xs
xsm
sm
md
lg

ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 16 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 16 อวสาน
 

อาทิจนั่งตรวจดูบัญชีที่มุมพักผ่อน แล้วเหลือบมองดรุณีโดยบังเอิญ หญิงสาวซึ่งนั่งถักเสื้อหนาวเกือบเสร็จ เงยหน้าขึ้นมามอง อาทิจรีบเอาสมุดบัญชีเล่มใหญ่ขึ้นปิดหน้า แก้วซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่ แอบเหล่ทั้งคู่ไปด้วย
 
ดรุณีเห็นอาทิจกำลังดูบัญชีง่วนเลยก้มหน้าก้มตาถักเสื้อต่อ อาทิจค่อยๆเลื่อนสมุดบัญชีลง ตาดวงโตใสปิ๊งของชายหนุ่มมองไปที่ดรุณีอย่างเคลิบเคลิ้ม หวานเยิ้มหยดย้อย ชายหนุ่มแอบมองหญิงสาวอยู่อย่างนั้นจนกระทั่ง..
ดรุณีหันมามองอาทิจอีกครั้ง และครั้งนี้อาทิจหลบไม่ทัน กลบเกลื่อนทำเป็นถามเรื่องเวทางค์
“เรื่องคุณเว...ขอโทษนะ พี่ขอถามในฐานะผู้ปกครอง ไม่ทราบว่ากำหนดวันแต่งงานรึยังครับ”
ดรุณีไม่รู้ว่าอาทิจรู้ความจริงแล้วเลยพูดเป็นตุเป็นตะ
“ยังค่ะ แต่ว่า..เราแต่งกันแน่”
อาทิจยิ้มกรึ่ม
“น้องณีอยากจัดงานแต่งแบบไหนล่ะ”
“เอาแบบในความฝันหรือในความจริงคะ ถ้าในความจริงณีก็อยากจัดกลางสวนส้มคุณย่า เพราะณีเกิดและโตที่นี่”
“แล้วถ้าในฝันล่ะ”
ดรุณีวาดภาพตาเป็นประกาย
“ณีอยากแต่งที่ทะเลค่ะ พี่อาทิจเชื่อมั้ยคะว่าตั้งแต่เกิดมา ณียังไม่เคยไปเที่ยวทะเลกับเขาสักครั้ง ตอนเรียนก็เรียนอย่างเดียว เพื่อนๆเคยชวนไปเหมือนกัน แต่ก็พลาดตลอด”
“พี่เคยไปช่วยอาจารย์ปลูกปะการัง แต่แค่ครั้งเดียว”
“ณีชอบสีน้ำทะเลที่ไล่เฉดฟ้าอ่อนฟ้าแก่เขียวอ่อนเขียวเข้ม ตัดกับพื้นทรายสีขาวละเอียดยิบ ถ้าเราได้จับมือเดินคุยกับใครสักคน คงจะมีความสุขมาก”
“ใครคนนั้น..คือใคร”
ดรุณีชะงักกึก แล้วฝืนประดิษฐ์ยิ้ม
“ก็..พี่เวไงคะ ณีไม่ได้เนื้อหอมเหมือนยายตุ่นของพี่อาทิจนี่ จะได้ชี้นิ้วเลือกใครก็ได้ เสื้อเกือบเสร็จแล้วค่ะ พี่อาทิจลองนิดนะคะว่าใส่พอดีรึเปล่า”
ดรุณีเอาเสื้อหนาวมาสวมให้อาทิจ เนื้อตัวและจมูกอยู่ใกล้จนลมหายใจรดกัน อาทิจกระซิบเบาๆ
“ใครบอก ว่าน้องณีเนื้อไม่หอม”
เสียงแผ่วเบาของอาทิจมันช่างดังสะท้านใจดรุณี จนหญิงสาวอดสะเทิ้นวูบวาบหวั่นไหวไม่ได้
แก้วแอบมองทั้งคู่เพลิน
“ใส่ได้พอดีเลย”
“หล่อมั้ย”
“ก็..หล่อสมกับความสวยของยายตุ่นค่ะ พี่อาทิจถอดออกก่อนนะคะ เดี๋ยวณีถักตรงชายให้อีกนิดเดียวก็เสร็จ รับรองว่าทันใส่ไปหายายตุ่นแน่ๆค่ะ”
อาทิจยังมองดรุณีกรึ่มไม่วางตา หญิงสาวหลบตาวูบ
“นี่ก็ดึกแล้ว พรุ่งนี้พี่อาทิจต้องไปหายายตุ่นไม่ใช่หรือคะ รีบไปนอนเถอะค่ะ”
อาทิจรีรอ ไม่อยากไป แต่สุดท้ายก็จำต้องเดินออกมา แก้วนึกขึ้นได้รีบวิ่งไปกางมือกางแขนและขาดักหน้าอาทิจ
“หยุดค่ะ คุณอาทิจยังไปไม่ได้ เพราะ..เอ่อ..เพราะยังไม่ได้ชิมน้ำส้มคั้นของน้าแก้วเลย เดี๋ยวน้าแก้วไปเอามาให้นะคะ คุณณีด้วย รอแป๊บนะคะ น้าแก้วเตรียมไว้แล้ว แค่หยดน้ำมนต์..เอ๊ย..เหยาะเกลือจี๊ดเดียวค่ะ เดี๋ยวมานะคะ”
น้าแก้ววิ่งออกไปแล้วกลับมาอีก
“สัญญานะคะว่าจะไม่หนีไปไหน”
อาทิจและดรุณีหันมามองหน้ากัน แค่น้ำส้มคนละแก้ว..ทำไมน้าแก้วต้องวุ่นวายขนาดนี้

ในครัว...ลุงเกร็งหยิบขวดใส่น้ำสีเขียวเข้มขวดเล็กๆจากย่าม ขึ้นมาจ่อที่หน้าแก้ว
“หยดน้ำสมุนไพรนี่ลงไปแก้วละหยด..รับรอง..เอาอยู่”
น้าแก้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ถ้า เอาไม่อยู่ ล่ะก็ตาเกร็ง..แก ตาย!”
แก้วหยดน้ำสีเขียวใส่แก้วน้ำส้มแก้วละหยด

แก้วยื่นน้ำส้มให้อาทิจและดรุณี แล้วคั้นคะยั้นคะยอให้ทั้งคู่ดื่ม
“มาแล้วค่า น้ำส้มคั้นสดๆจากสวนเราเองค่ะ”
อาทิจ ดรุณียกน้ำส้มขึ้นจิบ แล้วยกดื่ม แก้วยิ้มแล้วลุ้นต่อจนตัวโก่ง ทั้งคู่ดื่มไปได้ครึ่งแก้วก็ทำท่าจะวาง
“อย่าเพิ่งวางค่า! ดื่มให้หมดแก้วเลยนะคะ น้าแก้วอุตส่าห์คั้นกับมือ ถ้าดื่มไม่หมด น้าแก้วก็เสียใจแย่สิคะ นะคะ..คนดี..ดื่มให้หมดเลย ทั้งคู่เลยค่ะ”
อาทิจกับดรุณีสบตากัน แล้วยกน้ำส้มที่เหลือดื่มจนหมด แก้วแอบยิ้ม
“ขอบคุณมากค่า ดื่มกันเกลี้ยงเลย ง่วงนอนแล้วน้าแก้วขอตัวไปนอนก่อนนะคะ”
แก้วเก็บแก้วใส่ถาดก่อนจะเดินไปอย่างเริงร่า แต่แล้วก็วกกลับมาแอบดูอีก อาทิจ ดรุณีหันมาสบตาเปรี้ยงงงกลางอากาศ
“พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกี่โมงดีคะ”
“ตามใจน้องณีสิจ๊ะ”
ดรุณีเย้า
“อะไรๆก็ตามใจณีเรื่อย ถ้าณีจะให้ไปเดี๋ยวนี้ล่ะคะ”
อาทิจมองดรุณีไม่วางตา
“ก็ไปได้”
ดรุณีโปรยตาให้อาทิจ
“งั้นไปเดี๋ยวนี้”
ดรุณีหยิบผ้ามาคลุมไหล่ ก่อนจะเดินนำอาทิจที่ใจเต้นโครมครามตามหลังออกไป ลุงเกร็งเดินเข้ามาจากทางครัวหลังบ้าน
“เป็นไงบ้างแม่แก้ว”
“ลงไปเดินในสวนส้มนู่นแล้ว ไม่รู้จะโดนงูงาบก่อนรึเปล่า”
”งูงาบไม่เป็นไร ฉันรักษาให้ได้ ว่าแต่แม่แก้วจะไม่ลองชิมยานั่นสักหยดเหรอ จะได้ชวนฉันลงไปเดินเล่นในสวนบ้าง”
แก้วถองศอกใส่ลุงเกร็ง
“ทะลึ่ง บ้า!ตาเกร็งนี่..อะไรก็ไม่รู้”
แก้วค้อนลุงเกร็ง แต่ก็แอบเขินไปมา

ดรุณีกับอาทิจเดินกอดอกห่อตัวด้วยความหนาวมาในสวน
“เราจะไปไหนกันดีคะ”
อาทิจมองตาเยิ้ม
“ตามใจน้องณีสิจ๊ะ น้องณีไปไหน พี่ไปด้วยทั้งนั้น”
ดรุณีหลบตาแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“คิดถึงยายตุ่นจัง ยายตุ่นเขาชอบพระจันทร์ค่ะ ไม่ว่าจะข้างขึ้นข้างแรม เขาเห็นว่ามันสวยทั้งนั้น ยายตุ่นเขาน่ารักแล้วก็อารมณ์ดี ใครอยู่ใกล้ก็มีความสุขทุกคน”
ดรุณีปรายตามองอาทิจด้วยสายตา แบบที่ชายหนุ่มห้ามแล้วห้ามอีก
“พี่อาทิจว่าจริงมั้ยคะ”
อาทิจเห็นดรุณีมองมาด้วยสายตานารีพิฆาตแล้วใจเต้นระรัว อยากจะเข้าไปกอดไปหอมเหลือเกิน
“น้องณีว่าจริงมั้ยล่ะ”
แล้วอาทิจก็อดใจไม่ไหว ก้มไปหอมดรุณี แต่เป็นจังหวะที่หญิงสาวเบือนหน้าหนีสายตาอาทิจก่อนจะเดินออกมาพอดี ปลายจมูกของอาทิจจึงได้แตะแค่ปลายผมของหญิงสาว
“ณีว่าพี่เวก็แอบชอบยายตุ่นเหมือนกัน แต่ณีไม่ปล่อยโอกาสให้พี่เวทำคะแนนกับยายตุ่นหรอกค่ะ”
อาทิจแอบหยอดแกมเย้า
“เพราะน้องณีหวงคุณเว”
ดรุณีค้อนอาทิจวงเบ้อเริ่ม
“ไม่ใช่ค่ะ ณีเก็บยายตุ่นไว้ให้พี่อาทิจคนเดียวต่างหาก”
หญิงสาวหันมาเอาคืนด้วยการโปรยสายตานารีพิฆาตใส่อาทิจอีกรอบ
“พี่อาทิจเห็นใจณีรึยังคะ”
อาทิจใจจะละลายให้ได้
“เห็นสิครับ น้องรักของพี่”
ดรุณีสบสายตาอาทิจที่ส่งประกายตาระริกชนิดที่ทิ่มเข้าไปถึงกลางใจ หญิงสาวถึงกับใจสั่น เข่าอ่อนหมดเรี่ยวแรงจะเดิน อยากจะเป็นลมพับไปในอ้อมกอดของชายหนุ่มให้รู้แล้วรู้รอดไป
ดรุณีได้แต่คิด ในที่สุดก็แข็งใจเดินออกมา อาทิจเดินตามด้วยใจเตลิดกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว
“ยายตุ่นเขาทั้งรักทั้งหลงพี่อาทิจ พี่อาทิจเป็นชายในฝันของเขา”
“พี่อาจเป็นผู้ชายในฝันของใครก็ได้ แต่พี่อยากเป็นผู้ชายในชีวิตจริงของผู้หญิงเพียงคนเดียว อยากรู้มั้ยว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
อาทิจจ้องลึกเข้าไปในดวงตาหญิงสาวปานจะกลืนกิน ดรุณีรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ หญิงสาวร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ใจดีสู้เสือตะกุกตะกักตอบ
“จะใครคะ ถ้าไม่ใช่ยายตุ่น”
อาทิจยิ้ม ตาเป็นประกายวาว
“อย่าบอกนะคะว่าพี่อาทิจแอบไปปิ๊งใครที่ไหน ณีโกรธจริงๆด้วย ยายตุ่นรักพี่อาทิจนะคะ”
“แต่พี่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นรักพี่มากกว่าคุณตุ่น”
“ตกลงพี่อาทิจรักใคร บอกมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นณีจะกัดให้จมูกแหว่ง”
อาทิจทนไม่ไหว โอบกอดดรุณีเอาไว้แนบอก
“ช่วยกัดพี่หน่อยเถอะ พี่อยากจมูกแหว่งจะแย่แล้ว”
ดรุณียืนตัวสั่นใจสั่น เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวถูกชายหนุ่มกอดอย่างตั้งใจ..เนื้อแนบเนื้อ อาทิจค่อยๆโน้มหน้าลงมาเอาปลายจมูกไล้ตั้งแต่หน้าผากเรื่อยลงมาที่ริมฝีปาก ดรุณียืนตะลึง ใจหวิวเหมือนจะละลายอยู่ตรงนั้น
“รู้แล้วใช่มั้ยว่า ผู้หญิงที่พี่รักคือใคร”
อาทิจโน้มลงมาจูบ ดรุณีเบิกตาโตด้วยความไม่เคยและไร้เดียงสาในเรื่องความรัก..สักครู่หญิงสาวก็ปล่อยใจไปกับความรู้สึกพลุ่งพล่านที่ระเบิดอยู่ข้างใน
ร่างของทั้งคู่โน้มลงนอนบนผืนหญ้า มือที่ไต่หากันและเกาะเกี่ยวกันไว้ ด้วยความรักอันสุดซึ้งของหญิงชายคู่หนึ่งที่ระเบิดออกมา ไม่ใช่ด้วยความรุนแรงแต่เป็นความนุ่มนวลอย่างที่สุด เพราะต่างเป็นครั้งแรกของทั้งคู่...และครั้งแรกของกันและกัน

ลุงเกร็งเดินสะพายย่ามกลับมาที่บ้าน ผ่าน ต๊อด อึ่ง พัน ที่นั่งกอดเข่าจับกลุ่มคุยกันรอบกองไฟอย่างเซ็งๆ ทันใดต๊อดผุดลุกขึ้นยืน ท่าทางขึงขัง
“ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าจะไปขอร้องไม่ให้นายไปอยู่กรุงเทพฯกับคุณตุ่น”
อึ่งลุกขึ้นยืนด้วย
“ข้าด้วย ถึงนายจะเตะ จะต่อย จะเข่า จะศอก จะถีบ ข้าก็ยอม แต่ข้าจะไม่ยอมให้นายไปเด็ดขาด”
พันลุกขึ้นยืนตาม
“เอ้า....ถ้างั้น เป็นไงเป็นกัน!”
สามคนจะขยับเดินออกไป ลุงเกร็งรีบมาดักห้าม กลัวแผนแตก
“คุณอาทิจไม่ไปหรอก เอ้า..นั่งๆๆๆ”
ลุงเกร็งกดไหล่ทั้ง 3 คนให้ลงนั่ง
“น้าเกร็งรู้ได้ยังไง” พันถาม
“เอาน่า ข้ารู้ก็แล้วกัน”
“นายบอกน้าเกร็งเหรอ” อึ่งซัก
“เออ...” ลุงเกร็งยิ้มมีเลศนัย “บอกด้วยการกระทำ”
ต๊อดส่ายหน้า
“แต่...ของอย่างนี้มันต้องได้ยินจากปากนา ข้าว่าไปคุยกันให้รู้เรื่องเลยดีกว่า อึ่งไป..เดิน ลัดสวนส้ม ไปแป๊บเดียว”
ทั้งสามคนลุกขึ้นจะเดินออก แต่ลุงเกร็งเอาสองมือดึงเสื้ออึ่งกับพัน เอาขาเกี่ยวต๊อดไว้
“เฮ้ย..อย่าไป อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อน”
อึ่งพยายามดิ้น
“ไม่ได้ ตอนนี้เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องนาย จริงมั้ยวะ!”
ต๊อดกับพันเสียงดัง..แข็งขัน
“ จริง!”
ลุงเกร็งแกล้งบ่น
“อุตส่าห์ซื้อเหล้าเจ๊กจูมา 80 ดีกรี จุดไฟติดพึ่บ”
ทั้ง 3 คนซึ่งกำลังเดินออกมาชะงักกึก หันกลับไปหาลุงเกร็ง แล้วตะโกนพร้อมกัน
“ไหนล่ะ !”
ลุงเกร็งแอบยิ้ม..โล่งใจ

ค่ำคืนนั้น...ดรุณีนอนซบอยู่บนต้นแขนอาทิจที่ก้มลงมาคลอเคลียดรุณีเสียงกระเส่า
“พี่รักน้องณี”
ชายหนุ่มขยับเข้ามาจูบมาหอมหญิงสาวอยู่นั่นแล้ว และทำท่าว่าจะเริ่มต้นอีกครั้ง ถ้าดรุณีไม่ขยับลุกขึ้นนั่งเอาผ้าคลุมไหล่ซะก่อน
“กลับขึ้นบ้านกันเถอะค่ะ น้ำค้างลงแรง เสื้อผ้าชื้นหมดแล้ว”
อาทิจขยับลุกแล้วส่งมือให้ดรุณียึดเพื่อดึงตัวเองขึ้นยืน แล้วกระซิบถามหญิงสาวที่ข้างหู
“เดินไหวมั้ย”
ดรุณียิ้มหวาน
“ไหวค่ะ แต่..ขี้เกียจเดิน”
อาทิจกระซิบวาบหวามอีกที
“งั้นพี่เดินให้เอง”
ว่าแล้วอาทิจก็ช้อนตัวหญิงสาวขึ้นอุ้มอย่างทะนุถนอม ก่อนจะพาเดินออกไป สองหนุ่มสาวตระกองกอดกัน โดยมีส้มทั้งสวนของคุณย่าเป็นพยาน

อาทิจอุ้มดรุณีลงนั่งที่เตียงอย่างละมุนละไม
“พี่เปลี่ยนเสื้อให้นะ ชื้นไปหมดแล้ว”
“ณีเปลี่ยนเองค่ะ พี่อาทิจนอนเถอะ”
อาทิจแกล้งพาซื่อ ล้มตัวลงนอนหนุนตักดรุณีทันที
“ไม่ใช่ห้องนี้ค่ะ ห้องคุณย่า”
อาทิจอ้อน
“ง่วงน่ะ นอนนี่ไม่ได้เหรอ..นะ”
“ไม่ได้ค่ะ” ดรุณีดันตัวอาทิจให้ลุกขึ้น “ไปค่ะ พรุ่งนี้ต้องไปหายายตุ่นแต่เช้านะคะ”
อาทิจจำต้องลุกจากเตียง แล้วเดินเหลียวหลังกลับมามองดรุณีอย่างอ้อยอิ่ง จนกระทั่งหายเข้าไปในห้องน้ำ ดรุณีจะลุกมาเปลี่ยนเสื้อ แต่ไม่ทันได้ขยับลุก เขาก็โผล่จากห้องน้ำเข้ามาหาหญิงสาวอีกครั้ง
อาทิจอายแต่อยากนอนกอดเมียมากกว่า
“ขอนอนด้วยคนนะน้องณี นอนคนเดียวพี่กลัวผี”
ดรุณีอ่านสายตาและท่าทางของอาทิจออก รู้ดีว่าชายหนุ่มคิดอะไร อาทิจไม่รอดรุณีอนุญาต ชายหนุ่มลงนอนแล้วเข้ามากอดหญิงสาวแน่น อ้อนต่อ
“ต่อไปพี่จะทำยังไงดีถึงจะนอนคนเดียวได้”
ดรุณีขำกับมุกอ้อนของอาทิจ ใครจะคิดว่าผู้ชายที่จริงจังบ้างาน จะอ้อนเป็นเด็กได้ขนาดนี้ อาทิจต่อยอดอีกด้วยการกระซิบข้างหู
“เปลี่ยนเสื้อกันนะ เสื้อพี่ก็ชื้นเหมือนกัน”
ดรุณีไม่ทันค้านอะไร เพราะอาทิจก้มลงมาจูบปิดปากหญิงสาวเสียก่อน

เช้าวันใหม่...ท้องฟ้าค่อยๆสว่างขึ้นรับเช้าวันใหม่ ทั้งคู่นอนกอดกันบนเตียง ดรุณีหนุนแขนอาทิจต่างหมอน
อาทิจเฝ้ามองดรุณีนอนหลับตาพริ้ม ชายหนุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยิ้มแล้วยิ้มเล่า เฝ้าแต่ยิ้ม
สักครู่..ดรุณีงัวเงียตื่นลืมตา หญิงสาวเห็นอาทิจนอนยิ้มอยู่ข้างๆก็อาย แก้มแดง
อาทิจจูบที่หน้าผากด้วยความรัก...
“ตื่นแล้วเหรอคนดี”
“พี่อาทิจ..ทำไม..ยังไม่ไปทำงานคะ”
“อยากอยู่กับเมีย อยากกอด อยากหอมทั้งวัน ขอลาหยุดสักวันนะ”
อาทิจทั้งกอดทั้งหอม ดรุณีอายมาก ผลักชายหนุ่มออก
“ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวน้าแก้วสงสัย พี่อาทิจรีบเข้าไปสั่งงานก่อนเถอะค่ะ ไปหายายตุ่นช้าไม่ดีนะคะ ณีจะเก็บเสื้อผ้าให้”
อาทิจหยอก
“หน้าที่ภรรยาที่ดี”
“คนที่รออยู่กรุงเทพฯต่างหากคะ...ภรรยา”
“แล้วคนนี้ล่ะ”
ดรุณีทั้งเก้อ..ทั้งเขิน..ทั้งอาย
“น้อง”
อาทิจเลิกคิ้วถาม
“น้อง...น้องรัก...ขอรักน้องอีกสักครั้งจะได้มั้ย”
อาทิจก้มลงมาจะจูบ ดรุณีเอามือบีบจมูกอาทิจไปมา
“เดี๋ยวกัดจมูกแหว่ง”
“ยอมให้กัด..อะ”
อาทิจหลับตาพริ้มยื่นหน้าไปหา เป็นครั้งแรกที่ดรุณีมองอาทิจอย่างเต็มตา..ใบหน้าที่เล็กเรียว คิ้วที่เข้ม จมูกโด่งเป็นสันคม ปากบางแต่ดูเด็ดเดี่ยว ผู้ชายคนนี้คือคนที่เป็นเจ้าของใจและกายของเธอ หญิงสาวยิ้มอย่างเป็นสุข
อาทิจค่อยๆลืมตาขึ้นมามองดรุณี หญิงสาวกลบเกลื่อนด้วยการดันชายหนุ่มให้ลุกขึ้นจากเตียง
“ไปอาบน้ำได้แล้ว”
อาทิจลุกจากเตียงอย่างจำใจ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำแล้วเดินออกมาอีกรอบ ดรุณีดุ
“พี่อาทิจ”
“พี่จะบอกแค่ว่า พี่รู้แล้วว่าคุณย่าให้พี่ขึ้นมานอนห้องท่านทำไม รู้อย่างนี้พี่ย้ายขึ้นมาอยู่ตั้งนานแล้ว”
ดรุณียิ้มขำ ตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความสุข อาทิจเคลิ้ม
“บอกแล้วไงว่า อย่ามองพี่ด้วยสายตาแบบนี้”
“จะมอง จะทำไม”
“ไม่ไปทำงานแล้ว อยู่กับเมียดีกว่า”
อาทิจเดินอ้อนเข้ามาหาดรุณี
“ไม่เอา ไปทำงานเดี๋ยวนี้ กล้าขัดคำสั่งคุณย่าเหรอ”
“ดุจริง”
อาทิจยอมเดินกลับไปที่ห้องน้ำ ในขณะที่ดรุณีมองตามชายหนุ่มแล้วยิ้มมีความสุข

ช่วงสาย...อาทิจเดินนำต๊อด เข้าไปหาลุงเกร็งซึ่งกำลังยืนสั่งงานคนงานให้ปล่อยน้ำเข้านา
“มีอะไรรึเปล่าครับลุงเกร็ง”
ลุงเกร็งหันมาบอก
“ไม่มีครับคุณอาทิจ ผมแค่สั่งให้คนงานปล่อยน้ำเข้านาอีกนิด”
อาทิจมองไปทั่วๆ
“น่าจะอีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์ถึงจะเกี่ยวข้าวได้”
“ก็ประมาณนั้นล่ะครับ”
“ยังพอมีเวลา”
ต๊อดเสนอหน้ามาถาม
“มีเวลาอะไรเหรอนาย”
“ไม่รู้อะไรสักเรื่องมันจะขาดใจตายมั้ยวะ...ผมฝากดูแลที่นี่ด้วยนะลุงเกร็ง”
อาทิจหมุนตัวเดินกลับออกไป ด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน ต๊อดมองตาม
“วันนี้นายเป็นอะไรลุกลี้ลุกลนจริง เหมือนไม่อยากมาทำงาน เมื่อกี้แวะไปที่สวนส้มก็ฝากพี่ฑูรดูแล ที่ไร่กะหล่ำปลีก็ให้ไอ้อึ่งจัดการ ส่วนไอ้พันถูกส่งไปเก็บกล้วย นายไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย มันยังไงๆอยู่นา”
“สงสัย..เอ็งก็วิ่งไปถามสิ ยังทัน”
“ทันกับผีอะไรล่ะน้าเกร็ง โน่น..ซิ่งมอเตอร์ไซด์ไปโน่นแล้ว จะรีบไปไหนของเขานะ”
ลุงเกร็งส่ายหน้าแล้วหันไปทำงานต่อ ปล่อยให้ต๊อดยืนคิดคิ้วขมวด...งานนี้ต้อง...ตามไปดู

ดรุณีพับเสื้อผ้าอาทิจใส่กระเป๋า อาทิจโผเข้ามากอดดรุณีจากทางด้านหลัง
“เสร็จรึยังครับน้องณี”
ดรุณีตกใจ
“เร่งจัง อยากจะไปเร็วๆใช่มั้ยล่ะ”
อาทิจยิ้มเฉ่ง
“ใช่แล้ว อยากไปใจจะขาด”
ดรุณีงอน
“งั้นก็รีบไปสิ”
“แล้วกระเป๋าน้องณีล่ะ”
“ณีไปเป็นเพื่อนพี่อาทิจ ส่งพี่อาทิจให้ถึงมือยายตุ่นแล้วณีก็กลับ จะให้เตรียมเสื้อผ้าไปทำไม”
“ไปส่งพี่ให้คนอื่นแล้วจะทิ้งพี่ไว้กับเขาอย่างนั้นเหรอ ใจดำจัง”
“ใครกันแน่ที่ใจดำ”
ทั้งคู่ยืนมองตากัน สักครู่..ดรุณีเป็นฝ่ายตัดสินใจพูดอย่างจริงจัง

“พี่อาทิจ..เรื่องระหว่างเราเมื่อคืนนี้ พี่อาทิจ..ลืมมัน...”
อาทิจรู้ว่าดรุณีจะพูดอะไร และหมายถึงอะไร
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะน้องณี พี่ไม่มีวันลืมเรื่องเมื่อคืนนี้ เพราะพี่ไม่เคยลืมเรื่องระหว่างเรา นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเจอกันด้วยซ้ำไป”

ดรุณีอื้ออึง..หญิงสาวรู้สึกหัวใจเป็นสุขอย่างประหลาด แต่ก็เป็นทุกข์อย่างมหันต์ เมื่อนึกถึงความยุ่งยากที่จะตามมา

 
อ่านต่อหน้า 2




ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
 

อึ่งเดินเข้ามาที่แปลงกะหล่ำปลีอย่างหงุดหงิดอารมณ์เสีย

“ก็ไหนน้าเกร็งบอกนายจะไม่ไปหาคุณตุ่นแล้วไงวะ หรือว่า..นายเปลี่ยนใจ”
ต๊อดยืนคู่กับพันอยู่อีกฝั่ง ร้องบอก
“คงงั้น..มันจะมีเรื่องที่ทำให้ผู้ชายบ้างานอย่างนายลุกลี้ลุกลนได้สักกี่เรื่องวะ ถ้าไม่ใช่เรื่องความรัก”
พันสะบัดสะบิ้ง
“ผู้ชายใจร้าย ใจโลเล!”
อึ่งสะดิ้งกว่า
“ปลิ้นปล้อน หลอกลวง! เมื่อคืนพูดอย่าง วันนี้ทำอีกอย่าง”
“เอ็ง 2 คนมาทำสะดีดสะดิ้งเป็นเมียน้อยนายตรงนี้ แล้วมันจะรู้เรื่องเหรอวะ”
อึ่งกับพันหันไปมองต๊อด ตาเป็นประกายวาวอย่างรู้ทัน

อาทิจสะพายกระเป๋าเสื้อผ้ามาที่ระเบียง แก้วแจ้นเข้าไปหา
“หวังว่าคุณอาทิจคงไม่พาคุณณีลงไปกรุงเทพฯจริงๆนะคะ”
“ไปครับ”
“ถ้างั้นก็หวังว่าจะไม่ไปหาคุณตุ่น”
“ไปครับ”
แก้วงอน
“คุณอาทิจน่ะ น้าแก้วโกรธคุณอาทิจแล้วนะ คุณอาทิจไม่ได้รักคุณณีหรือคะ เรื่องมันมาจนขนาดนี้แล้ว ใจคอคุณอาทิจจะแค่พาคุณณีไปเป็นเพื่อน แล้วปล่อยให้คุณณีขับรถกลับบ้านคนเดียวอย่างนั้นหรือคะ”
“ใครบอกน้าแก้วครับว่าผมจะปล่อยให้น้องณีกลับบ้านคนเดียว ต่อให้น้องณีไล่ผมไปจากที่นี่ ผมก็จะตื้อ จะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ล่ะ”
แก้วปรับอารมณ์แทบไม่ทัน
“อ้าว...แล้ว..คุณณีทราบรึยังคะ”
“ยังครับ ผมไม่ได้พูดอะไร”
“ร้ายจริงเชียวคุณอาทิจนี่ ยังไงก็ออมแรงนิดนะคะ คุณณีไม่ค่อยสบายค่ะ เมื่อเช้าลงมาขอยาน้าแก้วกิน สงสัยจะตรอมใจคิดว่าคุณอาทิจจะไปอยู่กับคุณตุ่นน่ะค่ะ”
อาทิจพยักหน้ายิ้ม..รับรู้ แล้วหางตาอาทิจก็เหลือบไปเห็น...ที่ใต้ถุนบ้าน ต๊อด อึ่ง พันวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาแอบดู ขณะเดียวกัน ดรุณีสะพายกระเป๋าธรรมดา ไม่ใช่กระเป๋าเดินทางมาด้วยสีหน้าหมองๆ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวยายตุ่นจะรอ”
แก้วหน้าตาย
“ขากลับ ขับรถคนเดียวต้องระวังนะคะคุณณี”
แก้วส่งยิ้มคิกคิ้วให้อาทิจ ดรุณีปั้นยิ้ม
“สบายอยู่แล้วค่ะ”
“น้าแก้วไปจัดยาให้คุณณีเลยดีกว่า เผื่อเป็นไข้ปวดหัวขึ้นมาจะได้กินเลย”
แก้วเดินออกไป อาทิจยิ้มให้ดรุณีกรุ้มกริ่ม หญิงสาวหลบตา รู้ตัวว่าขืนสบตาด้วยนานๆ อาจจะตัดใจจากชายหนุ่มไม่ได้ ต๊อดกระซิบ...
“เอ็ง 2 คน ขึ้นไปขอร้องนายสิวะ นายจะไปแล้วนะเว้ย”
พันผลักต๊อด
“เอ็งก็ขึ้นไปสิ”
“โธ่..ไอ้พวกเก่งแต่ปาก ไอ้ขี้ขลาด..ไอ้...ไอ้อ่อนเอ๊ยยย” อึ่งบ่น
พันหันขวับมาหา
“เอ็งจะขึ้นไป”
“ที่ข้าด่าน่ะ ด่าตัวเองด้วย”
ต๊อด พัน เขกหัวอึ่งพร้อมกัน อึ่งส่งเสียงอู้อี้เอามือขยี้หัวให้หายเจ็บ ขณะเดียวกันแก้วถือกระติกน้ำออกมาพร้อมกับยา
“ติดน้ำร้อนไปด้วยนะคะ เผื่ออยากดื่มกาแฟระหว่างทาง”
อาทิจรีบบอก
“เอาเป็นน้ำอุ่นดีกว่าครับ น้องณีจะได้เอาไว้กินยา ผมจัดการเองครับ”
อึ่งโพล่งขึ้นมา
“แล้วน้ำร้อนล่ะ”
สิ้นสุดคำพูดอึ่ง ทั้งสามเหมือนจะรู้ชะตากรรม เงยหน้ามองขึ้นไปบนบ้าน พร้อมๆกับที่มืออาทิจสาดน้ำร้อนลงมา..สายน้ำร้อนแตกกระสานซ่านเซนลงมาที่สามเกลอ ที่พากันคลางโหยหวน
“เสียงอะไร” แก้วงง
ทั้งสามคนพร้อมใจกันหอน
“โอ๊ย..เอ๋ง...เอ๋ง.โฮ่ง...โอ๊ย”
แล้วต่างก็วิ่งซมซานไป แก้วบ่น
“หมู่นี้หมา แมว มาจากไหน เยอะจริง”
อาทิจซึ่งเคยสวมวิญญาณเป็นแมวเหมียวสะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะหันไปมองตามสามลิง แล้วแอบขำ ก่อนจะเบนสายตามาที่ดรุณี เห็นหญิงสาวนั่งนิ่ง..ซึม..เหมือนคิดหนักอยู่ตลอดเวลา

ประเวทย์แปลกใจ เมื่อเวทางค์บอกถึงการตัดสินใจของตัวเอง
“ไปเรียนเมืองนอก”
“ครับ ผมอยากเรียนออกแบบผลิตภัณฑ์ ยูฯนี้มีชื่อเสียงด้านนี้ครับ”
วิไลลักษณ์ปราดเข้ามารัวคำถามใส่
“ยูไหน รัฐอะไร ประเทศอะไร ไปกับใคร จะอยู่ยังไง ที่สำคัญที่สุดลูกจบรัฐศาสตร์มานะ จะไปเรียนออกแบบให้เสียเวลาทำไม”
เวทางค์มีท่าทีเกรงใจ บอกไม่เต็มเสียง
“ผม ผมคิดว่าผมคงไม่เหมาะกับงานปกครอง”
วิไลลักษณ์รีบเสนอ
“ก็เลือกเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อก็ได้”
“ผมไม่ค่อยมีมนุษย์สัมพันธ์กับใคร ฝืนยิ้มฝืนคุยกับใครไม่ค่อยเป็น..คุณแม่ก็รู้”
วิไลลักษณ์โกรธที่ลูกขัดใจ
“ ที่เปลี่ยนใจก็เพราะจะตามนังเต่าตุ่นนั่นไปใช่มั้ย แล้ว 4 ปีที่เสียเวลาไปล่ะตาเว!”
ประเวทย์ขัด...
“ก็คิดว่ามันเป็น 4 ปี ที่ลูกค้นพบตัวเองสิคุณวิไล คุณน่าจะดีใจที่ลูกได้รู้ใจตัวเองจริงๆว่าอยากทำอะไร และเลือกทำในสิ่งที่เขารักเขาชอบ”
วิไลลักษณ์ไม่พอใจ
“แต่ตาเวเคยบอกว่าอยากเป็นผู้ว่าฯเหมือนพ่อ เป็นทูตเหมือนลุง”
“ก็คุณพูดกรอกหูลูกทุกวัน ตาเวอยากจะเป็นในสิ่งที่แม่ต้องการเพราะเขารักแม่ต่างหาก”
วิไลลักษณ์มองหน้าเวทางค์ซึ่งมีน้ำตาคลอเล็กๆ นั่นทำให้ผู้เป็นแม่ถึงกับอึ้ง วิยะดาซึ่งนั่งอ่านหนังสือธรรมะอยู่แถวนั้นถึงกับปิดหนังสือ เพราะพ่อพูดโดนใจเหลือเกิน ประเวทย์อธิบาย...
“คุณไม่ได้กำหนดชีวิตและอนาคตของลูกอย่างเดียว แต่คุณคือคนที่กำจิตใจของเขาไว้ด้วย ถ้าคุณย้อนกลับไปคิดให้ดี คุณจะเห็นว่าตาเวไม่เคยขัดใจคุณเรื่องยายณีเลย ตาเวยอมตามใจคุณก็เพราะเขารักแม่ของเขาเท่านั้น”
วิยะดาน้ำตาตกเพราะสิ่งที่พ่อพูด มันคือความจริงที่ไม่มีใครกล้าพูดมาก่อน วิไลลักษณ์มองลูกชายสุดที่รักแล้วสะท้อนในหัวอก น้ำตาซึม
“ถึงเวลาที่คุณควรจะรักลูกให้มากเหมือนอย่างที่ลูกรักคุณแล้วคุณวิไล ปล่อยให้เขาได้โต ได้เดินไปข้างหน้าบนเส้นทางที่เขาเลือกเอง แล้วคุณจะมีความสุขที่เห็นลูกของคุณมีความสุข คุณจำได้มั้ยว่าคุณได้ยินเสียงหัวเราะ ได้เห็นรอยยิ้มของตาเวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
วิไลลักษณ์ ร้องไห้โฮ..จริงสิ..ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยเห็นเวทางค์หัวเราะหรือยิ้มออกมาเลย เธอโผเข้ากอดลูกชายทันที...
“แม่ขอโทษลูก..แม่ขอโทษ...”
เวทางค์กอดแม่แน่น..ชายหนุ่มยิ้มออกมา..เป็นรอยยิ้มบนคราบน้ำตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข วิยะดาโผเข้าไปกอดพ่อ น้ำตานองหน้าแต่เต็มไปด้วยความสุขเช่นกัน

อาทิจขับรถมาตามเส้นทางที่สองข้างทางเป็นเทือกเขาสวยงาม ดรุณีหันหน้าออกมามองทิวทัศน์ที่กระจกข้างๆ หน้าตาเศร้าสร้อย ชายหนุ่มหันมอง รู้ว่าดรุณีคิดอะไร...
“เป็นอะไรจ๊ะน้องณี นั่งเงียบไม่พูดไม่จาเลย”
ดรุณีหันมาฝืนยิ้มกับอาทิจ
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แค่มึนนิดหน่อย คงเพราะยาน่ะค่ะ”
อาทิจจอดรถ ดรุณีหันมามองชายหนุ่มงงๆ
“จอดทำไมคะ”
อาทิจปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเอง แล้วโน้มตัวมาหา ดรุณีคิดว่าอาทิจจะโน้มตัวเข้ามาจูบ ทำหน้าตื่นๆ
“อย่านะคะพี่อาทิจ”
“ทำไมล่ะ”
“ณี...ณีไม่อยากทำผิดกับยายตุ่นไปมากกว่านี้”
อาทิจหัวเราะขำดรุณี
“แค่นอนเอนหลังให้สบาย คงไม่ผิดมากหรอกมั้ง”
อาทิจโน้มตัวผ่านดรุณีไปกดปรับที่นั่งของหญิงสาว เพื่อเอนให้นอนในท่าที่สบาย ดรุณีเก้อเมื่อรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด เลยเผลอปล่อยตัวตามสบาย แต่...ขากลับ อาทิจไม่ได้ถอนตัวออกมาเปล่าๆ ชายหนุ่มแอบหอมแก้มหญิงสาวฟอดใหญ่เป็นของแถม
ดรุณีไม่ทันตั้งตัว ค้อนให้อาทิจวงเบ้อเริ่ม
“พี่อาทิจนะ”
“ชื่นใจจัง เอาล่ะ..ทีนี้หลับให้สบายได้แล้วจ้ะ พี่สัญญาว่าจะไม่กวนใจแล้ว ถึงปลายทางเมื่อไหร่ พี่จะปลุกนะ.. หลับตา”
ดรุณีมองอาทิจอย่างระแวดระวัง
“หลับหรือไม่หลับ”
อาทิจแกล้งโน้มตัวมาหา เป็นการขู่จะจูบด้วยภาษากาย ดรุณีรีบหลับตาลงทันที อาทิจมองหญิงสาวทั้งขำทั้งเอ็นดูสุดๆ
อาทิจขับรถออกมาตามเทือกเขาตระหง่านเสียดฟ้า

แก้วหัวเราะอารมณ์ดี โดยมีลุงเกร็งนั่งมองอยู่ข้างๆ แรกๆก็รู้สึกดีที่ทำให้แก้วมีความสุข แต่สักพัก..เห็นแก้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆก็ชักกลัว
“ผีเข้าเหรอแม่แก้ว จะหัวเราะอะไรนักหนา”
“ก็คนมีความสุข จะให้ร้องไห้รึไง”
“ไหนว่าคุณอาทิจพาคุณณีไปหาคุณตุ่น”
“จะพาไปหรือไม่..ฉันไม่สน แค่รู้ว่าคุณอาทิจจะกลับมาที่นี่พร้อมคุณณีเป็นพอ ยังไงก็ต้องขอบใจแกมากนะตาเกร็ง ที่ทำให้สองคนนั่นรักกันได้ ยาแกนี่วิเศษจริงๆ ว่าแต่..ไปขุดเอาว่านอะไรมาหา..สีงี้..เขียวอี๋อย่างแรง”
“อยากจะแอบไปขุดมากินบ้างล่ะสิ ก็ไอ้ที่ปลูกเป็นกออยู่ข้างตุ่มน้ำหลังบ้านไง”
แก้วงง
“ว่านอะไรวะ แถวนั้นมีแต่ใบเตย”
“ก็ใบเตยนั่นแหละ ไม่ใช่ยาวิเศษอะไรหรอก”
“อะไรของแก”
“ยาอะไรมันจะทำให้คนรักกันได้ ถึงมี...มันก็แค่ทำให้เคลิ้มให้หลงชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าไม่มีใจให้กันมาก่อน ยังไง๊มันก็อยู่กันไม่ยืด สองคนนั่นเขารักกันผูกพันกันแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ใจตัวเองเท่านั้น ก็เหมือนฉันที่รักและผูกพันกับแม่แก้วมานานนั่นล่ะ”
ลุงเกร็งเอามือโอบไหล่แก้ว
“นี่แน่ะผูกพัน ! เผลอเป็นไม่ได้”
แก้วเอาศอกถองใส่ท้อง ลุงเกร็งเอามือกุมท้องทั้งจุกทั้งเสียด


เช้าตรู่วันใหม่...ดรุณีหลับอยู่บนเบาะที่เอนราบบนรถ สักครู่หญิงสาวค่อยๆลืมตาตื่นแล้วลุกนั่งอย่างงัวเงีย สักครู่..ความง่วงงัวเงียก็หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเห็น....ท้องทะเลสีครามเบื้องหน้า หญิงสาวตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ อาทิจขยับมาเปิดประตูรถ
“เชิญครับ..คุณผู้หญิง”
ดรุณีลงจากรถ เห็นรถจอดลงไปบนหาดทราย
“อะไรกันคะเนี่ย”
“ก็น้องณีอยากมาทะเลไม่ใช่เหรอ”
“แล้ว..ยายตุ่น”
“เรื่องผู้หญิงอื่นเอาไว้ที่หลัง ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้สำคัญที่สุด ไปครับ..เดินเล่นกัน”
อาทิจสวมหมวกถักปีกกว้างกันแดดกันลมให้ดรุณี ก่อนจะส่งมือให้หญิงสาว แล้วจูงมือกันเดินไปที่ทะเลสีครามเบื้องหน้า สักครู่..ชายหนุ่มก็หยุดเดิน
“เหนื่อยเหรอคะ”
“เดินแค่นี้จะเหนื่อยอะไร”
“ถ้างั้นก็..แดดแรงไป”
“ทำงานกลางแดดทุกวัน แค่นี้สบายมาก”
“หรือว่า..ลม”
“จะแดดเปรี้ยง ลมแรง ฟ้าหลัว ฝนกระหน่ำ หิมะถล่มยังไงพี่ก็ทนได้”
ดรุณีงง
“ทนได้ แล้ว..พี่อาทิจหยุดเดินทำไมคะ”
“ก็มันมีเรื่องที่พี่ทนไม่ได้อยู่เรื่องเดียว”
“คือ...”
“คือ...พี่..ทนอยู่คนเดียวต่อไปไม่ได้แล้ว อยู่กับพี่นะ..น้องณี”
อาทิจมองสบตาเธออย่างลึกซึ้ง ดรุณีทั้งตกใจทั้งดีใจ หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว
“พี่อาทิจ”
อาทิจกุมมือหญิงสาวไว้อย่างทะนุถนอม
“แต่งงานกับพี่นะ”
ดรุณีปากคอสั่น ใจสั่น
“แล้วยายตุ่น”
“คุณตุ่นรู้อยู่แล้วว่าต้องมีวันนี้ วันที่พี่ขอน้องณีแต่งงาน คนอื่นไม่มีปัญหาหรอกจะมีก็แต่คนนี้ ว่ายังไงครับคนดี แต่งงานกับพี่นะ”
ดรุณีน้ำตาเอ่อท้นขึ้นมา หญิงสาวยิ้มแก้มปริ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่พยักหน้ารับคำ ชายหนุ่มดีใจ ยืนหมุนบิดไปบิดมาอย่างไปไม่เป็น สักครู่ก็ทนเก็บความดีใจไว้ไม่ไหว วิ่งเลียบชายหาดออกมาแล้วแหกปากแหกแข้งแหกขา ชูมือไม้ตะโกนลั่น
“เย้ๆ”
อาทิจวิ่งกลับไปกระโดดกอดดรุณี แล้วอุ้มหญิงสาวขึ้นเหวี่ยงไปมา..ดีใจสุดๆ

บ่ายวันนั้น...อาทิจว่ายน้ำไล่หลังดรุณี ตัดกับเส้นขอบฟ้าไปมาเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า ดรุณีผู้ซึ่งไม่เคยมาทะเล ดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน
อาทิจออกแรงว่ายขึ้นมาเทียบดรุณี แต่ดรุณีไม่ยอมแพ้ จะว่ายหนี ชายหนุ่มไม่ยอมพลาดโอกาสรีบคว้าตัวดรุณีไว้แล้วกอดแน่น ไม่ยอมให้หนีไปไหน แล้วพากันมายืนหอบด้วยความเหนื่อยบนฝั่ง
“มาจากไหนกันจ๊ะหนูจ๋า ว่ายเอาๆอย่างกับไม่เคยเห็นทะเล” อาทิจแกล้งแซว
“ก็หนูมาจากหลังเขา ไม่เคยเห็นทะเลจริงๆนี่นา”
“เหนื่อยมั้ย”
ดรุณีหอบแต่ยังไม่ยอมแพ้
“ไม่เหนื่อย”
“ไม่เชื่อ ไหนลองยกมือให้ดูหน่อยซิ”
ดรุณียกมือทั้งสองข้างขึ้นมา งงนิดๆ อาทิจให้ยกมือทำไม แล้วเขาก็ดึงมือขวาของเธอลง
“ขอแค่มือซ้ายกับนิ้วซ้าย..แค่นั้น”
อาทิจใช้มือซ้ายของตัวเองรองมือซ้ายดรุณี แล้วสวมแหวนทองเกลี้ยงที่อยู่ในมือขวาที่นิ้วนางข้างซ้ายให้ ดรุณีที่ยืนหอบอยู่แล้ว แทบลืมหายใจ หญิงสาวตื่นเต้นจนแทบจะยืนไม่อยู่
“แหวนวงนี้ไม่ได้มีราคาแพงเหมือนแหวนเพชรของใคร แต่เป็นแหวนที่พี่เก็บหอมรอมริบทุกบาททุกสตางค์ไว้เพื่อแลกมันมาให้น้องณี”
ดรุณีปลื้มใจน้ำตาคลอ
“ถึงมันจะไม่ได้มีราคาแพง แต่มันมีคุณค่าทางใจมหาศาลสำหรับณี เพราะมันเป็นแหวนที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของพี่อาทิจ และณีจะสวมติดนิ้วไปจนวันตาย”
“ขอบคุณมากนะน้องณี ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้กัน”
อาทิจก้มลงจูบมือข้างที่สวมแหวนให้หญิงสาว แล้วขยับเข้ามาจะจูบที่ปากดรุณีต่อ เธอผละออกแล้วแกล้งยั่ว
“ว่ายน้ำแข่งกันก่อน ถ้าชนะแล้วจะให้หอม”
อาทิจยกมือ 2 ข้างขึ้น
“ยอมแพ้”
“ชนะให้หอม 3 ที แพ้ให้ทีเดียว แต่ถ้ายอมแพ้..ไม่ให้อะไรทั้งสิ้น”
ดรุณีกระโจนลงน้ำว่ายนำไปก่อน อาทิจบ่น
“กว่าจะได้หอมคงหืดขึ้น เดี๋ยว..รอก่อนน้องณี!”
ทั้งสองคน ว่ายน้ำเลนกันอย่างสนุกสนาน

ตุลยานีเดินออกมาที่หน้าคอนโดฯ เวทางค์ปราดเข้ามาดักหน้า
“พี่เว” ตุลยานีแปลกใจ
“ต้องการคนขับรถส่วนตัวมั้ยครับ”
“ไม่ค่ะ ขับเองเป็น ไม่อยากมือบวมแล้วด้วย”
“ถ้างั้นก็..เลขาส่วนตัว พี่รู้หมดแล้วนะว่าน้องตุ่นชอบกินอะไร ที่ไหน ดื่มกาแฟเวลาเท่าไหร่ วันละกี่แก้ว อึฉี่กี่ครั้งต่อวัน”
ตุลยานีแอบขำ
“จะจีบ”
“เอาแบบตรงๆไม่อ้อมนะ...ถูก”
“พี่เวไม่ใช่สเปก”
“คบดูก่อนมั้ย ไม่ลองไม่รู้นะ”
ตุลยานีแทบจะระเบิดเสียงหัวเราะกับท่าเก๊กเกาหลีของเวทางค์ ในที่สุดก็ยื่นกุญแจรถให้
“ก็ได้ แต่ถ้าพาไปมือบวมที่ไหนอีกล่ะก็...”
“สวัสดี..ทางใครทางมัน..โอเค”
เวทางค์รับกุญแจรถ แล้วผายมือเชิญให้หญิงสาวเดินนำไปก่อน

ที่รีสอร์ทชายทะเล...อาทิจซึ่งสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว เดินเช็ดผมตัวเองในห้องพัก สักครู่..ชายหนุ่มสะดุดกึก เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นดอกหญ้าแห้งโผล่แพลมออกมาจากหนังสือเกี่ยวกับการอบผลไม้ของดรุณี ซึ่งวางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียง
อาทิจเดินไปหยิบดอกไม้แห้งขึ้นมาดู ชายหนุ่มนิ่งคิดว่าเคยเห็นที่ไหน ก่อนจะยิ้มออกมา สักครู่...เสียงบิดประตูห้องน้ำดังขึ้น อาทิจรีบซ่อนดอกไม้แห้งไว้ใต้หมอน ก่อนจะพลิกตัวมาหาดรุณีซึ่งอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เดินผมเปียกออกมา
“น้องณีนุ่งกางเกงเลอย่างนี้น่ารักดีนะ”
ดรุณีแขวะเล็กๆ
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์แอบจัดการทุกอย่างให้”
“ถ้าบอกก่อนดีๆ น้องณีก็ไม่มาด้วยน่ะสิ มา..พี่เช็ดผมให้”
ดรุณีเดินมานั่งบนเตียงให้อาทิจเช็ดผมอย่างว่าง่าย
“หมดแรงใช่มั้ย อย่างนี้กลับบ้าน แล้วจะมีแรงทำร้านอย่างที่ฝันไว้รึเปล่า”
ดรุณียืนยันเสียงเข้ม
“มีสิ แหม..ณีแค่ว่ายน้ำเพลินไปหน่อยเดียว ไม่ทำให้แรงตกหรอกน่า ณีแข็งแรงจะตาย” เธอหันไปเบ่งกล้ามให้อาทิจดู “รับรองกลับไปเที่ยวนี้จะทำขนม ทำน้ำพริก น้ำผลไม้ แล้วก็จะลองอบผลไม้แห้งขายด้วย นี่ไงคะ...แบกตำรามาอ่านด้วย เห็นมั้ย”
ดรุณีเอื้อมมือไปหยิบตำราอบผลไม้แห้งขึ้นมาเปิดหน้านั้นหน้านี้ให้อาทิจดู สักครู่..หญิงสาวนึกขึ้นได้ พลิกเปิดหนังสือไปมาเหมือนหาอะไรสักอย่าง แต่พลิกแล้วพลิกอีกจนแทบจะเปิดทีละหน้าก็ไม่มี
“หาไอ้นี่อยู่รึเปล่า”
อาทิจยื่นดอกไม้แห้งให้ดรุณี หญิงสาวรับดอกไม้แห้งมาถือ ยิ้มออกมาได้
“ดอกหญ้าที่พี่ให้ใช่มั้ย”
ดรุณีอึกอัก
“ไม่ใช่สักหน่อย อันนี้ณีเก็บของณีเอง”
“พี่จำต้นไม้ใบหญ้าที่พี่เคยเห็นเคยสัมผัสได้ทุกต้น ดอกหญ้านี่ก็เหมือนกันอุตส่าห์เก็บไว้นานขนาดนี้ สงสัยจะแอบชอบพี่ตั้งแต่ตอนนั้นแน่เลย”
ดรุณีเขิน
“ที่เก็บไว้เพราะมันน่ารักดี ไม่ได้ชอบสักหน่อย”
“นั่นไง ดอกหญ้าของพี่จริงๆด้วย”
ดรุณีหน้าแดงที่ถูกอาทิจจับได้เลยพาลไล่ทุบ
“พี่อาทิจนี่”
“ถูกจับได้แล้วพาลเหรอ ชอบพี่ตอนนั้นก็ไม่เห็นต้องอายเลย พี่ว่าพี่ชอบน้องณีก่อนหน้านั้นอีก”
ดรุณีตื่นเต้นอยากรู้..หยุดทุบทันที
“ตอนไหน”
“จะให้ชี้ชัดว่าตอนไหนพี่ก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าตอนที่พี่เห็นน้องณีอยู่กับคุณเวครั้งแรกที่ร้านกาแฟในเมือง พี่ก็ไม่ชอบใจแล้ว รู้สึกมันขัดหูขัดตาขัดใจยังไงก็ไม่รู้”
ดรุณีแกล้งยั่ว
“รู้อย่างนี้แต่งงานกับพี่เวซะก็ดี”
อาทิจหน้าตาขึงขังเสียงเข้ม
“ขอโทษค่ะ..โดนหอม 3 ที หนูจะไม่พูดอย่างนี้อีกค่ะ..โดน 2 ที หนูจะเอายังไง...ว่ามา...”
“หนู..หนู..”
ดรุณีวิ่งหนี แต่อาทิจวิ่งตามไปคว้าตัวหญิงสาวที่ดิ้นสู้จนล้มลงมานอนแผ่ที่เตียงอย่างรู้ทัน ดรุณียิ้มแหะๆ
“หนูยอมแพ้”
“ยอมแพ้..โดนหอมทั้งคืน”

จากที่พร้อมจะขย้ำดรุณีด้วยความหมั่นเขี้ยว อาทิจเปลี่ยนสายตามามองหญิงสาวเยิ้มหยด กรึ่มซะยิ่งกว่ากรึ่ม..ผู้หญิงคนนี้คือเมีย คือแม่ของลูก คือเจ้าของชีวิตและจิตวิญญาณของเขา...ชายหนุ่มค่อยๆบรรจงหอมหญิงสาวจากหน้าผากไล้ลงมาที่ข้างแก้มเลื้อยลงมาที่ปากอย่างแผ่วเบ

อ่านต่อหน้า 3




ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
 
 
เย็นวันใหม่...

หน้าบ้านพักปลัดอำเภอ...น้องชายอาทิจโผล่หน้าออกมาดู แล้วดีใจ ตะโกนกลับไปทางด้านหลัง

“คุณพ่อคุณแม่ครับ พี่อาทิจมาคร้าบ”
สิ้นเสียงของน้องคนกลาง น้องคนอื่นๆก็โผล่เข้าทั้งซ้ายทั้งขวา รวมทั้งประวิทย์และพูนทรัพย์ที่จูง
ณเดชน์ที่ขณะนี้ อายุ 5 ขวบวิ่งหน้าเริ่ดออกมาจากบ้าน
ทุกคนวิ่งออกมารออาทิจ นอกจากจะดีใจลิงโลดแล้วก็ยังแปลกใจเล็กๆ ที่เห็นอาทิจไม่ได้มาคนเดียว งอาทิจโอบเอวดรุณีเบาๆ แล้วทั้งคู่ยกมือไหว้ประวิทย์และพูนทรัพย์
ประวิทย์และพูนทรัพย์รับไหว้ดรุณี ทุกคนมองอย่างแปลกใจ แม้แต่ประวิทย์ที่รู้จักดรุณีแล้วก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ที่หญิงสาวมากับอาทิจ
“ผมพาลูกสะใภ้มากราบคุณพ่อคุณแม่ครับ”
ประวิทย์ พูนทรัพย์หันมามองหน้ากัน..ในขณะที่ลูกสะใภ้ที่อาทิจพูดถึงยืนแก้มแดงเป็นพวงอยู่ตรงนั้น


ค่ำคืนนั้น...ดรุณีกับอาทิจนั่งตรงหน้าหิ้งพระที่มีพานใส่ดอกมะลิ และน้ำเปล่าตั้งอยู่หน้าพระ
พุทธรูปขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว ทั้งคู่ก้มลงกราบพระ 3 ครั้ง โดยมีพูนทรัพย์และประวิทย์นั่งประกบลูกๆ คนละด้าน
เมื่อลูกๆกราบพระเรียบร้อยแล้ว พูนทรัพย์จึงหันไปหยิบพานผ้าขาวส่งให้ทั้งคู่
“สวดมนต์ไหว้พระเป็นศิริมงคลกับตัวเองแล้วก็ต้องไหว้ผีบ้านผีเรือน ผีปู่ย่าตายายเพื่อบอกกล่าวท่านด้วยว่า ลูกสองคนได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้ว ท่านจะได้ให้พรให้ชีวิตครอบครัวของลูก อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไปนะจ๊ะ”
อาทิจและดรุณีรับพานมาและยกขึ้น บอกกล่าวและขอพรจากดวงวิญญาณทุกดวงตามที่แม่บอก ก่อนจะส่งพานคืนให้แม่
“ผ้าขาวผืนนี้ แม่จะเอาไปถวายพระให้นะจ๊ะ เอ้า..พ่อ ผูกข้อมือให้ลูกสิ”
ประวิทย์หยิบสายสิญจน์จากพานขึ้นมา ผูกข้อมือให้อาทิจกับดรุณี
“พ่อปลื้มใจที่สุดที่ลูกของพ่อได้เป็นฝั่งเป็นฝาในวันนี้ แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ก็ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และดูใจกันไม่น้อย ฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรในวันข้างหน้า ลูกต้องชั่งใจและนึกถึงวันคืนที่ร่วมสร้างกันมา แล้วลูกจะพบว่า ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ด้วยความรัก ความเข้าใจที่ลูกมีต่อกันนะลูกนะ”
อาทิจ ดรุณี ก้มกราบพ่อ ประวิทย์จับไหล่ลูกชายแน่น แล้วหันมาเอามือลูบหัวดรุณีอย่างเอ็นดู พูนทรัพย์ผูกข้อมือให้อาทิจ น้ำตาคลอ
“แม่ฝากอาทิจให้หนูณีช่วยดูแลด้วยนะลูก อาทิจทำงานหนักเพื่อทุกคนมามาก แม่ดีใจเหลือเกินที่ลูกชายของแม่ได้ผู้หญิงที่งามพร้อมทั้งกายและใจ มาเดินเคียงข้างไปตลอดชีวิต อาทิจอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่ดีที่สุด แต่แม่เชื่อเหลือเกินว่าอาทิจจะดูแลหนูณีได้อย่างดีที่สุดนะลูก”
อาทิจ ดรุณีก้มกราบแม่ พูนทรัพย์ลูบหัวลูกทั้งสองด้วยความรักและปลื้มใจสุดๆ

เช้าวันใหม่...ที่ว่าการอำเภอ...อาทิจกับดรุณีสบตาหวานใส่กัน ก่อนจะจรดปากกาเซ็นชื่อตัวเองลงในทะเบียนสมรสทั้ง 2 แผ่น
ประวิทย์เซ็นรับรองให้ในฐานะนายอำเภอ ก่อนจะยื่นทะเบียนสมรสคืนให้อาทิจและดรุณี
“เก็บไว้คนละฉบับนะลูก”
อาทิจก้มดูตำแหน่งที่พ่อเซ็น
“นี่คุณพ่อได้เป็นนายอำเภอแล้วหรือครับ”
“เพิ่งปรับเลื่อนตำแหน่งตั้งเมื่อวานนี้เอง ทะเบียนสมรสของลูกเป็นเอกสารชิ้นแรกที่พ่อเซ็นในฐานะนายอำเภอ”
“ยินดีด้วยนะครับคุณพ่อ”
ประวิทย์ยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน
“พ่อมันไม้ใกล้ฝั่งแล้ว แต่ลูกทั้งสองยังมีเวลาลงแรงลงใจสร้างงาน สร้างครอบครัวด้วยกันอีกนาน ขอเพียงแค่ลูกตั้งใจจริง แล้วความตั้งใจของลูกจะเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้”
“ครับ คุณพ่อ”
“คนเราต้องรู้จักคำว่าให้ กับทุกคนก่อน แล้วเราถึงจะได้กลับมาจำคำพ่อไว้นะลูก”
ดรุณียกมือไหว้
“ขอบคุณมากนะคะคุณพ่อที่ช่วยเตือนสติเรา”
ประวิทย์เอามือโอบกอดลูกชายและลูกสะใภ้ ยิ้มอย่างมีความสุข

ตุลยานีลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เตรียมไปสนามบิน หญิงสาวชะงักเมื่อเห็น อาทิจกับดรุณี
“ผมพาน้องณีมาพบคุณตุ่นตามสัญญา”
ดรุณีใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ ไม่รู้ว่าเพื่อนจะคิดจะรู้สึกยังไงกับเรื่องเธอกับอาทิจ ตุลยานียิ้ม..น้ำตารื้นวิ่งไปจับมือดรุณี
“นึกว่าจะไม่มีโอกาสได้ลาณีซะแล้ว ขอบคุณมากนะคะพี่อาทิจที่พายายณีมาจนได้”
ดรุณีเห็นเพื่อนไม่โกรธก็น้ำตาไหล
“ตุ่น..ณี..ณี..ขอโทษ”
“ตุ่นต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษณีที่เอาแต่ใจตัวเอง ยึดความรู้สึกของตัวเองเป็นใหญ่ จนมองข้ามความรู้สึกของณีกับพี่อาทิจไป”
“ตุ่น..จะไปไหน”
“เราจะไปเรียนต่อแล้วก็กลับไปอยู่กับแม่ที่ออสเตรเลีย”
“ไปกี่ปี แล้ว..จะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่”
“อาจจะอีก 2 ปี หรือ..ดูก่อน ถ้าอยู่โน่นแล้วแฮปปี้ก็อาจจะไม่กลับมาเลยก็ได้ ณีก็รีบมีน้องเร็วๆสิ มีน้องเมื่อไหร่ ตุ่นจะกลับมาดูหลาน โอเคมั้ย”
ดรุณียิ้มทั้งน้ำตา
“ขอบคุณมากนะตุ่น”
ตุลยานีน้ำตาคลอเหมือนกัน
“ตุ่นขอให้ณีกับพี่อาทิจมีความสุขมากๆนะ พี่อาทิจรักณีมาก แล้วตุ่นก็เชื่อว่าณีเองก็คงรักพี่อาทิจไม่น้อยไปกว่ากัน ตุ่นดีใจที่เพื่อนที่ตุ่นรักได้ลงเอยกับ...พี่ชายที่แสนดีคนนี้ นี่..ตุ่นเตรียมของขวัญไว้ให้ด้วยนะ”
ตุลยานีวิ่งกลับไปเอาถุงของขวัญที่วางอยู่ข้างกระเป๋าเสื้อผ้ามาให้ดรุณี
“นี่จ้ะ”
ดรุณีโผเข้ากอดเพื่อนรัก
“ตุ่น..ขอบคุณมาก เดินทางปลอดภัยนะ”
อาทิจยิ้มให้
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะครับคุณตุ่น”
“เช่นกันค่ะ ตุ่นฝากเพื่อนรักของตุ่นด้วยนะคะพี่อาทิจ”
“ครับ ขอให้คุณตุ่นพบแต่สิ่งดีๆในชีวิตนะครับ”
ตุลยานีพยักหน้ายิ้ม เวทางค์แต่งตัวหล่อวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายืนหอบ
“โอ๊ย..นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว”
“สายอีกแค่นาทีเดียว ตุ่นไม่ให้ไปส่งจริงๆด้วย”
“หาแคร์ ไม่ ยังไงก็ต้องขึ้นเครื่องบินลำเดียวกันอยู่แล้ว”
“หมายความว่ายังไง”
ตุลยานีงง เวทางค์ยิ้มหวาน
“ก็หมายความว่าพี่ได้จัดการซื้อตั๋วเครื่องบินลำเดียวกัน ที่นั่งติดกัน เพื่อไปถึงจุดหมายปลายทางเดียวกัน และเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับน้องตุ่นไว้แล้วน่ะสิจ๊ะ”
ตุลยานีเหมือนจะโกรธ แต่สุดท้ายก็ยิ้ม เพราะถึงยังไงก็มีผู้ชายตามจีบฉันอยู่
“ก็ดีเหมือนกัน จะใช้ให้บินกลับมาซื้อกาแฟที่นี่ซะให้เข็ด”
“กลัวซะที่ไหน..พี่ให้ร้านเขาแพ็คขึ้นเครื่องไว้แล้ว กาแฟคั่วสดจากร้านมุมโปรดเดี๋ยวไปถึงโน่นจะบดให้ดื่มที่อุณหภูมิ 94 องศาให้ดู ศึกษาวิธีชงมาเรียบร้อย กินไปอีก 2 ปีก็ไม่หมด ...รู้ใจขนาดนี้...ไม่รักก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วนะ”
เวทางค์อ้อน ตุลยานีขำกับลีลาลิเกเกาหลีของเขา อาทิจกับดรุณีหันมาสบตากันแล้วอมยิ้ม...เพราะเวทางค์อาจจะเป็นสิ่งดีๆในชีวิตของตุลยานีก็ได้

อาทิจขับรถพาดรุณีกลับมาที่สวนคุณย่า แก้ววิ่งเข้ามาหาทั้งคู่ที่ลงจากรถ หน้าตาตื่น แก้วละล่ำละลักมาบอก....
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะคุณอาทิจคุณณี ตาสิงห์ทองมันเกณฑ์ คนงานมาลาออกไปเป็นลูกจ้างโรงงานที่เมืองนอกน่ะค่ะ”
อาทิจ และดรุณีตกใจ รีบไปที่ลานกินข้าวคนงานทันที

สิงห์ทองยืนปราศรัยบนแคร่ที่ใช้นั่งกินข้าวของคนงาน ทุกคนในไร่รวมทั้งครอบครัวเขา และตะวันมาฟังอยู่ด้วย
“โอกาสมันมาถึงมือพวกเอ็งแล้ว เงินเดือนหมื่นห้าไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ ต่อให้พวกเอ็งทำงานที่นี่จนคุณย่ากลับมาเกิดใหม่ ก็ไม่มีวันได้จับเงินหมื่น”
ลุงเกร็งโวย
“จะพูดจูงจมูกใครก็พูดไปสิวะ ทำไมต้องเอาคุณย่ามาเกี่ยวด้วย”
สิงห์ทองหันมาโต้
“ก็ไม่ใช่เพราะคุณย่าเหรอที่ทำให้ทุกคนต้องมาจมปรักอยู่ที่นี่ ปลูกฝังให้คนงานสมถะพอเพียง แต่ตัวเองน่ะรวยเอาๆ”
ไพฑูรย์แย้ง
“ที่ท่านรวยก็เพราะท่านทำงานหนักแล้วก็เก็บออมมาตั้งแต่ยังสาวเว้ย ถ้าพวกเอ็งรู้จักเก็บ ไม่เอาเงินไปลงขวดแทงหวยเล่นพนัน ทำไมพวกเอ็งจะไม่รวย”
“อย่ามาเถียงให้เหม็นขี้ฟันเลยว่ะ ไอ้เงินขี้ปะติ๋วพวกนั้นมันไม่ทำให้รวยได้หรอกเว้ย มันต้องเงินเดือนหมื่นห้าที่ข้ามาเสนอนี่ ทำไม่กี่ปีก็เป็นเศรษฐีได้แล้ว เอ้า...ใครสนใจก็มาลงชื่อกับเมียข้า โควต้ามีแค่ 100 คนเท่านั้น หมดแล้วหมดเลย”
แก้วพาอาทิจกับดรุณีวิ่งเข้ามา คนงานปรึกษากันแล้วพากันเห็นดีเห็นงามจับมือออกมาเข้าแถวลงชื่อกับคำมาซึ่งตั้งโต๊ะอยู่ข้างสิงห์ทอง
“เอาไงดีวะ นายก็ยังไม่กลับ เดี๋ยวมันก็ได้ต้อนคนงานออกกันหมดหรอก” ต๊อดบ่น
สิงห์ทองประกาศต่อ
“เรายอมให้คุณย่าทำนาบนหลังควายมามากพอแล้ว อย่ายอมให้พวกลูกหลานคุณย่ามันเอาเปรียบพวกเราไปจนตายอีก!”
อาทิจเสียงเข้ม
“ฉันเอาเปรียบอะไร”
อาทิจเดินขึ้นเวทีไปยืนประจันหน้ากับสิงห์ทอง
“ที่นี่จ่ายเงินเดือนพนักงานตามกฎหมาย มีเบี้ยเลี้ยง มีค่าล่วงเวลา มีประกันสังคม มีเงินสวัสดิการกองกลางให้คนงานกู้ นายสิงห์ทองว่ามาซิว่าฉันเอาเปรียบคนงานตรงไหน”
“ก็เงินเดือนมันน้อย ใจคอคุณอยากจะเห็นคนงานเป็นเบี้ยล่างคุณไปจนแก่ตายรึไง ถ้าพวกเขามีทางเลือกที่ดีกว่า คุณจะมัดเขาไว้เป็นทาสคุณงั้นเหรอ”
“ฉันต้องการให้ทุกคนที่นี่อยู่กันอย่างพี่น้อง ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่ลูกจ้างกับนายจ้างเพราะถึงเราจะโชคร้ายประสบเคราะห์กรรมกันยังไง คำว่าพี่น้อง มันจะเป็นสายใยที่จะผูกพันพวกเราเอาไว้ อย่างน้อยเราก็จะไม่อดตายเพราะเรายังมีข้าว มีผลไม้แบ่งปันกันกิน”
พวกคนงานที่พากันแยกมาลงชื่อ หันมาฟังอาทิจแล้วเริ่มลังเล สิงห์ทองร้องบอก
“อย่าไปฟังมัน ! มันก็แค่หว่านล้อมให้พวกเราตายใจ”
“ฉันไม่ได้หว่านล้อม และฉันก็ไม่ห้ามด้วยถ้าใครจะออกไปทำงานที่อื่น ฉันแค่เป็นห่วงและอยากให้ทุกคนคิดให้ดี การเป็นชาวไร่ชาวนาอาจจะไม่รวยเร็วเหมือนกับทำงานอย่างอื่น แต่เราก็จะไม่อดตาย ใครอยากจะโต อยากจะรวย อยากจะเป็นพ่อค้าฉันไม่ขัด แต่อย่าลืมว่า..ต่อให้พวกคุณรวยล้นฟ้า มีเงินเป็นพันล้านคุณก็ต้องกินข้าว คุณต้องซื้อข้าวจากชาวนากิน!”
หัวหน้านักเลงที่เคยมีเรื่องชกกับอาทิจเป็นคนตบมือ และเชียร์คำพูดของอาทิจเป็นคนแรก
“นายพูดถูก..จริงมั้ยวะพวกเรา”
กลุ่มคนงานตะโกนเย้ๆเห็นพ้องด้วย สิงห์ทองหน้าเสีย
“อย่าไปเชื่อมัน ข้าวแค่ถังละไม่กี่บาท มันเทียบอะไรกับเงินหมื่นที่พวกเอ็งจะได้วะ”
อาทิจหันมาจ้องหน้า
“อย่าคิดว่าเงินจะซื้ออะไรได้ทุกอย่าง เพราะถ้าวันไหนที่ชาวไร่ชาวนาอย่างพวกเราไม่อยากขายข้าวให้คุณขึ้นมา คุณจะรู้ว่า ต่อให้คุณเอาเงินหมื่นยัดปากตัวเอง มันก็ไม่อิ่ม”
“ให้มันได้อย่างนี้สินาย”
อึ่งนำทุกคนตะโกนเย้ๆๆๆ เห็นด้วยกับอาทิจ
“ฉันไม่ห้ามถ้าใครจะลองไปทำงานอย่างอื่น แต่ควรจะสอบถามให้ดีก่อนว่าไอ้เงินเดือนหมื่นห้า ถ้าหักค่านายหน้าค่าหัวคิวแล้วจะเหลือเดือนล่ะเท่าไหร่ คุ้มมั้ยกับการที่ต้องทิ้งพ่อแม่ลูกเมียทิ้งบ้านไปไกลขนาดนั้น”
คนงานเห็นด้วย
“เออ..จริงวะ ค่านายหน้าค่าหัวคิวเดือนละตั้ง 5 ไหนจะค่าเช่าบ้านค่าซื้อข้าวกินอีก อยู่บ้านดีกว่าวะ”
อาทิจประกาศต่อ...
“ที่สำคัญ..ไม่มีใครตายเพราะกินอยู่อย่างพอเพียง แต่มีเศรษฐีบ้าอำนาจที่คิดแต่จะสร้างกำไรเท่านั้นล่ะที่ตายเพราะเส้นเลือดในสมองแตกไม่เว้นแต่ละวัน”
ดรุณีก้าวขึ้นเวทีพูดเสริมคำพูดอาทิจ
“ส่วนพวกแม่บ้านที่มาชุมนุมด้วยในวันนี้ เราจะอยู่บ้านเฉยๆให้เสียเวลาเปล่าไม่ได้แล้ว ต่อไปนี้เราจะต้องทำงานช่วยเหลือพ่อบ้าน ฉันจะนำผลไม้ที่เหลือจากการขายมาแปรรูปแจกจ่ายให้พวกเราช่วยกันทำ มันไม่ใช่แค่จะสร้างรายได้เสริมให้ครอบครัว แต่มันยังสร้างคุณค่าให้ตัวเราเอง”
ต๊อดตะโกนถาม...
“เอ้า..ทีนี้ใครจะออกก็ออกไป ใครอยากทำงานกับนายกับคุณณีก็ตามมา”
อาทิจและดรุณีเดินลงจากเวทีมุ่งหน้ากลับเข้าสวน ตะวันผละจากทองประศรี วิ่งไปจูงมืออาทิจกับดรุณีออกไปด้วยกัน คนงานพากันทยอยเดินตามไป แม้แต่พวกที่เข้าแถวต่อคิวอยู่กับคำมาก็ไม่เว้น
“เดี๋ยวสิเว้ย..อย่าเพิ่งไป..ไอ้โง่เอ๊ย..พวกมึงจะโง่ดักดานไปถึงไหน”
สิงห์ทองโวยวาย คำมาหันไปด่า
“แกน่ะสิโง่!ไปหลงเชื่อไอ้พวกนายทุนนั่นได้ แล้วที่ทางที่เอาไปค้ำเขาไว้จะเอาคืนยังไง ไม่มีแม้แต่หมาไปทำงานกับพวกมันอย่างนี้น่ะ..ห๊า..ไอ้สิงห์ทอง..ไอ้โง่!”
คำมาเข้าไปทุบตีสิงห์ทอง โดยมีลูกสาวทั้งสามเข้าห้ามปราม

อาทิจ ดรุณีเดินจูงตะวันกลับเข้าบ้าน โดยมีแก้วเดินบ่นตามมา
“คุณอาทิจกับคุณณีไม่อยู่แค่ 3-4วัน ก็เกิดเรื่องยุ่งยากให้ต้องมาแก้ปัญหา ดีนะคะที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ต่อไปนี้สวนคุณย่าคงไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องปวดหัวอีกแล้วล่ะค่ะ”
แก้วพูดยังไม่ทันขาดคำ วิไลลักษณ์ก็เดินเข้ามาพร้อมวิยะดา
“อามีเรื่องจะคุยกับอาทิจ เราด้วย..ดรุณี”
อาทิจกับดรุณีหันมามองหน้ากัน ก่อนจะส่งตะวันให้แก้ว

วิไลลักษณ์นั่งที่โซฟาพูดจาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ดูไม่ค่อยเป็นมิตร
“อาอยากให้อาทิจ ในฐานะผู้ปกครองของดรุณีแจ้งทางทนายความให้เปิดพินัยกรรมฉบับที่ 2 ของคุณย่าได้แล้ว เพราะดรุณีก็เรียนจบนานแล้ว และคิดว่าอาทิจก็คงอยากขยับฐานะ จากผู้ปกครองไปอยู่ในฐานะอื่นเหมือนกัน”
อาทิจซึ่งนั่งข้างดรุณี ตรงข้ามวิไลลักษณ์กับวิยะดา มองผู้เป็นอาสะใภ้อย่างไม่แน่ใจ
“คุณอาหมายความว่ายังไงครับ”
วิไลลักษณ์ยิ้มเย้ย
“อาทิจฉลาดจะตายไป อย่ามาแกล้งโง่ตอนนี้สิ”
“ที่ผมถามก็แค่อยากจะแน่ใจว่าเรื่องที่ผมคิด มันคือเรื่องเดียวกับที่คุณอาคิดรึเปล่า เพราะถ้าเป็นเรื่องเดียวกัน ผมคิดว่าคุณอามองโลกในแง่ร้ายเกินไป”
วิไลลักษณ์ใส่อารมณ์
“ก็เราต้องการจับยายณีจริงๆไม่ใช่เหรอ”
วิยะดาแย้ง
“คุณแม่คะ เดี๋ยวถ้ายายณีย้อนมาถามทางพี่เวแล้วเราจะหน้าแตกนะคะ หายใจลึกๆค่ะ พุท..โธ..พุท..โธ”
ดรุณีพูดขึ้นเรียบๆ
“ถ้าคุณป้าต้องการให้เปิดพินัยกรรม ณีกับพี่อาทิจก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แต่กรุณาอย่ามองพี่อาทิจในแง่ ไม่ดีเลยนะคะ เพราะยังไงพี่อาทิจก็เป็นหลานแท้ๆของคุณป้า ณีต่างหากที่ไม่ได้เป็นอะไรกับใครเลย”
วิยะดาประสานให้เบาลง
“เอ่อ..ถ้างั้นเอาเป็นเดือนหน้าดีมั้ยณี เดี๋ยววิจัดการโทรนัดญาติๆทุกคนให้เอง พี่อาทิจนัดทนายไว้เลยนะคะ ไปค่ะคุณแม่ วิกลับก่อนนะคะพี่อาทิจ..ณี”
วิยะดาทั้งดึงทั้งดันวิไลลักษณ์ออกไป อาทิจ ดรุณี มองตามทั้งคู่ไปแล้วได้แต่ถอนใจ

อาทิจกับดรุณีไปกราบที่รูปคุณย่าในห้องนอน...
“คุณย่าครับ ผมพาน้องณีมากราบเรียนคุณย่าครับว่าเราสองคนรักกัน แล้วก็จดทะเบียนสมรสกันแล้ว คุณย่าอวยพรให้เราทั้งคู่อยู่เย็นเป็นสุขด้วยนะครับ”
อาทิจ ดรุณีก้มลงกราบรูปคุณย่าอีกครั้ง ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวที่นั่งหน้านิ่งเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เป็นอะไรน้องณี หน้าตาดูไม่สบายใจเลย”
“ณี..ถ้าคุณย่าไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรไว้ให้ณีเหมือนอย่างที่ทุกคนคิด พี่อาทิจยังจะรักณีเหมือนเดิมมั้ย”
“ทำไมพูดอย่างนั้น คุณย่าทิ้งสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดไว้ให้น้องณีจ้ะ สิ่งที่ท่านอบรมสั่งสอนจนหล่อหลอมอยู่ในชีวิตและจิตใจของน้องณี เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดซึ่งคนคนหนึ่ง พึงจะให้กับคนคนหนึ่งได้ รู้มั้ย”
ดรุณีน้ำตาซึม
“พี่อาทิจ ขอบคุณนะคะ”
“ถึงเราสองคนจะไม่ได้อะไร พี่ก็เชื่อว่าเราจะสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยสองมือของเรา”
ดรุณีโผเข้าไปกอดอาทิจอย่างอบอุ่นใจ..โชคดีเหลือเกินที่ได้ยืนเคียงข้างผู้ชายคนนี้

ดรุณีเดินเข้ามาในห้องนอน เธอเห็นเสื้อผ้าอาทิจแขวนและพับอยู่เต็มตู้ และเมื่อหันไปมองรอบห้อง ก็เห็นข้าวของเครื่องใช้ของอาทิจวางอยู่ตามมุมต่างๆเช่นกัน
“ใครเอาของพี่อาทิจมาไว้ในห้องณีคะ”
อาทิจซึ่งกำลังรื้อข้าวของในกระเป๋าเสื้อผ้าออกมา หันมาตอบคำถามดรุณี
“จะใครซะอีกล่ะถ้าไม่ใช่น้าแก้ว”
ดรุณีตกใจ
“นี่น้าแก้วรู้เรื่องของเราแล้วหรือคะ”
แก้วเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่เข้ามาเสริมในห้อง
“จะเหลือเหรอคะ”
ดรุณีอาย
“น้าแก้ว”
“น้าแก้วเอาผ้าเช็ดตัวมาเพิ่มให้ค่ะ ส่วนของใช้ส่วนตัวพวก ยาสีฟัน สบู่ ยาสระผม คงไม่ต้องแยกใช่มั้ยคะ ใช้ร่วมกันได้เพราะเป็นคนคนเดียวกันแล้ว..ฮิ..ฮิ หลังมื้อเย็นกินอะไรดีคะ ไข่ลวกสักฟองสองฟองมั้ยคะคุณอาทิจ”
แก้วหัวเราะใส่อาทิจที่เอาแต่ยืนเขิน ก่อนจะร้องเพลงแล้วเดินออกไปอย่างมีความสุข ดรุณีเดินมาแกะของขวัญของตุลยานีที่อยู่ในถุง หญิงสาวค่อยๆดึงชุดกระโปรงยาวถักแต่งด้วยลูกไม้สีขาวสวยงามออกมา ดรุณีมองอึ้งๆ
“กระโปรงยายตุ่นน่ะค่ะ ยายตุ่นเคยสเก็ตช์ให้ณีดูว่าเขาอยากใส่กระโปรงแนวบ้านไร่สบายๆแบบนี้ ในวันที่เขาแต่งงานกับพี่อาทิจกลางสวนส้ม”
ดรุณีคลี่จดหมายที่ตุลยานีเขียนแนบมาอ่านให้อาทิจฟัง...
“ชุดนี้ตุ่นเย็บเองกับมือ คิดว่ามันคงสวยและน่ารักมากเมื่อณีใส่และยืนเคียงข้างพี่อาทิจ..ขอให้ณีกับพี่อาทิจมีความสุขมากๆนะจ๊ะ..รักณีและพี่อาทิจเสมอ..ตุ่น....โธ่..ยายตุ่น”
ดรุณีองไห้ออกมา อาทิจขยับเข้ามากอดปลอบใจดรุณี

หลายวันต่อมา...

ตุ๊กวนผลไม้ขะมักเขม้น เอาจริงเอาจัง ไพฑูรย์เข้ามาสะกิดแขนขา ทำปูไต่แขน ทำแมงมุมไต่ขาเพื่อชวนตุ๊เข้าห้อง..
“ไม่ได้ ! ไม่เอา! อย่ายุ่ง! ตุ๊รับปากคุณณีแล้วว่าจะส่งแยมตัวใหม่ไปให้ชิม ถ้าผ่าน..คุณณีจะให้ตุ๊เป็นผู้จัดการร้านขายของที่ระลึกที่สวนคุณย่า”
“แต่มันเบียดบังเวลาฉายหนังของเรานะ จาก 4 เหลือ 3 เหลือ 2 เหลือ 1 จนเดี๋ยวนี้ไม่เหลืออะไรเลย เพราะน้องตุ๊เอาเวลาไปกวนไอ้พวกนี้หมด”
“ก็มันใหม่ มันน่าสนใจ มันสนุกกว่ากวนอย่างอื่นเยอะ”
ไพฑูรย์น้อยใจ
“น้องตุ๊อะ”
ดรุณีเดินจูงตะวันเข้ามา
“เป็นยังไงบ้างพี่ตุ๊”
“ลองหลายเที่ยวแล้วค่ะ”
“ชิมดูรึยัง”
“ยังค่ะ”
“ลองชิมดูสิจ๊ะ”
ตุ๊ตักแยมชิมแบบฝ่อๆ ทั้งกลัวทั้งไม่แน่ใจ แต่พอแยมเข้าปาก ตุ๊ก็กรี๊ดลั่น
“อ๊าย”
ไพฑูรย์หน้าเสีย
“แย่ขนาดนั้นเลยเหรอน้องตุ๊”
“เปล่า”
ไพฑูรย์หน้าเด้งขึ้นมา
“ถ้างั้นก็...อร่อยมาก”
“เปล่า ..อร่อยไม่อร่อยไม่รู้ รู้แต่มัน..มัน..มันกินได้ อ๊าย..ตุ๊ดีใจภูมิใจจังค่ะคุณณี ในที่สุดตุ๊ก็ทำอะไรที่ กินได้ เป็นแล้ว...อ๊าย..กรี๊ด”

ดรุณี ไพฑูรย์ ตะวัน หัวเราะขำกับท่าทางเต้นแร้งเต้นกาดีใจสุดๆของตุ๊
 
อ่านต่อหน้า 3




ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
 


ที่ร้าน...คำมา ทองประสาน ทองประสม นั่งโขกน้ำพริกเห็ดกันอย่างเมามัน ขณะที่สิงห์ทองนั่งโอนไปเอนมา

“โอ๊ย..หนวกหู จะตำกันไปถึงไหน!”
“หนวกหูก็ไปนั่งที่อื่นเลยไป รำคาญ..มือไม่พายยังเอาฝ่าเท้ามาราน้ำอีก เดี๋ยวแม่เขวี้ยงด้วยครกซะนี่”
“เปิดคาราโอเกะให้สบายๆไม่ชอบ ชอบมานั่งโขกน้ำพริกกับแม่เอ็ง เดี๋ยวก็ได้ยานกันหมดหรอก”
“แล้วไอ้ที่พ่อให้เราสองคนเต้นเด้งหน้าเด้งหลังให้ไอ้พวกคนงานมันจับจูบลูบคลำ มันไม่ยานเร็วกว่าเหรอ”
ทองประสานว่า ทองประสมเห็นด้วย...
“ตำน้ำพริกนี่แหละดีแล้ว ไม่เปลืองเนื้อเปลืองตัว”
สิงห์ทองเหล่...
“มันจะขายได้เท่าไหร่กันว้า”
“มีแรงตำเท่าไหร่ คุณณีเธอก็รับซื้อไว้หมดล่ะ แกไม่รู้เหรอว่าน้ำพริกเห็ดฝีมือข้ากับลูกขายดีขนาดไหน”
ดรุณีถีบจักรยานมาพร้อมกับตะวันซึ่งนั่งซ้อนท้ายมาด้วย
“นายตะวัน..ธุจ้าคุณตาคุณยาย แล้วก็คุณน้าก่อนค่ะ”
ตะวันสวัสดีทุกคน
“สวัสดีครับ”
ทองประสานหันมาถาม
“วันนี้ได้ 30 กระปุกนะจ๊ะคุณณี”
“อาทิตย์หน้าขอเพิ่มเป็น 60 กระปุกเลยนะ คนมาเที่ยวที่สวนซื้อไปกินแล้วชอบมาก เพราะเขารู้ว่าตำเองทุกอย่าง ไม่ได้ใช้อะไรบดอะไรปั่นเลย”
สามแม่ลูกดีใจกรี๊ดกร๊าด ดรุณีหยิบไวน์มะเกี๋ยงที่แพ็คใส่ขวดเก๋ไก๋จากสวนคุณย่าที่ตะกร้าหน้ารถส่งให้สิงห์ทอง
“นายสิงห์ทองลองชิมนี่หน่อยมั้ย”
“อะไร”
“ไวน์มะเกี๋ยงจ้ะ รสอร่อยเหมือนไวน์ออกหวานนิดๆ มีแอลกอฮอลล์หน่อยๆ ดื่มแล้วมีประโยชน์ช่วยป้องกัน ไม่ให้หลอดเลือดหัวใจอุดตัน ป้องกันมะเร็ง ดื่มเหล้าแบบนี้ไม่มีประโยชน์แถมยังทำลายสุขภาพอีกต่างหาก”
“ไม่เอา น้ำหวานเด็กๆ เอาให้นายตะวันกินไป๊”
“ฉันหิ้วมาฝาก นายสิงห์ทองจะดื่มหรือไม่ดื่มก็ตามใจ” ดรุณีหันไปบอกตะวัน “นายตะวันจะอยู่กับคุณยายกับน้าๆก่อนมั้ย เดี๋ยวเย็นๆพี่ณีมารับ”
“ไม่เอาๆ ตะวันจะไปกับพี่ณี”
ดรุณีหันมามองสามแม่ลูกอย่างเกรงใจ แต่สามแม่ลูกพร้อมใจกันพยักหน้าตามใจตะวัน
“ถ้ายังนั้นก็ลาทุกคนก่อนจ้ะ”
ตะวันยกมือไหว้ทุกคนอีกครั้ง ก่อนจะตามดรุณีซึ่งหิ้วตะกร้าที่สองสาวจัดกระปุกน้ำพริกใส่ให้ ขึ้นรถจักรยานออกไป
สิงห์ทองทำเมินไวน์มะเกี๋ยง แต่แล้วก็หันมามองอีกที แล้วเทจิบ..จิบ 1 ก็แล้ว 2 ก็แล้วยังไม่เลิกจิบ สามแม่ลูกแอบมองพ่อแล้วอมยิ้ม

หลายวันต่อมา...อาทิจยืนเก็บข้าวโพดกับดรุณีและคนงาน ครู่หนึ่งตะวันวิ่งแหวกแนวข้าวโพดพุ่งเข้าไปช่วย
“อุ๊ย..นายตะวันไม่ต้องช่วยหรอกจ้ะ” ดรุณีร้องบอก
“ตะวันอยากช่วยพ่อทิจกับพี่ณี”
“เอาไว้ช่วยงานอย่างอื่นนะ ใบข้าวโพดมันคมแล้วมันก็ระคายผิว เดี๋ยวจะคัน”
“ออกไปก่อนนะลูก..มา..ขี่คอพ่อ..มา”
อาทิจเอาตะวันขึ้นขี่คอพาเดินออกมา ต๊อด อึ่ง พัน หันมามอง
“อิจฉานายตะวันว่ะ รู้งี้เกิดช้ากว่านี้ก็ดี เผื่อนายกับคุณณีจะรับเป็นลูกบ้าง”
ไพฑูรย์แหย่ทันที
“รอเป็นลูกน้าเกร็งกับน้าแก้วมั้ย”
ลุงเกร็งด่าทันที
“ไอ้บ้า แก่จนจะเข้าโลงอยู่แล้วจะมีลูกได้ยังไง”
แก้วหยิกลุงเกร็ง
“เอาเป็นว่าแกจะมีโอกาสมาทำให้ฉันมีลูกได้ยังไงก่อนดีกว่ามั้ย”
พันรีบบอก
“แหม..น้าแก้ว โค้งสุดท้ายแล้วก็ยังจะเล่นตัวอยู่นั่นแหละ”
ต๊อดเสริม
“งั้นรอเป็นลูกข้ากับน้องจิ๋วแจ๋วมั้ย”
จิ๋วแจ๋วค้อนขวับ
“ฝันไปเหอะพี่ต๊อด จิ๋วแจ๋วยังเหลือเวลาอีกหลายโค้ง ยังไงก็ไม่สนพี่ต๊อดหรอก”
พันหันไปบอกต๊อด
“เอ็งกับข้าน่ะยังพอลุ้นเป็นลูกนาย แต่ถ้าเป็นไอ้อึ่ง นายคงเอามันขี่คอไม่ไหว ไอ้นี่มันฟายตั้งแต่เด็ก นายได้คอหักตาย”
ทุกคนหัวเราะขำ อึ่งแทบกรี๊ดดด
“โธ่..ไอ้พวกพุงโลก้นปอด ไอ้พยาธิเส้นด้าย ไอ้ไส้เดือน ไอ้พวกตาลขโมย ไอ้..ไอ้..ไอ้พวกไม่มีจะกิน”
ยิ่งอึ่งโวย ทุกคนยิ่งขำ ตะวันพูดเลียนแบบอึ่ง
“ไอ้..ไอ้..ไอ้ฮิปโป้”
ทุกคนขำก๊ากกก แล้วเสียงหัวเราะของทุกคนก็หายไป เมื่อ...ทองประศรีเดินมากับบรรยง อาทิจเอาตะวันลงจากบ่า
“ศรีเอาเงินค่าของมาส่งจ้ะ นี่ศรีว่าจะขอเอาของที่ร้านคุณณีไปลงเพิ่มที่ร้าน แล้วรับนายตะวันไปอยู่ด้วยกันเลย”
ดรุณีใจหายวาบ
“ทำไมล่ะ นายตะวันอยู่นี่ก็สบายดีแล้วนะ”
“ศรีคิดถึงลูกน่ะค่ะคุณณี กว่าพี่ยงจะกลับบ้านก็ดึกดื่น ศรีอยากจะเอาลูกไปเลี้ยงเป็นเพื่อนกัน”
บรรยงอธิบาย
“เที่ยวนี้ผมได้ย้ายไปอยู่ในเมือง ก็เลยไปเช่าตึกในตลาดให้น้องศรีขายของ โรงเรียนมันก็อยู่ใกล้ๆบ้านน่ะครับ อาหารการกินก็พร้อม คิดว่านายตะวันคงไม่ลำบาก”
“แต่...”
“ศรีรู้ดีค่ะว่าคุณณีรักและเอ็นดูนายตะวันมาก แต่ศรีก็อยากขอโอกาสทำหน้าที่แม่ที่ดีบ้าง”
ดรุณีกอดตะวันแน่น ไม่อยากให้ไป
“นายตะวัน”
อาทิจมองอย่างเข้าใจ
“นายตะวันเป็นลูกทองประศรีนะน้องณี ให้นายตะวันไปเถอะ”
ดรุณีน้ำตาคลอ
“แล้วนายตะวันจะคิดถึงพี่ณีมั้ย”
“คิดถึงครับ ตะวันจะคิดถึงพ่อทิจกับพี่ณี ตะวันจะไม่ลืมพ่อทิจกับพี่ณี”
ดรุณีกอดตะวัน..น้ำตาไหล อาทิจขยับเข้ามาหาดรุณี เอามือแตะแขนเบาๆแล้วพยักหน้าให้ดรุณีปล่อยตะวันไป
“มาหาแม่มา...ลูก” ทองประศรีเรียก
“แม่!”
ตะวันวิ่งเข้าไปสู่อ้อมกอดของทองประศรี ผู้เป็นแม่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ก่อนจะเช็ดน้ำตาแล้วลาทุกคน
“ศรีขอบคุณทุกคน โดยเฉพาะคุณอาทิจ คุณณี น้าแก้วแล้วก็จิ๋วแจ๋วที่เลี้ยงดูนายตะวันเป็นอย่างดี ชาตินี้..ศรีจะไม่ลืมพระคุณเลย ศรีลาทุกคนนะคะ”
ทองประศรี บรรยง ตะวันยกมือไหว้ทุกคน ก่อนที่พ่อแม่จะจูงลูกเดินออกไป แต่ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว
ตะวันก็วิ่งกลับมาอ้าแขนแล้วกระโดดกอดอาทิจ
“พ่อทิจ”
อาทิจกอดหอมตะวันเต็มรัก..ถึงไม่ใช่ลูกแต่ชายหนุ่มก็เลี้ยงตะวันเหมือนลูกมาตั้งแต่แบเบาะ
“เป็นเด็กดีนะลูก คิดถึงพ่อทิจก็มาหาพ่อทิจนะครับ ไป..แม่เขารออยู่”
อาทิจปล่อยตะวันลง เด็กน้อยวิ่งไปหาทองประศรี แก้วมองน้ำตาคลอ
“ยังไงเลือดมันก็ข้นกว่าน้ำ”
ตะวันหันมาโบกมือลาทุกคน ในขณะที่ทุกคนโบกมือให้เด็กน้อยน้ำตาซึม

หลายวันต่อมา...ทนายอ่านพินัยกรรมต่อหน้าลูกหลาน ที่พากันมาฟังอย่างคับคั่ง ในสวนคุณย่า...

“เมื่อทุกท่านมากันพร้อมแล้ว ผมก็จะขออนุญาตอ่านพินัยกรรมฉบับสุดท้ายที่คุณย่าท่านได้ทำไว้เลยนะครับ....ข้าพเจ้านางแดง จิตสะอาด ได้เขียนพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นที่บ้านของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการขณะที่เขียนพินัยกรรมฉบับนี้...ข้าพเจ้าขอมอบทรัพย์สินในส่วนที่เป็นตึกแถวในอำเภอเมือง ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 20 หลังให้กับลูกๆของข้าพเจ้าทั้ง 20 คน ตามรายละเอียดที่แนบมาด้านหลัง และขอมอบเงินสดในธนาคารให้แก่หลานทุกคนเพื่อเป็นทุนการศึกษา คนละ 2 แสนบาท”

ประเวทย์ วิไลลักษณ์ ระวิง ประวีน วิยะดาและลูกหลานทุกคนต่างพากันยิ้มชื่นมื่น ทนายความอ่านต่อ...
“ในส่วนของคนงานที่มีอายุงานเกินกว่า 5 ปี ขอให้นายอาทิจ จัดการแบ่งเงินในธนาคารให้ทุกคน คนละ 2 หมื่นบาทเพื่อใช้เป็นทุนในการทำอาชีพเสริม และขอให้แบ่งเงินจากผลกำไรที่ได้จากการขายพืชผักในสวน ตั้งเป็นมูลนิธิฯเพื่อการศึกษาให้กับลูกหลานคนงาน ปีละ 20 % ของผลกำไรทั้งหมด
ลุงเกร็ง แก้ว ไพฑูรย์ ต๊อด อึ่ง พัน หันมาตบมือตีตีนดีใจน้ำตาไหลพราก ที่คุณย่ายังนึกถึงตนเอง ในขณะที่วิไลลักษณ์ ประวิง ประวีนและญาติคนอื่นๆ ไม่ค่อยพอใจนักที่คนงานได้ส่วนแบ่งด้วย
“ทั้งนี้..นายอาทิจและน.ส.ดรุณี จะไม่มีส่วนใดใดในทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่กล่าวมาแล้วข้างต้น” ญาติทุกคน รวมทั้งคนงาน ต่างพากันหันไปมองอาทิจกับดรุณีเป็นตาเดียวว่าเป็นไปได้ยังไง
ดรุณีหน้าเสียเล็กน้อย เพราะทุกคนต่างคิดว่าเธอคือคนที่คุณย่าจะมอบมรดกให้ทั้งหมด อาทิจเอื้อมมือไปจับมือดรุณีแล้วยิ้มให้กำลังใจว่าไม่เป็นไร วิไลลักษณ์ยิ้มมีความสุข

“รับทราบตามนั้นนะจ๊ะอาทิจ ยายณี...เรียบร้อยแล้วก็กลับกันเถอะค่ะคุณพี่”
“ยังครับ..ยังไม่จบ มีข้อความสำคัญในช่วงท้ายพินัยกรรมอีกครับ ผมขออนุญาตอ่านต่อนะครับ...แต่นายอาทิจและน.ส.ดรุณีจะได้รับมรดกเป็นที่ดินทั้งหมดที่ข้าพเจ้าถือครองคนละครึ่ง ถ้าแบ่งหรือตกลงกันไม่ได้ก็ให้ขายเอาเงินมาแบ่งกัน แต่ก่อนที่หลานทั้งสองจะขายทรัพย์สินใดใด ขอให้นึกเสมอว่าย่าสะสมมาด้วยความเหนื่อยยากก็เพื่อให้หลานได้อยู่อาศัย และใช้เป็นที่ทำกินไปตลอดชีวิต”
วิไลลักษณ์ ประวิง ประวีนและญาติคนอื่นๆอ้าปากค้างที่อาทิจและดรุณีได้ที่ดินมูลค่ามหาศาลไปครอง
ลุงเกร็ง แก้ว ไพฑูรย์ ต๊อด อึ่ง พัน จิ๋วแจ๋ว พากันเฮเจี้ยวเข้าไปแสดงความยินดีกับอาทิจและดรุณี
ดรุณียิ้มน้ำตาคลอโดยมีอาทิจนั่งกุมมือตลอดเวลา หญิงสาวคิดถึงคุณย่าจับใจที่ท่านเมตตาเด็กกำพร้าคนนี้เหลือเกิน

เมื่อกลับไปที่บ้าน วิไลลักษณ์นั่งน้ำตาคลอ หมองหม่นอยู่ในมุมพักผ่อนในสวน ประเวทย์กับวิยะดามายืนมองวิไลลักษณ์ ก่อนจะเดินเข้าไปปลอบ
“อย่าเสียใจไปเลยคุณ ถึงเราจะไม่ได้ที่ดินแต่คุณแม่ก็แบ่งเงินสดกับตึกในเมืองให้เรา มูลค่ามันก็มหาศาลอยู่นะ”
วิไลลักษณ์ไม่พอใจ
“แต่มันเทียบไม่ได้กับมูลค่าที่ดินทั้งหมดของสวนคุณย่า ที่อาทิจกับดรุณีได้ไปค่ะ”
“คุณได้ที่ดินไปแล้วคุณจะลงมือลงแรงพลิกที่ดินเปล่า ให้มีผลผลิตขึ้นมางั้นเหรอ”
วิยะดาช่วยพูด
“คุณย่าคงเห็นแล้วล่ะค่ะว่าใครทำอะไรได้ ใครเหมาะกับอะไร อย่างตึกแถวที่เราได้ เราก็ไปรื้อปรับปรุงใหม่แล้วเปิดเป็นร้านขายสังฆภัณฑ์เก๋ๆ หรือทำเป็นร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่เน้นสีขาวสีครีมก็ได้นี่คะคุณแม่ เพื่อนไฮโซคุณแม่เยอะจะตาย เดี๋ยวก็มาอุดหนุนกันค่ะ”
วิไลลักษณ์น้ำตายังนองหน้า
“ไหนชวนให้แม่ปลงไง”
“ก็ค่อยๆปลงก็ได้นี่คะ พระท่านให้เดินสายกลางค่ะ เราจะปฏิบัติธรรมให้ได้บุญก็ต้องเริ่มที่ใจเราก่อน ถ้าใจเราสบาย เราก็จะปฏิบัติธรรมได้สบาย เรานั่งปฏิบัติกลางป่าไม่ได้ เราก็ปฏิบัติในห้องแอร์ เราทำใจนุ่งผ้าถุงใส่เสื้อแขนกระบอกเอาผ้าคาดบ่าไม่ได้ เราก็ช้อปแบรนด์เนมขาวครีมไปก่อน ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องหักดิบ แล้วเราก็จะละ..เลิก..และปล่อยวางได้เองล่ะค่ะ”
“ไม่ต้องนุ่งผ้าถุงใส่เสื้อมวยผมเป็นคุณยายแน่นะ”
“คุณแม่จะใส่ปราด้า ดิออร์ หรือโอ้ต กูตูร์ แบรนด์ไหนก็ได้แต่ต้องขาวครีมแค่นั้น”
วิไลลักษณ์ปราดน้ำตาแห้งเป็นปลิดทิ้ง
“ถ้างั้นมีอยู่ชุดหนึ่งเพิ่งออกคอลเลคชั่นใหม่รับช่วงสปริงพอดี แม่เล็งไว้แล้ว เก้เก๋..ไป..ไปช้อปกันลูก”
ว่าแล้วสองแม่ลูกก็ควงแขนพากันเดินดี๊ด๊าออกไป ประเวทย์มองตามแล้วยิ้มขำ

หลายวันต่อมา...
อ่องพาอารุณีลูกสาวอายุ 4 ขวบกว่าๆมาสวัสดีอาทิจกับดรุณี
“สวัสดีคุณอาทิจกับคุณณีซะลูก ถ้าไม่ได้คุณสองคนนี้ เราจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
ดรุณียิ้มให้
“อายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ”
“4 ขวบ ครึ่งค่ะ”
“โตเร็วจังเลย หนูชื่ออะไรจ๊ะ”
“อารุณีค่ะ”
อาทิจบอกยิ้มๆ
“นายอ่องเขาเอาชื่อเราสองคน มารวมกันเป็นชื่อลูกสาวเขาน่ะน้องณี”
“น่ารักจัง..อารุณีน้อย”
ดรุณีหอมแก้มเด็กดังฟอด อ่องถาม...
“เดี๋ยวคุณณีกับนายจะเข้าไปที่หมู่บ้านด้วยใช่มั้ยครับ”
อาทิจพยักหน้ารับ
“ไปสิ..งานปีใหม่ของพวกเราทั้งทีไม่ไปได้ยังไงล่ะ”
“ถ้างั้นผมขอตัวไปช่วยผู้ใหญ่เขาดูแลงานก่อนนะครับ ไป..อารุณี..ธุจ้าก่อน”
อารุณียกมือไหว้
“ธุจ้า”
อ่องจูงมือลูกสาวเดินออกไป
“เห็นอารุณีน้อย แล้วนึกถึงวันที่เราช่วยกันทำคลอดแกนะคะ”
อาทิจเปรย
“เคยแต่ทำคลอดให้เมียคนอื่น ตอนนี้อยากทำคลอดให้เมียตัวเองบ้าง”
ดรุณีหยิกอาทิจ
“พี่อาทิจนี่ เดี๋ยวกัดจมูกแหว่ง”
“อยากให้กัดบ่อยๆ จะได้มีเจ้าตัวน้อยสักที”
“พูดแล้วก็อดคิดถึงนายตะวันไม่ได้ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“คิดถึงก็ไม่ยากนี่จ้ะ แค่ร่วมด้วยช่วยกัน ผลิตตะวัน 1-2-3-4 หรือจะ 5-6-7-8-9-10 ไปจนโหลนึงเลยก็ได้”
ดรุณีตาโต
“ไม่เอา เยอะไป”
หญิงสาวจะเดินหนี อาทิจคว้ามือเธอไว้
“จะไปไหนคุณย่าคนดี ไม่อยากเห็นเหรอว่าตะวัน 1-2-3-4 -5 หน้าตาเป็นยังไง”
“ไม่เอา”
“แต่พี่อยากเห็น”
อาทิจขยับเข้ามากอด ดรุณีบิดตัวหนี
“ไม่เอ๊า”
“อยากเห็นไวไว”
อาทิจขยับจะจูบ ดรุณีสะบัดตัวหนีออกมาแล้วลอยหน้าลอยตาเท้าเอวใส่อาทิจ...ตัวตนในวัยเยาว์ย้อนกลับมา
“อยากเห็นก็วิ่งตามให้ทันก่อนดีมั้ย..นายอาทิจ”
ดรุณีวิ่งนำออกไป
“จะหนีไปไหนหา..คุณย่าคนดี อย่าให้จับได้นะ ถ้าจับได้ล่ะก็...ฮึ่ม”
อาทิจไม่พูดอะไรต่อแต่จากเสียงคำรามลงท้ายบ่งว่า หมั่นเขี้ยวเต็มพิกัด แล้วชายหนุ่มก็วิ่งตามหญิงสาวไป
หนุ่มสาวเกษตรกรรุ่นใหม่วิ่งไล่จับกันกลางไร่สตรอเบอรี่ เสียงหัวเราะของทั้งคู่ กังวานสดใสสะท้อนไปมาอยู่ท่ามกลางหุบเขาสวยงาม

ที่เนินฝังเถ้าคุณย่า...อาทิจใส่เสื้อหนาวที่ดรุณีถักให้ ขณะที่ดรุณี ใส่ชุดที่ตุลยานีให้เป็นของขวัญทั้งคู่ช่วยกันวางดอกเก็ตถะวาที่ถือมาคนละดอกลงบนเนิน...
“ขอบคุณคุณย่ามากนะครับ ที่รักและไว้ใจให้เราสองคน ช่วยกันดูแลสวนที่คุณย่าสร้างมากับมือ”
“เราจะช่วยกันดูแลที่นี่อย่างดีที่สุดให้สมกับที่คุณย่าไว้ใจนะคะ”
ทั้งคู่ก้มลงกราบที่หลุมฝังเถ้าคุณย่าอย่างงดงาม อาทิจลุกขึ้นยืนแล้วส่งมือไปรับดรุณีให้ลุกตามมา ทั้งคู่เดินจับมือคุยกันหนุงหนิง
“น้องณีรู้มั้ยว่าทำไมคุณย่าถึงไม่ระบุว่าจะแบ่งที่ดินให้ใครได้แปลงไหนส่วนไหน”
“ไม่รู้ค่ะ พี่อาทิจรู้เหรอคะ”
“ตอนแรกพี่ก็ไม่รู้ น้าแก้วเพิ่งมาบอกว่าเป็นเพราะท่านต้องการให้ ที่ดินเราสองคนเป็นสินสมรส ท่านต้องการให้เราแต่งงานกัน และช่วยกันดูแลที่นี่”
“แล้วเราสองคนก็ได้ทำตามที่คุณย่าต้องการ”
“อย่างเต็มใจด้วย น้องณีเต็มใจรึเปล่า”
ดรุณียิ้มเอียงอาย หญิงสาวไม่ตอบได้แต่พยักหน้า อาทิจโอบกอดหญิงสาวเอาไว้แนบอกอย่างสุดรักสุดหวง
“คุณย่าท่านย้ำนักย้ำหนาว่า อย่าคิดว่าแผ่นดินนี้เป็นของเรา เราทุกคนมีที่ดินไว้ก็เพื่ออาศัยทำกิน เพื่อเลี้ยงตัวเองเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น”
“แต่เวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยามในชีวิตของคนเรา มันก็มากพอที่จะทำอะไรเพื่อเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนร่วมโลก นอกจากเพื่อนฝูงญาติพี่น้องแล้วก็ตัวเราเองด้วย จริงมั้ย”
“ค่ะ เราต้องเริ่มเป็นตัวอย่างให้ลูกหลาน คนใกล้ตัว แล้วก็คนงานในสวนก่อน ทุกคนจะได้ช่วยกันขยายความคิดนี้ออกไป”
“คนใกล้ตัวมีเยอะ คนงานในสวนก็แยะ แต่ลูกหลานเรา ยังไม่มี มาช่วยกันคิดก่อนมั้ยว่าทำยังไงเราถึงจะมีลูกหลานเยอะๆ มาช่วยกันทำให้โลกใบนี้สวยงาม” อาทิจหันไปทางเนินคุณย่า “คุณย่าช่วยหน่อยสิครับ” อาทิจยืนนิ่งแป๊บนึง แล้วหันมาอ้อนดรุณี “คุณย่าไม่ช่วย ท่านบอกให้เราช่วยกันเอง”
ดรุณีทั้งขำทั้งอาย..ยิ้มแก้มแดงน่ารัก อาทิจมองดรุณีหวานซึ้งแล้วอ้อน....
“รบกวนให้ความร่วมมือหน่อยได้มั้ยครับ..คุณย่าน้อยคนดี”

เป็นอีกครั้งที่ดรุณีไม่ตอบ แต่พยักหน้ายิ้มรับก่อนจะก้มหน้าหนีสายตาอาทิจอย่างเอียงอาย อาทิจเชยคางดรุณีแล้วก้มลงจูบที่พวงแก้มสีแดงน่ารักนั้นอย่างทะนุถนอม..และรักสุดหัวใจสองหนุ่มสาวโอบกอดกันและกัน ขณะมองดูพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าด้วยกันอย่างเต็มไปด้วยความหวัง 

                                    จบบริบูรณ์



กำลังโหลดความคิดเห็น