลหัวเราะคิกคักสนุกสนาน นารีผลนางหนึ่งสวยโดดเด่นกว่านารีผลนางอื่นเดินนวยนาดเข้ามา แล้วกวักน้ำขึ้นมาชะโลมกาย ภาพชวนสยิวหวิววี้ดวิ้ว จิตราสูรหันขวับไปมองตาโตตะลึงรีบผละจากนารีผลที่ประคองกอดอยู่จะเข้าไปหา แต่อัคราสูรซึ่งต้องมนต์นารีผลนางนี้เหมือนกันเดินเข้ามากระชากหัวจิตราสูรไว้
“นางเป็นของข้า...เจ้าไม่สิทธิ์”
“เจ้าต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์ นางต้องเป็นของข้าเท่านั้น”
จิตราสูรปัดมืออัคราสูรแล้วแยกเขี้ยวอสูรขู่ใส่ฟอดๆ อัคราสูรไม่ยอมแพ้แยกเขี้ยวขู่ตอบโต้ พวกนารีผลหัวเราะคิกคักโปรยยิ้มหวานให้ สองอสูรเลยยิ่งหลงมัวเมาเปิดฉากสู้กันเอง อัคราสูรมีแรงมากกว่าเลยเป็นฝ่ายเล่นงานรัวหมัดใส่ จิตราสูรสู้ด้วยแรงไม่ได้ก็เล่นทีเผลอกระโดดขี่หลังแล้วกัดคอเป็นลูกหมาไล่กัดหมียักษ์ อสุเรศตามสองสมุนอสูรเข้ามา พยายามเอามือปิดจมูกไม่ให้ได้กลิ่นมนตรานารีผล เห็นลูกสมุนสู้กันไม่หยุด
“หยุด !...ข้าสั่งให้พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้”
สองอสูรไม่รู้สึกตัวตามคำสั่งของเจ้านาย พวกมันยังสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายและเลือดสาด นารีผลเห็นอสุเรศก็พากันมารุมล้อมโปรยเสน่ห์กลิ่นมนตราใส่ อสุเรศเลยต้องแยกเขี้ยว ขู่คำรามใส่อย่างน่ากลัว
“ข้าไม่หลงกลิ่นมนตราของพวกเจ้าหรอก...นังนารีผล”
อสุเรศตาแดงกำด้วยอิทธิฤทธิ์ของอสูร จับนารีผลนางหนึ่งบีบหน้าบีบปากแล้วจับหักคอทีเดียวดัง กร่อบ
นารีผลตนอื่นๆตกใจร้องกรี๊ดกลัวพากันวิ่งหนีกระเจิง สองสมุนอสูรยังสู้กันอย่างหน้ามืดตามัว อสุเรศต้องเข้าไปขวางกลางจับพวกมันแยก แต่พวกมันก็แยกเขี้ยวขู่ฟอดๆใส่อสุเรศแล้วกระโจนใส่พร้อมกัน อสุเรศเลยจับหัวพวกมันโขกกันเองทีเดียวพวกมันมึนตึ๊บ หัวหมุนติ้ว
อสุเรศลากคอสมุนอสูรออกมาโดยที่พวกมันยังมึนไม่หาย จิตราสูรลูบหัวป้อยๆ
“อู้ย...นี่ถ้าไม่ได้นายท่านมาช่วยพวกเราเอาไว้ มีหวังเราได้ฆ่ากันตายเองเพราะหลงมนตราของพวกนางนารีผลไปแล้ว”
อสุเรศแค้นๆ
“กลิ่นมนตราของนารีผลทำให้บุรุษเพศในป่าหิมพานต์ ลุ่มหลงและมัวเมาในกิเลศจนลงมือเข่นฆ่ากันเอง รัศมิชโลธรรู้ดีเลยคิดใช้นารีผลเล่นงานพวกเรา”
“นางเป็นสตรีกลิ่นมนตรานารีผลเลยทำอะไรนางไม่ได้” อัคราสูรเจ็บใจ “ข้าจะไม่หลงกลนางอีกเป็นอันขาด ข้าจะตามตัวนางมาให้นายท่านให้ได้”
อสุเรศแสยะยิ้ม
“หึ...ถึงจะฉลาดรู้จักวิธีเอาตัวรอด แต่ที่นี่เป็นป่าหิมพานต์ นางฟ้าในร่างมนุษย์อย่างนาง ยังไงก็หนีไปได้ไม่ไกลหรอก”
ชิโลพยายามวิ่งหนีหาทางเอาตัวรอด ร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย...ฉันเป็นนางฟ้า ช่วยพาฉันกลับไปดาวดึงส์ที”
ชิโลร้องเรียกแล้วไม่ทันระวังสะดุดรากไม้ล้มลงได้รับบาดเจ็บลุกไม่ขึ้น มือหนึ่งยื่นเข้ามาช่วยพยุง ทันใดนั้นอสุเรศโผล่เข้ามา
“ให้ข้าช่วยเจ้ามั้ยรัศมิชโลธร”
ชิโลตกใจ
“อสุเรศ!”
ชิโลปัดมือแล้วพยายามคลานหนี แต่ก็เจอจิตราสูรกับอัคราสูรก้าวมาขวางปิดทางเอาไว้ให้หมดทางหนี
“อย่านะ...อย่าเข้ามา”
“แผนใช้มนตรานารีผลเล่นงานข้า มันไม่ได้ผลหรอก เพราะข้าไม่เคยพิสมัยผู้หญิงคนไหน”
อสุเรศยิ้มร้ายแล้วเข้าไปประครองชิโลขึ้นมา ชิโลพยายามดิ้นแต่สู้แรงอสุเรศไม่ได้
“เหมือนกับเจ้า...รัศมิชโลธร นางฟ้าแสนสวยของข้า เจ้าคือผู้หญิงคนเดียวที่ข้าต้องการมากที่สุดที่สามโลก”
“ปล่อยนะ...ปล่อยเรา...บอกให้ปล่อยเรา”
ชิโลขัดขืนทั้งทุบทั้งตีใส่ อสุเรศตะคอก
“หยุดโวยวายซะที...ถ้าเจ้าไม่เลิกทำให้ข้าเสียอารมณ์ ข้าจะเอาเจ้าไปทิ้งไว้ที่ป่านารีผล แล้วให้พวกฤาษี คนธรรพ์ รุมจับเจ้าไปทำเมีย เลือกเอาว่าจะยอมมีหลายผัวหรือมีข้าเป็นผัวเจ้าแค่คนเดียว”
ชิโลชะงัก
“ศักดิ์ศรีนางฟ้าอย่างเรา ยอมให้สัตว์ในหิมพานต์กินเป็นอาหารดีกว่ายอมให้อสูรชั่วช้าอย่างเจ้าได้ตัวเราไป”
ชิโลจับมืออสุเรศมากัดเต็มๆแรงๆ หญิงสาวร้องโอ๊ยเพราะกัดๆไม่เข้าแถมแข็งอย่างกับเหล็ก อสุเรศยิ้มทับถม
“เราเป็นอสูร ไม่ใช่มนุษย์ไร้น้ำยาอย่างไอ้ผู้กองนั่น หยุดพยศแล้วเก็บแรงของเจ้าไว้ทำหน้าที่เจ้าสาวให้เราดีกว่า”
อสุเรศทุบเข้าที่ต้นคอชิโลทีเดียวเบาๆ ชิโลก็ร่วงผล่อยหมดสติ อสุเรศช้อนตัวอุ้มขึ้นมาแล้วหัวเราะกึกก้อง
ค่ำนั้น สการก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือไตรภูมิพระร่วงอย่างจริงๆจังๆ ดรัณกับสิริสุดาเข้ามาดูด้วยความสงสัย
“อ่านอะไรของแกอยู่วะไอ้แซม เห็นก้มหน้าก้มตาอ่านทั้งวันคืน”
“ไตรภูมิพระร่วง ฉันอยากรู้จักป่าหิมพานต์ให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม เผื่อจะมีทางไปช่วยชิโลได้”
อุ้มสมตามเข้ามา
“เจ้านี่เป็นมนุษย์ที่ดื้อด้านซะจริงๆ ก็บอกแล้วไงว่าป่าหิมพานต์ไม่ใช่ที่ๆมนุษย์จะไปได้”
“แต่ฉันจะไม่อยู่เฉย ถ้าต้องตายเป็นวิญญาณเพื่อจะไปให้ถึงป่าหิมพานต์ฉันก็จะทำ”
อุ้มสมอึ้ง
“นี่เจ้าหาว่าเราไม่ทำอะไรเลยงั้นเหรอ เราก็อยากหาทางช่วยชิโลเหมือนกัน แต่ป่าหิมพานต์ไม่ใช่นรกหรือสวรรค์ที่ตายแล้ววิญญาณจะไปได้”
สิริสุดาขัดขึ้น
“พอได้แล้วค่ะ อย่าเถียงกันเลย สิคิดออกแล้วว่าจะช่วยชิโลได้ยังไง”
ทุกคนหันมามองที่สิริสุดาทันที สิริสุดายิ้มภูมิใจกับความคิดเข้าไปควงแขนดรัณ
“ถ้าสิกับดรัณแต่งงานกันตอนนี้ ชิโลก็จะกลับไปเป็นนางฟ้าอีกครั้ง ทีนี้ชิโลก็รอด”
ดรัณนึกได้ยิ้มดีใจ
“ใช่จริงๆด้วย ฉลาดมากเลยสิ งั้นเราแต่งกันตอนนี้เลยนะ รวบลัดพิธีการเข้าห้องหอเลย”
อุ้มสมขัดขึ้น
“ไม่ได้หรอก...ถึงพวกเจ้าจะกลับมาแต่งงานกันตอนนี้ก็ช่วยชิโลไม่ได้”
สการถามสวนขึ้นมาทันที
“ทำไมล่ะ”
“ก็ตอนนี้เทพบิดากำลังนำทัพเทวดาออกไปรบกับพวกอสูร จะทิ้งกองทัพ ทิ้งสมรภูมิรบออกมาถอนคำสาปให้ได้ยังไง”
“นั่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้ ตกลงว่าเราต้องปล่อยให้ชิโลอยู่ในป่าหิมพานต์ตลอดไปเลยใช่มั้ย”
“เราก็ไม่อยากเห็นชิโลต้องเป็นเมียอสูรหรอก เราเคยพยายามห้ามชิโลมาตลอดว่าไม่ให้มายุ่งกับพวกมนุษย์ แต่ชิโลก็ไม่เคยฟัง เอะอะก็บอกว่ามนุษย์น่าสงสาร ถ้าชิโลฟังเราตั้งแต่ทีแรกชิโลก็ไม่ต้องมาตกระกำลำบากแบบนี้หรอก”
อุ้มสมตัดพ้ออย่างเสียใจแล้วออกไป สการ ดรัณและสิริสุดาพากันเงียบ เพราะขนาดอุ้มสมยังจนปัญญา
นารียืนมองทุกคนจากประตูห้องเห็นบรรยากาศความหดหู่สิ้นหวัง
นารีเข้ามาในห้องพระนั่งพนมมือหน้าองค์พระ ด้วยความสิ้นหวัง มีเพียงพระพุทธรูปข้างหน้าที่พอหวังได้
“คุณพระคุณเจ้า ดิฉันหมั่นเพียรทำบุญมาตลอดชีวิต ชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์เพราะเชื่อในเรื่องบุญกรรม แต่ดิฉันไม่ขอให้บุญกุศลที่ทำไว้มาถึงตัวตัวเอง ขอเพียงให้คำสวดอ้อนวอนของดิฉันไปถึงท่าน ได้โปรดช่วยเหลือนางฟ้าแสนดีอย่างชิโล ถ้าต้องแลกด้วยชีวิตของดิฉัน...ดิฉันก็ยอม”
นารีก้มลงกราบพระพุทธรูป
บรรยากาศในถ้ำแก้วที่มีหินงอกหินย้อยงดงาม ส่องแสงเป็นประกาบยะยิบระยับ ชิโลรู้สึกตัวตื่นพบว่าตัวเองถูกจับแต่งตัวให้อยู่ในชุดสวยงามเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าสาวของอสุเรศเต็มที่ อสุเรศกับสองสมุนเข้ามา อสุเรศแต่งหล่อและเท่มาก
“สวยใช่มั้ยรัศมิชโลธร ในป่าหิมพานต์ ถ้ำแก้วบนยอดเขาไกรลาสแห่งนี้คงพอใช้เป็นเรือนหอชั่วคราวของเราได้”
“เราไม่มีวันยอมเป็นเจ้าสาวของเจ้า...ไม่มีวัน”
ชิโลรีบลุกถอยแล้ววิ่งหนีออกไป สองสมุนจะตามแต่อสุเรศยกมือกั้น
“ปล่อยให้นางพยศไป เดี๋ยวก็รู้เองว่าเปล่าประโยชน์...ฮ่าๆๆๆ”
ชิโลวิ่งหนีมาตามทางในถ้ำจนมาถึงที่ปากถ้ำ แสงสว่างจากข้างนอกเหมือนความหวัง ชิโลรีบวิ่งไปทันทีและได้เจอกับแสงสว่างจ้าจนต้องยกมือขึ้นบังแสง แต่เมื่อลดมือลงก็พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในถ้ำแก้วเหมือนเดิม หญิงสาวตกใจหันรีหันขวางรีบวิ่งไปอีกทาง และได้เจอปากทางออกถ้ำอีก แต่ก็เหมือนเดิมพอเดินออกไปก็กลับมาอยู่ ณ จุดเดิมเหมือนติดอยู่ในถ้ำไม่สามารถออกไปได้
“เจ้าไม่มีทางหนีออกจากถ้ำแก้วแห่งนี้ได้หรอก และบ้านของเจ้าก็ไม่ใช่ดาวดึงส์อีกต่อไปแล้ว หลังจากที่เจ้าเป็นเมียข้าแล้ว พิภพอสูรคือที่ๆเจ้าจะต้องทำหน้าที่เมียให้ข้าไปชั่วกัปชั่วกัลป์...ฮ่าๆๆๆๆ”
ชิโลหน้าเสียทรุดฮวบน้ำตาเอ่อแล้วนองหน้าเสียใจ
พระอาทิตย์ขึ้นวันใหม่...อุ้มสมนั่งเศร้าเสียใจน้ำตาไหลอาบแก้มอยู่ที่ดาดฟ้าแหงนหน้ามองฟ้าอย่างเศร้าซึม
“ชิโล...ฮือๆๆ...เราไม่รู้จะช่วยเจ้าได้ยังไง เป็นเทวดาก็ไม่ได้เรื่อง เป็นนกแก้วก็เก่งแต่กินเมล็ดแตงโม เป็นมนุษย์ก็เซ่อๆซ่าๆ...ฮือๆ”
อุ้มสมขึ้นไปยืนบนระเบียง สการเข้ามาเห็นก็รีบเข้าไปคว้าตัวเอาไว้
“อย่านะอุ้มสม อย่าคิดสั้น”
“คิดสั้น ...เราไม่ได้จะฆ่าตัวตาย เรานั่งร้องไห้นานก็เลยเมื่อยลุกขึ้นบิดขี้เกียจแค่นั้นเอง”
“อ้าว...ก็นึกว่า”
“การฆ่าตัวตายมันเป็นบาป เรื่องอะไรเราจะหาเรื่องไปทรมานอยู่ในนรก เป็นเทวดาดีกว่าเยอะ มีแต่ความสุขไม่ต้องมีความทุกข์”
“ถ้าอย่างนั้นชิโลก็เป็นนางฟ้าที่ดีที่สุดน่ะสิ ทั้งๆที่อยู่บนสวรรค์สุขสบายทุกอย่าง แต่ชิโลก็ยังคิดถึงแต่ความสุขของมนุษย์มากกว่าความสุขของตัวเอง”
อุ้มสมนิ่งไปแล้วน้ำตารื้นสะอื้น
“ชิโลไม่เคยสนใจความสุขตัวเอง เอาแต่สนใจมนุษย์ กลัวว่ามนุษย์จะหลงชั่วทำเลวแต่ยังได้ดี คนดีจะสิ้นกำลังใจ ก็เลยอยากสนับสนุนคนดี ทั้งรู้ ว่าผิดกฎสวรรค์ แต่ก็ยอมเสี่ยง เพราะ...เพราะ”
ชิโลรักมนุษย์มากกว่าเทวดาองค์อื่นๆ สการโอบไหล่ปลอบใจอุ้มสม
“บางทีที่ชิโลรักมนุษย์มาก อาจจะเป็นเพราะก่อนที่จะไปจุติ เป็นนางฟ้า ชิโลเคยเป็นมนุษย์ เป็นลูกของแม่ที่มีความเมตตาให้คนอื่นตลอด”
อุ้มสมนึกขึ้นได้แล้วแปลกใจ
“ว่าไปแล้ว เราก็ยิ่งไม่เข้าใจ เราเคยเห็นเส้นพรหมลิขิตของเจ้า กับชิโล แต่ทำไมพวกเจ้าถึงได้เป็นพี่น้องกัน”
สการถอนใจ
“มันคงเป็นลิขิตของสวรรค์ที่ไม่ต้องการให้ผมกับชิโลรักกัน”
อุ้มสมเห็นแววตาของสการแล้วงยิ่งสงสาร แต่ทันใดนั้นเสียงของพรรณรายแทรกเข้ามา
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าสวรรค์ไม่ต้องการให้เจ้ากับน้องสาวของเรารักกัน”
อุ้มสมกับสการตกใจเสียงหันไปเห็นรัศมิพรรณรายยืนร่างกายมีออร่าสองสว่างนวลตาสวยงาม
“รัศมิพรรณราย!”
ภายในคอนโด ทุกคนต่างมองมิพรรณรายด้วยอาการตกตะลึง เพราะรัศมีนางฟ้าส่องประกายเปล่งปลั่ง
“เราคือรัศมิพรรณรายเป็นพี่สาวของรัศมิชโลธร”
สิริสุดามองอย่างชื่นชม
“สวยจังเลย เป็นนางฟ้าแล้วสวยแบบนี้ สิจะสะสมบุญในชาตินี้ให้เยอะๆ จะได้ไปเกิดเป็นนางฟ้าสวยๆ”
ดรัณยิ้มหวานเอาใจ
“งั้นผมก็ต้องสะสมความดีเยอะๆด้วยจะได้ตามไปเกิดเป็นเทพบุตรคู่กับเทพธิดา”
สิริสุดาเขินหน้าแดงแอบทุบดรัณ
“บ้า...เขินนะ”
พรรณรายหันมาหาสองคน
“พวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก เพราะก่อนที่เราจะลงมา เราได้พบกับพระกามเทพและได้รู้มาว่าเส้นพรหมลิขิตของพวกเจ้าได้เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวแล้ว จากนี้พวกเจ้าจะครองคู่กันอย่างมีความสุข”
ดรัณกับสิริสุดาพากันอย่างดีใจจับมือจ้องตาซึ้งไม่อายใคร สการดีใจไปด้วย
“หมายความว่าภารกิจของชิโลสำเร็จแล้ว ชิโลจะได้คืนสภาวะไปเป็นนางฟ้าใช่มั้ยครับ”
พรรณรายพยักหน้ารับ
“ถ้าเราสามารถพาชิโลไปพบกับท่านพ่อได้ ชิโลก็จะได้กลับดาวดึงส์”
อุ้มสมร้อนใจ
“ถ้าอย่างนั้นพี่พรรณณายก็รีบไปช่วยชิโลที่หิมพานต์สิครับ”
พรรณรายหันมาหน้าเครียด
“ตอนนี้เราไม่สามารถไปช่วยชิโลที่หิมพานต์ได้ เพราะสถานการณ์เทวาสุรสงครามยังตึงเครียด เราจึงหนีลงมาได้ไม่นาน เราเพียงแต่มาให้คำแนะนำว่าต้องช่วยชิโลยังไง เพราะว่าเราได้ยินเสียงสวดมนต์อ้อนวอนขอความช่วยเหลือของคุณนารี”
พรรณรายกับนารีมองหน้ากัน พรรณรายยิ้มอย่างอ่อนโยนให้นารี อุ้มสมแปลกใจ
“พี่พรรณรายถึงได้ยินเสียงสวดมนต์อ้อนวอนของคุณป้า แล้วทำไมผมตะโกนจะคอแทบ แตก แต่พี่กลับไม่ได้ยิน”
“เพราะเรากับคุณนารีมีบุญกรรมที่ผูกกันมาแต่ชาติปางก่อน”
นารีแปลกใจ
“ดิฉันกับท่าน...เคยมีบุญกรรมร่วมกันมา” นารีพยายามนึกแล้วก็ตกใจตาโตเมื่อนึกได้ “หรือว่า...ท่านคือ...”
รัศมิพรรณรายยิ้มให้ท่ามกลางความสงสัยของทุกคน
มณีแดนสรวง ตอนที่ 19 (ต่อ)
ในถ้ำแก้วยามนั้น อสุเรศฉุดกระชากชิโลเข้ามาที่ตั่งหินซึ่งตกแต่งประดับประดาเป็นเตียงนอน
“ปล่อยฉัน...บอกให้ปล่อย”
“เมื่อไหร่เจ้าจะยอมรับความจริงซะที เจ้าไม่มีวันหนีข้าไปได้ เราถูกลิขิตให้ต้องเป็นผัวเมียกันแล้ว เจ้าควรจะลดทิฐิ ลดความเกลียดชังข้าแล้วเจ้าจะรู้ว่าข้ารักเจ้าไม่น้อยเลย”
“ไม่! คนที่เรารักมีแค่สการคนเดียวเท่านั้น”
อสุเรศเจ็บใจ
“รัศมิชโลธร เจ้าก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่นางฟ้าอย่างเจ้าจะรักกับมนุษย์ที่ต้อยต่ำกว่า อสูรอย่างข้าต่างหากที่จะมีชีวิตอยู่ยั่งยืนนานคู่กับเจ้าไปอีกหลายร้อยปี”
“ถึงเรากับมนุษย์จะต่างกัน แต่เราก็ไม่เคยเสียใจที่รักมนุษย์ ภูมิใจด้วยซ้ำที่ได้รักมนุษย์ที่มีน้ำใจงามอย่างสการ แม้ว่าเราจะต้องทนเห็นเขาตายก่อนเรา แต่ความรักของเขาจะยังอยู่ในหัวใจของเราไปตลอดกาล”
อสุเรศขบกรามเจ็บใจแล้วหัวเราะใส่อย่างสมเพช
“นางฟ้าอย่างเจ้ามองทุกอย่างสวยงามไปหมด เหมือนมนุษย์ที่ความรักเข้าตาจนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เจ้าก็รู้จักมนุษย์ดี ลืมไปรึเปล่าว่าสันดานมนุษย์มันเป็นยังไง”
ชิโลชะงักไป อัคราสูรกับจิตราสูรหัวเราะคิกคักเห็นด้วยกับเจ้านาย จิตราสูรสอดขึ้น
“เห็นแก่ตัว ชั่วร้าย เอารัดเอาเปรียบ เลวได้อีก เลวได้โล่ห์ ฮ่าๆๆๆ”
อสุเรศมองหน้าชิโล
“สวรรค์มีคนไปจุติน้อยลง แต่นรกแทบแตกเพราะมีแต่มนุษย์ไปจับจองที่อยู่ ความจริงข้อนี้เจ้าก็รู้ดี แล้วยังคิดจะภูมิใจมนุษย์อยู่อีกเหรอ...รัศมิชโลธร”
อสุเรศข่มขู่แล้วรุกเข้าใกล้ก่อนจะดึงชิโลมากอดรัดแล้วปลุกปล้ำนัวเนีย ชิโลพยายามดิ้นสุดฤทธิ์ พวกสมุนอสูรลุ้นเจ้านายจนตัวโก่ง
นารีน้ำตาไหลอาบสองแก้มตื้นตัน พรรณรายเข้าไปกุมมือนารีเและช่วยเช็ดน้ำตาให้
“สโรชา...ยัยหนูของแม่”
พรรณรายยิ้มรับ
“บุญกรรมจะทำให้เราได้มาพบกันในวันนึง...วันนี้เป็นวันที่เรารอคอยมาตลอด”
ดรัณหน้าเหวอ
“อ้าว...ถ้าพี่พรรณรายคือลูกสาวของคุณป้าที่ไปจุติเป็นนางฟ้า งั้นชิโลก็...”
สิริสุดาโพล่งออกมา
“ไม่ใช่พี่สาวของสการ”
ดรัณดีใจ
“โชคเข้าข้างแกแล้วโว้ยไอ้แซม โล่งอกได้เลยว่าแกกับคุณชิโลได้แต่งงานกันแน่”
สิริสุดาแย้ง
“แต่ชิโลยังติดอยู่ที่ป่าหิมพานต์ ขนาดพี่พรรณรายยังบอกว่าไปช่วยไม่ได้เลยนะ”
สการร้อนใจ
“ทำไมพี่พรรณรายถึงไปช่วยชิโลไม่ได้”
“เป็นเพราะว่าช่วงเทวาสุรสงคราม พวกอสูรจะมีพลังอำนาจมากกว่าปกติ พวกมันจึงกล้ากำเริบยกทัพขึ้นไปรบกับเทวดา หากว่าเทพบุตรเทพนารีออกนอกกำแพงแก้วหรือเขตสวรรค์เมื่อไหร่ ก็จะไม่มีใครรับรองความปลอดภัยได้”
อุ้มสมหนักใจ
“และถ้าพี่พรรณรายถูกอสูรจับตัวไปอีก กองทัพดาวดึงส์จะต้องวุ่นวายแน่”
นารีเป็นห่วงชิโลมาก
“แล้วไม่มีทางอื่นที่จะช่วยชิโลได้เลยเหรอคะ”
“ถึงเราจะไปช่วยชิโลไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะส่งคนอื่นไปไม่ได้นี่”
สการหน้ามุ่งมั่น
“ถ้าส่งคนอื่นไปได้ ผมอาสาไปช่วยชิโลเอง”
พรรณรายยิ้มให้สการ
“เรารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องอาสาไป แต่การไปตามหาชิโลในป่าหิมพานต์ไม่ ใช่เรื่องง่าย ป่าหิมพานต์กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยอันตราย”
“ถึงจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นผมก็พร้อมยอมตาย และต่อให้ชิโลอยู่ในที่ลึกลับที่สุดผมก็ จะใช้หัวใจตามหาชิโลให้พบ”
สิริสุดาถึงกับน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง นารีเป็นห่วงลูกชายเข้ามาจับมือ สการกราบที่อกแม่
“ผมขอโทษครับแม่...ถ้าผมจะไม่ได้กลับมาทำหน้าที่ของลูกให้แม่ได้อีก แต่ผมเชื่อว่าบุญกุศลที่ทำไว้จะทำให้เราได้กลับมาเป็นแม่ลูกกันอีกในภพชาติต่อไป”
นารีกอดสการร้องไห้เสียใจ
“ไปเถอะลูก...การเสียสละของลูกจะเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ แม่ภูมิใจลูกนะ”
สองแม่ลูกอดกันน้ำตานองหน้า อุ้มสมเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้
“ขนาดมนุษย์อย่างเจ้ายังยอมเสียสละเพื่อนางฟ้าขนาดนี้ แล้วเทพบุตรอย่างเราจะอยู่เฉยได้ยังไง คุณป้าไม่ต้องห่วง เราจะไปกับผู้กองเอง เราจะคอยปกป้องดูแล รับรองว่าผู้กองจะต้องปลอดภัยกลับมา”
ดรัณมองอุ้มสม
“เทวดาที่แปลงกายเป็นได้แค่นกแก้วอย่างท่านจะช่วยสการได้จริงเหรอครับ กลัวจะไปเป็นภาระไอ้แซมมากกว่า”
อุ้มสมหันขวับ
“เดี๋ยวก็จิกปากฉีกเลย ป่าหิมพานต์ไม่ใช่ป่าเขาใหญ่อย่างที่พวกเจ้าคิดนะ ถ้าผู้กองไม่ได้คนที่เคยเข้าป่านั้นมาแล้วไปด้วยล่ะก็ รับรองได้ตายก่อนเจอชิโลแน่”
พรรณรายถอนใจ
“เอาล่ะ...ถ้าพวกเจ้ายืนยันว่าพร้อมจะไปช่วยชิโลแล้วก็จงตามเรามา”
ชิโลถูกอสุเรศพยายามใช้กำลังปลุกปล้ำ สองสมุนอสูรลุ้นเชียร์ตัวโก่งอยู่ใกล้ๆ ส่งเสียงจนอสุเรศรำคาญ
“เฮ้ย!...ข้ากำลังจะปล้ำนางฟ้าไม่ได้ขึ้นเวทีมวยเว้ย”
จิตราสูรแนะ
“ก็ชกใต้เข็มขัดเหมือนกันนะขอรับนายท่าน”
อสุเรศหันมาด่า
“ทะลึ่งเกินไปแล้ว...ออกไปให้หมด หนวกหูข้าแบบนี้ หมดอารมณ์เว้ย ไป”
สองสมุนรีบพากันออกไป ชิโลหันมาตัวสั่นกลัว อสุเรศยิ้มร้ายเข้าใกล้
สการกับอุ้มสมก้าวออกมายืนข้างหน้าที่พรรณรายยืนรอ แต่ท่าทางของอุ้มสมดูตื่นเต้นตุ้มๆต่อมๆ ดรัณแซว
“พอจะไปจริงๆขาสั่นพั่บๆเลย ไหนบอกว่าไม่กลัวไงครับท่าน”
อุ้มสมค้อน
“เจ้าไม่รู้จักอันตรายในป่าหิมพานต์ดีก็อย่ามาพูด ไหนจะสัตว์ร้ายไหนจะพวกอสุเรศอีก ถ้าเรายังเป็นเทวดาอยู่ เราไม่มีทางกลัวแน่” อุ้มสมหันไปที่พรรณราย “พี่พรรณรายครับ ก่อนที่จะส่งเราไป น่าจะมีของดีให้พกเอาไว้ติดตัว เวลาเจออสุเรศจะได้ใช้จัดการกับมันได้”
“เรื่องนั้นเราเตรียมไว้แล้ว อสูรร้ายอย่างอสุเรศควรจะต้องได้รับการสั่งสอน”
พรรณรายยื่นมือออกมาพลันเชือกสีเขียวเส้นเล็กๆที่ขดเป็นวงเหมือนงูที่กำลังขดตัว ส่วนหัวของเชือกมีหงอน สีแดงสดและมี จุดเล็กสีดำคล้ายดวงตา ดูไปคล้ายพญานาค ก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ สิริสุดาอึ้งๆ
“เชือก...เชือกแค่เส้นนิดเดียวเนี่ยนะเหรอจะใช้จัดการกับอสูรได้”
“นี่ไม่ใช่เชือกธรรมดา แต่คือสตถมุขนาค นาคบริวารของพระนางสุชาดาที่สามารถใช้เล่นงานอสุเรศได้
“แล้วพระนางสุชาดาเป็นใครเหรอคะ”
นารีอธิบาย
“พระนางสุชาดาเป็นธิดาของหนึ่งในสี่จอมอสูรแห่งพิภพอสูร และเป็นมเหสีห์ของ พระอินทร์ พระนางสุชาดาจึงรู้จักพวกอสูรดี”
พรรณรายเสริม
“พระนางสุชาดารู้เรื่องที่อสุเรศตามตื้อรังควาญชิโล จึงต้องการสั่งสอนอสูรนอกแถว อย่างอสุเรศ”
พรรนรายยื่นให้สการ
“ความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของเจ้าจะควบคุมนาคนี้ได้”
สการรับมามั่นใจ
“ผมจะใช้นาคจัดการกับอสุเรศไม่ให้ทำเรื่องชั่วๆอีก”
อุ้มสมรีบแบมือขอมั่ง
“แล้วของผมล่ะครับพี่พรรณราย”
“ไม่มีหมดแล้ว”
อุ้มสมหน้าเหวอ
“อ้าว”
“เอาล่ะ พวกเจ้าควรจะต้องรีบไป เพราะเรามีเวลาอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นาน เราจะส่งพวกเจ้าไปที่ๆอสุเรศจับชิโลไว้ พวกเจ้าเคยได้รับพรของชิโลแล้ว จึงปลอดภัยจากพลังชั่วร้ายของอสูร แต่ถึงมันจะฆ่าเจ้าไม่ได้ก็อย่าประมาทเด็ดขาด”
พรรณรายจับมือสการกับอุ้มสมพาเดินไปที่ริมดาดฟ้าแล้วชูมือขึ้นหมุนวน 3 ครั้ง
พลันเกิดแสงสว่างไปทั่ว ก่อนที่สการกับอุ้มสมจะหายตัววับ ท่ามกลางใจเต้นตึกตักของคนที่เหลือ
ที่หน้าถ้ำสองสมุนอสูรต้องออกมารอข้างนอกอย่างเซ็งๆ จิตราสูรบ่นอุบ
“เสียดายว่ะ...นางฟ้าจะเสียท่าอสูรทั้งที ปั๊ดโธ่! พวกเทวดาแพ้สงครามอสูรเมื่อไหร่ ข้าจะบุกขึ้นไปบนสวรรค์แล้วจับนางฟ้ามาทำเมียมั่ง”
“เตี้ยเป็นอึ่งอ่างอย่างเจ้า นางฟ้าคงนึกว่าตอ...ฮ่าๆๆ”
“เฮ้ย...มาพนันกันมั้ยว่าระหว่างเจ้ากับข้า ใครจะสอยนางฟ้ามาทำเมียได้มากกว่ากัน”
อัคราสูรยังไม่ทันจะตอบก็ได้กลิ่นบางอย่างมาเตะจมูก
“เดี๋ยว...เจ้าได้กลิ่นอะไรมั้ย”
“กลิ่นอะไร แถวนี้ไกลจากป่านารีผลเป็นโยชน์”
“ไม่ใช่กลิ่นหอมนารีผล แต่เป็นกลิ่นมนุษย์”
“มนุษย์ที่ไหนจะมาโผล่มาที่ป่าหิมพานต์ได้ไอ้อสูรหัวลูกโป่ง”
ทันใดนั้นเสียงอุ้มสมก็ดังขึ้น
“มนุษย์อย่างพวกเราไงไอ้อสูรหน้าโง่”
สองสมุนอสูรหันขวับตามเสียง เห็นสการกับอุ้มสมเดินเข้ามาอย่างเท่ห์ จิตราสูรตะลึง
“เฮ้ย...นี่พวกเจ้ามาที่นี่ได้ไง”
อุ้มสมยิ้มเย้ย
“สวรรค์มีตาไม่ปล่อยให้อสูรทำชั่วฝ่ายเดียวหรอก”
สการถามเสียงเข้ม
“ชิโลอยู่ไหน”
จิตราสูรยิ้มหยัน
“หึ...พวกเจ้ามาช้าไปแล้ว นายท่านของข้ากำลังชวนนางฟ้าของพวกเจ้าเหาะไปวิมานฉิมพลีมีความสุขด้วยกันแล้ว”
พวกอสูรหัวเราะเยาะทับถม สการขบกรามกำหมัดเจ็บใจปรี่เข้าไป อัคราสูรรีบก้าวออกมาขวาง
“คิดว่าโผล่มาได้แล้วจะช่วยนางได้งั้นเหรอ คิดผิดแล้ว พวกเจ้าถ่อมาถึงที่นี่เพื่อมาเป็นอาหารให้พวกข้ามากกว่า”
อัคราสูรแยกเขี้ยวโง้งน่ากลัวแล้วจะเข้าไปเล่นงานสการแต่กลับถูกสการฉากหลบแล้วสวนกลับด้วยหมัดตามด้วยศอกอีกทีกระแทกจนหน้าหงาย จิตราสูรอึ้งงง
“เป็นไปไม่ได้ มนุษย์อย่างเจ้ารับมืออสูรได้ยังไง”
“เพราะพรของชิโลที่เคยปกป้องพวกเราไง ถึงเวลาอุ้มสมเอาคืนบ้างแล้ว...ย๊ากๆๆๆ”
อุ้มสมทำท่าบรู๊ซ ลี กวักมือท้าทาย จิตราสูรโกรธจัดเลยเข้าไปแลกหมัดกับอุ้มสมนัวเนียมั่วไปหมด สการแลกหมัดกับอัคราสูร มีการงัดกำลังกัน แต่อัคราสูรแรงมากกว่าเล่นงานจนสการเกือบเพลี่ยงพล้ำ สการกำทรายที่พื้นซัดเข้าหน้าจนอัคราสูรแสบตา
สการเห็นอุ้มสมโดนจิตราสูรเล่นงานเหมือนกันเลยรีบไปช่วยซ้ำจิตราสูร แล้วพยุงอุ้มสมที่โดนไปไม่น้อยออกมา อัคราสูรกับจิตราสูรแยกเขี้ยวโกรธเกรี้ยวเอาเรื่อง แม้ว่าสการกับอุ้มสมจะพยายามสู้แต่ก็ยังสู้อสูรไม่ได้
“อย่าเสียเวลากับพวกมันเลยผู้กอง”
สการพยักหน้ารับแล้วโยนเชือกสตถมุขนาคออกไปกลางลานหน้าถ้ำ แสงสว่างวาบไปทั่วจากเชือกสีเขียวเส้นเล็กๆก็กลายเป็นนาคตัวใหญ่ ชูคอขึ้นมาอย่างน่าเกรงขาม นาคจ้องเขม็งไปที่อสูรทั้งสองดวงตาแดงก่ำ จิตราสูรกับอัคราสูรถึงกับอึ้งตะลึง จิตราสูรกลืนน้ำลายกระเดือกลงคอดังเอื๊อก
“สะ...สะ...สะ..ตะ...ถะ มุขนาค”
จิตราสูรรีบถอยวิ่งหนีกลับเข้าไปในถ้ำเอาตัวรอดไปก่อนแล้วปล่อยให้อัคราสูรยืนจ้องตากับนาคอย่างน่ากลัว
ชิโลถูกอสุเรศพยายามปลุกปล้ำขืนใจ ชิโลขืนเต็มแรงทั้งผลักทั้งตบ แต่อสุเรศก็ไม่สะดุ้งสะเทือน ชิโลถอยจนติดผนังถ้ำ อสุเรศจะเข้าไปจัดการ แต่ระหว่างนั้นจิตราสูรวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาขัดจังหวะ
“นายท่าน...นายท่าน แย่แล้ว”
อสุเรศหงุดหงิด
“เข้ามาทำไม ข้าสั่งไม่ให้มารบกวนข้าไง”
“แต่เราต้องหนีกันแล้วขอรับ ไอ้ผู้กองสการกับไอ้นกแก้วปากมากนั่นมาที่นี่แล้ว”
“ไอ้มนุษย์พวกนั้นมาถึงหิมพานต์ได้ยังไง”
“ไม่รู้ขอรับ แต่มันไม่ได้มามือเปล่า มันพาสตถมุขนาคมาลากพวกเรากลับพิภพอสูรด้วย”
อสุเรศตกใจ
“เป็นไปไม่ได้!”
ชิโลยิ้มหยัน
“เราบอกแล้วไง สการไม่ใช่มนุษย์ที่เจ้าควรจะประมาท หัวใจของเขากล้าหาญมากกว่าอสูรอย่างเจ้าเยอะอสุเรศ!”
อสุเรศหันขวับมองชิโลอย่างเจ็บใจเข้าไปกระชากตัวเข้ามาใกล้
“ข้าไม่เชื่อว่าความรักของมนุษย์กับนางฟ้าจะเป็นไปได้ ในเมื่ออสูรอย่างข้าไม่ได้นางฟ้ามาครอบครอง มนุษย์อย่างมันก็อย่าหวัง”
อสุเรศเกรี้ยวกราดตาแดงก่ำ ชี้นิ้วแตะที่กลางหน้าผากของชิโล พลันเกิดแสงสว่างแล้วชิโลก็สลบหมดสติ
อัคราสูรโซซัดโซเซ ร่างกายปวดแสบปวดร้อน จนสีแดงก่ำไปทั้งตัว เพราะโดนพิษของสตถมุขนาค อสุเรศกับจิตราสูรเข้ามาช่วยประครองเอาไว้ก่อนที่จะล้มหมดสติ
“นาย...นายท่าน ข้าโดนพิษของนาค ร้อนเหลือเกิน ทรมาน....อ๊าก”
อัคราสูรดิ้นทุรนทุรายควันขึ้นเต็มตัว ระหว่างนั้นสการกับอุ้มสมตามเข้ามาเผชิญหน้ากับอสุเรศ
“เจ้าพวกมนุษย์ !”
สการชูเชือกนาคขึ้นมาขู่
“อสุเรศ ปล่อยชิโลมาเดี๋ยวนี้”
อสุเรศจ้องสการอย่างโกรธเกรี้ยว แยกเขี้ยวโง้งตาแดงก่ำ ขู่ใส่ อุ้มสมตะคอกใส่
“ไม่ต้องทำขู่เป็นหมาบ้าหรอก จะยอมให้นาคลากคอกลับพิภพอสูรดีๆหรือจะตายทรมานเพราะพิษนาคอยู่ในป่าหิมพานต์”
“อสูรอย่างข้าไม่มีวันยอมแพ้ให้มนุษย์อย่างเจ้า ถ้าข้าไม่ได้นาง เจ้าก็อย่างหวังว่าจะได้นางไปเหมือนกัน”
“พูดมากน่ารำคาญ ให้มันตายเพราะพิษของนาคเลยผู้กอง”
สการไม่ทันจะใช้นาคจัดการ อสุเรศพร้อมกับพรรคพวกก็ใช้มนต์หนีหายตัวไปหมดทันที
“กลัวจนหางจุกตูดหนีเตลิดไม่เหลือศักดิ์ศรีอสูรเลย ตามไปจัดการมันต่อเถอะผู้กอง”
“ปล่อยพวกมันไปก่อนเถอะ รีบไปดูชิโลก่อนดีกว่า”
อุ้มสมพยักหน้ารับแล้วพากันเดินเข้าไปในถ้ำพร้อมกับสการ
ด้านในถ้ำชิโลนอนหมดสติอยู่ที่เตียงหิน สการเข้ามาพบและพยายามเรียกสติ
“ชิโล...ชิโล...ชิโล”
“ผู้กอง...”
ชิโลโผกอดสการทันทีที่ได้สติ ทั้งคู่กอดกันแนบแน่นน้ำตาคลอด้วยความดีใจ อุ้มสมเห็นแล้วอดน้ำตาซึมไม่ได้
“คุณกับอุ้มสมมาถึงที่นี่ได้ยังไง”
“พี่พรรณรายได้ยินคำสวดมนต์อ้อนวอนของคุณป้านารีก็เลยช่วยส่งเรากับผู้กองให้มาช่วยเจ้า”
“แล้วอสุเรศล่ะ”
“มันเจอสตถมุขนาคของพระนางสุชาดาเข้าไป เลยหนีเตลิดไปแล้ว แต่เจ้าไม่ต้องไปสนใจพวกมันหรอก เพราะเรามีข่าวดีมาบอกเจ้าด้วย แต่ให้ผู้กองเป็นคนบอกดีกว่า”
“ตอนนี้ดรัณกับคุณสิกลับมาคืนดีกันแล้ว เส้นพรหมลิขิตเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว ภารกิจของเธอสำเร็จแล้วนะชิโล เธอจะได้สภาวะนางฟ้าคืนและเธอก็จะได้กลับสวรรค์”
อุ้มสมกระแอม
“แล้วอีกเรื่องล่ะผู้กอง แหมทำเป็นไม่กล้าพูด งั้นเราบอกเองก็ได้ พี่สาวของคุณป้าที่ตายไปแล้วจุติเป็นนางฟ้าก็คือพี่พรรณรายไม่ใช่เจ้า”
ชิโลแปลกใจไม่คาดคิดมาก่อน สการยิ้มให้แล้วกุมมือชิโลอย่างดีใจ
“อุปสรรคความรักของพวกเจ้าผ่านพ้นไปแล้ว ต่อไปนี้ทุกอย่างก็จะมีแต่ความสุข อย่างที่มนุษย์เรียกว่าแฮบปี้เอนดิ้ง”
อุ้มสมหัวเราะชอบใจคิกคัก แต่ระหว่างนั้นเองที่อยู่ๆร่างกายของชิโลก็ร้อนผ่าว เจ็บปวดทรมานจากภายใน
“ชิโล!...เธอเป็นอะไร”
“ผู้กอง...ช่วย...ช่วยด้วย”
ชิโลล้มสการรีบประครองแล้วต้องตกใจเมื่อพบว่าเส้นเลือดที่แขนของชิโลปูดขึ้นมาเป็นสีดำ
“โอ๊ย...” ชิโลทรมาน “เจ็บเหลือเกิน...ช่วย...ช่วยฉันด้วยผู้กอง”
ชิโลร้องครวญครางก่อนจะหมดสติ
“ชิโล!”
อัคราสูรบาดเจ็บเพราะพิษร้ายของนาคแต่ได้น้ำจากสระอโนดาตที่อสุเรศเอามาช่วยให้ดื่มจนดีขึ้น จิตราสูรบอกเพื่อนอย่างห่วงใย
“น้ำจากสระอโนดาตที่นายท่านให้ข้าเอามาให้เจ้าดื่ม จะช่วยทำให้พิษร้ายของนาคบรรเทาลง เจ้าพักอีกสักหน่อยก็จะดีขึ้น”
“ขอบคุณขอรับนายท่าน กระผมไม่น่าพลาดท่าให้พวกมัน นายท่านเลยต้องเสียนางให้กับพวกมัน”
“เจ้าคิดเหรอว่านายท่านจะยอมเสียนางให้กับพวกมนุษย์ต่ำต้อบพวกนั้นไปง่ายๆ”
จิตราสูรกระหยิ่มยิ้ม อัคราสูรแปลกใจมองอสุเรศอย่างสงสัย อสุเรศยิ้มมีเลศนัย
“ก่อนที่ข้าจะหนีออกมา ชิโลได้ต้องคำสาปของข้าไปแล้ว ด้วยนิลพิษที่ข้าสาปนาง จะทำให้มีชีวิตอยู่ได้แค่ 3 ราตรี”
จิตราสูรนึกได้
“และทางเดียวที่จะทำให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ก็มีแต่นายท่านเท่านั้นที่จะถอนคำสาปเอานิลพิษออกจากนางได้”
อสุเรศยิ้มร้าย
“เท่านี้ข้าก็ไม่ต้องทำอะไรแค่นั่งรอ เดี๋ยวมันก็ต้องพาชิโลกลับมาหาข้าเอง ฮ่าๆ”
ชิโลนอนหมดสติ สการพยายามเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ฟื้น สการรีบฟังเสียงหัวใจพบยังเต้นอยู่
“หัวใจยังเต้นอยู่...เกิดอะไรขึ้น...อุ้มสม...รู้รึเปล่าว่าชิโลเป็นอะไร”
อุ้มสมหน้าเครียดมาก
“รู้...อีกเดี๋ยวชิโลก็จะตื่นขึ้นมา แต่ตื่นมาได้แค่ 3 คืนจากนั้นจะไม่ได้ตื่นอีกเลย”
สการตกใจ
“หมายความว่ายังไง”
“ก็เพราะนิลพิษ พิษร้ายของไอ้อสุเรศน่ะสิ” อุ้มสมน้ำตาเอ่อ “มันสาปให้ชิโลโดนพิษของมัน ถ้าไม่พาชิโลไปให้มันถอนคำสาป ชิโลก็คงต้องตาย”
สการโกรธมาก
“ไอ้อสุเรศ! ดูชิโลไว้ ฉันจะไปตามล่ามันให้มันมาถอนคำสาปให้ชิโล”
สการหุนหันออกไป อุ้มสมหน้าเสียมองชิโลที่กำลังได้สติขึ้นมา
โปรดติดตาม "มณีแดนสรวง" ตอนอสาน