ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาจำคุก 6 เดือน 3 จำเลยหญิงในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ให้การเป็นประโยชน์ศาลเมตตาลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุกคนละ 4 เดือนไม่รอลงอาญา จำเลยทั้ง 3 ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์คนละ 50,000 บาทประกันตัว
ที่ห้องพิจารณาคดี 404 ศาลอาญากรุงเทพใต้ วันนี้ (30 ส.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ ด.4467/2554 ที่พระแสวง เขมญาโณ (แสวง ทองมา) อายุ 32 ปี พระลูกวัดยานนาวา มอบอำนาจให้นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ เป็นโจทก์ ฟ้องนางนิศาภัทร์ สอแสง นายอนันต์ทวี สอแสง และนางพรรณี ไชยโอชะ เป็นจำเลยที่ 1- 3 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 4 -19 พ.ย.2554 จำเลยร่วมกันจัดทำหนังสือร้องเรียนกล่าวหาโจทก์ว่า โจทก์ดูดวงให้กับจำเลยที่ 1 แล้วบอกว่า จำเลยที่ 1 ถูกคุณไสย จึงเจ็บป่วย โดยจำเลยที่ 1และ 2 เป็นสามีภรรยากัน ด้วยความเคารพและเลื่อมใส จึงยอมให้โจทก์รักษา โดยโจทก์ได้ประกอบพิธีที่บ้านของจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 1และโจทก์อยู่ด้วยกันสองคนแล้วให้จำเลยที่ 1 นอนหงายลงกับพื้นแล้วโจทก์ทำการเสพเมถุนกับจำเลยที่ 1 จนสำเร็จ จำเลยที่ 1 เข้าใจว่า เป็นการรักษาโรค ตั้งแต่นั้นมาได้ทำการรักษาด้วยการเสพเมถุนอีกหลายครั้ง แต่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถจำวันที่ได้ จึงขอร้องเรียนว่าโจทก์ประพฤติผิดพระวินัยอย่างร้ายแรง และลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทำให้ถุกตั้งกรรมสอบสวน มีโทษถึงขั้นปราชิก คือ สึกจากการเป็นสมณเพศ และไม่สามารถอุปสมบท กลับมาเป็นพระภิกษุใหม่ได้สมเจตนารมย์ของจำเลยทั้งสาม ข้อความดังกล่าวล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น
ความจริงแล้วโจทก์ไม่เคยดูดวงให้กับจำเลยที่ 1 หรือบอกว่าจำเลยที่ 1 ถูกคุณไสย เนื่องจากไม่ใช่กิจของสงฆ์ รวมถึงโจทก์ไม่เคยรักษาจำเลยที่ 1 และไม่เคยอยู่กันสองต่อสองกับจำเลยที่ 1 โดยมีสาเหตุมาจากจำเลยทั้งสามโกรธเคืองโจทก์ ที่โจทก์ได้ทำการตรวจสอบการฉ้อโกงของจำเลยที่ 1 กับพวก ที่มีพุทธศาสนิกชนร้องเรียนมายังโจทก์ ที่ได้หลงเชื่อบริจาคเงินให้กับจำเลยที่ 1 เป็นจำนวนมาก หลายล้านบาทที่มีการอ้างชื่อของโจทก์ไปกระทำการหลอกลวงประชาชน หลังจากนั้นโจทก์จึงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.ศรีเมืองใหม่ เพื่อดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ 1 กับพวก การกระทำของจำเลยทั้งสามมีเจตนาใส่ความโจทก์โดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ทำให้ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือ ถูกเกลียดชังอย่างร้ายแรง เหตุเกิดที่ต.นาคำ อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี และ วัดยานนาวา แขวงยานนาวา เขตสาทร กทม. ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328 และขอศาลสั่งทำลายเอกสารดังกล่าวทั้งหมด และให้จำเลยร่วมกันลงคำขอขมาโจทก์ในหนังสือพิมพ์ รวม 7 ฉบับ เป็นเวลา 15 วันโดยจำเลยทั้งสามร่วมกันออกค่าใช้จ่าย
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษาลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือน คำให้การมีประโยชน์แก่การพิจารณา เห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำเลยทั้งสาม คนละ 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ ต่อมาญาติของจำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เงินสด คนละ 50,000 บาท ขอประกันตัว ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัว ตีหลักทรัพย์คนละ 50,000 บาท
มีรายงานว่าเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายรวมพลังต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา กษัตริย์ และ พระแสวง เขมญาโณ หรือ พระสมุห์แสง อายุ 32 ปี พระลูกวัดยานนาวา กรุงเทพฯ ได้ยื่นหนังสือถึง พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.เพื่อร้องทุกข์ขอให้ บก.ป.สืบสวนรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มขบวนการสีกาที่กล่าวหาพระภิกษุสงฆ์ของวัดชื่อดังทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทางภาคอีสานว่า ได้ล่วงละเมิดทางเพศ เป็นการผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรงและผิดกฎหมายอาญา ทั้งที่ไม่เป็นความจริง จากนั้นได้ทำการแบล็กเมล์เพื่อเรียกเงินจากพระภิกษุที่ถูกกล่าวหา หรือเจ้าอาวาสวัดเพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีหรือไม่นำเรื่องไปเปิดเผยให้ได้รับความเสียหาย
นายสงกรานต์ เปิดเผยว่า กรณีที่เกิดขึ้นได้รับการประสานจากคณะสงฆ์ว่าเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้จำนวนมาก โดยเฉพาะพระภิกษุทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะมีสีกากลุ่มหนึ่งทำทีเข้าไปทำบุญที่วัด เพื่อตีสนิทกับพระภิกษุสงฆ์ จากนั้นก็มีการกระโดดกอด หรือถ่ายภาพร่วมกันเอาไว้เพื่อร้องเรียน หรือแจ้งความดำเนินคดีกล่าวหาพระภิกษุสงฆ์ ทั้งที่ไม่เป็นความจริงเพื่อแบล็กเมล์เรียกรับผลประโยชน์จากพระสงฆ์ที่ถูกกล่าวหา หรือจากเจ้าอาวาสวัดนั้นๆ ทำให้พระพุทธศาสนาเสียหาย ซึ่งหากพบว่าภิกษุกระทำผิดจริงก็จับสึกทันทีแต่หากไม่ผิดก็ให้ดำเนินคดีกลับเพื่อพิสูจน์ความจริง และดำเนินคดีกับขบวนการเหล่านี้ให้ถึงที่สุด