xs
xsm
sm
md
lg

ท่านชายในสายหมอก ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ท่านชายในสายหมอก ตอนที่ 5 

บรรยากาศงานฝังลูกนิมิตเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย พัชรีเดินเบียดผู้คนมาด้านหน้า เธอรู้สึกว่าอากาศร้อนแล้วก็เหนื่อย
"นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าชาย ชั้นไม่มีทางมางานนี้หรอก"
พัชรีเบียดมาถึงด้านหน้าแล้วส่องกล้องไปเห็นชรินทร์ ติ๊งโหน่ง ฉาดประภา และอำนาจกำลังเดินเข้ามาในงาน พัชรีหน้าตาตื่น รีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปทันที

ชรินทร์ ติ๊งโหน่ง และฉาดประภากำลังจะเริ่มทำพิธี พัชรีเดินไปถ่ายรูปไปโดยไม่ได้มองจึงชนหลังอำนาจเข้าอย่างจัง
"โอ๊ย!”
อำนาจหันมามองด้วยใบหน้าโหด เขามองหน้าพัชรีจนเธอผงะ
"อุ๊ย ขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ"
พัชรีรีบเดินออกไป อำนาจมองแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร

ชรินทร์ ฉาดประภา และติ๊งโหน่งกำลังไหว้พระ โดยมีอำนาจยืนคุม พอใครจะเข้าใกล้ชรินทร์ อำนาจก็จะจับตัวเอาไว้
"เดินไปอีกทาง" อำนาจสั่ง
ชายคนนั้นตกใจรีบเดินออกไปอีกทาง
ชรินทร์ ฉาดประภา และติ๊งโหน่งลุกขึ้นยืน ทั้งหมดเดินมาที่กล่องรับบริจาค ชรินทร์หยิบแบงค์พันปึกหนึ่งออกมา คนแถวนั้นตาลุกวาว ชรินทร์ยืดๆ ขึ้นมาทันที
พัชรีย่องเข้ามาสอดแนมที่ด้านหลัง เธอหันไปมองติ๊งโหน่งแล้วก็เห็นว่าอยู่กับฉาดประภาตลอดเวลา
"ชั้นจะเข้าถึงตัวยัยช้างน้ำยังไงดีเนี่ย? เฮ้อ"
ชรินทร์ค่อยๆเอาแบงค์พันใส่ลงในกล่องรับบริจาค คนแถวนั้นเฮลั่นเป็นจังหวะ ติ๊งโหน่งกับฉาดประภาปรบมือด้วยความภูมิใจ
"สามีเดี๊ยนเองฮ่ะ"
"พ่อติ๊งเองค่า"
พัชรีมองครอบครัวนี้แล้วก็ส่ายหน้าเอือมๆ
"ประหลาดทั้งครอบครัว"

ชรินทร์กำลังคุยอย่างออกรสกับเจ้าอาวาส โดยมีฉาดประภา ติ๊งโหน่ง และอำนาจยืนอยู่ใกล้ๆ
"หลวงพ่อขา ชาติหน้าติ๊งอยากสวยเหมือนชาตินี้ ไม่ทราบว่าติ๊งต้องทำบุญด้วยอะไรคะ" ติ๊งโหน่งถาม
"ก็ทำบุญด้วยของหอมๆ ของสวยๆ สิโยม ชาติหน้าจะได้เกิดมาหน้าสวย ตัวหอม" หลวงพ่อตอบ
"ว๊าย! หลวงพ่ออ่ะ ชมกันได้ ติ๊งเขิน"
หลวงพ่อเหวอ ฉาดประภารีบกระซิบลูกสาวที่กำลังเสียจริต
"ลูกติ๊ง หลวงพ่อท่านไม่ได้ชม ท่านแค่พูดเป็นประโยคบอกเล่า"
"อ้าว??" ติ๊งโหน่งเซ็ง
ระหว่างนั้น เด็กที่มางานเห็นติ๊งโหน่งยืนอยู่ก็ทำท่าตื่นเต้นแล้วหันไปบอกพ่อกับแม่
"พ่อแม่ ในวัดมีตัวประหลาดด้วย"
พ่อกับแม่ของเด็กหันมามองติ๊งโหน่ง ติ๊งโหน่งยังไม่รู้ตัว
"ไหนอ่ะตัวประหลาดอยู่ไหน" ติ๊งโหน่งมองหา
เด็กชี้ไปที่ติ๊งโหน่ง พ่อกับแม่หน้าเสีย ติ๊งโหน่งกำมือแน่นแล้วก้โกรธจนควันออกหู
"เด็กบ้า เดี๋ยวจับกินตับเลย"
พ่อกับแม่กลัวมากจึงรีบพาลูกหนีไป ติ๊งโหน่งขู่ไล่หลัง
"จะไปไหน แน่จริงมาตัวต่อตัวดิ แฮ่ แฮ่"
ชรินทร์กับฉาดประภาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบไหว้หลวงพ่อ
"ขอตัวนะครับ ลูกผมอาการกำเริบ" ชรินทร์รีบมาหาติ๊งโหน่ง "ลูกติ๊ง ใจเย็น ยุบหนอพองหนอ"
ติ๊งโหน่งหันขวับ "คุณพ่อว่าเค้าตัวพองเหรอ ตัวพองก็เป็นเหมือนคางคกสิ คุณพ่อว่าติ๊งเป็นคางคกหรอ เค้าไม่ยอม" ติ๊งโหน่งลงไปนั่งดีดดิ้นที่พื้น "ไม่ยอม ไม่ยอม"
ติ๊งโหน่งลงไปดิ้นกับพื้นและไปชนคนนั้นคนนี้จนวุ่นวายไปหมด ชรินทร์ต้องเข้ามาจับตัว
"พ่อไม่ได้บอกว่าลูกตัวพองเป็นคางคก ลูกติ๊งของพ่อน่ะน่ารักจะตายอยู่แล้ว" ติ๊งโหน่งยิ้มชอบใจ "แต่ว่าที่นี่เป็นวัด พ่อไม่อยากให้ลูกเหวี่ยง เดี๋ยวชาติหน้าเกิดมาไม่สวยน้า"
ติ๊งโหน่งจับหน้าตัวเอง "จริงด้วย งั้นติ๊งขอไปเติมหน้าก่อนนะคะ"
ติ๊งโหน่งเดินออกไป อำนาจบ่นพึมพำ
"เติมทั้งตัวก็ได้"
พัชรีเบียดเสียดผู้คนเข้ามาใกล้กับกลุ่มของชรินทร์ เธอมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยแต่ในใจก็ยังสู้ พัชรีทั้งเบียดทั้งแทรกเข้าไปพอเห็นติ๊งโหน่งเดินไปอีกทางก็ยิ้ม
"โอกาสมาถึงแล้วเรา"
แต่พัชรีกลับถูกดันจนกระเด็นออกมาชนกับอำนาจ
"โอ้ย!”
อำนาจหันมามองหน้าพัชรีด้วยสีหน้าเข้ม พัชรีตกใจ
"อุ๊ย ขอโทษอีกทีค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆค่ะ"
พัชรีรีบเดินออกไป อำนาจหันไปยืนคุมเชิงให้ชรินทร์กับฉาดประภาต่อ

ติ๊งโหน่งกำลังนั่งเติมหน้าเติมปากแต่เติมเยอะเกินไป เธอวาดปากเลอะออกมาพลันมีกระดาษยื่นมาตรงหน้า ติ๊งโหน่งหันไปเห็นคนส่งกระดาษให้ก็จำได้
"คุณนักข่าว"
"ค่า พัชรีเอง"
"วันนั้นคุณนักข่าวหายไปไหน พอติ๊งออกมาจากห้อง คนใช้ที่บ้านบอกว่าคุณรีบร้อนออกไป"
"อ๋อ พอดีวันนั้นหมาที่บ้านไม่สบายก็เลยต้องรีบกลับไป วันนี้พัชก็เลยตามมาถ่ายรูปคุณติ๊งโหน่งกับครอบครัวไงคะ"
"แหม ตายแล้ว น่าจะโทรมาบอกก่อน ติ๊งไม่ได้แต่งหน้าเลย"
"อุ๊ยยยย นี่ขนาดไม่ได้แต่งนะคะ ขนตายังเด้งขนาดนี้" พัชรีมองที่นิ้วแต่ไม่เห็นแหวนก็แปลกใจ "เอ..มือคุณติ๊งวันนี้ดูโล่งๆนะคะ แบบว่าๆ แหวน สร้อยอะไรเงี้ย ไม่ได้ใส่มาเลยเหรอคะ"
"คุณแม่ท่านกลัวติ๊งจะถูกตัดมือน่ะค่ะ โจรสมัยนี้น่ากลัว คุณแม่ก็เลยให้ติ๊งถอดแหวนเพชรออกให้หมด"
"แหวนเพชรเหรอคะ? คุณติ๊งมีแต่แหวนเพชรอย่างเดียวเหรอคะ แหวนสีๆ แบบพวกมรกต ทับทิม ไม่มีเหรอคะ พัชว่าผิวขาวๆอย่างคุณติ๊ง น่าจะเหมาะกับอัญมณีสีๆ"
"ติ๊งไม่ชอบพวกอัญมณีค่ะ ติ๊งชอบเพชร ต้องคุณพ่อของติ๊งสิคะ ท่านชอบสะสมพวกอัญมณี ท่านมีแหวนมรกตอยู่วงหนึ่งด้วยค่ะ"
"เหรอคะ แหมบังเอิญจัง พัชกำลังอยากได้แหวนมรกตเอาไปให้คุณพ่ออยู่พอดี ไม่ทราบจะหาซื้อได้จากที่ไหน"
ติ๊งโหน่งยังไม่ทันได้ตอบ อำนาจก็เดินเข้ามาหา
"คุณหนูครับ คุณพ่อเรียกครับ"
"ติ๊งต้องไปแล้ว ไว้คุยกันต่อนะคะ ถ้าจะนัดสัมภาษณ์ก็โทรหาติ๊งได้เลย"
ติ๊งโหน่งเดินออกไป พัชรีทำหน้าเสียดาย เธอหันไปเห็นอำนาจยืนมองหน้า พัชรีรีบทำหน้านิ่งๆ แล้วเดินออกไปทันที อำนาจมองพัชรีอย่างไม่ไว้ใจก่อนจะตามติ๊งโหน่งออกไป

พัชรีทิ้งตัวนั่งลงด้วยความเซ็ง แล้วก็ทอดถอนใจอย่างหนัก
"เกือบจะได้เรื่องอยู่แล้วเชียว ไม่รู้ไอ้เก็กนั่นจะโผล่มาทำไม เฮ้อ"
ทันใดนั้น เสียงมือถือของเธอก็ดังขึ้น
พัชรีเห็นชื่อที่หน้าจอแล้วก็ตกใจ
"เจ้าชาย!!" พัชรีหน้าเสีย "ตายแล้ว จะทำยังไง ยังไม่รู้เลยว่าแหวนวงนั้นซื้อที่ไหน ซวยแล้วพัชรี ซวยแล้ว"
ปีเตอร์โทรตามไม่หยุดแต่พัชรีรีบปิดเครื่องไปก่อน
"เท่านี้ เจ้าชายก็โทรตามเราไม่ได้แล้ว ฮ่าๆๆ ฉลาดจริงๆ"
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะก็ดังขึ้น
พัชรีรับสายด้วยเสียงอ่อนหวาน "ฮัลโหล พัชรี พูดค่ะ" พอได้ยินเสียงปลายสาย เธอก็แทบตกเก้าอี้ "เจ้าชาย!! จะจะเจ้าชายทรงทราบเบอร์ออฟฟิศหม่อมชั้นได้ยังไง"
ปีเตอร์ส่งเสียงดังออกมา "คนอย่างชั้นรู้ทุกอย่าง อย่าลืมสิว่าชั้นเป็นใคร หาเจอเหรอยัง!”
พัชรีทำเสียงอ่อน "ยังค่ะ ใจเย็นๆสิคะ ร้านขายแหวนมีเป็นหมื่นร้านในประเทศไทย บางทีเค้าอาจจะซื้อแหวนวงนี้มาจากเมืองนอกก็ได้" พัชรีนิ่งฟัง "ให้หม่อมชั้นไปหาเจ้าชายเดี๋ยวนี้!!! แต่หม่อมชั้นยังทำงานไม่สำเร็" พัชรีตกใจจนลนลาน "ค่ะค่ะ ไปค่ะไป"
พัชรีวางสายด้วยสีหน้าเสีย

โซว์พลิกตัวลืมตาขึ้นมา เขาเห็นขิงนั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ โซว์มองเธอแล้วก็ยิ้ม ขิงตัวเอนไปมากำลังจะล้มลงไปบนพื้น โซว์รีบลุกเข้ามาประคองขิงให้อยู่ในอ้อมกอดพอดี ขิงรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาเห็นหน้าโซว์อยู่ในระยะใกล้ก็ตกใจ เธอรีบผละออกห่างด้วยความเขิน
"นายตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่" ขิงถาม
"เมื่อกี๊ น่าปลื้มใจจริงๆ ที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ" โซว์ยิ้มกรุ่มกริ่ม
"บ้า ชั้นไม่ได้เฝ้านายซักหน่อย ชั้นง่วงขึ้นมากะทันหันก็เลยกะจะงีบ รีบไปแปรงฟันได้แล้ว ปากเหม็น"
โซว์รีบหุบปาก ขิงเดินอายๆออกไป โซว์อมยิ้ม ยายขมแอบมองเหตุการณ์อยู่ถึงกับถอนหายใจด้วยความกลุ้ม

เวลาผ่านไป ยายขมตักน้ำแกงลงในชามแล้วเอามาวางบนถาดก่อนจะหันไปสั่งตุ๊ก
"เอ็งเอาไปให้ไอ้หนุ่มนั่นมันดื่มซะ"
"อ่ะแนแนแน๊ ต้มน้ำแกงให้เค้าดื่ม แสดงว่าแม่ใจอ่อนให้ไอ้โซ่มันแล้วใช่มั้ย" ตุ๊กแซว
"ข้าไม่ได้ใจอ่อน ข้าอยากให้มันแข็งแรงเร็วๆ มันจะได้ไปจากบ้านเราซักที"
ตุ๊กผงะ "แม่หมายความว่ายังไง"
ยายขมหันขวับ "ข้าว่าข้าไม่ได้พูดอะไรซับซ้อน ทำไมถึงไม่เข้าใจห๊ะ!!”
"ไอ้ที่ไม่เข้าใจคือแม่จะไล่มันออกจากบ้านทำไม"
ยายขมเดินไปนั่งริมหน้าต่าง "ข้ากังวลใจ ไม่อยากให้นังขิงกับไอ้หน้าวอกมันได้กันน่ะสิ"
ตุ๊กเดินตามมานั่งข้างๆ "แม่คิดมากไปป่าวจ๊ะ ฮ่าๆๆๆ" ตุ๊กแซว ยายขมหน้านิ่ง ตุ๊กถึงกับผงะ "แม่พูดจริงเหรอเนี่ย"
"เอ็งไม่เห็นแววตาที่สองคนมองกันเหรอ สมัยพ่อเอ็งจีบข้า พ่อเอ็งก็มองข้าด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ไอ้หน้าวอกมองนังขิง เผลอแป๊บเดียวก็มีแม่นังขิงกับเอ็งออกมา"
"ห๊ะ แม่กับพ่อนี่ไวไฟน่าดู เปิดปุ๊บติดปั๊บป่องปุ๊บ"
"ถ้าเอ็งยังไม่หยุดพูด เอ็งจะถูกข้าแพ่นกบาลปุ๊บ"
"อุ้ย แหมแม่ก้อ ถ้าหลานเราจะมีความรักขึ้นมาจริงๆ แม่จะไปห้ามมันทำไม?”
"ไอ้มีน่ะมีได้ แต่ไม่ใช่กับไอ้คนนี้ หัวนอนปลายเท้ามาจากไหนก็ไม่รู้ แค่เจอกันไม่กี่อาทิตย์ จะรู้ได้ยังไงว่าไอ้หน้าวอกมันดีหรือไม่ดี ข้ากลัวนังขิงจะถลำลึกจนถอนตัวไม่ขึ้น แล้วมันจะเจ็บ คนหล่อๆอย่างไอ้หน้าวอกจะมาจริงจังอะไรกับสาวบ้านนอกอย่างนังขิง"
"แม่พูดก็ถูก หลานสาวเราออกจะสวยเลือกได้ มีย่าเป็นถึงหม่อม มีน้าเป็นถึงเจ้าชาย แถมยังมีบ้านหลังใหญ่"
"ตุ๊ก เอ็งไม่ต้องประชดข้า" ยายขมว่า ตุ๊กยิ้มแหยๆ "ข้าต้องตัดไฟแต่ต้นลม"
ตุ๊กหยิบขวดน้ำมาให้ยายขม "อ่ะแม่"
"เอาน้ำมาให้ข้าทำไม ข้าไม่หิว"
"จะตัดไฟ มันก็ต้องใช้น้ำดับไงแม่"
"ตุ๊ก!!”
"ล้อเล่นน่าแม่" ตุ๊กนิ่วหน้า "ว่าแต่แม่จะทำอะไร"
ยายขมมองตุ๊กด้วยสีหน้าเครียด

โซว์กับขิงเดินมาเจอยายขมนั่งอยู่กับตุ๊ก
"ขิง ตุ๊ก เอ็งออกไปก่อน" ยายขมเอ่ย
ขิงถามด้วยความเป็นห่วงโซว์ "ยายจะคุยอะไรกับโซ่เหรอจ๊ะ"
ยายขมหันไปมอง ขิงไม่กล้าถามต่อจึงเดินออกไปกับตุ๊ก โซว์หันไปมองยายขมอย่างงงๆ ก่อนจะเดินมานั่ง ขิงแอบฟัง ตุ๊กสะกิดถามหลานสาว
"นังขิง เอ็งจะทำอะไร?”
"ชั้นจะอยู่ตรงนี้ เผื่อยายทำอะไรโซ่ เราจะได้เข้าไปช่วยกันทัน" ขิงบอก
"อย่าเลย ถ้ายายเอ็งเห็นขึ้นมา ตายนะ"
"ชั้นไม่กลัว"
ตุ๊กอึ้ง ขิงหันไปแอบดูโซว์กับยายขม
โซว์กับยายขมคุยกันด้วยสีหน้าเครียด
"ข้าเห็นความตั้งใจ และความพยายามของเอ็งแล้ว" ยายขมบอก
โซว์ยิ้ม
ขิงที่แอบดูอยู่ก็ยิ้มออกมา
"สงสัยยายจะโอเคกับโซ่แล้วแน่ๆเลยน้าตุ๊ก"
ตุ๊กเงียบและรู้สึกเครียด
"ข้าขอบใจที่เอ็งมีความมุ่งมั่น" ยายขมพูดต่อ "เอาจริงในการเล่นลิเก แต่ของบางอย่างมันต้องใช้เวลา ไม่ใช่ฝึกไม่กี่วันก็จะทำได้" โซว์นิ่งฟัง "เพราะฉะนั้นเลิกเถอะ"
โซว์ตกใจ ขิงเองก็แทบช็อค ตุ๊กนิ่งเพราะรู้อยู่แล้ว
"ทำไมล่ะครับยาย ผมสัญญาว่าผมจะตั้งใจและฝึกฝนให้มากกว่านี้" โซว์บอก
"ไม่ว่าเอ็งจะฝึกหนักแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์ ข้ามาคิดๆดูแล้ว ข้าว่าที่เอ็งทำไปเสียเวลาเปล่า" ยายขมบอก โซว์อึ้ง "ข้าไม่อยากเจ็บอีกครั้ง เอ็งไม่รู้หรอกว่ากว่าข้าจะผ่านความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในวันที่คณะลิเกขาดซึ่งผู้นำ ความเจริญถดถอย ไม่มีคนดู มีแต่เสียงด่าทอ มันเป็นยังไง ข้าไม่อยากเห็นอดีตซ้ำรอยอีกแล้ว"
โซว์ได้ยินก็พูดไม่ออก ขิงเดินออกไป ตุ๊กยืนมองตาโตแล้วถามขึ้น
"ขิง แกจะไปไหน?”
ขิงเดินเข้าไปหายายขม ยายขมชะงัก
"ยายเห็นแก่ตัว" ขิงต่อว่า ยายขมนิ่ง ตุ๊กกับโซว์ตกใจ "ทำไมยายถึงเห็นแก่ตัวแบบนี้ โรงลิเกเป็นความต้องการของยายคนเดียวเมื่อไหร่ ชั้นเองก็อยากเห็นโรงลิเกฟื้นคืนมาอีกครั้ง แล้วทำไมยายถึงไม่ให้โอกาสโซ่เค้าบ้าง"
"เอ็งไม่รู้อะไร ไม่ต้องพูด พาเพื่อนเอ็งกลับไปได้แล้ว ข้าไม่อยากเห็นหน้ามันอีก อยู่ไปก็เสียเวลา"
ยายขมเดินออกไป ขิง ตุ๊ก และโซว์ถึงกับอึ้ง

โซว์นั่งมองเงาตัวเองที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำแล้วก็เศร้า ขิงเดินมานั่งข้างๆ
โซว์หันมาพูดกับเธอ "ยายเธอคงเกลียดชั้นมาก ขอบใจนะขิงที่สอนอะไรหลายๆอย่างให้กับชั้น ความจริงชั้นชอบที่นี่มาก ไม่ว่าจะเป็นผู้คน ธรรมชาติ แต่ที่นี่คงไม่เหมาะกับชั้น"
ขิงจับแขนโซว์ "ชั้นไม่ยอมให้นายไป ชั้นไม่ยอมให้นายกลับไปเพื่อโดนไอ้พวกนั้นมันฆ่าเด็ดขาด"
"ชั้นไม่ตายง่ายๆหรอก ไม่ต้องห่วง ถ้าชั้นกลับถึงบ้านเมื่อไหร่ ชั้นจะโทรหานะ" โซว์จับมือขิง "จำไว้นะขิงว่าเธอเป็นเพื่อนแท้ เพื่อนรัก เพียงคนเดียวของชั้น"
ขิงจับมือโซว์ตอบ ทั้งคู่มองตากัน ขิงมองโซว์ด้วยสายตาห่วงใยสุดๆ
"ชั้นจะไปเก็บของ" โซว์บอก
โซว์ปล่อยมือขิงแล้วจะเดินไป แต่ขิงจับมือโซว์ไว้ไม่ให้ไป โซว์หันมาเจอขิงพูดดด้วยสายตามุ่งมั่น
"นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ชั้นจะคุยกับยายเอง"
โซว์มองขิงด้วยความสงสัย

ยายขมนั่งยองๆ เด็ดผักสวนครัวอยู่ จู่ๆ เธอก็เกิดปวดหลังขึ้นมา ยายขมพยายามจะลุกแต่ก็ลุกไม่ขึ้น ขิงรีบเข้ามาประคอง ยายขมหันไปมอง
"ไม่ดูอายุเลยนะยาย เจ็ดสิบแล้วนะไม่ใช่สิบเจ็ด จะได้มานั่งยองๆเด็ดผักเด็ดหญ้า" ขิงว่า
"ก็หลานมันไม่รัก มันบอกว่าข้าเห็นแก่ตัว อะไรทำเองได้ ข้าก็ต้องทำเอง"
ขิงพายายมานั่งตรงแคร่ใต้ต้นไม้ "ยายจ๋า" ขิงก้มกราบที่ตัก "ขิงขอโทษ ปากมันพาไป" ขิงตบปากตัวเอง "นี่แน่นี่แน่ ปากเสียเลยต้องลงโทษ ยายอย่าโกรธขิงเลยนะ ขิงพูดไปเพราะอารมณ์" แล้วขิงก็โผเข้ากอด "ขิงรักยายนะจ๊ะ รักยายคนเดียว"
"ไม่ต้องมาอ้อน ข้าไม่มีวันเปลี่ยนใจยอมให้ไอ้หน้าวอกมันอยู่ที่นี่ต่อหรอก เอ็งรีบไปส่งมันได้แล้ว"
ขิงแกล้งทำเป็นกลุ้มใจ "สงสัยถึงเวลาที่ชั้นต้องเล่าความจริงให้ยายฟังแล้ว"
"ความจริงอะไรของเอ็ง หรือว่า" ยายขมตบเข่าดังฉาด "ข้าว่าแล้ว ไอ้หน้าวอกมันเป็นผัวเอ็งจริงๆใช่มั้ย?”
"ไอ้หน้าวอกของยายไม่ใช่ผัว แต่เป็นลูกหนี้ชั้น" ขิงบอก
ยายขมตกใจ "ห๊ะ!!! ลูกหนี้!!”
"ใช่" ขิงทำหน้าเศร้า "แต่ที่ชั้นไม่อยากเล่าให้ยายฟังเพราะกลัวยายจะฆ่ามันตายซะก่อนมันจะใช้หนี้ชั้นหมด ชั้นถึงต้องคอยจับตาดูมันทุกฝีก้าว ไม่กล้าใช้งานมันหนัก เพราะถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมาเงินจะสูญ"
"โธ่เอ๊ย นังขิง แล้วก็ไม่เล่าให้ข้าฟังตั้งแต่แรก ปล่อยให้ข้าคิดว่าเอ็งชอบมัน"
ขิงแทบสะอึก "ตายแล้ว ยายคิดอะไรอ่ะ ขิงไม่มีทางชอบไอ้หน้าวอกของยายหรอก สเป็คขิงต้องคนไทย ยายไม่เสียดุลการค้าให้ใครแน่"
"เออดี อย่าไปเห่อไอ้พวกเกาหลีมากนัก เงินไทยออกนอกประเทศไปหลายบาทแล้ว ว่าแต่มันเป็นหนี้เอ็งเท่าไหร่"
ขิงชูห้านิ้ว
"ห้าร้อย" ยายขมทาย ขิงส่ายหัว "ห้าพัน" ขิงส่ายหัวอีก
“50000” ขิงบอก
"อ๋อ ห้าหมื่น" ยายขิงตกใจ "ห้าหมื่น!!" ยายขิงตกใจจนแทบตกเก้าอี้ "พระเจ้าช่วย แล้วเอ็งมีเงินมากมายขนาดนี้ให้มันยืมตั้งแต่เมื่อไหร่"
"ชั้นไม่มีหรอกยาย ชั้นทำงานให้เค้า เค้าให้ค่าจ้างเป็นเงินยูโร พอคิดเป็นเงินไทยมันก็เลยเยอะ แต่ไอ้โซ่ไม่ยอมจ่ายเงินชั้นซักที ชั้นก็เลยต้องพามาที่นี่ด้วย"
ยายขมหรี่ตามอง "แน่ใจนะว่าเอ็งทำงานให้มันอย่างเดียว ไม่ได้มีอย่างอื่นด้วย"
"อย่างอื่น? อะไรเหรอยาย"
"มันให้เงินเอ็งตั้งมากขนาดนี้ เอ็งกับมันไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันใช่มั้ย"
"ยาย!! พูดจาน่าเกลียด"
"ถามอีกทีเพื่อความสบายใจ แต่ถ้าเอ็งบอกว่าไม่มีอะไรกับมัน งั้นข้าก็อนุญาตให้มันอยู่ที่นี่ต่อ แต่เอ็งต้องรับปากนะว่าห้ามชอบไอ้หน้าวอกเด็ดขาด"
"จ๊ะ ไม่ชอบจ๊ะ"
ขิงยิ้ม ยายขมรู้สึกสบายใจ ขิงหันมาลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ขิงมีท่าทางตื่นเต้นดีใจในขณะที่เดินออกมาหาโซว์ที่ยืนซึมอยู่
"โซ่ นายโซ่" ขิงเรียก โซว์หันไป ขิงวิ่งมาตรงหน้าเขา "ยายอนุญาตให้นายอยู่ที่นี่ต่อ"
โซว์ดีใจ "จริงเหรอ"
"จริงสิ ขิงซะอย่าง ไม่มีพลาด"
โซว์ดีใจสุดๆ ด้วยความลืมตัวทำให้เขากอดขิงแน่น ขิงตกใจ
"ขอบใจมากนะขิง ขอบใจ ขอบใจ"
ขิงอาย "เออ รู้ว่าดีใจ แต่ปล่อยได้แล้ว"
โซว์รู้ตัวจึงรีบปล่อย เขายิ้มเขินๆ ส่วนขิงทำหน้าไม่ถูก

ยายขมกำลังเลือกซื้อผักอยู่ที่ตลาด โดยมีตุ๊กยืนอยู่ข้างๆ
"อะไรกัน! มะนาวลูกล่ะสามบาท มันจะเอาเปรียบกันเกินไปแล้ว มะนาวเป็นของไทย ไม่ได้นำเข้าจากนอกนะเว๊ย ลูกล่ะบาทก็พอแล้ว เอามั้ยเอา"
"ลูกล่ะบาทก็ได้ เห็นแก่พระเอกลิเกคนใหม่ของยายหรอกนะ" แม่ค้าบอก
"พระเอกลิเกคนใหม่? ทำไมมันรู้แล้วว่ะ" ยายขมงง
ตุ๊กรีบเก็กทันที "ชั้นไม่อยากจะบอกแม่เลย แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว" ยายขมกับแม่ค้ายืนงง "ชั้นนี่แหละ พระเอกลิเกคนใหม่ ตุ๊กติ๊ก ศิษย์ยายขม" ตุ๊กร้องลิเก "เฮชา เฮชา ชาชาหนอยแน่"
"บ้า! น้ำหน้าอย่างแกเป็นพ่อพระเอกยังไม่ได้เลย" แม่ค้าว่า
"ว่าจะอำซักหน่อย รู้ทันซะอีก ใครบอกน้าเรื่องพระเอกลิเกคนใหม่"
"นังรุ้งยังไงล่ะ มันพาพ่อพระเอกมาเที่ยวตลาด" แม่ค้าบอก
ยายขมกับตุ๊กมองหน้ากันแล้วก็รู้ทันทีว่าคือใคร
"ถ้าเปิดโรงลิเกเมื่อไหร่ บอกชั้นด้วยนะ ตอนนี้มีแต่คนอยากดูพระเอกลิเกคนใหม่ของยายทั้งนั้น" แม่ค้าบอก
ยายขมหันไปมองตุ๊กด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ตุ๊กช่วยยายขมหิ้วถุงกับข้าวเดินมาตามทางกลับบ้าน
"นี่ยังไม่ทันเปิดแสดง กระแสไอ้โซ่มันยังแรงขนาดนี้ มีสาวน้อยสาวใหญ่เข้าคิวรอเป็นแม่ยกมันกันทั้งน้านนนน โอกาสดีดีแบบนี้ไม่ได้มากันบ่อยๆนะแม่ ชั้นว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ" ตุ๊กบอก
"ข้าว่ามันยังเร็วเกินไป ไอ้โซ่มันยังไม่พร้อม"
"ไม่ต้องรอแล้วแม่ ชั้นมั่นใจว่าไอ้หนุ่มนี่มันจะทำให้เราใช้หนี้ได้จนหมด"
ยายขมหันไปมองตุ๊กด้วยท่าทีลังเล

ปีเตอร์หันมามองพัชรีที่มาหาเขาที่โรงแรมด้วยสีหน้าไม่พอใจ
"มาซะเย็นเลยนะ ชั้นบอกให้รีบมา คำว่ารีบ เธอไม่เข้าใจเหรอไง" ปีเตอร์ว่า
"เข้าใจค่ะ แต่หม่อมชั้นทำงานประจำนะเพคะ ต้องรอให้งานเลิกก่อนถึงมาได้"
"ไม่ต้องมาอ้าง ปกติชั้นก็เห็นเธอมาหาชั้นได้ตลอดเวลา"
"วันนี้เจ้านายอยู่เลยชิ่งออกมาไม่ได้เพคะ ว่าแต่เจ้าชายเรียกหม่อมชั้นมาทำไม"
"เรียกมาด่าน่ะสิ" ปีเตอร์บอก
"อุ้ย....”
"นี่มันผ่านมาหนึ่งวันแล้วนะ เธอยังหาร้านขายแหวนแบบนั้นไม่เจออีกเหรอไง"
"มันไม่ได้หากันได้ง่ายๆนะเพคะ แต่วันนี้หม่อมชั้นก็เกือบได้เรื่องแล้ว หม่อมชั้นไปเจอคุณติ๊งโหน่งมาค่ะ ทำให้รู้ว่าแหวนวงนั้นเป็นของคุณชรินทร์ แต่พอกำลังจะหลอกถามว่าซื้อแหวนจากร้านไหน ก็ดั๊นมีคนมาขัดซะนี่"
"แล้วเธอปล่อยให้คนมาขัดได้ยังไง"
"เอ้า...หม่อมชั้นเป็นใครคะ"
ปีเตอร์งง "เป็นนักข่าว"
"ใช่ค่ะ ก็แค่นักข่าว ใครเค้าจะเกรงใจ หม่อมชั้นว่างานนี้เจ้าชายต้องทรงออกโรงเองแล้วล่ะเพคะ"
ปีเตอร์เหวอ "ชั้นเหรอ?”
"เจ้าชายทำทีเป็นว่าอยากได้แหวนแบบนี้แล้วก็หลอกถามคุณชรินทร์สิคะ รับรองคุณชรินทร์ต้องบอกแน่"
ปีเตอร์มองพัชรีอย่างเห็นด้วย

ยายขมนั่งดูรูปสามีด้วยความคิดถึง ทันใดนั้นคำพูดของตุ๊กก็ดังขึ้นในความคิดของยายขม
"นี่ยังไม่ทันเปิดแสดง กระแสไอ้โซ่มันยังแรงขนาดนี้ มีคนสาวน้อยสาวใหญ่เข้าคิวรอเป็นแม่ยกมันกันทั้งน้านนนน โอกาสดีดีแบบนี้ไม่ได้มากันบ่อยๆนะแม่ ชั้นว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ"

"โธ่แม่ แม่จะดื้อไปถึงไหน ไม่แน่นะไอ้หนุ่มนี่มันอาจจะทำเงินให้เราก็ได้นะแม่"

"แต่ความฝันของพ่อคือการที่เห็นลิเกกลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แม่ไม่อยากให้ความฝันของพ่อเป็นจริงเหรอ"

ยายขมนั่งหน้าเครียด เธอมองรูปสามีอีกครั้งอย่างตัดสินใจ

ท่านชายในสายหมอก ตอนที่ 5 (ต่อ)
ยายขมเดินออกมาเจอโซว์นั่งอยู่กับขิง โซว์เห็นเข้าก็รู้สึกกล้าๆกลัวๆ ยายขมเดินเข้ามาหาเขา โซว์ผงะถอยมาหลบหลังขิง ขิงมองยายอย่างใจไมดี
"ยาย ยายบอกชั้นแล้วนะว่าจะให้นายโซ่อยู่ต่อ" ขิงว่า
ยายขมดันขิงออกไป โซว์หน้าเหวอ "เอ็งพร้อมจะเป็นพระเอกลิเกแล้วเหรอยัง" ยายขมถาม
โซว์กับขิงอึ้ง ทั้งสองหันมามองหน้ากันอย่างอึ้งๆ
"ยะยะยายยายพูดอีกครั้งได้มั้ยจ๊ะ" โซว์ว่า
"ให้ข้าพูดอีกรอบ งั้นข้าเปลี่ยนใจนะ"
โซว์กับขิงพูดพร้อมกัน "ไม่นะ!!”
"ยายก้อ ปี๊ดง่ายจัง โซ่..นายรีบขอบคุณที่ยายให้โอกาสนายสิ"
โซว์ก้มหลงไหว้อย่างสวยงาม "ขอบคุณมากนะครับ ผมให้สัญญาว่าผมจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อให้คณะลิเกยายขมกลับมามีชื่อเสียงเหมือนเดิม"
"ไม่ต้องสัญญา ทำให้ข้าเห็นก็พอ ข้ามั่นใจในตัวเอ็งแล้วนะไอ้โซ่ เพราะฉะนั้นอย่าทำให้ข้าผิดหวังเด็ดขาด"
"จ๊ะ" โซว์ยิ้มดีใจ "ยายจ๋า ชั้นขออะไรอย่างได้มั้ย"
"อะไร?”
โซว์ดึงยายขมมากอดและหอมแก้มฟอดใหญ่ ยายขมกับขิงถึงกับตกใจ
"เฮ้ย!! ไอ้โซ่!!” ยายขมตะโกน
โซว์ยิ้มแหยๆ เขารีบผละจากยายแล้ววิ่งหนีไป ขิงหัวเราะไม่หยุด ยายถูแก้มตัวเองในขณะที่หน้าแดงซ่าน ยายขมเหล่มองขิง
"ตลกมาเหรอวะนังขิง" ยายขมเอาไม้เกาหลังเขกหัวขิง "นี่แน่"
"ถึงเจ็บก็มีความสุขเพราะเห็นยายยิ้ม"
ขิงหัวเราะแล้ววิ่งออกไป ยายขมอดยิ้มออกมาไม่ได้พร้อมกับส่ายหัว แววตาของเธอมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

ปีเตอร์นิ่วหน้ามองพัชรีด้วยสีหน้าสงสัยและคิดหนัก
"ไอ้ที่เธอจะให้เราไปถามนายชรินทร์ เธอจะให้เราถามเค้ายังไง" ปีเตอร์ถาม
"เจ้าชาย! ทำไมทรงพระโง่" พัชรีว่า ปีเตอร์ถลึงตา "เอ๊ย! ทรงคิดไม่ออกล่ะเพคะ"
"หรือเธอมีวิธีหลอกถามนายชริทร์"
พัชรียิ้มอย่างมั่นใจ "หม่อมชั้นมีค่ะ"
ปีเตอร์ดีใจ "งั้นรีบบอกชั้นมาสิ"
"บอกก็ได้ แต่เจ้าชายต้องบอกหม่อมชั้นก่อนว่าทำไมเจ้าชายถึงสนใจแหวนวงนี้มากนัก แหวนวงนี้มันสำคัญยังไงเพคะ"
ปีเตอร์หน้าถอดสี เขาอึกอักๆ พร้อมกับหลบตาพัชรี
"ถ้าเจ้าชายไม่บอก หม่อมชั้นกลับดีกว่า"
พัชรีจะเดินออกไป ปีเตอร์หันไปมองแล้วคิดหนัก ก่อนจะตัดสินใจ
"ชั้นบอกก็ได้"
พัชรียิ้มดีใจแอบทำท่าเยสแต่แล้วก็หันมาทำเก็ก
"แต่เธอห้ามบอกใครเด็ดหัว ไม่งั้นถูกตัดหัวทั้งโคตร" ปีเตอร์กำชับ
พัชรีสะดุ้ง "แหม เจ้าชายก้อ หม่อมชั้นไม่ใช่พวกปากโทรโข่งนะคะ จะได้เที่ยวพูดไปทั่ว หม่อมชั้นรู้ค่ะว่าอะไรควร อะไรไม่ควร" พัชรีกระโดดมานั่งข้างปีเตอร์ ปีเตอร์ตกใจ "เล่ามาเลยค่ะ หม่อมชั้น" พัชรีหยิบเอ็มพีสามออกมากดบันทึกเสียงด้วยความลืมตัว "พร้อมแล้ว"
"ไหนบอกว่าจะไม่บอกใครไง"
พัชรีนึกได้ ปีเตอร์รีบเอาเอ็มพีสามเก็บ
"พร้อมฟังแล้วใช่มั้ย" ปีเตอร์ถาม พัชรีพยักหน้า "เธอจำเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เป็นข่าวใหญ่เมื่อช่วงอาทิตย์ที่แล้วได้มั้ย"
"อ๋อ ที่เจอศพผู้ชายในแม่น้ำใช่มั้ยคะ"
"นั่นแหละ มันเป็นคืนเดียวกับที่เราไปเที่ยวผับกันไง"
"แล้วไอ้สองเรื่องนี้มันเกี่ยวกันยังไงเพคะ"
"มันไม่เกี่ยวหรอก"
"อ้าว?”
"แค่บอกไว้จะได้รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ คราวนี้ฉันจะเล่าแล้วล่ะนะ"
พัชรีตั้งใจฟัง

พัชรีนั่งฟังปีเตอร์ด้วยหน้าตาตื่นตกใจ
"ห๊ะ! คนติดตามเจ้าชายที่หล่อๆคนนั้นน่ะเหรอคะ..ถูกใส่ร้ายว่าเป็นฆาตกรฆ่าผู้ชายคนนั้น"
"ใช่...”
"โชคดีนะคะที่เค้าไม่อยู่รับใช้เจ้าชายแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าชายต้องทรงได้รับอันตรายแน่ๆเลยค่ะ ไม่น่าเชื่อนะคะคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ"
"เค้าไม่ใช่ฆาตกร!!” ปีเตอร์บอก
"เจ้าชายทรงทราบได้ยังไงว่าไม่ใช่"
"ก็เค้าเป็นเจ้า..”
ปีเตอร์ชะงัก พัชรีมองอย่างสงสัย
พัชรีจ้องหน้าเพื่อเค้นความจริง "เจ้าอะไรคะ?”
"เออ เจ้าอะไรล่ะ เราไม่ได้พูดเจ้าซักหน่อย"
พัชรีงง “อ้าว? ก็เมื่อกี๊ได้ยินว่าเจ้าชัดๆ”
"ยังไงเค้าก็ไม่ได้ทำ เรามั่นใจ เค้าทำงานรับใช้เรามานาน นิสัยใจคอเป็นยังไง เรารู้ดี ขนาดมดซักตัวเค้ายังไม่กล้าฆ่าแล้วนับประสาอะไรกับชีวิตคนทั้งคน"
พัชรีคิด "แล้วเจ้าชายทรงคิดว่าใครเป็นฆาตกร" ปีเตอร์เงียบ พัชรีตกใจขึ้นมา "หรือเจ้าชายคิดว่าเป็น...คุณชรินทร์!”
"เรารู้ว่าไม่ใช่เค้า แต่ที่เราอยากให้เจ้าไปสืบจากเค้าเพราะรู้มาว่าเค้าเป็นเจ้าของร้านเพชร ไม่แน่ไอ้ฆาตกรมันอาจจะมาสั่งทำแหวนที่ร้านเค้าก็ได้"
พัชรีมองปีเตอร์แล้วคิดตามก่อนจะเห็นด้วย

ตลาดยามเช้า เสียงหวีดจากโทรโข่งดังขึ้น ตุ๊กยืนถือโทรโข่งเตรียมประกาศ
"เร่เข้ามา เร่เข้ามา พ่อแม่พี่น้อง"
ตุ๊กอยู่ในชุดลิเก เขาขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ โดยมีระนาดวางอยู่บนพื้น รุ้งยืนใส่ชุดลิเกพรีเซนต์อยู่ข้างๆ
"ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย คนหนุ่มคนสาว ลูกเล็กเด็กแดง เร่เข้ามา เร่เข้ามา....”
ผู้คนหันมามอง หลายคนให้ความสนใจเดินเข้ามามุงดู
"ตุ๊ก ลูกแม่ขม" ตุ๊กประกาศ
รุ้งแย่งโทรโข่งตุ๊กมาพูด "รุ้ง ศิษย์ยายขม"
ตุ๊กแย่งโทรโข่งมาพูดต่อ "ขอประกาศอย่างเป็นทางการว่าบัดนี้" ตุ๊กรีบวิ่งไปตีระนาดเพื่อโหมโรงแล้ววิ่งกลับมาพูดที่โทรโข่งต่อ "คณะลิเกยายขมพร้อมแล้วที่จะเปิดทำการแสดงอีกครั้งในอีกสามวันข้างหน้า"
รุ้งกับตุ๊กเฮขึ้นมาทั้งสองคน แต่ไทยมุงเงียบไม่มีใครยินดียินร้ายอะไรด้วย ตุ๊กกับรุ้งจ๋อย
รุ้งหยิบโทรโข่งขึ้นมาพูด "พร้อมเปิดตัวพระเอกลิเกหน้ามนคนใหม่"
สิ้นคำของรุ้งสาวๆ ก็กรี๊ดไม่หยุด ตุ๊กกับรุ้งมองหน้ากันด้วยความตกใจ
"กระแสไอ้โซ่มันแรงจริงๆ" ตุ๊กบอก
รุ้งพยักหน้าเห็นด้วย "ถ้าใครอยากชม อยากดู อยากสัมผัสพระเอกของชั้น เอ๊ย พระเอกลิเกคนใหม่ เชิญมาซื้อบัตรได้เลยจ้า"
คนเฮกันมาเข้าแถวยาว ตุ๊กกับรุ้งยิ้มดีใจ
แก้วกับยอดยืนมองอยู่ แก้วไม่พอใจอย่างมาก
"โด่เอ๊ยก็แค่หล่อ ขาว หน้าใส แล้วไงวะ ไม่เห็นจะน่าดูซักนิด ไอ้ยอด..”
แก้วหันไปก็เห็นว่ายอดหายไปแล้ว พอหันไปมองอีกที แก้วเห็นยอดวิ่งไปเข้าแถวเพื่อซื้อตั๋วด้วย แก้วฉุนกึกจึงเดินไปเขกหัวยอด ยอดหันขวับมาถามอย่างโมโห
"ใครวะ!!”
"กูเอง"
"เออ รู้แล้ว" ยอดเสียงอ่อนลง "พี่แก้ว"
"ไอ้ยอด ไอ้เนรคุณ ออกมา!! ไปเข้าแถวอยากดูมันทำไม"
ยอดก้มหน้าจ๋อยๆ เพราะพูดไม่ออก แก้วมองคนเข้าแถวซื้อตั๋วแล้วก็กำมือแน่นด้วยความโกรธแค้น
"เล่นกับใครไม่เล่น ดันมาเล่นกับไอ้แก้วลูกกำนันเก่ง แล้วพวกมึงจะรู้ว่าคิดผิด!!”

โซว์หน้าเหวอสุดๆ เขาถึงกับอึ้งที่รู้เรื่องจากตุ๊ก
"สามวัน!!”
ขิงกับยายขมยืนหน้าเครียด ส่วนตุ๊กกับรุ้งที่ดี๊ด๊านั่งอยู่
"เออ" ตุ๊กรับคำ
"ไอ้บ้า!” ยายขมว่า
ตุ๊กสะดุ้งเพราะน้ำลายยายขมเปื้อนเต็มหน้า ตุ๊กปาดแทบไม่ทัน
"ใครพูดว่าสามวันจะเปิดโรงลิเก" ยายขมบอก
ตุ๊กกับรุ้งต่างก็ชี้หน้าใส่กัน ยายขมเอาไม้เกาหลังเขกหัวทั้งคู่
"ไม่รู้จักคิดทั้งคู่!!”
"แม่ก้อ ที่พวกฉันต้องบอกว่าสามวัน เพื่อดึงความสนใจอยากให้คนมาดู" ตุ๊กบอก
"มันเป็นเทคนิคทางการตลาด" รุ้งเสริม
"การตะลงการตลาดอะไรข้าไม่รู้จักเว๊ย เอ็งสองคนทำแบบนี้เท่ากับหลอกลวงคนดู สามวันไอ้โซ่มันจะฝึกซ้อมทันที่ไหน ตอนนี้มันยังเป็นตัวตลกอยู่เลย"
"แต่ผมว่าผมทำได้นะครับยาย" โซว์บอก
ทุกคนมองหน้าโซว์อย่างไม่แน่ใจ
"อย่าพูดมั่วๆนะโซ่ นายมั่นใจเหรอ" ขิงถาม
"ผมมั่นใจ ผมต้องทำได้แน่ๆครับยาย เชื่อผมนะครับ" โซว์พูดด้วยความมั่นใจ
ยายขมมองหน้าโซว์แล้วครุ่นคิด ขิงหันไปมองยายด้วยความเป็นห่วง
"ยายเอาไง?” ขิงถาม
"ไม่ต้องคิดแล้ว ตั๋วขายเกลี้ยงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน" ตุ๊กบอก
"งานนี้มันต้องเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ ดังกระฉ่อน สถานีทุกช่องต้องมาทำข่าว ว้าวๆๆๆ เรื่องที่เราจะเล่นต้องเป็นเรื่องที่ทันสมัย ต้องมีบทตบจูบ เลิฟซีน"
ยายขมเอาไม้เกาหลังเคาะหัว
รุ้งเจ็บ "โอ๊ย"
"บ้าน้ำลาย ข้าตัดสินใจแล้วว่าลิเกเรื่องแรกของการกลับมาของคณะยายขมคือเรื่อง....จันทโครพยุค 2011” ยายขมบอก

ยายขมมายืนตรงหน้าโซว์ ขิง ตุ๊ก และรุ้ง
"เรื่องจันทโครพ มีตัวละครทั้งหมด 3 ตัวหลัก" ยายขมหันไปชี้หน้าโซว์ "ไอ้โซ่ เป็นจันทโครพ แต่..ชื่อโซ่ มันจำยาก ฟังแล้วไม่ติดหู ต้องเปลี่ยนชื่อใหม่"
"ชื่อวอนนอนคุกดีมั้ยยาย" รุ้งเสนอ
"แค่ชื่อก็อัปมงคลแล้ว มันต้องเป็นชื่อที่เรียกง่ายๆ สมาร์ทฟุงเก้อาราเร่ปาทังก้า" ตุ๊กฟุ้ง
"โว๊ยยย! กว่าจะเรียกจบ เดินไปถึงกรุงเทพพอดี ชั้นว่าชื่อนี้ดีกว่า ทองคำ" ขิงเสนอ
ยายขมเอาไม้เกาหลังตีลงกลางกบาลของขิง "นั่นมันชื่อผัวข้า ตาเอ็ง พ่อไอ้ตุ๊ก"
"แหม มิน่า ขิงก็ว่ามันคุ้นๆติดอยู่ที่ปาก มิน่าพูดออกมาแบบไม่ได้คิด"
"ไม่ได้เรื่องซักคน!!" ยายขมว่า โซว์หัวเราะ "อย่างไอ้โซ่ มันต้องชื่อ ศรรัก ศิษย์ยายขม"
รุ้งปลื้ม "ศรรัก ปักอกเลยอ่ะ"
"โฮ ยายคิดได้เนอะ เชื่อเช้ยเชย" ขิงแซว
"ศรรักมันเป็นชื่อของตาเอ็ง พ่อข้า ผัวยายขม ตอนที่เล่นเป็นพระเอกลิเก"
ขิงทำหน้าเอ๋อ "อ้าว?? แล้วก็ไม่บอก”
"เข้าเรื่องต่อได้ยัง" ยายขมถาม
"ได้จ๊ะยาย" ขิงบอก
"ตัวละครต่อไป นังรุ้ง"
รุ้งสวนขึ้นมาพร้อมซบไหล่โซว์ "เป็นนางเอก"
ยายขมค้อน "ไอ้ตุ๊กเป็นตลกหน้าม่าน ส่วนนังขิงเป็นโจร"
ขิงตกใจ "ห๊ะ! ไม่เอาอ่ะ ขิงไม่เล่น"
"ต้องเล่น นี่เป็นคำสั่ง!”
ขิงเงียบ โซว์ยิ้มแซวๆ
"อย่างเธอคงไม่ต้องซ้อมอะไรมากหรอก ปกติก็เหมือนผู้ชายอยู่แล้ว"
ขิงหันไปหยิกแขนโซว์อย่างแรง
"โอ๊ย!” โซว์ร้อง
ยายขมเอาไม้เกาหลังเคาะโต๊ะ "เอาล่ะๆ เลิกเล่นกันได้แล้ว ต่อไปนี้เราต้องซ้อมอย่างจริงจัง"
ยายขมพูดหน้าเหี้ยม ทุกคนกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก

แก้วเดินไปเดินมาด้วยความหงุดหงิดเพราะกำลังคิดหาทางทำลายโซว์ กำนันเก่งนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิด
"จะทำยังไงดีวะ ทำยังไงให้มันฉิบหาย ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด เอาให้มันตาย!” แก้วบ่น
"ถ้าครั้งนี้ลูกพี่ทำไม่สำเร็จ คณะลิเกยายขมต้องกลับมาดังอีกครั้งแน่ๆ พอพวกมันดัง พวกมันก็จะมีเงินมาใช้หนี้พ่อกำนัน แล้วน้องขิงของพี่ก็จะเสร็จไอ้หน้าหล่อนั่น พี่ก็จะอกหักอย่างแรง" ยอดย้ำ
"ไม่! ชั้นไม่มีวันยอมให้น้องขิงลงเอยกับไอ้หมอนั่นเด็ดขาด!" แก้วลงไปนั่งข้างๆ พ่อ "ชั้นจะทำไงดีพ่อ"
"ส่งคนไปฆ่ามันเลยมั้ย" ยอดเสนอ
"ไอ้บ้า ถึงชั้นจะเลว จะชั่วยังไง แต่ก็มีจรรยาบรรณไม่ทำร้ายใครถึงแก่ชีวิตหรอกเว้ย" เก่งว่า
"ถ้าไม่ฆ่ามัน แล้วเราจะทำไงล่ะพ่อ พ่อคิดเร็วๆหน่อยสิ พ่อจ๋า..พ่อ..พ่อ...”
"โว้ย!! เงียบ คนกำลังใช้ความคิด" เก่งนึกออก "ข้านึกออกแล้ว เราต้องทำให้โรงลิเกมันเจ๊ง ไม่มีความน่าเชื่อถือ เพราะถ้ามันเจ๊ง มันก็ไม่มีคนมาดู แล้วพอไม่มีคนมาดู มันก็ไม่มีเงินมาใช้ข้า ส่วนเอ็งก็จะได้เอาน้องขิงไปทำเมีย"
แก้วหันมายิ้มตาเป็นประกาย "พ่อจ๋า พ่อฉลาดที่สุดเลย"
สองพ่อลูกและยอดหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
"เสร็จฉันแน่ไอ้โซ่ตรวน ฮ่าๆๆๆๆ"

หัวโขนฤาษีตั้งอยู่บนแท่นบูชา พานกำนนมีดอกไม้ เทียน หมากพลู และเงิน 6 บาทวางอยู่ ยายขมท่องบทไหว้ครูนำ โซว์ ตุ๊ก และรุ้งท่องตาม
“นะ คือ พระกุฯสันโท โม คือ พระโคนาดม พุท คือ พระกัสสปะ ธา คือ พระสมณโคดม ยะ คือ พระศรีอริยะเมตตรัย....ข้าขอบารมีพระพุทธเจ้า จงมาปกเกล้า เมตตา ณ บัดนี้ ...ข้าพเจ้าขออัญเชิญคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นประธาน ขออัญเชิญเทพเจ้า สถิตเท่าทุกวิมาน..”
ยายขม รุ้ง ขิง และตุ๊กกำลังสวดบทไหว้ครูอยู่หน้าหัวโขนฤาษีอย่างตั้งใจ โซว์นั่งพนมมือแม้จะไม่ได้สวดแต่ก็อยู่ในอาการสงบเสงี่ยมและตั้งใจ
เสียงยายดังขึ้นในหัวของโซว์ “จำไว้นะไอ้โซ่ เมื่อแกได้ไหว้ครูเท่ากับแกถวายตัวเป็นศิษย์พ่อแก่แล้ว”
“แล้วพ่อแก่เป็นใครละครับ” โซว์ถาม
“พ่อแก่ก็หมายถึงครูบาอาจารย์ทุกท่าน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ประสิทธิประสาทความรู้ให้เรา.. รวมถึงลิเกที่เราใช้ทำมาหากินด้วย ..ที่เราต้องไหว้ครู ก็เพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อครูทุกท่าน”
“ยายก็ถือเป็นครูผม งั้นผมเรียกยายว่า แม่แก่ได้มั้ย”
“ใครเป็นแม่แก อย่ามาเรียกอะไรแผลงๆนะเว้ย เดี๋ยวนรกจะกินหัว”
“แล้วนรกคืออะไรเหรอจ๊ะยาย” โซว์ถามต่อ
“พอแล้วไอ้โซ่ ถ้าแกถามอีกรับรองเจอไม้เกาหลังแน่”
ยายขม ขิง ตุ๊ก รุ้งถวายเครื่องบูชา ก่อนจะก้มลงกราบครูด้วยความเคารพ โซว์เห็นก็ทำตามแต่ก็ดูเก้ๆกังๆ จนขิงต้องสอนให้ไหว้ให้สวยงามขึ้น โซว์พยายามจะทำตามก่อนจะทำได้สวยขึ้น ขิงมองยิ้มๆ ยายขมแอบมองโซว์ด้วยความพอใจ

ตุ๊กในชุดแขกเดินออกมาที่หน้าฉาก เขาหันหลังให้ขิง โซว์ และยายขม ตุ๊กยกมือไหว้พร้อมโค้งสวยงาม พอเงยหน้าขึ้นมาเขาก็ทำท่าผงะ
“เฮ้ย คนดูหายไปไหนหมด”
ขิง โซว์ และยายขมพูดพร้อมกัน “ทางนี้”
ตุ๊กหันมายิ้ม
“อ่ะ ล้อเล่น แฮ่ม” ตุ๊กร้อง “เห่ เฮ เฮ เฮ้ เฮเห่เฮ เฮเห่เฮ เฮ้เฮเฮเฮ. ...ลาลามานา ฮัดชาซาเก...ปลาดุกกระดุกกระดิกเอาไปผัดพริกอร่อยดีแฮ สวัสดีพ่อแม่ทั้งหลาย พี่น้องหญิงชายที่สนใจลิเก”
โซว์ยืนมองตุ๊กที่กำลังออกแขกอย่างเมามันด้วยความสนใจ
“ตุ๊กเค้าร้องอะไรน่ะตลกดี” โซว์ถาม
“อ๋อ กำลังซ้อมออกแขกน่ะ ...ทำไม สนใจอยากร้องรึไง” ขิงถามกลับ
“ก็ตลกดี ..” โซว์บอก
“ร้องของตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ ถึงจะไปคิดทำอย่างอื่น ..แล้วที่ให้ไปซ้อม ซ้อมมาได้แค่ไหนแล้ว”
โซว์ยักคิ้วด้วยความมั่นใจสุดๆ “เดี๋ยวคอยดูเองแล้วกัน”

ตุ๊กในชุดฤาษีนั่งอยู่บนตั่ง เขาทั้งรำและร้องลิเกอย่างตั้งใจ
“ถึงเวลาช่วงเศร้าเหงาชีวิตเพราะว่าศิษย์รักกำลังจะจากจร อันตัวเรานั้นแสนจะอาวรณ์ถึงกับนอนไม่หลับอยู่หลายคืน จำต้องหาของให้ศิษย์ดูต่างหน้าเพื่อรำลึกถึงพระเจ้าตาทุกวันคืน...”
ปี่พาทย์รับ ตุ๊กหยิบผอบออกมาถือไว้ก่อนจะเอาเสื้อเช็ดจนสะอาดเอี่ยม เขารำรอจันทโครพออกมาแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกมาซักที ตุ๊กรำไปชะเง้อมองไป
ขิงกำลังจัดชุดเสื้อผ้าตรงด้านข้างเวที มองการขำๆ ยายขมที่ยืนกำกับอยู่ข้างเวทีมองเข้าไปหลังเวทีตะโกนด่า”เฮ้ย ไอ้พระเอก มึงไปขี้รึไงวะ ออกมาได้แล้ว”
สักพักโซว์ก็รำออกมาด้วยท่าทางตั้งใจสุดๆ เขารำมาทรุดก้มลงกราบเท้าพระเจ้าตาแล้วก็ทั้งรำและร้อง
“ตัวผมชื่อจันทโครพผู้ประสบเคราะห์กรรมช้ำหนักหนา ต้องจากบ้านมาเรียนกับพระเจ้าตาหลายเพลาล่วงเลยครบเจ็ดปี ตอนนี้เรียนจบครบอักษรจะได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนกันเสียที”
ปี่พาทย์รับ
“มาก็ดีแล้วจันทโครพ” ตุ๊กพูดต่อ “วันนี้วันจบการศึกษาของเจ้า เราไม่มีใบประกาศนียบัตรจะให้เหมือนโรงเรียนอื่น แต่ไม่ต้องห่วงเพราะสำนักพระเจ้าตาไม่เหมือนใคร”
ตุ๊กหยิบผอบออกมายื่นให้ โซว์ในบทจันทโครพทำหน้างง
“อะไรหรือพระเจ้าตา” โซว์ถาม
“ผอบ” ตุ๊กบอก
โซว์รับมาแล้วมองด้วยความสงสัย “หน้าตามันดูแปลกๆนะพระเจ้าตา”
“ข้างนอกอาจจะดูแปลก แต่บอกได้คำเดียวว่าข้างในแหล่ม”
โซว์ทำท่าจะเปิดดู แต่ตุ๊กรีบห้ามไว้
“อย่าๆๆๆ เจ้าจะเปิดตอนนี้ไม่ได้ เอาไว้กลับไปถึงเมืองของเจ้าแล้วค่อยเปิด อย่าเปิดในระหว่างเดินทาง มิฉะนั้นเจ้าจะประสบอันตราย”
“No problem พระเจ้าตา ข้าจะเปิดผอบก็ต่อเมื่อถึงบ้านเมืองแล้วเท่านั้น”
โซว์ตั้งท่ารำอย่างสวยงาม แล้วตุ๊กก็เดินออกจากเวทีไป
“เราคิดถึงบ้านเหลือเกิน คิดถึงเสด็จพ่อ คิดถึงเสด็จแม่” โซว์พูดบท
เสียงระนาดดังขึ้น โซว์รำออกไปแล้ววนกลับมากลางเวที ทำเสมือนว่าเดินทางมาได้ซักพักแล้ว
“เดินทางมาครึ่งค่อนวัน ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว นั่งพักทานอาหารตรงนี้ดีกว่า”
โซว์ลงไปนั่งบนตั่ง เขาควักห่ออาหารแห้งขึ้นมาแต่หยิบติดผอบขึ้นมาด้วย โซว์มองด้วยความอยากรู้
“อยากรู้จริงๆว่าข้างในมีอะไร เดินทางมาไกลขนาดนี้ พระอาจารย์คงไม่เห็น เปิดดูเลยดีกว่า”
โซว์เปิดผอบ ปีพาทย์รับอย่างเร้าใจ ไม่นานรุ้งก็รำออกมา โซว์เห็นก็ทำท่าผงะ
“เจ้าเป็นใคร”
รุ้งแทบจะพุ่งเข้าไปกระโดดกอด ยายขม ตุ๊ก และขิงเห็นก็ถึงกับเหวอ
รุ้งทำเหมือนโซว์เป็นเสาให้เธอรูด “อันตัวเรามีนามว่านางโมราเพคะ พระฤๅษีใส่หม่อมชั้นไว้ในผอบใบนี้ หม่อมฉันดีใจมากที่เจ้าชายทรงเปิดผอบออกมาทำให้หม่อมชั้นได้เป็นอิสระ อ้า อู้”
ยายขมทนไม่ไหวจึงโยนไม้เกาหลังไปโดนรุ้ง รุ้งถึงกับชะงัก
“ยาย!! ปามาทำไมเนี่ย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เอ๊ย กำลังอินเลยอ่ะ” รุ้งว่า
“เจ้าชายเพิ่งเปิดผอบ ยังไม่ได้รักกัน ทำซะหยั่งกับกำลังเล่นฉากเข้าพระเข้านาง” ยายขมด่า
“อ้าวยาย สมัยนี้มันช้าไม่ได้แล้ว”
ยายขมขึ้นไปบนเวที “นี่มันลิเก ไม่ใช่ละครที่มีแต่ฉากปล้ำกันนะเว้ย เล่นใหม่ตั้งแต่ต้น”
ขิงที่กำลังแปรงขนนกมองรุ้งอย่างไม่ค่อยพอใจ ตุ๊กโผล่เข้ามากระซิบข้างหูขิง
“จบเรื่องนี้ กูว่านังรุ้งได้โซ่เป็นผัวแน่”
ขิงได้ฟังก็หันไปมองหน้าตุ๊กด้วยอารมณ์โมโห เธอแปรงไม่หยุดจนขนนกร่วงกราว ตุ๊กเห็นเข้าก็ตกใจ
“เฮ้ยๆๆๆ เบาหน่อยเว้ย ร่วงหมดแล้ว ไม่ได้ถูกๆนะเอ็ง อันเป็นแสน..”
ขิงยิ่งแปรงแรง ส่วนตาเธอก็จับจ้องโซว์กับรุ้งที่กำลังเข้าฉากชนิดที่รุ้งถึงเนื้อถึงตัวโซว์ตลอด

ท่านชายในสายหมอก ตอนที่ 5 (ต่อ)
ปีเตอร์ทั้งหงุดหงิด ทั้งเป็นกังวล เขาเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องพักที่โรงแรม
“เสร็จรึยังพัชรี ไปแค่บ้านนายชรินทร์ไม่เห็นต้องแต่งตัวอะไรนักหนา”
เท้าของพัชรีค่อยๆ ก้าวออกมาจากห้อง
ปีเตอร์หันมามองก็ถึงกับตะลึง เขาเห็นพัชรีอยู่ในชุดบอดี้การ์ด ใส่สูท ผูกไทด์ ติดหนวด สวมแว่นดำ เหมือนผู้ชายสุดๆ
ปีเตอร์อ้าปากค้างจนน้ำลายไหลยืด เขามองด้วยสายตาหลงใหล แต่พัชรีเบ้หน้า
“เจ้าชายทรงน้ำลายยืดแล้วเพคะ”
“ห๊ะ!” ปีเตอร์รีบดูดน้ำลายกลับเข้าไป “ขอโทษนะ เราเห็นเจ้าแล้วมันสะท้านทรวง”
“นี่ถ้าไม่รู้จักพระองค์เป็นการส่วนตัว หม่อมชั้นต้องคิดว่าพระองค์ชอบผู้ชายแน่ๆ”
“เราไม่ได้ชอบผู้ชาย เราชอบที่เจ้าแต่งเป็นผู้ชายต่างหาก ดูๆไปมันก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบนะเนี่ย” ปีเตอร์ทำหน้าหื่น
“ลามก !” พัชรีเผลอด่า
ปีเตอร์ทำหน้าโหด “ด่าเราว่าลามกเหรอ ...” แล้วปีเตอร์ก็ยิ้มขำ “ก็จริงของเจ้า...” ปีเตอร์ขำไม่หยุด
“หัวเราะ ตอนนี้ไปก่อนเถอะ รับรองไปถึงบ้านชรินทร์พระองค์หัวเราะไม่ออกแน่”
ปีเตอร์หน้าเสีย “อย่ามาขู่กันนะพัชรี” ปีเตอร์มั่วนิ่มเข้าไปกอด “สัญญานะว่าจะไม่ทิ้งกัน”
พัชรีมองแขนปีเตอร์ที่มากอด “ก็หยุดทำแบบนี้กับหม่อมชั้นซิเพคะ”
ปีเตอร์ยิ้มแหยๆ ก่อนจะรีบปล่อย พัชรีส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ปีเตอร์รีบเก็กมาดเข้ม
“ไปกันเถอะพัชรี งานใหญ่กำลังรอเราอยู่”
ปีเตอร์กับพัชรีรีบเดินออกไป

ลัดลดาถอดแว่นดำออกด้วยสีหน้าเหวี่ยงสุดฤทธิ์ในขณะที่ยืนอยู่ตรงหน้าพนักงานที่เคาน์เตอร์โรงแรม
“What!!! อะไรนะ! เจ้าชายทรงต้องการพักผ่อน ไม่ต้องการให้ใครยุ่ง! ถ้าอย่างนั้นชั้นยิ่งต้องยุ่ง เพราะเจ้าชายอาจจะทรงประชวรอยู่ก็ได้”
ลัดลดาจะเดินไป พนักงานรีบขวาง
“คุณจะไปไหนคะ” พนักงานถาม
“หลีกไป ชั้นจะรีบขึ้นไปดูแลเจ้าชาย” ลัลดาทำดราม่า “ไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้าชายจะทรงเสวยอะไรหรือยัง โถๆๆ เจ้าชาย”
“ยังไงคุณก็ขึ้นไปไม่ได้ค่ะ เจ้าชายทรงสั่งไว้”
“ชั้นจะขึ้น”
พนักงานขวางไม่ให้ลัดลดาไป
“ไม่ให้ขึ้นค่ะ”
ลัดลดานึกขึ้นได้ “เธอสั่งไม่ให้ฉันขึ้นได้ยังไง ฉันเป็นเจ้าของโรงแรมนะ”
พนักงานหน้าเหวอ ระหว่างนั้นลัดลดาเห็นปีเตอร์กับพัชรีเดินออกมาจากลิฟต์ ถึงปีเตอร์จะสวมหมวกใส่แว่นดำแต่ลัดลดาก็จำได้
ลัดลดาพึมพำ “เจ้าชาย” ลัดลดารีบผละออกจากพนักงานทันที “ชั้นไม่ขึ้นแล้วก็ได้”
ลัดลดารีบเดินออกไป พนักงานมองตามอย่างงงๆ

ลัดลดารีบวิ่งหลบๆ มาตามทางจนเห็นปีเตอร์ขึ้นรถไปกับพัชรี ลัดลดารีบวิ่งไปขึ้นรถตัวเองทันที
“หนีหม่อมชั้นไม่พ้นหรอกเพคะเจ้าชาย”
ลัดลดารีบขับรถตามปีเตอร์ออกไป

รถปีเตอร์เลี้ยวเข้าไปในบ้านของชรินทร์ สักพักลัดลดาก็ค่อยๆ นำรถมาจอดหลบมุม ลัดลดามองรถของปีเตอร์แล้วก็กำพวงมาลัยด้วยความโมโหสุดๆ
“เจ้าชายนะเจ้าชาย ทรงทำร้ายจิตใจดวงน้อยๆของหม่อมชั้นได้” ลัลดามองไปที่บ้านของชรินทร์ “นังติ๊งโหน่ง ฝันไปเถอะว่าแกจะมีความสุขกับเจ้าชาย”
ลัดลดาทำหน้าตาเคียดแค้นสุดๆ

ชรินทร์กับฉาดประภาถวายความเคารพปีเตอร์ ในขณะที่พัชรียืนหันซ้ายหันขวาคอยระวังอยู่ข้างหลัง
“เจ้าชายน่าจะทรงกริ๊งมาบอกก่อนล่วงหน้าซักหลายๆชั่วโมงว่าจะเสด็จมา หม่อมชั้นเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ต้อนรับ” ฉาดประภาบอก
“ไม่ต้องมีพิธีรีตองเยอะหรอก เรามาแบบส่วนตัว ไม่อยากให้เอิกเกริก” ปีเตอร์พูด
“สมแล้วที่ได้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ช่างเรียบง่าย และไม่ถือองค์ ว่าแต่เจ้าชายทรงมาหาลูกติ๊งของหม่อมชั้นเหรอเพคะ”
“เปล่า พอดีเรามีเรื่องจะปรึกษากับท่าน”
ปีเตอร์มองหน้าชรินทร์ ชรินทร์กับฉาดประภามองปีเตอร์ด้วยความสงสัย

ติ๊งโหน่งยืนมองรถปีเตอร์ตรงริมหน้าต่างด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“ในที่สุดเจ้าชายก็ต้องมาง้อเรา หุหุหุ”
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ติ๊งโหน่งหันไปแล้วพูดเสียงดัง
“เข้ามา”
อำนาจเปิดประตูเข้ามา “คุณพ่อเชิญให้คุณติ๊งโหน่งให้ลงไปรับเสด็จเจ้าชายครับ”
“ไปบอกคุณพ่อว่าเราไม่ลงไป” ติ๊งโหน่งบอก อำนาจมองอย่างแปลกใจ “ต่อไปนี้ชั้นต้องเล่นตัว ให้เค้าง้อบ้าง เค้าจะได้รู้ว่าชั้นมีค่า”
อำนาจพึมพำ “โอ๊ย..เค้าคงง้อหรอก”
ติ๊งโหน่งหันขวับ “แกว่าอะไรนะ!!”
อำนาจฉีกยิ้ม “ผมบอกว่าเจ้าชายต้องมาง้อคุณติ๊งโหน่งแน่ๆครับ”
ติ๊งโหน่งเชิดอย่างมั่นใจ “แน่นอน คนสวยทำอะไรไม่ผิด ฮ่าๆๆ”
อำนาจเบ้หน้า “สวยตาย”
ติ๊งโหน่งหันขวับ “อะไรนะ”
อำนาจรีบยิ้ม “ผมบอกว่าคุณติ๊งโหน่งสวยจนผู้ชายตายไปเลยครับ”
“พูดดี” ติ๊งโหน่งชม อำนาจยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปแต่งหน้าก่อน”
ติ๊งโหน่งลัลล้าเข้าไปในห้องน้ำ
อำนาจอยากจะอ้วกแตก
“แต่งไปก็ไม่สวยหรอกยัยม้าแกลบ อึ๊ยยยย !!” อำนาจบ่นออกมา

โซว์กำลังอ่านบทเพื่อทบทวนอยู่ที่นอกบ้าน ก่อนจะหันไปเห็นขิงถือกะละมังซักผ้าเดินมา โซว์รีบวิ่งเข้าไปช่วยถือเพราะอยากเอาใจ
“เป็นไงที่ชั้นเล่นเมื่อกี้ถึงกับอึ้ง ทึ่ง เสียวเลยล่ะซิ” โซว์ถาม
“อึ้ง ทึ่ง น่ะใช่ แต่อย่างหลังคงเป็นนายมากกว่ามั้ง”ขิงแย่งกะลังมังคืน “เอามานี่”
“พูดอะไรไม่เข้าใจ” โซว์งง
“ไม่เข้าใจก็ดีแล้ว” ขิงผลักโซว์ “ออกไป เกะกะ”
ขิงนั่งลงเปิดน้ำใส่กะละมังด้วยท่าทางกระแทกกระทั้น
“แล้วทำไมต้องโกรธด้วยล่ะ ผมเล่นดีแทนที่จะชม ให้กำลังใจ กลับมาโกรธเฉยเลย”
ขิงปากแข็ง “ชั้นไม่ได้โกรธ”
ขิงหยิบผงซักฟอกกระหน่ำเทด้วยความโกรธ โซว์แปลกใจ
“ไม่ได้โกรธ แล้วทำไมต้องเทผงซักฟอกลงไปซะเยอะแยะ เดี๋ยวยายก็ดุเอาหรอก”
ขิงชะงักแล้วก็หันไปโวยใส่โซว์ “เพราะนายนั่นแหละ ทำให้ชั้นไม่มีสมาธิ” ขิงลุกขึ้นยัดผงซักฟอกใส่มือโซว์ “ซักผ้าไปเลย!!”
โซว์เหวอ ขิงเดินจ้ำออกไป โซว์เกาหัวด้วยความงง เขาหันไปเห็นตุ๊กโผล่หน้าขึ้นมาจากบึงน้ำแล้วก็สะดุ้งโหยง
“เย้ยยยย !! โผล่มาได้ไง ...” โซว์มองอย่างแปลกใจ “น้าตุ๊ก อยู่ในน้ำนานยังเนี่ย”
ตุ๊กว่ายมาขึ้นฝั่ง “นานพอที่ข้าได้ยินพวกเอ็งคุยกันน่ะสิ เกือบจะจมน้ำตายอยู่แล้ว เฮ้อ”
“ขิงเป็นอะไรก็ไม่รู้ ดูหงุดหงิดเหมือนไปโมโหใครมา”
ตุ๊กขึ้นมาเอาผ้าขาวม้าแห้งที่พาดอยู่บนโอ่งมาเช็ดหน้า
“มันไม่ได้โมโหใครมาหรอก แต่มันกำลังหึง” ตุ๊กบอก
โซว์งง “หึง??! หึงคืออะไร?”
“หึง เป็น Verb ยูโน? เป็นคำกิริยา หมายความว่าถ้าเราชอบใคร แล้วคนนั้นไปชอบคนอื่น เราก็หึง ไม่ชอบให้เค้าไปสนใจคนอื่น เข้าใจมั้ยวะ”
โซว์ยิ่งงง “ไม่เข้าใจ”
“ไอ้โซ่ ทำไมเอ็งโง่อย่างนี้ห๊ะ!!!! งั้นก็เรื่องของเอ็ง ข้าไปแล้ว หนาว...อึ๊ย !”
ตุ๊กเดินยิ้มๆออกไป โซว์ยังทำหน้าเหวอเพราะทั้งมึนทั้งงง
“หึงเหรอ?”

ติ๊งโหน่งอยู่ในชุดที่เธอคิดว่าตัวเองสวย เธอแต่งหน้าจัดแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ พอหันมาเห็นลัดลดายืนอยู่ในบ้านก็ตกใจ
ติ๊งโหน่งมองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนช่วย “นังดาด้าแกเข้ามาได้ยังไง”
“ชั้นก็เดินเข้ามาน่ะสิ บ้านเธอระบบรักษาความปลอดภัยแย่มาก ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ความ” ลัดลดาเย้ย
“แกมาทำไม?”
“ชั้นมาเพราะเจ้าชาย”
“แกรู้เหรอว่าเจ้าชายมาหาชั้น”
“ไม่มีเรื่องไหนในโลกที่ชั้นไม่รู้” ลัดลดาชี้หน้าติ๊งโหน่งแล้วมองด้วยสีหน้าโหด “อย่าหวังเลยว่าจะได้ลงไปหาเจ้าชาย”
“แกจะทำอะไรฉัน”
ติ๊งโหน่งมองหน้าลัดลดาด้วยสีหน้าตื่นกลัว ลัดลดายิ้มร้ายก่อนจะพุ่งเข้าไปหาติ๊งโหน่ง

ปีเตอร์ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงเลยทำเป็นชมโน่นชมนี่ภายในบ้านของชรินทร์ โดยมีพัชรีเดินตาม ฉาดประภาและชรินทร์เดินตามอย่างงงๆ เพราะไม่รู้ว่าปีเตอร์จะมาไม้ไหน
“บ้านคุณชรินทร์นี่สวยนะครับ ของตกแต่งดูดี เข้ากับบ้าน นี่เป็นสไตล์วิคตอเรียรึเปล่า”
“ขอประโทษนะฝ่าบาท ฝ่าบาทเคยมาบ้านหม่อมชั้นครั้งหนึ่งแล้ว” ชรินทร์ขัด
“เออ” ปีเตอร์เหวอ “อ่า ใช่ แต่ครั้งนี้ไม่สวยสะดุดตาเท่าครั้งนี้ไม่รู้ทำไม ฮ่าๆๆ”
ปีเตอร์หันไปมองพัชรี พัชรีกระซิบ
“เข้าเรื่องได้แล้วเพคะ”
ปีเตอร์หันมาเก็กหน้า “คุณชรินทร์” ชรินทร์กับฉาดประภามองหน้าปีเตอร์ “คือเราอยากรู้เรื่องแหวน”
ชรินทร์งง “แหวน? แหวน อ๋อ หม่อมชั้นเข้าใจแล้วว่าเจ้าชายมาทำไม”
ปีเตอร์ดีใจ “รู้เหรอว่าเราหมายถึงอะไร”
“เจ้าชายจะขอลูกติ๊งแต่งงานใช่มั้ยคะ” ฉาดประภาถามด้วยความมั่นใจ
“ใช่” ปีเตอร์นึกได้ “เฮ้ย ไม่ใช่..ไม่ใช่ ไม่ใช่...”
“แหม ไม่ต้องเขินหรอกเจ้าชาย รักลูกสาวหม่อมชั้นก็บอกมาเถอะ”
ปีเตอร์เคลิ้ม “บ้า เค้าป่าวนะ”
“อุ้ยๆๆหน้าแดง ยิ่งชัดว่าเจ้าชายรักลูกติ๊งม๊ากมาก” ฉาดประภาเน้น
พัชรีทนไม่ไหวแอบหยิกปีเตอร์ให้มีสติ
ปีเตอร์ร้องลั่น “โอ๊ยยย!!!”
ปีเตอร์สะดุ้งโหยงจนไปนั่งตักฉาดประภา ฉาดประภาตกใจ ปีเตอร์รีบลุกขึ้นยืน
“หยุดเพ้อเจ้อกันได้แล้ว เราไม่ได้รักลูกสาวพวกท่าน” ปีเตอร์บอก
“ถ้าไม่ใช่แล้วเจ้าชายพูดเรื่องแหวนทำไม?” ชรินทร์งง
“เราเห็นคุณติ๊งใส่แหวนสีเขียวมรกตสวยมากๆ แล้วน้องติ๊งบอกว่ามันเป็นของคุณชรินทร์ เราอยากได้ไปฝากเสด็จพ่อของเราที่นิวแลนด์ เลยอยากถามคุณชรินทร์ว่า พอจะหาซื้อที่ร้านไหนบ้าง หรือว่าจะสั่งทำที่ร้านคุณชรินทร์ได้รึเปล่า”
ชรินทร์มองแหวนที่นิ้วตัวเองก่อนจะหัวเราะ
“แหวนวงนั้นไม่มีขายหรอกพระองค์ มันเป็นแหวนประจำตระกูลหม่อมชั้น”
ปีเตอร์ตกใจจนหันขวับไปมองหน้าพัชรี
“ถ้าเจ้าชายอยากได้ ก็ต้องมาดองเป็นคนตระกูลเดียวกัน” ชรินทร์หัวเราะชอบใจ “เอามั้ยล่ะ”
ปีเตอร์รู้สึกสยองเกล้า เขารีบผละออกห่าง
“ไม่ล่ะ พอดีนึกได้ว่ามีนัดไปตีกอล์ฟกับท่านนายกฯ ไว้มาคุยกันใหม่นะ”
ปีเตอร์กำลังจะออกไป ทันใดนั้นทั้งหมดก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากข้างบนห้องนอนของติ๊งโหน่ง ทุกคนหน้าตื่นตกใจเงยหน้าขึ้นไปมอง อำนาจที่ใบหน้าบวมปูดวิ่งลงมา
“ช่วยด้วยครับเจ้านาย คุณติ๊ง คุณติ๊ง!!”
ชรินทร์เข้ามาจับไหล่อำนาจด้วยความโมโห “เกิดอะไรกับลูกสาวชั้นห๊ะ!!”
“รีบขึ้นไปดูก่อนเถอะคุณ อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย”
ทุกคนพากันวิ่งขึ้นไป อำนาจแทบทรุดเพราะหมดแรง

ติ๊งโหน่งกับลัดลดากำลังตบกันอย่างเมามันส์จนข้าวของในห้องกระจุยกระจายพังพินาศ ทั้งสองส่งเสียงร้องกรี๊ดๆๆ ทั้งผมเผ้าและหน้าตายับเยิน
“อ๊ายยยย หยุดนะนังดาด้า อย่าดึงขนตาชั้น”
“กลัวตายล่ะ” ลัดลดาดึงขนตาปลอมติ๊งโหน่งออกมา “ฮ่าๆๆ”
ติ๊งโหน่งโมโหมาก เธอผลักลัดลดาแล้วชกดั้งจนเลือดกำเดาไหล ลัดลดาตกใจ
“จมูกชั้น รู้มั้ยว่าค่าทำดั้งเท่าไหร่”
“ไม่สน” ติ๊งโหน่งบอก
ติ๊งโหน่งพุ่งเข้ามาบีบคอลัดลดา ลัดลดาตาเหลือกเพราะหายใจไม่ออก ติ๊งโหน่งจับหัวลัดลดาโขกกับกำแพงเสียงดังปัง ทันใดนั้นชรินทร์ ฉาดประภา ปีเตอร์ และพัชรีก็เปิดประตูเข้ามา แต่ทั้งติ๊งโหน่งและลัดลดากลับไม่สนใจ
ฉาดประภารีบเข้าไปห้าม “หยุด!! หยุด”
ฉาดประภาเข้ามาแต่กลับโดนลัดลดากับติ๊งโหน่งตบจนกระเด็น ชรินทร์ ปีเตอร์ พัชรีมองอย่างสยอง
“เจ้าชาย ทรงทำอะไรซักอย่างสิ” ชรินทร์บอก
“จะให้เราทำอะไร เรากลัว” ปีเตอร์หันไปทางพัชรี “ช่วยเราหน่อยสิ”
พัชรีทำหน้าเหรอหราแล้วก็นึกออก เธอเข้าไปในห้องน้ำแล้วหยิบถังน้ำออกมาสาดใส่ติ๊งโหน่งกับลัดลดา ทั้งสองคนผงะเพราะตัวเปียก ทั้งสองหันไปเห็นปีเตอร์ยืนอยู่ก็ตกใจ
“เจ้าชาย!!” ทั้งสองมองสภาพตัวเองแล้วก็อายขึ้นมา “อ๊ายย”
ติ๊งโหน่งกับลัดลดารีบวิ่งเข้าไปหลบในห้องน้ำ ปีเตอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

ปีเตอร์กับพัชรีเข้ามานั่งในรถด้วยสีหน้าเครียด ทั้งสองหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อด้วยความโกรธ
“เราต้องเจอคนบ้าบอพวกนี้ไปอีกเมื่อไหร่กัน เฮ้อ....” ปีเตอร์บ่น
“แล้วเจ้าชายจะจัดการเรื่องแหวนยังไงต่อไปเพคะ”
ปีเตอร์คิด “ตามรูปการแล้ว ถ้าแหวนวงนี้เป็นของนายชรินทร์คนเดียว งั้นก็แสดงว่า...”
“เจ้าชายทรงคิดว่าคุณชรินทร์เป็นฆาตกร!”
“เราก็ไม่อยากคิด”
“หม่อมชั้นว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะคุณชรินทร์เค้าเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือคนยากจน ชอบบริจาคครั้งนึงก็หลายล้าน” พัชรีบอก
“ถ้าเป็นอย่างนั้น...แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง” ปีเตอร์หันขวับ “พัชรี”
พัชรีทำสีหน้าจริงจัง “เพคะเจ้าชาย”
ปีเตอร์หรี่ตาทำหน้าเครียด “เกาหลังให้เราที อุ๊ยยย เราเกาไม่ถึง” ปีเตอร์พยายามจะเกาหลังตัวเอง
“เจ้าชาย!! ทรงจริงจังได้แล้ว”
ปีเตอร์ยิ้มแหยๆ “งั้นก็..” แล้วเขาก็ทำหน้าเครียดเสียงโหด “เธอต้องสืบเรื่องนี้ให้เรา”
“หม่อมชั้นสืบให้ก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน
“อะไรอีก? ช่างต่อรองจริง”
“เจ้าชายต้องประทานสัมภาษณ์ให้หม่อมชั้นที่เดียวนะเพคะ”
“เรายังไม่รับปาก รอดูผลงานเธอก่อนก็แล้วกัน”
“รับรองพระองค์ไม่ทรงผิดหวังแน่”
พัชรียิ้มด้วยความมั่นใจ
“งั้นตอนนี้เราขอดูผลงานของเธอก่อน” ปีเตอร์รีบหันหลัง “เกาหลังให้เราที” พัชรีเซ็งจึงจำต้องเกาหลังให้ “ขวาๆ ขึ้นๆ ตรงนั้นแหละ เอาเล็บจิกลงไปเลย อู้ว อ้า”
พัชรีทำสีหน้าเอือมสุดๆ

ที่ตลาด มีคนเดินซื้อของกันอย่างขวักไขว่ รุ้งยืนอยู่ที่แผงขายเครื่องสำอาง เธอกำลังทำปากจู๋ใส่กระจก เพราะกำลังลองลิปสติกใหม่
รุ้งถามคนขาย “ป้าว่าชั้นทาปากสีนี้แล้วน่าจูบมั้ย”
คนขายแซว “จะทาไปให้ใครดูเนี่ย อย่าบอกนะว่าจะให้พ่อศรรักดู ป้าไม่ยอมนะ”
“แหม..ป้าอย่าทำตัวเป็นแฟนคลับขี้หึงหน่อยเลย ยังไงพระเอกก็ต้องคู่กับนางเอกวันยังค่ำ”
เสียงยอดดังขึ้น“อย่างไอ้หน้าจืดนั่น เป็นพระเอกไม่ได้หรอก”
รุ้งหันไปเห็นยอดและแก้วเดินกร่างเข้ามาในร้าน
“ชั้นพูดถูกมั้ยพี่แก้ว” ยอดหันไปถามลูกพี่
แก้วยิ้มอย่างถูกใจ “พูดได้ดี พูดได้ถูกต้องเอาไป 20 บาท” แก้วยื่นเงินให้ยอด 20 บาท
“ทำไมจะเป็นไม่ได้ พี่โซ่ของชั้นทั้งหล่อ ทั้งเก่ง” รุ้งแย้ง
“เชอะ ฝึกลิเกกันกี่วันเชียวถึงจะมาบอกว่าเก่ง ..ยายขมน่ะจนตรอก หน้ามืดตามัวเห็นผู้ชายหล่อ ก็กะจะเอามาหลอกตังค์แม่ยกน่ะซิ คิดว่ารู้ไม่ทันรึไง แต่คนที่นี่เค้าไม่โง่หรอกนะ ลิเกจะอยู่ได้มันต้องวัดกันที่ฝีมือ ใช่มั้ยป้า”
คนขายของพยักหน้าเห็นด้วย
“มีฝีมือหรือไม่มี ก็เชิญแกมาพิสูจน์ด้วยตาตัวเองก็แล้วกัน” รุ้งบอก
“ไม่ต้องห่วงชั้นไปแน่ อยากไปดูซิว่าไอ้เก่งนักเก่งหนาจะแค่ราคาคุยรึเปล่า”
“เตรียมที่นั่งวี ไอ พี ไว้ได้เลย” ยอดเสริม
แก้ว ยอด มองรุ้งแล้วยิ้มเยาะ รุ้งทำเป็นเดินออกไปแล้วก็หันหลังมาถีบแก้วดังโครมจนแก้วถลาหน้าคว่ำ
“เฮ้ย!”
แก้วหันมาเห็นรุ้งเดินไปแล้ว
“นังรุ้ง ฝากไว้ก่อนเถอะ บ้าเอ๊ย อุ๊ยย” แก้วแค้น

โซว์ยืนอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษอยู่ที่แผงหนังสือ รุ้งวิ่งเข้ามากอดแขนเขาแล้วร้องไห้ฟูมฟายสะอึกสะอื้น โซว์ตกใจ
“เจ้าชายช่วยรุ้งด้วย รุ้งถูกลวนลาม”
โซว์มองรุ้งอย่างเซ็งๆ ก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือต่อ “ก็ไม่เห็นมีอะไรบุบสลายนี่”
“ถึงตัวจะไม่บุบสลาย แต่ใจซิ ใจรุ้งมันเจ็บปวดรวดร้าว อับอายขมขื่น ...”
โซว์ไม่ได้สนใจที่รุ้งพูด “นี่รุ้งถามอะไรหน่อยซิ รู้จักคำว่า หึง มั้ย”
“หึง อุ๊ย..ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ นี่แสดงว่าเจ้าชายหึงรุ้งใช่มั้ย”
“แล้วมันคืออะไร”
รุ้งเลิกร้องไห้ทันที “เอาอย่างนี้นะตัวเอง เค้าจะอธิบายง่ายๆ พระเอก ซึ่งก็คือ เจ้าชาย ไม่พอใจที่เห็นนางเอก ซึ่งก็คือ รุ้ง ไปกับผู้ร้าย เพราะตัวเองรักนางเอกไง นี่แหละแปลว่าหึง”
อธิบายเสร็จรุ้งก็เอามือตีไหล่โซว์เบาๆ ก่อนจะหันไปอีกทางด้วยความเขิน
โซว์ยิ้ม “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”
โซว์ยิ้มก่อนจะเดินออกไปโดยไม่สนใจรุ้งที่ยังบิดม้วนอายอยู่คนเดียว
“บ้าหึงเค้า ทำเป็นมาถามความหมาย เซี้ยว จริงๆเลย” รุ้งหันไปจะตีโซว์อีก แต่โซว์ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว รุ้งถึงกับเหวอ “เอ้า เสด็จพี่ไปไหนแล้วล่ะ เสด็จพี่ รอด้วย”
รุ้งรีบวิ่งตามโซว์ออกไป

ขิงเดินถือตะกร้าด้วยท่าทางหงุดหงิดมาตามทางนอกบ้าน โซว์แอบหลังพุ่มไม้ เมื่อเห็นขิงเดินมาใกล้ เขาก็เข้าไปแกล้งด้วยการหลอกให้ตกใจ “แบร่ !!”
ขิงไม่ตกใจแถมยังหันมามองโซว์หน้าเซ็งๆ
“ไปเล่นกับรุ้งเถอะไป๊...ชั้นไม่มีเวลามาเล่นอะไรไร้สาระกับนาย”
“อย่าซีเรียสไปหน่อยน่า โกรธอะไรใครนักหนา”
“เรื่องของชั้น ไม่เกี่ยวกับนาย”
“เอ ..แต่ชั้นว่าท่าทางอย่างเธอคงไม่ได้โกรธใครหรอก น่าจะหึงใครมากกว่า”
ขิงได้ฟังก็ตกใจจนหน้าแดง เธอรีบหันไปเอาเรื่องทันที
“หึงอะไร ...นายว่าชั้นหึงใคร”
“ไม่บอก” โซว์ทำเป็นยิ้มหน้ากรุ้มกริ้ม “จะไปเก็บสายบัวมาทำแกงใช่มั้ย เดี๋ยวชั้นช่วยพายเรือให้นะ”
“ไม่ต้อง ..นายบอกชั้นมาว่านายว่าชั้นหึงใคร”
“คนไม่ใกล้ไม่ไกลแถวนี้แหละ” โซว์ว่า
“ไม่ใกล้ไม่ไกลขนาดไหน” ขิงมองหา เธอเห็นโซว์ยิ้มกรุ้มกริ่ม ขิงก็เริ่มรู้ตัว “นี่อย่าบอกนะว่านายคิดว่าชั้นหึงนาย”
“แล้วใช่มั้ยล่ะ .....” โซว์ถาม
“มั่วแล้ว”
“ไม่ได้มั่ว ...น้าตุ๊กบอกว่าเธอ.....” โซว์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ขิง “หึงชั้นกับรุ้ง”
ขิงรีบหลบตา “ไม่ได้ชอบจะหึงได้ไง”
โซว์ยิ่งพูดแกล้ง “ไม่หึงก็ดีแล้วหละ เพราะชั้นไม่อยากให้เธอเสียใจ เพราะจริงๆแล้วจะว่าไปรุ้งเค้าก็น่ารัก ขี้อ้อน สวย”
“แหวะ” ขิงพึมพำ “ตาต่ำ”
“อิจฉาเค้าสิ”
“ทำไมต้องอิจฉา” ขิงย้อน
“จริงๆ ถ้าเธอหัดทำตัวเป็นผู้หญิงบ้างสิ เธอก็น่ารักไม่หยอกเหมือนกันนะ”
โซว์แกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนเกือบจะชนหน้าขิง ขิงตกใจจึงผลักโซว์ออกไปตามสัญชาตญาน โซว์ที่ไม่ทันระวังเซหงายหลังจนตกน้ำ ขิงมองด้วยความสะใจ
“สมน้ำหน้าเล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับชั้น”
ขิงกำลังจะเดินออกไป แต่เธอก็กังวลจึงหันกลับมามองว่าทำไมโซว์ยังไม่โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำอีก
“เฮ่ย..อย่ามาล้อเล่น นายว่ายน้ำเป็นไม่ใช่เหรอ ไอ้โซ่ ไม่ขำนะ”
ผิวน้ำยังคงนิ่ง ขิงตัดสินใจกระโดดน้ำลงไป ก่อนจะดำผุดดำว่ายเพื่อหาโซว์ โซวค่อยๆโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำอีกมุมหนึ่งไม่ไกลกันแล้วมองขิงขำๆ เมื่อขิงเผลอเขาก็เข้าไปกอดขิงไว้
“จ๊ะเอ๋ !!”
ขิงหันมาเห็นโซว์ก็ตกใจ “ไอ้บ้าคนผีทะเล ชั้นตกใจหมดเลย นึกว่านายตายไปแล้ว”
โซว์หัวเราะ “ฮ่า..ฮ่า..ในที่สุดผมก็หลอกคุณได้สำเร็จ”
ขิงรู้ว่าโดนหลอกก็โกรธจึงตีน้ำและสาดน้ำใส่โซว์ยกใหญ่
“ไอ้บ้า ไอ้ทุเรศมาหลอกกันได้ นี่แน่ะ..”
ขิงพยายามสาดน้ำเอาคืนโซว์ แต่โซว์พยายามหนี แล้วทั้งสองก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข

ขิงและโซว์ยืนก้มหน้าจ๋อยในสภาพเนื้อตัวเปียกปอน ในตระกร้าว่างเปล่าเพราะไม่มีสายบัวซักสาย ยายขมเดินมองทั้งสอง ในมือของยายขมถือไม้เกาหลังเกาหลังตัวเองไปด้วยด้วยความโมโห ก่อนจะทำเหมือนจะเอาไม้เกาหลังตีโซว์และขิง ทั้งโซว์และขิงหลบกันวุ่นวาย
“ว่างมากกันรึไง ถึงไปเล่นอะไรไร้สาระแบบนั้น” ยายขมว่าแล้วเอาไม้เกาหลังตีหัวโซว์ “ถ้าเป็นหวัดปอดบวม จะทำยังไง ใครจะมาเล่นลิเกแทน ไม่มีความรับผิดชอบ”
ขิงรีบออกรับแทน “ขิงผิดเองจ๊ะยาย ขิงเป็นคนผลักนายโซ่เค้าตกน้ำไปก่อน”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวให้กัน นี่ก็เหมือนกัน” ยายขมเอาไม้เกาหลังตีหัวขิง “บอกให้ไปเก็บสายบัว แล้วเป็นไง ไม่ได้ซักสาย ดี !! งั้นวันนี้อดข้าวเย็นกันทั้งบ้าน”
“อย่าว่าขิงเลยครับยาย เพราะผมแกล้งขิงก็เลยเป็นแบบนี้” โซว์บอก
ยายขมมองโซว์และขิงสลับกันไปมาด้วยความสงสัย
“ทำไมต้องมาแก้ตัวแทนกันด้วย” ยายขมจ้องตาทั้งขิงและโซว์ “อย่าบอกนะว่าแกสองคนกิ๊กกัน”
“ไม่ใช่นะยาย ไม่ใช่อย่างนั้น ที่ชั้นบอกก็ไม่อยากให้ยายเข้าใจผิด” ขิงรีบโบ้ย “แต่จริงๆนายโซ่ก็ไม่ดี ถ้าเค้าไม่แกล้งขิงก่อน ก็ไม่เป็นอย่างนี้หรอก”
“โห..ทิ้งกันเลยนะ ก็ได้ผมยอมรับว่าเป็นความผิดผมคนเดียว” โซว์มองหน้าขิง “พอใจยัง”
“ดี ไอ้โซ่ กล้าทำกล้ารับ งั้นแกรีบไปเปลี่ยนเสื้อ แล้วไปซ้อมลิเก ส่วนขิง ทำผิดแล้วไม่ยอมรับ ยายจะทำโทษ”
“เอ้า ยายไหงเป็นงั้นล่ะ” ขิงงง
“ไม่ต้องมาโอดครวญ ทำผิดแล้วไม่ยอรับผิด ไม่แมนโว้ย มานี่”
ยายขมลากขิงขึ้นบ้านไป ขิงหันมามองโซว์ด้วยความโกรธสุดๆ โซว์ได้แต่ยืนมองขิงที่ถูกลากเข้าไปในบ้านด้วยความเป็นห่วง

ท่านชายในสายหมอก ตอนที่ 5 (ต่อ)
ตุ๊กและโซว์กำลังช่วยกันขึงฉาก ขณะกำลังขึงฉาก โซว์พยายามหันไปยิ้มหวานให้กับขิง แต่ขิงสะบัดหน้าเชิ่ดไม่สนใจ โซว์จ๋อย
“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า เดี๋ยวไอ้ขิงมันก็หายโกรธ แค่โดนตีแค่นั้นจิ๊บจ๊อย” ตุ๊กบอกโซว์
โซว์พยักหน้า “อือ..ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
ตุ๊กเอาฉากออกมาขึง โซว์จะเขาไปช่วย แต่โซว์มือสั่นมากพอช่วยถือฉาก ฉากก็สั่นเหมือนแผ่นดินไหว ตุ๊กตกใจจนร้องลั่น
“ช่วยด้วยๆๆ แผ่นดินไหว”
ตุ๊กรีบไปหลบใต้โต๊ะ ขิง ยายขม และรุ้งวิ่งหาที่ซ่อนกันวุ่นวาย เหลือแต่โซว์ที่ยังยืนสั่นเป็นเจ้าเข้า ตุ๊กโผล่ออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเดินออกมาหาโซว์
“นึกว่าอะไรที่ไหน ที่แก้ก็แกนี่เองตัวการแผ่นดินไหว จะสั่นอะไรนักหนาวะไอ้โซ่ ดูซิสั่นเป็นเจ้าเข้าเลย”
“ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมอยู่ดีๆมันสั่นขนาดนี้ก็ไม่รู้” โซว์บอก
ขิง รุ้ง ยายขมออกมาจากที่ซ่อนเดินเข้าไปดู ขิงมีท่าทางเป็นห่วงมาก
“สงสัยจะตื่นเต้นล่ะซิ” ขิงบอก
ขิงกำลังจะขึ้นไปดู แต่รุ้งก็เดินมาชนขิงจนขิงเกือบล้มก่อนจะขึ้นไปหาโซว์ รุ้งเดินเข้าไปจับมือโซว์มากุมไว้
“มามะจับไว้แน่นๆ แบบนี้จะได้หาย”
ขิงมองรุ้งด้วยความหมั่นไส้ แล้วก็สะบัดหน้าทำเป็นไม่สนใจ โซว์มองขิงตาละห้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ยายขมเข้าหาโซว์แล้วลูบหัวอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ของเราทั้งหมดจะมาคุ้มครองให้เอ็งทำได้อย่างดี ไอ้โซ่” ยายขมบอกทุกคน “ข้าฝากความหวังให้ทุกคนทำให้ดีที่สุด คณะลิเกยายขมจะกลับมาได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับพวกแกทุกคนแล้ว”
โซว์ รุ้ง ขิง และตุ๊กมองหน้ากัน ทั้งหมดประสานสายตากันด้วยความมุ่งมั่น

ขิงเอาชุดพระเอกของโซว์ออกมาแขวน ขิงตรวจดูความเรียบร้อย เธอเอาเศษด้ายออกและปัดฝุ่นดูแลอย่างดีก่อนจะมองชุดแบบค้อนๆ
“เชอะ !! คิดว่าคนอย่างชั้นจะหึงนายงั้นเหรอ ไม่มีวันซะหรอก”
ขิงมองชุดเย้ยๆ ราวกับชุดนั้นเป็นโซว์ ขิงหมุนตัวจะเดินออกไปก็เห็นโซว์ยืนยิ้มมองอยู่ ขิงทำไม่รู้ไม่ชี้จะเดินออกไปจากห้อง แต่โซว์คว้าแขนเธอไว้
“เดี๋ยวก่อนซิ จะรีบไปไหน” โซว์ถาม
“ปล่อยซิ นายจะทำบ้าอะไรอีก อยากให้ชั้นซวยเหมือนเมื่อวานรึไง”
“ชั้นขอโทษ ที่เป็นต้นเหตุให้เธอถูกยายตี”
“แค่นี้ใช่มั้ย”
“ยัง ยังไม่หมด ชั้นอยากจะขออะไรเธออย่างด้วย”
“นายนี่หน้าด้านจริงๆ ทำให้ชั้นเดือดร้อน แล้วยังจะกล้ามาขออะไรอีก อยากจะขอก็ไปขอรุ้งเค้าซิ เค้าคงเต็มใจทำให้”
“ไม่ได้หรอกสิ่งที่จะขอมีเธอคนเดียวเท่านั้น ที่ทำได้”
ขิงมองโซว์อย่างระแวงแต่ก็อยากรู้ “อะไร”
โซว์จ้องหน้าขิงก่อนจะเดินเข้ามา ขิงเดินถอยหลังหนีจนมาชิดกำแพง โซว์ยื่นหน้าเข้าใกล้ก่อนจะยิ้มอ้อนวอน
“ตอนนี้ชั้นตื่นเต้นมากๆ กลัวว่าจะทำไม่ได้ ชั้นอยากให้เธอให้กำลังใจ” โซว์บอก
ขิงมองหน้าโซว์ด้วยความใจอ่อน ขิงตบบ่าโซว์ “นายต้องมั่นใจในตัวเองว่าทำได้ สำหรับชั้นไม่มีแม้วินาทีเดียวที่จะไม่เชื่อมั่นในตัวนาย”
ขิงพูดเสร็จก็อายตัวเองจึงรีบผละจากโซว์แล้ววิ่งออกจากห้องไป โซว์มองตามขิงยิ้มๆ
“ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ คนอย่างชั้นก็คงจะไม่ยอมทำอะไรอย่างนี้หรอก”
โซว์ยิ้มตาเป็นประกาย

พัชรีแต่งตัวเป็นผู้ชายเดินเข้ามาในผับตอนกลางวัน พนักงานกำลังทำความสะอาด เช็คข้าวของอยู่ ทุกคนหันไปมองพัชรีเป็นตาเดียว พัชรีรีบยิ้มแล้วทำท่าเป็นมิตร
พัชรีเก็กเสียงห้าว “โทษทีนะน้อง พี่มาหาคุณสุเมธที่เป็นผู้จัดการที่นี่น่ะ”
พนักงานมองหน้ากันอย่างงงๆ
“พี่ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์เหรอว่าคุณสุเมธเค้าตายแล้ว” พนักงานคนหนึงบอก
พัชรีแสร้งทำเป็นตกใจ “พี่ไปถ่ายละครที่ฮอลลีวูดมาสองเดือน เลยไม่รู้เรื่องเลย คุณสุเมธเคยให้นามบัตรไว้ บอกว่าถ้าพี่อยากถ่ายหนังที่นี่ให้ติดต่อมา โธ่ ไม่เจอกันไม่กี่เดือนไม่น่าเลย ท่าทางคุณสุเมธก็ดูแข็งแรงดีนี่”
“เค้าไม่ได้ป่วยตายหรอกพี่เค้าถูกฆ่าตาย” พนักงานอีกคนบอก
“ถูกฆ่า ..ไม่อยากจะเชื่อ คนดีๆอย่างนั้นใครกล้าฆ่าลง”
พนักงานในร้านมองหน้ากันหลุกหลิก
“พวกผมไม่รู้อะไรกันหรอกพี่ ถ้าพี่อยากคุยเรื่องเช่าสถานที่ พี่ก็ไปคุยกับพี่อำนาจแล้วกัน” พนักงานอีกคนปัดก่อนจะชี้ไปที่อำนาจที่กำลังเดินเข้ามาหาพัชรี
พัชรีเห็นอำนาจก็ตกใจทำท่าทางหลุกหลิกทันที
“พี่ว่าเอาไว้วันหลังแล้วกัน ขอเวลาพี่กลับไปทำใจเรื่องคุณสุเมธก่อนแล้วกัน แล้วพี่จะกลับมาใหม่” พัชรีบอกพนักงาน
พัชรีรีบเดินออกไปจังหวะเดียวกับที่อำนาจเดินมาถึงพอดี
“ใคร มาทำไม” อำนาจถามพนักงาน
“เห็นบอกว่าไปถ่ายหนัง คงทำอะไรอยู่ในกองถ่ายมั้งพี่ บอกว่ารู้จักพี่เมธ อยากมาขอใช้สถานที่เราถ่ายหนัง”
อำนาจมองตามพัชรีด้วยความแปลกใจ “ทำงานกองถ่ายงั้นเหรอ ?”
อำนาจมองตามพัชรีด้วยความสงสัยสุดๆ

หลังจากฟังเรื่องจากอำนาจ ชรินทร์ก็มีสีหน้าตกใจ
“ว่าไงนะ มีนักข่าวไปป้วนเปี้ยนที่ผับเรา”
“ครับนาย ผมจำมันได้มันมาสัมภาษณ์คุณติ๊งที่งานฝังลูกนิมิต แต่วันนี้มันมาที่ร้านบอกว่าทำงานกองถ่าย แล้วก็มาถามอะไรเกี่ยวกับไอ้สุเมธด้วย” อำนาจบอก
ชรินทร์หันขวับ “ไอ้สุเมธงั้นเหรอ .. แกไปสืบดูว่านังนั่นเป็นใคร ถ้าเห็นว่ามันจะทำอะไรให้ชั้นเดือดร้อนละก็ เก็บมันซะ”
“ครับเจ้านาย”
อำนาจเดินออกไป ชรินทร์มีสีหน้าเหี้ยม

พอได้ฟังการรายงานจากพัชรีแล้ว ปีเตอร์ก็โวยวายออกมาทันที
“ลงทุนปลอมตัว ออกไปหาเบาะแสทั้งวัน แต่เธอบอกว่าไม่ได้อะไรเลยงั้นเหรอ”
“ก็มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่เจ้าชายคิดนี่เพคะ แล้วที่สำคัญพัชรีไปเจอคนสนิทของนายชรินทร์นั่นด้วย พัชรีเห็นมันมองมาแปลกๆ พัชรีกลัวว่ามันจะจำได้ก็เลยต้องรีบกลับมาก่อน”
“เธอนี่มันจริงๆเลย งั้นตอนนี้เธอต้องอยู่เฉยๆก่อน อย่าเพิ่งทำอะไรผิดสังเกตเข้าใจมั้ย”
“เพคะ”
“งั้นเอาข้อมูลที่รวบรวมได้ทั้งหมดมาลองวิเคราะห์กันซิ”
จากที่ลองถามๆคนอื่นๆมา เค้าก็บอกว่านายชรินทร์เป็นคนดี อารมณ์ขัน แล้วก็ชอบให้โบนัสลูกน้อง พัชรีว่าคนอย่างนี้ไม่น่าจะฆ่าใครได้”
“พัชรีเธอยังรู้จักคนน้อยไปแล้ว ทุกคนล้วนมีด้านมืดซ่อนอยู่ ตราบใดที่เรายังหาหลักฐานที่สำคัญมาหักล้างข้อที่เราสงสัยเค้าไม่ได้ เค้าก็ยังเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่”
“แล้วใครจะล้วงด้านมืดของนายชรินทร์ได้ ถ้าเค้ามีจริงๆคงไม่มีทางที่เค้าจะเผยให้คนอื่นรู้”
“นอกจากคนที่สนิทกับเค้าจริงๆ อย่างเช่น ....”
พูดจบปีเตอร์ก็หันมามองหน้าพัชรี แล้วทั้งสองก็พูดออกมาพร้อมกัน
“ครอบครัว !!”
พัชรีมองหน้าปีเตอร์ยิ้มๆ “พัชรีว่างานนี้เจ้าชายคงต้องลงมือเองแล้วหละเพคะ”
ปีเตอร์กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ด้วยความสยอง

ปีเตอร์เดินเข้าไปทำความเคารพรูป พระราชาและพระราชินีแห่งนิวแลนด์ที่วางอยู่ในห้องพัก
“หม่อมชั้นเคยสาบานตัวไว้ ว่าจะขอสละชีวิตและเลือดทุกหยดเพื่อนิวแลนด์ บัดนี้หม่อมชั้นคิดว่าคงเป็นเวลาที่หม่อมชั้นคงต้องสละทุกสิ่งแล้ว ปีเตอร์คนนี้ขอสัญญา ต่อให้ต้องลุยกับช้างน้ำ และ นางงามพลาสติกที่ไหน ปีเตอร์คนนี้ก็จะขอลุย เพื่อองค์ชายโซว์ และเสรีภาพแห่งนิวแลนด์”
ปีเตอร์ถวายความเคารพ จากนั้นก็เตรียมตัวพร้อมด้วยความมุ่งมั่น แต่เมื่อนึกถึงหน้าติ๊งโหน่ง ปีเตอร์ก็ถึงกับขนลุกชันด้วยความสยองสุดๆ

ยอดวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาแก้วที่นั่งอยู่ที่บ้าน
“พี่แก้ว พี่แก้ว ชาวบ้านแห่ไปดูลิเกยายขมกันใหญ่เลยพี่ พวกในตลาดถึงกับปิดร้านไปเลยนะพี่”
แก้วยิ้มร้าย “ดี ! ให้พวกมันไปเยอะๆยิ่งดี จะได้เห็นความฉิบหายของไอ้พวกนั้น”
แก้วหยิบขวดใสใส่น้ำสีขาวขึ้นมา
“นั่นอะไรเหรอพี่” ยอดถาม
“สองจอกจอด...”
“อะไรนะพี่แก้ว”
“เหล้า”
“พี่แก้วจะเล่าอะไรจ๊ะ ฉันพร้อมฟังแล้ว”
“ข้าจะเล่าว่าเมื่อเช้าตอนข้าเข้าห้องน้ำ ข้าเจอตุ๊กแก” แก้วนึกขึ้นได้ “เยย! เหล้าที่ข้าพูด หมายถึงเหล้า เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เหล้าชนิดนี้เค้าว่ากันว่ากินได้ไม่เกินสองจอก คนกินก็จอดแล้ว”
“แล้วพี่จะ...” ยอดถามแล้วก็คิดได้เอง “..อ๋อ...พี่แก้วนี่ฉลาดจริงๆ”
“อยากรู้นัก อย่างไอ้หน้าขาวมันจะทนได้ซักกี่จอก”
แก้วและยอดมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสะใจ

โซว์เดินไปเดินอยู่ด้านหลังโรงลิเก เขาพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อตั้งสมาธิ
“ออกงานกับเสด็จพ่อ เสด็จแม่ ยังไม่เครียดขนาดนี้เลย ให้ตายซิ”
โซว์เดินไปเดินมาก่อนจะหันไปเห็นยอดและแก้วเดินเข้ามา โซว์รีบหันจะเดินหนี แก้วกับยอดรีบวิ่งเข้ามาหา
“จะรีบหนีไปไหนล่ะ อย่าเพิ่งไปซิ พวกชั้นมาดีไม่ได้มาร้ายหรอก” แก้วบอก
โซว์ได้ฟังก็หยุดนิ่งก่อนจะหันมามองแก้วและยอดที่กำลังทำหน้าตาบ๊องแบ๊วด้วยความแปลกใจ
“พวกเรามาดีจริงๆ” แก้วย้ำ “ชั้นกลับไปนั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิด ที่ชั้นทำไปทั้งหมดยังไงๆน้องขิงก็คงไม่มีวันหันกลับมามองชั้นหรอก เพราะชั้นมันชั่ว เลว”
“งี่เง่า ไร้สติ หยาบช้า” ยอดเสริม
“พอแล้ว !!” แก้วบอก
“พวกนายต้องการอะไร” โซว์ถาม
“พวกเราต้องการทำสัญญาสงบศึก อยากกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม” ยอดบอก
“พูดตามจริง ชั้นอิจฉานายมาก ที่ได้ใกล้ชิดน้องขิง แถมยังได้เป็นพระเอกลิเกที่ชั้นใฝ่ฝันมานาน นายมันโชคดีจริงๆ”
แก้วทำท่าโศกเศร้าสุดๆ โซว์มองแล้วก็เริ่มใจอ่อน
“นี่ก็แสดงว่านายจะไม่กลั้นแกล้ง ยายขมเรื่องหนี้อีกแล้วใช่มั้ย” โซว์ถาม
แก้วเข้าไปจับมือโซว์ “แน่นอนเพื่อนรัก จบการแสดงวันนี้แล้ว ชั้นจะเข้าไปขอขมายายขมทุกเรื่อง”
โซว์พยายามดึงแก้วเข้าไปในโรงลิเก “งั้นทำไมนายไม่เข้าไปตอนนี้ล่ะ”
แก้วรีบรั้งตัวไว้ “อย่าเลย ตอนนี้ทุกคนกำลังตั้งสมาธิเตรียมตัวก่อนเล่น ชั้นไม่อยากให้ทุกคนตื่นเต้นเกินไปน่ะ” แก้วมองโซว์ “ท่าทางนายก็ดูตื่นเต้นนะ”
“ใช่ ..ชั้นไม่เคยแสดงอะไรต่อหน้าคนเยอะๆแบบนี้มาก่อน”
แก้วกระซิบ “ยายขมไม่ได้บอกวิธีแก้ตื่นคนเหรอ”
“ไม่ได้บอก มีด้วยเหรอ”
“มีซิ ไม่อย่างนั้นพวกลิเก นักร้องเค้าจะขึ้นไปร้องเพลงได้ยังไงล่ะ ทุกคนเค้าก็ตื่นเต้นแบบนายทั้งนั้นแหละ”
“เค้าทำยังไง” โซว์ถาม
แก้วยิ้มร้าย “คนไทยเรามียาดี ไว้แก้โรคตื่นเต้น” แก้วยื่นขวดให้โซว์ “นี่ถ้าไม่ใช่คณะยายขม คุณยายน้องขิงละก็ ชั้นไม่ให้หรอกนะ นี่เห็นว่าเรากำลังจะเป็นคนกันเองแล้ว”
โซว์รับขวดมาแล้วมองพิจารณา เขาลองเปิดขวดพอได้กลิ่นก็ฉุนกึก
“เป็นยาแน่เหรอ”
“ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวให้ไอ้ยอดกินให้ดูก็ได้” แก้วบอก
แก้วคว้าขวดมากรอกปากยอด ยอดจึงต้องจำใจกิน โซว์สังเกตพฤติกรรมของยอด
“เป็นไงวะ ไอ้ยอด” แก้วถาม
ยอดที่เริ่มมึนๆ พยายามยกนิ้วชูสองนิ้ว โซว์เห็นแล้วก็ยิ้ม
“ขอบใจมากนะ ชั้นสัญญาว่าวันหลังจะตอบแทนบุญคุณนายแน่”
โซว์มองขวดในมือด้วยความดีใจก่อนจะเดินออกไป ทันทีที่โซวเดินหายออกไป ยอดที่ยืนยิ้มอยู่ก็ทรุดหมดสติไปทันที
“ไอ้ยอด ไอ้ยอด อย่ามานอนตรงนี้ซิวะ ใครจะแบกเอ็งกลับ ...”
แก้วมองตามโซว์แล้วยิ้มร้าย

หลังเวที รุ้งอยู่ในชุดนางเอกแสนสวยกำลังแต่งหน้าอยู่หน้ากระจก โซว์นั่งอยู่ไม่ห่างกัน ยายขมกำลังช่วยแต่งหน้าให้โซว์ ขิงที่นั่งแต่งตัวอยู่ข้างๆ แอบมองเห็นรุ้งแต่งตัวแต่งหน้าสวยก็รู้สึกอิจฉานิดๆ
รุ้งหันมาเหล่มองขิง “มองอะไรจ๊ะ รึว่าอิจฉาอยากแต่งตัวสวยๆอย่างชั้นบ้าง”
“ชิ..ไม่เห็นอยากแต่งเลย” ขิงบอก
ทันใดนั้น ตุ๊กก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“แม่ แม่ คนมาดูเต็มโรงเลย ตอนนี้แน่นจนแทบจะต้องยืนดูแล้ว”
ขิงรีบลุกขึ้นไปแอบดูข้างเวที เธอเห็นคนดูมากมายต่างพยายามจับจองที่นั่งกันอยู่ เหล่าแม่ยกเตรียมพวงมาลัยแบงค์มาเต็มไม้เต็มมือ
“จริงด้วยจ๊ะยาย” ขิงบอก
“ไอ้โซ่ คืนนี้แกรวยแน่ แม่ยกเพียบ” ตุ๊กบอก
“แม่ยกคืออะไรน๊ะ” โซว์ถาม
“แม่ยกก็เหมือนแฟนคลับ ถ้าเอ็งเล่นดีดี แม่ยกเค้าก็เอาพวงมาลัยติดเงินมาให้เอ็ง” ตุ๊กอธิบาย
“พวงมาลัยรถน่ะเหรอน้าตุ๊ก”
“เออพวงมาลัย จะได้เอาไว้ขับ เยยย ไอ้บ้า!! พวงมาลัยดอกไม้เว๊ย ได้มากเท่าไหร่ แบ่งกันด้วยนะ คนไทยเค้าถือเรื่องน้ำใจเป็นเรื่องสำคัญ” ตุ๊กบอก
ยายขมเอาไม้เกาลังตีหัวลูกชาย “ไอ้ตุ๊ก!! หุบได้แล้ว เดี๋ยวโซ่มันจะเสียสมาธิ เอ็งอย่าเพิ่งไปสนใจอะไรทั้งนั้น มาตั้งสมาธิ ตั้งสติ ไหว้พ่อแก่กันก่อน”
ยายขมจุดธูป 6 ดอกก่อนนำทุกคนไหว้พ่อแก่ด้วยความตั้งใจ

คนดูต่างนั่งรอชมลิเกด้วยความตื่นเต้น แก้วนั่งอยู่มุมหนึ่งโดยมียอดที่ยังเมาหลับไม่รู้เรื่องฟุบอยู่ใกล้ๆ เสียงเพลงออกแขกดังขึ้น ตุ๊กในชุดแขกออกมาหน้าเวทีพร้อมกับร้องเพลงออกแขก
“เห่ เฮ เฮ เฮ้ เฮเห่เฮ เฮเห่เฮ เฮ้เฮเฮเฮ. ...ลาลามานา ฮัดชาซาเก...
ปลาดุกกระดุกกระดิกเอาไปผัดพริกอร่อยดีแฮ
สวัสดีพ่อแม่ทั้งหลายพี่น้องหญิงชายที่สนใจลิเก
มาเถิดมาเถิดไวไวเรื่องราวสนุกใหม่ รับรองได้เฮ
ฮัลเลวังก้า เชิญทัศนาลิเกเอย.....
ซะลามจ๊ะนายจ๋า ไม่เจอกันซะนานยายหง่อม หย่อนยานกันทุกคนเลยนะจ๊า วันนี้ฉานมีความยินดี ที่จะนำเสนอการแสดงอันยอดเยี่ยม จากคณะลิเกที่เก่าแก่ และมีประวัติยาวนาน คณะลิเกยายขมยุคใหม่ ไฉไลกว่าเก่าแน่นอนจ๊ะนาย วันนี้เราจะเล่นลิเกกันเรื่องจันทโครพ เรื่องราวเป็นยังไงพ่อแม่พี่น้องคงรู้กันเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เปิดฉากแรกขอท่านเชิญพบกัน พระตาเจ้าตาม ในท้องเรื่องจันทโครพได้ ณ บัดนี้”
ตุ๊กพูดเสร็จก็ถอดชุดแขกออกให้เห็นชุดฤาษีที่อยู่ข้างใน คนดูหัวเราะฮือฮาด้วยความตื่นเต้น ตุ๊กเดินวนรอบโรงลิเกก่อนจะมานั่งบนตั่ง
ตุ๊กร้องลิเก “จะกล่าวฝ่ายพระมุนีฤาษีศิลป์ ...”

โซว์ยืนอยู่ข้างเวที เขามองตุ๊กที่แสดงลิเกอย่างคล่องแคล่วสามารถเรียกเสียงฮาจากคนดูตลอดเวลา โซว์ยิ่งมองก็ยิ่งสั่น
ยายขมเดินเข้ามาพูดกับเขา “เดี๋ยวจะถึงตาเอ็งแล้วนะ”
“จ๊ะยาย”
ยายขมเดินออกไป โซว์ยิ่งมองไปเห็นคนดูเยอะก็ยิ่งสั่น เขาสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนล้วงไปในกระเป๋า แล้วหยิบขวดที่แก้วให้ออกมาก่อนจะเปิดฝา โซว์ปิดจมูก
“เป็นไงเป็นกัน”
พูดเสร็จโซว์ก็ตัดสินใจดื่มจนหมดขวดชนิดที่ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว

ตุ๊กแสดงลิเกอยู่บนเวที
“เอาล่ะถึงเวลาที่ข้าจะขอแนะนำลูกศิษย์สุดหล่อ ที่เดินทางจากแดนไกลเพื่อมาร่ำเรียนวิชาจากข้า วันนี้ถึงเวลาที่ศิษย์รักข้าเรียนจบแล้ว ข้าจะมอบชองขวัญพิเศษให้แก่เค้า ขอเสียงปรบมือต้อนรับ จันทโครพ”
เหล่าแม่ยกคนดูต่างลุกขึ้นปรบมือต้อนรับกันเกรียวกราว หลายคนยืนเพื่อจะดูจันทโครพ เสียงปี่พาทย์ตีรับ แต่จันทโครพก็ไม่ยอมออกมา ตุ๊กมองคนดูแล้วยิ้มแหยๆ ก่อนจะรีบแก้สถานการณ์
“สงสัยพูดภาษาไทยจะไม่เข้าใจ ต้องพูดภาษาอังกฤษ” ตุ๊กพูดภาษาอังกฤษออกเสียงเต็มที่ “เลดี้ แอนด์ เจนเทิลแมน พลีส เวลคัม จันทโครพ”

คนดูกับตุ๊กตั้งตารอ พอเห็นขาของโซว์ก้าวออกมา คนดูก็ตื่นเต้นพากันปรบมือกันใหญ่ แต่ทุกคนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นโซว์เดินเซไปเซมาเหมือนคนไม่มีสติอยู่บนเวที ตุ๊กต้องรีบเข้าไปประคองให้มานั่งบนตั่ง
แล้วตุ๊กก็พยายามแก้สถานการณ์
“เป็นอะไรไปน่ะ จันทโครพ สงสัยเมื่อคืนไปปาร์ตี้หนักไปหน่อยล่ะซิ พระเจ้าตาเตือนแล้วว่าอย่าออกไปปาร์ตี้ มันไม่ดีรู้มั้ย”
คนดูหัวเราะชอบใจ โซว์เริ่มเล่นลิเกตามใจฉัน
“ข้าพเจ้ามีนามว่า...โซว์ เป็นเจ้าชายตกทุกข์จากแดนไกล ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน มาเร่ร่อนไร้ถิ่นฐานวันนี้ข้าพเจ้ายินดีเหลือเกินที่จะได้กลับบ้าน ไปหาเสด็จพ่อ เสด็จแม่เสียที ว่าแต่” โซว์มองตุ๊ก “เจ้าเตรียมตั๋วเครื่องบินให้เรารึยังล่ะ” โซว์จับหนวดกับผมขาวของตุ๊ก “ไอ้แก่”
คนดูหัวเราะเพราะคิดว่าเป็นมุข ตุ๊กหน้าเหวอแล้วพยายามกระซิบโซว์
“ผิดเรื่องแล้วเว้ยไอ้โซ่ แกเล่นเรื่องอะไรของแกวะ”
โซว์ไม่สนใจ เขาหันไปเห็นผอบหยิบขึ้นมา
“แล้วนี่อะไรเนี่ย หน้าตาเหมือนกระโถนฉี่”
ตุ๊กพยายามแก้สถานการณ์ “ใครว่ากระโถนฉี่ นั่นผอบที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าเป็นของขวัญ”
โซว์เขย่าผอบ “ข้างในมีอะไรเนี่ย”
“อย่าเพิ่งเปิด เอาไว้เปิดตอนที่เจ้าไป....”
พูดยังไม่ขาดคำ โซว์ก็เปิดผอบออก
“พูดไม่ทันขาดคำ”
คนที่นั่งดูถึงกับผงะและตื่นเต้น
โซว์มอง “ไม่เห็นมีอะไรเลย”
ตุ๊กทำอะไรไม่ถูก เขาหันไปเห็นคนดูกำลังมองลุ้นว่าในผอบจะมีอะไร ตุ๊กไม่รู้จะทำไง
“เอาวะ มั่วก็มั่ววะ” ตุ๊กพูดกับโซว์ “ใครว่ามีอะไร เอ้า นางโมราออกมาจากผอบเร็ว”
ปี่พาทย์รับ รุ้งรำออกมาแบบหน้าตางงๆ ก่อนจะเดินไปกระซิบกับตุ๊ก
“อะไรกันน้า ยังไม่ถึงคิวชั้นไม่ใช่เหรอ”
“ไอ้โซ่มันเป็นอะไรไม่รู้ มั่วใหญ่แล้ว ข้าว่านาทีนี้ ถ้ามันมั่วมาเราก็ต้องมั่วไปแล้ววะ”
รุ้งมองโซว์ที่ตาปรือด้วยความแปลกใจ ก่อนจะร้องลิเกทั้งๆที่ตัวเองก็ยังงง
“ อันตัวข้าชื่อนางโมรา เป็นสาวโสภาจากผอบ
หากมีชายใดมาได้พบคงจะตกหลุมรักทันที”
โซว์มองหน้ารุ้งก่อนจะหัวเราะ
“ หน้าอย่างนี้เนี่ยนะจะมีใครมาหลงรัก ผู้หญิงที่ประเทศข้าสวยกว่านี้อีกเพียบ”
คนดูหัวเราะ รุ้งหน้าเสียเหมือนจะร้องไห้ โซว์พูดเสร็จก็ร้องเพลงภาษาอังกฤษมั่วซั่วก่อนจะลงไปนอนเกลือกกลิ้งหน้าเวที รุ้งและตุ๊กพยายามจะดึงกลับมานั่งที่ตั่งเขาก็ไม่ยอม โซว์ผลักจนกระเด็นไปคนละทาง แล้วเขาก็แหกปากร้องเพลงไม่ยอมหยุด คนดูที่นั่งอยู่เริ่มงง ต่างพากันซุบซิบจนทั่วโรงลิเก

ยายขมมองจากข้างเวที
“ไอ้โซ่มันทำอะไรของมันวะ ทำไมมันถึงได้เล่นออกทะเลกันอย่างนี้”
“นั่นซิยาย ท่าทางนายโซ่ก็ดูแปลกๆนะ” ขิงว่า
“แกออกไปซินะขิง ถ้ามันไม่ไหว ก็จัดการลากมันกลับมา ก่อนที่ทุกอย่างจะเจ๊งไปกว่านี้”
ขิงพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะเตรียมตัวออกไป ยายขมมองไปนอกเวทีด้วยความกลุ้มใจ

ขิงในชุดโจรป่าออกมาจากด้านข้างเวที เธอเข้าไปหาโซว์ที่เดินเซไปเซมาจนโดนข้าวของบนเวทีหล่นเสียหาย
“อยู่นี่เองรึเจ้าชายจันทโครพ” ขิงเริ่มพูด
“เจ้าเป็นใคร ข้าไม่ได้ชื่อจันทโครพ ข้าชื่อโซว์ เป็นรัชทายาทแห่งนิวแลนด์” โซว์บอก
“จะมาจากไหนก็ช่าง เราต้องการหญิงสาวสวยที่มากลับเจ้า”
โซว์มึนงง “ไหน ไม่มี ข้าตัวคนเดียว ไม่มีใครที่ไหน”
ตุ๊กรีบเอารุ้งมาจับมือโซว์ “ก็นี่ไงนางจากผอบที่ข้าให้เจ้าไง รับไปแล้วนะ ข้าจะได้หมดหน้าที่ซะที”
ตุ๊กจะวิ่งหนีเข้าข้างเวที แต่โซว์ไม่ยอม เขารีบวิ่งไปแล้วเอารุ้งคืน
“ข้าไม่เอาผู้หญิงอย่างนี้เอาของเจ้าคืนไป”
“กรี๊ดๆๆๆๆ” รุ้งไม่พอใจ “เสด็จพี่ ทำไมทำอย่างนี้กับหม่อมชั้นเพคะ หม่อมชั้นไม่ใช่ของ ที่โยนไปให้คนโน้นทีคนนั้นทีนะ”
รุ้งวิ่งตามไปเอาเรื่องโซว์ โซว์เดินไม่ทันระวังจึงไปชนรุ้งเข้าอย่างจัง รุ้งหกล้มไปชนวงปี่พาทย์แตกกระเจิง
“ไปกันใหญ่แล้ว รีบกลับไปกับข้าเร็ว” ขิงบอกโซว์
“ข้าไม่กลับ” โซว์บอก
“งั้นเห็นทีเราคงต้องประลองดาบกันแล้ว” ขิงว่า
ขิงยกดาบเตรียมพร้อม โซว์มองหาจนไปเจอดาบก็คว้ามาถืออย่างโงนเงน ขิงไม่รอช้าเข้าไปฟันโซว์ ทั้งสองต่อสู้กัน ขิงไปชนตุ๊กจนตกเวทีก่อนจะถีบโซว์เซไปโดนฉากขาด โซว์ไม่ยอมแพ้วิ่งฟันข้าวของบนเวทีจนพังเสียหาย บรรยากาศบนเวทียิ่งวุ่นวายมากขึ้น
คนดูโห่และปาของใส่ ก่อนจะทยอยลุกออกไป ขิงโมโหจึงวิ่งเข้าไปเอาดาบตีหัวโซว์อย่างแรง จนโซว์สลบไป เธอหันไปเห็นคนดูลุกออกไปจนหมดแล้ว ขิงมองไปก็เห็นตุ๊กกลิ้งตกเวที ส่วนรุ้งก็วิ่งไปมาโดยมีผ้าฉากคลุมหัวอยู่ ทุกอย่างบนเวทีแตกพังเสียหายหมด ขิงหันไปมองข้างเวทีเห็นยายขมยืนหน้าเศร้าเพราะทั้งเสียใจและผิดหวังสุดๆ
“ยาย !!”
แก้วยืนมองอย่างสะใจ ขิงมองทุกคนที่หายไปจากโรงลิเกแล้ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย !!” ขิงงง
กำลังโหลดความคิดเห็น