ชิงนาง ตอนที่ 16
ส่วนภูผาพอเข้าห้องมาก็ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงด้วยอาการเซ็งๆ ฉากรักหวานซึ้งผุดขึ้นมาฉากแล้วฉากเล่า ราวกับสายน้ำไหล วันที่เขามอบดอกไม้ทะเลให้วงเดือนใต้ผืนน้ำ เวลามีเรื่องชกต่อยกลับมาวงเดือนก็คอยช่วยทำแผลให้เสมอ สองคนซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกัน
ภูผาหน้าเศร้าดึงตัวเองกลับมาบ่นพึมพำ “ไม่รักกันแล้วจริงๆ ใช่มั้ย” ความน้อยใจ แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ “เดือน..เธอใจดำ”
ด้วยอารมณ์คุณหนูขี้พาล ภูผาเอามือเหวี่ยงปัดข้าวของแถวนั้นหล่นกระจาย ชิ้นหนึ่งกระเด็นไปตกที่ปลายเท้าหนูนาที่ก้าวมาหยุดยืนพอดี หนูนาตกใจมองจ้องหน้าเหมือนจะถาม ภูผารีบเบือนหน้าหนี ไม่อยากยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงต่อหน้าหนูนา
หนูนารู้ทัน ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงเก็บของที่เท้าแล้วเอาไปวางที่เดิม แล้วจะเดินออกไป
ภูผาเรียกไว้ “หนูนา”
หนูนาหันกลับมามอง
ภูผานั่งที่เดิม ไม่ได้ลุกขึ้นมาหา ย้ำคำ “ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงฉันก็จะแต่งงานกับเธอ”
หนูนามองจ้อง ยิ้มขื่นๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ภูผาสับสนไปหมด อยู่ในอารมณ์เหวี่ยงเต็มขั้น โมโหทุบเตียงระรัว “เว๊ยๆๆๆๆ โธ่เว๊ย”
ภูผาโมโหหอบเหนื่อย
เช้าวันใหม่ที่บริเวณไร่เหนือฟ้า สว่างกับดอยเดินถืออุปกรณ์ทำงานมานั่งพัก พร้อมกระติ๊บข้าวเหนียว
“ตกลงยังไงเนี่ยลุง? จนป่านนี้นายกับลูกพี่ก็ยังไม่กลับแถมติดต่อไม่ได้ ตอนนี้อยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ แล้วถ้ากลับมาเห็นโรงเก็บชาโดนเผาเราจะทำยังไง? ใครจะเป็นคนบอก ลุงบอกนะ ชั้นไม่กล้า แล้วนี่ถ้าเกิดว่า....” ดอยพูดเรื่อยเจื้อย
สว่างควักข้าวเหนียวยัดใส่ปากดอยจนเต็มปาก
“นี่แน่ะ! ไม่พูดก็กิน! ไม่กินก็พูด! พูดมากดีนัก! เอาข้าวเหนียวยัดปากไปซะ ข้าขี้เกียจฟัง รำคาญ”
ดอยไอแค่กๆ หายใจแทบไม่ทัน ควักข้าวเหนียวออกจากปาก “โห่ ลุง! ใจคอจะฆ่ากันให้ตายเลยรึไงเนี่ย ถ้าข้าวเหนียวติดคอไอ้ดอยตายไปนะจะเป็นผีมาหักคอลุง...คอยดู”
“เฮ้อ! หยุดพูดซะทีเถอะวะ..ไอ้ดอย! ข้ายิ่งกลุ้มๆ ใจอยู่”
“กลุ้มเรื่องไรอ่ะลุง”
“จะเรื่องอะไร ก็เรื่องที่ไร่โดนเผาน่ะสิวะ ข้าอยากรู้จริงๆ ว่ามันเป็นฝีมือของใคร และไอ้คนที่มันทำเนี่ย มันต้องการอะไร?
ดอยถอนใจเฮือก กลุ้มไปด้วย สีหน้าสว่างครุ่นคิดหนัก
จังหวะนั้นมีสายตาของใครคนหนึ่งซุ่มแอบดูสว่างกับดอย อยู่ในพุ่มไม้ไกลออกไป
ริมลำธารกลางป่า ตอนกลางวัน เหนือฟ้านั่งคุย หารืออยู่กับมะขิ่น
“เมื่อไหร่ไอ้วันชัยมันจะโผล่หัวออกมาซักทีนะมะขิ่น”
“ใจเย็นครับพ่อเลี้ยง ความแค้นที่ต้องชำระ ต่อให้ต้องรอ 10 ปี 20 ปี ก็ยังไม่มีคำว่าสาย” มะขิ่นปลอบ
“แต่ฉันคงรอนานขนาดนั้นไม่ไหวหรอก ฉันอยากจะฆ่ามันให้ตายซะวันนี้ พรุ่งนี้เลย เออ..จริงสิ ที่มะขิ่นเคยบอกว่า มีคนเห็นคนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนที่ฝั่งโน้นน่ะ ตกลงว่ามันเป็นใคร? ใช่ไอ้วันชัยมั้ย?”
“ยังไม่รู้ครับพ่อเลี้ยง จู่ๆ ก็หายเงียบไป ไม่ทันรู้ว่ามันเป็นใคร”
จังหวะนั้นมะยอเดินดุ่มๆ มา
มะขิ่นรีบกระซิบ “ไว้คุยกันนะครับ เดี๋ยวอีนังมะยอมันได้ยิน” หันไปทักเสียงดัง “ว่าไงนังมะยอ ไปตะแล๊ดแต๊ดแต๋ที่ไหนมาวะ ข้าสั่งไว้ให้สอนนายยิงธนู เอ็งนี่มันอู้งานจริงๆ”
เหนือฟ้าส่ายหน้าขำๆ เหมือนจะว่ามะยอไม่เอาไหน
มะยอค้อนขวับใส่เหนือฟ้าวงหนึ่ง เหนือฟ้าสะดุ้ง มะยอพูดขึ้น “อู้ที่ไหนกันพ่อ ข้าไปฝั่งนู้น...มา” มะยอยื่นปากยาวให้รู้ว่าไกลมาก
มะขิ่นสงสัย “เอ็งจะไปฝั่งนู้นทำไมวะ”
“ได้ยินคนมันบอกว่ามีคนเผาโรงเก็บชาก็เลยไปดูเล่นๆ หนุกๆ”
เหนือฟ้าชะงัก นิ่งฟัง
มะขิ่นเขกหัวดังป๊อก “อีนังมะยอติงต๊อง โรงเก็บชาโดนเผานี่มันหนุกๆ ตรงไหนวะ เอ็งนี่มันท่าจะบ้าจริงๆ”
เหนือฟ้าสนใจ “เดี๋ยวก่อนมะยอ โรงเก็บชาที่ว่าน่ะ...เป็นของไร่ชาอะไร”
มะยอดันเชิดใส่ “อยากรู้ไปทำไม เรื่องอะไรข้าต้องบอกเอ็งด้วย”
เหนือฟ้าพุ่งเข้าบีบไหล่ สองข้างของมะยอทันควัน “ฉันถามก็บอกมา เร็ว ไร่ชาอะไร”
มะยอตกใจ มะขิ่นก็ตกใจด้วย มะยอโชว์ลีลาป้องกันตัวกัน ปัดมือเหนือฟ้าออก แล้วบิดมือเหนือฟ้าจนร้องลั่น
“โอ๊ย”
มะขิ่นตกใจ “อีนังมะยอ ปล่อยอ้ายเหนือเดี๋ยวนี้ เอ็งทำอย่างนี้กับอ้ายเหนือได้ยังไง”
มะยอเถียงลั่น “ทำไมจะทำไม่ได้”
มะขิ่นตวาดเสียงดัง “ข้าบอกให้ปล่อย”
มะยอค่อยๆ ปล่อยอย่างฮึดฮัดขัดใจ
มะขิ่นรีบขอโทษขอโพยเหนือฟ้า “อย่าไปถือสามันนะพ่อ..เอ๊ย! อ้ายเหนือ”
เหนือฟ้าไม่ถือสาอยากรู้เรื่องมากกว่า “ช่างเถอะๆ ว่าไงมะยอ โรงเก็บชาที่โดนเผาน่ะ... เป็นของใคร?”
มะยอสะบัดเสียงใส่เหมือนไม่เต็มใจตอบ “ไร่เหนือฟ้า”
เหนือฟ้าตะลึงตาค้าง มะขิ่นหันมองเหนือฟ้าอย่างตกใจแทน
มะยอมองจ้องจับอาการของสองคน
เหนือฟ้าเปลี่ยนสีหน้าเป็นแค้นคั่งขบกรามกัดฟันพูดเบาๆ
“ต้องเป็นมันแน่ๆ...” เหนือฟ้ายิ้มเย็นยะเยือก “โผล่หัวออกมาแล้วใช่มั้ย...ไอ้วันชัย”
วงเดือนเปิดประตูออกมา มองซ้ายแลขวาอย่างระวังตัว ก่อนจะออกมาพร้อมห่อผ้าที่ข้างในเป็อุอุปกรณ์การแพทย์เหมือนเดิม หันหลังไปปิดประตู พอหันกลับมาต้องตกใจมาก
“อุ๊ย”
เห็นเมฆายืนติดในระยะประชิดอยู่
“คุณเมฆา”
เมฆามองจับจ้อง “เดือน...จะไปไหน?”
วงเดือนรีบเอาห่อของซ่อนข้างหลัง “ปะ..เปล่าค่ะ”
เมฆามองของในมือ “แล้วนั่นอะไร?”
“เอ่อ..ผ้าค่ะ..ผ้าซัก..เดือนจะเอาผ้าไปซัก” วงเดือนรีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณเมฆามีอะไรคะ? จะใช้ให้เดือนทำอะไรรึเปล่า?”
เมฆายิ้มออก “ผมเนี่ยนะ..จะใช้ให้เดือนทำอะไร เดือนต่างหากล่ะ อยากใช้ให้ผมทำอะไร ผมจะทำให้ทุกอย่าง” ยื่นมือจะไปคว้าผ้าที่วงเดือนถืออยู่ทันที “มา..ซักผ้าให้ก็ได้นะ”
วงเดือนรีบเบี่ยงตัวหลบทันที “อย่าค่ะ ไม่ได้”
เมฆาชะงักมอง นึกสังสัย
“เดือน..หมายถึง..ไม่ได้หรอกค่ะ คุณจะมาซักผ้าให้เดือนได้ยังไงกัน”
เมฆายิ้มได้ พูดคำหวานต่อ “มากกว่านี้..ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้..ผมทำเพื่อเดือนได้ทั้งนั้น...ขอให้เดือนสั่งมา”
วงเดือนอึ้งครางเบาๆ อย่างซึ้งใจ “คุณเมฆา”
เมฆายิ้มเยื้อน “บอกกี่ครั้งแล้วให้เลิกทำงานพวกนั้น ผ้าน่ะ..ให้ชอุ่มซักให้ก็ได้”
วงเดือนได้โอกาส “ค่ะๆ” รีบเปิดประตูห้องแล้ววางห่อผ้าไว้ในห้อง ก่อนจะปิดประตู “ตกลง..คุณเมฆามีธุระอะไรกับเดือนเหรอคะ”
เมฆามองจ้อง “ผมเป็นห่วงเดือน” ลอบสังเกตพูดหยั่งเชิง “เมื่อวานตอนเย็นไม่เห็นเดือนเลย หายไปไหนมา”
วงเดือนคิดในใจว่าแย่แล้ว “อ๋อ..เอ่อ...คือ...”
ขณะคิดหาคำพูด ชอุ่มก็โผล่มาช่วยวงเดือนไว้ทันท่วงที “เดือน”
วงเดือนสะดุ้ง ดีใจ รีบขานรับ “จ๋า...น้าชอุ่ม”
ชอุ่มเดินมาเห็น 2 คนอยู่ด้วยกันก็สะดุ้ง “อุ่ย! ชอุ่มขอโทษค่ะ”
วงเดือนรีบถาม “น้าชอุ่มมีอะไรเหรอจ๊ะ”
“คือ..คุณผู้หญิงท่านให้หาน่ะเดือน..อ้อ!...คุณเมฆาด้วยค่ะ”
“อ้อ! จ้ะๆ” วงเดือนโล่งใจ “รีบไปกันเถอะจ้ะ”
วงเดือนคว้ามือชอุ่มเดินไปเลย
เมฆามองตามวงเดือนไปอย่างยังสงสัย เรื่องที่หายตัวไปตามที่โฉมไฉไลเคยเขี่ยไฟไว้
ทุกคนนั่งอยู่ด้วยกันที่ห้องโถง ศรีดาราเปิดกล่องเครื่องประดับยิ้มพราย หันมาทางวงเดือนกับหนูนา
“แม่ตั้งใจจะมอบเครื่องเพชรให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของลูกสะใภ้ทั้ง 2 คนของแม่”
วงเดือนกับหนูนาอึ้ง ส่วนโฉมไฉไลตกใจแทบช็อก
“ตอนแรกแม่ตั้งใจจะเลือกให้เอง แต่คิดดูอีกที ให้เจ้าตัวเลือกเองเลยดีกว่า”
“อะไรนะคะ ให้เลือกกันเองเลย” โฉมไฉไลแปลกใจ
“จ้ะ..จะได้ถูกใจไงจ๊ะ...” ศรีดารามองสองสาว “ดีมั้ย”
โฉมไฉไลขึ้นเสียงด้วยไฟริษยา “ไม่ได้นะคะ”
ศรีดาราเหลียวมามองเป็นเชิงตำหนิ
โฉมไฉไลรู้สึกตัวรีบเปลี่ยนท่าทีพูดเสียงอ้อน “โฉมหมายถึง ไม่ดีมั้งคะ” ยิ้มหวาน “ประเดี๋ยวใครเลือกเพชรเม็ดใหญ่กว่าใคร ก็ไม่ยุติธรรมน่ะสิ จริงมั้ยคะ ฮิฮิฮิ”
ไม่มีใครขำกับมุกฝืดๆ ของโฉมไฉไล
“เรื่องนั้นคงไม่ต้องกังวลหรอก”
ทุกคนเงียบกริบ มองภูผา
“เพราะจะไม่มีงานแต่งงานระหว่างผมกับหนูนา...ที่นี่”
ทุกคนอึ้ง
ศรีดาราตกใจ “ภูผา ทำไมล่ะลูก”
“ผมกับหนูนาอยากกลับไปแต่งงานที่ไร่ของเราน่ะครับ”
วงเดือนอึ้ง หนูนายิ้มแฉ่ง เมฆารอฟัง
อนุตไม่พอใจเป็นอย่างมาก “ทำไมแกจะต้องมากเรื่องด้วย ห๊า ภูผา”
“ผมต้องขอโทษพ่อกับแม่ด้วย แต่มันเป็นความตั้งใจของผมกับหนูนาตั้งแต่แรกแล้ว เราตั้งใจจะจัดกันแบบเรียบๆ ง่ายๆ เพราะฉนั้น..เครื่องเพชรของคุณแม่..ก็คงจะไม่จำเป็นหรอกครับ”
โฉมไฉไลได้ฟังค่อยโล่งอกไปเปลาะนึง
“นี่แกหมายความว่ายังไง? แกจะอวดดีไปถึงไหนภูผา” อนุตขึ้นเสียงอย่างฉุนเฉียว
ศรีดาราปราม “คุณคะ..ลูกเค้าตั้งใจแล้ว เค้าก็มีเหตุผลของเค้า” หันมาพูดกับภูผา “แต่ถึงยังไง...แม่ก็อยากรับขวัญลูกสะใภ้ของแม่”
คราวนี้โฉมไฉไลตาโตเท่าไข่ห่าน ช็อกอีก
ศรีดาราบอกกับหนูนา “มานี่สิลูก”
หนูนาตาโต มองภูผา แล้วส่ายหน้าให้ศรีดารา
อนุตพึมพำแบบหน่ายใจ “พอกัน ทั้งผัวทั้งเมีย”
โฉมไฉไลแจ๋ทันที “คุณแม่คะ..คนอยู่ป่าอยู่ดอย จะใส่เพชรพลอยมันก็ดูจะไม่เหมาะนะคะคุณแม่”
“มันเรื่องอะไรของคุณด้วย” เมฆาจ้องหน้าโฉมไฉไล แล้วหันมาทางหนูนา “หนูนา...ขัดใจผู้ใหญ่ไม่น่ารักนะ เข้าไปหาคุณแม่สิ รับของขวัญแต่งงานจากท่านซะ”
ภูผาเหลียวขวับมองเมฆาทันที รู้ว่าเมฆาอยากให้รับไว้เป็นการยืนยันตอกย้ำว่า...แต่งแน่ เมฆาเองก็หันมองตอบสู้สายตาภูผาอย่างไม่กลัวเกรงเช่นกัน
ภูผาจับมือหนูนาไว้ แล้วเอ่ยขึ้น “เรา 2 คนไม่ได้ต้องการอะไรจากแสนสมุทร เราตั้งใจจะสร้างทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเราเองเชิญแก” มองเมฆา “กับ” ปรายตามองวงเดือน “เจ้าสาวของแก รับของขวัญแต่งงานจากแม่ไปก็แล้วกัน”
พูดจบก็จูงมือหนูนาเดินออกไปเลย
ศรีดาราใจหาย “ภูผา”
อนุตโกรธขึ้นมาทันทีทันใด “เห็นรึยัง? ไอ้ภูผามันอวดดีจริงๆ”
โฉมไฉไลสะใจด่าไม่ออกเสียงว่า “โง่”
วงเดือนสะเทือนใจจนต้องเบือนหน้าหนี
เมฆาลอบมองวงเดือนและสะใจที่ภูผาถูกพ่อด่า
ไม่นานต่อมาภูผานั่งลงตรงม้านั่งที่มุมหนึ่งในบ้าน
“เธอไม่โกรธฉัน..ใช่มั้ย หนูนา”
หนูนานั่งลงข้างๆ ยิ้มแฉ่ง “ฉันรักคุณที่สุดในโลกเลย..คุณภูผา”
ภูผามองจ้อง “ไม่เสียดายเครื่องเพชรเหรอ?”
หนูนาส่ายหน้า “ฉันมีของดี มีค่ากว่าเครื่องเพชรนั่นตั้งแยะ”
ภูผางง “มีค่ากว่าเครื่องเพชร อะไร ไร่ของเธอน่ะเหรอ?” พลางส่ายหน้ายิ้มๆ “เครื่องเพชรชิ้นเดียวนั่นน่ะ แทบจะซื้อภูเขาได้ทั้งลูกเลยนะ”
หนูนายิ้มแล้วบอก “ไม่ใช่ไร่ของชั้น...”
ภูผามอง รอฟัง
“แต่เป็นคุณ”
ภูผาอึ้ง นิ่งงันไป
“คุณเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด...ในชีวิตชั้น”
ภูผาอึ้ง ซึ้งใจหนูนา
หนูนายิ้มแฉ่งยืนยัน ก่อนจะค่อยๆ หุบยิ้ม คิดน้อยใจ
“แม้ว่าฉันจะไม่เคยมีค่าในสายตาคุณเลยซักนิดเดียวก็ตาม”
ภูผาค่อยๆ เอามือลูบเรือนผมหนูนา แล้วดึงร่างมาซบกับอก หนูนายิ้มแฉ่ง บอกตัวเองในใจ
“แค่นี้..ฉันก็ดีใจตายแล้ว..คุณภูผา”
สองคนนั่งซบกันอย่างอบอุ่น
เย็นย่ำพฤกษ์เดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ที่กระต๊อบ คอยชะเง้อชะแง้มองว่าวงเดือนมาหรือยัง
พฤกษ์พร่ำบ่น “ทำไมป่านนี้แล้วเดือนยังไม่มา”
โสภีตื่นแล้วพยายามขยับตัวจะลุก แต่ไม่ไหว พฤกษ์หันไปเห็น รีบเข้าไปประคอง
“โสภี..ยังลุกไม่ไหว อย่าฝืนสิ”
โสภีอยู่ในอ้อมกอดพฤกษ์ ถามเรียบๆ “ทำไมคุณไม่ทิ้งฉันไปซะ”
พฤกษ์อึ้ง “ตอบไม่ถูก”
“ฉันเป็นผู้หญิงหากิน”
พฤกษ์มองจ้อง อย่างเวทนา
โสภีพูดต่อ “ตอนนี้..ฉันไม่สวยแล้ว”
พฤกษ์ถอนใจ
“ไม่น่ามอง ไม่น่าดู” ยิ้มหยัน สมเพชชีวิตตัวเอง “ทำให้ใครๆ มีความสุขไม่ได้”
พฤกษ์รีบบอก “ก็ช่างใครๆ มันสิ”
โสภีมอง สีหน้าฉงน?
“ฉันไม่สน ต่อให้เธอจะหน้าตาน่าเกลียดขนาดไหน ฉันก็ไม่สน”
โสภีมองแล้วมองอีก
พฤกษ์พูดต่อนึกถึงโฉมไฉไลขึ้นมา “คนสวยเลิศเลอ..แล้วยังไง” มองโสภี “ถึงวันนี้ ฉันเพิ่งจะรู้ซึ้งว่า ถ้าเราจะรักใครซักคน เราไม่ได้รักที่รูปร่างหน้าตาจริงๆ”
โสภีซึ้งใจจนน้ำตาคลอ
“ให้ฉันอยู่ดูแลเธอตลอดไปนะ..โสภี”
โสภีส่ายหน้าด้วยความเจียมตัว
“ถึงเธอไม่ให้ ฉันก็จะอยู่ เราจะอยู่ดูแลกันไป..ตกลงมั้ย” พฤกษ์ให้คำมั่น
โสภีปล่อยโฮออกมา สองคนกอดกันแนบแน่น ถ่ายเทความรักและความจริงใจให้กันและกัน
วงเดือนมาถึงพอดียืนมองภาพตรงหน้าอยู่อย่างซาบซึ้งใจ
ครู่ต่อมาวงเดือนยื่นซองยาให้พฤกษ์รับไว้
“นี่เป็นยาที่โสภีต้องทานให้หมดนะคะ ไม่น่าเกิน 7 วัน อาการอักเสบต่างๆ จะทุเลาลง ส่วนรอยแผลฟกช้ำบนใบหน้าและลำตัวก็คงต้องรออีกซักระยะ แต่รับรองว่าโสภีจะต้องกลับมาสวยเหมือนเดิมแน่ๆ”
โสภียกมือไหว้ขอบคุณวงเดือน
“ขอบใจเดือนมากเลยนะ ว่าแต่..วันนี้ทำไมมาซะเย็นเลย ที่บ้านมีเรื่องอะไรรึเปล่า” พฤกษ์สงสัย
วงเดือนโกหกไม่อยากให้พฤกษ์คิดมาก “ อ๋อ..เปล่าหรอกค่ะ เดือนขอโทษนะคะที่มาช้า”
“แน่ใจนะเดือน” พฤกษ์ไม่เชื่อเท่าไหร่
วงเดือนพยักหน้า มองพฤกษ์กับโสภี “คุณพฤกษ์คะ..อีกไม่นาน...เดือนก็จะแต่งงานแล้ว”
พฤกษ์อึ้ง
“เดือน..อยากให้คุณพฤกษ์อยู่ในงานแต่งงานของเดือน..กับคุณเมฆาด้วย เพราะคุณพฤกษ์เปรียบเสมือนพี่ชายของเดือน”
พฤกษ์นิ่งงันไป
“ถ้าเป็นไปได้ เดือนอยากให้คุณพฤกษ์ไปร่วมงานแต่งงานของเดือนนะคะ”
พฤกษ์ไม่ยอมตอบ
เวลาเดียวกันอนงค์พรวดเข้ามาหา แล้วเปิดฉากด่าลูกสาวทันที
“แกจะบ้ารึยัยโฉม” อนงค์ร้อนใจ ยกพัดในมือพักดับกิเลสในใจพรึ่บๆๆๆ “ตายแล้ว...ลูกสาวฉัน นี่แกบ้ารึว่าแกโง่กันแน่เนี่ย ถึงได้ทนนั่งดูแม่ผัวแบ่งสมบัติให้อีนังหน้าจืดกับอีนังเด็กดอยนั่นหน้าตาเฉย โดยที่ไม่ทำอะไรซักอย่างเลย ห๊า”
โฉมไฉไลสวนคำ “ตกลงหม่าม้าจะให้โฉมทำยังไงกันแน่ อีตอนจะลุกไปตบมัน หม่าม้าก็บอกว่าไม่ได้ อย่าเป็นนางร้าย ต้องเป็นนางเอก แล้วพอโฉมใจเย็นแอ๊บเป็นนางเอก หม่าม้าก็จะให้โฉมลุกขึ้นปรี๊ดเป็นนางร้าย โอ๊ย ปวดหัว” โฉมไฉไลร้องลั่น ยกมือกุมขมับ
อนงค์อึ้งไป มึนเหมือนกัน “เออ..จริงด้วย ยังไงดีเนี่ย?” ฮึดขึ้นมาใหม่ “ไม่รู้ล่ะ ของอย่างนี้แกก็ต้องหัดดูจังหวะเอาเองสิยะ จังหวะไหนต้องนางร้าย แกก็ต้องร้าย จังหวะไหนต้องนางเอกแกก็ต้องนางเอก แหม...แค่นี้ก็ต้องให้สอน เฮ้อ” อนงค์ถอนใจย่างเหนื่อยอ่อน
โฉมไฉไลชักรำคาญ “นี่หม่าม้า..ถ้ามันเหนื่อยมากนัก ให้โฉมไปหาผัวใหม่ที่บ้านอื่นมันซะเลยดีมั้ย”
อนงค์เคลิ้มเผลอหลุดปาก “เออ..ก็ดี” พอนึกได้ก็กรี๊ดแตก “แอร๊ย...” รีบตะปบปากลูกสาว “นังบ้า พูดอะไรของแกยัยโฉม เดี๋ยวใครมาได้ยินล่ะยุ่งเลย”
อนงค์เอามือออกแล้วดุ อาการฝันเฟื่อง “ไม่ได้เด็ดขาด..จำไว้!! บ้านแสนสมุทรนี่ล่ะเด็ดสุดแล้ว รวยที่สุด! นังย่ามันก็ตายแล้ว พ่อมันก็เจ็บออดๆ แอดๆ แม่มันก็ไม่มีพิษสง ที่เหลือก็เป็นลูกชายล้วนๆ ซึ่งแม่มั่นใจว่าแกรับได้หมด” อนงค์ยิ้มร้าย จับคางลูกสาวเชยขึ้น “เพราะฉนั้น เราต้องอดทนกันอีกซักนิ้ด ไม่ช้า..มรดกของแสนสมุทรก็ต้องตกอยู่ในมือเราแน่”
โฉมไฉไลถอนใจเฮือกใหญ่
อนงค์นึกได้ “ว่าแต่ตอนนี้แกตามหาผัวแกเจอรึยัง?”
โฉมไฉไลเซ็ง เลยกวนใส่ “คนไหนล่ะ”
อนงค์แว๊ด “แอร๊ย… ยัยโฉม! จะคนไหน ก็ตาพฤกษ์น่ะสิ”
โฉมไฉไลเซ็งหนัก “เฮ้อ! ป่านนี้ฉลามเอาไปกินแล้วมั้ง”
“ไม่ได้! ต่อให้ฉลามงาบไป แกก็ต้องไปลากเอาผัวแกกลับมาเป็น...คู่ขวัญแสนสมุทร ให้เร็วที่สุด ก่อนที่คู่ของภูผากับเมฆามันจะโกยคะแนนจากพ่อแม่มันไปได้มากกว่านี้ เข้าใจมั้ย”
“แล้วจะให้โฉมไปตามหาพฤกษ์ที่ไหนล่ะหม่าม้า”
อนงค์นิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เรื่องนั้น..ฉันจะช่วยแกจัดการเอง”
ค่ำวันนั้นภูผานั่งเซ็งๆ อยู่คนเดียว สักพักก็มองไปเห็นวงเดือนเดินเข้าบ้านมา เพิ่งกลับมาจากบ้านโสภี วงเดือนเดินอย่างมองซ้ายแลขวา ในมือยังมีห่อผ้ามาด้วย ภูผากระโดดหลบ แอบมอง จนวงเดือนเดินมาใกล้ ภูผาออกมาดัก
“ไปไหนมา”
วงเดือนตกใจ “คุณภูผา”
“ดึกดื่นป่านนี้ เธอแอบไปไหนมา”
วงเดือนเชิด “เดือนไม่ได้แอบ”
ภูผาแขวะ “ไม่ได้แอบอะไร ฉันเห็นเธอแอบย่องเข้ามายังกับขโมย”
วงเดือนโกรธจนเหลืออดแล้ว พูดต่อปากต่อคำ “แล้วคุณล่ะ...มาแอบดูเดือนทำไม? คุณก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ร้าย”
ภูผาฉุนกึกกระชากไหล่วงเดือนมาใกล้ “นี่!! ปากดีนักนะ”
วงเดือนสวนคำ “แล้วทีคุณล่ะ! พูดจาฟังได้ที่ไหน”
จังหวะนั้นโฉมไฉไลเดินมาเห็นพอดิบพอดี ชะงัก ตาโต แอบดู
ภูผาจ้องหน้า น้ำเสียงหยัน “ใช่ซี้! เดี๋ยวนี้คำพูดชั้นมันฟังไม่ได้แล้ว ต้องคำพูดหวานๆ ของคุณหมอเมฆามันถึงจะรื่นหู ชื่นหัวใจเธอใช่มั้ย”
วงเดือนพยายามสะบัดออก “นี่ เดือนไม่อยากฟังแล้ว ปล่อย”
โฉมไฉไลนึกบางอย่างได้ รีบวิ่งจู๊ดออกไป
ภูผาพาลพาโล “ไม่ปล่อย รังเกียจฉันมากนักเหรอ ทีเมื่อก่อนไม่เห็นจะปฎิเสธเลยซักครั้ง”
วงเดือนตาโตไม่เชื่อหู “คุณภูผา”
ด้านโฉมไฉไลวิ่งกระหืดกระหอบมาจนเจอกับเมฆาที่เดินมาพอดี เมฆาชะงักกึกหันหลังจะเดินกลับ โฉมไฉไลตะปบไหล่ไว้ทันที
“เดี๋ยว เมฆา! อย่าเพิ่งไป” ลิ้นห้อยหอบแฮ่กๆ “ฟังก่อน”
เมฆาตัดบทอย่างรำคาญ “ปล่อย! เลิกยุ่งกับผมซะทีเถอะโฉม”
โฉมไฉไลยังหอบอยู่ขณะพูด “โฉมก็ไม่อยากจะยุ่งหรอก แต่ถ้าเมฆาไม่ฟังโฉมล่ะก้อ...เมฆายุ่งแน่”
เมฆาสะบัด “ยุ่งก็ยุ่ง ผมไม่สนใจ”
“แน่นะ..ว่าไม่สนใจ?”
เมฆาพูดตอกใส่หน้า “แน่”
จากนั้นเมฆาเดินกลับทันที
โฉมไฉไลกอดอกพูดเย้ยหยันเสียงดัง “งั้นก็ปล่อยให้ภูผากับว่าที่เจ้าสาวของคุณเค้าแอบพลอดรักกันต่อไปก็แล้วกัน” ปิดจ๊อบด้วยการยิ้มเยาะ
เมฆาชะงักกึก หันขวับกลับมา “ว่าไงนะ”
โฉมไฉไลยิ้มสะใจ เมฆาอึ้ง แล้ววิ่งพรวดไปทางที่โฉมไฉไลวิ่งมาทันที
“เสร็จชั้น!” โฉมไฉไลยิ้มกริ่ม ก่อนจะรีบวิ่งตามไป
ภูผาและวงเดือนยังปะทะคารมกันต่อ
“ไง? เถียงไม่ออก ปากดีปากเก่งนักไม่ใช่เหรอ”
วงเดือนน้อยใจ เสียใจจนน้ำตาคลอ “ใช่! เมื่อก่อนฉันไม่เคยปฎิเสธคุณ เพราะฉันรักคุณ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ ไม่แล้ว” พูดออกมาด้วยแรงอารมณ์ล้วนๆ “ฉันไม่รักคุณแล้ว”
ภูผาอึ้ง ยืนนิ่งเป็นหุ่นยนต์
วงเดือนว่าต่ออีก “คุณเปลี่ยนไป คุณใจร้าย คุณไม่ใช่คุณภูผาคนเดิมที่ฉันเคยรัก”
ภูผาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “แล้วตอนนี้เธอรักใคร…เธอรักไอ้เมฆางั้นเหรอ?”
เมฆาวิ่งมาถึงทันได้ยินพอดี ชะงัก รอฟัง
วงเดือนพูดอย่างมีอารมณ์ “ใช่! ฉันรักคุณเมฆา”
ภูผาอึ้ง
เมฆาหัวใจพองโต
วงเดือนย้ำน้ำคำ “ได้ยินมั้ย? ฉันรักคุณเมฆา”
ภูผาโกรธสุดขีด “โกหก” พร้อมกันนั้นภูผากระชากร่างวงเดือนมาจูบทันที
เมฆาพุ่งเข้ามากระชากภูผาออก ชกเปรี้ยงสุดแรงเกิด แล้วตามไปคร่อมต่อยเปรี้ยงๆๆเลย วงเดือนร้องลั่นเข้าห้าม โฉมไฉไลวิ่งเข้ามายืนดูเฉยๆ
“อย่าค่ะ! คุณเมฆา พอแล้วๆๆ” หันไปร้องเรียกโฉมไฉไล “คุณโฉม..ช่วยห้ามหน่อย ช่วยหน่อยค่ะ”
ทว่าโฉมไฉไลยืนกอดอกดูเมฆาต่อยกับภูผานิ่งเฉย
ภูผาต่อยกลับเมฆาเปรี้ยงจนร่างกระเด็นไป และจะตามเข้าไปซ้ำ วงเดือนปรี่เข้ากอดเมฆาไว้ ไม่ใช่เพราะรักเพียงแต่อยากให้ สองคนเลิกทะเลาะกัน
วงเดือนขึ้นเสียงดังลั่น “พอแล้ว! เดือนบอกให้หยุด”
ภูผาชะงักกึก นึกไปเองว่าวงเดือนห่วงเมฆาจริงๆ ภูผายืนมอง ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ผสมน้อยใจ ก่อนจะเดินหนีไป วงเดือนใจหายวูบทำท่าจะตาม
เมฆาเรียกไว้ “เดือน”
วงเดือนหันมอง
เมฆาถามน้ำเสียงอาทรเหลือแสน “ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
วงเดือนอึ้งที่เมฆาเจ็บขนาดนั้นแล้วยังจะมาห่วงตนอีก นั่นทำให้วงเดือนทิ้งเมฆาไปไหนไม่ได้
โฉมไฉไลยืนมองด้วยความสะใจมาก เมฆาสบตากับวงเดือน
ส่วนภูผาพรวดเข้ามาในห้อง อารมณ์ขึ้นเต็มที่ อาละวาดแหกปาก เขวี้ยงข้าวของ เตะนู่นเตะนี่ จนเหนื่อยหอบหมดแรงด้วยความโมโห
ภูผาแหกปากลั่น “เธอโกหก! เธอโกหกชั้น...” ทรุดตัวลงร้องไห้อย่างหมดแรง
หนูนาแอบยืนมองอยู่ตรงประตู ถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าสร้อย ตระหนักชัดว่า...เขายังไม่ลืมเธอ?
ชิงนาง ตอนที่ 16 (ต่อ)
วงเดือนใส่ยาทาแผลให้เมฆา ซึ่งเป็นแค่แผลถลอกเล็กน้อยเท่านั้น เมฆาจับมือวงเดือนมากุมไว้
“พอแล้วเดือน..เล็กน้อย”
วงเดือนหลบตา เฉไฉจะเก็บอุปกรณ์ เพื่อเลี่ยงหลบเลี่ยงไม่อยากพูดเรื่องภูผาด้วย
เมฆายังจับมือไว้ “ขอบคุณมากนะเดือน”
วงเดือนมองสีหน้าฉงน?
เมฆายิ้มจริงใจ “ขอบคุณ..ที่เดือนรักผม”
วงเดือนหลบตาวูบ ซ่อนหน้าทันที รู้สึกผิดเพราะไม่ได้รัก แต่พูดออกไปด้วยแรงอารมณ์
“ผมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้..จะได้ยินประโยคนี้จากปากเดือน”
วงเดือนยิ่งรู้สึกผิด เมฆาโอบเอววงเดือนมานั่งตัก
วงเดือนขยับจะลุกออก “คุณเมฆา”
เมฆากอดไว้ไม่ยอมให้ไป “ไม่ต้องกลัวนะเดือน ผมจะไม่มีวันปล่อยคุณ...”
วงเดือนชะงัก
เมฆาพูดอย่างจริงจริงจัง “จะไม่มีวันปล่อยให้ใครมารังแกคุณ ไม่ให้ใครมาพรากคุณไปจากผม โดยเฉพาะ..พี่ผา”
วงเดือนอึ้ง
เมฆาลดเสียงอ่อนลง “...ขอแค่ให้คุณรักผมอย่างนี้ตลอดไป ต่อให้ต้องตาย ผมก็ยอมตายเพื่อคุณได้”
เมฆามองวงเดือนด้วยสายตาลึกซึ้งอ่อนโยน รักเหลือแสน วงเดือนเห็นสายตานั้นก็ถึงกับอึ้ง พูดไม่ออก
เมฆามองจ้องสายตาซึ้ง “เราจะรีบแต่งงานกันให้เร็วที่สุดนะ..เดือน”
เมฆาค่อยๆ ซบหน้าลงตรงอกของวงเดือนอย่างมีความสุข ผิดกับวงเดือนที่ทำหน้าบอกไม่ถูก
โสภีดูดีขึ้นมากหน้าตาเกือบปกติ มีร่องรอยฟกช้ำเหลืออีกนิดหน่อย สีหน้าแจ่มใสขณะที่พฤกษ์ป้อนข้าวต้มอยู่ใกล้ๆ
“อีกคำนึงนะ..เดี๋ยวจะได้กินยา”
โสภีมองพฤกษ์อาการซึ้งใจ
พฤกษ์มองข้าวต้มในมือ “มีแต่ข้าวต้ม กับไข่ต้ม” เผลอหลุดปากพูด “นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงหาของดีๆ บำรุงให้เธอได้”
พฤกษ์พูดเอง ชะงักเอง สะท้อนใจเอง
โสภีจับใบหน้าพฤกษ์พลางพูดปลอบใจ มองด้วยสายตาแห่งรัก “แค่นี้...ก็ดีที่สุดที่ฉันเคยเจอแล้ว” โสภีหมายถึงพฤกษ์
พฤกษ์ยิ้มให้ “ฉันจะพยายามหางานทำ หาเงินมาให้เธอ แม้จะไม่มากมายอย่างที่ฉันเคยมี แต่..ฉันก็จะไม่ให้เธอลำบาก”
โสภีปลื้มใจ ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก...ฉันลำบากมาทั้งชีวิตแล้ว”
“แต่นับจากนี้...เธอจะไม่ลำบากอีกต่อไป...ฉันสัญญา”
สองคนโผเข้ากอดกัน
จังหวะนั้นเสียงโฉมไฉไลแผดดังลั่น “พฤกษ์”
สองคนผงะ เห็นโฉมไฉไลยืนจังก้าอยู่กับอนงค์
พฤกษ์ตะลึง “โฉม”
โฉมไฉไลคำราม “หนอย...นึกว่าหายไปไหน? ที่แท้ก็มากกอยู่กับนังผู้หญิงขายตัว”
“หยุดนะ! อย่าเรียกโสภีอย่างนั้นเด็ดขาด”
โฉมไฉไลไม่สน “โฉมจะเรียก ถ้าไม่ให้เรียกมันอย่างนั้นแล้วจะให้เรียกว่ายังไง” ถลาเข้ามากระชากโสภีออกจากพฤกษ์มาจ้องหน้า “หึยยย...นังโสภีเหรอ? นังโสเภณีตะหากล่ะ” จากนั้นก็ผลักโสภีกระเด็น)
พฤกษ์ขึ้นเสียง “โฉม! ผมบอกให้หยุด”
“โฉมไม่หยุด” โฉมไฉไลหันมาสั่งอนงค์ “หม่าม้า”
อนงค์รออยู่แล้วให้ “ลุยเลยลูก”
อนงค์ปรี่ไปกระชากโสภีมาล็อคไว้ให้โฉมไฉไลตบๆๆๆ โสภีพยายามสู้ แต่ยังอ่อนเพลียอยู่มาก
“นี่แน่ะ! นังโสเภณี แกรู้ไว้ด้วยว่าพฤกษ์น่ะ...ผัวใคร” โฉมไฉไลตบไม่ยั้งมือ
พฤกษ์วิ่งเข้ามากระชากโฉมไฉไลเหวี่ยงกระเด็นไปกระแทกข้างฝาโครม แล้วเหวี่ยงอนงค์กระเด็นไปกระแทกโฉมไฉไลซ้ำอีกโครม สองแม่ลูกวี๊ดลั่น
พฤกษ์ตวาด “พอได้แล้ว! ออกไปจากที่นี่ทั้งแม่ทั้งลูก ไป๊”
“นี่เธอกล้ามากนะตาพฤกษ์ กล้าทำกับแม่ยายอย่างนี้ได้ยังไง?” อนงค์ขึ้นเสียง
“จะแม่ใครผมไม่สนทั้งนั้น ออกไป๊” พฤกษ์ตวาดซ้ำหน้าตาดุดัน อย่างเอาเรื่องเต็มที่
“แอร๊ย” โฉมไฉไลโกรธจนตัวสั่นปรี่เข้าไปหาโสภี “นี่แกเอาอะไรให้ผัวฉันกิน...นังโสเภณี? แกทำเสน่ห์ยาแฝดใส่ผัวฉันใช่มั้ย พฤกษ์ถึงรักถึงหลงแกขนาดนี้ ห๊า”
พฤกษ์ตวาด “หยุดนะโฉม โสภีไม่ได้ทำอะไรผมทั้งนั้น แต่ผมรักเค้า หลงเค้า เพราะเค้าเป็นคนดี ไม่เหมือนคุณ! ที่นึกว่าตัวเองมีเสน่ห์นักหนา แต่ว่าคุณมันก็ดีแต่เปลือก ข้างนอกสดใสแต่ข้างในน่ารังเกียจที่สุด”
โฉมไฉไลโกรธจัด “แอร๊ยยย “ทุบตีพฤกษ์รัวเร็ว “เดี๋ยวนี้กล้าว่าโฉมอย่างนี้แล้วเหรอ” พาลไปทุบโสภี “เป็นเพราะแกคนเดียว แกคนเดียว” ทุบๆ
พฤกษ์สุดทนผลักโฉมไฉไลกระเด็นไป “บอกให้หยุด”
โฉมไฉไลล้มลงไปกองกับพื้น หอบแฮ่กๆ หมดสภาพ อนงค์ปรี่ไปประคอง
“โฉมลูกแม่”
“กล้าทำกับโฉมอย่างนี้เหรอ?” โฉมไฉไลกัดฟันกรอด “เตรียมตัวไว้เลยนะ” ชี้หน้าเอาเรื่อง “ทั้งคู่ เรื่องนี้ต้องถึงคุณพ่ออนุตแน่”
พฤกษ์อึ้งนิ่งงันไป โฉมไฉไลจดสายตาจ้องอย่างอาฆาต และเคียดแค้น
อนุตรู้เรื่องไม่นานต่อมา ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาอย่างหมดแรง
“ตาพฤกษ์...ไปอยู่กับผู้หญิงหากิน”
ศรีดาราปล่อยโฮ วงเดือนอึ้งที่ความลับแตกก่อนจะเข้าปลอบ เมฆาอึ้งไป โฉมไฉไลหน้าตาเยินๆ นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่
อนงค์ใส่ยับ “ใช่ค่ะ..ดิฉันกับยัยโฉมเห็นมากับตา เต็มๆ แต่เห็นแล้วแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองค่ะ ทั้งตาพฤกษ์ ทั้งผู้หญิงคนนั้น ทั้งบ้านช่อง เอ๊ย! ไม่ใช่สิ สลัมที่ตาพฤกษ์อยู่ อู้ว..สกปรกตกต่ำมากกกกกกก ดิฉันคิดว่าถ้าเรา...”
เมฆาตัดบท “พอแล้วครับ พูดสั้นๆ ก็พอ”
อนงค์ค้อนขวับ หันไปปลอบโฉมไฉไลที่ยังปล่อยโฮอยู่
อนุตครวญคราง “หมดกัน..แสนสมุทรของฉัน”
“ผมจะไปตามพี่พฤกษ์กลับมานะครับคุณพ่อ”
โฉมไฉไลดีใจ “ดีค่ะ”
อนุตสวนคำทันที “ไม่ต้อง”
ทุกคนชะงัก
“จะไปตามมันกลับมาทำไม ไอ้ลูกไม่รักดี! ใครที่ย่ำยีศักดิ์ศรีของแสนสมุทร ไม่ว่าจะเป็นใคร ฉันก็ไม่เอาไว้ทั้งนั้น ช่างมัน ช่างหัวมัน”
ทุกคนอึ้งศรีดาราปล่อยโฮ โฉมไฉไลกับอนงค์ มองหน้ากันเลิกลัก คิดเหมือนกันอยู่ในใจ
“ซวยแล้ว...ตัดพฤกษ์ทิ้ง แล้วเราจะทำยังไง”
วงเดือนกลุ้มหนัก
ตกตอนเย็นชอุ่มเดินถือตะกร้าผ้าเดินบ่นอุบมาตามทาง
“เฮ้อ! นับวันยิ่งมีแต่เรื่อง เมื่อไหร่แสนสมุทรจะกลับไปร่มเย็นเหมือนเมื่อก่อนซักทีน้อ นึกถึงเมื่อตอนคุณหนูทั้ง 4 ยังเล็กๆ น่าร้าก...ว๊าย! ตาเถรตกใจ”
ชอุ่มตกใจเห็นภูผายืนขวางอยู่
“คุณภูผา ชอุ่มตกใจหมดเลยค่ะ มายืนทำไรตรงนี้คะ”
“ชอุ่ม..เจอพี่พฤกษ์แล้วเหรอ พี่พฤกษ์อยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้นกับพี่พฤกษ์”
ชอุ่มอึกอัก
ด้านพฤกษ์กับโสภีนั่งกินข้าวกันอยู่ พฤกษ์ตักไข่ต้มใส่จานข้าวโสภี
“กินซะนะ ไข่มีโปรตีน จะได้บำรุงร่างกาย”
โสภีมองอย่างซาบซึ้งใจ เอาช้อนตัดไข่ต้มแบ่งครึ่งแล้วตักใส่จานข้าวพฤกษ์
“โสภี” พฤกษ์คราง
“บำรุงแต่ร่างกายฉันจะมีประโยชน์อะไร หัวใจของฉันอยู่ที่คุณ”
พฤกษ์อึ้ง
“ขืนคุณกินแต่ข้าวเปล่าคลุกน้ำปลา ถ้าคุณเป็นอะไรไป แล้วฉันจะอยู่ได้ยังไง”
พฤกษ์ซาบซึ้งที่มีคนเห็นคุณค่า ค่อยๆ คลี่ยิ้ม พยักหน้าให้ สองคนก้มหน้าก้มตากินข้าวเปล่ากับไข่ต้มคลุกน้ำปลากัน
พฤกษ์สะท้อนใจ “โสภี..ฉันสัญญานะ..ฉันจะหาทางทำให้เธอได้อยู่ดีกินดีกว่านี้”
โสภีส่ายหน้า “อย่าลำบากเลย อีกวันสองวันฉันคงกลับไปทำงานได้แล้ว”
“ไม่นะ..โสภี! ฉันไม่ยอมให้เธอกลับไปทำงานที่บ่อนไอ้เสี่ยเส็งอีกแล้ว มันทำเธอเกือบตายแล้วเธอยังจะกลับไปอีกเหรอ”
“ไม่กลับได้ยังไง? ถ้าไม่มีเสี่ยเส็ง ฉันก็คงตายไปแล้วเหมือนกัน” โสภีเอ่ยขึ้น
พฤกษ์อึ้ง “อะไรนะ”
“ฉันโดนพ่อเลี้ยงเอามาขายซ่องตั้งแต่อายุ 14 ฉันไม่ยอมรับแขก ไอ้พวกแมงดามันก็รุมซ้อมฉันแทบตาย โชคดี..รึ..โชคร้ายก็ไม่รู้” หัวเราะน้ำเสียงขื่นๆ “เสี่ยเส็งขอซื้อฉันต่อจากซ่องนั้น ให้ฉันมาเต้นโชว์ในบ่อน เต้นไปเต้นมา..ก็” โสภีถอนหายใจเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ “สุดท้ายก็ต้องรับแขกไปด้วยเพราะไม่พอกิน ชีวิตฉันเป็นของเสี่ยเส็ง”
พฤกษ์ฟังแล้วสงสารจับใจ
พฤกษ์นึกชั่วครู่ แล้วตัดสินใจ “ฉันจะปลดหนี้ชีวิตให้เธอเอง”
โสภีอึ้งก่อนจะหัวเราะเสียงขื่นขม “ปลดหนี้ชีวิตให้ฉันน่ะนะ...วันนี้ยังต้องกินข้าวคลุกน้ำปลากับไข่ต้มแบ่งครึ่งกันอยู่เลย”
“อย่าเพิ่งตัดสินฉันสิ ให้โอกาสฉันก่อน คนเราวันนี้แพ้ แต่ไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้จะแพ้ ใช่มั้ย..โสภี”
โสภีอึ้งไปก่อนจะส่ายหน้า แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “ฉันหยุดงานมาตั้งหลายวัน ป่านนี้เสี่ยเส็งคงอยากฆ่าฉันเต็มทีแล้วมั้งเนี่ย”
ทันใดนั้น ยินเสียงทุบประตูปั้กๆๆ ดังขึ้น สองคนสะดุ้งเหลียวมองหน้ากัน...แย่แล้ว
วงเดือนทำลับๆ ล่อๆ จัดยาเม็ดใส่ถุงเล็กๆ เตรียมจะเอาไปให้โสภี
“ทำอะไรน่ะเดือน”
วงเดือนสะดุ้ง “อุ๊ย” ยาเม็ดร่วงลงพื้นกราว วงเดือนตกใจมาก
เมฆาก้มหยิบดู “ยาแก้อักเสบ”
วงเดือนนิ่งงันไป
เมฆามองวงเดือนชูยาขึ้น “เดือนจะเอาไปทำอะไร ไปให้ใคร”
“เอ่อ..เดือนก็จัดเตรียมไว้เฉยๆ ไว้ใช้ในบ้านน่ะค่ะ”
เมฆามองนิดหนึ่ง สีหน้าเหมือนว่าจะเชื่อ
“ตกพื้นเปรอะหมดแล้ว ทิ้งไปนะ ไว้ผมจะซื้อมาเตรียมไว้ให้ใหม่”
วงเดือนรีบรับทันที “ค่ะ...เดือนขอโทษนะคะ”
เมฆายิ้มแย้ม “ไม่เป็นไร..เรื่องแค่นี้ ผมจะกล้าโกรธเดือนได้ยังไง..จริงมั้ย?”
วงเดือนยิ้มให้เมฆามองจ้องหน้าวงเดือนยิ้มตอบด้วยสายตารักล้นใจ
เวลาเดียวกันพฤกษ์กันตัวโสภีไปหลบไว้ที่มุมหนึ่ง แล้วมองหาก่อนจะหยิบท่อนไม้แถวนั้นมาถือไว้ป้องกันตัว ค่อยๆ เดินมาเปิดประตูผลัวะ เงื้อไม้สุดแขน
“พี่พฤกษ์”
พฤกษ์ตกใจ เงื้อมือค้าง “ภูผา”
ภูผามองสภาพพี่ชายเขม็ง
ภูผานั่งลงกับพื้น
พฤกษ์แนะนำ “นี่..โสภี”
ภูผามองอาการงวยงง
พฤกษ์พูดต่อ “ผู้หญิงที่พี่รัก”
ภูผาอึ้ง
พฤกษ์ถอนใจ รู้ว่าภูผางง “ตกลง..ก็ไม่รู้ว่าฟ้าลิขิต หรือว่าตัวเราลิขิตชีวิตเราเองนะ รู้แต่ว่า..วันนี้..ชีวิตพี่มัน” พฤกษ์พูดพลางส่ายหน้า “มันช่างพลิกผันสิ้นดี
ภูผาพยักหน้าหงึกๆ “ไม่ใช่แค่พี่หรอก ผมเองก็เหมือนกัน”
พฤกษ์มองหน้าน้องชาย “ได้ยินว่า...วงเดือนกำลังจะแต่งงานกับเมฆา”
ภูผาผินหน้าหนี ไม่อยากพูดถึง ไม่อยากได้ยิน โสภีเลี่ยงไปทำอะไรอยู่ห่างๆ อีกมุม ปล่อยให้พี่น้องคุยกัน
พฤกษ์พูดอย่างปลงๆ “ไม่น่าเชื่อว่า สุดท้าย..จะเป็นเมฆาที่สมหวัง”
ภูผาคอตก
พฤกษ์ตัดสินใจถาม “ตกลงแกรักเดือนจริงรึเปล่าวะ..ภูผา”
ภูผามอง
“ถ้าแกรักเค้าจริง ทำไมแกถึงปล่อยให้เค้าต้องทุกข์ใจไปตลอดชีวิตเพราะต้องแต่งงานกับผู้ชายที่เค้าไม่ได้รัก”
ภูผาฉุนกึกสะบัดเสียงใส่เลย “ทำไมจะไม่รัก รักสิ เค้ารักเมฆา”
พฤกษ์สวนคำทันที “ไม่จริง วงเดือนไม่ได้รักเมฆา ไม่ได้รักฉัน ไม่ได้รักอรุณ วงเดือนเค้ารักแก คนเดียว”
ภูผาบอกน้ำเสียงเย้ยหยัน “เวลาเปลี่ยน..ใจคนก็เปลี่ยน โดยเฉพาะผู้หญิงอย่างวงเดือน”
พฤกษ์เถียงคอเป็นเอ็น “ไม่จริง! นี่เกิดอะไรขึ้น? ทำไมแกถึงเข้าใจเดือนผิดขนาดนี้”
ภูผาตัดบทถามขึ้น “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะพี่พฤกษ์ ว่าแต่พี่พฤกษ์เถอะ..คิดจะทำยังไงต่อไป”
“ก็ต้องหางานทำ”
“ไม่กลับแสนสมุทร”
พฤกษ์ส่ายหน้า
ภูผาเข้าใจความรู้สึกพี่ดี “ลูกผู้ชายอย่างเรา” ตบไหล่ให้กำลังใจ “ฉันเองอีกไม่นานก็จะกลับไปทำไร่” นึกได้ “ขึ้นไปอยู่ด้วยกันมั้ย”
พฤกษ์นึกนิดหนึ่ง แล้วส่ายหน้า “ทะเลมันเป็นชีวิตของพี่ เกิดที่นี่ก็ต้องขอตายที่นี่”
ภูผามอง เข้าใจ ลุกขึ้นยืน “ฉันไม่กวนพี่แล้ว” นึกได้ ล้วงกระเป๋า หยิบเงินใส่มือพฤกษ์
พฤกษ์ปฏิเสธ “ไม่ ภูผา”
“เก็บไว้ใช้เวลาจำเป็น อย่างน้อยก็ค่ายาให้โสภี”
โสภีแทรกขึ้นมา “คงไม่ต้องหรอกค่ะ คุณวงเดือนจัดการให้ทุกอย่าง”
ภูผาอึ้ง คิดไม่ถึง “วงเดือน”
พฤกษ์เสริม “ใช่..เดือนช่วยเหลือพี่กับโสภีมาตลอด”
ภูผาอึ้ง นึกถึงหน้าวงเดือน
โสภียิ้มแฉ่ง มองที่ประตูกระต๊อบ “พูดถึงก็มาพอดีเลย”
ภูผาเหลียวขวับหันไปมอง เห็นวงเดือนเดินเข้ามา และชะงักที่เห็นภูผา สองคนอึกอัก
“เดือน” พฤกษ์มองอาการ2คนแล้วพยายามผ่อนคลายบรรยากาศ “มาซะเย็นเลย นึกว่าวันนี้จะไม่มาซะแล้ว”
“คือ..เดือนเห็นว่ายาแก้อักเสบของโสภีใกล้หมด เลยเอามาให้ไว้ก่อน เพราะต้องทานต่อเนื่องน่ะค่ะ”
ภูผาเมินหน้าหนีเหมือนไม่อยากได้ยิน
วงเดือนเองก็ทำเหมือนภูผาเป็นอากาศธาตุเช่นกัน เดินผ่านไปหาโสภีเลย
“โสภีจ๊ะ ต้องทานเป็นประจำและทานให้หมดนะจ๊ะ ไม่งั้นจะไม่ได้ผล”
โสภียกมือไหว้ “ขอบคุณมากค่ะ”
“ไม่มีอะไรแล้ว เดือนกลับนะคะ”
พฤกษ์งง “อ้าว”
ภูผาเอ่ยขึ้น “ผมก็จะกลับแล้วพี่พฤกษ์”
พฤกษ์งงอีก “อ้าว”
วงเดือนขัดขึ้น “เดือนกลับก่อนค่ะ”
พูดจบก็สะบัดตัวออกไปเลย ภูผาเคืองมาก
“เฮ่ย...” พฤกษ์งงหนักมองน้องชาย “ภูผา..นี่มันยังไงวะ”
ภูผายืนเคืองอยู่ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “ผมกลับนะพี่ วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่” ยัดเงินใส่มือพฤกษ์แล้วหันมาพูดบอกลาโสภี “ไปก่อนนะโสภี”
พูดจบก็เผ่นแน่บไปเลย ทิ้งให้พฤกษ์กับโสภีมองตามก่อนจะมองหน้ากันอย่างงงๆ
วงเดือนจ้ำพรวดๆ มาตามทาง หน้าตายังโกรธภูผา ซักพักภูผาวิ่งตามมา พอเห็นวงเดือนก็ผ่อนฝีเท้ากลายเป็นเดินตามวงเดือนไปเรื่อยๆ
วงเดือนรู้สึกมีคนเดินตามก็ชะงัก ภูผาหลบวูบ วงเดือนหันไปมองด้านหลัง ไม่เห็นมีใครก็เดินต่อ
ภูผาที่หลบอยู่ออกเดินตาม วงเดือนรู้สึกตัวก็หันขวับ ภูผาโดดหลบอีก วงเดือนหน้าตาหวาดหวั่น รีบวิ่งหนีไปเร็วรี่
ภูผาโผล่ออกอีกที วงเดือนหายไปแล้ว ภูผาก้าวพรวดออกมาดู แล้ววิ่งตาม แต่ต้องเบรคเอี๊ยดเพราะวงเดือนโผล่มาดัก หน้าแทบจะชนกัน
“เฮ่ย!!”
วงเดือนหน้าตาเอาจริง “ตามฉันมาทำไม”
ภูผาไปไม่เป็น รู้สึกเสียหน้ามาก
วงเดือนจ้องหน้าเขม็ง “ฉันถามว่าคุณตามฉันมาทำไม”
ภูผาเรียกฟอร์มกลับมา เถียงเสียงแข็ง “ใครตามเธอ”
วงเดือนย้อน “ก็คุณไง..คุณภูผา”
ภูผาจ้องหน้ามั่ง “เข้าใจผิดอะไรรึเปล่า ฉันก็จะเดินกลับบ้านของฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลยซักนิด”
วงเดือนน้อยใจ ก่อนจะเสียงแข็งใส่ “แน่นอนอยู่แล้ว! ฉันกับคุณ..เราไม่เกี่ยวอะไรกันเลยซักนิด”
ภูผาน้อยใจจนต้องเบือนหน้าหลบสายตา
วงเดือนเห็นภูผาเบือนหน้าหนีก็คิดว่าเขาไม่สน สะบัดตัวเดินออก
ภูผาก็อยากจะรั้งไว้ “เดี๋ยว”
วงเดือนชะงัก รอฟัง คิดในใจ “ดูซิ จะพูดอะไรดีๆ มั้ย” ภูผายังฟอร์ม ไม่หันหน้ามา
ภูผาคิดว่าจะพูดดี หรือไม่พูดดี และไม่รู้จะพูดอะไร
วงเดือนยังรอฟัง
ภูผาน้ำเสียงเฉียบเชือดหัวใจมาก “ไม่มีอะไร..จะไปก็ไป”
วงเดือนหันขวับมาจ้องหน้า น้ำตารื้นพูดสวนคำทันที
“ฉันไปแน่! คุณก็เหมือนกัน ไปซะ!! แล้วก็กรุณาไปคนละทางกับฉันด้วย”
พูดจบวงเดือนก็สะบัดหน้า เดินปาดน้ำตาออกไป เดินห่างภูผาไกลออกไป ไกลออกไป ปล่อยให้ภูผายืนมองนิ่งๆ อย่างร้าวรานในใจ
วงเดือนเดินร้องไห้ ขณะที่ภูผาเดินหน้าจ๋อยจ๋อย พาลเตะหินดินทรายโมโหตัวเองไปมา
วงเดือนเดินหน้าเคืองๆ เข้ามาเห็นเมฆาสวมชุดนอนนั่งหลับรอวงเดือนอยู่หน้าห้องก็ถึงกับอึ้ง วงเดือนเดินเข้าไปนั่งมองใกล้ๆ รู้สึกผิดมาก จะปลุกก็..ชะงัก..ไม่กล้าปลุก เห็นหลับสนิท ก็เลยนั่งนิ่งๆ ทำใจเรื่องภูผาไปเรื่อยๆ ซักพักเมฆาคอพับมาซบเดือนแล้วก็สะดุ้งตื่น
พอเมฆาเห็นเป็นเดือนก็ตกใจ หายง่วง “เดือน! ดึกแล้วเดือนไปไหนมา ผมเป็นห่วงมากเลยรู้มั้ย?”
เมฆารวบตัวเดือนมากอดไว้อย่างรักและห่วงจริงๆ
วงเดือนถึงกับอึ้งสะท้อนใจว่า คนที่เราไม่รักเขาก็รักเราจัง ไอ้คนที่เรารักมันก็ร้ายกับเรามาก
“ตกลงเดือนไปไหนมา”
วงเดือนเฉไฉ “ดึกแล้ว..คุณเมฆาขึ้นนอนดีกว่า พรุ่งนี้มีผ่าตัดแต่เช้าไม่ใช่เหรอคะ”
เมฆาหัวใจพองโตดีใจ “เดือนจำตารางงานของฉันได้ด้วยเหรอ”
วงเดือนยิ้มหวาน “ได้สิคะ”
เมฆาดีใจมาก กลายเป็นคนว่าง่าย “ได้..เดี๋ยวฉันจะรีบเข้านอน แต่ขอส่งเดือนก่อน”
วงเดือนยิ้มๆ “ไม่ต้องหรอกค่ะ ก็ห้องเดือนอยู่นี่”
เมฆาทำกุ๊กกิ๊ก “ไม่ได้ๆ” ดันตัวเดือนไปหน้าประตูห้อง “เข้าห้อง..ล็อคให้เรียบร้อยด้วย” ยิ้มร่า
วงเดือนยิ้มตอบ แล้วเข้าห้อง จะปิดประตู เมฆาเอามือยันไว้
“เดี๋ยวก่อน”
วงเดือนมองอย่างงงๆ
เมฆาพูดหน้านิ่ง น้ำเสียงเรียบ “อีกไม่นาน...ผมก็คงไม่มีโอกาสได้ส่งเดือนเข้านอนที่ห้องเดือนอย่างนี้อีกแล้ว”
วงเดือนหน้าเสีย “ทำไมล่ะคะ? ทำไมคุณเมฆาพูดอย่างนี้”
เมฆาพูดบอกหน้าตาย “เพราะถ้าเราแต่งงานกัน เราสองคนก็ต้องอยู่ห้องเดียวกัน” พูดจบก็ยิ้มแฉ่ง “จริงมั้ย”
วงเดือนอาย หน้าแตกที่เสียรู้ เผลอทุบเมฆา “คุณเมฆานี่”
เมฆาจับมือวงเดือนไว้ ยกขึ้นหอมทีหนึ่ง “ราตรีสวัสดิ์นะเดือน”
วงเดือนยิ้มบางๆ พยักหน้าให้ ก่อนจะปิดประตูลง เมฆายืนยิ้มก่อนจะหันมา กำมือสองข้างชูขึ้นอย่างดีใจก่อนจะเดินออกไป
ภูผาแอบซุ่มยืนมองอยู่นานแล้ว เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น มองตามเมฆาเดินลับตัวไป บาดตาบาดใจยิ่งนัก ถึงกับคอตก
หนูนานอนตัวคุดคู้หลับอยู่กับพื้น ซึ่งเป็นที่นอนของภูผา
ภูผาเปิดประตูมาเห็นเข้าก็ชะงัก เดินมานั่งลง มองๆ ก่อนจะค่อยๆ อุ้มหนูนาขึ้นไปนอนบนเตียง หนูนายกมือปัดป่ายนิดๆ เหมือนจะตื่นแต่ไม่ตื่น ละเมอออกมา
“คุณภูผา..กลับบ้านนะ”
ภูผามองหนูนาแล้วก็นั่งคิดหน้าเศร้า
ชิงนาง ตอนที่ 16 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ ดอยเดินถือดอกไม้มาตามทางเดินจะไปไร่เหนือฟ้า จะวางบนหลุมศพเหนือฟ้า เดินไปก็บ่นไป
“เฮ้อ! ลูกพี่นะลูกพี่! ป่านนี้เที่ยวกับนายเพลินไปเลยล่ะสิ แหม..ตั้งแต่มีแฟนนี่ก็ลืมไอ้ดอยเลยน้า”
เดินไปอีกก็บ่นอีก
“ว่าแต่ถ้าจะลืมกันทั้งทีก็ไม่น่ามาสั่งให้ดอยต้องเอาดอกไม้มาเปลี่ยนที่หลุมศพพ่อเลี้ยงเหนือฟ้าทุกวันเล๊ย ไกลก็ไกล” ดอยทำท่าสยอง “กลัวก็กลัว”
ระหว่างนั้นเหนือฟ้าซุ่มดูดอยผ่านพงหญ้า
ดอยบ่นอีก “ลุงหว่างนี่ก็อีกคน ทำเป็นอ้างว่าแก่แล้วเดินไม่ไหว เฮอะ! ขี้เกียจล่ะไม่ว่า!! ใจดำปล่อยให้ดอยมาคนเดียวแบบนี้...” ชะงักกึก เหลียวมองไปทั่วบริเวณ หน้าตาหวาดกลัว “...นี่ถ้าผีพ่อเลี้ยงเหนือฟ้าโผล่มาเดินเล่นแถวนี้ขึ้นมา...จะทำไงวะเนี่ย...ไอ้ดอย”
เหนือฟ้าหลบวูบ เมื่อดอยเหลียวมาทางที่แอบอยู่
ดอยชะงักกึก เห็นอะไรแว๊บๆ ไหวๆ “เฮ่ย…อะไรแว๊บวะน่ะ?” ทำใจกล้า ตะโกนถาม “ใคร? ถามว่าใคร? ตอบมาให้ไวสิเว๊ย”
ทุกอย่างเงียบกริบ
ดอยชักหนาวๆ “ใครวะ ไม่ได้! คนอย่างไอ้ดอยต้องไม่ป๊อด”
ว่าแล้วก็ค่อยๆ ย่องเข้าไปแหวกพุ่มไม้ดู
มะขิ่นโผล่มาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ “แฮ่”
ดอยกรี๊ดลั่น “อร๊าย... ผีหลอก”
เอามือที่ถือดอกไม้ฟาดๆๆๆ ลงบนหัวมะขิ่นระรัวก่อนจะวิ่งแจ้นกลับไป
มะขิ่นซุ่มอยู่กับเหนือฟ้าและมะยอ ร้องโอดโอย ขณะที่เหนือฟ้าขำกลิ้ง มะยอหน้าเข้มเหมือนเดิม
“โอยๆๆ ไอ้เด็กเปรต มือหรือเท้าวะ หนักขนาด”
เหนือฟ้าขำก๊าก พอหันไปเจอมะยอที่หน้าเข้มไม่ขำซักแอะก็ขำค้าง..เลิกขำ ทั้ง 3 คนซุ่มอยู่หน้าใกล้ๆ กัน
มะยอถาม “ขำอะไรนักหนา”
เหนือฟ้ากวนกลับ “อย่างนี้ยังไม่ขำอีกเหรอ จะหน้ายักษ์ไปถึงไหน? ยัยมะยอหน้ายักษ์”
มะยอตาวาวใส่ “แกสิ..ไอ้ยักษ์! ไอ้ยักษ์เผือก”
มะขิ่นห้ามศึก “อ้าว! เฮ๊ย! พอๆๆ ทะเลาะกันอยู่ได้นะคู่นี้”
“ว่าแต่จะข้ามมาที่ไร่เหนือฟ้านี่ทำไมให้เมื่อยเนี่ยห๊า..พ่อ”
มะขิ่นมองตากับเหนือฟ้า
“อย่าถามมาก เดี๋ยวข้าจะไปดูอะไรหน่อย เอ็งรออยู่แถวนี้กับอ้ายเหนือละกัน”
มะยอไม่ยอม “เฮ่ย! ไปดูอะไรไปด้วยดิ”
“จะไปทำไมให้เกะกะ รอตรงนี้แหละ..ยัยมะยอหน้ายักษ์”
มะยอจะเอาเรื่อง “อ้ายเหนือ..ไอ้ยักษ์เผือก”
มะขิ่นปราม “รอตรงนี้”
มะยอชะงัก
“เดี๋ยวมา” มะขิ่นชี้หน้ามะยอ “อย่าไปไหน”
เหนือฟ้าหัวเราะเยาะ มะขิ่นเดินไปแล้ว
มะยอหงุดหงิด ทำได้แค่ฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียดไปมา เหนือฟ้าส่ายหน้าระอาใจ
สว่างฟังจบก็เขกหัวดอยดังโป๊ก
“นี่เอ็งมันท่าจะเพี้ยนหนักแล้วไอ้ดอย ตั้งแต่เกิดมาจนจะแก่ตายข้ายังไม่เคยเจอผีซักกะตัว อีกอย่างผีที่ไหนมันจะโผล่มาหลอกเอ็งกลางวันแสกๆ อย่างนี้ห๊า”
ดอยนั่งสั่นผับๆ ปากซีดเชียว “จริงๆ นะลุงหว่าง ฉันไม่ได้เพี้ยน ผีมันโผล่ขึ้นมาหลอกฉันจริงๆ ..ฮือๆ” สั่นต่อ
“กินให้มันน้อยๆ หน่อย นี่กินอิ่มจนไปแอบหลับแล้วฝันรึเปล่าวะเนี่ย”
“เปล่านะลุง ฉันจะเอาดอกไม้ไปให้พ่อเลี้ยงเหนือฟ้าตามที่ลูกพี่สั่ง ฉันไม่ได้แอบหลับซักกะหน่อย”
สว่างส่ายหน้า “อ่ะ ไหน ว่ามาซิ..ไอ้ผีที่เอ็งว่าน่ะรูปร่างหน้าตามันเป็นยังไง? ไหนเล่าให้ข้าฟังสิ”
“อ๋อ..ไอ้ผีที่ดอยเห็นอ่ะนะ..หน้ามันขาวๆ” ชะงักค้างคำ
เพราะดอยเหลือบไปเห็นมะขิ่นยืนซุ่มๆ คุยอยู่กับชาวไร่ 2-3 คน
ดอยอ้าปากหวอ ตาโต “หน้าขาวเหมือนคนนั้นเลย..เฮ๊ย” กระโดดขึ้นกอดคอ เอาขาหนีบเอวหว่างแน่น “ใช่แล้ว!” ชี้มือไปข้างหนึ่ง อีกมือปิดตา “ผี นั่นไง ไอ้ผีหน้าขาว”
“ไอ้ผีหน้าขาว”
สว่างหันไปมองตามที่ดอยชี้ จดสายตาจ้อง แล้วก็ขำก๊าก โยนดอยทิ้งดังตุ๊บ
“โธ่ ผีบ้านแกสิไอ้ดอย นั่นมันพวกบนเขาฝั่งนู้น มันคงลงมาหาเพื่อนมันที่ไร่นี่ แหม ข้าอยากให้มันเป็นผีมาหักคอเอ็งซะจริงๆ เชอะ ผีหน้าขาว”
สว่างเดินออกอย่างเซ็งหนัก ที่เสียเวลา
ดอยทั้งเจ็บตัว ทั้งกลัวอยู่ “อูย...” ชะเง้อมองมะขิ่น “ไม่ใช่ผีจริงๆ เหรอวะ” คลำก้นป้อยๆ “อูย...ซวยฉิบเป๋งเลย ไอ้ดอย”
ดอยมองไปที่มะขิ่นเห็นยังยืนคุยอยู่ที่เดิม
มะขิ่นเดินกลับมาแล้ว เหนือฟ้าถามอย่างร้อนใจ “ว่าไง..มะขิ่น”
มะขิ่นส่ายหน้า “ยังจับมือใครดมไม่ได้เลย”
“เสียหายมากมั้ย”
“โรงเก็บชาไหม้หมด”
สีหน้าเหนือฟ้าแค้นจัด
“ข้าฝากให้เพื่อนมันคอยส่งข่าวให้แล้ว อ้ายเหนือไม่ต้องห่วง มีอะไรคืบหน้ามันจะรีบบอกทันที”
เหนือฟ้าพยักหน้าหงึกๆ “เออ..นายหญิงที่ไร่เค้าอยู่มั้ย”
มะยอที่อยู่ห่างไปนิดหันๆ แอบฟัง
“เห็นว่าไม่อยู่นะ ไปส่งใบชาทางใต้ยังไม่กลับ”
เหนือฟ้าหน้าสลดลง
มะยอเมียงมองอย่างสนใจ เหนือฟ้าคิดถึงหนูนาจับใจ
หนูนาเดินถือตะกร้าผ้าซักมา จ๊ะเอ๋กับโฉมไฉไลที่เดินมาพอดี
โฉมไฉไลตกใจ “ว๊าย ซุ่มซ่าม เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ”
หนูนาพูดสวนคำออกไป “ก็เห็นแต่แร่ด”
โฉมไฉไลปรี๊ด “อร๊าย...แกว่าใครแร่ด นังเด็กดอย”
หนูนาลอยหน้าลอยตา “ยังจะกล้าถาม ก็เธอน่ะสิ..แร่ด”
“อร๊าย” โฉมไฉไลเงื้อมือทำท่าจะตบ
หนูนาปล่อยตะกร้าผ้าลงพื้นโครมทันที โฉมไฉไลชะงักค้าง
หนูนายืนท้าวเอวไม่เกรงกลัว “คราวก่อนไม่เข็ดใช่มั้ย”
โฉมไฉไลอึ้ง
“จะไปเรียกหม่าม้ามาอีกคนก่อนมั้ย”
โฉมไฉไลเริ่มหนาว ยัวะ “แก” ชี้หน้าคาดโทษ “แก..จำไว้นะ..นังเด็กดอย”
หนูนากระทืบเท้าขู่
“อร๊าย” โฉมไฉไลวิ่งโร่ไปเลย
หนูนาส่ายหน้าเซ็งๆ ก่อนจะก้มลงเก็บตะกร้าผ้าแล้วชะงัก มีมือมาช่วยเก็บ
“คุณ”
ที่แท้เป็นวงเดือน
วงเดือนช่วยตักน้ำใส่กาละมังให้ หนูนานั่งขยี้ๆ ผ้าอยู่
“ไม่ต้องหรอกคุณ ฉันทำเอง”
วงเดือนยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ที่จริงเธอยังท้องอ่อนๆ ไม่น่าทำงานหนักนักนะ”
หนูนาวูบ เอามือลูบท้อง อายอยู่เหมือนกัน
วงเดือนนั่งลง เอามือจ้วงผ้าเลย “ผ้าเยอะจัง..ของเธอเหรอ”
“ของคุณภูผาด้วย”
วงเดือนชะงักทันที ก้มมองเสื้อในมือ เห็นเป็นเสื้อผ้าภูผาชัดๆ วงเดือนค่อยๆ ปล่อย วางลง อย่างแอบเคืองปนน้อยใจ
หนูนามองก่อนตัดสินใจถาม “คุณยังรักคุณภูผาอยู่ใช่มั้ย”
วงเดือนสะดุ้ง “ว่าไงนะ”
“ฉันดูออกนะว่าคุณยังรักคุณภูผาอยู่” หนูนาย้ำ
“หนูนา...ไม่นะ..ชั้น...” วงเดือนพูดไม่ออก
หนูนาถอนหายใจ “ทำไมไอ้เจ้า “ความรัก” ตัวเดียวเนี่ย มันถึงทำให้อะไรๆ วุ่นวายได้มากมายขนาดนี้ก็ไม่รู้นะ”
วงเดือนนิ่งไป พยักหน้าคิดตาม พึมพำ “ใช่...ที่เค้าเรียกว่าอานุภาพแห่งความรักไงล่ะ”
หนูนาหันมามอง วงเดือนกำลังเหม่อๆ ก็รู้สึกตัว สะดุ้ง รีบลุกขึ้น
“เอ่อ..พอดีฉันมีธุระ” มองเสื้อภูผา “ขอโทษนะ..ที่ช่วยเธอซักผ้าไม่ได้จริงๆ”
หนูนารู้ดีว่าเพราะอะไร? พยักหน้าให้
“ฉันไปก่อนนะ” วงเดือนเดินออกไปเลย
หนูนามองตาม ก้มมองเสื้อภูผาที่วงเดือนวางไว้ไม่ซักแล้วหยิบมาดู ถอนใจเฮือก
พอรู้เรื่องอนงค์ก็ปรี๊ด ของขึ้นทันที
“หนอย นี่มันล่อถึงแม่เลยเรอะ” พัดพัดในมือพั่บๆๆ “มันชักจะมากเกินไปแล้ว... นังเด็กดอย”
โฉมไฉไลตาวาว “จ้างคนมาทุบมันให้ลูกหลุดซะเลยดีมั้ยหม่าม้า”
อนงค์เห็นด้วย “ก็ดีเหมือนกันนะ..เอาซะให้หายซ่า”
เสียงศรีดาราดังเข้ามา “หนูโฉม”
สองแม่ลูกชะงัก เปลี่ยนอารมณ์ทันที
“ขาาาาา...คุณแม่”
ศรีดาราเดินเข้ามาหาโฉมไฉไล “อ้าว! คุณอนงค์ก็อยู่ด้วย”
“อ๋อ...ค่ะ ช่วงนี้คิดถึงลูก เป็นห่วงลูกเพราะลูกน่าสงสาร” ทำเสียงเศร้า “มีสามี สามีก็ทิ้งไปอยู่กับ...”
โฉมไฉไลตีหน้าเศร้าสุดชีวิต “หม่าม้า...ไม่เอา..อย่าว่าพฤกษ์อย่างนั้น พฤกษ์ของโฉมเป็นคนดี ดีซะจนถูกผู้หญิงคนนั้นมันหลอกเอาได้”
ศรีดาราอึ้งไปคิดถึงพฤกษ์ “หนูโฉมจ๊ะ..แม่ขอบใจมากที่หนูไม่ถือโทษโกรธตาพฤกษ์”
โฉมไฉไลตอแหลต่อ “ค่ะ...คุณแม่ แม้ว่ามันจะทำใจยากอยู่”
ศรีดารามองอย่างเห็นใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “หนูโฉมช่วยอะไรแม่อย่างนึงได้มั้ย?”
“หลายอย่างก็ได้ค่ะ โฉมยินดี”
“ช่วยไปตามตาพฤกษ์กลับมาหาแม่”
โฉมไฉไลตาโต หันมองแม่ทันที อนงค์ทำหน้าแบบเห็นดีด้วย
โฉมไฉไลวี๊ดลั่น “จะให้โฉมไปตามพฤกษ์กลับมาเนี่ยนะ ฝันไปเถอะ”
อนงค์สวน “ฝันที่เป็นจริง แกต้องทำให้ฝันของแม่ผัวแกเป็นจริงให้ได้ แล้วฝันของแกก็จะเป็นจริงไปด้วย”
โฉมไฉไลหงุดหงิด “หึ้ย หม่าม้าพูดอะไร โฉมงง”
“เอ๊า! ก็ลองแม่ผัวแกออกปากไหว้วานแกขนาดนี้ ถ้าแกไม่ทำให้เค้าแกก็โง่น้องๆ ควายแล้วนังโฉม นาทีนี้..เอาใจอะไรแม่ผัวได้ก็รีบๆ เอาใจซะ หนอย! มีคู่แข่ง “ว่าที่ลูกสะใภ้” ตั้ง 2 คน นี่แกมีโอกาสทำคะแนนแล้วยังจะไม่รีบทำอีกเรอะ? นังโง่!!
“แต่ต้องให้คนอย่างโฉม ลดตัวไปยุ่งกับนังผู้หญิงหากินนั่นน่ะนะหม่าม้า”
“แกไปยุ่งอะไรกับมันซะที่ไหนล่ะ แกก็แค่ไปเอาผัวแกคืนมาก็แค่นั้นเอง...ยัยโฉม”
โฉมไฉไลเซ็ง
“ไปเอาผัวแกกลับมา อย่างน้อยก็อาจจะได้รางวัลจากแม่ผัวติดปลายนวมนิดๆ หน่อยๆ แต่ที่มากไปกว่านั้น มีตาพฤกษ์เป็นหลักประกันไว้ในมือ ก็ยังดีกว่าให้มันลอยไปอยู่ในมือผู้หญิงอื่น ส่วนแกก็ลอยเท้งเต้งอยู่คนเดียวแบบนี้ แล้วแกแน่ใจเหรอว่าพ่อผัวแม่ผัวแกเค้าจะเลี้ยงดูแกไปตลอด ถ้าไม่มีตาพฤกษ์”
โฉมไฉไลคิดตาม สีหน้ามาดหมายต้องไปเอาผัวคืนมาให้ได้!
เมฆาเพิ่งกลับจากทำงานที่ดณงพยาบาล เดินแกะเน็คไทไปด้วย ภูผาเดินมาเจอพอดี ภูผาชะงัก จะเลี่ยงไปอีกทางขี้เกียจเสวนา
เมฆาเห็นเสียก่อน เริ่มกวนใส่ทันที “ทำไมต้องหลบหน้ากันด้วยล่ะพี่ผา”
ภูผาชะงัก หันมาประจันหน้า “ฉันไม่ได้หลบหน้าแก แต่ฉันไม่อยากเจอ”
เมฆายิ้มยั่ว “อะไรกัน นี่ผมน้องพี่ทั้งคนนะ”
ภูผาพยักหน้าหงึกๆ เปรยๆ เหมือนจะย้อน “แกยังเห็นฉันเป็นพี่”
เมฆาทำเป็นขำ “เอ๊า เห็นสิครับ จะไม่เห็นได้ไง” ตบไหล่ “พี่ชายทั้งคน”
ภูผาปัดมือออกแรงๆ เมฆาตาขวางทันที “ยังไงเนี่ยพี่”
ภูผาจ้องหน้ามองทะลุใจ “ถ้าแกคิดอย่างที่แกพูดจริงๆ ทุกอย่างคงไม่กลายมาเป็นแบบนี้”
เมฆาไขสือ “พี่พูดเรื่องอะไร?”
ภูผาสวน “แกก็รู้อยู่เต็มอก แกเอาชีวิตคนมาเป็นเครื่องมือต่อรองอรุณ เพื่อให้เดือนกลับมาแสนสมุทร เดือน เพื่อให้ฉันยอมปล่อยเดือนให้แก”
เมฆาสวนกลับ “พี่พลาดเองต่างหาก พี่พลาดทำหนูนาท้อง”
ภูผาจะเถียงแต่...ชะงัก! ไม่อยากแฉให้หนูนาอับอาย
วงเดือนเดินมาจากอีกมุมพอดี
“ว่าแต่คนอื่นเลว ทำยังกะพี่ไม่เลวนี่ นอกใจเดือนไปทำหนูนาท้อง เพราะฉนั้นที่ทุกอย่างมันต้องกลายเป็นแบบนี้ มันก็เพราะพี่นั่นแหละ ไม่เกี่ยวกับผม”
วงเดือนนิ่งฟังแล้วยิ่งตอกย้ำ สะเทือนใจ
ภูผาพูดแดกดัน “ก็ขอให้แกมีความสุขกับวงเดือนให้มากก็แล้วกัน”
วงเดือนสะบัดออกไปทันที ฟังต่อไม่ไหว
“ถ้าความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น มันจะทำให้แกภูมิใจได้ ก็จงภูมิใจต่อไป”
ภูผาเดินออก เมฆาเคืองมาก
เมฆาขบกรามแน่นพูดเสียงลอดไรฟัน
“อิจฉาล่ะสิ!! อิจฉาที่เดือนรักฉัน...ไม่รักแกแล้ว..ไอ้พี่ผา”
อนุต ศรีดารา เมฆา และวงเดือน นั่งอยู่ตรงมุมนั่งเล่น ชอุ่มเสิร์ฟผลไม้พวกหวานๆ
“ผลไม้ค่ะ”
ต่อด้วยผลไม้รสเปรี้ยว มะม่วง มะยม มะดัน
“ส่วนมะม่วงกับมะยมนี่ของต้นหลังบ้านเรานะคะ ชอุ่มเห็นกำลังดกก็เลยเอามาขึ้นโต๊ะ
ศรีดาราเอ่ยขึ้น “ตายแล้ว..ท่าทางจะเปรี้ยวจี๊ด ใครจะทานได้เนี่ย”
ภูผากับหนูนาเดินมาพอดี ชอุ่มหันไปเห็น “หนูนาไงคะ”
ศรีดาราเอ็ด “ชอุ่ม ต้องเรียกว่า คุณหนูนา คุณวงเดือนก็ด้วย”
วงเดือนกับหนูนาพูดพร้อมกัน “ไม่ต้องหรอกจ้ะ” สองสาวมองหน้ากัน
“ไม่ได้หรอกจ้ะ จะเป็นสะใภ้บ้านแสนสมุทรแล้วก็ต้องให้เกียรติกันนะ..ชอุ่ม” ศรีดาราบอก
ชอุ่มยิ้ม เต็มใจเรียก “ค่ะ...คุณวงเดือน..คุณหนูนา”
สีหน้าสองคนไม่สบายใจนัก
เมฆาเริ่มเขี่ย “เอ้า คุณหนูนา” หยิบจานของเปรี้ยวยื่นให้ “แก้แพ้ท้อง” สายตามองจ้องภูผา
ภูผาเซ็ง วงเดือนสะเทือนใจ
หนูนาเห็นแล้วก็เปรี้ยวปาก “ขอบใจ”
หนูนาหยิบมากัดกร้วม เคี้ยวหน้าตาเฉย ทุกคนกลืนน้ำลายเอื๊อก บ้างก็เบ้หน้า
เมฆาต่ออีกดอก “แล้วยังไงเรื่องฝากท้อง อยากฝากท้องที่นี่มั้ย ฉันจะช่วยจัดการที่ โรงพยาบาล ให้”
ภูผารีบบอกเลย “ไม่ต้อง เรื่องของชั้นแกไม่ต้องยุ่ง”
เมฆาท้วง “อ้าวพี่ผา..ก็คนเค้าเป็นห่วง..แล้วเด็กในท้องหนูนาก็หลานผม”
หนูนาเหลือบมองภูผาทันทีด้วยความเกรงใจ ภูผาเก็บความรู้สึกไว้
“นั่นสิ! แกนี่ก็เหลือเกินนะภูผา เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ชอบทำให้เป็นเรื่อง เหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน” อนุตเหน็บ
ภูผาเซ็ง โดนด่าอีกแล้ว จึงคว้ามือหนูนาลุกขึ้น “ไปเหอะ”
“ยังไปไม่ได้! ฉันยังพูดไม่จบ” อนุตขึ้นเสียง
ภูผาเซ็ง จำใจนั่งลงตามเดิม
“เรื่องงานแต่งจะว่าไง? ตกลงจะแต่งพร้อมเมฆารึไม่แต่ง”
ภูผาบอกทันที “ไม่แต่งครับ ผมจะกลับไปแต่งที่ไร่”
“ตามใจ” อนุตบอกเสียงขุ่น
“ผมไปได้รึยัง?”
“จะไปไหนก็ไป” อนุตเสียงเขียว
ภูผาลุกพรวด ออกไปเลย หนูนาเลิ่กลั่ก
“คุณภูผา..รอด้วย...” หนูนาวิ่งตามออกไป
วงเดือนหน้าเจื่อน เมฆายิ้มสะใจก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แม่ครับ...แม่หาฤกษ์แต่งงานให้ผมกับเดือนได้รึยังครับ”
วงเดือนใจหล่นวูบ...มันใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว
“จ้ะ...หลวงพ่อท่านให้ฤกษ์มาแล้ว”
วงเดือนวูบเข้าไปอีก เมฆายิ้มแฉ่ง แก้มแทบจะแตก
ศรีดาราเหลือบมองอนุต “แต่ว่า...”
เมฆาเห็นท่าทีแม่ก็ตกใจ “แต่ว่าอะไรครับแม่”
ศรีดาราเอ่ยขึ้นเป็นเชิงขอร้องอนุต “แม่อยากให้ลูกแม่อยู่กันพร้อมหน้า”
อนุตหันขวับ
ศรีดาราพูดต่อ “ขาดอรุณไปคนนึงแล้ว...แม่ไม่อยากให้ต้องขาดใครอีกแล้ว” พลางหันมาทางอนุต “ขอให้พฤกษ์ได้มาร่วมงานแต่งงานน้องด้วยเถอะนะคะคุณ”
อนุตนิ่งไป ไม่ยอมตอบ
เมฆาลุ้นมองพ่อจะว่าไงอีก? ขณะที่วงเดือนสงสารพฤกษ์จับใจ
เมฆาเดินมาส่งวงเดือน สองคนหยุดยืนที่หน้าห้อง
วงเดือนตัดสินใจพูด “คุณเมฆาคะ”
เมฆายิ้มๆ “ว่าไง”
“เดือนอยากขออะไรคุณเมฆาอย่างนึงจะได้มั้ยคะ”
เมฆายิ้มเยื้อน “อย่างเดียวเอง หลายอย่างก็ได้”
“เดือนอยากให้คุณพฤกษ์มาร่วมงานแต่งงานด้วยจริงๆ คุณเมฆาช่วยพูดกับคุณพ่อให้หน่อยนะคะ”
เมฆามองมาอย่างแปลกใจ วงเดือนส่งสายตาอ้อนวอน “ตอนนี้..มีแต่คุณเมฆาคนเดียวเท่านั้นที่จะพูดกับคุณพ่อได้”
เมฆายิ้มยืดออกมา เพราะความฉลาดของวงเดือน อีกทั้งยังภูมิใจที่ตอนนี้ตัวเองเป็นลูกคนโปรด “ร้ายนะเราเนี่ย..รู้จักอ้อน”
วงเดือนหลบตาเพราะโดนคนรู้ทันจับได้
วงเดือนเถียง “ไม่ได้อ้อนนะคะ แต่เดือนอยากให้คุณพฤกษ์มาจริงๆ” พูดจริงจัง “คุณพฤกษ์เป็นพี่คนโตของแสนสมุทร แต่ยิ่งไปกว่านั้น..คุณแม่ท่านคงจะดีใจมาก”
เมฆามองวงเดือนอย่างรักใคร่ ก่อนจะยกมือลูบเรือนผมวงเดือน
“ได้...ผมจะลองช่วยพูดกับคุณพ่อให้ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อเดือน”
วงเดือนหลบสายตาหวานของเมฆา
“เดือนเข้าห้องเถอะ...ดึกแล้ว”
“ค่ะ” วงเดือนจะเข้าห้อง เมฆาเรียกไว้
“เดี๋ยว...”
วงเดือนหันมาอย่างระแวงว่าจะยังไงต่อเนี่ย
“แล้วก็อย่าออกไปไหนคนเดียวค่ำๆ มืดๆ อีก..ผมเป็นห่วง”
วงเดือนพยักหน้าให้ก่อนจะเข้าห้องไป เมฆายิ้มๆ ก่อนจะปรับสีหน้ามาเป็นปกติ
“ก็ดี...พี่พฤกษ์จะได้เห็นกับตา ว่าในที่สุด..เดือนก็เป็นของผมคนเดียว”
เมฆายิ้มอย่างผู้ชนะ
ด้านโสภีกำลังปูที่นอน ทันใดนั้นเสียงทุบประตูระรัว
โสภีเหลียวขวับ “ใคร”
ไม่มีเสียงตอบ มีแต่เสียงทุบประตูรัวขึ้นอีก โสภีสงสัยตะโกนถามดังขึ้น
“ถามว่าใคร”
ยังไม่มีเสียงตอบ เสียงเคาะประตูก็เงียบกริบลงด้วย โสภีมองสงสัย ก่อนจะตัดสินใจเดินไปเปิดประตู ทันใดนั้นประตูก็ถูกกระชากออกผลัวะ โสภีถูกผลักกระเด็นไปกองกับพื้นทันที
“โอ๊ย”
โฉมไฉไลยืนจังก้าอยู่กับอนงค์
“เธอเองเหรอ”
“เออ ฉันเอง” โฉมไฉไลกวาดตามองทั่วกระต๊อบ “ผัวฉันอยู่ไหน”
โสภีจ้องมองนิ่งๆ ไม่ตอบ
อนงค์ตวาด “หูตึงเหรอนังโสเภณี ลูกสาวฉันถามว่าผัวเค้าอยู่ไหน ทำไมไม่ตอบ”
โสภีตอบอย่างไม่หวั่นกลัว “ผัวเธอ..แล้วมาถามฉันทำไม”
อนงค์เคลิ้ม “เออ..นั่นน่ะสิ” สะดุ้งเมื่อนึกขึ้นได้
สองแม่ลูกหันมองหน้ากัน ร้องกรี๊ด “แอร๊ย”
โฉมไฉไลชี้หน้า “ขโมยผัวฉันมากก แล้วยังมีหน้ามายอกย้อนฉันอีกเหรอ? นังโสเภณี”
“ฉันไม่ได้ขโมย ผัวคุณเค้ามากกกับฉันเองต่างหาก”
โฉมไฉไลกะอนงค์ร้องกรี๊ด “แอร๊ย”
“สงสัยจะเอามันไว้ไม่ได้ซะแล้วลูก ลุยมันเลยเหอะ” อนงค์บอก
โฉมไฉไลพยักหน้าเห็นด้วย “เอาเลยหม่าม้า”
สองแม่ลูกปรี่จะเข้าลุย โสภีลุกขึ้นถกผ้าถุงเตรียมลุยสู้เต็มที่สองนางมารชะงักกึก
“มาสิ!! เข้ามาสิ!! วันก่อนฉันสู้พวกแกไม่ได้ แต่วันนี้ฉันมีแรงเต็มร้อย ถ้าหน้าตาดีๆ ไม่ชอบ อยากเสียโฉมหน้าตาแหกก็เข้ามา” โสภีไม่กลัวสักนิด
เจอของจริงสองแม่ลูกมองหน้ากัน เกี่ยงกันลุย
“หม่าม้าก่อนมั้ย” โฉมไฉไลอิดออด
“เฮ่ย แม่แก่แล้วนะยัยโฉม”
“แก่แล้ว หน้าแหกก็ไม่ต้องเสียดายไง โฉมยังอยากสวยอยู่”
อนงค์พูดเสียงสูง “แต่แม่ก็อยากสวย”
โสภีตวาด “ว่าไง”
สองแม่ลูกสะดุ้ง
“งั้นเข้าไปพร้อมกัน เรา 2 มัน 1 ยังไงเราก็ได้เปรียบ”
โฉมไฉไลบอก อนงค์มั่นใจ “เอา ลุย”
สองแม่ลูกพุ่งเข้าหาโสภี แต่โสภีมีประสบการณ์เจนจัดมากกว่า จึงรับมือได้ และสองแม่ลูกตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด แต่สุดท้ายโสภีกลับเพลี่ยงพล้ำกำลังโดนอนงค์จับล็อคไว้ โฉมไฉไลหยิบมีดปอกผลไม้แถวนั้นมาหมายจะกรีดหน้า
โฉมไฉไลถือมีดไว้ “ไง นังตัวดี ปากเก่งดีนักเรอะ ชั้นจะเอามีดนี่เฉือนปากแกทิ้งซะ ดูซิ ยังจะปากเก่งได้อีกรึเปล่า”
โสภียังเชิดหน้าอย่างไม่ยอมก้มหัวให้
“เชอะ! สะเออะจะตีเสมอฉันงั้นเหรอ ไม่รู้จักเจียม แกมันแค่นังผู้หญิงชั้นต่ำ โสโครก”
โสภีสวนคำทันที “แล้วแกมันสูงกว่า สะอาดกว่าฉันตรงไหน ห๊า” จดสายตามองโฉมไฉไลหัวจรดเท้าแล้วยิ้มเยาะ “ผู้ชายแทบจะทุกคนที่มานอนกับฉัน มันก็คุยให้ฟังว่าเคยนอนกับแกมาแล้วทั้งนั้น” ย้ำคำ “แทบจะทั้งเมือง”
โฉมไฉไลตาค้าง อนงค์ตะลึงยิ่งกว่า “ยัยโฉม”
โฉมไฉไลเลิ่กลั่ก เถียงไม่ออก
โสภีหัวเราะเยาะ “นอนกับฉันเสร็จ พวกมันยังต้องจ่ายค่าตัวให้ฉัน แต่นอนกับแก...” หัวเราะร่วน “พวกมันบอกว่าฟันฟรีๆ แล้วอย่างนี้ใครมันจะมีราคากว่ากันห๊า คุณโฉม-ไฉ-ไล” หัวเราะอย่างสะใจ
โฉมไฉไลโกรธจัด “แก แก นังโสภี อย่าอยู่เล๊ย” เงื้อมีดจะแทงโสภี
เสียงพฤกษ์ดังขัดจังหวะ “อย่านะโฉม”
พฤกษ์ก้าวพรวดเดียวมาจากประตู พุ่งเข้าชาร์จแย่งมีดจากโฉมไฉไลมาได้
พฤกษ์ตะคอก “นี่มันอะไรกัน จะตามราวีกันไปถึงไหน”
“โฉมก็ไม่อยากจะมาเหยียบที่นี่ให้เป็นเสนียดฝ่าเท้าหรอก แต่แม่คุณต่างหาก...ขอร้องให้โฉมมาตามคุณกลับบ้าน”
พฤกษ์เยาะย้อน “กลับบ้านเหรอ จะกลับไปทำไม”
โฉมไฉไลเยาะหยัน “ก็กลับไปดูนังวงเดือนมันแต่งงานกับเมฆาน้องชายคุณไงล่ะ”
พฤกษ์อึ้งนิ่งงันไป
อนงค์รีบเอาศอกกระทุ้งโฉมไฉไล เป็นเชิงเตือนว่าควรจะออดอ้อนเอาพฤกษ์กลับไปให้ได้ เพื่อมรดก
โฉมไฉไลจำใจ เข้ามาเกาะแขน “พฤกษ์คะ..กลับบ้านเราเถอะนะคะ..โฉมเอง ตั้งแต่ไม่มีคุณ โฉมก็ว้าเหว่เหมือนอยู่ตัวคนเดียว” เบ้หน้าใส่โสภีหนึ่งที แล้วกลับมาอ้อนต่อ “ถ้าไม่เห็นแก่คุณพ่อที่เจ็บออดๆ แอดๆ ก็เห็นแก่คุณแม่ที่คิดถึงพฤกษ์มาก...อะไรที่มันแล้วก็แล้วไป ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างมันไว้ที่นี่เถอะค่ะ”
โสภีมองหน้าพฤกษ์ พฤกษ์มองหน้าโสภี โฉมไฉไลยิ้มแฉ่งสบตาอนงค์เป็นเชิงบอกว่า...สำเร็จ
สีหน้าพฤกษ์คิดหนัก รู้สึกลำบากใจมาก
ชิงนาง ตอนที่ 16 (ต่อ)
คืนนั้น ชอุ่มถือกล่องกระดาษซึ่งข้างในใส่ชุดแต่งงานของวงเดือน เดินบ่นมาตามทาง
“มาส่งอะไรกันดึกๆ ดื่นๆ อย่างนี้...เฮ้อ”
เป็นจังหวะที่ภูผาเดินออกมาตรงนั้นพอดิบพอดี
ชอุ่มร้องลั่น “ว๊าย! ตาเถรตกใจ โอย..คุณภูผา โผล่มาอย่างนี้ชอุ่มตกใจหมดเลยค่ะ”
ภูผามองของในมือ “อะไรน่ะ..ชอุ่ม”
“ชอุ่มก็ไม่ทราบค่ะ แต่คิดว่าน่าจะเป็นเสื้อผ้า เพราะร้านตัดเสื้อเค้าเอามาส่งให้ตะกี๊ บอกว่าของเดือน เอ๊ย! ของคุณเดือน น่ะค่ะ”
ภูผาเลิกคิ้วมองอย่างสนใจ ก่อนจะคว้ากล่องหมับ
“ว๊าย! คุณภูผา จะเอาไปไหนคะ”
“เหอะน่า..ชอุ่มจะไปไหนก็ไป”
“แต่ชอุ่มต้อง...” ชอุ่มอิดออด
ภูผาสวนคำเสียงเข้ม “ฉันจัดการเอง”
ภูผามองตาดุใส่ ชอุ่มสะดุ้งกลัวๆ จ๋อยๆ
“ค่ะ”
ภูผาเดินไปทางห้องพักวงเดือน
ชอุ่มมองตามสีหน้าสยอง “ไงวะเนี่ย ชอุ่มอ่วมแน่งานนี้...ฮือ”
วงเดือนสวมชุดนอนสวดมนต์ไหว้พระเตรียมเข้านอนแล้ว เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก็ลุกไปเปิด
พอเห็นว่าเป็นภูผาวงเดือนก็จะปิดประตูทันที ทว่าภูผารีบเอามือยันไว้ วงเดือนพยายามจะปิดประตูแต่สู้แรงไม่ไหว ภูผาพุ่งเข้าห้องมาจนได้ ด้วยท่าทีไม่พอใจมาก
“รังเกียจฉันมากเลยเหรอ? เดี๋ยวนี้ฉันเข้าห้องเธอไม่ได้แล้วใช่มั้ย”
วงเดือนอ่อนใจไม่อยากทะเลาะด้วย พูดขอร้องน้ำเสียงเย็นเฉียบ “อย่ามาหาเรื่องอะไรฉันอีกเลยค่ะ ดึกแล้ว ฉันจะนอน”
“คงจะนอนหลับสบายดีสินะ” น้ำเสียงเยาะ “ไม่เหมือนฉัน...ไม่เคยหลับอย่างมีความสุขซักคืน”
วงเดือนหน่าย ภูผาเริ่มกวน จึงพยายามควบคุมอารมณ์ “ออกไปเถอะค่ะคุณ ภูผา ถ้าใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี”
ภูผาหัวเราะหึๆ “ใครมาเห็นเข้า? หมายถึงเมฆาน่ะเหรอ”
วงเดือนไม่ไหว ฮึดใส่ “ใช่ ฉันหมายถึงคุณเมฆา แล้วก็หนูนาด้วย”
ภูผาสะอึก แต่ยังพาลต่อ “ทีเมื่อก่อน..ฉันยังเข้ามาได้”
วงเดือนสวนคำทันที “เดี๋ยวนี้กับเมื่อก่อนมันไม่เหมือนกัน”
ภูผาอึ้ง วงเดือนพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว” มองตาภูผาเขม็ง “อะไรๆ มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วค่ะ..คุณภูผา”
สองคนมองสู้สายตากัน
ภูผามองจ้องด้วยสายตาน้อยใจ เสียใจ ระคนแค้นใจ พูดเหมือนตัดพ้อรำพึง “วงเดือน..เธอใจร้าย”
วงเดือนนิ่งงันไป ก่อนจะจ้องตากลับด้วยความน้อยใจ เสียใจ เช่นกัน “คุณก็ใจดำ..คุณภูผา”
ภูผากลืนกินความเสียใจลงไป ก่อนจะโยนกล่องชุดแต่งงานไว้ให้บนเตียง ฝากล่องโดนกระแทกจนเปิดออกเผยให้เห็นชุดเจ้าสาวกระเด็นออกมา
ภูผาทิ้งดอกสุดท้าย มองหน้าแค้นจัด “ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุข กับเมฆา”
ภูผาเดินออกจากห้องไป ขณะที่วงเดือนยืนนิ่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ไม่หันไปมองตามภูผา รับรู้ว่าภูผาออกไปพ้นห้องแล้ว จึงค่อยๆ ทรุดลงเกาะเตียงอย่างมึนงงและโรยแรง ก่อนจะหันไปมองกล่องเสื้อผ้า พร้อมกับเอื้อมมือไปจับชุดที่กองอยู่ และเมื่อเห็นว่าเป็นชุดเจ้าสาว ก็ปล่อยโฮออกมา
วงเดือนยืนร้องไห้อย่างเดียวดายอยู่เพียงลำพัง
ตรงมุมหนึ่งของบ้าน โฉมไฉไลกรี๊ดลั่น อนงค์รีบเอามือปิดปากลูกสาวแน่น
“จะแหกปากไปไหนยัยโฉม?! ดึกป่านนี้เดี๋ยวก็ตื่นกันหมดทั้งบ้านหรอก”
โฉมไฉไลโกรธจนตัวสั่น “ดี ตื่นกันให้หมดสิดี โฉมจะได้แฉให้พ่อแม่มันฟังซะเลยว่าลูกชายมันใฝ่ต่ำขนาดไหน หนอย...มีบ้านช่องใหญ่โตไม่อยู่ ใฝ่ต่ำจะอยู่รูหนูโสโครกกับอีนังนั่น พฤกษ์นะพฤกษ์”
อนงค์ถอนใจเฮือก “แล้วนี่จะทำไงดี ลากคอตาพฤกษ์กลับมาให้แม่ผัวแกไม่สำเร็จอย่างนี้ มีหวังคะแนนแกวูบแน่ยัยโฉมเอ๋ย”
“ไม่มีทาง ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ คนอย่างโฉมไฉไลสู้ไม่ถอยอยู่แล้วหม่าม้า”
อนงค์ตบเข่าฉาด “ให้มันได้อย่างนี้สิลูกแม่”
“คอยดูนะ ถ้าโฉมไฉไลไม่ได้ ก็อย่าหวัง ว่าอีนังหน้าไหนจะได้ ไม่ว่าผู้ชายหรือมรดก”
อนงค์ปลื้มปริ่มที่ลูกสาวเลวได้ใจมาก สีหน้าโฉมไฉไลยามนี้มุ่งมั่นมาดหมาย แววตากร้าวแกร่ง งานนี้อีโฉมขอสู้ตาย!
ยามเช้าแสนสดใสที่บ้านแสนสมุทรเวลานั้น ชอุ่มกึ่งลากกึ่งจูงเมฆามาอย่างตื่นเต้น
“เร็วสิคะ..คุณเมฆา..วิ่งเลยค่ะวิ่ง”
เมฆาตามมาอย่างขำๆ “อะไรเนี่ยชอุ่ม คุณแม่จะให้ฉันไปดูอะไร ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วย”
“เถอะค่ะ..อย่าเพิ่งถาม..รีบตามชอุ่มมาเร้ว”
เมฆายังขำท่าทีตื่นเต้นของบ่าวสูงวัยไม่หาย “ตื่นเต้นขนาดนี้เห็นทีจะต้องเป็นเทวดาหรือไม่ก็นางฟ้าเหาะลงมาซะละมั้ง” พูดแซวออกมา “อย่าลืมขอหวยนะชอุ่ม”
ชอุ่มหยุดพอดีเพราะถึงแล้ว พลางยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะเอ่ยออกมา
“จะใช่ ‘นางฟ้า’ รึเปล่าก็ดูเอาเองเถอะค่ะคุณเมฆา”
เมฆาหันไปมอง...อย่างตื่นตะลึง
เมื่อเห็นวงเดือนในชุดเจ้าสาวหันมาสวยงามมาก ขนาดใบหน้าทรงผมยังไม่จัดเต็ม เป็นแค่การลองชุดเท่านั้น
เมฆาอึ้งตะลึงงันไปเลย ครางออกมาเบาๆ “เดือน”
วงเดือนยิ้มเขินๆ ให้ เมฆาเดินเข้าไปหาราวโดนมนต์สะกด
เมฆามองไม่วางตาอย่างเป็นปลื้ม “เดือน...เดือนสวยมาก”
ศรีดาราที่ช่วยลองชุดอยู่ด้วยยิ้มเยื้อนอย่างเอ็นดู
“อะไรกันจ๊ะเมฆา นี่ขนาดยังไม่ได้แต่งหน้า ทำผม แล้วไหนจะเครื่องเพชรอีก แม่แค่ให้เดือนเค้าลองชุดดูว่าพอดีมั้ยเท่านั้นเองจ้ะ”
“แต่แค่นี้..ก็สวยมากแล้วครับ” เมฆาเพ้อ
วงเดือนหลบตาวูบ ระหว่างนั้นภูผากับหนูนา เข้ามาชะงักทั้งคู่ พากันหยุดดู
หนูนาตาโต “โห...สวยจังเลย”
เมฆากับวงเดือนหันขวับมองมา
ศรีดารายิ้มแย้มทักทาย “อ้าว..หนูนา..ภูผา”
ภูผาเดินออกไปทันที ทิ้งให้หนูนายืนจ๋อยๆ กำลังจะตาม
ศรีดาราเรียกไว้ “หนูนา..มานี่สิจ๊ะ มาช่วยแม่ติดกระดุมให้วงเดือนหน่อยจ้ะ”
หนูนาจำต้องเดินเข้ามา
หนูนามองวงเดือน พูดอย่างจริงใจ “คุณวงเดือนสวยมากเลย”
วงเดือนยิ้มให้บอกเสียงขื่นๆ “ขอบใจมากจ้ะ หนูนา”
เมฆามองตามภูผา ยิ้มเยาะ ก่อนจะหันกลับมามองวงเดือนอย่างเป็นปลื้มอีกครั้ง
เมฆาจับมือวงเดือน “เดือน..ผมแทบจะรอให้ถึงวันแต่งงานของเราไม่ไหวแล้ว”
วงเดือนหลบตา ศรีดารา ชอุ่มยิ้มแฉ่ง หนูนาจ๋อยๆ สงสารภูผา
สีหน้าเมฆาและวงเดือนยามนี้ คนละอารมณ์กันเลย
วันแต่งงานมาถึง คืนนั้นภูผาเดินมานั่งตรงมุมหนึ่งในบ้านแสนมสมุทรใบหน้าหมองเศร้า นึกถึงเรื่องราวหวานชื่นระหว่างตัวเองและวงเดือนจนมาถึงวันนี้ที่กลายเป็นขมขื่นหัวใจเหลือเกิน
ขณะเดียวกันวงเดือนลองชุดแต่งงานด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ท่ามกลางบรรยากาศชื่นใจเหลือแสนของเมฆา
ในเวลาต่อมาที่บริเวณหน้างานเลี้ยงฉลองแต่งงาน ศรีดารา อนุต และเมฆา ยืนยิ้มแย้มกับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน
อนุตหันมาถามเมฆา “แขกมากันแล้ว ทำไมเจ้าสาวของแกยังไม่ลงมาซะทีล่ะเมฆา”
ศรีดาราหันไปเห็น ก็ยิ้มแฉ่งร้องบอกอย่างตื่นเต้น “เดือนมาแล้วค่ะ”
ทุกคนหันไปมอง
เห็นวงเดือนเดินออกมาในชุดเจ้าสาว ทั้งสวยและงามสง่า โดยมีชอุ่มเดินตามมาอย่างภูมิใจสุดๆ
เมฆายิ้มกว้าง “เดือน” ปรี่ไปรับวงเดือนให้คล้องแขนเดินมาประจำที่ด้วยกัน
ศรีดาราชื่นใจ “เดือนของแม่..สวยมากจ้ะลูก”
วงเดือนยกมือไหว้ “ขอบพระคุณค่ะ..คุณแม่”
ศรีดาราหันมาพยักเพยิดกับอนุต “นะคะ..คุณ”
อนุตมองด้วยสายตาชื่นชมและเอื้อเอ็นดู ยิ้มให้พลางพยักหน้านิดๆ
วงเดือนยกมือไหว้ “ขอบพระคุณค่ะ..คุณพ่อ”
เมฆาพูดกับกับเดือน “จากนี้ไป..จะเป็นวันที่เรามีความสุขทุกๆ วันนะเดือน” หันมาทางพ่อแม่ “แสนสมุทรด้วยครับคุณพ่อ..คุณแม่”
ศรีดาราปลื้มปริ่มโผกอดเมฆากับวงเดือนไว้ อนุตมองอย่างไม่วาดหวัง
แขกเหรื่อเริ่มเข้ามาขอถ่ายรูปหมู่ ดูรื่นเริงเหมือนงานวิวาห์ทั่วไป เมฆาภาคภูมิใจกับเจ้าสาวมากๆ
สักพักหนึ่งพฤกษ์เดินเข้ามาแต่งตัวไม่มีสง่าราศรี
ศรีดาราดีใจ “พฤกษ์”
อนุตชะงัก
วงเดือนเองก็ดีใจ “คุณพฤกษ์”
เมฆายิ้มให้ “พี่พฤกษ์”
ศรีดาราเข้าไปลากพฤกษ์เข้ามา “มาสิลูก..มายินดีกับน้อง”
“ยินดีด้วยเดือน” พฤกษ์ปรายตามองเมฆาอย่างไม่อยากจะมอง “แกด้วย..เมฆา”
เมฆาตบๆ แขนพี่ “ขอบคุณมากพี่”
วงเดือนไหว้ “ขอบคุณมากนะคะ..คุณพฤกษ์”
พฤกษ์มองอนุต เห็นพ่อวางท่าทำหน้านิ่งๆ
ศรีดาราพยายามสร้างบรรยากาศ “ถ่ายรูปด้วยกันหน่อยนะจ๊ะ”
ทุกคนถ่ายรูปร่วมกัน พฤกษ์เอ่ยขึ้น “คิดถึงอรุณนะครับ”
ทุกคนอึ้ง พฤกษ์พูดต่อ “แล้วก็ภูผาอีกคน”
คราวนี้ บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที
จู่ๆ เมฆาเอ่ยขึ้น “นั่นสินะ..ป่านนี้ทำไมพี่ผาถึงยังไม่มา” ยิ้มแย้ม “มัวแต่แพ้ท้องแทนเมียอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้”
เจอมุกนี้พฤกษ์ถึงกับอึ้ง รีบหันไปมองวงเดือนที่หน้านิ่งแต่ในใจเจ็บปวดเหลือแสน
ด้านภูผานั่งง่อยอยู่ตรงมุมหนึ่งในโรงแรม มีหนูนาลงนั่งข้าง เมียงมอง “ไม่ไหวก็กลับเถอะคุณ”
ภูผายังนั่งนิ่ง
“ไม่ต้องห่วงว่าคุณวงเดือนจะโกรธหรอก ฉันว่าเค้าเข้าใจคุณดี” ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ก็อย่างที่คุณเคยบอกไง เค้าเป็นคนที่รู้ใจและเข้าใจคุณที่สุด ไม่ใช่เหรอ”
ภูผาได้ยินแล้วยิ่งวูบ
หนูนาถอนใจเฮือกๆ เอามือกอดเข่าตัวเอง มองไปข้างหน้า “ดีไม่ดีเค้าอาจจะขอบใจคุณด้วยซ้ำที่ไม่เข้าไปทำให้เค้าปวดใจ ทำใจลำบาก”
ภูผาชะงักกึก ตาวาวขึ้นมาทันที ความแค้นผสมนิสัยเกเรเริ่มก่อตัวในใจ
ที่บริเวณหน้าห้องจัดงาน ศรีดารา อนุต เมฆา และวงเดือนยังยืนถ่ายรูปกับแขกเหรื่อที่มาร่วมเป็นเกียรติ ส่วนพฤกษ์หลบฉากไปอย่างเจียมตัวอยู่อีกมุม
ระหว่างนั้นโฉมไฉไลกับอนงค์แต่งตัวเต็มเว่อร์ เดินเม้าท์หน้าหงิกกันมาจากอีกมุม
“ทุเรศ ทีงานโฉมแต่งที่บ้าน ทีงานนังวงเดือนกระแดะจัดในโรงแรม ทุเรศๆๆ”
“เอาน่า! จะแต่งที่ไหนก็ช่างมันเถอ แต่มรดกน่ะอย่าให้น้อยหน้ากว่ากันเท่านั้นก็พอ นี่ แม่แต่งตัวน้อยไปมั้ยยัยโฉม”
โฉมไฉไลค้อนขวับ “เยอะกว่านี้คงไม่มีแล้วล่ะหม่าม้า
อนงค์ยิ้มปลื้ม “ดี งั้นก็รีบเข้าไปแย่งซีนนังวงเดือนมันดีกว่าไปฆ่ามันให้วูบเลย ฮิฮิฮิ”
อนงค์คว้าข้อมือโฉมไฉไลเข้างาน แต่ชะงักกึกเมื่อเจอพฤกษ์ยืนอยู่
โฉมไฉไลใส่เลย “เอ๊า...นึกว่าจะไม่โผล่หน้ามาซะแล้ว”
พฤกษ์จะเดินหนี
โฉมไฉไลเยาะ “ถือว่าคิดถูก..ที่ไม่เอานังโสเภณีนั่นมาออกงานด้วย”
พฤกษ์ชะงัก หันมาทันที “ฉันอยากพามาใจจะขาด แต่โสภีเค้าไม่อยากมา เค้าบอกว่าเค้ากลัวจะไม่เข้าพวก”
โฉมไฉไลสวนทันที “ถูก มันน่ะพวกผู้หญิงชั้นต่ำ”
พฤกษ์ตอกนิ่งๆ “เปล่า..เค้ากลัวว่าจะเข้ากับพวกผู้ดีแปดสาแหรกอย่างเธอไม่ได้ต่างหากล่ะ..โฉมไฉไล”
พูดจบพฤกษ์ก็เดินหนีไปอีกทางทันที
โฉมไฉไลอึ้งที่ถูกด่า อ้าปากเตรียมจะกรี๊ด อนงค์ตะปบปิดปากลูกสาวไว้ได้ทันท่วงที
“อั้นไว้ก่อนยัยโฉม! กรี๊ดตอนนี้ไม่ได้นะ แกต้องเป็นนางเอก ไม่ใช่นางร้าย” อนงค์บอก
โฉมไฉไลฮึดฮัดขัดใจ
“ไป!ไปดับรัศมีนังวงเดือนกันได้แล้ว”
อนงค์ลากลูกสาวเข้าไปแจ๋ที่กลุ่มหน้างานเลย
“สวัสดีค่า...ขอแสดงความยินดีด้วยนะค้า”
โฉมไฉไลจ้องหน้าเมฆา ยิ้มเยาะอย่างมีเลศนัย เมฆาเมินหน้าหนี โฉมไฉไลจ้องหน้าเหน็บ
“แหม...เจ้าบ่าวหน้าบึ้งจัง อย่างนี้ก็ไม่หล่อสิคะ จริงมั้ยคะ..เจ้าสาว” โฉมไฉไลทำเป็นขำ
วงเดือนนิ่งเฉย
“หวังว่า...” จ้องหน้าเมฆาเขม็ง “คุณจะมีความสุขไปได้อีก...นานๆ นะคะเมฆา”
โฉมไฉไลทำเสียงเป็นปริศนา เมฆามองอย่างข่มความรู้สึกเต็มที่
โฉมไฉไลพ่นต่อ คราวนี้ทำดี๊ด๊ากับวงเดือน “เธอด้วยจ้ะ...” น้ำเสียงจิก “วงเดือน”
ว่าแล้วโฉมไฉไลก็หันไปฉีกยิ้มถ่ายรูปตามคำเรียกร้องของอนงค์ ก่อนจะหันไปจ้องสายตาร้ายจิกใส่เมฆาอีกทีหนึ่ง เมฆาชักไม่สบายใจ
จังหวะนั้นพนักงานโรงแรมเข้ามาบอก “ท่านประธานในพิธีพร้อมแล้ว เชิญเริ่มงานด้านในเลยครับ”
ทุกคนจะขยับตัว ศรีดาราขอไว้ก่อน “เดี๋ยวค่ะ..ภูผายังไม่มาเลย”
วงเดือนชะงักกึก เมฆาหน้าตึง มองจับอาการวงเดือน
อนุตรู้สึกขัดเคืองใจ สั่งเสียงขุ่น “ไม่มาก็ไม่มา จะให้ท่านประธานรอมันคนเดียวได้ยังไง เข้างาน”
ชอุ่มร้องเสียงดัง ท่าทีดีใจ “คุณภูผามาแล้วค่ะ”
ทุกคนเหลียวขวับ เห็นภูผาเข้างานมาพร้อมกับจับมือหนูนาเดินเคียงมาด้วยกัน
วงเดือนใจหล่นวูบ เมฆายิ้มเย้ยอย่างผู้ชนะ
อนุตส่ายหน้าบอกกับศรีดารา “ฉันจะเข้างานแล้ว”
พูดจบก็เดินเข้าไปเลย ศรีดาราเลยต้องรีบตามไปด้วย
“รีบเข้างานกันนะลูกนะ”
ศรีดาราเดินกึ่งวิ่งตามอนุตเข้าไปเหลือ 2 คู่ เมฆา วงเดือน ภูผาและหนูนา ที่เผชิญหน้ากันอยู่ โดยมีโฉมไฉไลกับอนงค์ซุ่มเชียร์อยู่ใกล้ๆ
เมฆาทำหน้าตาสดใสทักทาย “นึกว่าพี่จะไม่กล้ามาซะแล้ว”
ภูผาขึ้นเสียง “ทำไมฉันจะไม่กล้า”
เมฆายอกย้อน “เก๊าะ..ไม่รู้”
“ทีแกยังกล้า” ภูผามองวงเดือน “เจ้าสาวแกยังกล้า แล้วทำไมฉันจะไม่กล้า”
วงเดือนเมินหน้าหนี เมฆากับภูผาจ้องหน้าสู้สายตากัน
กองเชียร์อย่างโฉมไฉไล กับอนงค์ ตาโต
“เอาล่ะเว้ย งานนี้สนุกแน่” อนงค์เหยียดยิ้ม
“ขอให้กลายเป็น งานเศร้า ดีกว่ามั้ย..หม่าม้า” โฉมไฉไลแช่งอย่าง
ด้านหนูนาดึงแขนภูผา “กลับเถอะคุณ”
“ฉันไม่กลับ” มองหน้า 2 คน “ฉันจะต้องอยู่แสดงความยินดีกับน้องชาย และ...”
ภูผาค้างคำไว้ วงเดือนลุ้นระทึก เมฆาจดจ่อรอฟัง
“และ..น้องสะใภ้ของฉัน”
วงเดือนใจหายวูบสีหน้าสลดสุดๆ เมฆาฟังแล้วยิ้มร่า
“ดีมากพี่ผา งั้นก็ต้องอยู่จนงานเลิก อยู่จนส่งตัว” ชี้หน้าคาดคั้น “ห้ามเบี้ยว”
ภูผาเจ็บแปลบ กลืนกินความเจ็บช้ำ จ้องหน้าวงเดือนเขม็ง
วงเดือนเมินหน้าหนีไป รู้สึกเสียใจไม่ต่างกัน
บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างชื่นมื่น ท่านประธานในพิธีอวยพร และเป็นต้นเสียงร้องไชโยให้บ่าว-สาวบนเวที
ภูผามองภาพบนเวทีอย่างช้ำใจ หนูนามองอย่างเห็นใจ เมฆาชื่นมื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส ขณะที่วงเดือนเหมือนจำใจ อนุต ศรีดารา และชอุ่ม มองบ่าวสาวอย่างชื่นใจ
เมฆายิ้มแย้มขณะกุมมือวงเดือนมาตัดเค้กวิวาห์
ภูผามองแน่วนิ่งราวกับโดนมีดกรีดใจ ซดเหล้าไม่ยั้ง หนูนาได้แต่ถอนใจ
เมฆาและวงเดือนตัดเค้กอยู่ พฤกษ์มองขึ้นไปเหมือนโดนมีดกรีดใจเช่นกัน
พอตัดเค้กเสร็จเมฆาหันมายิ้มให้วงเดือน ในขณะที่วงเดือนฝืนยิ้มตอบ โฉมไฉไลมองขึ้นไปจดสายตาจ้องด้วยความริษยาอยู่ข้างๆ กับอนงค์
เวลาต่อมา เมฆากับวงเดือน ยกเค้กแต่งงานเดินลงเวที นำมาให้อนุตและศรีดารา
ภูผามองมาแล้วซดเหล้าอีกหลายกรึบ หนูนาห้ามก็ไม่ฟัง “พอแล้วๆ” พลางโอบๆ ไหล่ไว้
จังหวะที่วงเดือนเหลือบมองมาเห็นหนูนาโอบภูผาก็อึ้งไป หันกลับไปฝืนยิ้มกับเมฆาเหมือนจะตัดใจ!!
เวลานั้นภูผามีสีหน้าแดงก่ำด้วยความเมา จ้องสองคนอย่างแค้นใจ!!
ภูผากลับมาถึงแสนสมุทรในสภาพเมาปลิ้น โดยมีหนูนาประคองมาที่ประตูบ้านอย่างทุลักทุเล
“ใจเย็นคุณ..ใจเย็น..โหย ตัวใหญ่ยังกะยักษ์ เห็นใจกันมั่งสิ” เปิดประตู ปากก็บ่นไม่หยุด “ไม่รู้จะกินทำไมเหล้าน่ะ ยังกะมันจะช่วยได้ ไปๆๆ ไปนอน”
หนูนาพาภูผาเข้าห้องไปจนได้ในที่สุด
สักพัก อนุต ศรีดารา เมฆาและวงเดือน เดินมาที่หน้าประตูห้องเมฆาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องภูผาเป๊ะๆ
ศรีดาราจับมือทั้งสองคนพูดอำนวยพร “แม่ขอให้ลูกทั้ง 2 จงมีแต่ความสุขความเจริญนะจ๊ะ”
“อย่าลืมนะเมฆา..แกเป็นความหวังเดียวของแสนสมุทร” อนุตย้ำคำ
เมฆาใจพองโต วงเดือนถอนใจ จังหวะนั้นเมฆาจับมือวงเดือน
“ผมไม่เคยลืมครับพ่อ ผมกับเดือนจะทำให้พ่อกับแม่สมหวังครับ...จริงมั้ยเดือน”
วงเดือนจำใจ “ค่ะ”
อนุตยิ้มน้อยๆ พยักหน้าให้ ศรีดาราเอื้อนเอ่ย “เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักผ่อนกันเถอะจ้ะ”
เมฆาและวงเดือนยกมือไหว้เอ่ยขึ้นพร้อมๆ กัน
“ขอบคุณครับคุณพ่อ คุณแม่” / “ขอบคุณค่ะคุณพ่อ คุณแม่”
ศรีดาราโอบกอดสองคนอย่างตื้นตันใจ ก่อนจะพากันเดินออกไป เหลือเมฆายิ้มให้วงเดือนที่ยังยืนนิ่ง
“เข้าห้องสิเดือน”
วงเดือนยังอิดออด ในท่าทีลังเลใจ
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า...สัญญาก็เป็นสัญญา...ผมไม่ลืมที่เคยพูดกับคุณไว้หรอกว่า..เราจะแต่งงานกันแต่ในนาม...เท่านั้น”
วงเดือนมองเมฆาเหมือนชั่งใจหนัก...ว่าจะเชื่อน้ำคำได้มั้ยหนอ?
เมฆาพูดให้คำมั่นต่อ “ผมรอคุณตลอดมา และก็จะรอตลอดไป รอจนกว่าคุณจะรักผมอย่างเต็มหัวใจ” เมฆายิ้มเต็มยิ้ม “ผมรอคุณได้เสมอวงเดือน ไม่ว่ามันจะอีกนานแค่ไหน”
วงเดือนอึ้งเจอลูกตื๊อคนรักจริง จ้องตากันไปมาสักพัก เมฆาเปิดประตูให้ วงเดือนค่อยๆ ก้าวเข้าไป ประตูปิดลง
วงเดือนเดินเข้ามาหยุดยืน เมฆาเดินตามมา ยิ้มจัดแจง
“คุณนอนนี่” เมฆาเอามือตบๆ เตียง “ส่วนผมนอนนู่น” ชี้ไปที่โซฟาเล็กๆ ในห้อง
วงเดือนรีบบอก “ไม่ได้หรอกค่ะ คุณจะนอนอย่างนั้นได้ยังไง ให้เดือนกลับไปนอนที่ห้องดีกว่า”
เมฆาขำ “จะดีกว่าได้ยังไงล่ะเดือน เราแต่งงานกันแล้ว แต่สามีนอนห้องนึง ภรรยานอนห้องนึงจะได้ยังไง คุณพ่อคุณแม่ท่านจะไม่สงสัยแย่เลยเหรอ”
เจอไม้นี้วงเดือนก็อึ้ง
เมฆาลูบผมวงเดือน “ไปอาบน้ำเถอะไป จะได้นอนพักผ่อน นะ..คนดีของผม” เมฆาอ้อนเสียงหวาน
วงเดือนจนหนทางจึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เดินเข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้เมฆายิ้มแย้มมีความสุขอยู่คนเดียว ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โซฟา มองๆ โซฟาเป็นเชิงบอกว่าจะนอนตรงนี้ล่ะ
เมฆายิ้มย่อง เอนหลังพิงโซฟาอย่างมีความสุข
ส่วนหนูนาเช็ดตัวให้ภูผาที่นอนเมาปลิ้นอยู่
หนูนาได้กลิ่นเหล้าโชยมา “เหม็นเหล้าหึ่งเล๊ย...เฮ้อ! บอกให้กลับแต่แรกก็ไม่เชื่อ”
ภูผานอนละเมอออกมา “ใจร้าย”
หนูนาชะงัก
“เธอใจร้าย..วงเดือน ...ใจร้าย” ภูผาครวญคร่ำ
หนูนาถอนหายใจ...เฮ้อ!
ภูผาสะอื้น “ฉันรักเธอ...วงเดือน..ฉันรักเธอ”
หนูนาเศร้าหมดแรงจะเช็ดตัวต่อ เดินไปนั่งกอดเข่าที่ฟูกบนพื้นของภูผาแทน หนูนาหน้าหมองลงเหมือนจะพร้อมรับชะตากรรม ลูบท้องเบาๆ
หนูนากอดเข่านั่งกับพื้น เอนหลังพิงเตียง ขณะที่ภูผานอนเมาไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง
วงเดือนเดินเข้าห้องมาหลังอาบน้ำเสร็จสวมใส่ชุดนอนแล้วเรียบร้อย แต่ต้องชะงัก
เมื่อเห็นเมฆานอนขดตัวอยู่บนโซฟาทั้งชุดเดิม ยังไม่ได้อาบน้ำ รอจนหลับ
วงเดือนเดินไปหยุดยืนมองก่อนจะค่อยๆ คุกเข่าลงข้างๆ มองเมฆาอย่างเห็นใจ เอามือปัดผมที่ปรกหน้าผากเมฆาขึ้นไปเบาๆ แล้วนั่งกับพื้นหลังพิงโซฟา กอดเข่า ท่าเดียวกับหนูนาเป๊ะ
ชะตากรรมของผู้หญิง 2 คน ไม่ต่างกันเท่าไหร่เลย
บรรยากาศบริเวณป่าเขายามเช้าแสนสดใส ในขณะที่เหนือฟ้า มะขิ่น และมะยอ ซ้อมการต่อสู้กันอยู่แบบ 2 รุม 1 โดยที่มะขิ่นกับมะยอ แท็คทีมกันปล่อยอาวุธสารพัด รวมทั้งหมัดมวยใส่เหนือฟ้าไม่ยั้ง เหนือฟ้าทำท่าจะชนะ แต่สุดท้ายเสร็จมะยอจนได้
มะขิ่นร้องเสียงหลง “พอก่อน..อีนังมะยอ”
มะยอจำใจปล่อยเหนือฟ้า “บ๊ะ! กำลังมัน” พูดแขวะเหนือฟ้า “นึกว่าจะแน่..แค่เนี้ย”
มะขิ่นเอ็ดลูกสาว “เฮ่ย! อีนังนี่! บอกให้พอ พอทั้งมือ พอทั้งปาก ไป! เข้าป่าไปหามื้อกลางวันมาเตรียมไว้ได้แล้ว”
มะยอเดินหน้าหงิกงอออกไปอย่างขัดใจ
มะขิ่นบ่นตามหลัง “หน้างอยังกะมะเหงก เฮ้อ! อีนังลูกคนนี้”
“แต่มะยอเค้าก็เก่งจริงๆ นะมะขิ่น เห็นตัวเล็กๆ อย่างนี้ แถมเป็นผู้หญิง ต้องนับว่าเก่งมาก” เหนือฟ้าชมจากใจ
“อยู่ป่าอยู่ดอย ไม่เก่งก็อยู่ไม่ได้ล่ะครับพ่อเลี้ยง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนครับ” มะขิ่นว่า
เหนือฟ้าพยักหน้าเห็นด้วย “จริงด้วย..ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เมื่อก่อนนี้...ฉันเอาแต่ชี้นิ้วสั่งลูกน้อง ตัวเองทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง วันนี้...ถึงได้เป็นแบบนี้”
มะขิ่นแย้ง “ใครว่า ลูกน้องพ่อเลี้ยงมันเลวทรามต่างหาก คนมันมักใหญ่ใฝ่สูง เนรคุณ คิดฆ่าได้แม้กระทั่งเจ้านาย เชื่อผมเถอะครับ ไอ้คนพรรค์นี้ มันไม่มีวันตายดีหรอก”
เหนือฟ้าหัวเราะหึๆ “ฉันสิเกือบตายเพราะมัน”
“แต่ก็เห็นมั้ยล่ะ..ว่าพ่อเลี้ยงรอด”
เหนือฟ้าพยักหน้าช้าๆ “ก็จริง...” แววตาวาวโรจน์ “งั้นคราวนี้ก็ต้องเป็นทีของฉันมั่ง ฉันต้องเอาแกให้ตาย ไม่มีทางปล่อยแกให้รอดไปได้เด็ดขาด ไอ้วันชัย”
ในเวลาเดียวกัน มะยอย่องๆ มาในราวป่า ส่ายตามองหาเหยื่อจะมาเป็นอาหารกลางวัน
วันชัยแต่งตัวแบบชาวบ้านชาวดอย โพกหัวโพกหน้ามิดชิดซุ่มมองอยู่ ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้ามาด้านหลังมะยอ มะยอรู้สึกตัวหันขวับ แต่ไม่ทันวันชัยเงื้อมีดฟันฉับเข้าที่ไหล่มะยอ จนมะยอล้มลงวันชัยขึ้นคร่อมร่างมะยอไว้
มะยอกัดฟัน “แกเป็นใคร”
วันชัยค่อยๆ แกะผ้าออกให้เห็นใบหน้าเละไม่เหลือเค้าเดิม เพราะตกหน้าผาครานั้น มะยอตะลึง
“จำหน้าฉันไว้ แล้วไปบอกไอ้เหนือฟ้าด้วยว่า ฉัน วันชัย จะไม่ยอมให้มันโชคดีอีกเป็นครั้งที่ 2”
มะยอทั้งงงทั้งเจ็บ สีหน้าวันชัยที่มองมาบอกให้รู้ว่าแค้นจัด!!
โปรดติดตาม "ชิงนาง" ตอนต่อไป