xs
xsm
sm
md
lg

นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 15

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 15

ภายในห้องพักฟื้นคนไข้บนสถานีอนามัย กำนันศรทอดสายตามองออกไปไกลนอกหน้าต่าง เห็นทิวทัศน์ของบ้านไม้งามที่ดูสงบสุขร่มเย็น ชาวบ้านใช้ชีวิตเรียบง่าย ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน

กำนันชรามองภาพความสงบสุขเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด…ว่าที่ผ่านตนทำถูกหรือทำผิด และตนได้ทำอะไรให้กับแผ่นดินบ้าง
กำนันศรคิดอย่างใคร่ครวญพลางก้มลงมองหนังสือการปกครองตามหลักประชาธิปไตยของครูเพิ่ม แล้วพลิกไปจนถึงหน้าสุดท้าย ที่มีพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมพระปรมาภิไธยย่อของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน พร้อมกับคำขวัญ “ประเทศไทยร่มเย็นเพราะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”
กำลังศรเพ่งมองภาพถ่าย ที่ประชาชนก้มกราบไหว้พระเจ้าอยู่หัวอย่างสุดรักสุดบูชา ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม กำนันชรายิ่งสะท้อนใจ
ระหว่างนั้นวาสนาเอายามาให้พอดี พอเห็นพ่อยังถือหนังสืออยู่ก็แปลกใจนิดหนึ่ง
“เห็นยอดบอกว่า พ่อให้คนไปเอาหนังสือเล่มนี้มาจากที่บ้าน ตอนแรกวาสนานึกว่าพูดเล่นซะอีก” วานาวางถาดยาลง “พ่อยังอ่านไม่จบอีกเหรอ”
“จบแล้ว อ่านหลายรอบ แต่ไม่เคยเข้าใจ” กำนันศรหน้าเศร้า
วาสนาเห็นท่าทางพ่อแปลกไป ดูเศร้าๆ ก็หวั่นใจ “พ่อ”
“พ่อเคยคิดว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษ พ่อทำให้บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นแต่ก่อนบ้านไม้งามยังไม่มีสถานีตำรวจเลยด้วยซ้ำพ่อคนเดียว พ่อกำราบพวกโจรพวกนักเลงหัวไม้จนสิ้นซากบ้านไม้งามถึงได้มีวันนี้ แต่ทำไมทุกคนถึงเกลียดพ่อ ทำไมทุกคนถึงรักเคารพไอ้ผู้ใหญ่ทอง มันวิเศษกว่าพ่อตรงไหนแถมตอนนี้พวกชาวบ้านยังศรัทธานางสิงห์ชุดดำ เห็นนางโจรนั่นมันดีกว่าพ่อซะอีก” กำนันผู้ทรงอิทธิพลระบดระบาย
“มันไม่สำคัญหรอกพ่อ วาสนาว่าพ่อพักก่อนดีกว่านะ” หญิงสาวปลุกปลอบใจบิดา
กำนันศรเอ่ยขึ้น “มันสำคัญ ก่อนที่พ่อจะตาย…พ่อต้องรู้คำตอบเรื่องนี้ให้ได้” มองจ้องหน้าวาสนา “บอกไอ้ยอดไอ้เบิ้ม ให้มันตามครูเพิ่มมาหาพ่อที่นี่”

เวลาเดียวกันตรงทางเดินข้างกำแพงวัดบ้านไม้งาม ครูเพิ่มเดินตามหาเพ็ญพรจนเจอ ว่ากำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่หน้าที่ฝังโกศของผู้ใหญ่ทอง
ครูเพิ่มเดินมาย่อตัวลงข้างๆ
“คุณบัว”
เพ็ญพรร้องไห้สะอึกสะอื้น “ชั้นไม่เหลือใคร ชั้นไม่เหลือใครอีกแล้วครู ไม่มีใครต้องการชั้นอีกแล้ว
“คุณบัว คุณบัวต้องเข้มแข็งนะ เพื่อเห็นแก่วิญญาณของผู้ใหญ่ทองถ้าคุณบัวอ่อนแอ มัวแต่คิดถึงเรื่องของตัวเอง ผู้ใหญ่ทองจะผิดหวังแค่ไหน”
เพ็ญพรหันมามองหน้าครูเพิ่มอย่างฉุกคิด
“ครูเข้าใจว่าคุณบัวผูกพันกับแก้ว แต่อดีตมันผ่านไปแล้ว ทุกอย่างมันก็ต้องเปลี่ยนไป คุณบัวปล่อยวางซะเถอะ ให้แก้วเป็นอิสระแล้วจิตใจของคุณบัวก็จะเป็นอิสระด้วยเช่นกัน เชื่อครูนะ”
เพ็ญพรสะอื้นไห้ก่อนจะกอดครูเพิ่มเอาไว้ ครูเพิ่มลูบหัวปลอบด้วยความสงสาร ระหว่างนั้นเองตาคงก็มาเห็นสองคนเข้า
“ครู...อ้าวผู้หมวด นี่มานั่งทำอะไรกันอยู่ครับ”
เพ็ญพรรีบเช็ดน้ำตาปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ขณะที่ครูเพิ่มรีบอธิบาย
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกตาคง พอดีผู้หมวดเค้ามีปัญหาเรื่องงานน่ะ ชั้นก็เลยปลอบใจ แล้วตาคงมีเรื่องอะไรรึเปล่า” ครูเพิ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ไอ้ยอดกับไอ้เบิ้มน่ะสิครู ตะกี๊มันมาถามหาครู เห็นบอกว่ากำนันศรอยากคุยด้วย”

ตลอดเย็นนั้น เก่งนั่งเฝ้าธัมโมซึ่งนอนหลับอยู่บนโซฟาที่บ้านพักอย่างใช้ความคิด จังหวะหนึ่งนั้นเก่งเหลือบมองไปเห็นเครื่องแบบตำรวจธัมโมที่แขวนอยู่ ก่อนจะมองมาที่ธัมโมอย่างอ่อนใจ โทษตัวเองว่าเป็นเพราะเธอแท้ๆ ที่ทำลายเขาจนตกอยู่ในสภาพนี้ ระหว่างนั้นเองธัมโมก็ตกใจตื่นขึ้นมา
“นายเก่ง นี่ชั้นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ไม่รู้สิครับ พอมาถึง ผมก็เห็นผู้กองนอนหลับอยู่ แถมยังมีไอ้พวกนี้วางอยู่ข้างๆ”
เก่งชี้ไปที่ขวดเหล้า และแก้วที่วางอยู่ที่โต๊ะ ท่าทางเหมือนเพิ่งดื่มไปก่อนหน้านี้
ธัมโมงง “ชั้นดื่มเหล้าด้วยเหรอเนี่ย แล้วผู้หมวดเพ็ญพรล่ะ”
เก่งยักไหล่ทำไก๋ไม่รู้เรื่อง ธัมโมได้แต่ประหลาดใจ “นี่เราดื่มไปตอนไหนวะ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับผู้กอง เย็นมากแล้ว” เก่งทำท่าจะไป
ธัมโมรีบลุกขึ้นมาดัก “เดี๋ยวสิ นายจะรีบไปไหน ไม่คุยกันก่อนเหรอ”
“เอาไว้วันหลังเถอะครับ”
“ท่าทางนายดูเศร้าๆ นะ มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
เก่งอึ้งเสียงละห้อย “ผู้กอง...”
“ว่ามาสิ”
เก่งโพล่งออกมา “ผม…ผมว่าเราคงไปกันไม่รอดหรอกครับ”
ธัมโมชะงัก “อะไรนะ”
เก่งพูดต่อ “เรื่องระหว่างเรา ผมว่าหยุดแค่นี้จะปลอดภัยกว่า ผมไม่อยากเป็นตัวตลกให้ชาวบ้านเค้าหัวเราะ และที่สำคัญผมคิดว่า...ผมไม่ได้รัก...ผู้กองหรอกครับ มันก็แค่..เราใกล้ชิดกันมากเกินไป
“นี่พูดอะไรของนาย ไปเอาความคิดพวกนี้มาจากไหน”
“ผมพูดความจริงครับผู้กอง ผมชอบผู้หญิง ผมไม่ชอบผู้ชายผมไม่ใช่กะเทยครับ”
ธัมโมอึ้งไปแต่พยายามทำใจดีสู้สถานการณ์
“ก็ได้ ชั้นเข้าใจ เอาเป็นว่า ถ้างั้นเราก็เป็นพี่น้องกันอย่างเดิมก็ได้”
“ผมว่าอย่าเลยครับ ผมอยากให้ชาวบ้านเค้าลืมเรื่องนี้ ทางที่ดีเราอยู่ห่างๆ กันดีกว่า”
ธัมโมอึ้งหนักเข้าไปอีก…หน้าเหวอ เก่งมองหน้าธัมโมอยู่อีกอึดใจก่อนจะเดินหนีไป

แต่ครั้นพอเก่งออกมาพ้นชายคาบ้านพักธัมโม ก็แอบหลบมุมร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
“ขอโทษนะครับผู้กอง ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้ แต่ถึงไงเราก็ไม่มีทางได้ใช้ชีวิตด้วยกัน ผมไม่อยากให้ผู้กองเสียใจ ผมไม่อยากให้คุณบัวเสียใจ ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ”
เก่งสะอื้นยกแขนป้ายคราบน้ำตาเหมือนเด็กๆ

ส่วนธัมโมหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าที่ยังช็อกอยู่ไม่หาย รำพึงรำพันกับตัวเอง
“อกหัก รักคุด ขนาดตุ๊ดยังเมิน ชีวิตเจริญแน่ ไอ้ธัมโม”
ธัมโมแขวะตัวเองฮาๆ ไปตามเรื่อง แต่ลึกลงไปในแววตา ผู้กองตงฉินเสียใจจนพูดไม่ออก

ที่สถานีอนามัยค่ำวันนั้น ยอดกำลังนั่งดูสายสิญจน์ที่ผูกข้อมืออย่างใช้ความคิด ขณะที่เบิ้มเดินไปมาอย่างกระวนกระวาย
“ไอ้ครูเพิ่มทำไมยังไม่มาอีกวะ มันไม่รู้หรือไงว่าพ่อกำนันรออยู่” เบิ้มบ่น
“เอ็งอย่าห่วงเรื่องนั้นเลยวะไอ้เบิ้ม มาช่วยข้าคิดดีกว่าว่าจะรับมือกับคนร้ายยังไง”
เบิ้มฟังแล้วเสียวสันหลังวาบ ขยับมานั่งใกล้ๆ ยอด “จะรับยังไงได้ล่ะพี่ยอด ชั้นว่ามันต้องเป็นผีแน่ๆ เลย”
“มันต้องมีที่มาที่ไปสิวะ ถึงได้เล่นงานแต่พ่อกำนัน”
“พี่ว่ามีคนส่งมันมาเหรอ”
ยอดคิดพยักหน้า “ต้องเป็นฝีมือไอ้เสี่ยเล้งแน่”

คิดได้ดังนั้น ไม่นานต่อมา ยอดก็แอบปีนกำแพงรั้วเข้ามาในบริเวณบ้านเสี่ยเล้ง ผ่านเวรยามที่เดินตรวจตรามาจนถึงข้างเรือน และเมื่อมองผ่านกระจกเข้าไปด้านใน ก็เห็นเสี่ยเล้งเดินมาคุยกับใครคนหนึ่ง ที่นั่งจิบเหล้าเอกเขนกอยู่ที่โซฟา ยอดไม่รู้ว่ามันคือ เชิดผาดำ นั่นเอง
“ไอ้กำนันศรมันยังไม่ตาย เมื่อไหร่แกจะลงมืออีกรอบซะทีนายเชิด”
“ไม่ต้องห่วงครับเสี่ย คืนนี้มันเสร็จผมแน่ เสี่ยรอฟังข่าวดีละกันครับ”
“อย่าทำผ่านๆ นะนายเชิด ชั้นต้องการให้มันตายอย่างทรมานให้สาสมกับที่มันฆ่าลูกชายของชั้น” เสี่ยเล้งกำชับ
ยอดชะเง้อมองเชิดผาดำซึ่งเป็นคนแปลกหน้าอย่างสนใจ โดยไม่ทันระวังเท้าดันพลาดไปเหยียบเศษกิ่งไม้จนหักดังเป๊าะโดยไม่รู้ตัว
เชิดผาดำเงี่ยหูเพราะได้ยินเสียง แต่แกล้งทำเป็นไม่สน กระดกเหล้าที่เหลือในแก้วจนหมดแล้วลุกขึ้นเดินหนีไปบนบ้าน
“อ้าว แล้วนั่นแกจะไปไหน นายเชิด นายเชิด” เสี่ยเล้งเห็นเชิดเดินขึ้นบ้านไปเฉยๆ ก็งง “อะไรของมันวะไอ้นี่ พิลึกคนจริงๆ”
ยอดมองตามเชิดผาดำ และเงยหน้ามองไปชั้นบนของบ้านอย่างครุ่นคิดว่าจะปีนขึ้นไปทางไหนได้บ้าง

เพลินตานอนหลับอยู่บนเตียงในห้อง ยอดปีนขึ้นมาบนระเบียงห้องแล้วใช้มีดงัดประตูเข้ามา กว่าเพลินตาจะรู้สึกตัวก็เมื่อยอดตะครุบปากของเธอ และใช้มีดจ่อคอเอาไว้ เพลินตาส่งเสียงอู้อี้ด้วยความตกใจ
“อย่าร้องนะครับคุณเพลินตา ผมไม่อยากทำร้ายคุณแค่คุณตอบคำถามผมสักสองสามข้อ แล้วผมจะรีบไป”
เพลินตาตั้งสติแล้วพยักหน้าหงึกๆ ยอดจึงคลายมือออก
“คนที่เสี่ยเล้งจ้างมาเล่นงานกำนันศร มันเป็นใคร”
เพลินตาไม่ทันตอบคำถามก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว
“ดึงสายสิญจน์ที่ข้อมือมันทิ้งไป ดึงสายสิญจน์ที่ข้อมือมันทิ้งไป” เป็นเสียงเชิดนั่นเอง
เพลินตาชะงักมองไปรอบๆ อย่างงุนงง เพราะไม่รู้ว่าเสียงของเชิดมาจากทางไหน
ยอดเห็นอาการเพลินตาก็เริ่มระแวง “อย่าเล่นตุกติกนะครับคุณเพลินตา ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
ยอดชูมีดขึ้นขู่ ทำให้เพลินตาเห็นสายสิญจน์ที่ข้อมือของมัน นั่นทำให้เธอนึกแผนขึ้นได้ และรีบคว้าข้อมือไอ้ยอดเอาไว้
“อย่าทำชั้นนะนายยอด ชั้นกลัวแล้ว นายต้องการอะไรก็บอกชั้นมาเถอะ ชั้นยอมทุกอย่าง”
ยอดอึ้ง “นี่คุณ ก็ผมบอกแล้วไงว่าจะไม่ทำร้าย แค่ตอบคำถามผมมาก็พอ”
เพลินตาไม่ตอบ แต่ถือโอกาสนั้นกระตุกสายสิญจน์จนหลุดจากข้อมือของยอด
“นายเชิด ชั้นดึงสายสิญจน์ออกแล้ว”
ยอดตกตะลึงเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรง และเห็นเชิดผาดำยืนหน้าเหี้ยมอยู่
ยอดชูมีดขู่ “อย่าเข้ามานะโว้ย ข้ามีมีดเจ็ดป่าช้า”
เชิดยิ้มยะเยือก “เออ ข้าจำได้” พลางยื่นฝ่ามือออกไปก่อนจะตวาดออกมาคำหนึ่ง
“วายุธาตุ”
เท่านั้นเองร่างของยอดก็กระเด็นไปกระแทกฝาราวกับโดนพายุทั้งลูกซัดใส่ มีดเจ็ดป่าช้าร่วงหลุดจากมือของมัน เพลินตาถึงกับตกตะลึง กว่าที่ยอดจะตั้งหลักได้ เชิดผาดำก็มายืนค้ำหัวเรียบร้อย
ยอดตะลึง “เอ็ง…นี่เอ็งเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่วะ”

เชิดผาดำยิ้มเหี้ยมแทนคำตอบ ก่อนจะตะปบฝ่ามือเข้าที่หน้าผากของยอดอย่างว่องไว ยอดแผดร้องโหยหวนเนื้อตัวสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด

เวลาเดียวกันเก่งเดินกลับมาถึงบ้านด้วยอาการเศร้าซึม เดินมาหยุดยืนที่ห้องนั่งเล่นบ้านครูเพิ่ม แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าบ้านเงียบเชียบผิดสังเกต

“ครู ครูเพิ่ม อยู่รึเปล่า”
ทั่งบ้านเงียบกริบไม่มีเสียงตอบ เก่งมองไปที่โต๊ะกินข้าวก็เห็นมีฝาชีครอบอาหารไว้ และมีโน้ตแปะอยู่ เก่งดึงมาอ่าน
“ไปเยี่ยมกำนันศร เดี๋ยวมา” เก่งหน้าเครียดทันทีบ่นงึมงำ “ไปเยี่ยมกำนันศร หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้จะไปหามันทำไม”
สีหน้าเก่งรู้สึกเป็นกังวล

ในห้องพักฟื้นคนไข้บนสถานีอนามัยคืนเดียวกันนั้น กำนันศรส่งตำราหลักการปกครองตามหลักประชาธิปไตยคืนให้ครูเพิ่มที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง
“ชั้นอ่านจบแล้ว ขอบใจครูมากนะ”
“ตกลงกำนันยังคิดจะเล่นการเมืองอยู่รึเปล่า”
กำนันศรแค่นหัวเราะในท่าทีซึมๆ “ฮึ สภาพแบบนี้ ขอเอาชีวิตให้รอดก่อนเถอะครูแล้วอีกอย่างไอ้เสี่ยเล้งก็คงไม่สมัครแล้วเหมือนกัน ในเมื่อมันโดนผู้ใหญ่เค้าตัดหางปล่อยวัด”
ครูเพิ่มพยักหน้ารับรู้ “สรุปว่าชวดทั้งคู่”
กำนันศรพยักหน้าตอบปลงๆ ก่อนจะเหลือบมองอีกฝ่าย “แต่ยังมีอยู่เรื่องนึงที่ค้าง
ใจชั้น เรื่องที่ชั้นคิดไม่ตก” น้ำเสียงเหมือนทำใจมาแล้ว “ระหว่างชั้นกับผู้ใหญ่ทอง ครูว่าใครกันแน่ที่ควรเป็นผู้นำ”
ครูเพิ่มหน้าสลดลงเมื่อนึกถึงอดีต ก่อนจะตอบไป “ผู้ใหญ่ทอง”
กำนันศรฉุน “มันดีแต่พูด ไม่เคยทำอะไรสำเร็จสักอย่าง ชั้นต่างหากที่ทำให้บ้านไม้งามเจริญอย่างทุกวันนี้ ชาวบ้าน พ่อค้า ข้าราชการ ทุกคนเชื่อฟังคำสั่งของชั้น แต่ไอ้ผู้ใหญ่ทองไม่เคยทำได้”
ครูเพิ่มเอ่ยขึ้น “พระเดชกับพระคุณมันต่างกันอยู่นะกำนัน พระเดชของกำนันทำให้คนกลัว แต่ไม่ได้แปลว่าคนเค้าจะเห็นด้วย ตรงกันข้ามกับผู้ใหญ่ทองถึงความเห็นของเขาจะมีคนขัดแย้ง แต่ทุกคนก็รู้สึกว่าตัวเองมีศักดิ์ศรีเมื่อได้อยู่กับเค้า”
“เค้าเรียกว่าไม่มีเอกภาพต่างหาก มันนั่นแหละที่พาบ้านเมืองฉิบหาย”
ครูเพิ่มแย้ง “แล้วตอนนี้ไม่ฉิบหายเหรอกำนัน ผู้ใหญ่ทองตายไปหลายปีแล้วแต่แนวคิดและศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อเค้ายังคงอยู่ ชั้นถามหน่อยเถอะ ถ้าคืนนี้กำนันตายไป ชาวบ้านจะจดจำกำนันในแง่ไหนนอกซะจากเป็นผู้นำที่บ้าอำนาจ และกอบโกยผลประโยชน์จากชาวบ้าน”
กำนันศรฉุนกึก เสียงกร้าว “ครู”
ครูเพิ่มยังคงนั่งนิ่งอย่างเยือกเย็น ทำให้กำนันศรเริ่มได้สติแล้วมีท่าทีอ่อนลง
“ถ้ากำนันอยากฆ่าชั้นก็เชิญ วันนี้ชั้นขอตายไปพร้อมกับความจริงดีกว่าโกหกเพื่อเอาตัวรอดเหมือนเมื่อก่อน” ครูเพิ่มอธิบายต่อ “ศักดิ์ศรีของคนเรามันประเมินค่าไม่ได้กำนัน คนทุกคนมีศักดิ์ศรี ชาวบ้านทุกคนในบ้านไม้งาม เกิดมาเพื่อเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเกิดมาเพื่อเป็นทาสของกำนัน”
กำนันศรนิ่งฟังจน เริ่มบรรลุ “สรุปว่าชั้นมันเลว”
“กำนันคิดดี แต่สิ่งที่ทำอยู่มันตรงกันข้าม ผลที่ตามมามันก็ตรงกันข้าม”
“ใช่ ทั้งหมดตรงข้ามกับที่ชั้นเคยฝันไว้ ชั้นเคยคิดว่าถึงวันนึงทุกคนจะยอมรับนับถือชั้น เทิดทูนชั้นเป็นวีรบุรุษ แต่ตอนนี้ชั้นกำลังจะตายเหมือนหมาตัวนึง”
ครูเพิ่มได้แต่สลดใจไปกับถ้อยคำน้อยเนื้อต่ำใจของกำนันศร และเอื้อมมือไปกุมขาข้างที่พิการด้วยความเคยชิน
กำนันศรมาเหลือบเห็นพอดี “อโหสิให้ชั้นด้วยนะครู เรื่องขาของครู เรื่องครอบครัวของผู้ใหญ่ทอง ชั้นรู้ว่ามันยาก แต่เชื่อชั้นเถอะ ชั้นเสียใจจริงๆ เมื่อเช้าหลวงพ่อชุ่มให้ไอ้ย้งมาบอกชั้นว่ากรรมเก่ามันใกล้จะมาเยือนแล้ว”

ระหว่างนั้นยอดซึ่งถูกมนต์สะกดของเชิดผาดำเดินตัวแข็งทื่อกลับมายังสถานีอนามัย โดยไม่มีใครสังเกตว่าบนหลังมือของมันมีรอยสักเป็นอักขระยันต์โบราณปรากฏขึ้นแบบเดียวเชิดผาดำ
นั่นหมายถึงว่า ยอดโดนเชิดผาดำสิงเต็มร่างแล้ว
จังหวะนั้นเองเบิ้มเห็นเข้าก็รีบโผล่หน้ามาทักทาย “ว่าไงพี่ยอด ได้เรื่องรึเปล่า”
ยอดพยักหน้า “เดี๋ยวข้าจะทำพิธีไล่ผี พวกเอ็งรออยู่ข้างล่างถ้าได้ยินเสียงอะไร ห้ามขึ้นไปเด็ดขาด”
เบิ้มงงปนแปลกใจ “ไล่ผี พี่ทำผี เอ๊ย พี่ทำได้เหรอพี่”
ยอดยิ้มมุมปากก่อนจะเดินขึ้นไปบนอนามัย เบิ้มได้แต่มองตามไปอย่างงุนงง

ส่วนในห้องพักฟื้นคนไข้บนสถานีอนามัย ครูเพิ่มทำใจอยู่สักพักก่อนจะบอกกับกำนันศร
“ช่างมันเถอะกำนัน เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้าเป็นไปได้ชั้นอยากให้กำนันเริ่มต้นใหม่ พัฒนาบ้านไม้งามให้ร่มเย็นกว่านี้”
กำนันศรไม่ทันตอบก็เหลือบไปเห็นยอดโผล่เข้ามาเสียก่อน
“ไอ้ยอดเอ็งเข้ามาทำไม”
ยอดชักมีดเจ็ดป่าช้าออกมา แต่ที่ผิดสังเกตคือด้ามมีดมีผ้าพันเอาไว้อย่างแน่นหนา ทว่าถึงกระนั้นมือของยอดก็ยังเห็นเป็นควันระอุออกมา
ยอดซู้ดปากร้องลั่น “ซี๊ด ร้อนฉิบหาย ไอ้มีดเฮงซวย”
กำนันศรกับครูเพิ่มต่างเอะใจ ยิ่งเมื่อเห็นข้อมือยอดว่างเปล่าปราศจากสายสิญจน์
“ไอ้ยอด สายสิญจน์เอ็งหายไปไหน”
แทนคำตอบยอดคำรามเป็นควันออกปาก ถือมีดเจ็ดป่าช้า ร้อนมาก ก่อนจะเงื้อมีดแทงใส่กำนันศร
กำนันศรรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตะโกนก้อง “ครูเพิ่มหลบไป”
พร้อมกันนั้นกำนันศรผลักครูเพิ่มให้หลบไป ก่อนจะยื้อยุดคว้าข้อมือยอดเอาไว้
“ไอ้ศร เอ็งต้องตาย”
กำนันศรคำราม “ไอ้ปีศาจ นี่เอ็งเป็นใครกันแน่วะ”

เวลาเดียวกันนั้นที่บริเวณหน้าสถานีอนามัย วาสนาขี่รถจักรยานกลับมาพร้อมกระเป๋าเดินทาง เบิ้มกุลีกุจอช่วยรับของ
“คุณวาสนา หายไปไหนมาตั้งนานเลยครับ”
“ชั้นกลับไปเอาเสื้อผ้ากับของใช้มาให้พ่อน่ะ”
ยินเสียงดังโครมครามแว่วมาจากชั้นบนของอนามัย วาสนามองไปอย่างตกใจ
“นั่นเสียงอะไรน่ะ”
เบิ้ม “อ๋อ พี่ยอดทำพิธีไล่ผีอยู่ครับ เลยสั่งห้ามไม่ให้ใครขึ้นไป”
วาสนาตกตะลึง “ไล่ผี”

ห้องพักฟื้นคนไข้บนสถานีอนามัยกลายเป็นสมรภูมิรบไปแล้ว กำนันศรโดนเหวี่ยงจนล้มไปกับพื้น และสำลักไอออกมาเพราะบาดเจ็บจากแผลเก่า
“กำนัน”
ครูเพิ่มรีบคว้าเหยือกน้ำอลูมิเนียม ฟาดใส่หัวยอดที่กำลังเล่นงานกำนันศร ทุบอยู่โป้งๆๆ หลายที ก็ถูกยอดคว้าข้อมือไว้ ก่อนที่จะหันมามองหน้า
“ไอ้เป๋ กูเจ็บเหมือนกันนะโว้ย”
ยอดเหวี่ยงร่างครูเพิ่มกระเด็นไปกระแทกข้างฝาทันที
กำนันศรยันกายลุกขึ้นมา “ครู”
ยอดหันมาตวัดมีดฟันฉับใส่กำนันศรจนคว่ำไปอีกรอบ
ครูเพิ่มร้องลั่น “กำนัน”
กำนันศรกุมอก กระเถิบตัวไปพิงฝา ครั้นก้มลงมองก็เห็นแผงอกของตนโดนฟันจนเป็นแผลฉกรรจ์ รอยสักที่หน้าอกโดนมีดเจ็ดป่าช้ากรีดจนเหวอะ
ยอดมองมีดทึ่งๆ “มีดเจ็ดป่าช้านี่มันสุดยอดจริงๆ อยู่ยงคงกระพันแค่ไหนก็เอาอยู่”
ครูเพิ่มและกำนันศรต่างย่ำแย่เต็มประดา ขณะที่ยอดโยนมีดเจ็ดป่าช้าทิ้ง แล้วถูมือไล่ความร้อน
“ตอนนี้รอยสักเอ็งถูกทำลายแล้วไอ้ศร อาคมเอ็งหมดฤทธิ์ต่อให้ไม่มีมีดเจ็ดป่าช้า ข้าก็ฆ่าเอ็งได้โว้ย ฮ่าๆๆๆ” เชิดที่ครองร่างยอดหัวเราะสะใจ
วาสนาโผล่เข้ามาเห็นเหตุการณ์ในห้องก็ตกใจมาก “พ่อ” ยอดหันขวับมาจ้องวาสนา “นายยอด”
กำนันศรร้องบอก “วาสนา! หนีไป”
วาสนาทำท่าจะถอยแต่ก็ถูกยอดกระชากตัวสุดแรงมาตบจนล้มคว่ำ
กำนันศรโกรธจัด “ไอ้ชาติชั่ว กูจะฆ่ามึง”
กำนันศรรีบลุกมาช่วยลูกสาว แต่ถูกยอดตะปบคอเอาไว้เสียก่อน
“แหมพอดีเลย เจ้านายข้าเค้าสั่งให้จัดการเอ็งอย่างทรมานที่สุด ตอนนี้ข้าคิดออกแล้วว่าต้องทำยังไง ฮ่าๆๆๆ”
ฝ่ามือของยอดที่ตะปบคอกำนันศรอยู่ปรากฏเป็นควันไอวิญญาณสีดำพวยพุ่ง เห็นรอยสักบนหลังฝ่ามือขวาของยอดหาย แล้วไปปรากฏที่บนหลังมือของกำนันศรแทน
ยอดล้มลงสิ้นสติ เผยให้เห็นเป็นใบหน้ากำนันศรกำลังแสยะยิ้มๆ
“ฮี่ๆๆๆๆ เสร็จข้าล่ะไอ้ศร”
ครูเพิ่มตื่นตะลึง “กำนัน”
วาสนาก็เช่นกัน “พ่อ”
กำนันศรชะงักกึก พยายามรวบรวมสติสู้จากพลังสะกดของเชิดผาดำ ด้วยอาคมชลังในกายที่พอเหลือ
กำนันศรที่เป็นกำนันศรสู้ขาดใจ “ไม่ๆ ไอ้เดรัจฉาน มึงออกไปจากร่างกู ออกไป” แต่พอเชิดมีอำนาจเหนือกว่าก็หัวเราะร่า “ฮี่ๆๆๆ อย่าขัดขืนไปเลยวะไอ้กำนัน เจ็บแปล๊บๆ แป๊บเดียวเดี๋ยวเอ็งก็เสียวจนลืมไม่ลงทั้งชาติ ฮี่ๆๆๆ” กำนันศรสู้ไม่ถอย “อย่าๆ ปล่อยกู ปล่อยกู”
กำนันศรที่ถูกเชิดผาดำครอบงำเดินตุปัดตุเป๋เข้าไปหาวาสนา
วาสนาตกใจ “พ่อ”
กำนันศรถูกเชิดครอบครองชั่วขณะ กระชากตัววาสนามาบีบคอ
“ใครพ่อเอ็งวะนังหนู ใครพ่อเอ็ง”
ครูเพิ่มตะโกนก้อง “กำนันอย่า”
เชิดหัวเราะร่า “ฮี่ๆๆๆ สะใจโว้ย สะใจ” พอรู้สึกตัวกำนันศรก็ร้องเสียงหลง “อย่า อย่าทำลูกกู อย่า”

กำนันศรเพลี่ยงพล้ำตกเป็นรองเชิดผาดำ ขณะที่วาสนาตาเหลือกตาค้าง จวนจะสิ้นลมเต็มที 

นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 15 (ต่อ)

เหตุการณ์ในห้องพักฟื้นคนไข้บนสถานีอนามัยระทึกและเขม็งเกลียวมากขึ้นทุกทีๆ ขณะที่กำนันศรที่ถูกเชิดผาดำเข้าสิง และกำลังบีบคอวาสนาจนแทบจะหมดลมหายใจ

ทันใดนั้นนางสิงห์ก็กระโจนเข้ามาทางหน้าต่าง เชิดในร่างกำนันศร และนางสิงห์ต่างมองกันและกันอย่างตกใจ
“คุณวาสนา”
ครูเพิ่มร้องบอก “กำนันศร ถูกผีเข้า รีบจัดการเร็ว”
เชิดในร่างกำนันศรเหวี่ยงวาสนาทิ้งไปทางหนึ่งจนเธอหมดสติไป แล้วตรงเข้าเล่นงานนางสิงห์ทันที นางสิงห์ชักพลองศอกออกมากระหน่ำใส่ก่อน แต่เชิดในร่างกำนันศรกลับไม่สะทกสะท้าน ครู่หนึ่งมันก็คว้าข้อมือนางสิงห์ไว้ได้
เชิดในร่างกำนันศรเยาะ “ฝีมือแค่นี้ หยุดพี่ไม่ได้หรอกน้อง” พร้อมกับจับร่างนางสิงห์เหวี่ยงไปกระแทกผนังอย่างแรง
ครูเพิ่มตกตะลึง “นางสิงห์”

ที่หน้าสถานีอนามัยยามนั้น เบิ้มกับสมุนพากันชะเง้อมองไปบนสถานีอนามัยอย่างงุนงงเพราะเสียงการต่อสู้
“เฮ้ย นี่ไล่ผีหรือตีกันอยู่วะ” เบิ้มคิดหนักแล้วตัดสินใจ “ขึ้นไปดูดีกว่า”
จังหวะนั้นยินเสียงไซเรนรถตำรวจแว่วมา เห็นดนัยกับตำรวจติดตามสองสามนายขับรถมาจอด เบิ้มรีบเข้าไปต้อนรับ
“สารวัตร”
“นายยอดมาที่นี่รึเปล่า” ดนัยถามไวๆ
“มาครับ ตะกี๊สั่งว่า..”
ดนัยตัดบท “เอาล่ะ เดี๋ยวชั้นจัดการเอง พวกนายอยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน”
เบิ้มกับสมุนมองหน้ากันอย่างงุนงง ขณะที่ดนัยมองไปบนสถานีอนามัยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีท่าทีว่าจะทำอะไร
เหตุการณ์ที่ห้องพักฟื้นคนไข้เวลานั้น นางสิงห์โดนซ้อมจนซวนเซ ครั้นพอจะชักปืน ก็ถูกเชิดในร่างกำนันศรเตะจนปืนกระเด็นหลุดมือไป นางสิงห์พยายามชกต่อยเชิดในร่างกำนันศร แต่อีกฝ่ายก็ไม่สะทกสะท้าน สุดท้ายนางสิงห์ก็ถูกมันเล่นงานจนทรุดลงไปกองกับพื้น
เชิดในร่างกำนันศรหยิบปืนนางสิงห์ขึ้นมา “เอ็งตาย”
ครูเพิ่มตะโกนก้อง “อย่า”
เชิดในร่างกำนันศรไม่สน กระหน่ำยิงใส่หลายนัดจนนางสิงห์ล้มคว่ำไป ครูเพิ่มจึงรีบถลาเข้ารวบตัวกำนันศรไว้
“ครู” เก่งในคราบนางสิงห์ตกใจ
“รีบพาคุณวาสนาหนีไป เร็ว! หนีไป” ครูเพิ่มร้องบอก
เชิดในร่างกำนันศรเห็นนางสิงห์ไม่ตายก็หงุดหงิด “นังนี่ เหนียวเหมือนกันนี่หว่า”
ว่าพลางเชิดในร่างกำนันศรกระชากตัวครูเพิ่มออกเหวี่ยงจนล้มกลิ้งไป แล้วหันไปคว้ามีดเจ็ดป่าช้าขึ้นมาถือไว้
ควันพวยพุ่งออกมาด้วยความร้อนแรงแห่งอาคมขลัง เชิดในร่างกำนันศรคำรามข่มความเจ็บปวดก่อนจะเดินตรงไปหานางสิงห์
“ถ้างั้นเอ็งต้องเจอกับไอ้นี่”
นางสิงห์เห็นมีดเจ็ดป่าก็รีบถอยกรูด แต่เชิดในร่างกำนันศรจ้วงมีดใส่จนเธอต้องหลบหลีกไปรอดๆ ก่อนจะพลาดถูกฟันเข้าที่หัวไหล่เต็มๆ เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นเปรอะฝาห้องและผ้าม่านใกล้ๆ
“นางสิงห์” ครูเพิ่มใจหาย
นางสิงห์ตกตะลึงเพราะนานมาแล้วที่ไม่เคยมีอาวุธใดระคายผิวเธอได้ พอหันมาอีกครั้งก็เห็นเชิดในร่างกำนันศรเข้ามาประชิดตัวแล้ว และกำลังจะจ้วงมีดแทงใส่
ทันใดนั้นมืออีกข้างหนึ่งของกำนันศรก็ตะปบข้อมือข้างขวาที่ถือมีดเอาไว้
นางสิงห์และครูเพิ่มต่างประหลาดใจ เมื่อเห็นกำนันศรกำลังใช้มือซ้ายยื้อยุดข้อมือขวาของตัวเอง
เชิดในร่างกำนันศรคำราม “ไอ้ศร เอ็งจะลองดีกับข้าเรอะ”
กำนันศรตัวจริงคำรามกลับ “หุบปากไอ้สารเลว คนอย่างข้าไม่เคยยอมใครง่ายๆ หรอกโว้ย”
กำนันศรใช้มือซ้ายจับข้อมือขวาเหวี่ยงไปกระแทกกับขอบโต๊ะจนมีดในมือขวาหลุดล่วงลงไป
กำนันศรร้องบอก “นางสิงห์หยิบมีดขึ้นมา” เห็นอีกฝ่ายยังลังเลอยู่ก็เร่งเร้า “เร็ว! บอกให้หยิบก็หยิบสิโว้ย”
นางสิงห์คว้ามีดเจ็ดป่าช้ามาถือไว้อย่างงงๆ
เชิดในร่างกำนันศรรู้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น “ เฮ้ยอย่า ข้าไม่เอา อย่าเล่นบ้าๆ นะเว้ยไอ้ศร ข้าจะไปแล้ว”
กำนันศรตัวจริงไม่สนคว้ามือขวาตัวเองหมับ “ไม่ต้องไป! ไหนๆ ข้าจะตายทั้งที ข้าจะพาเอ็งไปด้วย”
กำนันศรพุ่งร่างเข้าหามีดในมือของนางสิงห์ และถูกแทงจนมิดด้าม
เป็นจังหวะเดียวกับที่วาสนาเพิ่งฟื้นขึ้นมาและเห็นภาพของกำนันศรถูกนางสิงห์แทงก็กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
“พ่อ”
ครูเพิ่มช็อก “กำนัน”
นางสิงห์ปล่อยมือออกจากมีดอย่างตกตะลึง ขณะที่ร่างกำนันศรโงนเงน ก่อนจะทรุดเข่าก่อนจะล้มตึงไปกับพื้น
วาสนาร้องลั่น “นางสิงห์ชุดดำ แกฆ่าพ่อชั้น”
นางสิงห์ตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ครูเพิ่มยืนขึ้นตั้งหลัก และมองออกไปเห็นดนัยกับตำรวจยืนอยู่ข้างนอก จึงรีบบอกกับนางสิงห์
“ข้างนอกมีตำรวจ”

เบิ้มร้อนใจที่ดนัยไม่ทำอะไรสักอย่าง เลยถามออกมา
“สารวัตรจะไม่ทำอะไรหน่อยเหรอครับ ถ้าเกิดมีคนร้ายแล้วมันหนีไป…”
ดนัยพูดดักคอ “ก็ดีสิ จะได้เป็นการพิสูจน์ไงว่ามันคือคนร้ายตัวจริง”
เบิ้มถึงกับอึ้งเมื่อดนัยไม่ยอมทำหน้าที่ แต่แล้วจังหวะนั้นเบิ้มก็เห็นนางสิงห์กระโจนหนีออกมาจากด้านข้างหรือด้านหลังของสถานีอนามัยก่อนจะหลบเข้าไปในป่าหญ้า
“เฮ้ย มีคนโดดลงมาแล้วสารวัตร”
ดนัยมองตามอย่างตื่นตะลึง “นางสิงห์ชุดดำ” พอได้สติรีบสั่งการ “ตามไปจับตัวมาให้ได้”
กำลังตำรวจรีบตามนางสิงห์ไปทันที

ที่ด้านบน ครูเพิ่มชะเง้อมองตามนางสิงห์ไปด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันมาดูวาสนาที่ร่ำไห้อยู่กับศพของกำนันศร
“พ่อ พ่ออย่าเพิ่งตายนะ พ่ออย่าทิ้งชั้นไว้แบบนี้ พ่อ” วาสนาครวญคร่ำ
จังหวะนั้นที่หลังมือกำนันศรรอยอักขระโบราณของเชิดผาดำค่อยระเหิดไปเป็นไอสีดำ ม้วนตัวจางหายไปในอากาศโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

เวลาเดียวกันเชิดผาดำที่นั่งสมาธิอยู่บนเตียงรู้สึกตัวเมื่อวิญญาณกลับเข้าร่าง มันกุมอกบริเวณที่ถูกมีดเจ็ดป่าช้าแทงแล้วทรุดฮวบไป
“ไอ้กำนันศร เกือบไปแล้วกู” มองไปด้วยความแค้น “นังผู้หญิงชุดดำ เราต้องได้เจอกันอีกแน่”

เวลาเคลื่อนคล้อย จากบ่ายเป็นเย็น จนในที่สุดความมืดเข้าปกคลุมไปทั่วบ้านไม้งาม
นางสิงห์ชุดดำกำลังกุมแผลวิ่งหนีมาตามป่าหญ้าหลังสถานีอนามัยบ้านไม้งามโดยบรรดาตำรวจถือไฟฉายไล่ล่ามาห่างๆ
ดนัยเดินพลางชักปืนมากวาดสายตามองหา
ดนัยชี้ไปทางหนึ่ง “มันอยู่ทางนั้น”
สักครู่หนึ่งเสียงมอเตอร์ไซค์ถูกสตาร์ท ไฟหน้าสาดสว่าง นางสิงห์เร่งเครื่องสุดกำลัง
ขณะที่ดนัยและตำรวจสาดกระสุนเข้าใส่ มอเตอร์ไซค์ของนางสิงห์ทะยานข้ามอากาศหายไปในนอกป่าหญ้า
ดนัยวิ่งตามมาดู ก่อนจะพบรอยเลือดหยดตรงพื้น รีบเอานิ้วแตะรอยเลือดนั้นยีดูจนแน่ใจว่าเป็นเลือดจริงๆ
“มันบาดเจ็บ?” ดนัยแสยะยิ้มสะใจ “นางสิงห์ชุดดำ แกเสร็จชั้นแน่”

กลางดึกคืนนั้นตาคงกระวีกระวาดขึ้นมาบนกุฏิ หลวงพ่อชุ่มที่รอฟังข่าวอยู่ก็รีบถาม
“ว่าไงตาคง ตกลงมันมีเรื่องอะไรกัน ถึงได้ยินเสียงปืนตั้งหลายนัด”
ตาคงรายงานหน้าตื่น “บรรลัยแล้วครับหลวงพ่อ กำนันศรถูกนางสิงห์ชุดดำฆ่าตายครับ”
“อะไรนะ” หลวงพ่อตกใจคาดไม่ถึง

พระอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าเช้าวันใหม่มาเยือน บ้านไม้งามอีกคำรบ
ที่โรงพักบ้านไม้งาม กำลังตำรวจพากันเร่งรีบมาเข้าแถว เพราะมีคำสั่งด่วนของดนัย สักครู่หนึ่งดนัยเดินมาตรวจแถวโดยมีเพ็ญพร ไชโย และโอฬารเป็นผู้ช่วย
“ทุกคนฟังให้ดี ตอนนี้นางสิงห์ชุดดำ คนร้ายที่ฆ่ากำนันศรยังหลบอยู่ในหมู่บ้าน และอาจได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ ขณะนี้คนของกำนันศรได้ปิดล้อมเส้นทางเข้าออกเอาไว้หมดแล้ว ดังนั้นหน้าที่ของเราก็คือปูพรมค้นหาให้ทั่ว ถ้าเจอใครมีพิรุธให้จับตัวได้ทันที”
ยินเสียงธัมโมขัดขึ้นมา “สารวัตร”
ดนัยมองไปเห็นธัมโมเพิ่งมาถึง
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมถึงไม่บอกผม” ธัมโมไม่พอใจ
“บอกคุณเหรอ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณอยู่ฝ่ายไหน แล้วจะบอกคุณไปเพื่ออะไร” ดนัยเหน็บ
ธัมโมเถียง “ถึงไงผมก็เป็นตำรวจ ผมมีสิทธิ์ปฏิบัติหน้าที่”
ดนัยสั่งแบบขอไปที “ก็ได้ ถ้างั้นคุณคอยประสานงานอยู่ที่สถานี มีอะไรก็วิทยุบอกผม
ละกัน” หันมาพูดกำชับกับเพ็ญพร “ผู้หมวด คุณดูเค้าเอาไว้ ถ้าเค้าช่วยเหลือผู้ต้องหาอีกล่ะก็ จับเค้าได้ทันที”
ดนัยจะเดินหนี ธัมโมฉุนขาดปราดมาขวางไว้อย่างเอาเรื่อง
“มันไม่เกินไปหน่อยเหรอครับสารวัตร”
ดนัยมองจ้องธัมโมที่บังอาจมาขวางทางตน “เกินไปงั้นเหรอ ฮึ ก็ได้ ถ้างั้นผมเปลี่ยนใจแล้ว” สั่งการ “จ่าไชโย”
“ครับผม”
ดนัยเสียงเข้ม “คุมตัวผู้กองธัมโมเอาไว้ โทษฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา” หันมากำชับเพ็ญพร “ผู้หมวด ผมฝากด้วย”

ธัมโมอึ้งไป เช่นเดียวกับตำรวจทุกคนที่มองหน้ากันเลิกลัก

ด้านเสี่ยเล้งกำลังยืนจิบเหล้ารอฟังข่าวอย่างเคร่งเครียดอยู่ในห้องรับแขก สักครู่หนึ่งเพลินตาก็มารายงาน

“ป๊าคะ ไอ้กำนันศรมันตายแล้ว”
เสี่ยเล้งยิ้มอย่างสะใจ “ฮึ เชิดผาดำ มันทำสำเร็จจนได้”
“ไม่ใช่แค่นั้นค่ะ ดนัยบอกว่านางสิงห์ชุดดำก็อยู่ที่นั่นด้วย ตอนนี้ทุกคนก็เลยเข้าใจว่ามันอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
เสี่ยเล้งอึ้งไปนิดนึง ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆๆ สวรรค์เข้าข้างเราจริงๆ ตอนแรกพ่อ
นึกว่าจะใส่ร้ายมัน แล้วเก็บมันซะ นึกไม่ถึงว่ามันจะรนหาที่” เสี่ยเล้งรำพึงรำพันหน้ารูปถ่ายลูกชาย “จำเริญ คราวนี้ ลูกจะได้ตายตาหลับซะที”

บนโรงพักเปิดไฟค่อนข้างสลัว เพ็ญพรกับธัมโมนั่งกันอยู่คนละมุม โดยธัมโมนั้นถูกใส่กุญแจมือขังไว้กับเก้าอี้
ธัมโมนั่งจ้องเพ็ญพรที่กำลังกระวนกระวาย ด้วยความเป็นห่วงนางสิงห์
เพ็ญพรหันมาเอ็ด “เลิกจ้องชั้นซะทีผู้กอง”
“เมื่อตอนกลางวัน คุณมอมยาผม”
เพ็ญพรเถียงลั่น “ชั้นเปล่า คุณคิดไปเอง”
“งั้นเหรอ แล้วที่ผมเห็นคุณพูดอยู่กับนางสิงห์ชุดดำล่ะผมคิดไปเองด้วยรึเปล่า”
เพ็ญพรทำท่าจะลุกเดินหนี ธัมโมรีบร้องตาม
ธัมโมเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น รู้ลึกรู้ดี “ตอนที่มีการปล้นครั้งล่าสุด มันทำให้ผมรู้ว่านางสิงห์มีพวกอยู่ในหมู่บ้าน คนนึงคือนายย้ง และอีกคนก็คือคุณ”
เพ็ญพรชะงักก่อนจะหันกลับมา แล้วชักปืนเล็งใส่ธัมโมอย่างเหี้ยมเกรียม
“นั่นล่ะข้อเสียของคุณ ผู้กอง คุณรู้มากเกินไป”

ธัมโมพูดอย่างใจเย็น “นางสิงห์ต่อสู้กับอิทธิพลเถื่อน นั่นคือเหตุผลเดียวที่ผมยอมอยู่ข้างเค้า และตอนนี้ผมคิดว่าเค้ากำลังเดือดร้อน”
เพ็ญพรง้างนก “แล้วไง”
“บาดเจ็บแบบนั้น นางสิงห์ฝ่าวงล้อมไปไม่พ้นแน่ และถ้าเค้าขัดขืนการจับกุมเมื่อไหร่ คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
เพ็ญพรใจหาย นิ่งคิด ก่อนจะลดปืนลง “คุณมีแผนงั้นเหรอ”
“ผมต้องจับเค้า นั่นคือทางเดียวที่เค้าจะไม่ถูกฆ่า”
เพ็ญพรลังเล ธัมโมขยับกุญแจมือบุ้ยใบ้ให้เพ็ญพรรีบปล่อยตน

พริบตานั้นธัมโมสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ เร่งเครื่องจนฝุ่นตลบพื้นก่อนจะขับพุ่งทะยานออกไปสู่ถนนอย่างรวดเร็ว เพ็ญพรตามออกมามองอย่างลุ้นระทึก

ตามตรอก ซอก ซอย และถนนทุกสายในบ้านไม้งาม มีบรรดาตำรวจแยกย้ายกันเคาะประตูบ้านเพื่อล่าตัวนางสิงห์ โดยแจ้งกับชาวบ้านสั้นๆ แค่ว่า “มาตามล่าคนร้าย” ทำให้ชาวบ้านบางคนไม่พอใจบ่นด่าโขมง
ดนัยยืนคุมอยู่มุมหนึ่ง สั่งเสียงเหี้ยม
“ค้นดูให้ทั่ว จับทุกคนที่มีบาดแผลบริเวณไหล่ซ้าย ถ้าใครขัดขืนให้ฆ่าได้ทันที”
ไชโยอึ้ง เลียบๆ เคียงๆ เข้ามา “เอ่อสารวัตรครับ นี่เราเป็นตำรวจนะครับคือเราไม่มีหมายค้น แล้วมาทำแบบนี้ มันจะถูกเหรอครับ” ดนัยหันมามองตาดุ ไชโยเสียววาบ เปลี่ยนท่าที “โอเค ทำถูกแล้วครับ จับโจรทั้งทีมันต้องใช้ไม้แข็งแบบนี้” พร้อมกับหันไปสั่งงานลูกน้องแล้วฉวยโอกาสเดินหนี “อ้าวเฮ้ย อย่าชักช้าสิวะ ค้นต่อไป ค้นให้ทั่วหมู่บ้าน”
ไชโยนำกำลังตำรวจออกค้นหาต่อไป จังหวะหนึ่งยินเสียงไชโยแว่ววมา “เฮ้ย หลังนั้นบ้านกูไม่ต้องค้น”

โอฬารพาตำรวจมาค้นบ้านเถ้าแก่ตง ที่กำลังยืนบ่นอยู่แจ้วๆ อยู่ในชุดนอนลายจุ๋มจิ๋มน่ารัก
“ไอ๊หยา อะไรกันวะ มาค้นทำไมแต่เช้าวะ เกรงใจชาวบ้านบ้างสิ คนจะหลับจะนอน”
โอฬารโต้ “โธ่เถ้าแก่ พวกผมตามจับคนร้ายกันอยู่นะ ผมผิดด้วยเหรอ”
เถ้าแก่ตงเถียง “ผิดซี่ ถ้าพวกลื้อไม่ตามนะ คนร้ายมันก็นอน มันง่วงเป็นเหมือนกัน ลื้อมาตามมัน มันก็ตื่น ถ้าลื้อนอนเฉยๆ มันก็ได้นอน อั้วก็ได้นอน”
“เอาล่ะ แค่ฟังอั้วก็เริ่มอยากนอนแล้ว รอแป๊บเดียวนะเถ้าแก่ เดี๋ยวอั้วรีบค้นให้”
ย้งเพิ่งลงมาจากข้างบนในอาการงัวเงีย “มีคนร้ายที่ไหนกันเหรอหมู่”
“ก็เจ้าเก่านั่นแหละ นางสิงห์ชุดดำ แต่คราวนี้คดีใหญ่” โอฬารค้างคำ
เถ้าแก่ตงซัก ตั้งท่ารอฟัง “คดีอะไรวะ”
“มันฆ่ากำนันศร”
ย้งนิ่งอึ้ง ตะลึงงัน

ย้งหลบออกมาตั้งสติที่หลังร้านด้วยความสับสน กระวนกระวายใจ
“ฮึ่ย เอาไงดีวะไอ้ย้ง ไปปลอบคุณวาสนาก่อนหรือไปช่วยไอ้เก่งก่อนดีวะเนี่ย คิดสิโว้ย คิดๆๆ”
ครูเพิ่มที่ซ่อนตัวอยู่แถวนั้นเรียกออกมาเบาๆ
“ไอ้ย้ง ทางนี้”
ย้งหันมาตาโต “ครู”

กำลังตำรวจยังตรวจค้นกันอยู่ โดยไม่ทันสังเกตย้งพาครูเพิ่มที่ย่องออกมาจากบ้านแล้วสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ขับหนีไป
ขณะเดียวกันย้งก็ไม่รู้เลยว่าธัมโมได้มาซุ่มดูอยู่แต่แรก และขับรถตามย้งไปห่างๆ

ครูเพิ่มกับย้งรีบเข้ามาในบ้าน และเจอนางสิงห์กำลังนั่งบาดเจ็บสาหัสอยู่ ครูเพิ่มได้ปฐมพยาบาลบาดแผลให้แล้วก่อนจะไปหาย้ง
เห็นสภาพนางสิงห์ย้งยิ่งตกใจ “เฮ้ย ไอ้เก่ง เอ็งเป็นยังไงบ้าง”
เก่งคราง “ไอ้ย้ง”
ครูเพิ่มหารือกับย้ง “เราต้องหาทางพามันออกไปจากหมู่บ้าน”
“ไม่ได้หรอกครูตอนนี้คนของกำนันศรปิดเส้นทางเข้าออกไว้หมดแล้วแถมยังมีพวกตำรวจอีก ผมว่าเราหาที่ซ่อนกันดีกว่า”

ที่วัดบ้านไม้งาม ภายในโบสถ์จุดเทียนสว่างไสว หลวงพ่อชุ่มก้มลงกราบพระประธาน โดยมีตาคงนั่งพนมมืออยู่ข้างๆ
“ขออำนาจพระพุทธคุณจงปกปักบ้านไม้งามให้อยู่รอดปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้าย ขอให้กฎหมายคงความศักดิ์สิทธิ์และยุติธรรมชาวบ้านจะได้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข”
เสียงประตูถูกผลักเข้ามา หลวงพ่อชุ่มมองไปเห็นครูเพิ่มกับย้งแบกใครคนหนึ่งเข้ามา
ตาคงหันไปทักงงๆ “อ้าวครูเพิ่ม ไอ้ย้ง แบกใครมาวะ”
ครูเพิ่มลนลานเข้ากราบพูดระล่ำระลัก “หลวงพ่อ ช่วยผมด้วยเถอะครับ ช่วยผมด้วย”
หลวงพ่อชุ่มมองครูเพิ่มอย่างแปลกใจ ก่อนจะละสายตาไปที่นางสิงห์ชุดดำซึ่งนั่งกุมแผลอยู่
“นางสิงห์ชุดดำ”
แต่พอนางสิงห์เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ตาคงและหลวงพ่อชุ่มถึงกับตะลึง
“ไอ้เก่ง” พระกับโยมประสานเสียง
หลวงพ่อชุ่มไปแปลกใจนัก “อาตมานึกแล้วเชียว ว่าต้องเป็นแบบนี้นี่ยังมีโยมผู้หมวดเพ็ญพรอีกคนใช่มั้ยครูเพิ่ม”
ย้งอึ้ง “หลวงพ่อรู้ด้วยเหรอครับ”
“ก็ทั้งหมู่บ้าน จะมีใครมาไหว้โกศผู้ใหญ่ทองบ่อยเท่าสองคนนี้ล่ะ”
ครูเพิ่มตัดสินใจบอก “เพ็ญพรคือคุณบัวลูกสาวของผู้ใหญ่ทองครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อชุ่มพยักหน้า “ถ้างั้นนี่ก็คงเป็นนังแก้ว เด็กที่ผู้ใหญ่ชุบเลี้ยงเอาไว้”
“หลวงพ่อ คืนนี้ตำรวจกำลังตามล่านางสิงห์ สั่งจับตายเชียวนะครับถ้าใครให้ที่พักพิงจะมีโทษสถานหนัก” ตาคงกังวลหนัก
“หลวงพ่อครับ นางสิงห์ต่อสู้กับอำนาจเถื่อน ก็เพื่อปกป้องบ้านไม้งามเงินสักบาทสักสตางค์ก็บริจาคให้ชาวบ้านจนหมด เรื่องนี้เป็นความจริงนะครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อชุ่มหันไปสบตากับเก่งสักพัก แล้วเอ่ยขึ้น
“ตาคง ไปหาที่ซ่อนตัวให้นางสิงห์ แล้วคอยดูต้นทางเอาไว้”
ตาคงท้วง “คุกนะครับหลวงพ่อ”
“เห็นแก่ความดีของผู้ใหญ่ทอง มีอะไรข้ารับผิดชอบเอง”
ตาคงทำท่าจะลุกไปหยิบยาแต่แล้วก็ชะงัก “ผู้กองธัมโม”
ธัมโมยืนจังก้าอยู่ที่หน้าธรณีประตูโบสถ์
ย้งตกใจ “ผู้กอง”
ครูเพิ่มเองก็เช่นกัน “ผู้กองธัมโม”
เก่งพอได้ยินชื่อธัมโมก็หายใจเสียงดังหน้าตาตื่น รีบขยับไปซ่อนหน้าที่หลังครูเพิ่ม ย้งนึกขึ้นได้รีบช่วยบังให้อีกแรง
“นั่นใช่มั้ย นางสิงห์ชุดดำ”
ย้งขอร้อง “ปล่อยนางสิงห์ไปเถอะผู้กอง ผมขอร้อง ผมไหว้ล่ะ”
“ถึงไงคืนนี้พวกนายก็หนีไม่พ้นอยู่ดี” จงใจพูดกับนางสิงห์ “เชื่อชั้นเถอะนะนางสิงห์ มอบตัวซะ โทษหนักจะได้เป็นเบา”
“ไม่ ชั้นยอมตายซะเลยดีกว่าสารวัตรดนัยเป็นพวกเดียวกับเสี่ยเล้งมันต้องฆ่าชั้นแน่” นางสิงห์ไม่ยอม
ธัมโมเกลี้ยกล่อมต่อ “ก็ยังดีกว่าตายตอนนี้ มอบตัวซะ แล้วชั้นจะคุ้มครองเธอเอง”
“ชั้นไม่ยอมแพ้หรอกผู้กอง คุณยังไม่รู้จักชั้นดี”
“จริงเหรอ…” ธัมโมเน้นหนักทุกถ้อยคำด้วยความสะเทือนใจ “นายเก่ง”

เก่งนิ่งงันไปคาดไม่ถึง ขณะที่ครูเพิ่มกับย้งหันมามองหน้ากันอย่างอึ้งๆ

นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 15 (ต่อ)

ธัมโมจ้องหน้าเก่ง อธิบายอย่างช้าๆ

“คุณวาสนาได้ยินนายย้งเรียกชื่อนายตอนถูกลักพาตัว ส่วนเท้านายก็มีรอยช้ำข้างเดียวกับนางสิงห์ มันมีอะไรอีกหลายที่ตำรวจอย่างชั้นควรรู้...รู้ว่านายเป็นใคร แต่เหตุผลเดียวที่ชั้นไม่รู้ก็เพราะ…เราสองคนใกล้ชิดกัน…”
ธัมโมทำใจอย่างหนัก ก่อนจะพูดประโยคนี้ออกมา “มันมากจนชั้นไม่อยากจะยอมรับความจริง ว่าคนที่ชั้นรักมากที่สุดคือจอมโจรนอกกฎหมาย”
เก่งน้ำตานองหน้า กัดฟันรวบรวมกำลังเพื่อยืนขึ้นแล้วชักปืนออกมาเล็งใส่ธัมโม
“กลับไปซะผู้กอง ถ้าไม่อยากตาย”
ธัมโมกับเก่งเผชิญหน้ากัน
“แกยิงพี่ลงเหรอ ไอ้เก่ง”
เก่งง้างนกปืน “ชั้นไม่เชื่อตำรวจหน้าไหนทั้งนั้น”
ธัมโมพูดด้วยดีๆ “จำได้มั้ย… ที่แกเคยให้พี่รับปาก…ว่าเมื่อไหร่ที่แกเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา พี่จะต้องไม่โกรธ ไม่เกลียดแก พี่ชายคนนี้รักษาสัญญาเสมอ พี่ยังเห็นแกเป็นคนรักของพี่ ไม่ว่าแกจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จะเป็นแค่ไอ้เก่งหรือนางสิงห์ชุดดำ ไม่มีอะไรในโลกนี้ มาเปลี่ยนหัวใจของพี่ได้เด็ดขาด”
เก่งยังไม่ยอมลดปืนลง ธัมโมสืบเท้าเดินมาหาช้าๆ ด้วยแววตาที่ร้าวราน
“เพราะทุกคำพูดของพี่คือความจริง แล้วแกล่ะ ยังรักพี่ชายคนนี้อยู่รึเปล่า”
เก่งนิ่งงันไป ทำเอาทุกคนลุ้นระทึก ที่สุดเก่งก็น้ำตาไหลพราก ค่อยๆลดปืนลง
“ชั้น…ชั้นขอโทษ พี่ธัมโม”
เก่งโผเข้ากอดร่างของธัมโมเอาไว้
จังหวะนั้น ยินเสียงไซเรนแว่วมา ครูเพิ่มกับย้งพากันแตกตื่น
“ตำรวจมาแล้ว” ครูเพิ่มร้องบอก
“ไอ้เก่งเอาไงวะ จะอยู่หรือจะหนี” ย้งลนลานร้อนใจมาก
เก่งสบตากับธัมโม ก่อนจะยื่นข้อมือให้ธัมโมสวมกุญแจ
“ชั้นจะมอบตัว”
ธัมโมเอื้อมไปคว้ากุญแจมือ แต่แล้ว..ก็ชะงักมองหน้าเก่ง
“เราไปด้วยกัน”
เก่งพยักหน้า ธัมโมคว้ามือของเก่งมากุมไว้ก่อนจะประคองกันออกไปจากโบสถ์ ทิ้งให้ย้งกับครูเพิ่มมองหน้ากันไปมา หลวงพ่อกับตาคงมองตาม
เสียงครูเพิ่มตะโกนตามหลัง “แล้วเราต้องมอบตัวรึเปล่าวะไอ้ย้ง”

ธัมโมกับเก่งเดินเคียงคู่ไปด้วยกันเพื่อมอบตัว ธัมโมช่วยประคองเก่งที่บาดเจ็บเอาไว้
“ชั้นคิดอยู่แล้ว ว่ามันต้องจบแบบนี้ ชั้นถึงได้บอกเลิกกับพี่” เก่งบอก
“ก็ยังดีนะ” ธัมโมยิ้มแย้ม “อย่างน้อยพี่ก็ได้รู้ซะทีว่าแกผู้หญิง”
เก่งหน้าเศร้าลง “แต่มันคงสายเกินไป”
ธัมโมพยักหน้าอย่างหมองเศร้า ทั้งคู่เดินแบกความทุกข์ในใจประคองกันไป

ดนัยพากำลังตำรวจมาถึงที่วัดบ้านไม้งาม และพาคนจะเข้าไปตรวจค้นในวัด แต่แล้วก็เห็นธัมโมกับนางสิงห์เดินมาด้วยกันลิบๆ
“ไอ้ธัมโม มันมาได้ยังไงวะ”
“สารวัตร นั่นมันนางสิงห์ชุดดำนี่ครับ” ไชโยบอก
โอฬารเพ่ง ตาโต “ฮึย นางสิงห์ที่ไหน นั่นมัน…ไอ้เก่งนี่หว่า”
ตำรวจต่างพากันงุนงงเมื่อรู้ว่าเก่งคือนางสิงห์ชุดดำ

“ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพี่จะอธิบายกับสารวัตรเอง” ธัมโมบอกเก่ง
เก่งพยักหน้า ธัมโมหันไปชูมือเป็นสัญญาณกับดนัย ตะโกนบอก
“สารวัตร นี่ผมเองครับผู้กองธัมโม”
ดนัยสีหน้าไม่พอใจนัก ยิ่งเมื่อจ่าไชโยเข้ามารายงาน
“สงสัยคนร้ายจะมอบตัวครับสารวัตร”
วินาทีนั้นเองที่ดนัยคิดแผนการขึ้นได้ เขาชักปืนยิงใส่ธัมโมกับเก่ง
ดนัยตะโกนก้อง “ระวังคนร้ายมีอาวุธ”
เก่งเห็นรีบบอก “หลบ”
ขาดคำเก่งดึงธัมโมเข้าหาที่กำบัง พ้นวิถีกระสุนไปฉิวเฉียด
ไชโยตกใจ “สารวัตร อะไรกันครับ”
ดนัยสั่งการ “มันเป็นกับดัก อย่าหลงกลพวกมัน ยิง ยิง”
ไชโยกับโอฬารมองหน้ากันอย่างงุนงง ขณะที่ตำรวจนายอื่นพากันทำตามคำสั่ง กระหน่ำยิงใส่ธัมโมและเก่งทันที

ด้านเบิ้มกับสมุนซึ่งจอดรถกระบะขวางถนน และถืออาวุธยืนคุมไม่ให้ใครเข้าออกหมู่บ้าน ต่างพากันแตกตื่นที่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น
“เสียงปืนดังมาจากแถววัดนี่หว่า สงสัยตำรวจต้องเจอคนร้ายแล้วแหงๆ”
สมุนถามขึ้น “เอาไงพี่เบิ้ม”
“ไปโว้ย แก้แค้นให้พ่อกำนัน
เบิ้มกับสมุนพากันขึ้นรถขับออกไป”

หลวงพ่อชุ่ม ตาคง ครูเพิ่ม และย้งรีบตามออกมาสมทบกับเก่งและธัมโมเมื่อได้ยินเสียงปืน
“อ้าวเฮ้ย อะไรกันอีกวะ ไหนเอ็งจะมอบตัวแล้วไงไอ้เก่ง” ตาคง
เก่งชักปืน “ไอ้ดนัยมันแหกตาพวกตำรวจ มันจงใจฆ่าเรา”
ธัมโมแค้นใจ “สารวัตร”
“เอ็งอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วไอ้เก่ง รีบหนีเหอะ” ย้งบอก
“จะหนีไปไหนพ้นล่ะไอ้ย้ง ยิงกระหน่ำขนาดนี้ อาตมายืนอยู่แท้ๆ ยังไม่มีใครสน” หลวงพ่อว่า
ครูเพิ่มคว้าปืนจากเก่งมาถือเอง “เอามาให้ข้า แล้วเอ็งกับผู้กองหนีไปซะข้าจะยิงสกัดเอง”
ธัมโมไม่ยอม “ไม่ได้นะครู ผมเป็นตำรวจ ถ้าทำแบบนั้น…”
ย้งฉุนแทนรีบตัดบท “โธ่เอ๊ย ผู้กอง เชื่อครูเพิ่มเถอะครับ ถ้าไอ้สารวัตรมันเห็นผู้กองเป็นพวกเดียวกับมัน มันคงไม่ทำแบบนี้หรอก”
“นั่นสิผู้กอง เผ่นก่อนเหอะ ไม่งั้นไอ้เก่งตายแน่”
ฟังครูเพิ่มแล้ว ธัมโมมองดูเก่งที่บาดเจ็บอยู่อย่างใคร่ครวญ

ทางด้านกำลังตำรวจ ไชโยกับโอฬารหมดความอดทนกับการกระทำของดนัย
“อ้าวเฮ้ย พอก่อน หยุด หยุดยิง” ไชโยสั่งไม่แคร์
ดนัยชะงัก “หยุดทำไมจ่า คนร้ายมันอยู่ในนั้นไม่เห็นหรือไง”
“เห็นครับสารวัตร แล้วก็เห็นด้วยว่า เค้าไม่ได้ยิงตอบโต้สักนัด” ไชโยว่า
โอฬารเสริม “นั่นสิครับสารวัตร นี่สารวัตรสั่งยิงทำไม ผมยังคิดไม่ออกเลยครับ”
ดนัยพูดไม่ออกเข่นเขี้ยวอย่างเจ็บใจ ระหว่างนั้นเบิ้มก็พาพวกมาถึง และรีบมาสมทบกับดนัย
“สารวัตร”
ดนัยเปลี่ยนแผน “นางสิงห์อยู่ข้างในกับไอ้ธัมโม” เหล่มองไชโยกับโอฬารแล้วกระซิบบอกเบิ้ม “พวกของไอ้ธัมโมมันขวางชั้น ที่เหลือนายจัดการเองละกัน”
“ได้เลยครับ” หันไปสั่งสมุน “เฮ้ยพวกเรา ลุย”
เบิ้มพาพวกสมุนดาหน้าเดินเข้าไปในวัด
ตาคงโผล่หน้าจากที่กำบังและเห็นพวกเบิ้มก็ตกใจ รีบรายงาน
“ไอ้เบิ้มมันบุกมาแล้วครู”
“ผมแค่ยิงขู่เฉยๆ ไม่ต้องห่วงนะผู้กอง”
“ชั้นเองดีกว่าครู ชั้นแม่นกว่า” ย้งบอก
ครูเพิ่มห้าม “เอ็งยังมีพ่อต้องเลี้ยงนะไอ้ย้ง ให้ข้าจัดการเถอะ”
ครูเพิ่มมองมาที่ธัมโมอีกครั้ง ธัมโมพยักหน้าก่อนจะพยุงเก่งลุกขึ้น
“ไปเก่ง”
“ระวังตัวด้วยนะครู”
ครูเพิ่มพยักหน้ารอจังหวะรีบบอก “ไป”
ครูเพิ่มโผล่ไปยิงใส่พวกเบิ้มและตำรวจ โดยจงใจยิงให้พลาดเป้าหมายไปหมด แต่เสียงปืนก็ทำให้พวกเบิ้มและตำรวจต่างลนลานหาที่กำบัง
“รีบไป”
ธัมโมพยุงเก่งไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์แล้วขับหนีไปอย่างรวดเร็ว
“นางสิงห์หนีไปแล้ว รีบตามไป” ดนัย
ครูเพิ่มพยายามยิงสะกัดไม่ให้ใครติดตามนางสิงห์จนถูกเบิ้มหรือสมุนยิงเข้าที่บ่าจนทรุดไป

“ครู” ย้งตกใจแทบช็อก!

ที่โรงพัก ยอดซึ่งนอนหมดสติอยู่ เริ่มรู้สึกตัวขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเปิดห้องขังข้างๆ เมื่อมองไปก็เห็นเสี่ยเล้ง พาเพลินตา และมิ่งมารับตัวลิ้นจี่

ลิ้นจี่ออกมาได้ก็ผวากอดเสี่ยเล้งทันที “เสี่ย เสี่ยขา ลิ้นจี่นึกว่าเสี่ยจะลืมลิ้นจี่แล้วซะอีก”
เสี่ยเล้งปลอบ “โธ่โถ ใครจะลืมลงจ๊ะลิ้นจี่ ในเมื่อลิ้นจี่ลำบากเพราะชั้นขนาดนี้ชั้นต้องตอบแทนให้สาสมสิจ๊ะ”
“กำนันศรตายแล้วครับคุณลิ้นจี่ ตอนนี้คุณเป็นอิสระแล้ว” มิ่งเอ่ยขึ้น
“นังลิ้นจี่ นังหนอนบ่อนไส้ เอ็งหักหลังพ่อกำนัน” ยอดลุกพรวดขึ้น ตะคอกด้วยความแค้นจัด
ลิ้นจี่ขึ้นเสียง “อะไร ! มาโวยวายทำไมยะ คิดว่าตัวเองยังจะซ่าได้อีกเหรอ ตอนเนี้ยแกเป็นหมาหัวเน่าแล้วย่ะจะบอกให้” ก่อนจะหันมาจ๊ะจ๋าอ้อนเสี่ยเล้ง “จริงมั้ยคะเสี่ยขา”
“หมาหัวเน่า? อะไรของเอ็งวะนังลิ้นจี่” ยอดชักเอะใจ “แล้วนี่ตำรวจจับข้ามาขังทำไมวะ”
เสี่ยเล้งยิ้มเย้ย “นี่เอ็งจำไม่ได้เลยเหรอวะไอ้ยอด ว่าเกิดอะไรขึ้น”
มิ่งเห็นยอดงงเลยบอกออกไป “เมื่อวานเอ็งบุกไปฆ่ากำนันศร ตำรวจเค้าบอกว่าเอ็งกับนางสิงห์ชุดดำเป็นพวกเดียวกัน”
ยอดช็อกไป และเริ่มจำเหตุการณ์ได้ลางๆ ว่าหลังจากปะทะกับเชิดผาดำ ตนก็ถูกสิงและบุกไปทำร้ายกำนันศร
“ไม่จริง ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำร้ายพ่อกำนัน ข้าเปล่าฆ่าพ่อกำนัน”

ครูเพิ่มซึ่งถูกสวมกุญแจมืออยู่ กำลังถูกโอฬารพาตัวมาหาสารวัตรดนัยที่นั่งเล่นมีดเจ็ดป่าอยู่ในห้องทำงาน
“แผลเป็นยังไงบ้างครู”
“ค่อยยังชั่วแล้วครับ”
“ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าขี้เมาอย่างครูจะใจเด็ดขนาดนี้” ขณะพูดดนัยอวดมีดเจ็ดป่าช้าไปมา “ครูจำไอ้นี่ได้มั้ย”
“มีดเจ็ดป่าช้า”
“ใช่ มีดเจ็ดป่าช้า หลอมจากตะปูเจ็ดป่าช้า” พลิกดูด้วยความสนใจ “ที่ใบมีดมีคาถาสลักไว้ ลือกันว่าขนาดเทวดายังกลัว”
“สารวัตรต้องการอะไร” ครูเพิ่มเข้าเรื่อง
“คุณวาสนาให้การว่าเห็นนางสิงห์เป็นคนแทงกำนันศรผมอยากให้ครูพูดแบบเดียวกัน แล้วเรื่องเมื่อคืนผมจะลดหย่อนผ่อนโทษให้”
“แล้วถ้าผมปฏิเสธ สารวัตรจะว่ายังไง” ครูเพิ่มว่าอย่างท้าทาย
ดนัยยิ้มร้ายเป็นเชิงบอกว่า…เอางั้นใช่มั้ย ได้เลย

เวลานั้นหลวงพ่อชุ่มกับตาคงกำลังให้ปากคำกับจ่าไชโย ตรงโถงโรงพัก
“ตกลงตอนนั้นหลวงพ่อทำอะไรอยู่ครับ”
“อาตมากำลังสวดมนต์”
ไชโยหันมาทางตาคง “แล้วลุงอ่ะ”
“อาตมา.. เอ้ย ชั้นก็นั่งเป็นเพื่อนหลวงพ่อจ้ะ”
ย้งให้ปากคำกับหมู่โอฬารอยู่เช่นกัน
“แล้วทำไมเอ็งถึงอยู่ที่วัด” โอฬารซัก
“คือช่วงนี้ผมดวงไม่ดีน่ะหมู่ ผมก็เลยไปสวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร”
“แล้วดีขึ้นมั้ย” โอฬารประชด
ย้งยิ้มแหยๆ ชูให้ดูข้อมือที่สวมกุญแจมืออยู่ โอฬารส่ายหัวเซ็งๆ แล้วจดบันทึก ระหว่างนั้นก็เหลือบไปเห็นเพ็ญพรที่เดินมาดูอยู่ห่างๆ
ย้งพยักหน้าทักทายให้เพ็ญพรก่อนจะชะงักเมื่อเห็นใครบางคน เพ็ญพรหันไปเจอดนัยที่เดินมามองหน้าจับอาการ
“ผู้หมวด”
“คะ สารวัตร”
“เมื่อคืนผมให้คุณเฝ้าผู้กองธัมโม แล้วเค้าหนีออกไปได้ยังไง”
เพ็ญพรออกอาการส่อพิรุธ “เอ่อ ไม่ทราบสิคะ พอชั้นไปเข้าห้องน้ำ เค้าก็หายตัวไป”
ดนัยเหน็บ “ไม่ยักรู้ว่าเค้าสะเดาะกุญแจมือได้”
เพ็ญพรรีบบอก “นั่นสิคะ”
“แต่ไม่เป็นไร ถึงไงเค้าก็คงหนีไม่พ้นอยู่ดี” เห็นเพ็ญพรมีสีหน้าสงสัย “พวกนายเบิ้มกำลังตามล่านางสิงห์ คิดว่าคงได้ตัวเร็วๆ นี้”
เพ็ญพรใจหายวาบ

ตรงแถวชายป่าแห่งหนึ่งรถมอเตอร์ไซค์ของธัมโมจอดทิ้งอยู่ ก่อนที่รถกระบะของเบิ้มและสมุนจะแล่นมาแถวนั้น
“แสดงว่ามันต้องเดินเท้าแน่ๆ ถึงได้ทิ้งรถเอาไว้” เบิ้มมองครุ่นคิด “มันจะเข้าป่าไปหาใครวะ”
“ชั้นว่าเรารีบตามกันเถอะพี่ บาดเจ็บแบบนั้นมันหนีไปไม่พ้นหรอก”

ธัมโมกำลังประคองเก่งเดินมาตามป่าซึ่งค่อนข้างกันดาร สีหน้าเก่งค่อนข้างย่ำแย่เพราะอาการบาดเจ็บ
“แน่ใจนะว่าเรามาถูกทาง”
“อีกเดี๋ยวก็ถึง”
“แต่เราเดินทางมาทั้งคืนแล้วนะ พี่ว่าเธอพักก่อนดีกว่า”
เก่งงง ไม่คุ้นสรรพนาม “เธอ”
“ก็ใช่สิ เป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอเรา”
เก่งยิ้มรับอย่างอ่อนเพลีย ธัมโมประคองให้นั่งลง
“รออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะไปหาน้ำมาให้”
ธัมโมเด็ดใบไม้ใหญ่มาพับเป็นกรวยเพื่อตักน้ำในลำธารไปให้เก่ง แต่แล้วพวกเบิ้มก็เดินมาโผล่ที่ฝั่งตรงข้ามลำธารพอดี
เบิ้มตะโกนก้อง “เฮ้ย มันอยู่นั่น”
ธัมโมรีบวิ่งหนีไป
“ตามไป ฆ่านางสิงห์ให้ได้” เบิ้มสั่งลูกน้อง
เก่งซึ่งกำลังนั่งพักอยู่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นธัมโมวิ่งกลับมา
“พี่ธัมโม”
“พวกมันตามมาแล้ว ไปเร็ว”
ธัมโมประคองเก่งวิ่งหนีไปมาจนถึงตรงบริเวณป่าละแวกถ้ำโจรสามเศียร
จังหวะที่ธัมโมกำลังพาเก่งหนี โดยมีเบิ้มและสมุนกำลังตามไล่ล่า เก่งเกิดเสียหลักล้มลง
“เก่งเป็นยังไงบ้าง”
“พี่ธัมโมหนีไปก่อน ชั้นไปไม่ไหวแล้ว”

ธัมโมหน้าเสีย ยิ่งเมื่อหันไปเห็นพวกเบิ้มกำลังวิ่งตามมาไม่ลดละ

นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 15 (ต่อ)

ธัมโมพาเก่งหนีการไล่ล่าของเบิ้มมาถึงบริเวณป่าละแวกถ้ำโจรสามเศียรแล้ว แต่เก่งบาดเจ็บเกินกว่าจะไปต่อได้ และพวกเบิ้มก็ไล่มาจนทัน

ธัมโมรีบชักปืนออกมาขู่ เบิ้มชะงักไปนิดนึง ก่อนจะโบกมือห้ามสมุนไม่ให้ใช้กำลัง
“แหมๆ ผู้กอง ยังคิดจะสู้อีกเหรอครับ สภาพแบบนี้ผมว่ายอมแพ้ดีกว่ามั๊ง”
“ถ้านายขืนเข้ามาอีกก้าวเดียวชั้นขอสู้ตาย”
เบิ้มถอนใจ “เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ในเมื่อผู้กองอยากรนหาที่” บุ้ยหน้ากับสมุน “เฮ้ย จัดการ”
สมุนของเบิ้มทำท่าจะยกปืนเล็งใส่ธัมโม ทันใดนั้นเองเสียงปืนก็ดังรัวขึ้นถี่ยิบ ใครบางคนที่ซุ่มอยู่ได้ยิงใส่พวกของเบิ้มจนปืนหลุดมือ
“เฮ้ย ใครวะ”
เบิ้มโมโห และขาดคำปืนในเบิ้มก็ถูกยิงจนหลุดไปด้วยเช่นกัน ธัมโมกับเก่งต่างประหลาดใจ
เก่งรำพึง “หรือว่า…”
เสียงเสือเทพตะโกนก้อง “พวกเอ็งฟังให้ดี ที่นี่เป็นถิ่นของโจรสามเศียร ถ้าไม่อยากตายก็รีบไสหัวไปซะ”
เบิ้มประหลาดใจ “แต่พวกเรา…เย้ยย”
เบิ้มไม่ทันอธิบาย เสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด พื้นถูกยิงจนฝุ่นตลบ
“เฮ้ยไปโว้ย ถอยก่อน ถอย”
พวกเบิ้มรีบล่าถอยจากไป
“พวกมันไปกันแล้วเก่ง เราปลอดภัยแล้ว” ธัมโมบอก
เสือยักษ์โผล่ออกมา “เออมันไปแล้ว แต่ทำไมเอ็งยังอยู่อีกวะ ไอ้หนุ่ม”
ธัมโมกับเก่งมองไปเห็นโจรสามเศียรเดินมายืนข้างหลังตอนไหนไม่รู้
“พ่อ ลุงยักษ์ อาเทพ” เก่งร้องออกมาอย่างดีใจ
นั่นเป็นครั้งแรกที่ธัมโมเผชิญหน้ากับโจรสามเศียร

ที่โรงพักบ้านไม้งาม มิ่งกำลังเกลี้ยกล่อมยอดให้มาเข้าพวกกับตน
“อย่าเล่นตัวน่าไอ้ยอด ติดคุกแล้วมันได้อะไรขึ้นมาวะนายเอ็งก็ตายไปแล้ว ทำไมเอ็งไม่มาทำงานกับข้า”
“ให้ข้าไปรับใช้เสี่ยเล้ง ศัตรูของพ่อกำนัน ข้ายอมตายดีกว่า”
“ตามใจเอ็ง นี่เห็นว่าเอ็งเป็นเพื่อนหรอกนะ ข้าถึงบอกบุญให้”
มิ่งสะบัดตัวไปจากห้องขัง มีพลตำรวจคุมห้องเดินตามออกไป
ยอดคั่งแค้นหนัก “ไอ้เสี่ยเล้ง สักวันข้าต้องแก้แค้นให้ได้”
ย้งกับครูเพิ่มนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งในห้องขังรวมเดียวกัน
ย้งบ่น “เฮ้อ ดูพูดเข้า อย่าว่าแต่ออกไปเลย จะโดนเก็บรึเปล่าก็ยังไม่รู้”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกไอ้ย้ง ถ้าเดาไม่ผิด มันคงขังเราไว้อีกนานจนกว่า…” ครูเพิ่มพูดชวนคิด
ย้งหูผึ่ง “อะไรเหรอครู”
ครูเพิ่มชะเง้อดูให้แน่ใจว่าไม่มีคนอื่นจึงบอกย้ง “มันจะล่อนางสิงห์ให้มาช่วยพวกเรา”

มิ่งกลับขึ้นรถที่หน้าโรงพัก มีเชิดผาดำยืนเต๊ะจุ๊ยรออยู่
“เฮ้อ เสียเวลาเป็นบ้า ไอ้ยอดนะไอ้ยอด ทำไมถึงได้ดื้อด้านแบบนี้วะ”
เชิดไม่สนใจเรื่องที่มิ่งบ่น “พวกของนางโจรถูกขังอยู่ที่นี่เหรอ”
“เออ! เสี่ยเค้าอยากให้แกมาเฝ้าที่นี่เผื่อนางสิงห์โผล่มาเมื่อไหร่ จะได้จัดการกับมัน”
“ไม่จำเป็น ข้ามีวิธีอื่น”
เชิดผาดำเดินไป มิ่งมองตาม เห็นเชิดหยิบก้อนกรวดขึ้นมาเม็ดหนึ่ง แล้วกำไว้ก่อนจะท่องคาถาขมุบขมิบใส่ มิ่งมองอย่างสงสัยว่าเชิดจะทำอะไร
ครั้นพอเชิดผาดำแบมือออก ก้อนกรวดนั้นก็กลายเป็นแมลงวันบินหายไปในโรงพัก

เพ็ญพรเดินหยิบเอกสารเข้ามายื่นตรงหน้าวาสนาในห้องทำงานดนัย “ช่วยเซ็นรับคำให้การด้วยค่ะ”
พอวาสนาเซ็นเสร็จ เพ็ญพรก็ส่งเอกสารนั้นให้ดนัย
“ผมเสียใจด้วยนะครับเรื่องกำนันศร ทางเราจะรีบติดตามคนร้ายมาลงโทษโดยเร็วที่สุด”
“จริงเหรอคะสารวัตร ชั้นนึกว่าสารวัตรจะสนใจแต่เรื่องติดตามรับใช้เสี่ยเล้งซะอีก” วาสนาเหน็บ
เพ็ญพรเห็นดนัยชักสีหน้าก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “เอ่อ คุณหมอวาสนากำลังสะเทือนใจอยู่ ชั้นว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยค่ะ เอาเป็นว่าถ้าคุณหมออยากให้ช่วยอะไร ก็บอกพวกเราได้นะคะ พวกเรายินดี”
วาสนามองเพ็ญพรแล้วคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

ย้งถลามาเกาะลูกกรงทันทีที่เห็นเพ็ญพรพาวาสนาเข้ามาเยี่ยม
“น้องวาสนา”
วาสนาทักเสียงเย็นชา “นายย้ง”
ย้งรู้สึกถึงความห่างเหินก็ชะงักอึ้ง “อ้าว นี่ผมโดนลดสถานะแล้วเหรอครับ”

วาสนามองยอด ย้ง และครูเพิ่ม “ชั้นไม่อยากเชื่อเลยว่าทุกคนจะเป็นพวกนางสิงห์ชุดดำ แถมยังรวมหัวกันฆ่าพ่อชั้น”
“คุณวาสนา ผมไม่ได้ฆ่าพ่อกำนันนะครับ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด” ยอดอธิบาย
“ผมยืนยันได้ครับคุณหมอ คนที่ฆ่ากำนันศร มันเป็นปีศาจชัดๆ คุณหมอก็เห็นนี่ครับว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่กำนันศรจะเสียชีวิต” ครูเพิ่มเสริม
วินาทีนั้นวาสนาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเหตุกาณ์ที่กำนันศรบีบคอเธอ
“แต่ชั้นเห็นนางสิงห์ฆ่าพ่อของชั้น” วาสนาบอก
“มันเป็นเหตุสุดวิสัยครับคุณวาสนา เชื่อพวกผมเถอะครับ”
เพ็ญพรเห็นปลอดคนนอก ก็เข้ามาสมทบ “บอกตามตรงนะคะคุณหมอชั้นเองก็เชื่อพวกเค้า คนร้ายตัวจริง..ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ”
วาสนาเริ่มลังเล โดยไม่มีใครสังเกตเลยว่ามีแมลงวันอาคมที่เชิดผาดำเสกได้บินเข้ามาในห้องขังแล้ว

เวลาเดียวกันในถ้ำโจรสามเศียร เสือพรายเปิดดูแผลของเก่งที่เกิดจากฤทธิ์มีดเจ็ดป่าช้า เห็นรอบบาดแผลมีรอยช้ำสีม่วงแผ่ซ่านอยู่
เสือพรายหนักใจ “มีดเจ็ดป่าช้ามีคุณไสยในตัวของมัน ถึงเอ็งจะรอดตายมาได้ แต่บาดแผลของเอ็งก็มีมนต์ดำแฝงอยู่”
“แล้วชั้นจะตายรึเปล่าพ่อ” เก่งใจเสีย
เสือพรายรีบบอก “ฮึย พูดบ้าๆ จอมโจรระดับเสือพราย ให้ล้างคุณไสยแค่นี้เรื่องขี้ผงโว้ย เอ็งวางใจเถอะไอ้ลูกรัก”
เสือพรายลูบหัวเก่งด้วยความปราณี เก่งรู้สึกอบอุ่นใจ

ด้านเสือเทพรินเหล้าใส่จอกไม้ไผ่ให้ธัมโม เช่นเดียวกับเสือยักษ์ที่ปิ้งปลาเลี้ยง
“เอ้าดื่มให้เต็มที่ไอ้หนุ่ม ไม่ต้องเกรงใจ ในเมื่อเอ็งอุตส่าห์เสี่ยงตายช่วยหลานข้าเอาไว้ ข้าต้องตอบแทนให้สาสม” เสือพรายบอก
ธัมโมยิ้ม “ขอบคุณครับลุง”
เสือเทพสะดุดหู “เฮ้ย หนักไปมั้ง อายุไล่เลี่ยกัน เรียกพี่ก็พอ”
“ครับพี่”
ธัมโมว่าแล้วก็จิบเหล้าหน้าเหยเก ก่อนจะไอแค่กๆ ออกมาเพราะแสบคอ เสือเทพกับเสือยักษ์หัวเราะชอบใจ

เสือยักษ์ชอบใจ “ฮ่าๆ เหล้าป่าโว้ย ไม่ใช่เหล้าเมือง ค่อยๆจิบ อย่าใจร้อน”
ระหว่างนั้นเสือพรายก็กลับออกมาจากถ้ำหลังจากทำแผลให้เก่งเสร็จ
เสือเทพหันไปถมาม “ไงวะไอ้พราย อาการมันเป็นยังไงบ้าง”
“ค่อยยังชั่วแล้ว ต้องขอบใจไอ้หนุ่มนี่ที่รีบพามาส่งไม่งั้นลูกข้าคงถึงฆาต” เสือพรายบอก
เสือยักษ์สงสัยขึ้นมา “เออจริงสิ ว่าแต่เอ็งทำงานอะไรวะไอ้หลานชาย แล้วรู้จักกับหลานข้าได้ยังไง”
ธัมโมอึกอัก “เอ่อ..ผม…คือผม…ผมเป็นตำรวจครับ”
พอได้ยินเสือเทพกับเสือยักษ์ปาจอกเหล้าทิ้ง แล้วชักปืนออกมาทันที เสือพรายรีบห้าม
“เฮ้ยหยุด ใจเย็นก่อน ตำรวจหรือโจรก็ช่างเถอะ แต่มันช่วยนังแก้วลูกสาวข้าเอาไว้”
ธัมโมงง “แก้ว”
เสือเทพแปลกใจ “ใช่ เอ็งไม่รู้หรือไง ว่าหลานข้าชื่อจริง ชื่อนังแก้ว”

ธัมโมเข้าใจแล้วว่าเก่งเป็นใคร

คืนนั้นธัมโมเข้ามาเยี่ยมอาการของเก่งที่นอนพักอยู่ในถ้ำ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปอังที่หน้าผากของเธอเบาๆ สักครู่เก่งก็ลืมตาขึ้นด้วยท่าทางอ่อนเพลีย

“พี่ธัมโม”
“เราเป็นยังไงบ้าง”
“พรุ่งนี้ก็คงหาย แล้วพี่ล่ะ”
“พี่ต้องไปแล้ว พอรุ่งสางเมื่อไหร่พี่จะออกเดินทาง” ธัมโมบอก
เก่งชะงัก “อะไรนะ” แข็งใจลุกขึ้นนั่ง “พี่จะไปไหน”
“พี่ต้องเข้ากรุงเทพฯ เพื่อชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะสารวัตรดนัยคงต้องใส่ร้ายพี่กับทางผู้ใหญ่อีกแน่”
“แล้วถ้าเจ้านายพี่ไม่เชื่อ ถ้าพี่ถูกจับขึ้นมาล่ะทำไมพี่ไม่หนีไปที่อื่น หรือหลบอยู่กับชั้นที่นี่ก็ได้” เก่งว่า ท่าทีกังวลใจหนัก
ธัมโมบอกอย่างทำใจ “พี่ต้องเผชิญหน้ากับความจริง ถ้าขืนหลบหนีต่อไปก็เท่ากับว่าพี่ยอมรับผิด” กุมมือเก่ง “สัญญากับพี่นะ อย่ากลับไปที่บ้านไม้งามอีกจนกว่าจะได้ข่าวจากพี่”
เก่งกังวลไม่หาย “พี่ธัมโม”
ธัมโมให้คำมั่น “ไม่ต้องห่วง พี่จะรีบกลับมา”
เก่งผวาตัวกอดธัมโมเอาด้วยความกังวล

ที่หน้าเรือนบ้านกำนันศร วันต่อมา เบิ้มกับสมุนกำลังตระเตรียมอาวุธเพื่อย้อนกลับไปล้างแค้น
เบิ้มบรรจุกระสุนไปบ่นไป “เจ็บใจนักไอ้พวกโจรสามเศียร บังอาจมาลูบคมไอ้เบิ้ม วันนี้ล่ะข้าต้องกลับไปคิดบัญชีกับพวกมัน”
สมุนเหลือบเห็น รีบบอก “พี่เบิ้ม มีคนมา”
เบิ้มบรรจุกระสุนเสร็จพอดี มันรีบหันไปและเห็นเป็นเชิดผาดำ
“เอ็งเป็นใครวะ มาที่นี่มาทำไม”
“เสี่ยเล้งให้ข้ามาบอกกับพวกเอ็ง ว่ากิจการทุกอย่างที่เคยเป็นของกำนันศร ตอนนี้ตกเป็นของเสี่ยเล้งหมดแล้ว ถ้าพวกเอ็งฉลาด ก็ย้ายมาอยู่ข้างเสี่ย แต่ถ้าพวกเอ็งอยากตาย ก็ลองดู” เชิดขู่อยู่ในที
“หนอยไอ้หงอก เอ็งนั่นแหละที่ต้องตาย”
เบิ้มยกปืนขึ้นเล็ง เชิดผาดำรีบยกฝ่ามือทั้งสองขึ้น ร่ายคาถา
“วายุธาตุ”
ร่างของเบิ้มและสมุนกระเด็นกระดอนแยกกันไปคนละทางเหมือนโดนระเบิด
เบิ้มสำลักดินสำลักหญ้าจุกปาก พอตั้งหลักได้ก็รีบคลานไปหาปืน แต่เชิดผาดำก็เดินมาเหยียบไว้เสียก่อน มันกระชากคอเบิ้มให้ยืนขึ้น
“หึๆๆ เอ็งกับข้านี่ดวงสมพงษ์กันดีแท้ ไปๆมาๆ ก็เจอกันอีกจนได้”
“อะไรของเอ็งวะ ข้าเคยเจอกับเอ็งที่ไหน”
เชิดผาดำยิ้มรับ ก่อนจะจับเบิ้มโยนตัวลอยละลิ่วไปกระแทกพื้น
“ทีนี้จำได้รึยังวะ ฮ่าๆๆๆ”
พวกสมุนของเบิ้มพากันหวาดกลัว เชิดผาดำหัวเราะแต่ละทีเหมือนมีพลังเคลื่อนไหวอยู่รายรอบ ลมกรรโชกแรงราวกับมีพายุมาเยือน

ที่ห้องรับประทานอาหารบ้านเสี่ยเล้ง เพลินตานั่งประชุมอยู่กับบรรดาพ่อค้า โดยมีสมุนคอยยืนคุ้มกันอยู่ห่างๆ
“ขอบคุณบรรดาพ่อค้าและเจ้าของกิจการในบ้านไม้งามทุกท่านสาเหตุที่ชั้นเชิญทุกคนมาในวันนี้ ก็เพื่อหารือเรื่องการตายของกำนันศร เป็นที่รู้กันว่าการตายของกำนันศรทำให้บ้านไม้งามขาดผู้ดูแล เสี่ยเล้งหรืออาป๊าของชั้นจึงอยากอาสาเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการเก็บค่าคุ้มครองต่างๆ แทนกำนันศรเพื่อนรักของท่าน นับจากนี้เป็นต้นไป”
บรรดาพ่อค้าต่างฮือฮาส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันขรม
พ่อค้าคนหนึ่งแหลมขึ้น “อะไรกันหนูเพลินตา กำนันศรเป็นถึงกำนัน แถมยังเคยช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน แกถึงมีสิทธิ์ทำแบบนั้น”

พ่อค้าอีกคนเสริม “นั่นสิ แล้วเสี่ยเล้งเป็นใคร ใหญ่มาจากไหนพวกเราถึงต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้”
อีกคนบอก “ใช่ อย่านึกว่ามีอำนาจแล้วอั๊วจะกลัวนะโว้ย อั๊วจะแจ้งความกับตำรวจ คอยดูสิ”
พ่อค้าคนนั้นพูดจบก็มีมือของดนัยโผล่มากุมกดบ่า
“แจ้งเรื่องอะไรเหรอเถ้าแก่”
“สารวัตร” พ่อคนดวงกุดตกใจ
ดนัยยิ้มรับและเดินไปยืนโอบบ่าเพลินตาอย่างสนิทสนม
“เพื่อความเป็นระเบียบของบ้านไม้งาม และเพื่อความสงบสุขในชีวิตของพวกคุณ เรื่องนี้ผมขอเสนอว่า…” ดนัยยิ้มขำวางอำนาจเต็มที่ “จ่ายมาซะดีๆ”
พ่อค้ามองหน้ากันอาการสลดหดหู่

กลางป่าลึกวันเดียวนั้น คนงานของเสี่ยเล้ง กำลังตัดไม้ทำลายป่าอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย มีเสี่ยเล้งยืนคุมงานอยู่โดยมีสมุนคอยกางร่มให้ สักครู่มิ่งก็เข้ามารายงาน
“เรียบร้อยครับเสี่ย พวกไอ้เบิ้มยอมจำนนแล้ว ส่วนพวกพ่อค้าก็ยอมจ่ายค่าคุ้มครองให้เราทุกคน”
เสี่ยเล้งพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะได้ยินเสียงฟ้าร้องดังครืนๆ แว่วมา
“จวนถึงหน้าฝนเต็มที นี่ถ้าเรามีโรงไม้ก็คงทำงานสะดวกขึ้น”
มิ่งท้วง “ไม่ไหวหรอกครับเสี่ย ถ้าเกิดมีใครมาเห็นเข้า…”
เสี่ยเล้งดุ “เห็นแล้วทำไมวะ ใครหน้าไหนจะกล้ามีปัญหากับเสี่ยเล้ง” มองไปเบื้องหน้า “ตอนนี้บ้านไม้งามตกเป็นของข้าแล้วข้าไม่ต้องกลัวใครทั้งนั้น”

พ้นจากกำนันศร บ้านไม้งามตกอยู่ใต้อำนาจและอิทธิพลของเสี่ยเล้ง แล้ว

ยินเสียงเคาะประตูโบสถ์ดังขึ้น ตาคงย่องมาเปิดประตูและเห็นคนที่มาคือไชโยกับโอฬาร
“ปลอดภัยแน่นะจ่า”
ไชโยพยักหน้า “เออ มากันแค่สองคน ไม่มีคนอื่น”
“เอาจริงนะ ไม่มีใครเห็นแน่นะ” ตาคงย้ำ
“เออ! จะมีใครเห็นก็เพราะแกนี่ละตาคง เปิดซะทีสิโว้ย มัวถามอยู่ได้”
ตาคงรีบเปิดประตูให้ จ่ากะหมู่คู่หูมองเห็นธัมโมนั่งรออยู่กับหลวงพ่อชุ่มก็ดีใจ ร้องขึ้นพร้อมกัน
“ผู้กอง”

เวลาผ่านไป หลวงพ่อชุ่ม ธัมโม ตาคง ไชโย และโอฬาร นั่งสนทนาอยู่ด้วยกัน
“ผมตั้งใจว่าจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เป็นห่วงทางนี้ก็เลยแวะมาถามข่าว”
“ทางนี้ยังไม่มีใครเป็นอะไรหรอกครับผู้กอง แต่สถานการณ์ค่อนข้างย่ำแย่เต็มที” ไชโยบอก
โอฬารเสริม “ครูเพิ่มกับไอ้ย้งถูกขังอยู่ครับ เพราะโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับนางสิงห์ชุดดำ ส่วนเสี่ยเล้งก็ตั้งตัวเป็นใหญ่แทนกำนันศร แถมยังมีสารวัตรดนัยคอยให้ท้ายอีกต่างหาก”
ไชโยบอกอีก “สารวัตรประกาศจับผู้กองด้วยครับ ทำอย่างกับผู้กองเป็นคนร้าย”
ธัมโมทำใจอยู่แล้ว “แล้วพอจะรู้รึยังว่ามือสังหารตัวจริงที่ฆ่ากำนันศรเป็นใคร”
“ยังไม่ทราบเลยครับ แต่ดูเหมือนว่าเสี่ยเล้งจะได้สมุนหน้าใหม่ฝีมือดีมาคนนึง ไอ้หมอนั่นมีรอยสักอยู่ที่หลังฝ่ามือ”
“รู้ชื่อมันรึเปล่า” ธัมโมซัก
“เอ ดูเหมือนจะชื่อเชิด หมาดำใช่มั้ยหมู่”
โอฬารแก้ให้ “ผาครับจ่า ผาดำ ไม่ใช่หมาดำ”
“เอ่อนั่นแหละครับ เชิด ผาดำ” ไชโยสรุป
หลวงพ่อชุ่มชะงัก รำพึงออกมา “เชิด ผาดำ”
ตาคงประหลาดใจ “หลวงพ่อรู้จักด้วยเหรอครับ”

หลวงพ่อชุ่มมองหน้าทุกคน สีหน้ากังวลฉายชัด

โปรดติดตาม "นางสิงห์สะบัดช่อ" ตอนต่อไป  
กำลังโหลดความคิดเห็น