xs
xsm
sm
md
lg

นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 18 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 18

ที่โรงเลื่อยยามค่ำคืน สมุนคนหนึ่งถือถาดอาหารมาเปิดประตู พลางส่งเสียงเรียก

“เอ้าสาวๆ ทานข้าวได้แล้ว”
จังหวะนั้นเองเพ็ญพรที่ซุ่มอยู่ก็โผล่มาชกหน้าสมุนรายนั้น ก่อนจะกระชากปืนของมันไปจากเอวแล้วยิงใส่นัดหนึ่งปลิดชีพเจ้าของปืนทันที
เพ็ญพรหันไปยิงใส่โซ่ที่ล่ามข้อเท้าเธออยู่อีกสองนัดจนขาดสะบั้น จังหวะนั้นเบิ้มกับพวกสมุนก็แห่กันมาเพราะเสียงปืน
“เฮ้ย มีเรื่องอะไรกันวะ” เห็นเพ็ญพรถือปืนก็ตกใจ สะดุ้งโหยง “เย้ย ปืน”
เพ็ญพรยิงสกัดพวกเบิ้มอีกสามนัดจนกระสุนหมด เธอปาปืนทิ้งไปก่อนจะหันไปคว้าระเบิดเพลิงที่เตรียมไว้
“กระสุนมันหมดแล้ว จัดการโว้ย” เบิ้มสั่งแล้วโผล่ออกมาเห็นเพ็ญพรถือระเบิดเพลิงที่จุดไฟไว้แล้วก็ตกใจ “เย้ย ระเบิดขวด”
เบิ้มกับพวกหลบหาที่กำบัง ระเบิดลูกแรกถูกเพ็ญพรปาไปจนแตก เปลวไฟลุกลามไปทั่ว
“ไอ้พวกตาขาว แน่จริงก็บุกเข้ามา”
เพ็ญพรคว้าระเบิดปาไปอีกหลายลูกจนเปลวไฟลุกลามเป็นกำแพงขวางทางพวกมันเอาไว้ เพ็ญพรจึงคว้าระเบิดลูกสุดท้ายแล้วหิ้วปีกเพลินตาให้ลุกขึ้น
“คุณเพลินตา มากับชั้น”
เพลินตาส่ายหน้า “ฮือ กลัว กลัว กลัว”
เพ็ญพรหงุดหงิด “อยากตายอยู่ที่นี่หรือไง ชั้นบอกให้มากับชั้น”
เพ็ญพรลากเพลินตาหนีไปพร้อมตัวเอง

เพ็ญพรพาเพลินตาหนีมาทางด้านหลังโรงเลื่อย แต่แล้วจู่ๆ เพลินตาก็เหลือบเห็นอะไรเข้าบางอย่างจึงสะบัดหนีไปหาที่ซุกตัว
“ฮือ นายเชิด นายเชิดมาแล้ว”
เพ็ญพรมองไปเห็นเชิดในคราบดนัยยืนยิ้มดักรออยู่อย่างใจเย็น
“จะไปไหนเหรอครับ คุณตำรวจคนสวย”
เพลินตากลัวมาก “นายเชิด นายเชิด ปล่อยชั้นไปเถอะ ชั้นกลัว ชั้นกลัวแล้ว”
เพลินตากลัวจนต้องยกมือปิดตา เพ็ญพรยิ่งสงสัย
“นี่แกเป็นใครกันแน่ แกไม่ใช่สารวัตรดนัย”
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ก็วางไอ้ขวดนั่นลงซะ” ดนัยสั่ง
เพ็ญพรเดา “เชิดผาดำ แกใช่มั้ยที่ฆ่ากำนันศร”
ดนัยชี้หน้า “วางลง เดี๋ยวนี้”
“อยู่ยงคงกระพันอย่างแก ต้องกลัวไอ้นี่ด้วยเหรอ” เพ็ญพรจุดไฟ “เดี๋ยวก็รู้ว่าจะทนไฟได้รึเปล่า”
เชิดในร่างดนัยเริ่มมีอาการไม่พอใจ ขณะที่เพ็ญพรดูเชิงจนได้จังหวะก็ปาระเบิดเพลิงเข้าใส่ดนัยแต่แล้วอีกฝ่ายก็โบกฝ่ามือตวัดทิ้งปอีกทาง ระเบิดขวดนั้นกระเด็นไปกระทบต้นไม้จนแตก เห็นเปลวไฟลุกลามโชติช่วง
“ข้าเตือนเอ็งแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าหาเรื่องเจ็บตัว”
เพ็ญพรตะโกนบอก “คุณเพลินตา หนีไป”!!
ขาดคำของเพ็ญพรดนัยก็ปรี่เข้ามาคว้าคอเธออย่างว่องไว เพลินตาตะลึงอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะรีบแฝงตัวหนีหายไปในความมืด
ดนัยตะโกนลั่น “เพลินตา กลับมานี่ เพลินตา”

เช้าวันต่อมาตะวันดวงกลมโตลอยตัวขึ้นพ้นโค้งขอบฟ้าสีแดงฉาน องค์พระประธานในโบสถ์บ้านไม่งาม เมื่อยามต้องแสงจากพระอาทิตย์สาดส่องมาเป็นสีทองอร่ามตา ราวกับจะบอกว่าความยุติธรรมกำลังจะมาถึงบ้านไม้งามในไม่ช้า
ย้งยังไม่ได้นอนทั้งคืน เขานั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมหนึ่งของโบสถ์ ใช้ความคิดหนัก
คำพูดของครูเพิ่มก่อนตายผุดขึ้นมาในโมงยามความคิด
“มันไม่ใช่ความผิดของใคร ที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้ เป็นเพราะชาวบ้านไม่ร่วมแรงร่วมใจกัน พอเกิดปัญหาก็คิดแต่จะเอาตัวรอด ถ้าทุกคนสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คงไม่มีวันนี้”
ย้งทวนคำพูดนั้น “ถ้าทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน” คิดขึ้นได้ “ใช่แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกัน”

เวลาเดียวกัน ธัมโมเข้ามากุมมือเก่งที่นอนหมดสติอยู่ พูดอย่างหนักแน่น
“ไม่ต้องห่วงนะเก่ง พี่จะรีบกลับมา เก่งเองก็ต้องรีบหายนะ” หันไปฝากฝังกับหลวงพ่อชุ่ม “ผมฝากเก่งด้วยนะครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อชุ่มพยักหน้า แต่แล้วย้งก็ผลุนผลันเข้ามา
“ผู้กอง ผมคิดออกแล้วว่าจะรับมือไอ้เชิดผาดำยังไง”

ธัมโมมองย้งด้วยความแปลกใจ

เวลาต่อมาที่บริเวณลานวัด ย้งกำลังเดินสายติดตั้งอุปกรณ์กระจายเสียงของกำนันศรเข้ากับรถกระบะเก่าๆ คันหนึ่ง โดยมีวาสนาเป็นลูกมือช่วยติดตั้ง ขณะนั้นเถ้าแก่ตงก็หิ้วปิ่นโตเสบียงอาหารมาส่งพอดี

“อาย้ง เสบียงมาเลี้ยว”
วาสนาหันไปทัก “เถ้าแก่”
ย้งเรียก “อาป๊า”
เถ้าแก่ตงเห็นสภาพลูกชายก็ชะงัก “ไอ๊หยา อาย้ง นี่มันเครื่องกระจายเสียงของอากำนันศรนี่หว่าลื้อคิดจะอะไรอยู่วะ”
“อั๊วจะปลุกระดมชาวบ้านให้ลุกขึ้นสู้กับอำนาจเถื่อนก็อย่างที่ครูเพิ่มบอกก่อนตายไงป๊า ถ้าชาวบ้านทุกคนสามัคคีกัน พวกคนเลวคงไม่กล้าผยองเหมือนทุกวันนี้” ย้งบอกอย่างมุ่งมั่น
“อั๊ยยะ ปลุกระดม จิ๊กโก๋อย่างลื้อเนี่ยนะจะมีคนเชื่อน้ำยาอั๊วว่าให้คุงหมอวาสนาอีพูดแทนดีกว่ามั๊ง” เถ้าแก่ว่า
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะเถ้าแก่ ชั้นเชื่อว่าพี่ย้งต้องทำได้”
ย้งสบตากับวาสนาที่มองเขาอย่างเชื่อมั่น

ตรงถนนคนเดินบ้านไม้งาม ชาวบ้านยังใช้ชีวิตกันตามปกติ แต่แล้วเถ้าแก่ตงก็ขับรถกระบะมาจอด วาสนาที่อยู่ท้ายรถ ส่งไมโครโฟนให้ย้ง ย้งรวบรวมความกล้าครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พ่อแม่พี่น้อง ชาวบ้านไม้งามที่รักทุกท่าน” เสียงเบาจนไม่มีใครได้ยิน ย้งเร่งเสียง “พ่อแม่พี่น้องชาวบ้านไม้งามทุกท่าน กรุณาฟังทางนี้ด้วยครับ”
ได้ผลชาวบ้านเริ่มหันมองย้งกันอย่างสนใจ บางคนเดินมาดูที่ใกล้ๆ รถ
“ผมมีข่าวร้ายจะมาแจ้งให้ทราบว่า ขณะนี้ได้มีปีศาจร้ายบางตัวอาศัยคราบของข้าราชการบังหน้า เพื่อกอบโกยหาผลประโยชน์จากแผ่นดินของเรา ทั้งด้วยการเปิดบ่อนพนัน เรียกเก็บค่าคุ้มครอง
ไปจนถึงการตัดไม้เถื่อน หนำซ้ำมันยังเล่นงานทุกคนที่ขัดขวางอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย” ย้งเว้นวรรค “ดังนั้น ผมจึงอยากให้พ่อแม่พี่น้องทุกคน ร่วมแรงร่วมใจกัน แสดงพลังของพวกเราออกมา พิสูจน์ให้ปีศาจร้ายตนนั้นได้เห็นว่า บ้านไม้งามไม่ต้องการความอยุติธรรม”
ชาวบ้านเงียบกริบ ยินเสียงหมาเห่าไล่แมวแว่วๆ จากที่ไหนสักแห่ง
วาสนาสะกิดเถ้าแก่ตงให้ช่วยกันปรบมือเชียร์ย้ง เสียงดังแปะๆๆๆ ย้งยิ้มรับหน้าเจื่อน
“เอ็งบ้ารึเปล่าวะไอ้ย้ง ทำไมพวกเราต้องทำแบบนั้นด้วยวะ” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
อีกคนว่าตาม “จริงด้วย ตอนที่กำนันศรยังอยู่ บ้านเมืองก็เป็นแบบนี้ ใครหน้าไหนมีอำนาจมันก็เหมือนกันหมด”
“ใช่ แล้วไอ้การที่บ้านไม้งามจะมีบ่อน มันเดือดร้อนตรงไหนวะเรื่องเก็บค่าคุ้มครองก็เหมือนกัน คนโดนรีดไถเป็นพ่อค้าเป็นนายทุนไม่ใช่ชาวบ้านตาดำๆอย่างพวกเราสักหน่อย” คนที่สามบอก
“ส่วนไอ้เรื่องตัดไม้เถื่อน มันก็ตัดกันในป่าโน่น ไม่ได้มาตัดบนหัวเอ็งนะโว้ย แล้วแบบนี้พวกเราจะเสี่ยงตายไปเพื่ออะไรวะ” อีกคนว่า
ชาวบ้านฮือฮากันเซ็งแซ่ ย้งตัดสินใจพูดผ่านเครื่องขยายเสียงอีกครั้ง
“ถูกต้องครับ พวกเรายังอยู่ได้ อยู่เฉยๆ ต่อไปโดยไม่เดือดร้อนอยู่แบบเดิม เพราะเรามองไม่เห็นผลประโยชน์ จากการทำความดีในวันนี้ แต่ลองนึกถึงวันพรุ่งนี้ดูสิครับ วันที่แผ่นดินบ้านไม้งามจะไม่มีการคอรัปชั่น ไม่มีอบายมุข ไม่มีการกดขี่ข่มเหงอีกต่อไป คำตอบ..ไม่ได้อยู่ที่ผลเสียผลได้ของใครคนใดคนนึง แต่อยู่ที่ความสงบสุขบนแผ่นดินเกิดของพวกเราทุกคน แผ่นดินที่ลูกหลานของเราจะเติบโต และมีชีวิตอยู่ต่อไปในภายภาคหน้า” ย้งทิ้งจังหวะสักครู่จึงพูดต่อ “ผมรู้ว่าพวกเราชินชา กับความเลวร้ายที่เห็นมาตั้งแต่เกิดพวกเราอยู่ได้ ทนได้ แต่ลูกหลานของเราไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างอัปยศเหมือนเรา พวกเค้าไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้กับอิทธิพลเถื่อนเหมือนที่เราทำอยู่” ย้งนิ่งไปอีกนิด “ดังนั้น..เลิกถามซะทีว่าทำแล้วได้อะไรแต่จงบอก บอกตัวเองว่าถ้าหากคุณไม่ทำอะไรเพื่อบ้านเมืองในวันนี้ คุณจะต้องเสียอะไรอีกในวันข้างหน้า ไม่ใช่ประโยคคำถาม บอกตัวเองให้จำได้ซะที ว่าแผ่นดินนี้ เป็นของประชาชนทุกคน เป็นศักดิ์ศรีของชาวบ้านไม้งามทุกคน”
ย้งจิ๊กโก๋ไร้แก่นสาร หลีหญิงไปวันๆ พูดมากที่สุดในชีวิตของเขา
ชาวบ้านทุกคนเงียบกริบลงอีกครั้ง วาสนาและเถ้าแก่ตง กวาดตามองอย่างหวาดหวั่นว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร ย้งร้องไห้ออกมา ถือไมโครโฟนนิ่ง ไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่านี้ได้อีก จึงลดไมค์ในมือลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันปวดร้าวของตน
“ผมเป็นแค่อาตี๋คนนึง เป็นแค่จิ๊กโก๋ที่ไม่เอาถ่านคนนึง ที่โชคดีได้มาเกิดบนแผ่นดินนี้ วันนี้ผมจะตอบแทนพระคุณของแผ่นดินที่พ่อแม่ของพวกคุณสร้างไว้ และเมตตาให้ผมได้อาศัยอยู่ส่วนพวกคุณ…พวกคุณจะทำอะไร…จะทำอะไร” ย้งร้องไห้อย่างไม่อาย
วาสนาร้องไห้ตามย้ง ขณะที่เถ้าแก่ตงน้ำตาคลอด้วยความภูมิใจในตัวลูกชาย
สีหน้าชาวบ้านไม้งามทุกคน ต่างนิ่งงันไปกับคำถามของย้ง โดยเฉพาะถ้อยคำนี้ “จะทำอะไรให้แผ่นดิน จะทำอะไรเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน” กระแทกใจจังๆ

ไม่นานต่อมา ชาวบ้านยกขบวนมาประท้วงที่หน้าโรงพัก โดยมีย้ง เถ้าแก่ตง และวาสนาเป็นหัวหอกแกนนำ
ไชโยกับโอฬารกระวีกระวาดเดินออกมาดูอย่างตกใจ
“โอ้แม่เจ้า มากันหมดหมู่บ้านเลยเหรอวะเนี่ย” หันมาทางโอฬาร “หมู่รีบไปเจรจากับชาวบ้านด่วนจี๋”
โอฬารตาเหลือก “หา ผมคนเดียวเลยเหรอจ่า แล้วถ้าเกิดพวกชาวบ้านเค้าบันดาลโทสะ รุมกระทืบผมขึ้นมาละครับ”
“เออ ก็มีผมคอยระวังหลังอยู่นี่ไง ไปเถอะ ไม่ต้องห่วง”
“แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้น..?”
“ผมจะเอาใจช่วย”
“เง้อ” โอฬารเหวอ

ส่วนที่กลุ่มผู้ประท้วง เถ้าแก่ตงตะโกนนำ โดยมีชาวบ้านร้องตาม
“ขับไล่คนชั่วออกจากบ้านไม้งาม บ้านไม้งามต้องปราศจากคอรัปชั่น ปกป้องแผ่นดินเกิดของพวกเรา”

ที่ห้องโถงสถานีตำรวจบ้านไม้งามยามนั้น บรรดาตำรวจบนโรงพักกำลังแตกตื่นชะเง้อดูการประท้วง เชิดในคราบดนัยเดินออกมาอย่างหัวเสีย
ดนัยตะโกน “หนวกหูโว้ย ปล่อยให้พวกชาวบ้านมันเอ็ดตะโรอยู่ได้ทำไมไม่รีบจัดการ รีบไล่มันไปสิโว้ย”
ไชโยกับโอฬารกลับเข้ามาในโรงพักพอดี
“เห็นทีจะยากแล้วครับสารวัตร เพราะทางนั้นเค้าก็บอกว่าจะไล่สารวัตรออกจากพื้นที่เหมือนกัน” ไชโยเอ่ยขึ้น
“แถมยังเรียกร้องให้สารวัตรปิดบ่อน ปิดโรงงานแปรรูปไม้เถื่อนเลิกเก็บค่าคุ้มครอง แล้วก็ปล่อยตัวประกันด้วยครับผม!” โอฬารว่า
“บัดซบ มันกล้าดียังไงมาสั่งข้า ไป…พวกเอ็งไปจัดการไล่พวกมันไปให้หมด ถ้าพวกมันไม่ไปก็ยิงทิ้งได้เลย” ดนัยตาขวาง โกรธจัด
ตำรวจทุกคนยังคงยืนนิ่ง
“มัวรออะไรอยู่วะ หูแตกหรือไง” ดนัยตวาด
“ผมว่าหยุดเถอะครับสารวัตร หรืออีกนัยนึง…พอเถอะครับคุณเชิดผาดำ” ไชโยขัดขึ้น
ดนัยชะงักกึก มองหน้า
“พวกเรารู้สึกแปลกๆ มาตั้งนานแล้วครับ แต่ก่อนสารวัตรดนัยถึงจะกินสินบาทคาดสินบนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยล้ำเส้นขนาดนี้” โอฬารบอก
“พวกแกเป็นตำรวจ พวกแกต้องฟังคำสั่งของเจ้านาย” ดนัยว่า
“พวกเราเป็นผู้รักษากฎหมายครับ หน้าที่ของเราคือดูแลความสงบสุขของประชาชน” ไชโยบอก
โอฬารและตำรวจทุกคนแสดงกริยาเห็นด้วยกับไชโย เดินมารวมกลุ่มอยู่ข้างเดียวกับไชโย
“ก็ได้ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
 
แล้วเชิดในคราบดนัยก็เดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน
 

นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 18 (ต่อ)

ที่หน้าโรงพักบ้านไม้งามยามนั้น การประท้วงยังคงดำเนินต่อไป โดยมีเถ้าแก่ตงเป็นแกนนำไฮปาร์ค ย้งเมื่อเห็นว่าทุกอย่างลงตัวแล้ว จึงหันไปบอกวาสนา

“คุณวาสนา ผมฝากดูแลทางนี้ด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปช่วยผู้กองธัมโม”
“ระวังตัวด้วยนะย้ง”
ย้งพยักหน้า ก่อนจะปลีกตัวไป

ขณะเดียวกันดนัยเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน หยิบมีดเจ็ดป่าช้าออกมา
“อยากลองดีกับข้าใช่มั้ยไอ้พวกโง่ คิดเหรอว่าจะขวางทางข้าได้” เชิดในคราบดนัยพนมมือ ถือมีดร่ายคาถา “โอม ป่าช้าทั้งเจ็ดจงฟังคำสั่งกู”

เวลาเดียวกันหลวงพ่อชุ่มเดินออกมาที่ลานวัด เพราะได้ยินเสียงของชาวบ้านที่กำลังประท้วงอย่างชัดเจน โดยมีเถ้าแก่ตงตะโกนนำชาวบ้านร้องตาม
“ขับไล่คนชั่วออกจากบ้านไม้งาม บ้านไม้งามต้องปราศจากคอรัปชั่น ปกป้องแผ่นดินเกิดของพวกเรา”
หลวงพ่อชุ่มรำพึง “ครูเพิ่มพูดถูกแล้ว ที่สุดบ้านไม้งามไม่ได้ต้องการแค่วีรชนแต่ต้องการให้ชาวบ้านทุกคน ลุกขึ้นสู้กับอิทธิพลเถื่อน ขอให้สำเร็จเถอะ
ขณะที่หลวงพ่อชุ่มทำท่าจะเดินกลับ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นเพลินตานั่งตัวสั่นงันงก หลบอยู่ที่ซอกหลืบมุมหนึ่งใกล้ๆ นั้น
“โยมเพลินตา”
เพลินตายกมือไหว้ ทำท่าจะร้องไห้ “หลวงพ่อ ช่วยเพลินตาด้วย”

บนกุฏิหลังนั้น เก่งยังนอนหลับใหลไม่ได้สติ โดยมีตาคงนั่งกอดเข่าเฝ้าอยู่ห่างๆ ในอาการกระวนกระวาย
“ฟื้นซะทีสิวะไอ้เก่งเอ๊ย เค้าจะลุยกันแล้วเอ็งจะนอนไปถึงไหนกันวะ”
ตาคงได้แต่ฮึดฮัดอย่างหนักใจ ขณะที่เก่งยังนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับสิ้มลมไปแล้ว

เก่งนอนหลับฝันไปว่า ตัวเองเดินฝ่าม่านหมอกออกมาจนเจอครูเพิ่มยืนอยู่ตรงจัดหนึ่ง
“ครู ครูเพิ่ม”
“เก่ง”
“ครูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ชั้นนึกว่าครูตายไปแล้วซะอีก”
ครูเพิ่มยิ้มรับ “ใช่ ข้าตายแล้ว เอ็งก็เหมือนกัน”
เก่งเอะใจ “นี่เป็นความฝันใช่รึเปล่า ชั้นฝันไปใช่มั้ยครู”
“มันจะเป็นความจริง ถ้าเอ็งยังไม่ยอมตื่น” ครูเพิ่มจับบ่าเก่ง “สมรภูมิสุดท้ายกำลังรอเอ็งอยู่ มีแต่เอ็งเท่านั้นที่จะโค่นไอ้เชิดผาดำ มีแต่เอ็งเท่านั้นที่ช่วยคุณบัวกับพวกชาวบ้าน เอ็งต้องกลับไป กลับไปสู้อีกครั้ง”

จังหวะนั้นเอง ยินเสียงหัวใจเต้นดังขึ้น…ชัดเจนขึ้น…จากร่างซึ่งไร้สติของเก่ง
ในที่สุดเก่งก็ลืมตาผวาตัวตื่น ก่อนจะสูดลมหายใจหืดเสียงดัง เหมือนเพิ่งโดนปั๊มหัวใจมาหมาดๆ
ตาคงดีใจ “ไอ้เก่ง เอ็งฟื้นแล้วเหรอวะ ไอ้เก่ง”
เก่งกวาดตามองไปรอบตัว….เริ่มลำดับความว่าเกิดอะไรขึ้น

เวลานั้นร่างดนัยเดินผ่านกลุ่มพวกเถ้าแก่ตงและชาวบ้านซึ่งยังคงประท้วงอยู่ที่หน้าโรงพักไป โดยไม่มีใครมองเห็น
ที่อีกมุมหนึ่งซึ่งห่างจากจุดชุมนุมประท้วงออกมาไม่ไกลนัก ดนัยปรากฏกายขึ้น หันไปแสยะยิ้มก่อนจะเดินจากไป

ด้านธัมโมซุ่มอยู่ที่ละแวกโรงเลื่อย มองเห็นเวรยามแน่นหนา ธัมโมบรรจุกระสุนเพื่อเตรียมบุกเข้าไปช่วยตัวประกัน แต่แล้วย้งก็โผล่เข้ามาสมทบ
“ผู้กอง”
“ย้ง สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”
“ตามแผนครับ พวกชาวบ้านปิดล้อมโรงพักไว้หมดแล้วไอ้ปีศาจเชิดผาดำก็ติดอยู่ที่นั่น”
“นายทำได้ดีมากนายย้ง ไม่มีเชิดผาดำซักคน ทุกอย่างก็คงง่ายขึ้นกว่าเดิม”
“พวกเราลุยกันเถอะครับ” ย้งฮึดเต็มที่
ธัมโมพยักหน้า

ย้งกับธัมโมย่องเข้ามาทางด้านหลังโรงเลื่อย แล้วจัดการเอาปืนฟาดสมุนที่ยืนเฝ้ายามอยู่จนสลบไปสองคน ธัมโมบุ้ยหน้าให้ย้งตามตนไปที่ห้องพักคนงาน

เพ็ญพรถูกมัดติดกับเสาในห้องพักคนงานในโรงเลื่อย สภาพถูกทำร้ายจนสะบักสบอม ธัมโมเข้ามาดูอาการ โดยมีย้งคอยถือปืนดูต้นทาง
“ผู้หมวด ผู้หมวด” ธัมโมเขย่าร่างเพ็ญพรเรียก
“ผู้กองธัมโม”
“คุณปลอดภัยแล้ว ผมจะพาคุณหนีไปจากที่นี่”

เพ็ญพรยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ ธัมโมรีบแก้มัดให้

ธัมโมประคองเพ็ญพรออกมาในโรงเลื่อย โดยมีย้งคอยคุ้มกัน ย้งฉุกคิด

“เอ ผมว่ามันแปลกๆอยู่นะผู้กอง รู้ทั้งรู้ว่าเราจะมาช่วยตัวประกันแล้วทำไมมันถึงได้จัดเวรยามแค่นี้”
ธัมโมเห็นด้วย “นั่นสิ หรือว่าจะมีกับดักซ่อนอยู่”
ย้งกับธัมโมมองไปอย่างระแวดระวัง จังหวะนั้นเองเพ็ญพรก็ชักมีดเจ็ดป่าช้าออกมา
ย้งเหลือบเห็นพอดี “ผู้กองระวัง”
เพ็ญพรจ้วงมีดเจ็ดป่าช้าใส่ แต่ธัมโมคว้าข้อมือเธอเอาไว้ทำให้ถูกแทงแค่เพียงปลายมีดเท่านั้น ก่อนที่ย้งจะกระชากตัวเพ็ญพรเหวี่ยงออกไปอีกทาง
“ผู้หมวด คุณเป็นบ้าอะไรของคุณ”
เพ็ญพรกลับหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ พวกเอ็งมันโง่ คิดเหรอว่าข้าจะตกหลุมพรางของเอ็ง”
ธัมโมชะงัก “เชิดผาดำ”
เพ็ญพรหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะกลายร่างเป็นเชิดในคราบดนัยตามเดิม
“มีดเจ็ดป่าช้าอยู่ในมือข้า อำนาจเพิ่มเป็นทวีคูณ ข้าจะสะกดจิตพวกเอ็งเมื่อไหร่ก็ได้”
ย้งตัดสินใจยกปืนยิงใส่ดนัยทันที แต่อีกฝ่ายเพียงแค่สะเทือนไปนิดหนึ่งเท่านั้น
“ไอ้โง่เอ๊ย จนป่านนี้ยังไม่รู้อีกหรือไง กระสุนปืนทำอะไรข้าไม่ได้” ดนัยเย้ย
“แล้วถ้าเป็นกระสุนที่ทำจากมีดเจ็ดป่าช้าล่ะ แกจะว่ายังไง” ธัมโมว่า
ดนัยหันขวับ เห็นธัมโมชักปืนลูกซองยาวออกมาเหนี่ยวไกยิงตูม ดนัยรีบกลิ้งหลบไปหลังกองไม้ ธัมโมยิงตามไปอีกหลายนัดแต่ไม่โดน
“มันหนีไปแล้วผู้กอง รีบตามไปซ้ำมันเลยครับ”
“ถึงทีชั้นบ้างล่ะ ไอ้เชิดผาดำ”
ธัมโมกระชากลูกเลื่อนปืน แล้วบรรจุกระสุนใหม่อย่างฮึกเหิม

เวลาเดียวกันที่ห้องโถงสถานีตำรวจบ้านไม้งาม ไชโยกับโอฬารกำลังยืนเกลี้ยกล่อมดนัยอยู่หน้าห้อง โดยหารู้ไม่ว่าเชิดหายตัวไปโผล่อยู่ที่โรงเลื่อยแล้ว
“สารวัตร ออกมามอบตัวเถอะครับ ชาวบ้านเค้าล้อมไว้หมดแล้วทำผิดแล้วก็อย่าหน้าด้านอยู่เลยครับ” ไชโยบอก
โอฬารว่าต่อทันที “สารวัตร ใบลาออกผมเขียนให้แล้วนะครับ แค่เซ็นชื่อแกร๊กเดียวเท่านั้นเอง ทุกอย่างจะได้ยุติ”
เงียบกริบไม่มีเสียงตอบ ไชโยตัดสินใจชักปืนแล้วบุ้ยหน้าให้โอฬารเปิดประตู ก่อนจะพบกับความว่างเปล่าในห้อง
ไชโยอึ้ง “อ้าวเฮ้ย หายตัวไปตอนไหนวะ”

เถ้าแก่ตง วาสนา กับบรรดาชาวบ้านยังคงประท้วงโหวกเหวกอยู่ที่หน้าโรงพัก ก่อนที่ไชโย โอฬารจะกระวีกระวาดลงมา ไชโยร้องบอกขึ้น
“เถ้าแก่ๆ หยุดประท้วงก่อน”
เถ้าแก่ตงไม่ยอม “เราไม่หยุด เราไม่ยอม สารวัตรดนัยต้องลาออก”
“เฮ้ยฟังก่อนเถ้าแก่ ตอนนี้สารวัตรหายตัวไปแล้ว”
“อ้าว หายไปตอนไหนวะ แล้วปล่อยให้พวกอั๊วประท้วงตั้งนานตะโกนจนแสบคอเลยนะเนี่ย”
วาสนานึกได้ “สงสัยคงหนีไปที่โรงไม้แน่ๆเลยค่ะเถ้าแก่”
“ไอ๊หยา หรือว่ามันจะรู้แผนของพวกเรา” เถ้าแก่ตงตื่นตระหนก
“แผนอะไรเหรอเถ้าแก่” ไชโยสงสัย
“ผู้กองธัมโมกับพี่ย้งกำลังบุกไปช่วยหมวดเพ็ญพรที่โรงไม้ค่ะ” วาสนาบอก
“เอาไงดีครับจ่า” โอฬารถาม
“ถามจ่า แล้วจ่าจะถามแมวที่ไหนวะหมู่”
“อ้าว ก็ตอนนี้จ่าใหญ่สุดในโรงพักแล้วนี่ครับ ยังจะถามใครอีกจะเอายังไงก็สั่งมาเลย”
ไชโยนิ่งคิดสักครู่ จึงตัดสินใจ “เอาวะ เถ้าแก่ ลื้อพาพวกชาวบ้านกลับไปก่อนทางนี้อั๊วจัดการเอง”
เถ้าแก่ตงตาโต “ฮ้า ลื้อจะทำอะไรอาจ่า”
ไชโยฮึดสู้ หันไปบอกพวกตำรวจที่ยืนมุงอยู่บนระเบียง “ตำรวจบ้านไม้งามทุกคนเตรียมอาวุธให้พร้อม เราจะบุกจับสารวัตรดนัยกับพวกค้าไม้เถื่อน”
โอฬารตะลึง “หา จับเจ้านายตัวเองเนี่ยนะจ่า”
“กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย คนทำผิดต้องได้รับการลงโทษไม่มีข้อยกเว้น” ไชโยปลุกระดม
พวกตำรวจเฮ พวกชาวบ้านเฮ เถ้าแก่ตงกับวาสนาต่างดีใจที่กฎหมาย ขณะที่จ่าไชโยปั้นหน้าเอาจริง
โอฬารแหลมเข้ามาประจบ “โคตรเท่เลยจ่า โคตรเท่มั่กๆ ขอบอก”

ในเวลาเดียวกันธัมโมรีบถือปืนไล่ล่าดนัยไปตามกองไม้อย่างลุ้นระทึก โดยมีย้งถือปืนคอยไล่ค้นหาไปอีกทาง จนกระทั่งเมื่อได้ยินเสียงคนร้องอือๆอยู่จึงรีบเข้าไปดู แล้วพบว่าเป็นเพ็ญพรที่ถูกมัดมือมัดปากนั่งอยู่ข้างซอกกองไม้
“ผู้หมวด”
เชิดในร่างย้งโผล่มา “มีอะไรเหรอครับผู้กอง”
“นายย้ง ชั้นเจอผู้หมวดเพ็ญพรแล้ว”
“ระวังนะครับผู้กอง มันอาจเป็นตัวปลอมก็ได้”
ขณะที่ธัมโมลังเลอยู่นั้น ย้งอีกคนโผล่มาด้านหลังธัมโม
“ผู้กอง”
เชิดในร่างย้งร้อง “เฮ้ย”
ธัมโมงง “นายย้ง นี่นาย” ทั้งธัมโมและเพ็ญพรต่างงุนงงที่เห็นมีย้งสองคน
ย้งตัวจริงรีบบอก “แก แกเป็นตัวปลอม”
เชิดที่แปลงเป็นย้งรีบบอกเช่นกัน “ผู้กอง ยิงมันเลยครับ มันคือเชิดผาดำ”
ย้งตัวจริงเดินมา “ไม่จริงนะผู้กอง”
ธัมโมเล็งปืนใส่ “อย่าเข้ามานะ”
“ผู้กองฆ่ามันเลย” เชิดบอก
“ไม่ใช่ผมนะครับผู้กอง มันต่างหากคือเชิดผาดำ”
เชิดในคราบย้งปรี่เข้าใส่ “ไอ้โกหก”
“เดี๋ยวก่อนนายย้ง” ธัมโมเอ่ยขึ้น
พอย้งหันมาและกลายเป็นดนัย
ธัมโมตกใจ “เชิดผาดำ”
ธัมโมทิ่มปืนจ่อดนัยแต่อีกฝ่ายปัดปากกระบอกปืนออก จังหวะเดียวกับที่ธัมโมเหนี่ยวไก คมกระสุนเฉี่ยวบ่าของมันไปจนได้เลือด
ดนัยคำรามด้วยความแค้น ขณะที่ธัมโมพยายามกดปากกระบอกปืนเหวี่ยงเข้าหามันอีก ย้งตัดสินใจช่วยธัมโมด้วยการเล็งปืนใส่ดนัย
“ไอ้เชิดผาดำ เอ็งตาย”
ย้งเหนี่ยวไกยิงใส่แผ่นหลังของดนัยหลายนัด
ดนัยแผดเสียงร้องด้วยความโกรธเกรี้ยว มันรีบเบี่ยงกระบอกปืนที่ยื้อแย่งอยู่กับธัมโมไปทางย้ง แล้วสอดนิ้วแย่งเหนี่ยวไก สะเก็ดกระสุนซัดเข้าถูกขาย้งจนล้มลงไป
“ย้ง”
ดนัยฉวยโอกาสนั้นเหวี่ยงปืนออกไปสุดแรง ร่างของธัมโมกระเด็นกลิ้งไปตามแรงเหวี่ยง ขณะที่ปืนตกอยู่ในมือของดนัย
“ไม่เบาเลยนะผู้กอง อุตส่าห์หาของดีมาเล่นงานผมจนได้แต่เสียดาย…ที่ใช้ไม่ได้ผล”
ดนัยหันไปฟาดปืนสุดแรงจนหักสะบั้น ทั้งย้งทั้งธัมโมต่างบาดเจ็บอยู่คนละทาง
“เอาล่ะทีนี้ ใครจะไปนรกก่อน ว่ามาเลย” ดนัยบอกหน้าเหี้ยม
ย้งกับธัมโมต่างหน้าถอดสี ระหว่างนั้นเองเพ็ญพรก็พยายามดิ้นรนแก้เชือกที่มัดข้อมือของตนจนใกล้สำเร็จ

ทุกคนลุ้นระทึกช่วงนาทีเป็นนาทีตายนั้น

นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 18 (ต่อ)

รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังพุ่งทะยาน มุ่งหน้าไปยังโรงเลื่อย เก่งสวมชุดนางสิงห์พร้อมรบ แต่ไม่สวมหน้ากากแล้ว นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา พร้อมๆ กับยินเสียงหลวงพ่อชุ่มดังก้องใน

“ปาฏิหาริย์แท้ๆ ไอ้เก่ง”
ขณะนั้นเก่งสมชุดนางสิงห์แต่ไม่สวมหน้ากาก กำลังกราบลาหลวงพ่อชุ่มกับตาคงเพื่อไปทำหน้าที่
“ตอนแรกข้าคิดว่าเอ็งจะไม่รอดแล้วซะอีก จู่ๆ ดันฟื้นขึ้นมาได้ยังไงวะ” หลวงพ่อชุ่มพูดต่อ
“ไอ้เก่งมันฝันเห็นครูเพิ่มด้วยครับหลวงพ่อ ครูเพิ่มไปเรียกให้มันลุกขึ้นสู้ แล้วมันก็ลุกขึ้นมาจริงๆ” ตาคงตอบแทน
หลวงพ่อชุ่มถามอาการทึ่ง “จริงเหรอวะไอ้เก่ง”
“เจ้าค่ะหลวงพ่อ”
“บางทีดวงวิญญาณของครูเพิ่ม อาจจะดลบันดาลให้เกิดปาฏิหาริย์นี้ขึ้นมาเป็นได้ เอาวะ ถ้าอย่างนั้นเอ็งต้องสู้ให้ถึงที่สุด สู้เพื่อแผ่นดินบ้านไม้งาม แล้วข้าจะคอยเอาใจช่วย” หลวงพ่อว่า
ตาคงเอ่ยขึ้น “ไม่ เป่ากระหม่อม ปลุกของ หรือแจกผ้ายันต์หน่อยเหรอหลวงพ่อ”
“ฮื๊อ ไอ้นี่ก็ชวนข้าออกนอกรีตนอกรอยอยู่ได้ ของขลังไม่มีโว้ยมีแต่คำพูดไว้เตือนสติ” มองหน้าเก่งเทศนาเตือนสติ “โลกนี้ ไม่มีใครเป็นอมตะหรอกวะไอ้เก่ง มีวิชาดีแค่ไหน ถึงคราวตาย มันก็ต้องตายไอ้เชิดผาดำถึงจะมีของวิเศษคุ้มกาย แต่ใจมันมืดบอด มีแต่ความโง่เขลาความประมาทเป็นที่ตั้งสิ่งนั้นแหละคือ จุดอ่อนของมัน”

ด้านเบิ้มและสมุนปักหลักอยู่ที่ปากทางเข้าโรงเลื่อย พากันชะเง้อฟังเสียงปืนอย่างวิตกกังวล
“พวกเราจะอยู่เฉยๆแบบนี้เหรอพี่เบิ้ม เสียงปืนดังหลายนัดแล้วนะพี่”
“ก็เจ้านายเค้าสั่งไว้นี่หว่าว่าห้ามเข้าไป แล้วเอ็งจะให้ข้าทำยังไงวะ” เบิ้มชะงัก “เอ๊ะ พวกเอ็งได้ยินเสียงอะไรรึเปล่า”
สมุนพยักหน้า “เสียงเหมือนมอเตอร์ไซค์นะพี่”
เบิ้มและสมุนเหลียวมองไป เห็นนางสิงห์กำลังบึ่งรถมอเตอร์ไซค์ตรงมาที่พวกมัน
“เฮ้ย นางสิงห์ชุดดำ รีบสะกัดมันเอาไว้ ยิงเร็ว ยิง”
เบิ้มและสมุนระดมยิงใส่นางสิงห์ทันที นางสิงห์โยกมอเตอร์ไซค์หลบกระสุนก่อนจะเชิดหน้ารถกระโจนข้ามหัวพวกเบิ้มกับสมุนไป
เบิ้มและสมุนพากันยกปืนขึ้นเล็งตาม นางสิงห์กระชากแส้ออกมาสะบัดฟาด ปลดอาวุธของพวกเบิ้มในพริบตา บางคนโดนแส้ตีมือ บางคนโดนแส้กระชากขาจนล้มระเนระนาด
มอเตอร์ไซค์ของนางสิงห์ผ่านด่านไปอย่างรวดเร็ว

เวลานั้นเชิดในคราบดนัย ซัดพลังฝ่ามือวายุธาตุใส่ย้งกับธัมโมพร้อมกัน จนร่างสองหนุ่มลอยไปกระแทกผนัง
“วายุธาตุ”
ย้งและธัมโมต่างบาดเจ็บอ่วมอรทัยไปตามๆ กัน ดนัยมองดูอย่างสะใจ
“นึกว่าจะแน่ พวกเอ็งสองคนมีน้ำยาแค่นี้เองเหรอวะ ไอ้พวกกระจอกฮ่าๆๆ”

จังหวะนั้นเพ็ญพรแก้เชือกเสร็จพอดี เธอรีบคว้าพลั่วที่วางอยู่ตรงที่เก็บเครื่องมือมาถือไว้ทันที
“ไอ้เชิดผาดำ”
ดนัยหันไป และโดนเพ็ญพรฟาดเข้าเต็มๆ แรง จนถึงกับเซล้มไปกับพื้น มีดเจ็ดป่าช้าร่วงหลุดมือ ธัมโมเห็นเข้าก็รีบบอกย้งที่อยู่ใกล้มีดมากกว่าทันที
“ย้ง มีดเจ็ดป่าช้า”
ย้งที่เพิ่งตั้งหลักได้ รีบสะบัดหน้าไล่ความมึนงงและคลานไปหามีด ขณะที่เพ็ญพรเอาพลั่วฟาดดนัยไม่ยั้ง
“ไอ้ผีนรก แกอย่าอยู่เลย แกตาย ตาย” เพ็ญพรคำราม
เพ็ญพรเงื้อพลั่วจะฟาดซ้ำ แต่ดนัยดันตั้งหลักได้เสียก่อน มันคว้าข้อมือเพ็ญพรไว้หมับ ขณะที่อีกมือก็ใช้พลังวายุธาตุดึงมีดจากพื้นขึ้นมาไว้ในมือตนตามเดิม เล่นเอาย้งที่กำลังคว้ามีดอยู่ฉิวเฉียดนั้นได้แต่มองตามไปอย่างมึนงง
“เย้ย นึกว่าเป่าอย่างเดียว มีดูดด้วยเหรอวะ”
เพ็ญพรหน้าถอดสี พยายามจะกระชากข้อมือหนีแต่ไม่สำเร็จ ดนัยเงื้อมีดเจ็ดป่าช้าขึ้น
“เอ็งหมดประโยชน์สำหรับข้าแล้ว นังสารเลว”
ดนัยแทงมีดใส่เพ็ญพร ธัมโมฉวยโอกาสนั้นคว้าปืนมายิงกระหน่ำใส่ดนัยแบบไม่นับ ดนัยหันมายกฝ่ามือหยุดกระสุนเอาไว้ก่อนถึงตัว
“อย่าขัดจังหวะได้มั้ย ผู้กอง”
ดนัยปัดฝ่ามือไปกระสุนหลายนัดปลิวไปถูกธัมโม ทั้งที่ขา และเข่าจนล้มลง
“ผู้กอง” เพ็ญพรตกใจ
“ผู้กอง” ย้งแค้นจัด “ไอ้เลว เอ็งตาย”
ย้งกระโดดกอดหลังดนัยเอาไว้แล้วใช้แขนรัดคอมัน พร้อมทั้งพยายามแย่งมีดเจ็ดป่าช้าจากมือ เพ็ญพรอาศัยจังหวะชุลมุนนั้น ทั้งชกทั้งต่อยดนัยเพื่อให้มันปล่อยข้อมือของเธอ ดนัยบันดาลโทสะเหวี่ยงร่างเพ็ญพรลอยละลิ่วไปกระแทกพื้น
“ผู้หมวด” ย้งตาเหลือก
ดนัยคำราม “ไอ้เห็บหมา ไม่เลิกตื๊อใช่มั้ย”
ดนัยฉุนจัดเหวี่ยงย้งกระเด็นกลิ้งไป ก่อนจะเงื้อมีดตามไปแทงซ้ำ ธัมโมตกใจขยับจะลุกไปช่วยแต่ก็ลุกไม่ขึ้น
“ย้ง”
เพ็ญพรนอนสะลึมสะลืออยู่เพราะแรงกระแทก ไม่สามารถช่วยย้งได้เช่นกัน ย้งได้แต่ถดตัวหนีดนัยที่กำลังเดินเงื้อมีดตรงมาอย่างหวาดกลัว
“มึง”

จู่ๆ มอเตอร์ไซค์ของนางสิงห์พุ่งยกล้อเข้ามาในโรงเลื่อย ทะลุฝาเข้ามาอย่างห้าวหาญ
นางสิงห์เร่งเครื่องก่อนจะทิ้งรถให้พุ่งชนอัดร่างดนัยจนทะลุฝาออกไปจากโรงเลื่อยอีกฟาก
ธัมโมคาดไม่ถึง “เก่ง”
เพ็ญพรดีใจ “แก้ว”
เก่งร้องตะโกนบอก “รีบหนีเร็ว”
ย้งได้สติรีบเข้าไปประคองเพ็ญพร
 
ขณะที่ธัมโมเหลือบเห็นปืนลูกซองที่มีกระสุนเจ็ดป่าช้าหล่นอยู่ใกล้ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ รีบคว้าปืนมาปลดกระสุนที่เหลือออก

ขณะที่เก่งประคองธัมโม ส่วนย้งประคองเพ็ญพรออกมาจากโรงเลื่อย เห็นเบิ้มกับสมุนกำลังวิ่งมาลิบๆ จากปากทางเข้า

“เฮ้ย มันอยู่นั่น ฆ่ามัน”
“ทางตันแล้วไอ้เก่ง สภาพนี้เราสู้ไม่ไหวแน่” ย้งบอก
เพ็ญพรเอ่ยขึ้น “ถอยก่อนเถอะ”
ทุกคนจะหันกลับไปในโรงเลื่อย แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเชิดในคราบดนัย เดินกลับเข้ามาในโรงเลื่อย มันปัดฝุ่นตามเนื้อตามตัวออกก่อนจะบิดคอยืดเส้นยืดสาย
“ทางนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน” ธัมโมบอก
เก่งมองไปอีกทางหนึ่ง “ไปที่น้ำตก”
เพ็ญพรอึ้งไป จำแม่นว่า เธอกับเก่งเคยพลัดพรากกันที่นั่น
เบิ้มร้องโหวกเหวก “เฮ้ย มันจะหนีไปแล้ว รีบตามไปสิวะ”
“พี่เบิ้ม ชั้นว่าเราห่วงเรื่องอื่นกันก่อนเถอะพี่” สมุนคนหนึ่งบอกท่าทีตระหนก
“อะไรอีกวะ” เบิ้มงง
สมุนชี้ไปทาหนึ่ง “โน่น”
เบิ้มมองย้อนกลับไปที่ปากทางเข้า เห็นจ่าไชโย หมู่โอฬารนำกำลังตำรวจพร้อมอาวุธครบมือมุ่งหน้ามา
“เวร แห่มาหมดโรงพักแบบนี้ คงไม่มาดีแหงๆ”
“เอาไงดีพี่”
เบิ้มคิดจนหน้าตาบิดเบี้ยว สับสนระหว่างความกลัวกับความโกรธสักพัก ก็ตัดสินใจ
“สู้มัน คนของเรามีมากกว่า อาวุธก็มีเยอะกว่า กฎหมายจะทำอะไรได้วะ ฆ่าพวกมันให้หมด”

กระแสน้ำของลำน้ำสายนั้นไหลเชี่ยวกราก มีสะพานเชือกผุๆ เส้นหนึ่งแขวนอยู่เป็นทางข้าม
“รีบข้ามไป ชั้นจะคอยคุ้มกันให้เอง” เก่งบอก
“เก่ง” ธัมไมไม่อยากทิ้งเก่ง
ย้งรีบบอก “ไปเถอะผู้กอง”
ย้งกับเพ็ญพรช่วยกันพาธัมโมที่ขาเจ็บเดินข้ามสะพานไป ขณะที่นางสิงห์ปักหลักอยู่ที่ตีนสะพาน
จู่ๆ เกิดสายลมพัดแพงวูบมาราวกับจะมีพายุ กิ่งไม้ในป่าพากันโยกไหวพะยับเพยิบ
นางสิงห์รู้ทันทีว่าดนัยได้มาถึงแล้ว เธอจึงชักพลองศอกออกมาสะบัดควง ก่อนจะหันไปตั้งกระบวนท่าเตรียมรับมือ
มีดเจ็ดป่าช้าถูกซัดมาใส่ มีดอาคมเลื่องชื่อลอยคว้างหมุนติ้วราวกับกงจักรตรงมา นางสิงห์รีบใช้พลองศอกปัดป้องมันออกไป
“ไอ้เชิดผาดำ”
ดนัยที่ถูกเชิดครองร่าง เดินออกมาจากแนวกบดานหลังต้นไม้ โดยที่ยังกางฝ่ามืออยู่เพื่อแผ่พลังวายุธาตุบังคับมีดเอาไว้
“ฮ่าๆๆ นางสิงห์ชุดดำ เดี๋ยวก็รู้ว่าเอ็งกับข้าใครจะเหนือกว่ากัน”
ดนัยใช้พลังวายุธาตุบังคับมีดเจ็ดป่าช้าให้พุ่งเข้าเล่นงานนางสิงห์ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้นางสิงห์จะสามารถปัดป้องได้อยู่หลายครั้ง แต่แล้วก็พลาดท่าถูกคมมีดเฉี่ยวเข้าที่เอวและที่ต้นขาติดๆ กัน จนทรุดลงไป
ส่วนที่บนสะพาน ธัมโมเป็นคนรักห่วงนัก ทำท่าจะย้อนกลับไปช่วยนางสิงห์ แต่ย้งรีบคว้าตัวไว้
“เก่ง”
“อย่าไปผู้กอง เราทำอะไรมันไม่ได้หรอก มันหนังเหนียวนะ”
“ไม่หรอกย้ง ทุกคนเกิดมาต้องมีจุดอ่อน” พลางล้วงเอากระสุนเจ็ดป่าช้าที่เหลืออีกไม่กี่นัดออกมาดวงตาธัมโมเป็นประกาย “ที่ตาของมัน”
ย้งเข้าใจแผน “ถ้างั้นผมจัดการเอง ผู้กองคอยเล็งให้ดีละกัน”
ย้งรับกระสุนไปจากธัมโมแล้ววิ่งลงสะพานไปหาดนัย ขณะที่ธัมโมชักปืนออกมาเตรียมพร้อม

เหตุการณ์บนฝั่งดนัยบังคับมีดเจ็ดป่าช้าให้ลอยกลับมาเข้ามือของมัน ขณะที่นางสิงห์นอนกุมแผลอยู่กับพื้น
ดนัยหัวเราะร่า “ฮ่าๆ เสร็จข้าล่ะนางสิงห์ แค่แผลเก่ายังเกือบตาย แล้วนี่เจอไปอกสองแผล จะรอดเหรอวะ”
ย้งวิ่งมาถึงพอดี มันนึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบคว้าดินขึ้นมากำหนึ่ง
“ไอ้ชาติชั่ว ทางนี้โว้ย”
ดนัยหันมา ย้งรีบปาดินใส่หน้ามันทันที ดนัยรีบใช้พลังวายุธาตุซัดออกไปโดยไม่ทันมองด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ย้งปามาคืออะไร
“เสร็จข้าล่ะไอ้เชิดผาดำ”
ย้งโยนกระสุนเจ็ดป่าช้าไปไปตรงหน้าของดนัย ซึ่งแน่นอนว่าจอมมารร้ายมันไม่ทันคิดมาก่อนว่าย้งจะมีก๊อกสอง
เพ็ญพรที่บนสะพาน รีบร้องเตือนธัมโมที่กำลังเล็งปืนอยู่
“ผู้กอง”
ธัมโมเล็งนิ่ง รอจังหวะจนกระสุนเจ็ดป่าช้าที่ลอยอยู่ ร่วงมาตรงระดับหน้าของดนัยพอดี
จังหวะนั้นธัมโมกระหน่ำยิงปืนหลายนัด กระสุนพุ่งไปกระทบกระสุนเจ็ดป่าช้าทุกนัดเป๊ะเว่อร์
กระสุนเจ็ดป่าช้าระเบิดตูมตรงหน้าดนัยเสียงดังสนั่น
เชิดในร่างดนัยแผดร้องอย่างโหยหวนก่อนจะล้มกลิ้งไปกับพื้น
“อ๊าก ไอ้หมาลอบกัด พวกมึงทำอะไรกู ตากู…เอาตากูคืนมา ไอ้พวกสถุล”
“ไอ้เชิด ชั้นจะแก้แค้นให้ครูเพิ่ม”
นางสิงห์เก่งคำราม พร้อมกับพุ่งทะยานเข้าหาดนัย ก่อนจะควงพลองศอกระดมฟาดมันไม่ยั้ง ดนัยพยายามควงมีดเจ็ดป่าช้าปัดป้องสุดกำลัง แต่เพราะมองไม่เห็นก็เลยรับมือนางสิงห์ไม่ได้ สุดท้ายมันเลยต้องใช้ไม้ตาย
“วายุธาตุ”
ดนัยปล่อยพลังวายุธาตุสุดกำลัง ร่างของเก่งกระเด็นลอยละลิ่วไปกระแทกพื้น
“ไอ้เชิด มึงตาย จ๊าก”
ย้งบ้าเลือดไม่กลัวตาย พุ่งเข้าแย่งมีดเจ็ดป่าช้าจากดนัย
“ไอ้เห็บหมา เอ็งอีกแล้วเหรอ” ดนัยคำราม
“เออ ไอ้ย้งเองโว้ย”
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ปล่อย”
“ไม่ปล่อย ตายก็ไม่ปล่อย ไอ้เก่งเล่นงานมันเลย”
จังหวะเดียวกันนางสิงห์ยันกาย ลุกขึ้นมาได้
“เอาสิวะ ถ้าเอ็งปล่อยข้า ก็มาอยู่กับข้าซะเลย”
ดนัยใช้มือที่มีรอยสักตะปบมือของย้งเอาไว้ ย้งสะท้านไปทั้งกาย สะดุ้งเฮือก
เก่งตะลึง “ย้ง”
ย้งเนื้อตัวสั่นเทาเหมือนกำลังถูกผีเข้าเป็นริ้วๆ ตามร่างกาย แหกปากลั่น
“ไอ้เก่ง มันมาแล้ว มันจะเข้ามาแล้ว”
ดนัยหัวเราะร่า “ฮ่าๆ เสร็จข้าล่ะไอ้เห็บหมา”
เก่งกระโจนสุดตัวเพื่อคว้าแขนอีกข้างของย้งเอาไว้ ก่อนจะใช้คาถา
“สะบัด”
เก่งกระตุกแขนย้งอย่างแรง ส่งแรงสะบัดดันร่างดนัยจนกระเด็นออกไป
ดนัยเยาะ “เสือสะบัดลาย นี่เอ็ง”
“กรรมบันดาลจริงๆ ไอ้เชิด ชั้นเป็นคาถาอยู่แค่คาถาเดียวแต่ดันเป็นคาถาที่ใช้รับมือแกได้”
“ยอมแพ้ซะเถอะไอ้เชิด แกเสร็จพวกเราแล้ว” ย้งว่าแววตาดุดัน
“ยังโว๊ย”
ดนัยปามีดเจ็ดป่าช้าออกไปอีกครั้ง ก่อนจะใช้พลังฝ่ามือบังคับมันให้ควงว่อนไปทั่ว
“ไอ้ย้งหลบ”
เก่งดึงร่างย้งหลบพ้นคมมีดไปอย่างฉิวเฉียด มีดเจ็ดป่าช้าควงไปหาธัมโมกับเพ็ญพรที่สะพาน
เพ็ญพรตะโกนบอก “ผู้กองระวัง”
ธัมโมเพิ่งบรรจุกระสุนเสร็จก็กระหน่ำยิงใส่มีดเจ็ดป่าช้า แต่ไม่อาจหยุดอานุภาพของมันได้ มีดเฉือนถูกบ่าของธัมโมก่อนจะตัดถูกเชือกผูกสะพานจนขาด
เก่งตาค้าง ร้องเสียงหลง “ผู้กอง คุณบัว”
“แย่แล้ว” ย้งตาเหลือก
สะพานเชือกขาดแล้ว…ร่างของเพ็ญพรกับธัมโมร่วงลงไปทันที ธัมโมใช้มือหนึ่งคว้าเชือกเอาไว้ ส่วนอีกมือคว้าแขนของเพ็ญพรก่อนจะร่วงลงสายน้ำอันเชี่ยวกราก
“พวกมึงอย่าอยู่เลย”
ดนัยบังคับมีดให้พุ่งหาเป้าหมายเปะปะไปทั่วทิศทาง เพราะมันไม่อาจมองเห็น
ย้งที่ยืนทื่ออยู่พอเห็นมีดพุ่งเขาหาตนก็ได้แต่ถอยหลังลนลาน
“เย้ย... มาแล้ว”
เก่งตะโกนบอก “ย้งหลบไป”
เก่งผลักย้งหลบทางมีด แต่ตัวเองกลับโดนมีดเจ็ดป่าช้าแทงเข้าเต็มๆ ท้อง
“ไอ้เก่ง” ย้งตาเหลือก
เพ็ญพรใจหายวาบ “แก้ว”
ธัมโมตะลึง “เก่ง”
ดนัยคำราม “ย๊าก”
ใช้พลังกระชากมีดกลับออกไป นางสิงห์ทรุดฮวบลง กระอักเลือด
“ไอ้เชิดผาดำ ทางนี้ กูอยู่ทางนี้ แน่จริงมึงฆ่ากูเลย” ธัมโมแหกปากท้าเพื่อเบนความสนใจ
ดนัยหันไปตามเสียง “ไอ้ธัมโม”
ดนัยบังคับมีดพุ่งเข้าใส่ธัมโมตามทิศทางเสียงทันที มีดอาคมจวนเจียนจะพุ่งเข้าหาธัมโมรอมร่อ เก่งตัดสินใจกระชากแส้ออกมาสะบัดแล้วควงไปมาก่อนจะตวัดไปพันด้ามมีดเจ็ดป่าช้าไว้ทันท่วงที คมมีดห่างคอหอยธัมโมไปแค่ไม่กี่เซ็นต์

ดนัยออกแรงซ้ำ “มึงตาย”

โปรดติดตามตอนต่อไป

นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 18 (ต่อ)

นางสิงห์เก่งกัดฟันคำรามลั่น ก่อนจะกระชากแส้เหวี่ยงกลับมา มีดเจ็ดป่าช้าถูกแส้กระชากกลับมา
“ไอ้เชิดผาดำ”
ดนัยได้ยินเสียงมีดพุ่งแหวกอากาศกลับมาที่ตนก็ตกใจ รีบยกฝ่ามือขึ้น
“วายุธาตุ”
ร่างของนางสิงห์กับย้งโดนวายุธาตุซัดจนกระเด็นตกลงไปในสายน้ำดังตูม
ขณะเดียวกันมีดเจ็ดป่าช้าก็พุ่งผ่านพลังวายุธาตุไปได้ เหมือนจรวดพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศ จนไฟลุกแดงฉาน ก่อนจะเสียบเข้าที่กลางอกของดนัยพอดิบพอดี
“ม…ไม่…ไม่จริง ข้าไม่มีวันตาย ไม่มีวันตาย”
ดนัยแผดร้อง ก่อนที่จะเห็นวิญญาณของเชิดผาดำที่สิงอยู่ในร่างปรากฏขึ้น มันปลดปล่อยพลังวายุธาตุออกมาจากร่างด้วยความแค้น
ย้งโดนกระแสน้ำซัดไปติดโขดหินพอดี ขณะที่เพ็ญพรเห็นร่างนางสิงห์โดนน้ำพัดมาก็รีบยื่นมือไป
“แก้ว จับมือชั้นเอาไว้”
นางสิงห์คว้ามือเพ็ญพรได้ฉิวเฉียด ธัมโมกัดฟันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะนอกจากแขนเขาจะบาดเจ็บแล้ว ยังต้องออกแรงดึงร่างของเพ็ญพรกับนางสิงห์เอาไว้อีกด้วย

จู่ๆ ป่าทั้งผืนก็เกิดเหตุอัศจรรย์ เหมือนตกอยู่ในวังวนพายุ อุณหภูมิที่ผันแปรก่อให้เกิดอาเพทขึ้น ท้องฟ้าแปรปรวนเมฆดำทะมึนเคลื่อนตัวมาบดบัง จนมืดมิดไปทั้งราวไพร
ดนัยกัดฟันชักมีดเจ็ดป่าช้าออกมาจากอกของตน แล้วเงื้อขึ้นตะโกนก้อง
“ข้าจะอยู่ค้ำฟ้า ข้าต้องไม่ตาย”
ดนัยแกว่งมีดเปะปะไปหาพวกของธัมโม นางสิงห์ เพ็ญพร และย้ง แต่แล้วฟ้าก็ผ่าครืนลงมาถูกปลายมีดเจ็ดป่าช้า ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
สายฝนกระหน่ำเทลงมา พร้อมกัยเห็นเงาดำของวิญญาณร้ายของเชิดลอยออกไปจากร่างดนัย
ย้งร้องลั่น “มันตายแล้ว เราฆ่าไอ้เชิดผาดำได้แล้ว”
ทันใดนั้นสะพานก็ทรุดลงมาอีก เส้นเชือกที่คาอยู่ทำท่าจะขาด ร่างของเพ็ญพรที่แขวนอยู่ตอนแรกจุ่มลงในน้ำ ในขณะที่ธัมโมต้องเจ็บแผลซ้ำสอง
“แก้ว” เพ็ญพรรร้องเรียก
นางสิงห์ซึ่งได้รับเจ็บสาหัสปรือตามองดูเพ็ญพร เหตุการณ์นั้นช่างเหมือนเหตุการณ์ในอดีตไม่มีผิดเพี้ยน
“คุณบัว” เก่งเรียกอย่างโรยแรง
เพ็ญพรตะลึง “แก้ว แข็งใจไว้นะ จับมือชั้นเอาไว้”
ขณะเดียวกันเชือกที่สะพานทำท่าจะขาด ธัมโมกัดฟันออกแรงประคองตัวเอาไว้ทั้งที่เจ็บแผลแทบจะขาดใจ
เพ็ญพรร้องร่ำ “อย่าปล่อยนะแก้ว อย่าปล่อย”
เบื้องหน้าของทุกคน เป็นน้ำตกไหลแรงและเชี่ยวกราก…พร้อมจะกลืนกินทุกชีวิตให้หายสาบสูญไป
เก่งกัดฟันพยายามยึดมือเพ็ญพรไว้ แต่บาดแผลฉกรรจ์ มีเลือดทะลักไม่หยุดหย่อน
“คุณบัว แก้วไม่ไหวแล้ว”
“ไม่นะแก้ว อย่าปล่อยมือนะ ห้ามปล่อยเด็ดขาด” เพ็ญพรลนลาน
“เก่ง แข็งใจเอาไว้ อย่าปล่อยมือนะ” ธัมโมตะโกนบอก
ย้งตะโกนบอก “ผู้กอง สะพานจะขาดแล้ว !!
ขาดคำของย้ง เชือกอีกเส้นขาดผึงไป สะพานยิ่งทรุดลงกว่าเดิม ร่างของเพ็ญพรจมลงในน้ำมากขึ้น
“สัญญานะคุณบัว ต่อไปคุณบัวต้องเลิกแก้แค้นคุณบัวต้องดูแลบ้านไม้งามให้ดี แทนที่ผู้ใหญ่ทองกับครูเพิ่ม” นางสิงห์เก่งเอ่ยขึ้น
เพ็ญพรใจหล่นวูบ คุ้นหูกับประโยคนี้นัก “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะแก้ว อย่าปล่อยมือชั้น ชั้นไม่ยอม ชั้นไม่ยอม”
“ผู้กอง…พี่ธัมโม” เก่งพูดเสียงเครือ รู้ว่าเวลาของตนเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
ธัมโมร้องร่ำ “เก่ง! พี่ขอร้องล่ะ อย่าปล่อยมือนะ ทุกอย่างมันจบแล้วเราต้องอยู่ด้วยกัน”
เก่งพูดอย่างกระท่อนกระแท่น “ชั้น….ชั้น….”
“แก้ว” เพ็ญพรร้องเรียก
“ไอ้เก่ง” ย้งขอร้องอีกแรง
“เก่ง” ธัมโมอ้อนวอน
“ทุกคน…ชั้นขอโทษ”
เก่งยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะดึงมือออก ปล่อยร่างตัวเองให้สายน้ำซัดไปที่น้ำตก ต่อหน้าทุกคน
ย้งร้องสุดเสียง “อย่า”
เพ็ญพรครวญคร่ำปิ่มว่าจะขาดใจ “แก้ว! แก้ว”
ธัมโมตะโกนก้องใจจะขาดรอนๆ “เก่ง ไม่ ไม่”
ร่างของนางสิงห์เก่งถูกดูดดึงหายไปท่ามกลางสายน้ำ ธัมโม เพ็ญพร และย้งต่างร้องไห้ต่อการสูญเสียในครั้งนั้น

เหตุการณ์ที่โรงเลื่อย กองกำลังตำรวจและฝ่ายคนร้ายยิงต่อสู้ปะทะกันอย่างระทึก คนร้ายยิง แต่ยิงไม่โดนตำรวจสักคน ขณะที่ฝ่ายตำรวจยิงคนร้ายราวกับจับวาง พวกคนร้ายเห็นเพื่อนโดนยิงตายต่อหน้าก็เริ่มใจเสียขวัญหนี ทิ้งอาวุธวิ่งหนีไป
“เฮ้ย ไอ้พวกขี้ขลาด จะหนีทำไมวะ เจ้านายเรามีอำนาจนะโว้ย” เบิ้มส่งเสียงโวยวายโหวกเหวก“ไอ้พวกตำรวจกิ๊กก๊อกพวกนี้มันทำอะไรไม่ได้หรอก เฮ้ย กลับมาสิวะกลับมา”
ไชโยโผล่มาเอาปืนจ่อเบิ้ม “เลิกแหกปากได้แล้วไอ้เบิ้ม นายเอ็งไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นหรอกโว้ย ทิ้งปืนซะ”
โอฬารโผล่มาอีกด้านเอาปืนจ่อเบิ้ม “ถูกต้อง ผิดก็คือผิดยังวันยังค่ำ ต่อให้นายของเอ็งมีอำนาจล้นฟ้า ก็ไม่อยู่เหนือกฎหมายหรอกวะ”
เบิ้มมองจ่าไชโยกับหมู่โอฬารด้วยความเจ็บแค้น ก่อนจะยอมทิ้งปืน และยกมือขึ้นเหนือศรีษะ

ในเวลานั้นเถ้าแก่ตงกับวาสนา เพิ่งนั่งรถกะบะตามมาถึงที่เกิดเหตุ ทั้งสองรีบลงจากรถแล้วมองหาย้งทันที
“พี่ย้งอยู่โน่นค่ะเถ้าแก่”
“อาย้ง”
จังหวะนั้น ย้งกับเพ็ญพรช่วยกันประคองธัมโมเดินออกมา พอเห็นวาสนากับเถ้าแก่ตงมาถึง เพ็ญพรก็พยักหน้าให้ย้งผละไป ย้งรีบวิ่งไปหาทั้งสอง
“อาป๊า อั๊วทำสำเร็จแล้ว ต่อไปนี้บ้านไม้งามจะไม่มีพวกโกงกินอีกแล้ว”
เถ้าแก่ตงปลื้มเหลือแสน “ลื้อเก่งมากอาย้ง ลูกอั๊ว ลื้อเก่ง เก่งจริงๆ”
เถ้าแก่ตงกอดย้งไว้ด้วยความตื้นตันใจ
“แล้วเก่งล่ะย้ง เก่งอยู่ที่ไหน” วาสนามองหา พลางถามถึงเก่ง
ย้งอึ้งไปก่อนจะมองกลับไปที่ธัมโมกับเพ็ญพรที่ตกอยู่ในความโศกเศร้าพอกัน ธัมโมมองกลับไปที่ในป่าอีกครั้ง เหมือนรอให้เก่งกลับมา
ผืนป่ากว้างใหญ่ สายน้ำไหลเชี่ยวกราก ไม่มีใครรู้ว่านางสิงห์จะปรากฏกายขึ้นอีกเมื่อใด หรือจะหายไปตลอดกาล

หลายวันผ่านไป ตรงทางเดินที่กรมตำรวจ ยินเสียงวาสนาเล่าเรื่องราวต่อมา

“ในที่สุดเรื่องราวฉ้อฉลในบ้านไม้งามก็จบสิ้นลง พร้อมๆกับการจากไปของนางสิงห์ชุดดำ ไม่กี่วันวันต่อมาผู้กองธัมโมถูกเรียกตัวไปที่กรุงเทพฯ เพื่อชี้แจงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น”
พลตำรวจคนหนึ่ง เดินนำธัมโมไปยังห้องทำงานของท่านอธิบดี ธัมโมมีโอกาสสวมเครื่องแบบตำรวจที่รักอีกครั้ง
“นี่คุณพูดเรื่องจริงหรือว่าเล่านิทานหลอกเด็ก กันแน่ผู้กอง” อธิบดีสอบถามอย่างงวยงงกับเรื่องราวที่ธัมโมเล่าให้ฟัง โดยมีพลตำรวจยืนอารักขาอยู่ห่างๆ
อธิบดีซักต่อ “ที่บ้านไม้งามเนี่ยนะมีคนใช้ไสยศาสตร์ต่อสู้กัน แถมยังมีอาตี๋ขายกาแฟปลุกระดมชาวบ้านให้กำหราบพวกอิทธิพลเถื่อน ผมถามจริงๆ เหอะ ถ้าคุณเป็นผม คุณจะกล้าบอกพวกนักข่าวแบบนี้รึเปล่า
ธัมโมบอกมาดขรึม “ไม่กล้าครับท่าน”
“ผมก็ว่างั้นแหละ” หันไปอีกทาง นั่งคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันมา “แต่ผมเชื่อคุณนะ เชื่อทุกอย่างที่คุณพูดคุณร่วมมือกับโจร แต่คุณปราบพวกคนร้าย ตกลงจะให้ผมทำโทษคุณหรือให้รางวัลคุณก่อนดี ช่วยบอกผมหน่อยซิ”
“ผมไม่ต้องการทั้งสองอย่างครับท่าน ไม่อยากถูกทำโทษ ไม่อยากได้รางวัล ผมแค่อยากทำหน้าที่ของผมต่อไป” มองหน้าอธิบดี “รับใช้บ้านเมืองต่อไป”
อธิบดีผุดยิ้มตรงมุมปากมองธัมโมด้วยแววตาเลื่อมใส

ธัมโมเดินกลับออกมาได้สักพักหนึ่ง พลตำรวจคนสนิทของท่านอธิบดี ก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบตามมา
“ผู้กองครับ ผู้กองธัมโม”
ธัมโมหยุดเดินหันมาหา
“ท่านบอกว่าคราวก่อนผู้กองลืมของเอาไว้ครับ ของมีค่าแบบนี้ท่านอยากให้ผู้กองเก็บเอาไว้กับตัว”
พลตำรวจส่งห่อผ้าสีขาวให้ธัมโมๆ แกะดูจึงพบว่าสิ่งที่อยู่ในห่อก็คือดินที่หลวงพ่อชุ่มให้กับเขาเพื่อเตือนใจในครั้งที่ต้องต่อสู้กับเหล่าร้าย
“ฝากเรียนท่านอธิบดีด้วยว่า ผมขอบพระคุณท่านมากและผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”
พลตำรวจตะเบ๊ะให้ด้วยความชื่นชมและศรัทธา “โชคดีนะครับผู้กอง”
ธัมโมยิ้มรับก่อนจะเดินจากไป ขับคลอด้วยเสียงวาสนากำลังเล่าเรื่องต่อ
“โชคดีที่ผู้กองธัมโมไม่ถูกลงโทษ แต่โชคร้ายเป็นของชาวบ้านไม้งามทุกคน เพราะนับจากนั้นเป็นต้นมาท่านอธิบดีก็ย้ายผู้กองธัมโมไปช่วยงานท่านที่กรมตำรวจ ทำให้ผู้กองธัมโมไม่ได้กลับมาที่บ้านไม้งามอีกเลย จนกระทั่งสองปีผ่านไป”

2 ปีผ่านไป ในห้องนอนวาสนากับย้ง วาสนากำลังนั่งเขียนไดอารี่อยู่ ที่ผนังห้องมีรูปถ่ายใส่กรอบแขวนอยู่หลายบานด้วยกัน

หนึ่งในนั้นคือรูปของเพ็ญพรในชุดครูที่ถ่ายร่วมกับเด็กนักเรียน
“ผู้หมวดเพ็ญพรขอลาออกจากการเป็นตำรวจ เพราะเธอเห็นว่าที่ผ่านมาตัวเองได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อีกทั้งการตายของครูเพิ่มก็ทำให้เธอคิดได้ว่า หากจะหยุดยั้งความเลวร้ายไม่ให้เกิดขึ้นบนแผ่นดินบ้านไม้งาม สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือปลูกฝังจริยธรรม และส่งเสริมการศึกษาให้กับเยาวชน”
ภาพเพ็ญพรกำลังย้ายบ้าน และทำความสะอาดตกแต่งบ้านผู้ใหญ่ทองเสียใหม่ผุดขึ้นมา พร้อมกับเสียงบอกเล่าเรื่องของวาสนา
“ตอนนี้เธอย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่ทอง ซึ่งเธอเชื่อว่าในอีกไม่ช้า เก่ง หรือนางสิงห์ชุดดำ จะต้องกลับมาอีกครั้ง”
เพลินตาสวมชุดคนไข้ นั่งอยู่ที่ม้านั่งในสวนหย่อมโรงพยาบาลประสาท ด้วยความหวาดกลัวเชิดผาดำจะมาทำร้าย ด้านหลังมีพยาบาลกับคนไข้พอให้รู้ว่าเป็นที่ ร.พ.ประสาท
“ตรงข้ามกับคุณเพลินตาที่ต้องย้ายไปอยู่ในสถานบำบัดของผู้ป่วยทางจิต ทั้งๆที่มีเงินทองล้นฟ้า แต่เธอกลับไม่มีโอกาสได้ใช้สอยอีกต่อไป อาณาจักรของเสี่ยเล้งจึงต้องล่มสลายไปโดยปริยาย”

ส่วนไชโยโอฬารแต่งชุดนายตำรวจใหญ่ กำลังเข้าแถวร่วมกับบรรดาตำรวจคนอื่นๆ ของโรงพักบ้านไม่งาม เชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาในยามเช้า
“ขณะที่จ่าไชโยกับหมู่โอฬารก็ได้รับความชอบจากการปราบปรามเหล่าทำร้าย จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นสารวัตร และผู้กองตามลำดับ ซึ่งชั้นเชื่อว่าทั้งสองคนจะทำให้บ้านไม้สุขสงบไปอีกนาน”

ย้งในชุดเครื่องแบบผู้ใหญ่บ้าน กำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อยในหมู่บ้าน ก่อนจะเห็นชาวบ้านผัวเมียทะเลาะกัน ย้งเข้าไปไกล่เกลี่ยจนโดนลูกหลงผมเผ้ายุ่ง เมียไล่ตีผัว ฝ่ายตาผัววิ่งหลบไปรอบๆ ตัวย้ง ขณะที่เด็กอีกกลุ่มก็วิ่งมาฉุดกระชากย้งเหมือนจะตามไประงับเหตุด่วนเหตุร้ายอะไรสักอย่าง
“เช่นเดียวกับนายย้ง หรือพี่ย้งของชั้น ซึ่งนับตั้งแต่เขาสามารถปลุกระดมชาวบ้านให้ลุกขึ้นสู้กับอำนาจเถื่อนได้ในครั้งนั้น พี่ย้งก็พบกับเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง เค้ามุ่งมั่นเรียนจนจบมอปลาย ก่อนจะลงสมัครเป็นผู้ใหญ่บ้านคนใหม่แห่งบ้านไม้งาม และกลายเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวบ้าน เอิ่ม... คิดว่านะ”

เถ้าแก่ตงกำลังนั่งอ่านจดหมายด้วยความตื่นเต้น
“เรื่องของย้ง กลายเป็นข่าวดีที่เถ้าแก่ตงมีความสุขมากเรื่องนึง แต่ที่น่าดีใจยิ่งกว่าก็คือ แกได้รับข่าวคราวจากพี่หมวยใหญ่ที่หนีไปอยู่กรุงเทพฯ ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้พี่หมวยใหญ่ของเราจะกลายเป็นดาราชื่อดังไปแล้ว เธอแต่งงานกับนายทหารท่านหนึ่งและกำลังจะอุ้มลูกกลับมาเยี่ยมบ้านไม้งามในไม่ช้า”
เถ้าแก่ตงหยิบรูปถ่าย “เป้ย ปานวาด” ชื่อใหม่ของ หมวยใหญ่ ในชุดแต่งงานคู่กับนายทหาร ที่เป็นข่าวดัง ออกมาดู แล้วยิ้มน้ำตาคลอ และหันไปอวดรูปให้หลวงพ่อชุ่มกับตาคงที่อุดหนุนกาแฟอยู่ในร้านด้วยความปลาบปลื้ม

วาสนากำลังเขียนบันทึกเรื่องราวลงในไดอารี่อย่างต่อเนื่อง
“และที่เป็นข่าวดียิ่งกว่านั้นอีกก็คือ ชั้นกับย้งเราแต่งงานกันแล้วตอนนี้เรากำลังสร้างครอบครัวร่วมกัน โดยมีอีกชีวิตนึงร่วมเป็นพยาน”
เวลานั้นย้งสวมผ้ากันเปื้อน เรียกวาสนาเสียงหวาน “เมียจ๋า ทานข้าวจ้ะ กับข้าวเสร็จแล้ว”
“เบาๆ ก็ได้พี่ย้งเดี๋ยวลูกตื่น”
ย้งชี้เครื่องหมายยศที่บ่า “อะแฮ่ม”
“ค่า กรุณา เบาๆ เสียงนิดนึงนะคะคุณผู้ใหญ่บ้าน ชิ หมั่นไส้”
ย้งยังคงยิ้มยืด ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงเด็กร้องอ้อแอ้ จึงเดินไปดูลูกที่เปลแล้วอุ้มขึ้นมา
“โอ๊ะโอ๋ ตื่นแล้วเหรอจ๊ะลูกจ๋า เป็นไง วันนี้อารมณ์ดีมั้ยเอ่ย หือๆ” ย้งยิ้มปลื้ม “ลูกสาวเราแข็งแรงจริงๆ เหมือนผู้ชายไม่มีผิด”
วาสนาพยักหน้า “ชั้นว่าเหมือนนายเก่งนะ”
ย้งเห็นด้วย “ใช่ แข็งแรงเหมือนไอ้เก่ง นี่ถ้ามันยังอยู่ก็ดีสิ”
พอพูดแล้วก็หน้าเศร้า วาสนาเข้ามากุมบ่าปลอบใจสามี
“ชั้นเชื่อนะพี่ย้ง จนถึงวันนี้ก็ยังเชื่อ ว่าเก่งต้องมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง และรอเวลาที่จะปรากฏตัวอีกครั้ง”
ย้งส่ายหน้าเศร้าๆ “ถ้ามันยังอยู่จริงๆ ป่านนี้คงไปหาผู้กองที่กรุงเทพฯแล้วล่ะ”
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะ”
ย้งมองวาสนาอย่างประหลาดใจ วาสนายิ้มราวกับสังหรณ์ใจว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้น
ตัดข้ามไป

ที่กรุงเทพฯ เช้านั้น หน้าบ้านธัมโมมีป้ายชื่อบ้านติดยศเป็นพันตำรวจโทแล้วในขณะนั้น ธัมโมเดินมาหยิบหนังสือพิมพ์จากกระบอกรับหนังสือพิมพ์ที่หน้าบ้านแล้วคลี่ออกอ่าน เห็นเป็นภาพท่านอธิบดีกรมตำรวจกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าว โดยมีธัมโมยืนเคียงข้างในฐานะคนสนิท พร้อมพาดหัวข่าว
“อธิบดีกรมตำรวจสั่งกวาดล้างคอรัปชั่นทั่วประเทศ”
ธัมโม..ถอดแว่นสายตายาวออก…ก่อนจะยิ้มให้ข่าวดีนั้นก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป โดยไม่ทันสังเกตว่าในระหว่างนั้นก็มีใครบางคนเดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้าน และเฝ้ามองเขาเงียบๆ
จู่ๆ ธัมโมก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้น เป็นเสียงแว่วหวานจากขลุ่ยเลาเล็กๆ ที่เคยถูกเป่าเป็นรหัสลับสื่อสารกันระหว่างเขากับนางสิงห์
ธัมโมหันมาและเห็นเก่งกำลังยืนอยู่ เก่งแต่งชุดผู้หญิงเช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป
หนังสือพิมพ์ร่วงจากมือธัมโม เขาเดินมาหาเก่งอย่างไม่เชื่อใจตาตัวเอง ผลักประตูรั้วออก ก่อนจะเอื้อมมือออกไปลูบไล้ที่เรือนผม และไล้เกลี่ยลงมาตรงแก้มเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความฝัน
เก่งเอ่ยขึ้น ทำท่าจะร้องไห้ “ชั้นเองพี่ธัมโม ชั้นกลับมาแล้ว”
ธัมโมและเก่ง ต่างฝ่ายต่างยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
“ก็เหมือนที่ใครๆ พูดไว้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านไม้งามมันช่างเหมือนนิทานหลอกเด็กไม่มีผิด นิทานที่ส่วนใหญ่มักเริ่มต้นด้วยประโยคคล้ายๆกันว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ก่อนจะปิดฉากลงด้วยประโยคที่ว่า แล้วทั้งสองก็ครองคู่กันอย่างมีความสุข…ตลอดไป”
ธัมโมเอ่ยขึ้น แล้วรวบตัวเก่งเข้ามากอดไว้แนบแน่นและเนิ่นนานด้วยความคิดถึง

กรุงเทพฯ ในอดีต แปรเปลี่ยนกลายเป็นกรุงเทพฯ ที่เจริญไปด้วยวัตถุในปัจจุบัน แต่หัวใจสองดวงซึ่งยึดเหนี่ยวเกี่ยวพัน ยังมั่นคง ยึดมั่นถือมั่นในกันและกัน ไม่เปลี่ยนแปลง

จ บ บ ริ บู ร ณ์

โปรดติดตาม "สายฟ้ากับสมหวัง" เริ่ม ศุกร์ที่ 7 กันยายน นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น