ท่านชายในสายหมอก ตอนที่ 4
ปีเตอร์ล็อคประตูห้องบิสเนสเซ็นเตอร์ในโรงแรมก่อนจะเดินเข้าไปหาพัชรีที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว พัชรีหยิบรูปมาใส่เครื่องสแกนเนอร์ สักพักรูปก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ปีเตอร์พิจารณา
"ดูไม่ออกซักนิด" ปีเตอร์บอก
"เดี๋ยวลองเพิ่มแสง กับความคมชัดดูนะเพคะ" พัชรีเสนอ
ไม่ทันรอคำตอบ พัชรีก็ทำตามสัญชาติญาณนักข่าว โดยมีปีเตอร์ยืนอึ้งอยู่ใกล้ๆ
"รูปมันมืดเกินไปจะทำอะไรก็ยาก" พัชรีบอก
"งั้นลองดูซิว่ามีอะไรพอเป็นจุดสังเกตได้บ้าง"
"จุดสังเกตของอะไรเหรอเพคะ"
"เราอยากรู้ว่าผู้ชายในรูปนั้นคือใคร"
พัชรีหันมาถามด้วยความอยากรู้ "ท่าทางเค้าจะเป็นคนสำคัญของเจ้าชายมากเลยนะเพคะ หรือว่าเจ้าชายจะเป็น เก้งกวาง!!”
ปีเตอร์ออกท่าสาว "อ๊ายยย ตายแล้ว ความลับแตก ตะเองรู้ได้ไง จะบ้าเหรอ ฉันไม่ใช่เก้งกวาง ทำไปอย่างเดียวไม่ต้องถาม"
พัชรีมองปีเตอร์แบบค้อนๆ ก่อนจะลองขยายรูปเพื่อดูหน้าแต่ก็เห็นไม่ชัด พัชรีขยายรูปไปเรื่อยๆ ปีเตอร์สังเกตเห็นแหวนบนมือของคนในรูป
"เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน ไหนลองขยายซิ นั่นคืออะไร"
พัชรีขยายรูปก่อนจะเห็นแหวนบนนิ้วมือของชายคนนั้นอย่างชัดแจ๋ว
"แหวนนี่เพคะ ท่าทางจะไม่ใช่แหวนธรรมดาๆซะด้วย มรกตเม็ดเบ้อเริ่ม" พัชรีบอก
พัชรีครอปภาพเฉพาะแหวนก่อนจะสั่งปริ้นออกมาให้ปีเตอร์
"นี่เพคะ เจ้าชายรูปที่พอจะเห็นได้"
"ดีมากพัชรี เธอนี่เก่งกว่าที่ชั้นคิดไว้มากเลย ไม่นึกเลยนะว่าแม่บ้านโรงแรมในประเทศไทยจะเก่งขนาดนี้ เห็นทีจะต้องขอยืมตัวไปประเทศนิวแลนด์บ้างแล้ว"
พัชรีหัวเราะแหะๆก่อนจะรีบถามด้วยความอยากรู้ "แล้วเจ้าชายจะทำยังไงต่อเพคะ"
"เราก็จะต้องหาคนที่ใส่แหวนนี้ให้เจอน่ะซิ"
ปีเตอร์มองรูปด้วยความกังวล ส่วนพัชรีมองปีเตอร์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
รถสองแถวแล่นมาจอดหน้าตลาด ผู้คนทยอยลงจากรถรวมทั้งโซว์ที่ลงมาเป็นคนสุดท้าย โซว์มองไปรอบๆ เห็นบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย เขาถอนหายใจแล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋าก็พบว่าตัวเองมีเศษเงินไม่กี่บาท โซว์จ่ายค่ารถสองแถวก่อนจะมองเงินที่เหลืออยู่น้อยนิดอย่างอ่อนใจ
"ไม่น่าหยิ่งเลยเรา เฮ่อ เงินแค่นี้จะไปทำอะไรได้"
โซว์เก็บเงินเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเดินเข้าไปในตลาดโดยไม่มีจุดหมาย
ที่ท่ารถสองแถว แก้วกับยอดกำลังนั่งเล่นหมากฮอสกันอยู่ รถจากกรุงเทพแล่นเข้ามาจอด ผู้โดยสารทยอยลงมาจากรถ รุ้งใส่เสื้อสีแจ๋นและสวมแว่นตาดำเดินหน้าจ๋อยๆ อายๆ ลงมาจากรถ เธอรีบลงจากรถแล้วพยายามไม่ให้ใครเห็น ยอดที่กำลังเล่นหมากฮอสอยู่หันมามอง พอเห็นเสื้อสีแสบของรุ้งก็จำได้
"พี่แก้ว นั่นมันนังรุ้งนี่ ไหนว่ามันจะไปทำงานที่กรุงเทพแล้วไง" ยอดว่า
"แล้วทำไมมันต้องใส่แว่นดำด้วยวะ" แก้วสงสัย
"ถ้าอยากรู้ ก็ต้องตามไปดูแล้วลูกพี่"
แก้วกับยอดรีบเดินไปดักหน้ารุ้งไว้ รุ้งเดินก้มหน้าก้มตาพอเห็นทั้งสองก็ตกใจรีบหันหลังจะเดินหนี แต่แก้วและยอดก็เดินอ้อมมาขวางไว้
"จะไปไหนละจ๊ะแม่รุ้งเจ็ดสี ไปกรุงเทพแล้วไม่ได้ดีเหรอจ๊ะถึงได้รีบกลับมา" แก้วถาม
"แล้วมันเรื่องอะไรของพวกแก หลีกไปเลย ชั้นจะกลับบ้าน"
"แหม..ไม่ยักกะรู้ว่าที่กรุงเทพเค้ามีแฟชั่นฮิต ทาสีช้ำไว้ที่ปากแล้วก็รอบตาด้วย"
"ไม่ใช่สีหรอกพี่ รอยอย่างนี้ชัดเลยว่า โดนตบมาแน่" ยอดบอก
ยอดพูดเสร็จแก้วก็รีบดึงแว่นตาดำที่รุ้งใส่ออก ทำให้เห็นว่ารอบตารุ้งก็เป็นรอยช้ำ
"จริงด้วยว่ะ นังลิเกหลงโรงไปโดนคนกรุงเทพตบมาจริงด้วยว่ะ" แก้วบอก
"แก ไอ้ทุเรศ ไอ้ชั่ว ไอ้บ้า แกเอาแว่นชั้นคืนมานะ" รุ้งโมโห
"เรื่องอะไรจะให้ คนเค้าจะได้เห็นว่านางเอกลิเกหลงโรงอย่างแก โดนตบมา" แก้วตะโกน "เจ้าข้าเอย มาดูเร็วนางเอกลิเกโดนตบมา ตาเขียวปูดเลย"
แก้วร้องตะโกนก่อนจะวิ่งไปพร้อมกับแว่นของรุ้ง รุ้งรีบตามด้วยความโมโห
"ไอ้บ้า เอาแว่นชั้นคืนมานะ ไอ้บ้า"
แก้วกับยอดเอาแว่นรุ้งวิ่งหนี รุ้งพยายามวิ่งตามเพื่อเอาคืน
แก้วและยอดวิ่งหนีพร้อมถือแว่นตาของรุ้งผ่านโซว์ที่เดินมาจากอีกทาง โซว์หันไปมองตามยอดและแก้วแล้วส่ายหน้าก่อนจะหันหน้าจะเดินกลับไปทางเดิม แล้วชนเข้าอย่างจังกับรุ้งที่วิ่งมา
"หยุดนะ ไอ้พวก ....โอ๊ย !!!” รุ้งชนกับโซว์อย่างจังแล้วก็ล้มลงไป
โซว์ตกใจรีบเข้าไปประคอง
"คุณ คุณ เป็นอะไรมากรึเปล่า คุณ ....”
รุ้งได้สติก็หันหน้ามาจะด่าโซว์
"เดินยังไง ทำไมไม่ดูตา ...”
พอรุ้งได้เห็นหน้าหล่อใสสไตล์อินเตอร์ของโซว์ก็ถึงกับพูดไม่ออกเนื้อตัวอ่อนระทวย
"เป็นอะไรรึเปล่า" โซว์ถาม
รุ้งเพ้อ "เจ้าชาย เจ้าชายของรุ้ง"
โซว์มองหน้ารุ้งด้วยความตกใจ เขารีบปล่อยมือที่ประคองรุ้งแล้วยืนขึ้น
"นี่เธอ ..เธอรู้ได้ยังไง" โซว์ตกใจ
รุ้งไม่ทันระวังจึงหล่นไปก้นกระแทกกับพื้น
"โอ๊ย !! เจ้าชายทำไมทำกับรุ้งอย่างนี้ละคะ โอ๊ย !”
โซว์รีบเข้าไปดูรุ้ง รุ้งมองโซว์อย่างปิ๊งสุดๆ
โซว์กินก๋วยเตี๋ยวด้วยความหิวสุดๆ ในขณะที่รุ้งนั่งมองหน้าโซว์อย่างเคลิบเคลิ้มมีความสุข
"เสวยเยอะๆนะเพคะเจ้าชาย จะหมี่แห้งหมี่น้อย เล็ก ตับ ยำไม่งอก สั่งได้เต็มที่งานนี้รุ้งไม่อั้น"
โซว์มองหน้ารุ้งด้วยความสงสัย "ขอบใจนะ แต่ทำไมต้องเจ้าต้องเรียกชั้นว่าเจ้าชายด้วย หรือว่าเธอ ...”
"แหม..ก็หล่อขนาดนี้ ไม่ให้เรียกเจ้าชายแล้วจะเรียกอะไรล่ะคะ"
โซว์ขำ "อ๋อ ที่เรียกเจ้าชาย เพราะว่าเรา ...หล่อเหรอ"
รุ้งขำด้วย "ไม่ใช่หล่อธรรมดาด้วยนะ หล่อมากเลย หล่อเด้งกระแทกใจรุ้งตรงๆเลย .. ว่าแต่เจ้าชายเป็นไงมาไง ถึงได้มาเดินอยู่แถวนี้ล่ะเพคะ"
"เอ่อ คือ เรามาเที่ยว แล้วทำกระเป๋าหาย พาสปอร์ตก็หาย จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เงินก็ไม่มี ตอนนี้กำลังหาที่พัก เธอพอจะรู้มั้ยว่าแถวนี้มีที่ไหนที่ชั้นพอจะพักได้ฟรีๆบ้าง"
รุ้งมองโซว์ตาโต
"เรื่องนั้นไม่ยากถามถูกคนแล้วล่ะค่ะ รุ้งมีที่ที่สบายที่สุด ติดคลอง บรรยากาศดีมากๆ แถมเจ้าของบ้านก็สวยมากๆด้วย"
"ที่ไหนเหรอ"
รุ้งภูมิใจนำเสนอ "บ้านรุ้งเอง"
โซว์ได้ยินถึงกับสะดุ้งแต่ไม่ทันได้พูดอะไร รุ้งลุกขึ้นแล้ววางเงินไว้บนโต๊ะ
"เถ้าแก่เก็บตังค์" รุ้งรีบดึงมือโซว์ไป "เรารีบไปกันเถอะ"
"เดี๋ยว เดี๋ยว"
"ไม่ต้องเดี๋ยว รีบไปเถอะ .....รุ้งรอไม่ได้แล้ว"
โซว์ไม่ทันได้ตอบอะไรเขาก็ถูกรุ้งลากออกไปเสียแล้ว
ยายขมและขิงช่วยกันพับชุดลิเกและเก็บเครื่องลิเกใส่กล่องพลาสติกอยู่ที่บ้าน ขิงมองชุดด้วยความเสียดาย
"แน่ใจแล้วนะยายว่าจะเลิกจริงๆ" ขิงถาม
"ก็เออซิวะ คนดูก็ไม่อยากดู คนเล่นก็ไม่มีใจ แล้วจะให้ทำไปทำไมวะ" ยายขมบอก
"ชั้นก็แค่เสียดาย"
ยายขมมองชุดลิเกอย่างเศร้า "ฮึ ..แกมันแค่เสียดาย แต่ข้าต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่สร้างมา"
ยายขมหยิบชุดลิเกขึ้นมามองด้วยความเศร้า ขิงมองยายขมด้วยความสงสาร ตุ๊กวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อย
"หาไม่เจอเลยแม่ ไอ้โซ่มันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ไวชะมัด" ตุ๊กรายงาน
"แล้วน้าไปตามที่ไหนบ้างล่ะ" ขิงถาม
"ไปที่ตลาด ท่ารถ ร้านค้า โรงแรม เกสต์เฮ้าส์ วัด โรงเรียน ห้องน้ำ บ้านยายแช่ม ร้านเจ๊คง หอพักตี๋เล็ก"
"เฮ้ย!! พอได้แล้ว พล่ามไปเรื่อยๆ ชั้นว่าโซ่มันคงจะให้เพื่อนคนรวยมารับไปแล้วมั้ง" ขิงบอก
"ไม่ต้องไปสนใจมัน ถ้ามันเลือกจะไปก็ต้องไปให้รอด มันตัดสินใจจะไปของมันเอง" ยายขมพูด
ยายขมนึกเป็นห่วงโซว์นิดๆ แต่ทำเป็นสนใจเครื่องลิเก ตุ๊กถอนหายใจด้วยความกังวลก่อนจะหันไปมองหน้าขิงที่เป็นกังวลไม่น้อยเหมือนกัน
รถสองแถวแล่นมาจอดหน้าบ้าน รุ้งลากโซว์ลงมาจากรถ โซว์เงยหน้าไปมองพอเห็นว่าคือบ้านของยายขมเขาก็ตกใจ โซว์กำลังจะอ้าปากพูด แต่รุ้งพูดแซงขึ้นมาก่อน
"ไงล่ะ ถึงกับอ้าปากค้างไปเลย บอกแล้วว่าบ้านของรุ้งทั้งสวย หลังก็ใหญ่ มีคลอง มีสวน โรแมนติกสุดๆ เหมาะที่เราจะฮันนีมูน"
โซว์มองรุ้งอย่างงงๆ รุ้งยิ้มอายๆ แล้วรีบบอก
"ไม่ใช่ พักผ่อน ...เข้ามาเร็ว ..เดี๋ยวชั้นจะพาไปดูห้องหอของเรา"
"เดี๋ยวก่อน นี่มันบ้านของ ...”
รุ้งรีบพูด "บ้านชั้นเอง เจ้าชายไม่ต้องห่วงหรอกน่า ชั้นอยู่กับยายสองคน ยายชั้นก็หูตาฝ้าฟาง เค้าไม่สนใจเรื่องของเราอยู่แล้ว"
"ไม่ใช่อย่างนั้น คือว่า ...”
"ชั้นไม่คิดค่าเช่า อยู่ฟรีไม่มีชาร์จ ขอแค่รักรุ้งน้อยๆ แต่นานๆเท่านั้นก็พอ"
รุ้งหัวเราะชอบใจอย่างมีความสุข เธอรีบดึงโซว์เข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจจะฟังโซว์แม้แต่น้อย
รุ้งลากโซว์เข้ามาในบ้าน รุ้งมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นใคร โซว์พยายามดึงดันไม่ยอมจะเข้าไป
"นี่เธอปล่อยชั้นเถอะ ชั้นมีเรื่องจะบอกเธอจริงๆ คือว่าชั้น ...”
"แหม.ไม่ต้องรีบร้อนหรอกตัวเอง ไว้ไปบอกในห้องนอนก็ได้"
"แต่ว่า ชั้น …" โซว์มองไปรอบๆ อย่างกลัวๆ
รุ้งตะโกนเรียก "ยาย ..ยาย...ยาย อยู่ไหน"
"คงไปขายขนมที่ตลาดแล้วมั้ง"
"งั้นก็ดีน่ะซิ แสดงว่าตอนนี้" รุ้งหันไปมองโซว์ตาหวาน "เราก็อยู่กันแค่สองต่อสองน่ะซิ"
รุ้งเดินถอยหลังก่อนจะดึงโซว์เข้ามาใกล้ เธอพาโซว์เดินไปหน้าห้องแล้วผลักประตูออกแล้วผลักโซว์เข้าไปในห้อง โซว์ไม่ทันระวังตัวก็ถึงกับล้ม รุ้งมองหน้าโซว์แบบหื่นๆ ก่อนจะทำท่านางแมวยั่วสวาทย่างเข้าไปหา
"เจ้าชายรู้มั้ยว่ารุ้งน่ะ ฝันจะไปอยู่เมืองนอกมาตั้งนานแล้ว ถ้าเจ้าชายมาอยู่กับรุ้งแล้วนะ ต่อไปพารุ้งไปอยู่เมืองนอกด้วยได้ป่าว"
"แล้วทำไมเธออยากไปอยู่เมืองนอกนักล่ะ" โซว์ถาม
"ก็รุ้งดูจากหนังฝรั่ง เมืองนอกมีแต่ความสะดวกสบาย ผู้คนก็มีแต่หล่อๆสวยๆ รวยๆ ทั้งนั้นเลย"
"มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดหมดหรอกนะ คนที่นั่นเค้าก็ต้องทำงานกันทั้งนั้น แล้วอีกอย่างถ้าเธอไม่ได้วีซ่า เธอก็ไปอยู่เมืองนอกไม่ได้หรอก"
"ก็วีซ่าอยู่ตรงหน้ารุ้งแล้วไง รุ้งรู้นะถ้าเราได้เสียเป็นเมียผัวกัน รุ้งก็มีสิทธิจะไปอยู่เมืองนอกกับเจ้าชายด้วย มามะเรามาหลอมรวมกันเพื่อฝันของรุ้งจะกลายเป็นจริง"
รุ้งไม่พูดพร่ำทำเพลง เธอเข้าไปกอดโซว์ก่อนยื่นปากหมายจะจูบโซว์
โซว์ตกใจพยายามหันหน้าหนีก่อนจะผลักรุ้งออกแล้วร้องโวยวาย
"ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยชั้นด้วย !!”
ยายขม ตุ๊ก และขิงได้ยินเสียงโซว์ร้องโวยวายมาแต่ไกล
"ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย ....”
"พวกแกได้ยินเสียงอะไรมั้ย" ยายขมถามขิงกับตุ๊ก
"เสียงสับหมู" ตุ๊กตอบ
"หอมหมูสับ" ขิงต่อ
ทั้งสามคนร้องออกมาพร้อมกัน "เยยยย!!”
"เสียงเหมือนใครมาร้องขอให้ช่วย" ยายขมบอก
"เสียงมันดังอยู่แถวๆนี้แหละแม่ แถมเสียงคุ้นๆนะแม่" ตุ๊กว่า
ขิงและตุ๊กมองหน้ากันก่อนจะคิดได้พร้อมกัน
"ไอ้โซ่ !”
ขิง ตุ๊ก และยายขมรีบวิ่งออกไปตามต้นเสียงทันที
ขิง ตุ๊ก และยายขมวิ่งหน้าตื่นเข้ามา พอมองเข้าไปในห้องทุกคนก็ต้องผงะและรีบเอามือปิดตา
ยายขมอุทานออกมา "คุณพระ คุณเจ้า ผีป่าเทวดาช่วยลูกช้างด้วย !”
ทั้งสามเห็นรุ้งพยายามจะเข้าไปกอดและจูบโซว์ แต่โซว์พยายามขัดขืนเต็มที่ ขิงกับตุ๊กปิดตาเพราะไม่กล้ามอง
"ไอ้โซ่ ไอ้บ้า นายทำบ้าอะไรเนี่ย นายออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ" ขิงว่า
"อย่าเพิ่งถามอะไรเลย ช่วยผมด้วย ใครก็ได้ ช่วยเอาผู้หญิงคนนี้ออกไปที" โซว์โวยวาย
"เอ้า ยืนบื้ออยู่ทำไมวะ เอ็งสองคนไปช่วยมันซิ" ยายขมสั่ง
ตุ๊กและขิงรีบเข้าไปช่วยแยกรุ้งออกจากโซว์
รุ้งมองขิงและตุ๊กด้วยสายตาค้อนประหลับประเหลิก แล้วเธอก็หันไปสบตาปิ๊งๆ กับโซว์อย่างออกนอกหน้า ยายขมหันมาเห็นก็โมโหหยิบไม้เกาหลังออกมาฟาดหัวรุ้งและโซว์คนละทีอย่างแรง
"โอ๊ย !!” โซว์ร้อง
"โอ๊ย !! ยายน่ะมาตีชั้นทำไม เจ็บนะ" รุ้งว่า
"เจ็บซิดี แกจะได้จำว่าจะไม่ทำเรื่องอุบาทว์แบบนี้ในบ้านข้าอีก"
"อุบาทว์อะไร ก็คนเค้ารักกันชอบกัน จะจู๋จี๋ดู๋ดี๋กันบ้างมันจะเป็นอะไรกันนักหนา"
"รักกันชอบกัน แกไปรักกันกับมันมาแต่ชาติไหนวะนังรุ้ง" ยายขมถาม
"ก็ตอนที่ชั้นไปกรุงเทพ ชั้นก็ไปเจอ ..." รุ้งหันไปถามโซว์ "เจ้าชายชื่ออะไรน่ะ"
ตุ๊กตอบแทน "โซ่"
"อ๋อ ๆๆ" รุ้งเล่าต่อ "ไปเจอ โซ่ เราสองคนก็รัก .." รุ้งนึกขึ้นได้" เย้ยยยย.... ทำไมน้าตุ๊กรู้จักชื่อเค้าล่ะ"
"เอ้า ก็ชั้นกับไอ้ขิงเป็นเพื่อนมันน่ะซิ" ตุ๊กบอก
"งั้นก็แสดงว่า ยาย ขิง แล้วก็น้าตุ๊ก รู้จักพระสวามีของชั้นแล้วน่ะซิ ดีเลยจะได้ไม่ต้องแนะนำตัวกันให้เสียเวลา"
"ถวายบังคมเพคะเจ้าชายเจ้าหญิง" ตุ๊กนึกได้ "เยยย นังรุ้ง แกจะบ้าเหรอไงวะ"
"ใช่ บ้า บ้าบอคอแตก มีแต่เอ็งคนเดียวนั่นแหละที่ไม่รู้จักพระสวามีของเอ็ง นังรุ้ง...หนอย..คิดจะไปก็ไป คิดจะกลับก็กลับ แถมกลับมายังมาทำอัปรีย์ในบ้านข้าอีก...อีนางเอกตกอับ" ยายขมว่า
"ทำไมยายต้องมาว่ารุ้งด้วย อ๋อหรือว่ายายแอบชอบพระสวามีของรุ้ง"
"ใช่ ข้าชอบมัน ถุย" ยายขมถุยออกม่าเต็มหน้ารุ้ง "พูดออกมาได้ บัดสี!! ข้าไม่ชอบพวกชอบกินเด็ก เปิดเนิสเซอรี่นะเว๊ย"
"หัวใจรุ้งเป็นอิสระรุ้งอยากทำอะไรก็ได้ อยากจะรักใครก็ได้" รุ้งเข้าไปกอดโซว์ "ยายไม่มีสิทธิ์ยุ่ง"
"เออกูไม่ยุ่งหรอก ...มึงอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ...กูไม่อยากจะยุ่งกับพวกมึงแล้ว เบื่อโว้ย"
ยายขมเดินปึงปังออกไป ขิงเองก็มองโซว์อย่างผิดหวัง เธอลุกขึ้นเดินปึงปังตามยายขมไป โซว์มองตามด้วยความรู้สึกผิด
"เดี๋ยวก่อนครับคุณยาย ..ขิง ..คือว่าชั้น"
รุ้งทำตาหวาน "ทางสะดวกแล้ว เราไปทำธุระที่คั่งค้างต่อกันเถอะ" รุ้งเข้าไปจับมือโซว์
โซว์สะบัดมือรุ้งออก "ไม่ !!! เราขอสั่งห้ามเจ้าเข้ามายุ่งกับเราเด็ดขาด !”
โซว์โมโห เขาลุกขึ้นเดินปึงปังออกไป
"เอ้า.." รุ้งร้องลิเกขึ้นมาทันที "เสด็จพี่จะทิ้งหม่อมชั้นไปไหนเหรอเพคะ"
"เฮ้ยไอ้โซ่ จะไปไหน มาถึงนี่แล้วก็อยู่ที่นี่ซิ ไอ้โซ่" ตุ๊กพยายามเรียก
"ไม่ชั้นต้องไป ..สายเลือดกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ" โซว์ยืนยัน
โซว์เดินมาดเข้มออกไปจากบ้าน ตุ๊กรีบตามไป รุ้งมองอย่างประทับใจสุดๆ
"โห เสด็จพี่ของหม่อมชั้น แมนมากๆ" รุ้งร้องเป็นเพลงลิเก "รอหม่อมชั้นด้วยซิเพคะ เสด็จพี่ จะรีบจรลีไปไหนกันเล่า ...เตรง เตรง เตร่ง เตร๊งงง ...เตรง ..เตร่ง.. เตร้ง.. เตรง.. เตร่ง รอหม่อมชั้นด้วยเพคะเสด็จพี่"
รุ้งรีบรำลิเกตามออกไปทันที
รุ้งตรงเข้าไปฉุดกระชากลากถูไม่ยอมให้โซว์ไป ในขณะที่โซว์ก็ดื้อดึงจะไปให้ได้ ตุ๊กได้แต่ยืนมองทั้งสองคนฉุดกระชากลากถูกันเพราะทำอะไรไม่ถูก
"ไปไม่ได้นะเจ้าชาย รุ้งไม่ยอมให้ไปด้วย"
"ปล่อยนะ ชั้นบอกให้ปล่อยไง"
"รุ้งไม่ปล่อย กว่าจะเจอหล่อถูกใจขนาดนี้ หาได้ง่ายๆที่ไหน"
"โอย...ตรูจะบ้า..” ตุ๊กเซ็ง
แก้วกับยอดขี่มอเตอร์ไซด์กำลังจะผ่านมาทางนั้นพอดี ยอดที่ซ้อนท้ายอยู่รีบชี้ให้แก้วดู
"พี่แก้วดูนั่น ...ไอ้ฝรั่งนั้นไม่ใช่เหรอ"
แก้วโมโห "หนอยวันก่อนคั่วน้องขิง วันนี้จะมาคั่วยายรุ้งงั้นเหรอ ใจคอมันคิดจะรวบผู้หญิงสวยๆไปหมดคนเดียวรึไงวะ อย่างนี้มันต้องเจอเดชลูกกำนัน"
แก้วเร่งมอเตอร์ไซด์เข้าหา
"พี่แก้วจะทำไร" ยอดถาม
"จับให้แน่นๆ...ตกไปไม่รับประกันนะเว้ย"
ยอดรีบกอดตัวแก้วไว้ แก้วเร่งเครื่องมอเตอร์ไซด์เข้าไปหาโซว์เต็มแรง
ตุ๊กพยายามแยกรุ้งและโซว์ออกจากกัน
"นังรุ้ง แกจะบ้าไปแล้วเหรอ อยากมีผัวฝรั่งไม่บันยะบันยังอย่างนี้เสียชื่อผู้หญิงไทยหมด"
"บอกให้ปล่อยไง" โซว์พยายามแกะมือรุ้งออก
"ไม่ ชั้นไม่ปล่อย"
รถมอเตอร์ไซด์ของแก้วพุ่งตรงเข้ามาหาโซว์ ตุ๊กหันไปเห็นก็ตกใจ
"เฮ้ย !! ระวัง"
โซว์และรุ้งรีบหันไปมอง รถของแก้วพุ่งตรงมาอย่างแรง รุ้งรีบปล่อยมือโซว์ออกแล้วกำลังจะผละออก แต่เป็นจังหวะที่รถพุ่งเข้าใส่โซว์พอดี โซว์กระโดดหลบทำให้ไม่โดนตรงๆ แต่รถก็ยังเฉี่ยวโดนเขาจนตัวลอยแล้วล้มลงที่พื้น ยอดที่ซ้อนหลังหันกลับมามองด้วยความสะใจ
"โห ..ลูกพี่ ..ไอ้หัวแดงกลิ้งเป็นลูกขนุนเลย"
แก้วหันมาดู "ไหนวะ"
แก้วหันมามองจึงไม่ได้ดูทางข้างหน้า รถแก้วพุ่งจะชนกับต้นไม้
"ลูกพี่ระวัง" ยอดตะโกน
แก้วรีบหันกลับจนเห็นต้นไม้อยู่ข้างหน้าเขาจึงรีบหักหลบ รถเสียหลักร่วงลงไปในคลองข้างทาง
ขิงกับยายขมรีบวิ่งออกมาหน้าบ้าน ตุ๊กและรุ้งเข้าไปช่วยประคองโซว์ที่หมดสติไปแล้ว ขิงตกใจรีบเข้าไปดู
"เกิดอะไรขึ้นวะ" ยายขมถาม
"ไอ้โซ่ถูกรถเฉี่ยว ...” ตุ๊กบอก
"อย่าเพิ่งตายนะเพคะ เสด็จพี่ ..” รุ้งพูด
รุ้งพยายามเขย่าตัวโซว์แต่โซว์ไม่ฟื้น ขิงเห็นเข้าก็ตกใจรีบเข้าไปดูและพยายามเรียกสติโซว์
"นายโซ่ ..ไอ้โซ่ นายอย่าเพิ่งมาตายนะ ไอ้โซ่...”
โซว์ยังไม่รู้สึกตัว ขิง รุ้ง ยายขมและตุ๊กมองหน้ากันด้วยความตกใจ
ตุ๊กและขิงช่วยกันยกร่างของโซว์เข้ามาในห้องแล้ววางไว้บนเสื่อ ขิงกุลีกุจอหาหมอนมาให้โซว์หนุนก่อนจะพยายามเรียกโซว์ที่ยังไม่ได้สติ
“โซ่..นายโซ่ นายโซ่ ..นายตายแล้วเหรอเนี่ย”
ตุ๊กทำท่าจะร้องไห้ “อะไรกันเพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆ มาด่วนตายซะแล้ว”
ขิงตกใจ “ไม่ได้นะ นายจะตายไม่ได้ นายยังติดเงินชั้นอีกตั้งหลายบาท ตื่นนะไอ้บ้าโซ่ อย่ามาทิ้งกันอย่างนี้”
ขิงทั้งทุบทั้งตีโซว์จนเขารู้สึกตัวสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“โอ๊ย..โอ๊ย โอ๊ย.. จะฆ่ากันรึไง หยุดตีได้แล้ว ชั้นเจ็บนะ โอ๊ย”
ตุ๊กดีใจจนโผเข้าไปกอด “ไอ้โซ่ แกยังไม่ตาย”
ขิงมองโซว์ด้วยความดีใจ “เฮ่อ...นึกว่าจะต้องชวดเงินซะแล้ว”
“โธ่ !! คิดว่าห่วงชั้น ที่แท้ก็ห่วงเงิน”
ยายขมและรุ้งถือขวดยาและผ้าพันแผลวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้อง
“ตกลงจะเรียกวัดหรือเรียกโรงพยาบาล” ยายขมเพิ่งสังเกตเห็น “อ้าว !! ฟื้นแล้วเหรอ”
รุ้งรีบโยนของที่ถือมาทิ้งแล้ววิ่งไปกอดโซว์ “เป็นอะไรมากรึเปล่าจ๊ะ เจ็บตรงไหนมั้ย”
รุ้งเข้าไปดูแลเอาใจใส่โซว์ ยายขมมองโซว์ที่ไม่เป็นอะไรแล้วด้วยความโล่งอกก่อนจะเดินออกไปจากห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ ขิงเห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินตามยายขมออกไปทันที
ยายขมเดินออกมาจากห้องแล้วยืนหันหลังเพื่อครุ่นคิดบางอย่าง ขิงเดินตามออกมาแล้วเรียก
“ยาย..”
“เออๆ ตามใจเอ็ง จะเอายังไงก็เอา”
ขิงงง “ดะ เดี๋ยวยาย ...ยายรู้เหรอว่าชั้นจะมาพูดเรื่องอะไร”
ยายขมหันมาเอาไม้เกาหลังตีหัวขิงเบาๆ “เชอะ คิดว่าไม่รู้รึไง แกจะมาขอให้ไอ้หน้าวอกอยู่บ้านเราล่ะซิ ยายน่ะอาบน้ำร้อนมาก่อนแกนะ”
รุ้งกับตุ๊กค่อยๆพยุงโซว์เดินออกมาจากห้อง ยายขมหันไปเห็นก่อนจะทำเป็นเชิ่ดใส่ ขิงมองโซว์อย่างลุ้นๆว่าจะทำยังไง โซว์ตัดสินใจเดินเข้ามาหายายขมแล้วนั่งลงและยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ตุ๊กและขิงมองหน้ากันด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าโซว์จะทำอย่างนั้น
“คุณยายครับ ผมรู้ตัวว่าผมชอบทำให้คุณยายเดือดร้อน แต่ผมอยากจะขอแก้ตัว ผมสัญญาว่าผมจะช่วยคุณยายและทุกๆคนให้ได้”
“ไม่ต้องมาสัญญง สัญญาอะไรทั้งนั้นไอ้หน้าวอก” ยายขมว่า
โซว์ ขิง ตุ๊ก และรุ้งถึงกับหน้าเสีย
“ถ้าอยากจะทำก็ต้องทำให้ได้ ไม่ต้องมาอารามภบท เยิ่นเย้อ ยืดยาด น่าเบื่อ” ยายขมบอก
“แสดงว่ายายให้โอกาสผมใช่มั้ยครับ ..ไชโย้ !” โซว์ดีใจ
โซว์รีบลุกทั้งๆที่ยังเจ็บอยู่ เขาตรงเข้าไปกระโดดกอดยายขมและหอมแก้มยายขมด้วยความดีใจสุดๆ
“ขอบคุณครับยาย”
ยายขมอายแต่ก็กลบเกลื่อนด้วยการเอาไม้เกาหลังตีกบาลโซว์แต่โซว์หลบทัน ทำให้ไม้โดนหัวตุ๊กอย่างแรง
“โอ๊ย!!! “ ตุ๊กร้องลั่น
ยายขมเดินออกไป ตุ๊กหันไปมองโซว์กับขิง
“จะตายก็เพราะยายเอ็งเนี่ยแหละนังขิง” ตุ๊กบอก
ขิงยิ้มๆ แล้วหันไปมองโซว์ ทั้งสองยิ้มให้กันด้วยความดีใจ
ขิงเอายาใส่แผลให้โซว์ โซว์สะดุ้งเพราะแสบพร้อมกับร้องซี๊ด เขารีบเอามือไปจับมือขิงไว้ไม่ให้เอายามาทาแผลเขาต่อ ขิงมองโซว์ที่จับมือเธอแล้วก็รีบสะบัดมือออก ก่อนจะผลักโซว์จนล้มหงายหลัง
“ซาดิสต์ ชั้นยิ่งเจ็บๆอยู่ ยังมาทำร้ายซ้ำอีก กลัวชั้นไม่ตายดีรึไง” โซว์ว่า
“แค่นี้ยังน้อยไป ถ้าเป็นคนอื่นมาแต๊ะอั๋งแบบนี้ รับรองตายไม่ได้ผุดได้เกิด”
“งั้นก็แสดงว่าชั้นเป็นคนพิเศษกว่าคนอื่นล่ะซิ”
ขิงอึกอัก “ถ้าเกิดนายเจ็บกว่านี้ชั้นก็ต้องเสียเงินค่ารักษา แล้วถ้านายตาย ชั้นก็ชวดเงิน 50000 ที่นายติดไว้น่ะซิ”
พูดจบ ขิงก็รีบเอายาทาให้โซว์อย่างแรงก่อนจะปิดพลาสเตอร์ให้แบบกระแทกกระทั้น โซว์มองขิงค้อนๆเพราะรู้สึกเจ็บ
“แล้วนายคิดรึยังว่านายจะทำยังไงต่อไป” ขิงถาม
“ยังไม่รู้เลย แต่ที่ประเทศชั้นเราเชื่อกันว่า เวลาจะให้คำตอบกับทุกอย่าง” โซว์บอก
“หวังว่าเวลาของนายคงไม่นานจนเกินไปนะ เพราะตอนนี้บ้านชั้นก็ไม่ค่อยจะมีกิน แถมยังต้องระแวงไม่รู้จะโดนตำรวจจับเข้าตะรางวันไหน”
ขิงมองหน้าโซว์เศร้าๆ โซว์มองขิงแล้วยิ้มปลอบใจ
“จำที่ชั้นสัญญาไว้ไม่ได้รึไง ไม่ว่าจะยังไงเธอจะต้องไม่เดือดร้อน” โซว์พูด
ขิงชะงักเล็กน้อย “ทำอย่างกับว่าตอนนี้ไม่เดือดร้อนงั้นนี่”
โซว์ได้ฟังก็หน้าเศร้าไป ขิงมองเขาด้วยความสงสาร
“นายรีบไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นขึ้นมาช่วยยายทำงานแต่เช้า เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจ …” โซว์ตอบ
ขิงและโซว์ลุกขึ้น ขณะกำลังลุกโซว์ยังเจ็บแผลอยู่จึงเซจะหกล้ม ขิงเห็นเข้าก็ตกใจรีบเข้าไปคว้าตัวไว้ ทำให้ทั้งสองคนอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ขิงและโซว์มองหน้ากันอย่างเขินๆ พอขิงได้สติก็รีบผลักโซว์ออก ก่อนจะยืนเขินเพราะทำหน้าไม่ถูก ขิงรีบเดินออกจากห้องไป โซว์มองตามยิ้มๆ
ท่านชายในสายหมอก ตอนที่ 4 (ต่อ)
รุ่งเช้า ยายขมกำลังยืนคนขนมในหม้อหน้าเตาไฟ โซว์เดินเข้ามาอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วเดินเข้าไปยืนข้างๆหูยายขม
“อรุณสวัสดิ์จ๊ะยาย”
ยายขมทำขนมอยู่เพลินๆ ถึงกับสะดุ้งตกใจ
“คุณพระช่วย !!” ยายขมหันไปเอาเรื่องโซว์ “ใจคอนี่จะฆ่ากันตั้งแต่เช้ารึไง”
“ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าคุณยายจะตกใจขนาดนี้”
ยายขมเห็นโซว์ทำท่าหงอแล้วก็ขำ “แล้ววันนี้คิดยังไงถึงตื่นเช้าห๊ะ”
“ผมอยากมาช่วยคุณยายทำขนมครับ”
“ดี หัดจำเอาไว้ อยู่บ้านท่านต้องไม่นิ่งดูดาย รู้จักปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”
โซว์พูดอย่างมั่นใจสุดๆ “ผมเข้าใจที่คุณยายบอกนะครับ แต่ผมปั้นวัวปั้นควายอะไรนั่นไม่ค่อยเป็น ช่วยทำขนมน่าจะง่ายกว่า” โซว์ยิ้มแหยๆ
ยายขมส่ายหน้า “นี่ขนาดมันเข้าใจนะเนี่ย...เอ้าถ้าอยากช่วย งั้นไปเอากะทิใส่หม้อ” ยายขมชี้ไปที่หม้อ “สามทัพพี ..ถ้าใส่ผิดอีกคราวนี้จะเอาทัพพีฝังหัวแกเลย จะได้จำ”
“ไม่ต้องห่วงครับ คราวนี้ไม่ผิดแน่”
- โซว์เดินไปที่หม้อกะทิ ก่อนจะตักกะทิที่ละทัพพีค่อยๆราดลงบนขนมอย่างเบามือ ยายขมมองยิ้มพอใจ
- รับภาพที่ด้านนอก เห็นขิงยืนแอบมองยายขมและโซว์เริ่มเข้ากันได้ก็ยิ้มมีความสุข
ชาวบ้านเดินขวั่กไขว่อยู่ในตลาดเมืองเพชรเพื่อจับจ่ายซื้อกับข้าว ที่มุมหนึ่งในตลาด ขิง ตุ๊ก รุ้ง และยายขมช่วยกันทยอยหยิบขนมที่ทำเสร็จแล้วมาวางที่แผง
“เอ้า เร่เข้ามาๆ ขนมหวานยายขมเจ้าเก่ามาแล้วจ้า ..” ตุ๊กตะโกนเรียกลูกค้าแล้วกินโชว์ “ขนมอร๊อยอร่อย ชิมได้จ๊ะ สาวๆอายุไม่เกิน 25 ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ไม่ใช่ขนมนะจ๊ะ แต่เป็นคนขาย กิ้ว”
“น้าตุ๊ก พูดไปกินไปอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวขนมยายก็หมดพอดีหรอก” ขิงว่า
ไม่มีใครสนใจเข้ามาซื้อเลย จนกระทั่งโซว์ยกขนมออกมาวาง ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาโดยเฉพาะสาวๆ เริ่มหันมาสนใจ สาวเข้ามามุงดู ขิงจึงตั้งท่าขายขนมเต็มที่
“รับอะไรดีจ๊ะพี่”
“นั่นใครน่ะนังขิง หล่อลากดินชะมัดเลย” ชาวบ้านสาวคนหนึ่งถาม
“นั่นสิ ... หรือว่าจะเป็นพระเอกลิเกคนใหม่วะ” สาวอีกคนถาม
“เปล่าจ๊ะพี่ เขาแค่มาอาศัยอยู่ชั่วคราว” ขิงตอบ
รุ้งรีบผลักขิงออกไป แล้วเสนอหน้ามาพูดแทน
“พวกเธอไม่รู้อะไร ... อีตานั่นน่ะเค้าเป็นเจ้าชายของชั้น”
สาวชาวบ้านหันมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าชายเลยเหรอ!!!”
รุ้งพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ บรรดาชาวบ้านสาวๆ พากันกรี๊ดกร๊าดอย่างชอบอกชอบใจกับความหล่อของโซว์ โซว์ทำหน้างงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ขนมบนแผงยังอยู่เท่าเดิม แต่หน้าร้านมีคนเต็มโดยเฉพาะสาวๆ ที่แย่งกันมายลโฉมโซว์ ยายขมนั่งหน้าเครียดเพราะกลุ้มใจที่ขนมขายไม่ออก เธอลุกขึ้นไปเก็บแผงอย่างเศร้าสร้อย โซว์หันไปมองยายขมด้วยความสงสาร
“อ้าว ยายยังขายไม่หมดเลย ยายจะกลับแล้วเหรอจ๊ะ” ขิงถามยาย
“ก็เออสิวะ ตลาดจะวายหมดแล้ว ยังไงก็ขายไม่ได้อยู่ดี”
“รออีกเดี๋ยวเถอะจ้ะ เผื่อจะขายได้บ้าง”
รุ้งฉุดแขนโซว์ที่อยู่ท่ามกลางสาวๆ ที่มารุมกรี๊ดแล้วพูดกับเขา
“เจ้าชายขา รุ้งว่าเรากลับกันก่อนดีกว่า รุ้งชักจะเหนียวตัวแล้ว”
โซว์ดึงมือรุ้งออกเพราะไม่ยอมไปด้วย เขาเดินไปหายายขมที่กำลังจะกลับ
“ยายครับ ให้ผมช่วยขายขนมได้มั้ย รับรองต้องขายหมดแน่ๆ”
“เฮอะ น้ำหน้าอย่างแกจะทำได้เร้อ”
“ได้สิครับ ผมมีวิธีก็แล้วกัน”
โซว์เดินไปที่หน้าแผง ยายขมกับขิงมองหน้ากันด้วยความสงสัย
เวลาผ่านไป สาวๆ มายืนต่อคิวหน้าแผงขนมของยายขมกันยาวเหยียด ตุ๊กคอยจัดคิวให้สาวๆ
“ไม่ต้องแย่งกันจ้า ซื้อครบ 50 บาท รับรองว่าไอ้โซ่หอมแก้มทุกคนแน่นอน” ตุ๊กบอก
อีกมุมหนึ่งไม่ไกลกัน สาวๆชาวบ้านกำลังยื่นหน้าให้โซว์หอมแก้ม โซว์หอมแก้มสาวๆ เสร็จ สาวคนนั้นก็ทำท่าเขินอายแล้วเดินกระดี๊กระด๊าจากไป ขิงกับรุ้งช่วยกันตักขนมมือเป็นระวิง รุ้งเหล่มองขิงแล้วค่อยๆ วางทัพพีลงพร้อมกับทำท่าจะไปต่อแถว
“จะไปไหน!” ขิงถาม
“ชั้นก็จะไปต่อแถวน่ะสิ ถ้าไม่รีบ เดี๋ยวขนมก็หมดกันพอดี” รุ้งบอก
“ไม่ต้องเลย มาช่วยกันตักเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นสวยแน่”
รุ้งเห็นขิงทำหน้าเอาจริงก็ยอมกลับมาช่วยตักขนมต่ออย่างไม่พอใจ เธอกระแทกทัพพีด้วยความหงุดหงิดยายขมมองโซว์อยู่ด้านหลังอย่างไม่พอใจ
โซว์ถือเงินปึกใหญ่ด้วยสีหน้าดีใจ เขาเดินไปหายายขมที่นั่งทำหน้าปั้นปึ่งอยู่อีกมุม
“เห็นมั้ยครับยาย ผมขายขนมของยายได้หมดเลย นี่ครับเงินค่าขนม”
โซว์ยื่นเงินให้ยายขม แต่ยายขมปัดมือโซว์ออกอย่างแรง ทุกคนเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ
“เงินนี่ ข้าไม่เอาด้วยหรอก!!” ยายขมพูด
“ทำไมล่ะจ๊ะยาย นายโซ่เค้าอุตส่าห์ช่วยพวกเรานะ” ขิงบอก
“เฮอะ คิดว่าทำดีแล้วรึไง เที่ยวไปกอดจูบกันกลางตลาด ทำเหมือนขายตัวไม่มีผิด ใครจะเอาก็เอาไป”
“แม่ใครวะ เรื่องมากฉิบหาย” ตุ๊กพูด
ยายขมเอาไม้เกาหลังตีหัวตุ๊ก “แม่เอ็งนั่นแหละ”
ตุ๊กสะดุ้ง ยายขมเดินหนีไป ทุกคนอึ้งไปตามๆ กัน โซว์จ๋อย
“ผมทำผิดอีกแล้วใช่มั้ย”
“ไม่ต้องคิดมากน่า นายเจตนาดี เพียงแต่อาจจะผิดวิธีไปหน่อย” ขิงบอก
โซว์ฮึด “ผมจะไปขอโทษยาย พวกคุณอย่ามาห้ามผมนะ”
โซว์ยื่นเงินคืนให้ตุ๊ก แล้วเดินดุ่มๆ ตามยายขมไป
ขิงบ่นกับตัวเอง “ใครเค้าจะห้ามนายยะ”
รุ้งเห็นเงินในมือตุ๊กก็ฉวยมาไว้ซะเอง
“เฮ้ย นังรุ้ง แกจะเอาเงินไปไหน”
“แหม ไหนๆ ยายก็ไม่เอาแล้ว ให้ชั้นสมทบทุนไว้เข้าคอร์สเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของเจ้าชายโซ่ก็แล้วกัน” รุ้งว่า
รุ้งเอาเงินยัดใส่อก ตุ๊กเลยไม่กล้าล้วง ขิงเห็นดังนั้นก็เลยเดินไปดักหน้ารุ้งแล้วทำหน้าเอาเรื่อง
“เอาเงินของยายคืนมา!!”
รุ้งทำท่าจะไม่ยอม
ขิงทำหน้าโหด “จะคืนดีๆ หรือจะให้ชั้นล้วงเอง”
รุ้งจำใจล้วงเงินออกมาคืนขิงด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด แล้วเธอก็เดินสะบัดหน้าจากไป ตุ๊กกับขิงได้แต่ส่ายหน้าเพราะเอือมระอารุ้ง
“ไอ้ขิง ไปดูยายหน่อยไป” ตุ๊กบอก
ขิงพยักหน้าแล้วเดินไป
ยายขมนั่งดูภาพถ่ายที่เธอถ่ายกับตาในชุดลิเกสมัยที่ยังสาวๆ อยู่ในห้องเก็บของ ยายขมลูบภาพถ่ายด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“ยายขอโทษนะตา” ยายขมรำพึงออกมา
ประตูห้องเก็บของเปิดออก ขิงเดินเข้ามาในห้อง ยายขมรีบเช็ดน้ำตา ขิงลงไปนั่งข้างๆ ยายขม
“ยายโกรธนายโซ่เหรอจ๊ะ”
ยายขมถอนใจ “ยายไม่ได้โกรธไอ้โซ่มันหรอก แต่ยายโกรธตัวเองมากกว่าที่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตาเค้าไม่ได้”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันผ่านไปเถอะนะจ๊ะยาย”
“ตาเค้าตายเพราะคณะลิเกถูกยุบ ยายอุตส่าห์ปลุกปั้นคณะขึ้นมาใหม่เพื่อรำลึกถึงตา แต่ยายก็รักษามันไว้ไม่ได้อยู่ดี”
“ยายอย่าคิดมากสิจ๊ะ ขิงว่าเราต้องหาทางออกได้แน่ๆ”
สองยายหลานกอดกันกลม ยายขมน้ำตาไหล ส่วนขิงก็ร้องไห้เพราะสงสารยาย โซว์แอบฟังทั้งสองคุยกันอยู่ที่หน้าห้องเก็บของ เขารู้สึกสงสารสองยายหลานขึ้นมาจับใจ
คุณหญิงฉาดประภาค่อยๆเปิดประตูเข้ามาในห้องติ๊งโหน่ง ทั้งห้องมืดมิดเพราะติ๊งโหน่งไม่ยอมเปิดไฟ เสียงร้อง ฮือ ฮือ ของติ๊งโหน่งดังออกมาจากในห้อง ฉาดประภามองเข้าไปในห้องอย่างกลัวๆ ก่อนจะตัดสินใจเปิดไฟแล้วเดินตามเสียงร้องเข้าไป
“ลูกติ๊งจ๋า ลูกติ๊งเป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ …. ทำไมถึงไม่ยอมลงไปทานข้าว”
ฉาดประภาเดินเข้าไป เสียงคราง ฮือ ฮือ ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนฉาดประภาเริ่มกลัว
“เป็นอะไรก็บอกกันได้นะจ๊ะลูก อย่าทำแบบนี้ ลูกติ๊ง ลูกติ๊งอยู่ไหน”
ฉาดประภาเดินเข้าไปก็เห็นติ๊งโหน่งนั่งคุดคู้ก้มหน้าอยู่บนพื้น ฉาดประภาเข้ามาจับตัวติ๊งโหน่งให้หันมา แล้วเธอก็ต้องตกใจสุดขีดเพราะเห็นติ๊งโหน่งขอบตาคล้ำ หน้าดำ มีสภาพหลอนสุดๆ
“ว๊าย !!!! ผี”
“ผีที่ไหนล่ะคะคุณแม่ … ติ๊งเอง
ฉาดประภาโล่งใจ “ลูกติ๊งเป็นอะไร ทำไมถึงได้โทรมไม่เหลือซากอย่างนี้ละจ๊ะ”
ติ๊งโหน่งแบะปาก ก่อนระเบิดเสียงร้องไห้ “เจ้าชายสัญญาว่าจะมาหาติ๊งก็ไม่มา โทรไปก็ไม่รับ สงสัยจะถูกนังดาด้ามันฉกเอาไปแล้ว ติ๊งเจ็บปวด แม่เข้าใจติ๊งมั้ย !!”
ติ๊งโหน่งร้องไห้โวยวาย ฉาดประภาพยายามจะเข้าไปปลอบ แต่ติ๊งโหน่งไม่ยอม
“คุณแม่ออกไปเถอะค่ะ ติ๊งไม่อยากเจอหน้าใคร ไม่มีแก่ใจพบคน หนักใจเหลือทนทุกครั้งที่พบใคร คนที่ติ๊งอยากเจอมีเจ้าชายคนเดียวเท่านั้น”
ติ๊งโหน่งดันฉาดประภาออกไปจากห้องก่อนจะปิดประตูใส่หน้าดังโครม ฉาดประภารู้สึกหนักใจ
ฉาดประภาวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องทำงานของชรินทร์
“แย่แล้วค่ะ คุณแย่แล้ว ลูกติ๊ง ลูกติ๊ง !!”
ชรินทร์ตกใจจึงหันขวับมาถามทันที “ลูกติ๊งเป็นอะไร”
อำนาจโพล่งออกมา “คุณหนูติ๊งตายแล้วเหรอครับ !”
ชรินทร์และฉาดประภาหันมามองอำนาจก่อนจะตบกะโหลกอำนาจพร้อมๆ กัน อำนาจขมุบขมิบปากแอบด่าทั้งคู่
“ตกลงลูกติ๊งสุดที่รักของผม เป็นอะไร” ชรินทร์ถาม
“ลูกติ๊งไม่ยอมกินข้าว แล้วก็บอกว่าไม่อยากจะเจอหน้าใคร”
อำนาจร้องต่อเป็นเพลง “ไม่มีแก่ใจพบคน หนักใจเหลือทนทุกครั้งที่พบใคร”
อำนาจร้องเสร็จก็เงยหน้ามอง เขาเห็นชรินทร์และฉาดประภามองอยู่จึงยิ้มจ๋อยๆ ก่อนจะเอามือเขกหัวตัวเองเพื่อสำเร็จโทษตัวเอง
“รีบไปดูลูกติ๊งกันเถอะ” ชรินทร์บอก
ชรินทร์ รีบเดินออกไป ฉาดประภาเดินตาม โดยมีอำนาจเดินทำปากขมุบขมิบตามออกไปด้วย
ชรินทร์และฉาดประภาก้าวเข้ามาในห้องของติ๊งโหน่ง ชรินทร์รีบโผเข้าไปหาติ๊งโหน่งที่นอนร้องไห้อยู่บนเตียง
“โธ่ !! ลูกติ๊ง ลูกสาวตัวน้อยที่แสนจะน่ารัก ของพ่อ ดูซิข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน มามะลูกพ่อ มากินอะไรหน่อยเถอะนะลูก”
อำนาจเข็นรถเข็นโรงแรมที่เต็มไปด้วยอาหารเข้ามา ติ๊งโหน่งเห็นแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื้อก แต่เธอก็สะบัดหน้าทำเป็นไม่สนใจ
“ติ๊งไม่กิน!!”
“กินหน่อยนะลูก คุณพ่อจัดเต็มมาให้ลูกนะจ๊ะ ทั้งอาหารจีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี” ฉาดประภาบอก
“ไม่ไม่ไม่ไม่ ยังไงติ๊งก็ไม่กิน”
ชรินทร์และฉาดประภามองหน้ากันด้วยความอ่อนใจ ชรินทร์ไม่รู้จะทำยังไงจึงหันไปสั่งอำนาจ
“อำนาจ แกกินให้คุณติ๊งดูซิ”
อำนาจหยิบของที่อยู่บนรถเข็นขึ้นมากินด้วยท่าทางเซ็งๆ
“กินให้มันอร่อยๆหน่อยซิวะ” ชรินทร์สั่ง
อำนาจอ่อนใจ เขาต้องแกล้งทำเป็นกินอร่อยแบบโอเว่อร์ๆ ติ๊งโหน่งมองอำนาจที่กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยแล้วก็น้ำลายสอเพราะอยากกินสุดๆ
ติ๊งโหน่งค่อยๆ เข้าไปมองใกล้ๆ แล้วค่อยๆเอื้อมมือจะไปหยิบอาหารมากิน ชรินทร์กับฉาดประภามองลุ้น
ติ๊งโหน่งยื่นมือออกไปจะกำลังจะหยิบอาหารอยู่แล้ว แต่อยู่ๆ เธอก็หยุดแล้วหันไปมองหน้าอำนาจและ ฉาดประภา ก่อนที่เธอจะแบะปากแล้วร้องไห้โฮออกมา
“ไม่ ติ๊งจะไม่กินอะไรทั้งนั้น ติ๊งจะกินแต่เจ้าชาย ได้ยินมั้ย ติ๊งจะกินแต่เจ้าชาย เจ้าชาย!!!”
ติ๊งโหน่งแต่งตัวเป็นม้ากำลังแหกปากร้องฮี้ฮี้พร้อมกับยกขาหน้าไปตรงหน้าปีเตอร์ที่ยืนขาแข้งสั่น
“อย่านะติ๊งโหน่ง เธออย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันขอร้อง” ปีเตอร์ร้องขอชีวิต
“ติ๊งโหน่งอยากแทะเจ้าชาย ฮี้ฮี้ มามะเจ้าชาย มาหาติ๊งซะดีดี”
ปีเตอร์หน้าตาตื่นพร้อมกับส่ายหัว
“ไม่นะ ไม่ไม่ไม่”
ปีเตอร์หันหลังจะวิ่งหนี แต่ติ๊งโหน่งวิ่งมาโผล่ตรงหน้า หันไปทางไหนปีเตอร์ก็เห็นแต่ติ๊งโหน่งเป็นสิบๆตัวล้อมรอบเขาอยู่ ปีเตอร์อยากร้องไห้ ติ๊งโหน่งหัวเราะพร้อมร้องเสียงเป็นม้าควบเข้ามาหาปีเตอร์
“ไม่นะ ไม่ อย่าเข้ามานะ อย่า เราขอร้อง ไม่...ไม่!!”
ปีเตอร์นอนดิ้นไปมาด้วยความกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงในห้องพักที่โรงแรม มือไม้ของเขาพยายามปัดป้องไปมาในอากาศ
“ไป อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา อย่า !!”
ปีเตอร์สะดุ้งตื่นโดยที่เหงื่อแตกท่วมตัว เขาหันไปมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง
ปีเตอร์มองซ้าย “ไม่มี” แล้วเขาก็มองขวา “ไม่มี” ปีเตอร์ก้มลงไปมองใต้เตียง “ไม่มี” ปีเตอร์สำรวจเนื้อตัว “อยู่ครบ” ปีเตอร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ที่แท้ก็ฝันไปนี่เอง บ้าที่สุดฝันว่ายายหมูอวกาศมากินเราได้ยังไง เพราะเจ้าชายคนเดียวที่ทำให้เราเป็นคนระแวงจิตตกขนาดนี้ …เจ้าชายนะเจ้าชาย โยนขี้ช้างไว้ให้เราแล้วก็หายไปไม่ติดต่อมาเลย” ปีเตอร์ขยี้หัวตัวเอง “เกิดเป็นไอ้ปีเตอร์นี่มันซวยจริงๆ”
ปีเตอร์ทำหน้าเศร้าและเซ็งสุดๆ
ขิง โซว์ ยายขม รุ้ง และตุ๊กนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันที่ลานหน้าบ้าน เก่ง แก้ว ยอดและลูกน้องอีก 2 คนบุกเข้ามาในบ้านโดยไม่สนใจใคร เก่ง แก้วและลูกน้องช่วยกันมาเก็บข้าวของทุกชิ้นในบ้านรวมทั้งจานข้าว ช้อนส้อม แก้วน้ำที่ทุกคนกำลังกินด้วย
เก่งประกาศลั่น “เก็บให้หมดอย่าให้เหลือซักชิ้น !!”
ยอดหยิบจานสังกะสีเก่าๆให้เก่งดู “เก่าอย่างนี้จะเอาไปทำอะไรได้กำนัน ขายก็ไม่ได้”
“ก็เก็บเอาไปให้หมามันแทะเล่นก็ได้นี่วะ” เก่งบอก
เก่ง แก้วกับยอดหัวเราะกันอย่างสะใจ โซว์ รุ้ง ตุ๊ก ยายขม และขิงโมโหจึงรีบเข้าไปช่วยกันห้าม
“หยุดนะ! จะทำอะไร” ขิงห้าม
“คนเป็นหนี้ไม่มีเงินใช้ ก็ต้องมายึดของไปขายทอดตลาดซิจ๊ะ” เก่งบอก
“ไหนแกว่าจะผัดผ่อนไปอีกไง” ยายขมว่า
“จู่ๆก็อยากจะเปลี่ยนใจซะงั้นแหละ ยายจะทำไม”
ยายขมทำท่าจะฟาดไม้เกาหลัง
“อ๊ะๆอย่านะยาย ถ้ายายทำร้ายฉันอีก ฉันจะไล่ทุกคนออกไปจากบ้านเดี๋ยวนี้!” เก่งขู่
“นึกว่าข้ากลัวเหรอวะ” ยายขมท้าทาย
“แล้วกลัวป่ะล่ะ” เก่งถาม
“ก็กลัวอ่ะจิ” ยายขมเสียงอ่อย
ทุกคนถึงกับร้องออกมา “อ้าว ยาย”
“แม่อ่ะ..เสียฟอร์มหมดเลย”
ยายขมกระซิบ “พวกมันมากันตั้งหลายคน จะให้ข้าทำไง??”
“เอ้าเร็ว! เก็บให้เรียบ อย่าให้เหลือ ฮ่าๆๆๆ” เก่งหันไปทางแก้วที่ยืนนิ่ง “หัวเราะสิวะลูกพ่อ”
แก้วหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆๆ”
ยอดเอากรอบรูปที่ใส่ภาพของตาออกมาแล้วถามเก่ง
“เอาไอ้นี่ด้วยมั้ยจ๊ะกำนัน” ยอดถาม
ยายขมเห็นแล้วก็ตกใจ “ไอ้นี่ไม่ได้เว้ย ข้าไม่ให้”
“ฉันจะเอา” เก่งบอก
เก่งกับยายขมแย่งกันไปมา โซว์สุดทนจึงเข้ามาช่วยยายขมดึงกรอบรูปคืนมาได้สำเร็จ เก่งไม่พอใจอย่างแรง
“พวกคุณทำอย่างนี้ไม่ถูก” โซว์ว่า “เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิ์มายึดของลูกหนี้ตามอำเภอใจ ต้องมีคำสั่งศาลให้ขาดทอดตลาดเท่านั้นถึงจะทำได้”
“แต่ที่นี่ใช้กฎหมู่เว้ย ...ถ้าเอ็งไม่พอใจก็ไปแจ้งตำรวจเอาซิวะไอ้จิ้งจก” แก้วว่า
ตุ๊กสุดทนเดินอาดๆ เข้ามา “มันจะมากไปแล้ว เอ็งคิดว่าตัวเองเป็นใครก็แค่ลูกกำนัน มาเจอฉันหน่อยเป็นไง” ตุ๊กถอดเสื้อโชว์ขนหน้าอก “ฉัน..อดีตนักมวย ฉายา ตุ๊กแก ตีนหนึบ วันนี้เอ็งคางเหลืองแน่แก้ว!!! ย๊าก”
ตุ๊กเต้นฟุตเวิร์คไปมาตรงหน้าแก้วกับยอด ทั้งฮุคซ้ายฮุคขวาด้วยท่าทางที่ดูโปรมากๆๆ
“น้าตุ๊กสุดยอดเลยอ่ะขิง” โซว์ชม
“สุดยอด หรือ ยอดแย่ ต้องดูกันไปก่อน” ขิงบอก
ตุ๊กร้องลั่น “ว๊ากก....”
แก้วชกเปรี้ยงเข้าที่หน้าตุ๊ก ตุ๊กถึงกับมึน โซว์ร้องออกมา “อ้าว”
“เอ็งเคยเห็นตุ๊กแกโดยประตูหนีบมั้ยวะยอด ฮ่าๆๆๆ” แก้วบอก
“ชั้นขอเถอะนะพี่แก้ว อย่าเพิ่งมาขนของวันนี้เลยนะ” รุ้งอ้อนวอน
“เอาไงพ่อ?? คนสวยขอร้องทั้งที ไอ้ชั้นก็ใจอ่อนซะด้วย” แก้วถามพ่อ
“เอ็งนี่เหมือนพ่อไม่มีผิด เห็นแกน้องรุ้งคนสวยขอนะ จะยอมยืดเวลาให้อีก 3 วันถ้าอีกสามวันไม่มีเงินมาใช้ ชั้นจะยึดทุกอย่างที่บ้านหลังนี้ รวมทั้งที่ดินผืนนี้ด้วย” เก่งพูด
“แต่ถ้าน้องขิงยอมแต่งงานกับพี่ละก็ หนี้สินถือว่าหายกัน โอเคมั้ย” แก้วบอก
เก่งหันไปมองแก้วเป็นเชิงถามว่าทำไมใช้ข้อต่อรองแบบนี้
“โอเคมั้ยเหรอ” ยายขมโมโหจัดเอาไม้เกาหลังตีหัวแก้วไม่ยั้ง “นี่แน่ะๆๆๆ”
แก้วรีบหลบหลังยอดเพื่อให้ยอดรับแทน “ระวังตัวไว้ให้ดีนะยาย ยายจะโดนข้อหาทำร้ายร่างกายอีกกระทง”
“ชั้นให้เวลายายอีกสามวัน ถ้ายายไม่มีเงิน ยายก็เตรียมหาที่อยู่ใหม่ หรือไม่ก็เอานังขิงใส่พานมาให้ลูกชั้น ฮ่าๆๆๆ” เก่งประกาศกร้าว
เก่ง แก้วและลูกน้องเดินออกไป ยายขมถึงกับเป็นลม ทุกคนตกใจรีบเข้าไปดูยายขม
“ยาย ๆๆ” ขิงร้องเรียก
ยายขมค่อยๆลืมตาขึ้นมาก็เห็นขิง ตุ๊ก โซว์ และรุ้งนั่งเฝ้าอยู่ด้วยความเป็นห่วง
โซว์ดีใจ “ยายฟื้นแล้ว”
ขิงเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง “ยายเป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ”
ยายขมมองหน้าขิงก่อนจะร้องไห้โฮออกมา “ยายผิดเอง ทั้งหมดเป็นความผิดของยาย ยายทำให้พวกเอ็งเดือดร้อน”
“อย่าคิดมากเลยแม่ พวกนี้มันของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้” ตุ๊กปลอบใจ
“แต่ข้าจะไม่ยอมให้ไอ้พวกนั้นมันมายึดของยึดบ้านของพวกเราไปหรอก”
“แล้วยายจะทำยังไง ยายมีเงินเหรอ” รุ้งถาม
“ไม่มี ...” ยายขมคิด “แต่ข้ามีอย่างอื่น”
ยายขมหยิบเครื่องแต่งตัวลิเกทั้งชุดทั้งเครื่องประดับออกมากองไว้เต็มไปหมด โซว์เห็นก็ตื่นเต้นกับเพชรนินจินดา
“โอ้โห นี่มันเพชรทั้งนั้นเลยนี่ ไม่คิดเลยนะว่ายายจะแอบรวยขนาดนี้” โซว์ตื่นเต้น
ตุ๊กมองโซว์อย่างเซ็งๆ “นั่นมันเพชรจริงที่ไหนล่ะไอ้โซ่ เพชรเก๊”
“อ้าว โธ่ ...”
“ถึงมันจะเก๊ แต่มันก็มีค่ามาก ถ้าลองเอาของพวกนี้ไปขาย บางทีอาจจะได้เงินใช้หนี้ก็ได้นะ” ยายขมบอก
“แต่ชุดพวกนี้มันเป็นสมบัติของตา แล้วยายก็รักและหวงมากไม่ใช่เหรอ” ขิงย้อนถาม
“แล้วจะให้ข้าทำยังไงวะ สมบัติที่ข้ามีก็มีแต่พวกนี้”
“เป็นเจ้าของคณะลิเก แต่เอาอุปกรณ์เครื่องใช้ข้าวของมาขายหมด แล้วจะทำมาหากินอะไร แทนที่ยายจะขายของพวกนี้ ชั้นว่ายายน่าจะตั้งคณะลิเกขึ้นมาใหม่จะดีกว่านะ” โซว์เสนอ
“จะตั้งได้ยังไง เงินก็ไม่มี ....คนก็ไม่มี” ยายขมบอก
รุ่งรีบพูด “ทำไมจะไม่มีอย่างน้อยก็มีนางเอกตรงนี้ 1 คน”
“มีตัวตลก มีโจร ตรงนี้อีกคน” ตุ๊กบอก
“แล้วก็มีแรงงานจิปาถะอีกหนึ่งคน” ขิงพูดแล้วเหล่มองโซว์ก่อนจะนึกออก “ที่จริงจะว่าไป เราก็มีพระเอกอีก 1 คนนะ”
“อ้าว งั้นก็ครบแล้วน่ะซิ แม่ ตั้งคณะได้แล้ว” ตุ๊กบอก
ยายขมยังงงๆ “ตัวอื่นข้าก็พอรู้ แต่พระเอกน่ะใครเหรอวะ”
ขิงยิ้มก่อนจะหันไปมองโซว์ ทุกคนหันไปมองตาม โซว์หน้าเหวอ
“ผมเหรอ ?”
โซว์โวยวายใส่ขิงหลังจากที่ทั้งสองแยกออกมาคุยกันที่หลังบ้าน
“เธอคิดอะไรของเธอ จะให้ชั้นเล่นลิเก ชั้นทำไม่ได้หรอก”
“นายรู้ได้ยังไงว่าจะทำไม่ได้ นายยังไม่เคยทำซะหน่อย” ขิงบอก
“ก็ในเมื่อชั้นยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร แล้วจะทำได้ยังไง”
ขิงเปิดวีซีดีการแสดงลิเกให้โซว์ดู โซว์อ้าปากค้างเพราะตะลึงกับการแสดงลิเกในทีวี
“This is ลิเก!!” ขิงบอก โซว์ยังอึ้งไม่หาย “อ้าปากค้างเลย”
“เหมือนโอเปร่าที่ชั้นเคยไปดูมาที่อิตาลีเลย” โซว์บอก
“เชอะ !!!! โอเปร่าอะไรนั่นจะสู้ลิเกได้ไง ก็แค่ยืนร้องเพลง” ขิงร้องเลียนเสียงโอเปร่าแล้วก็น้ำลายติดคอ “แค่กแค่กแค่ก ลิเกของคนไทยเจ๋งสุด ทั้งร้องทั้งรำ เห็นมะ”
ขิงชี้ชวนให้โซว์ดูท่ารำลิเกในจอทีวี โซว์จับตาดูด้วยความทึ่ง
ฟ้ามืดแล้วแต่โซว์ยังนั่งดูวีซีดีแสดงลิเกอยู่ที่เดิมโดยไม่สนใจข้าวปลาที่ขิงเอามาวางให้แม้แต่น้อย ยายขม ตุ๊ก รุ้งและขิงโผล่หน้ามาดูโซว์ก่อนจะหดหัวเข้ามาคุยกัน
“ท่าทางไอ้โซ่มันจะสนใจลิเกจริงๆนะแม่ แม่น่าจะลองดูนะ” ตุ๊กบอก
ยายขมเงียบเพราะตั้งใจฟังและคิดตาม
“อย่างน้อยคณะเราก็มีจุดขายเพิ่มขึ้นด้วย ทีนักร้องลูกทุ่งที่เป็นฝรั่งยังมีเลย” ขิงเสริม
“ถ้าได้เจ้าชายโซ่เป็นพระเอกลิเก ชั้นลดค่าตัวให้ครึ่งนึงเลยยาย” รุ้งบอก
ยายขมครุ่นคิดไม่นานก่อนจะตัดสินใจ “พวกเอ็งว่าไง ข้าก็ว่าตามกัน”
ตุ๊ก ขิง และรุ้งร้องเฮด้วยความดีใจ ทุกคนเริ่มมีความหวังจะฟื้นคณะลิเกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วทุกคนก็หันไปมองโซว์ด้วยสีหน้ามีความหวัง
กำนันเก่งเดินเข้ามาในบ้าน เขาเห็นแก้วกำลังสั่งให้ยอดย้ายข้าวของจัดห้องใหม่ก็แปลกใจ
“ทำไรวะ ไอ้แก้ว”
แก้วยิ้มอย่างมีความสุข “อ๋อ ชั้นกำลังให้ไอ้ยอดมันเอาเตียงเก่าออกไป แล้วจะเปลี่ยนเตียงใหม่ เป็นเตียงใหญ่ ๆ เอาแบบขาแข็งแรงๆ ไว้เวลาที่ชั้นกับน้องขิงแบบว่า …อะจึ๊ยๆ มันจะได้ไม่หักไงพ่อ”
“แน่ใจเหรอว่าเค้าจะยอมตกลงปลงใจกับแก”
“ชั้นมั่นใจไม่ต้องฟังธงเลยนะว่ายายขมหาเงินมาคืนพวกเราไม่ได้หรอก แล้วน้องขิงเค้าคงทนเห็นยายเดือดร้อนไม่ได้ ก็เลยต้องแต่งงานกับชั้น” แก้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “พ่อจ๋า ชั้นจะมีเมียแล้ว ฮ่าๆ”
แก้วคึกคักตื่นเต้น เขากระโดดเข้าไปกอดพ่อก่อนจะหอมฟอดๆ เก่งได้แต่มองแก้วแล้วส่ายหน้าเพราะระอาสุดๆ
“ให้มันได้ก่อนแล้วค่อยดีใจเถอะวะ ทำอย่างกับไม่รู้นิสัยคนบ้านนั้น ตราบใดที่ไม่ได้ของมาอยู่ตรงหน้า อย่าเพิ่งแน่ใจอะไรทั้งนั้น จำไว้ !”
ท่านชายในสายหมอก ตอนที่ 4 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ ยายขมดัดมือให้โซว์ โซว์เจ็บจนร้องโอ๊ย ยายขมตีมือโซว์ดังผัวะ โซว์รีบหุบปากทันที ยายขมจับโซว์ให้ตั้งท่ารำค้างไว้ โซว์ทนไม่ไหวจึงเริ่มยุกยิก ยายขมตีโซว์ดังผัวะอีกครั้ง
ยายขมสอนโซว์ให้ร้องลิเก โซว์ร้องเพี้ยน ยายขมก็ตั้งท่าจะตีอีก แต่คราวนี้โซว์ไหวตัวทันจึงหลบได้ ยายขมไล่ตี โซว์วิ่งหนีทำให้ยายขมไปตีโดนขิง ตุ๊ก และรุ้งแทน
ขิงกำลังเอายาหม่องแต้มแผลที่เขียวเป็นจ้ำๆ ให้โซว์ โซว์ร้องซี้ดด้วยความเจ็บ
“ดูตอนแรกไม่คิดว่ามันจะยากขนาดนี้เลย ฉันจะทำได้รึเปล่า” โซว์ไม่มั่นใจ
“ไม่ต้องห่วง” ตุ๊กให้กำลังใจ “เดี๋ยวข้าจะช่วยติวเรื่องร้องลิเกเอง ข้าไม่อยากจะคุยข้านี่ตัวพ่อเลยนะเว๊ยจะบอกใคร ยิ่งยงยังต้องชิดซ้าย พี สะเดิดยังต้องชิดขวา ไมค์ ภิรมย์พรยังต้องบอกลา เพราะข้า....”
รุ้งพูดต่อให้ “ตุ๊กตัวเหม็นกำลังจะมา”
“ถูก...เยยยย นังรุ้ง !”
รุ้งเข้าไปออเซาะโซว์ “อย่าไปฟังน้าตุ๊กเลยนะจ๊ะโซ่ รุ้งจะติวเรื่องรำให้เอง.. จะให้ติวที่ไหนเมื่อไหร่ ตัวต่อตัว สองต่อสองก็ได้เลยนะ รุ้งรำ” รุ้งออกท่าออกทางไปด้วย “ได้ทุกท่า ได้ทุกที่ ได้ทุกเวลา” รุ้งขยิบตาปิ๊งๆ
โซว์แสดงสีหน้าอึดอัดใจ เขาหันไปมองขิงแล้วเอ่ยถาม
“แล้วเธอล่ะ จะช่วยติวอะไรให้ชั้น”
ขิงเก็ก “เสียใจด้วย ชั้นทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง”
“อะไรกัน อยู่ในคณะมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงทำไม่เป็นล่ะ” โซว์งง
ขิงยักไหล่ “ไม่เป็นก็คือไม่เป็น”
“แต่ชั้นว่าเธอเล่นละครเก่งออก ขนาดแต่งตัวเป็นผู้ชาย ชั้นยังเชื่อสนิทเลย ลองเล่นดูสิ เอาบทนางเอกก็ได้” โซว์เสนอ
รุ้งรีบเข้าไปขวางพร้อมทำหน้าตาเอาเรื่องทันที
“ไม่ได้ค่ะ เจ้าชายขา ... คนที่คู่ควรกับบทนางเอกลิเกและนางเอกในชีวิตจริงของเจ้าชายก็คือรุ้งคนเดียวเท่านั้น”
รุ้งเข้าไปเบียดกระแซะโซว์ โซว์กระเถิบหนี ขิงมองอย่างหงุดหงิดแล้วก็เดินหนีไป โซว์เห็นขิงเดินไปก็ลุกขึ้นเดินตาม รุ้งที่มัวแต่กระแซะโซว์เลยตกเก้าอี้ลงไปกองกับพื้น ตุ๊กหัวเราะเยาะรุ้งอย่างสะใจ
“ขำอะไรยะ ... ไม่เคยเห็นคนสวยหกล้มรึไง” รุ้งว่า
รุ้งกระทืบเท้าตุ๊ก ตุ๊กร้องโหยหวน แล้วรุ้งก็สะบัดหน้าเดินหนีไป
ขิงลงไปนั่งข้างๆ ยายขม
“ขิงจะไปเจรจาต่อรองกับไอ้แก้ว ให้มันยืดเวลาใช้หนี้ของยายไปอีกนิด”
“คนอย่างไอ้แก้วไม่มีทางยอม เอ็งอย่าไปยุ่งกับมันเลย” ยายขมบอก
“ยายไม่ต้องห่วง ขิงมีวิธี”
ขิงมองหน้ายายขมแล้วยิ้มอย่างมีแผน
แก้วยืนรอขิงอย่างใจจดใจจ่อ สักพักขิงก็เดินมา แก้วรีบวิ่งเข้าไปหา
“อยู่ดีๆก็นัดพี่แก้วมาบอกว่าจะคุยเรื่องสำคัญ ให้พี่แก้วเดานะว่า เรื่องสำคัญของน้องขิง คือ น้องขิงจะยอมแต่งงานกับพี่แล้วใช่มั้ย”
ขิงมองหน้าแก้วยิ้มๆ ก่อนจะคว้ามือแก้วมาจับแล้วลูบไปลูบมา
“จ๊ะ” ขิงตอบ แก้วจะร้องดีใจ ขิงพูดต่อ “แต่..” แก้วอ้าปากค้าง “ชั้นมีข้อแม้ ถ้าพี่แก้วเลื่อนเวลาการใช้หนี้ของยายฉันออกไป ฉันก็จะแต่งงานกับพี่ทันที”
“แหม น้องขิงพูดแบบนี้พี่ลำบากใจ ไม่ใช่ว่าพี่ไม่ไว้ใจน้องขิง แต่ถ้าเกิดน้องขิงไม่ทำตามที่พูดขึ้นมา พี่ได้โดยพ่อกำนันยิงหัวแตกแน่” แก้วบอก
“ชั้นว่าแล้วว่าพี่ต้องพูดแบบนี้ ชั้นเลยทำสัญญามาด้วย” ขิงหยิบกระดาษออกมา “ชั้นเซ็นชื่อแล้วว่าชั้นจะแต่งงานกับพี่แก้วแน่นอน พี่แก้วก็ต้องเซ็นชื่อด้วยเหมือนกัน”
“ว้าวๆๆๆๆ น้องขิงนี่รอบคอบดีแท้ พี่จะยอมเซ็นต์ก็ได้ แต่ต้องมีของมัดจำก่อน เผื่อน้องขิงตุกติก”
ขิงชะงัก “มัดจำอะไรล่ะ”
แก้วทำปากจู๋พร้อมกับยื่นไปให้ขิงจูบ ขิงมองปากแก้วด้วยความขยะแขยง แต่ก็ต้องเก็บอารมณ์
“จูบพี่ก่อน แล้วพี่จะยอมเซ็นต์” แก้วบอก
“งั้นพี่แก้วก็หลับตาก่อนซิจ๊ะ ชั้นอาย...”
แก้วรีบหลับตาก่อนจะยื่นปากเข้ามาใกล้ ขิงรีบหันไปทางพุ่มไม้แล้วเรียกตุ๊กออกมา ขิงรีบชี้ให้ตุ๊กจูบแก้ว ตุ๊กทำท่ารังเกียจจะไม่ยอมจูบ ขิงพยายามขอร้อง
แก้วที่หลับตาอยู่เร่ง “เร็วๆซิจ๊ะน้องขิง”
ขิงพยายามขอร้องตุ๊ก ตุ๊กไม่มีทางเลือกจึงยอมเอาปากไปจุ๊บกับปากแก้ว ตุ๊กทำหน้าขยะแขยงก่อนจะรีบวิ่งหนีไปซ่อนที่เดิม แก้วลืมตามองขิงอย่างมีความสุขสุดๆ ขิงรีบยื่นปากกาให้เซ็นต์
“ตามสัญญา”
แก้วยอมรับปากกาไปเซ็นต์แต่โดยดี พอเซ็นต์เสร็จแก้วรีบหลับตายื่นปากจู๋ไปให้ขิงอีก
“ขอของแถมให้พี่อีกซักจุ๊บได้มั้ยจ๊ะ”
ขิงยิ้ม “ไม่มีปัญหา ขิงจัดให้”
ขิงเรียกตุ๊กให้ออกมาจูบอีก ตุ๊กไม่อยากแต่ก็จำยอม ตุ๊กทำหน้าขยะแขยงก่อนจะยื่นปากไปจุ๊บปากแก้ว แต่แก้วจับตัวตุ๊กที่เขาคิดว่าเป็นขิงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แก้วลืมตาขึ้นดูเห็นว่าคนที่กำลังจูบกับเขาคือตุ๊ก แก้วตกใจ ก่อนจะรีบผลักตุ๊กออกไปแล้วหันไปอ้วกด้วยความขยะแขยง ตุ๊กเองก็อ้วกเหมือนกัน ขิงหัวเราะด้วยความสะใจ
แก้วเอาเรื่อง “นี่น้องขิงหลอกพี่เหรอ น้องขิงหลอกพี่ทำไม”
“แกคิดเหรอว่าชั้นจะอยากแต่งงานกับแก แต่ก็ขอบใจนะที่เลื่อนเวลาให้ ยังไงชั้นก็ต้องหาเงินมาใช้ทันแน่ไม่ต้องห่วง” ขิงบอก
“ไม่ พี่ไม่ยอมให้เลื่อนเวลา”
“ในสัญญาระบุว่า ถ้าแกผิดสัญญา แกจะต้องยกเลิกหนี้ทั้งหมด เลือกเอานะ จะยอมยกหนี้ให้ตอนนี้ หรือ จะรออีกสามเดือน”
แก้วอึ้งเพราะพูดไม่ออก เขาทรุดตัวลงอย่างจ๋อยๆ ขิงเดินออกไป ตุ๊กรีบเดินตาม พอเดินไปได้สักพัก ตุ๊กก็หันกลับมาบอก
“วันหลังหัดแปรงฟันบ้างนะ ปากเหม็นหยั่งกับขี้”
แก้วได้ฟังก็ยิ่งโกรธและเจ็บใจที่เสียรู้ขิงจนได้
กำนันยืนอ่านสัญญาฉบับนั้นแล้วก็ตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาขยำสัญญาแล้วขว้างลงพื้นด้วยความเจ็บใจ
“หนอย อีกนิดเดียวก็จะได้เรื่องอยู่แล้ว ไม่น่าเสียรู้ผู้หญิงอย่างนังขิงเลย”
ยอดรีบเสนอหน้า “ก็อย่างว่าล่ะครับกำนัน ความรักทำให้คนตาบอด”
“แล้วจะทำยังไง นี่เราต้องยืดเวลาให้พวกมันอีกสามเดือนงั้นเหรอ” กำนันถาม
“โธ่ พ่อ สามเดือนจิ๊บๆ พวกมันหาเงินไม่ได้หรอก เงินตั้งเยอะ” แก้วบอก
“อย่าเพิ่งแน่ใจในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น”
“แก้วสัญญา ถ้าพวกมันมีแผนหรือคิดจะทำอะไรละก็ แก้วจะใช้สมองอันปราดเปรื่องของแก้วขัดขวางมันจนถึงที่สุด ยังไงซะ พ่อก็จะต้องได้ที่นา และ ชั้นก็จะต้องได้น้องขิงมาเป็นเมีย”
แก้วประกาศอย่างมุ่งมั่น กำนันส่ายหน้าเพราะไม่เชื่อน้ำยาลูกชายตัวเอง
ชรินทร์ถือโจ๊กเดินเข้ามาในห้องนอนของติ๊งโหน่ง ติ๊งโหน่งนอนหายใจแผ่วเบา หน้าตาซีดโทรมหยั่งกับศพ ชรินทร์เห็นลูกสาวแล้วก็เศร้า
“โธ่ ลูกพ่อ เพราะความรักทำให้ติ๊งของพ่อต้องเป็นอย่างนี้ ติ๊งรู้มั้ย พ่อเห็นติ๊งโศกเศร้า แล้วพ่อจะขาดใจ”
ติ๊งโหน่งพูดเสียงแผ่วเบา “พ่อ ติ๊ง.....”
“กินโจ๊กสักนิดเถอะนะลูก พ่อทำให้ติ๊งกับมือเองเลยนะ”
ชรินทร์ลงไปนั่งข้างๆ ติ๊งโหน่งก่อนจะช่วยพยุงตัวติ๊งโหน่งให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วค่อยๆ ตักข้าวป้อน ทันทีที่ติ๊งโหน่งได้กินอาหารคำแรกเธอก็ตบะแตกรีบแย่งจานข้าวมาจากมือชรินทร์แล้วจ้วงตักกิน ก่อนจะอ้วกรดตัวชรินทร์ ชรินทร์และติ๊งโหน่งถึงกับช็อค
“พ่อ ....ติ๊ง”
ชรินทร์โกรธแต่ก็พยายามอดกลั้นไว้ “ไม่เป็นไรลูกไม่เป็นไร พ่อไม่โกรธ”
ชรินทร์เดินเข้ามาในห้องน้ำ เขามองกระจกก็เห็นตัวเองเละเทะไปหมด ชรินทร์โมโหแต่ก็อดกลั้น
“เพื่อลูก เพื่อลูก..อดทนไว้ ..อดทนไว้”
ชรินทร์ค่อยๆเช็ดอ้วกบนตัวออกจนหมดแล้วเอาผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ เขาเหลือบเห็นเศษอาหารติดอยู่ที่ซอกนิ้วจึงถอดแหวนประจำตระกูลวางไว้ ก่อนจะล้างออกด้วยความขยะแขยง
เสียงติ๊งโหน่งดังขึ้น “พ่อ พ่อ อยู่ไหน ติ๊งอยากกินโจ๊กอีก พ่อ..พ่อ ...”
“ได้จ๊ะลูก เดี๋ยวพ่อไปจัดการให้”
ชรินทร์รีบล้างตัวให้เรียบร้อยก่อนจะเดินออกไป โดยลืมแหวนวงนั้นไว้ในห้องน้ำ
รูปแหวนวงนั้นอยู่ในมือของปีเตอร์ ปีเตอร์เพ่งมองรูปแหวน แล้วตาของเขาก็กระตุกไม่หยุด จนต้องตบตาตัวเอง
“ตากระตุกแต่เช้า เป็นอะไรของมัน”
ปีเตอร์ยกโทรศัพท์ขึ้นมา
“ช่วยตามพัชรี ที่เป็นแม่บ้านให้มาพบชั้นเดี๋ยวนี้”
ปีเตอร์วางโทรศัพท์ก่อนจะหยิบรูปถ่ายขึ้นมาดูอีกครั้ง เขาพลิกหน้าพลิกหลังแต่ดูยังไงก็ยังดูไม่ออก
“เจ้าชายนะเจ้าชาย คนเป็นร้อยเป็นพัน แล้วปีเตอร์จะไปหาคนที่ใส่แหวนนี้เจอที่ไหนล่ะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปีเตอร์รีบไปเปิดประตูก่อนจะคว้ามือหญิงสาวที่อยู่หน้าห้องเข้ามาโดยไม่ได้ดู
“มานี่เลยพัชรี มาช่วยชั้นหน่อยสิ ชั้นปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว”
ปีเตอร์ยืนรูปให้พัชรีดูก่อนจะหันไปเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นว่าดูแก่และไม่เหมือนเดิม ปีเตอร์ตกใจ
“พัชรี! อ่า ไม่เจอกันไม่กี่วัน ทำไมเธอถึงแก่งั่กขนาดนี้”
“หม่อมชั้นก็แก่อย่างนี้ทุกวันแหละเพคะ” แม่บ้านที่ชื่อพัชรีตอบ
ปีเตอร์ยิ้ม “แหมๆๆ เจ้านี่ลูกเล่นเยอะนะ ใส่หน้ากากมาใช่มั้ย ถอดหน้ากากออกมาเดี๋ยวนี้”
ปีเตอร์พยายามจะถอดหน้าของพัชรี พัชรีร้องลั่น
“หม่อมชั้นเจ็บนะเพคะ โอ๊ย โอ๊ย”
ปีเตอร์ดึงผมของพัชรีเพราะนึกว่าเป็นวิก แต่ผมหงอกกลับหลุดออกมาหนึ่งกระจุก ปีเตอร์ตกใจ
“เยยย!!” ปีเตอร์รู้ว่าไม่ใช่ก็ตกใจ “เจ้าเป็นใคร เข้ามาในห้องเราได้ยังไง!”
พัชรีเจ็บหัว “อุ๊ยยย หม่อมชั้นพัชรี แม่บ้านไงเพคะ”
“พัชรี? แม่บ้าน? ไม่ใช่คนนี้ พัชรีที่เราเรียก หน้าสวยๆ หุ่นแจ่มๆ”
พัชรีงง “เจ้าชายจำผิดแล้วมั้งเพคะ เพราะคนชื่อพัชรีแล้วเป็นแม่บ้าน มีหม่อมชั้นคนเดียวเพคะ”
ปีเตอร์อึ้ง “คนเดียวงั้นเหรอ”
พัชรีพยักหน้าด้วยความมั่นใจ ปีเตอร์มองหน้าพัชรีก่อนจะสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา
ติ๊งโหน่งแต่งหน้าเหมือนตุ๊กตาบลายธ์ ติดขนตางอนยาวอยู่กระจกในห้องน้ำ
“ถ้าเราโทรม นังดาด้ามันต้องคาบเจ้าชายไปแน่ เพราะฉะนั้นเราจะโทรมไม่ได้เด็ดขาด เราต้องสวยๆ จำไว้ เจ้าชายเพคะ เจ้าชายจะต้องประทับใจในความงามของหม่อมชั้นแน่ หุหุหุ”
ติ๊งโหน่งกำลังจะเดินออกไปจากห้องน้ำ เธอเหลือบไปเห็นแหวนของชรินทร์ ติ๊งโหน่งจึงหยิบมาดู
“แหวนใครก็ไม่รู้ สีเข้ากับชุดเราพอดีเลย”
ติ๊งโหน่งเอาแหวนสวมนิ้วแล้วสำรวจความเรียบร้อยก่อนจะเดินออกไปด้วยความมั่นใจ
ปีเตอร์นั่งดูรูปอยู่บนโซฟา ก่อนจะครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พัชรี เธอเป็นใครกันแน่ ....”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปีเตอร์หันขวับ
“พัชรี …ยังไงวันนี้ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง”
ปีเตอร์รีบเดินไปเปิดประตู แต่เมื่อเปิดแล้วปีเตอร์ก็ต้องตกใจเพราะเห็นติ๊งโหน่งยืนอยู่ เขาจะปิดประตูก็ปิดไม่ทัน เพราะติ๊งโหน่งผลักประตูเข้ามาอย่างแรง เธอเดินหน้ามั่นเข้ามาในห้อง ปีเตอร์ถอยหลังกรูดด้วยความกลัว
“เธอ..เธอ...เธอมาทำไม”
“มาเพราะรักเพราะคิดถึงจึงมาหา มาเพราะว่าเมื่อคืนนี้นอนไม่หลับ มาเพราะว่าอยากจะทัก มาเพราะรัก มาเพราะชั้นอยากจะบอกว่ารักเธอ”
พูดเสร็จติงโหน่งก็กระพริบตาปิ๊งๆ เหมือนตุ๊กตาบลายธ์
ปีเตอร์กลัวมากจึงพยายามจะวิ่งหนี แต่ติ๊งโหน่งเดินเข้าไปจับตัวปีเตอร์ก่อนจะผลักปีเตอร์ลงบนโซฟา
“เธอจะทำอะไร ....”
“ทำในสิ่งที่หม่อมชั้นโหยหามานาน”
ปีเตอร์กลืนน้ำลายเอื๊อกด้วยความกลัวขึ้นมาจับใจ
ติ๊งโหน่งทำปากเจ่อแบบพยายามเซ็กซี่ เธอถอดเสื้อคลุมออกจนเหลือแต่เสื้อสายเดี่ยวรัดรูปข้างใน
ปีเตอร์มองตาค้างแล้วกลืนน้ำลายด้วยความสยดสยอง
ติ๊งโหน่งทำท่าแมว “ง้าวววว”
ปีเตอร์ทนไม่ไหว เขาลุกขึ้นจะวิ่งหนีแต่ติ๊งโหน่งกระโดดขึ้นคร่อมทับปีเตอร์ ปีเตอร์กลัวจนหน้าซีด
“ชั้นขอร้อง อย่าทำอะไรชั้นเลย ชั้นกลัวแล้ว” ปีเตอร์แทบจะร้องไห้ “ชั้นกลัวจริงๆ”
ติ๊งโหน่งเอามือลูบหน้าลูบหัวปีเตอร์ “โถๆๆ นี่คงเป็นครั้งแรกของเจ้าชายใช่มั้ยเพคะ ไม่เป็นไร หม่อมชั้นจะถะนุถนอมไม่ใช่เจ้าชายเจ็บปวด”
“อย่าทำกับเราแบบนี้” ปีเตอร์ร้องไห้ “อย่าบังคับให้เราต้องใช้กำลัง”
“ใช้กำลังมาเลยค่ะ หม่อมชั้นชอบ มันบิ้วดี เฮอะๆๆ”
ปีเตอร์เอานิ้วจิ้มไปที่ตาทั้งสองข้างของติ๊งโหน่ง ติ๊งโหน่งร้องลั่น
“อ๊ายย”
ปีเตอร์ผลักติ๊งโหน่งออกไปแล้ววิ่งหนี ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ปีเตอร์ทำหน้าตาดีใจสุดๆ “ช่วยด้วย ช่วยเราด้วย”
เสียงเจ้าชายดังโหยหวนออกมาจากในห้อง
“ช่วยด้วย”
พัชรีที่ยืนอยู่หน้าห้องได้ยินเสียงปีเตอร์ก็ตกใจจนหน้าตาตื่น
“เจ้าชาย!!!”
ติ๊งโหน่งคว้าคอเสื้อปีเตอร์ ปีเตอร์ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของติ๊งโหน่งอย่างแรง ปีเตอร์หันไปมองด้วยความตื่นกลัว
“เราขอร้อง อย่าทำอะไรเราเลย เรากลัวแล้ว อยากได้ของสิ่งใด เราจะมอบให้ทุกอย่าง”
“สิ่งที่หม่อมชั้นอยากได้เพียงสิ่งเดียวคือเจ้าชายเพคะ”
ติ๊งโหน่งพยายามจะจูบ ปีเตอร์เอามือดันหน้าติ๊งโหน่งออกไป เบือนหน้าหนี ขณะที่ปากติ๊งโหนง่กำลังจะป๊ะเข้ากับปากปีเตอร์ ทันใดนั้นติ๊งโหน่งก็ถูกฟาดเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรง ติ๊งโหน่งทั้งมึนทั้งเบลอ เธอสลบล้มทับปีเตอร์
“ไม่..ไม่...ม่าย!!”
พัชรีถือไม้เบสบอลอยู่ในมือ หน้าตาของเธอเอาเรื่องและมีพนักงานคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ พัชรีรีบทิ้งไม้เบสบอลแล้วเข้าไปหาปีเตอร์
“เจ้าชาย เจ้าชายเพคะ เจ้าชาย”
“ไม่ไม่ เรากลัวแล้ว ไม่”
“หม่อมชั้นพัชรีเพคะเจ้าชาย” พัชรีบอก
ปีเตอร์ได้สติ เขาลืมตาเห็นพัชรีแล้วก้มมองติ๊งโหน่งที่สลบอยู่ก็โล่งใจ ปีเตอร์ดันติ๊งโหน่งออกไปแล้วรีบลุกขึ้นยืน
พัชรีพูดกับพนักงาน “พาคุณติ๊งโหน่งไปส่งบ้าน” พนักงานรีบลากติ๊งโหน่งออกไปด้วยความทุลักทุเล “โชคดีนะเพคะที่หม่อมชั้นมาทันเวลา ไม่อย่างนั้นเจ้าชายทรงเสียผู้เสียคนแน่ ไม่ต้องขอบใจหม่อมชั้นหรอกเพคะ เพราะยังไงหม่อมชั้นก็ต้องช่วยเจ้าชายอยู่แล้ว”
ปีเตอร์หันมามองด้วยสีหน้าโหด “ใครว่าชั้นจะขอบใจเธอ เรามีเรื่องต้องคุยกัน!”
พัชรีมองปีเตอร์ด้วยความสงสัย
ปีเตอร์ยกโคมไฟข้างเตียงขึ้นมาส่องหน้าพัชรี พัชรีรู้สึกแสบตาสุดๆ เธอยกมือขึ้นบังแสงไฟ
“บอกฉันมา เธอเป็นใคร?!”
พัชรีดันไฟออกไป “หม่อมชั้นบอกแล้วไงคะว่าหม่อมชั้นเป็นแฟนคลับเจ้าชาย” พัชรีทำท่าซารางเฮโย “ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่นี่”
ปีเตอร์เอาไฟส่องหน้าพัชรีอีกครั้ง “ไม่ต้องโกหก!! เราไม่เชื่อ เธอไม่ใช่แม่บ้านของโรงแรมนี้ เพราะฉันเจอคนชื่อพัชรีที่เป็นแม่บ้านที่นี่แล้ว พัชรีคนนั้นเป็นแม่ชั้นยังได้เลย”
พัชรีหน้าเสียแต่ยังพยายามแก้ตัวด้วยการบีบน้ำตาร้องไห้ “ฮือๆๆ หม่อมชั้นขอโทษที่โกหกเจ้าชายเพราะหม่อมชั้นอยากใกล้ชิดเจ้าชายมั่กๆ หม่อมชั้นเลยต้องโกหก หม่อมชั้นยอมรับว่าหม่อมชั้นไม่ใช่แม่บ้านของที่นี่ หม่อมชั้นเป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาที่มีใจรักเจ้าชายเพคะ”
“เลิกบีบน้ำตาเป็นนางเอกละครหลังข่าวซักที ชั้นไม่หลงกลเธอหรอกพัชรี ในเมื่อไม่ยอมบอกว่าเธอเป็นใคร งั้นเราจะหาเอง”
พัชรีมองปีเตอร์อย่างเหวอๆ ปีเตอร์กระชากกระเป๋าถือของพัชรีมา พัชรีตกใจ
“เจ้าชายจะทำอะไร เอากระเป๋าหม่อมชั้นคืนมา!”
พัชรีจะเข้ามาแย่งแต่ปีเตอร์ไม่ให้ ทั้งสองคนยื้อแย่งกันไปมาจนกระเป๋าหล่นข้าวของในกระเป๋าเทกระจาย มีทั้งกล่องถ่ายรูป กล้องถ่ายวีดีโอ ฯลฯ ปีเตอร์คว้าของบางอย่างขึ้นมาจากพื้น
“บัตรนักข่าว” พัชรีผงะ ปีเตอร์หันขวับไปมองหน้าพัชรี “ยังมีอะไรแก้ตัวอีกมั้ย”
พัชรีหน้าซีดและพูดอะไรไม่ออก
พัชรีคุกเข่าลงตรงหน้าปีเตอร์พร้อมกับบีบน้ำตาร้องไห้ฟูมฟาย
“หม่อมชั้นผิดไปแล้วที่โกหกเจ้าชาย หม่อมชั้นไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยนะเพคะ แต่เพราะถูกเจ้านายคาดโทษ ถ้าหม่อมชั้นไม่ทำ หม่อมชั้นจะถูกไล่ออก เจ้าชายก็ทราบว่าตอนนี้เศรษฐกิจโลกมันย่ำแย่แค่ไหน ดีมานกับซัพพลายไม่สมดุลกัน ค่าจีพีเอ ซีดีโอ ยูเอ็น เอบีซี เคเอฟซี....”
ปีเตอร์สุดทน “โว๊ย!! หยุดได้แล้ว ไม่ต้องมาแก้ตัว”
พัชรีกลัวจนลนลาน “ไว้ชีวิตหม่อมชั้นด้วยเถอะเพคะ อภัยให้หม่อมชั้นด้วย อย่าประหารชีวิตหม่อมชั้นเลยนะเพคะ”
ปีเตอร์ทำหน้าโหดพลันเหลือบไปเห็นรูปแหวนสีเขียวแล้วก็ชะงัก เพราะเขานึกย้อนกลับไปแล้วจำได้ว่าติ๊งโหน่งใส่แหวนวงนี้ ปีเตอร์ร้องเสียงดังลั่น
“เฮ้ย!!”
พัชรีตัวสั่น “ว๊าย!! อย่าฆ่าหม่อมชั้นเลย” พัชรีกอดขาปีเตอร์แน่นหวิดจะโดนเป้า “หม่อมชั้นขอร้อง”
ปีเตอร์เสียววาบแล้วรีบดึงมือพัชรีออกไป
“หยุดฟูมฟายได้แล้ว” ปีเตอร์ว่า พัชรีเงยหน้ามอง “เราจะอภัยให้เธอ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“ได้เลยค่ะ หม่อมชั้นทำเพื่อเจ้าชายได้ทุกอย่าง”
ปีเตอร์หยิบรูปแหวนมาให้พัชรี “เราเห็นติ๊งโหน่งใส่แหวนวงนี้ หามาให้ได้ว่าแหวนวงนี้ขายที่ร้านไหน”
“แหวนเพลนๆแบบนี้ก็มีขายทุกที่แหละเพคะ มันจะไม่กว้างไปหน่อยเหรอเจ้าชาย”
“ทำตามที่เราสั่ง!! ถ้าเธอหาเจ้าของแหวนไม่เจอ” ปีเตอร์ทำท่าเชือดคอ “ถูกตัดหัว!”
พัชรีหน้าซีดขึ้นมาทันที
ขิงนั่งเคาะให้จังหวะโซว์ซ้อมรำ ขิงให้จังหวะไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเมื่อยจึงเริ่มหยุดจนโซว์เสียจังหวะในการรำ
โซว์หันไปดุ “นี่ตั้งใจหน่อยซิ เคาะไม่เป็นจังหวะแบบนี้ใครจะไปรำถูกล่ะ”
“ก็เคาะมาตั้งนานแล้ว มันก็เมื่อยบ้างซิ นายไม่เมื่อยบ้างรึไง”
“แล้วคุณคิดว่าผมจะเมื่อยรึเปล่าล่ะ แต่ถึงเมื่อยผมก็ไม่มีสิทธิ์บ่น เพราะผมสัญญากับยายคุณไว้ว่าจะทำให้ได้”
ขิงมองโซว์ที่มุ่งมั่นรู้สึกผิด
“ไม่ต้องทำหน้าจ๋อย เคาะไป...”
ขิงเริ่มเคาะจังหวะใหม่ โซว์รำคล่องขึ้นแต่เขาก็เริ่มล้าเริ่มเซจะล้ม ขิงตกใจจึงรีบลุกขึ้นไปประคอง
“นายพักก่อนเถอะ”
โซว์สะบัดตัวไม่ยอม “ไม่ !! ผมไม่มีเวลา ผมต้องฝึก”
โซว์ลุกขึ้นมาจะรำต่อ แต่ก็รำไม่ไหวแล้ว เขาถึงกับทรุดลง ขิงมองแล้วส่ายหน้า
“ก็บอกแล้วไม่เชื่อ เหนื่อยมันก็ต้องพัก”
ขิงลุกขึ้นเดินไปเข้าไปนั่งใกล้ๆ โซว์ โซว์แปลกใจ
“คุณจะทำอะไร”
ขิงยิ้ม “ก็เมื่อยไม่ใช่เหรอ จะนวดให้ไม่เอารึไง”
โซว์ยิ้มดีใจ ขิงเริ่มนวดให้โซว์ โซว์รู้สึกสบายสุดๆ จนยิ้มออกมา
“รู้สึกสบายเหมือนตอนอยู่บ้านตัวเองเลย”
ขิงหน้าเสีย “ขอโทษนะที่ชั้นทำให้นายต้องลำบาก”
โซว์รู้สึกผิด “ผมเองก็ทำให้คุณลำบากเหมือนกัน ขอโทษนะ”
โซว์เอื้อมมือไปจับมือขิงที่กำลังนวดมากุมไว้ ขิงมองโซว์แล้วเอ่ยถาม
“เพื่อนเล่นเหรอ”
โซว์รู้ว่าขิงเอาเรื่อง ก็รีบปล่อยมือ
ชิงมองโซว์ด้วยความโมโหก่อนจะรีบลุกเดินออกไป ขิงโมโหจนเดินสะดุด โซว์มองเธอแล้วก็ขำออกมา
ติ๊งโหน่งนอนหลับยิ้มพริ้มอยู่ในห้องของตัวเอง
ติ๊งโหน่งเพ้อออกมา “มามะ มานี่” อำนาจที่ยืนเฝ้าอยู่หันไปมองเห็นติ๊งโหน่งกวักมือเรียก “มาใกล้ๆ Common bebe อาฮะ อาฮ้า”
อำนาจมองอย่างงงๆ และได้ยินไม่ค่อยชัด “คุณหนู คุณหนูเรียกผมเหรอครับ”
ติ๊งโหน่งพยักหน้า อำนาจเดินเข้าไป ติ๊งโหน่งจับข้อมืออำนาจหมับ อำนาจสะดุ้ง
“คุณหนูจะทำอะไร?!”
ติ๊งโหน่งไม่ตอบ เธอดึงมืออำนาจไปกอดและพรมจูบไม่หยุด อำนาจรู้สึกสยอง
“เจ้าชาย เจ้าชายเพคะ หม่อมชั้นรักเจ้าชายนะเพคะ จุ๊บๆๆๆ”
“คุณหนู ผมไม่ใช่เจ้าชาย ผมอำนาจ คุณหนู อย่า ผมขอร้อง เวย”
อำนาจพยายามแกะมือติ๊งโหน่งออก แต่ติ๊งโหน่งกลับรวบตัวอำนาจเข้ามากอด อำนาจดิ้นไม่หยุดพร้อมกับพลิกตัวจะลุกขึ้น แต่ติ๊งโหน่งรัดแน่น อำนาจทับตัวติ๊งโหน่ง ชรินทร์กับฉาดประภาเปิดประตูเข้ามาเห็นพอดี
ชรินทร์กับฉาดประภาตกตะลึง อำนาจส่ายหัวแล้วรีบปฏิเสธ
“ไม่ใช่นะครับ”
ชรินทร์ชี้หน้า “ไอ้เนรคุณ ชั้นให้แกเฝ้าลูกชั้น ไม่ได้ให้มาปล้ำ”
“ผมเปล่านะครับนาย ผมเปล่า”
ชรินทร์หยิบปืนขึ้นมาจะยิงอำนาจ อำนาจตกใจ ฉาดประภาเห็นก็รีบห้าม
“อย่าค่ะคุณ อย่าค่ะ”
“อย่ามาห้ามผม มันต้องตาย ไอ้อกตัญญู เลี้ยงเสียข้าวสุก”
ชรินทร์พยายามจะยิง แต่อำนาจดิ้นจนหลุดจากติ๊งโหน่งแล้วถลาไปชนชรินทร์จนปืนลั่นเปรี้ยง ทุกคนอยู่ในความสงบ ติ๊งโหน่งตื่นขึ้นมาทำหน้างงงวย
“คุณพ่อ คุณแม่” ติ๊งโหน่งหันไปมองรอบๆ “ลูกกลับมาที่บ้านได้ยังไงคะ”
ติ๊งโหน่งลุกขึ้นยืนร้องไห้ ชรินทร์กับฉาดประภานั่งอยู่ด้านหลัง
“เจ้าชายให้รถที่โรงแรมกลับมาส่งติ๊งที่บ้านเหรอคะ?” ติ๊งโหน่งถาม
“ใช่จ๊ะลูก” ฉาดประภาตอบ
ฉาดประภาเดินมาหาติ๊งโหน่ง ติ๊งโหน่งเสียใจมาก เธอหันมากอดแม่แล้วร้องไห้ ชรินทร์กับฉาดประภามองหน้ากันด้วยความสงสารลูก
“เจ้าชายทำแบบนี้ แปลว่าท่านทรงรังเกียจลูก ท่านไม่อยากได้ลูกเป็นภรรยา เป็นคู่ชีวิต ลูก..” ติ๊งโหน่งสะอึกสะอื้น “อึกอึก เสีย อึกอึก เสียใจ แงแงแง” ติ๊งโหน่งแหกปากลั่น
ชรินทร์หน้าเศร้า เขาเข้ามากอดติ๊งโหน่ง แล้วสามคนพ่อแม่ลูกก็กอดกันแน่น
“อย่าร้องไห้ไปเลยลูก พ่อว่าที่เจ้าชายทรงทำเช่นนี้เพราะท่านเป็นสุภาพบุรุษ ท่านคงไม่อยากให้ลูกเสื่อมเสีย”
ติ๊งโหน่งหยุดร้องแล้วผละออกมามองหน้าชรินทร์ “คุณพ่อพูดจริงเหรอคะ”
“แน่นอนที่สุด แม่เองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เจ้าชายให้เกียรติลูก แสดงว่าเจ้าชายทรงมีใจให้กับลูกของแม่”
ติ๊งโหน่งเอามือมาประสานกันแล้วยิ้มปลื้ม “เจ้าชาย ทรงเท่เหลือเกิน”
ชรินทร์มองเห็นแหวนที่นิ้วลูกสาว
“นี่มันแหวนของพ่อ ไปอยู่ที่ลูกได้ยังไง พ่อนึกว่าหายไปซักอีก”
“คุณพ่อลืมไว้ในห้องน้ำ ลูกเห็นว่าสวยดีเลยเอามาใส่” ติ๊งโหน่งบอก
“ขอพ่อคืนเถอะลูก นี่เป็นแหวนที่คุณทวดของคุณทวดของคุณทวดท่านมอบให้กับลูกหลานผู้ชายในตระกูลของเรา มันมีแค่วงเดียวในโลก”
ติ๊งโหน่งถอดแหวนคืนให้ชรินทร์ ชรินทร์เอามาใส่นิ้วตามเดิม
ท่านชายในสายหมอก ตอนที่ 4 (ต่อ)
เสียงร้องรำทำเพลงดังขึ้นที่บ้านยายขม ตุ๊กตีฉิ่ง รุ้งกับขิงคอยปรบมือให้จังหวะ โซว์พยายามรำด้วยความตั้งใจอยู่ตรงกลางลาน
“จะ โจ๊ จะ ทิง โจ๊ ทิง จะ โจ๊ จะ ทิง โจ๊ ทิง” รุ้งกับขิงให้จังหวะ
โซว์ตั้งใจรำแต่ท่าทางยังดูแข็งทื่อและคร่อมจังหวะ พอยกเท้าเขาก็ทรงตัวไม่อยู่เจียนจะล้ม
ทันใดนั้นก็มีไม้เกาหลังปลิวแทรกเข้ามากลางวงอย่างแรง โซว์ ขิง รุ้ง และตุ๊กสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
“เวย!”
ทั้งหมดหันไปเห็นยายขมเดินเข้ามาหยิบไม้เกาหลัง โซว์ ขิง ตุ๊ก และรุ้งหน้าซีด
“ถ้ารำถ่อยๆแบบนี้ก็ไม่ต้องรำ” ยายขมว่า โซว์หน้าเสีย)
ตุ๊กกระซิบขิงและรุ้ง “แรงว่ะ”
ยายขมมองโซว์ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ลิเกเค้ามีครู เป็นของสูง ถ้าคิดจะรำแบบนี้ก็ไปกินรำไป ผ่านมาตั้งเป็นอาทิตย์แล้ว ยังทำไม่ได้!! สงสัยจะไม่รอด ข้าไม่น่าเชื่อเอ็งเลยว่าเอ็งจะทำได้ เอ็งมันก็พวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”
“โอ้..ซี๊ดดดเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ” ยายขมเดินอย่างหัวเสียออกไป ขิง ตุ๊ก รุ้งจ๋อย แต่โซว์ไม่เข้าใจ
“ที่ยายบอกให้ชั้นไปกิน มันคืออะไรเหรอ”
“รำ คืออาหารหมู” ตุ๊กบอก
“อ๋อ” โซว์ยังไม่รู้ตัวแต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ “ เฮ้ย!! ยายด่าชั้นว่าเป็นหมูเหรอ”
ตุ๊ก ขิงและรุ้งรับพร้อมกัน “เออ!!”
โซว์สะดุ้ง เขาทั้งอึ้ง ทั้งจ๋อย และเสียใจ
โซว์นั่งนิ่งสีหน้าเครียด ขิงเดินออกมามองโซว์ด้วยความเห็นใจ เธอเดินมานั่งข้างๆ โซว์โดยที่โซว์ยังนั่งนิ่ง
“อย่าคิดมากเลยนะ นายก็รู้ว่ายายชั้นเป็นคนด่าแรงด่าตรงแต่เดี๋ยวแกก็ลืม” ขิงปลอบใจ
โซว์หันมาจะอ้าปากพูด แต่ขิงรีบพูดแทรก
“อย่าเพิ่งพูดจนกว่าจะฟังชั้นจบ ชั้นรู้ว่านายไม่พอใจที่ยายว่านายเป็นหมู แต่หมูมันก็น่ารักดีนะ ตัวอ้วนๆสีชมพู ถึงจะน่ารักสู้หลินปิงไม่ได้ แต่มันก็โอนะ ถูกด่าว่าเป็นหมู ยังดีกว่าถูกด่าว่าสมองกลวงเหมือนลาโง่”
โซว์หัวเราะออกมา ขิงมองโซว์ด้วยความงง
“หัวเราะอะไร? ชั้นไม่ได้เล่าเรื่องตลกให้นายฟังซักหน่อย หรือว่าถูกด่าจนเพี้ยน”
“เธอต่างหากที่เพี้ยน ชั้นจะบอกเธอว่าชั้นไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้คิดมากเรื่องที่ยายว่าชั้น ชั้นไม่ใช่ผู้หญิงจะได้คิดเล็กคิดน้อย”
“อ้าว?? แล้วนายมานั่งเงียบๆตรงนี้ทำไม”
“ชั้นกำลังใช้ความคิดว่าจะทำยังไงถึงจะลบคำสบประมาทของยายคุณได้น่ะสิ” โซว์บอก ขิงอึ้ง “แล้วดูสิ เธอเล่นมาพูดๆๆ อยู่ข้างหูจนชั้นคิดไม่ออกแล้ว”
ขิงยิ้มชอบใจแล้วตบบ่าโซว์ “โซ่...นายเจ๋งว่ะ” ขิงเผลอจับมือโซว์โดยไม่ได้ตั้งใจ “ชั้นจะเอาใจช่วย”
โซว์ยิ้มให้ขิงแล้วก็นึกได้จึงมองมือขิงที่จับมือของเขา ขิงผงะเพราะรู้ตัวจึงรีบเอามือออกอย่างเขินๆ โซว์มองยิ้มแล้วก็เขินเหมือนกัน
อาหารวางอยู่เต็มพื้นบ้านยายขม ยายขมปาช้อนลงบนจาน ทำให้ขิง รุ้ง และตุ๊กถึงกับไม่กล้ากินข้าว
"ไอ้หน้าวอกไปไหน ทำไมป่านนี้ยังไม่มาทานข้าว" ยายขมโมโห
"คือ..เค้ายังไม่หิวน่ะยาย ให้เรากินไปก่อน" ขิงบอก
"ไม่หิว หรือไม่กล้าสู้หน้าข้า อ่ะโด่เอ๊ย ทำเป็นผู้ชายขี้งอน ถูกด่าแค่นี้ ทำเป็นกินข้าวไม่ลง ทุเรศ"
ยายขมหันไปเห็นตุ๊กก้มหน้าก้มตากินไม่หยุดจึงเอาไม้เกาหลังตีหัว ตุ๊กแทบสำลักข้าว
"ไอ้นี่ก็กินไม่รอ ตะกละเป็นหมู" ยายขมว่า
"อู๊ดๆๆๆ เฮอะๆๆ ตลกมั้ยแม่" ตุ๊กทำตลกใส่
"ไม่ต้องมาตลกบริโภค ข้าไมขำเว้ย"
ตุ๊กหน้าแตก "เออ ถ้างั้นชั้น..เออ ชั้นไปตามโซ่ให้นะแม่"
"ไม่ต้อง ชั้นไปตามเอง" รุ้งรีบอาสา
รุ้งหยิบตลับแป้งพัฟขึ้นมาตบหน้าก่อนจะลุกเดินนวยนาดออกไป
โซว์กำลังฝึกรำและฝึกร้องลิเกด้วยเสียงเพี้ยนๆ และท่ารำแข็งๆ อยู่นอกบ้าน เขาตั้งใจมาก รุ้งเดินมาทางด้านหลัง เธอชะงักที่เห็นโซว์ฝึกร้องฝึกรำอยู่ รุ้งยิ้มด้วยความประทับใจ
"โถ...ที่แท้กำลังขะมักเขม้นซ้อมนี่เอง"
รุ้งเดินเข้ามาหาโซว์
"เจ้าชายขา รุ้งมาตามเจ้าชายให้ไปกินข้าว"
"ไปกินก่อนเถอะ ชั้นยังไม่หิว" โซว์บอก
"ไม่หิวได้ยังไง นี่มันมืดแล้วนะคะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง จะได้มีแรงมาซ้อมต่อนะ"
"ไม่ล่ะ ถ้าเรายังทำไม่ได้ เราจะไม่กินข้าว"
โซว์หันไปซ้อมร้องซ้อมเต้นต่อ รุ้งมองเขาแล้วยิ้มตาเป็นประกาย
"ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ทั้งหล่อ แมน มุ่งมั่น ขยัน ตั้งใจ คนแบบนี้แหละเหมาะที่จะเป็นพ่อของลูกเราที่สุด" รุ้งเอามือมาประสานกันแล้วทำหน้าเพ้อฝัน "เจ้าชายของชั้น"
ขิงผุดลุกผุดนั่งแล้วเดินไปเดินมา เธอเดินผ่านหน้าทีวีแล้วก็ชะเง้อมองหาโซว์ ยายขมกำลังนอนให้ตุ๊กนวดอยู่หน้าทีวีถึงกับหันมามองด้วยความรำคาญ ส่วนรุ้งกำลังทาเล็บเท้าตัวเองอยู่ใกล้ๆ
"นังขิง!" ยายขมเรียก ขิงหันมา "เป็นริดสีดวงรึไง เดินไปเดินมา จนข้าดูละครไม่รู้เรื่องแล้ว"
ขิงหยุดเดินแล้วก็มานั่ง "เออ นั่งนานๆแล้วเหน็บมันกินน่ะยาย ก็เลยต้องยืดเส้นยืดสายบ้าง"
พูดจบขิงก็ยืดเส้นยืดสายโชว์ ตุ๊กมองอย่างไม่เชื่อ
"ที่นั่งไม่ติด เป็นเพราะห่วงไอ้โซ่มากกว่ามั้ง เฮอะๆๆ"
ขิงหันไปค้อนตุ๊ก ตุ๊กยิ้มแซว
"ทำไมชั้นต้องห่วงมันด้วย ตัวโตหยั่งกับควาย" ขิงแก้ตัว
"ให้มันจริงอย่างที่พูดเห๊อะ เราเป็นผู้หญิง" ยายขมว่าพลางปรายตามองรุ้ง "ต้องรู้จักรักนวลสงวนตัว ไม่ใช่แบท่าให้ผู้ชายเหมือนกับคนบางคน"
รุ้งหันขวับทันที "อ้าวยาย ด่าชั้นทำไมเนี่ย"
"ข้าไม่ได้พูดชื่อเอ็ง ร้อนตัวทำไม ไอ้ตุ๊ก เร่งเสียงทีวีให้ดังๆหน่อย กำลังจะถึงฉากนางร้ายโดนตบ" ยายขมพูดเน้นพร้อมกับมองรุ้ง
รุ้งค้อนใส่ยายขม ขิงหันไปมองนอกบ้านด้วยความเป็นห่วงโซว์
โซว์ยังคงพยายามรำและร้องลิเกด้วยความตั้งใจอยู่นอกบ้าน เขามีสีหน้าเหนื่อยล้าเพราะเริ่มหมดแรง โซว์ยกขาขึ้นแล้วก็ล้มลงไปกับพื้น โซว์หอบด้วยความเหนื่อยแล้วก็ปาดเหงื่อ แต่แล้วเขาก็ฮึดขึ้นมาซ้อมรำต่อ
ขิงนอนห้องเดียวกับยายขมและรุ้ง แต่ขิงยังนอนไม่หลับ เธอพลิกตัวไปมาเพราะยังคงเป็นห่วงโซว์ ในที่สุดขิงก็ทนไม่ไหวจึงลุกขึ้นนั่ง เธอหันไปมองยายขมกับรุ้งที่นอนหลับสนิท ขิงค่อยๆลุกขึ้น ทันใดนั้นเสียงยายขมก็ดังขึ้น
"ไปไหน?”
ขิงชะงักแล้วก็หน้าเสีย "ชั้นจะไปห้องน้ำน่ะยาย"
"ฝากซื้อน้ำเต้าหู้ด้วย ใส่แต่เม็ดสาคู"
ขิงผงะแล้วหันมามองจึงพบว่ายายขมละเมอ ขิงโล่งอกแล้วรีบย่องออกไปนอกมุ้ง
โซว์นอนแผ่ไปบนพื้นด้วยความเหนื่อย เขาเมื่อยจนไม่มีแรง แล้วโซว์ก็หันไปเห็นขิงถือจานใส่ข้าวมายืนอยู่เหนือหัว โซว์ตกใจ
"ขิง!”
หลังจากนั้น โซว์ก็ตักข้าวใส่ปากแบบไม่หยุด
"ค่อยๆกินสิ เดี๋ยวก็สำลักหรอก" ขิงว่า
พูดไม่ทันขาดคำ โซว์ก็สำลักไม่หยุด ขิงรีบเอาน้ำให้เขาดื่ม
"น่านไง เห็นมั้ย ถ้านายสำลักข้าวตาย ยายชั้นไม่มีพระเอกลิเก นายถูกยายชั้นแช่งไม่ให้ไปผุดไปเกิด"
โซว์ยิ้ม "ขอบใจมากนะที่เป็นห่วงชั้น"
"ใครห่วง ชั้นไม่ได้ห่วง แต่ไม่อยากให้มีคนหิวข้าวตายในบ้านย่ะ" ขิงบอก โซว์ยิ้ม”อิ่มยัง"
โซว์กินคำสุดท้ายเข้าไปแล้วก็เรอออกมาด้วยเสียงที่ดัง "เอิ๊กก"
"ทุเรศ" ขิงว่า โซว์ยิ้มขำๆ "ชั้นรู้ว่านายอยากรำเป็นเร็วๆ แต่ถ้าท้องไม่อิ่ม มันจะมีแรงได้ยังไง" ขิงหยิบยาสำหรับนวดออกมา "ยื่นขามา"
"ทำอะไร?” โซว์สงสัย
"เหอะน่า"
ขิงดึงขาโซว์มาแล้วเอายานวดสมุนไพรนวดน่องให้เขา โซว์ผงะแต่ก็รู้สึกดีสุดๆ เขามองขิงไม่วางตา
"เห็นนายแล้วทั้งสงสารทั้งสมเพช" ขิงบอก "รำเหมือนหุ่นกระบอก ไม่มีอารมณ์ ไม่มีความอ่อนช้อยซักนิด ขืนปล่อยให้นายซ้อมรำเอง ชาตินี้ก็ไม่มีทางถูกใจยายชั้นหรอก"
"พูดหยั่งกับตัวเองรำเป็น" โซว์สวน
"พ่อแม่ชั้นเป็นพระเอก นางเอกลิเก ชั้นเกิดมาก็อยู่แต่ในโรงลิเก ทำไมชั้นจะรำไม่เป็น"
"อ้าว?? ไหนบอกเล่นลิเกไม่เป็นไง"
"ชั้นไม่ใช่คนชอบโม้ แต่บังเอิญว่ามีพรสวรรค์" ขิงพูดยืดๆ
"เนี่ยนะไม่โม้" โซว์ยิ้ม "งั้นก็รีบๆสอนมาเถอะคนมีพรสวรรค์ อยากเห็นจริงจริ๊งว่าผู้หญิงที่ไม่เหมือนผู้หญิงอย่างเธอ จะรำได้ยังไง"
"อ๊ะๆ ดูถูก คอยดู"
ขิงลุกขึ้นแล้วก็รำ เพียงแค่ตั้งวงเท่านั้นโซว์ก็อึ้งแล้ว ขิงรำไปสอนไป
"การรำลิเก ไม่ใช่ซักแต่จะรำ เพราะท่าแต่ล่ะท่ามีความหมายอย่างท่านี้ เค้าแปลว่าโกรธ ท่านี้แปลว่าอาย ท่านี้แปลว่าเสียใจ" ขิงสอน
ขิงสอนโซว์ไปเรื่อยๆ โซว์มองอย่างตั้งใจแล้วก็พยายามรำตามขิง แล้วทั้งสองคนต่างก็รำไปด้วยกัน
พระอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้า เสียงไก่ขันดังระงม รุ้งควงโซว์ที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าเดินมาตามทาง รุ้งเชิดที่ได้ควงโซว์ขณะที่โซว์ตาโหลมาก
โซว์หาว "รุ้ง..ชั้นขอกลับไปนอนเถอะนะ ชั้นเพิ่งนอนตอนตีสี่เอง"
"เจ้าชายเดินเป็นเพื่อนรุ้งแป๊บเดียวนะ พอเสร็จปุ๊บ รุ้งให้เจ้าชายกลับไปนอนทันที เดี๋ยวรุ้งจะร้องเพลงกล่อมให้เอง"
รุ้งรีบลากโซว์เดินมาบริเวณที่มีแม่ค้าขายของ รุ้งแกล้งส่งเสียงทักให้ทุกคนได้ยิน
"อรุณสวัสดิ์ทุกคน"
บรรดาแม่ค้าและคนเดินถนนหันมาเห็นโซว์ก็หน้าตาตื่น ทุกคนรีบเข้ามารุม แม่ค้าพากันทิ้งร้านกันจนหมด
"พ่อรูปหล่อขั้นเทพมาแล้วเหรอจ๊ะ รับขนมหวานๆซักถ้วยมั้ยจ๊ะ" แม่ค้าสาวคนหนึ่งพูดแล้วมองตาเยิ้ม
รุ้งโมโห "เดี๋ยวตบตาแตกเลย ชั้นมองได้คนเดียว" รุ้งควงแขนโซว์อย่างแนบแน่น "เห็นยังว่าหนิดหนมแค่ไหน โฮะๆๆ"
"แกนี่มันน่าอิจฉาจริงๆนังรุ้ง มีแฟนหน้าเหมือนพระเอกเกาหลีเลยเนอะ" แม่ค้าคนหนึ่งชม
"แต่แปลกตรงที่พ่อรูปหล่อนึกยังไงถึงไปชอบพี่รุ้ง" แม่ค้าอีกคนสงสัย
ทุกคนพูดพร้อมกัน "นั่นสิ"
"เจอกันยังไง เจอกันที่ไหน แล้วใครจีบใครก่อน แล้วทำไม.....” แม่ค้าคนหนึ่งซัก
แล้วทุกคนก็ยิงคำถามไม่ยั้ง รุ้งเริ่มหน้าเสีย โซว์มองด้วยความไม่เข้าใจ
"เค้าพูดอะไรกัน" โซว์ถาม
อย่าไปสนใจเลย เสียงนกเสียงกา" รุ้งหันไปทางกลุ่มแม่ค้า "เอาล่ะๆๆ เงียบ เงียบกันได้แล้ว ที่ชั้นพาเจ้าชายของชั้นมาที่นี่ เพราะมีเรื่องจะประกาศให้ได้รับรู้ทั่วกัน คณะลิเกยายขมจะเปิดทำการแสดงใหม่อีกครั้ง โดยพระเอกหน้ามนคนใหม่" รุ้งผายมือไปทางโซว์ "เจ้าชายโซ่!!! ผู้นี้นี่เอง"
ทุกคนตกใจ โซว์อึ้ง ยอดโผล่หน้าออกมาได้ยินเข้าก็ตกใจเช่นกัน
เก่งและแก้วตกใจจนพ่นน้ำพรวดออกมาเข้าหน้ายอดเต็มๆ ยอดถึงกับชะงัก
"อะไรนะ!! ไอ้หน้าขาวนั่นจะเป็นพระเอกลิเก!!!??” เก่งทวนคำด้วยความตกใจ
ยอดเช็ดน้ำออกจากหน้า "ใช่จ๊ะ"
"มันเป็นไปได้ยังไงกันห่ะ!!!??” แก้วถามต่อ
"เค้าลือกันว่าไอ้หมอนี่ทั้งร้องทั้งรำเก่งมาก แล้วพวกสาวๆในตลาดก็กรี๊ดกร๊าดมันน่าดู ท่าทางพี่แก้วจะตกกระป๋องซะแล้วล่ะ เพราะมันทั้งหล่อกว่าขาวกว่า หน้าใสกว่าพี่" ยอดนึกขึ้นได้ "เฮ้ย ถ้ามันเป็นพระเอกจริงๆ คณะลิเกยายขมต้องกลับมาโด่งดังอีกแน่ๆ"
เก่งกับแก้วถีบยอดจนกระเด็นด้วยความโมโห ยอดกลิ้งไปสามตลบ
"ไอ้ยอด ไอ้ปากเสีย ไม่มีทางที่คณะลิเกยายขมจะกลับมาโด่งดังอีกครั้งหรอกเว้ย แล้วอีกอย่างลูกข้าหล่อที่สุดในสามอำเภอ!” เก่งบอก
แก้วรีบสนับสนุน "จริงจ๊ะพ่อ"
แก้วลุกขึ้นมากำมือแน่นด้วยความแค้น
"ชั้นก็ไม่เชื่อว่าไอ้หน้าขาวมันจะทำสำเร็จ!!”
ยายขมกำลังทำขนมอยู่กับขิงและตุ๊ก รุ้งถือถุงของพร้อมกับเดินควงโซว์เข้ามา ทุกคนหันไปมอง ขิงมองรุ้งกับโซว์ด้วยความไม่พอใจนิดๆ ส่วนยายขมเท้าเอวทันทีด่าทันที
"มัวแต่อีแร๊ดแต๊นแต๋ที่ไหนมาห๊ะนังรุ้ง รีบเอาน้ำตาลมาเร็วเข้า"
"ช้าไปสามสี่นาที ทำบ่น" รุ้งสวน
"ถ้าไม่มีอะไร ขอไปนอนก่อนนะ" โซว์บอก
"จ๊ะๆๆ ไปนอนเถอะจ๊ะ เดี๋ยวรุ้งตามไปกล่อมให้นะ"
"ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ตอนกลางคืนให้นอนไม่นอน" ยายขมต่อว่า โซว์นิ่ง "ก็ไม่ต้องนอนมันแล้ว ช่วยกันทำงาน!!”
"เมื่อคืนโซ่เค้าซ้อมรำจนดึกน่ะจ๊ะยาย ให้เค้าไปนอนพักเถอะ" ขิงพูดแก้ต่าง
โซว์หันไปมองขิงด้วยสายตาซึ้งที่ขิงช่วยพูดให้
"นั่นสิแม่ แม่อย่าใจร้ายนักเลย ทำเป็นแม่มดในนิทานไปได้ คนเราอยู่ด้วยกันก็ควรจะเห็นอกเห็นใจกันนะแม่" ตุ๊กเสริม
"ตุ๊ก..เอ็งแน่ใจนะที่พูดอย่างนี้กับข้า"
"แน่สิแม่ แม่ควรจะมีน้ำใจ แม่รู้จักมั้ย"
"ข้าไม่รู้จักเว๊ย ข้าไม่มีน้ำใจ เอ็งออกไปจากบ้านข้าเลย แล้วก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าแม่อีก" ยายขมไล่
ตุ๊กตกใจแล้วจึงรีบกลับลำหันไปด่าโซว์ "โซ่!! เอ็งนี่มันแย่มาก นิสัยไม่ดี ทำให้แม่ข้าโกรธแล้วเห็นมั้ย เวลานอนไม่รู้จักนอน"
"ข้าด่ามันไปแล้ว" ยายขมบอก
"งั้นก็ด่าบ่อยๆ มันจะได้จำไงแม่"
ยายขมหันไปมองหน้าโซว์ ตุ๊กโล่งอกที่รอดตัวไป
"ไหนรำให้ข้าดูสิว่าเมื่อคืนซ้อมอะไรมา" ยายขมบอก
โซว์หันไปมองขิงด้วยสีหน้าเครียด
แก้วกับยอดย่องเข้ามาในบ้าน ทั้งสองได้ยินเสียงตีฉิ่งดังออกมาจากในครัว แก้วกับยอดเงี่ยหูฟัง แก้วหันมา แล้วยอดก็ยื่นหน้ามาพูดเบาๆ
"เสียงดังมาจากหลังบ้านน่ะพี่" ยอดบอก
แก้วผละออกห่าง "ไปกินช้างเน่ามาเหรอไงวะ ไปไกลๆกูเลย"
แก้วรีบเดินไป ยอดเช็คกลิ่นปากตัวเองแล้วก็แทบอ้วก
“เออเหม็นจริง” ยอดพูดกับตัวเองแล้วเขาก็รีบตามแก้วไปติดๆ
ตุ๊กกำลังตีฉิ่งให้จังหวะ ส่วนโซว์กำลังรำ ยายขมตั้งใจดู ขิงกับรุ้งมองอย่างลุ้นๆ โซว์รำทำท่าเหมือนจะดี แต่เพราะความอ่อนล้าทำให้เขาไม่มีแรงจึงล้มลงไปบนพื้น ขิงตกใจจะเข้าไปดู แต่รุ้งก็เข้าไปถึงตัวโซว์ก่อน
"เจ้าชาย!! เจ้าชายเป็นยังไงบ้างคะ" รุ้งถาม
"ถอยออกไปนังรุ้ง!” ยายขมว่า
รุ้งหันไปมองยายขม โซว์พยายามลุกขึ้นมาเอง
"ไม่เป็นไร ชั้นไหว" โซว์บอก
"ไหวก็ดี เพราะถ้าแค่นี้ยังไม่ไหว เอ็งก็เป็นพระเอกลิเกไม่ได้"
ทันใดนั้นเสียงแก้วก็ดังขึ้น
"ยายขมพูดถูก"
ทุกคนหันไปเห็นแก้วกับยอดเดินอาดๆเข้ามา
แก้วเข้ามายืนประจันหน้ากับโซว์ "น้ำหน้าอย่างแก จะเป็นพระเอกลิเกได้ยังไง!!" แก้วผลักโซว์อย่างแรง" มันต้องฉันนี่ถึงจะเป็นพระเอก ฮ่าๆๆ"
ขิงฉุนกึกแล้วจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ยายขมไวกว่าจึงเอาไม้เกาหลังเขกหัวแก้วอย่างแรง แก้วสะดุ้ง
"โอ๊ย! ยายตีหัวชั้นทำไม"
"ใครถามความเห็นเอ็งห๊ะไอ้แก้ว สาระแน!” ยายขมด่า
"สมน้ำหน้า" ขิงพูด
แก้วฉุนกึก "น้องขิง นี่น้องขิงเข้าข้างมันเหรอ น้องขิงเอาตาตรงไหนไปมองว่ามันดีกว่าพี่แก้ว น้องขิงไปชอบมันได้ยังไง ตัวซีดหยั่งกับจิ้งจก อ่อนแอ ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง เห็นแล้วมันขัดหูขัดตา"
"คนเราไม่ได้ดูกันที่เปลือกนอก มันต้องดูกันที่จิตใจ แล้วโซ่เค้าก็ใสสะอาดมากกว่าแกไอ้แก้ว" ขิงบอก
"น้องขิงบอกว่าพี่แก้วสกปรก ไม่ใส ไม่สะอาด โสโครก เหม็นเน่า... “ ยอดเสริม
แก้วหันมาตะคอกใส่ลูกน้อง "รู้แล้วเว๊ย! ไม่ต้องแปล"
"พอได้แล้ว!! ผมว่าคุณออกไปดีกว่า" โซว์บอก
"หน้าวอกมันบอกให้พี่ออกไป" ยอดเสริม
"เออ ข้าฟังออก!! พูดเป็นแล้วเหรอวะ นึกว่าเป็นใบ้ซะอีก"
"อย่ามาว่าเจ้าชายชั้นนะไอ้แก้ว ไอ้กักขฬะ ไอ้นักเลง ไอ้คนไม่มีการศึกษา" รุ้งด่าเป็นชุด
"นังรุ้งมันบอกว่าพี่เลว เลวสุดๆ เลวโคตรๆๆ" ยอดเสริม
"เฮ้ย รู้แล้ว จะแปลทำไมบ่อยๆวะ" แก้วหันไปทางรุ้ง "แล้วแกดีตายล่ะนังรุ้ง นังหัวสูง นังสิบเอ็ดรอดอ นังหลงแสงสี นังใจแตก"
"แก้วมันบอกเอ็งน่ะเป็นกระซู่กูปรี มีนองอกบนจมูก" ตุ๊กเสริม
"อ๊ายย ไม่ต้องแปล ถ้าวันนี้ชั้นไม่ได้สะสางชำระความกับแก ชั้นไม่ใช่นังรุ้ง"
รุ้งปรี่เข้าไปจะตบแก้ว แก้วจะตบกลับ โซว์เข้ามาชกหน้าแก้วดังเปรี้ยง!! ขิง ตุ๊ก ยายขม และรุ้งสะใจ
"มันต้องอย่างนี้สิวะไอ้โซ่" ตุ๊กสะใจ
แก้วปากแตก ยอดมองด้วยความตกใจ
"เลือด..พี่แก้วเลือด!” ยอดบอก
"กูรู้แล้ว มึงจะแหกปากทำไม!!" แก้วหันไปจ้องหน้าโซว์ "แกไม่ตายดีแน่ไอ้หน้าขาว"
แก้วพุ่งเข้ามา โซว์หลบ แก้วถลาไปตรงหน้ายายขม ยายขมยิ้มแล้วเอาไม้เกาหลังตบซ้ายตบขวาก่อนจะตีเข้ากลางกบาลจนแก้วมึน ยายขมผลักแก้วจนเซไปตรงหน้าตุ๊ก ตุ๊กเอาฉิ่งตบหูทั้งสองข้างของแก้วจนแก้วตาเหล่เดินโซเซมาทางขิง ขิงผลักแก้วอย่างแรงจนไปชนยอดกระเด็นล้มไปทั้งคู่
"ถ้าเอ็งสองคนไม่รีบออกไป ได้เจอแกงกะทิร้อนๆสาดเป็นหมาร้องเอ๋งแน่" ยายขมขู่
ยอดรีบประคองแก้วเดินออกไป
"สุดยอดเลยยาย" ขิงชม
ยายขมยิ้มแล้วหันมาเห็นโซว์เป็นลมแน่นิ่งล้มไปกองบนพื้นเพราะความอ่อนล้า "เฮ้ย" ทุกคนร้องออกมาด้วยความตกใจ
ขิงเดินมาหายายขมที่กำลังเอาขนมใส่ใบเตยแล้วห่อ
"ไอ้หน้าวอกเป็นยังไง ตายเหรอยัง" ยายขมถาม
"แหมยาย ถามดีดีก็ได้ รู้น่าว่าเป็นห่วงเค้าเหมือนกัน"
"เฮอะ! ใครห่วง ข้าไม่อยากให้มันมาตายในบ้านข้าต่างหาก มันไม่เป็นมงคลเว้ย"
ขิงยิ้ม "จ้า ไม่ห่วงก็ไม่ห่วง ชั้นให้กินข้าวต้มแล้วก็หลับไปแล้ว เมื่อคืนเล่นซ้อมรำทั้งคืน แถมต้องตื่นไปกับยัยรุ้งกินน้ำอีก จะไม่น็อคได้ไง"
ยายขมฟังแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขิงกระเถิบเข้ามาใกล้แล้วช่วยยายทำขนมไปด้วย
"ยายจ๋า ยายให้โอกาสโซ่เค้าหน่อยนะจ๊ะ เค้าตั้งใจแล้วก็พยายามมากเลยอ่ะยาย" ขิงบอก ยายขมเงียบ "ยายสอนชั้นอยู่บ่อยๆว่าเราควรให้โอกาสคนอื่น ยายก็นึกซะว่าโซ่เป็นลูกนกลูกกาลูกหมาลูกแมวก็แล้วกันนะ"
ยายขมหันไปมองขิงด้วยความสงสัย "ปกติข้าไม่เคยจะเห็นเอ็งใส่ใจใคร แต่ทำไมกับไอ้หน้าวอกเอ็งถึงเป็นห่วงมันนัก"
ขิงหน้าถอดสี "ก็..เอ่อ" ขิงรีบเปลี่ยนเรื่อง "อุ๊ย ปวดท้อง ไปห้องน้ำก่อนนะยาย"
ขิงรีบเดินออกไป ยายขมมองขิงด้วยความสงสัย
พัชรีกัดเล็บด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เธอดูรูปแหวนสีเขียวที่ขยายใหญ่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
"ไปมาตั้งหลายร้าน ยังไม่เจอแหวนแบบนี้ซักวง ถ้าหาไม่ได้ มีหวังโดนประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตร" พัชรีตัดพ้อต่อโชคชะตา "พัชรี ทำไมชีวิตเธออาภัพ ยิ่งกว่าดาวพระศุกร์กับพจมานรวมกันแบบนี้ เจ้าชายผู้เลอโฉม กลายเป็นซาตานชัดๆ"
บก.เห็นพัชรีนั่งพูดอยู่คนเดียวเลยเดินเข้ามาหา
"พัชรี" บก. เรียก แต่พัชรียังคงฟูมฟาย "พัชรี...พัชรี!!!”
พัชรีลืมตัวหันไปขึ้นเสียงใส่ บก. "มีอะไร?!! คนยิ่งกลุ้มๆอยู่"
"อยากกลุ้มอีกเรื่องมั้ย จะได้ไล่ออก!”
พัชรีมีสติกลับมาทันที "ว๊าย..บก.คะ บก.ขา พอดีพัชกำลังคิดอะไรเพลินๆก็เลยลืมตัวไปนิดส์นึงค่ะ บก.มีอะไรให้พัชรีรับใช้ค่ะ"
บก. โยนเอกสารไปให้ "เดี๋ยวไปทำข่าวงานนี้ด้วย"
พัชรีหยิบมาอ่าน "งานฝังลูกนิมิต" พัชรีฉุน "บก.คะ บก.จะดูถูกความสามารถของพัชเกินไปแล้ว งานฝังลูกนิมิตให้เด็กๆไปทำข่าวก็ได้ อย่างพัชรีมันต้องข่าวระดับประเทศ ระดับชาติ"
"ไม่ต้องทำก็ได้" บก. บอก พัชรียิ้ม "งั้นพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาทำงานอีก"
"ค่ะ" พัชรีตกใจ "ห๊ะ!! ไม่นะคะบก.”
"ตกลงไป หรือ ไม่ไป" บก. ถาม
พัชรีหน้างอ เธอเหลือบเห็นชื่อชรินทร์และครอบครัวเป็นประธานเปิดงานก็ทำตาโต
"พัชจะไปงานนี้เองค่ะบก.”
พัชรียิ้มพลางมองชื่อชรินทร์แล้วก็นึกอะไรออก
โปรดติดตามตอนต่อไป