ชิงนาง ตอนที่ 15
วันเดียวกัน ที่บ้านแสนสมุทรยามนั้นเหตุการณ์ตึงเครียดมาคุสุดๆ พฤกษ์โดนอนุตตบฉาดใหญ่ ศรีดาราร้องไห้โฮโผเข้าห้าม
“พอเถอะค่ะ อย่าทำอะไรลูกเลย”
“ลูกเหรอ แกมันยังเป็นลูกฉันอยู่เหรอไอ้พฤกษ์? เสียแรงที่ฉันไว้ใจแกฉันเชื่อมาโดยตลอดว่า แกจะเป็นผู้นำของแสนสมุทรสืบต่อจากฉันได้ ฉันไม่น่าไว้ใจแกเลย” ปราดเข้าไปตบๆๆ ไม่ยั้ง
เมฆาปราดเข้าไปช่วยแยกอนุตออกมา
“พ่อครับ พ่อไม่สบายอยู่นะครับ”
“ดี! ให้ฉันตายๆ ไปซะเลยยังจะดีกว่าต้องทน เห็นความอัปยศอดสูของแสนสมุทร” ชี้หน้าด่าพฤกษ์ “แกรู้มั้ยไอ้พฤกษ์ แกเกือบจะทำให้ทุกคนต้องตายเพราะแก เพราะแกคนเดียว”
อนงค์สะดุ้งรีบกระทุ้งให้โฉมไฉไลแสดงละคร
โฉมไฉไลตบอก หน้าตาเหลอหลา “คุณพระช่วย พฤกษ์...พฤกษ์ทำอะไรเหรอคะ คุณพ่อ”
พฤกษ์หันขวับมองโฉมไฉไลกับอนงค์ตาเขียว คิดในใจก็เพราะแม่เธอนั่นแหละ
อนงค์ตอแหลสุดๆ “นั่นสิจ๊ะ...พฤกษ์ พฤกษ์ไปทำอะไรไม่ดีไว้เหรอลูก”
พฤกษ์อึ้งกับความตอแหลของสองแม่ลูก
เมฆามองหน้าพฤกษ์ “พี่พฤกษ์...ริอ่านไปเล่นการพนันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
พฤกษ์อึ้ง พูดไม่ออก
เมฆาคาดคั้นซ้ำเติม “คิดยังไงถึงได้ไปยุ่งกับเรื่องแย่ๆ แบบนั้น”
พฤกษ์อึ้งมองจ้องเมฆา คิดในใจว่าจะซ้ำเติมกันไปถึงไหน
“ขี้เมาหยำเป” อนุตด่า พร้อมกับตวัดสายตามองโฉมไฉไล “ผัวไปทางเมียไปทาง”
โฉมไฉไลสะดุ้งหน้าเจื่อนจ๋อย
“ตกนรกคนเดียวไม่พอ ยังจะลากเอาพ่อแม่พี่น้องไปตายด้วย” อนุตของขึ้นอีกปรี่เข้าไปทุบตัวพฤกษ์พัลวัน ปากก็ด่าไป “แกมันลูกทรพี...ไอ้พฤกษ์ๆๆๆๆๆ ไอ้ตัวซวยๆๆ”
พฤกษ์ยอมให้พ่อทุบตีโดยไม่สู้ซักนิด เพราะผิดจริงเลวจริง
ศรีดาราร้องไห้ ใจจะขาดแล้ว บอกเมฆา “เมฆา..ห้ามพ่อสิลูก..ช่วยพี่ด้วย...ฮือๆ”
เมฆากอดแม่ไว้ “อย่าห้ามเลยครับ...สมควรแล้ว”
ศรีดาราผงะ “เมฆา” ปล่อยโฮออกมาอย่างคับแค้นใจ
วงเดือนส่งสายตาอ้อนวอน “คุณเมฆา…ห้ามคุณพ่อเถอะค่ะ”
เมฆาไม่อยากดูใจดำในสายตาวงเดือน ก็จำใจจะเข้าไปแยกอนุต แต่ไม่ทันได้แยก จู่ๆ อนุตก็เจ็บหน้าอกขึ้นมาทันที
“โอ๊ย”
“คุณพ่อ” เมฆากับวงเดือนกรูเข้าไปดูอนุตเร็วรี่ ศรีดาราปรี่ไปกอดพฤกษ์ไว้
เมฆาดูอาการแล้วตกใจ “เดือน เราต้องพาคุณพ่อส่ง โรงพยาบาล”
วงเดือนตกใจ “ค่ะ”
พฤกษ์ กับศรีดาราทันทีชะงัก เมฆากับวงเดือน พยุงอนุตออกไปหน้าเรือนแล้ว
ศรีดาราตระหนก “คุณ”
พฤกษ์รู้สึกผิดมาก “พ่อ”
สองแม่ลูกลุกพรวดตามไป
ขณะที่สองแสบแม่ลูกนั่งอึ้ง บื้อใบ้กันอยู่แค่ 2 คน โดยเฉพาะโฉมไฉไลยังมึนกับเรื่องวุ่นวายโกลาหลที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน
“อะไรกันเนี่ย? นี่มันวันโลกาวินาศอะไรกันเนี่ย โอ๊ย..อยากจะบ้าตาย”
อนงค์ตั้งสติได้ก่อน “แกยังตายไม่ได้นังโฉม! รีบตามมันไป รพ.เร็วสิ!”
“โอ๊ย จะไปทำไม ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากเห็นพวกมันตายกันอีกคน แค่นี้ก็กลัวผีจะแย่แล้ว” โฉมไฉไลวี้ด
อนงค์ตีแขนลูกสาวเผียะ “กลัวไม่ได้!! ถ้ามันตายขึ้นมาจริงๆ เราต้องตามไปแบ่งมรดกมันก่อน!! เดี๋ยวอีนังวงเดือนมันก็ฮุบไปคนเดียวหมดหรอก”
โฉมไฉไลนึกได้ “เออ..จริงด้วย”
อนงค์ผลักอย่างแรง “ก็ไปสิ..เร็ว”
สองแม่ลูกทะยานออกไปด้วยแรงริษยา
มองตามขวดน้ำเกลือเอย ขวดเลือดเอย ที่ระโยงรยางค์อยู่ข้างเตียงคนไข้ เห็นเป็นภูผานอนหลับอยู่โดยมีหนูนานั่งจ้องหน้าตาไม่กะพริบอยู่ใกล้ๆ สักพักหนูนาเริ่มตาปรอยสัปหงก ก่อนจะสะดุ้ง สะบัดหัวไล่ความง่วงให้ตัวเองตื่น
ภูผาปรือตาเริ่มขยับเหมือนจะรู้สึกตัว หนูนาตาโตหายง่วงทันที
หนูนาดีใจ “คุณภูผา คุณภูผาฟื้นแล้ว คุณภูผาไม่ตายแล้ว”
หนูนาโผเข้ากอดภูผาเต็มแรง จนภูผาสะดุ้งเฮือก
ภูผาร้องแต่แทบจะไม่มีเสียง “โอ๊ย”
หนูนาตกใจ “โอ๊ย ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ คุณไม่เป็นไรนะ” จับมือมากุม “ฉันขอโทษ”
ภูผาเหนื่อยใจ เบือนหน้าไปทางหน้าต่างอย่างโรยแรง
ที่โรงพยาบาลในเวลาเดียวกันเมฆากำลังห่มผ้าให้อนุตที่มองมายังเมฆาด้วยสายตาขอบใจ
“ต่อไปนี้...พ่อต้องไม่เครียดแล้วนะครับ อะไรตัดได้ก็ตัดซะ” เมฆาเอ่ยขึ้น
“เมฆา...” อนุตพูดปลงๆ “ขายเรือแสนสมุทรซักลำ เอาเงินไปใช้หนี้ของพฤกษ์ให้หมด”
“พ่อว่าไงนะครับ”
อนุตพูดลอยๆ “เพื่อความสงบสุขของทุกคน และเพื่อศักดิ์ศรีของแสนสมุทร”
“ครับ” เมฆารับคำ แม้จะไม่เห็นด้วย
อนุตมองหน้าเมฆา “ฉันจะได้เห็นหลานก่อนตายมั้ย”
เมฆาอึ้ง “พ่อ”
วงเดือนยิ่งอึ้งหนัก
โฉมไฉไลกับอนงค์ตาโตมองสบตากัน สองแม่ลูกคิดในใจว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต้องแย่แน่ๆ
“คุณคะ...ทำไมพูดจาไม่เป็นมงคลแบบนั้น” ศรีดาราฟังแล้วไม่สบายใจ
อนุตไม่ตอบ จ้องหน้าเมฆา ถามย้ำ “ไง..เมฆา พ่อถามว่า พ่อจะได้เห็นหลานก่อนตายมั้ย”
เมฆาตวัดสายตาหันไปมองเดือนเป็นเชิงถาม ว่าไง?
วงเดือนหลบตาวูบ
“พ่ออย่าพูดอย่างนี้อีกนะครับ” เมฆายิ้มบางๆ จับมือพ่อ “ผมสัญญาว่าจะรีบมีหลานให้พ่ออุ้ม พ่อจะได้อารมณ์ดี สุขภาพจะได้แข็งแรง” หันไปถามมัดวงเดือน “จริงมั้ย...เดือน”
วงเดือนสะดุ้ง “เอ่อ..จริง..จริงค่ะ”
เมฆายิ้มแก้มแทบแตก ดีใจมาก หันมามองพ่อ สายตาอนุตดูสบายใจมากขึ้น
“แย่แล้ว...นังโฉม” อนงค์วิตกอย่างหนักหันมากระซิบลูกสาว
“ทำไงดีล่ะ..หม่าม้า” นางมารโฉมไฉไลครวญคร่ำ
“จะทำไง ยังจะมาถาม รีบไปตามผัวแกมา ทำหลานให้พ่อผัวแกอุ้มตัดหน้านังวงเดือนนั่นอย่างเร็วเลยสิ..นังโง่”
โฉมไฉไลฟังแล้วเครียดหนัก
ค่ำนั้นโสภีนุ่งกระโจมอกตักน้ำในตุ่มหลังบ้านอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณอยู่อย่างเซ็กซี่ พออาบเสร็จ ก็ผลัดผ้าถุงเปียกเป็นผ้าถุงแห้ง แต่พอหันมาต้องชะงัก
เมื่อเห็นเป็นพฤกษ์ยืนมองนิ่งอยู่ โสภีมองด้วยสายตาเยือกเย็นว่างเปล่า ไม่ได้แปลกใจหรือตกใจใดๆ
พฤกษ์นั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่ในกระท่อมแล้ว โสภีเข้ามาหา “ติดใจของฟรีหรือไง?”
พฤกษ์เกรงใจรีบบอก “ไม่ใช่อย่างนั้น” ถอนหายใจแผ่วๆ “ฉันแค่...ไม่มีที่ไป..ไม่รู้จะไปไหน”
โสภีฟังหน้านิ่ง สายตามองอย่างคนรู้จริง เนื่องเพราะมีประสบการณ์โชกโชนเจอผู้ชายมาทุกรูปแบบ
พฤกษ์มองโสภี “รู้แต่ว่า..เวลาอยู่กับเธอแล้ว..มันสบายใจ”
“หึ” โสภีหัวเราะแค่นๆ หยันอยู่ในที ”ก็แน่ล่ะ..ผู้ชายมาหาฉันก็สบายใจสบายตัวกันทุกคน”
“เปล่านะ..ฉันไม่ได้หมายถึง..เอ่อ..ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
โสภีมองพฤกษ์สายตาฉงน
พฤกษ์มองตอบด้วยสายตาซื่อ จริงใจ “ฉันเองก็ยังแปลกใจว่าทำไมฉันถึงรู้สึกสบายใจที่ได้..เอ่อ..อยู่กับเธอเมื่อวันก่อน”
โสภีมองไม่อยากจะเชื่อน้ำคำ
พฤกษ์พูดลอยๆ ตัดพ้อชะตาต่อ “ไม่เหมือนอยู่ที่บ้าน ฉันมันก็เป็นได้แค่ไอ้ตัวซวย”
โสภีมองด้วยสายตาอ่อนโยนลง
พฤกษ์พูดขึ้นมาลอยๆ อีก “เธอคิดว่าเธอน่ารังเกียจ” พฤกษ์หัวเราะขื่นๆ เย้ยหยันชีวิตแสนบัดซบของตัวเอง “หึ ฉันต่างหาก...ไอ้ตัวน่ารังเกียจ..ไอ้ตัวซวยของแสนสมุทร”
พฤกษ์น้ำตารื้นขึ้นมา จังหวะนั้นมือของโสภียื่นมาลูบหัวพฤกษ์เพื่อปลอบโยนอย่างเข้าใจ พฤกษ์หันมามองจ้อง โสภีโน้มคอพฤกษ์เข้ามาหาตัวเอง สองคนจ้องตากันอย่างลึกซึ้ง
สองแม่ลูกหลบอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้านแสนสมุทร
อนงค์พรวดเข้ามาถามอย่างร้อนใจ “เจอมั้ย..ผัวแก”
“ไม่เจอ..หาจนทั่วแล้ว ไม่รู้มันหายไปไหนของมัน” โฉมไฉไลไม่ใส่ใจนัก
อนงค์สั่งเสียงขุ่น “ไม่รู้ไม่ได้นะยัยโฉม! แกต้องหาผัวแกให้เจอให้ได้ ขืนปล่อยให้มันหายหัวไปอย่างนี้มีหวังมรดกแกก็ต้องหายไปด้วย เฮ้อ! ซวยจริงๆ ชั้นไม่น่าช่วยแกจับไอ้พฤกษ์ตั้งแต่แรกเล๊ย นี่ถ้าหาทางจับคุณหมอเมฆาให้อยู่หมัดซะตั้งแต่แรก ป่านนี้เราคงนอนนับสมบัติแสนสมุทรสบายบรื๋อไปแล้ว…เฮ้อ”
โฉมไฉไลตาวาวเป็นประกาย “แต่มันก็ยังไม่สายเกินไปนะหม่าม้า”
“แกหมายความว่ายังไงยัยโฉม” อนงค์งวยงง
“แหม..แค่นี้ก็คิดไม่ได้ ก็หมายความว่า ถ้าเราเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นเมฆาแทนพฤกษ์ซะเลยล่ะหม่าม้า”
อนงค์ผลักหัวอย่างหงุดหงิด “แกจะบ้าเหรอ ขืนพ่อผัวแม่ผัวแกรู้เข้า ว่าแกจะทำตัวเป็นนางวันทองสองใจ แถมยังเป็นนางอิจฉาไปแย่งเมฆาจากนังวงเดือนนั่นอีกล่ะก้อ นอกจากแกจะอดมรดกแล้ว แกยังจะโดนเค้าเฉดหัวแกออกจากแสนสมุทรอีกต่างหากนะนังลูกโง่! ไม่ได้ๆ..ฉันขอสั่งให้แกทำตัวเป็นนางเอกต่อไป และรีบออกตามล่าหาผัวแกให้เจอให้ได้..ยัยโฉม”
โฉมไฉไลไม่ต่อปากต่อคำ แต่ในใจแอบคิดถึงแผนของตัวเอง ว่าเด็ดกว่าแผนแม่ร้อยเท่าพันเท่า
บรรยากาศยามเช้าที่โรงพยาบาลแสนสดใส เมฆาเดินเคียงมาพร้อมกับวงเดือนที่ถือกระติกน้ำซุปมาเยี่ยมอนุตแต่เช้า
“วันนี้ต้มซุปอะไรมาให้คุณพ่อ” เมฆาถาม
“ซุปใสค่ะ..อยากให้ท่านทานอะไรที่ย่อยง่ายๆ”
อีกมุมหนึ่งหนูนาเดินถือถุงโจ๊กเข้ามาเจอกันเข้าพอดีที่หน้าห้องพักฟื้นของภูผาเป๊ะๆ
“หนูนา” วงเดือนถามถึงเขาโดยอัตโนมัติ “คุณภูผา...” พอนึกได้ก็ชะงักกึก เหลือบมองเมฆาที่จ้องเหล่อยู่ วงเดือนเลยเงียบ
“คุณภูผารู้สึกตัวแล้ว เค้าอยากกินโจ๊ก” หนูนาชูถุงโจ๊ก “ฉันเลยไปซื้อโจ๊กมาให้”
วงเดือนบอกทันที “ยังให้ทานไม่ได้นะจ๊ะ ทานได้แต่ของเหลวๆ ก่อน”
เมฆากระแอมเตือน วงเดือนชะงัก
“อ้าว..เหรอ? น่าสงสารจัง อดกินเลย” หนูนาบ่น
เมฆาเร่ง “ป่านนี้คุณพ่อหิวแย่แล้ว”
วงเดือนจำใจหันไปบอกกับหนูนา “ฉันไปก่อนนะ”
เมฆาทำท่าดึงแขนวงเดือนจะไปแล้ว
หนูนาตัดสินใจโพล่งขึ้น “จะไม่เข้าไปเยี่ยมหน่อยเหรอ”
วงเดือนหันขวับ
หนูนาชี้ที่ประตูห้อง “คุณภูผาอยู่ห้องนี้”
วงเดือนอยากไปเห็นหน้าใจจะขาด
“เดือน” เมฆาเตือนอยู่ในที
วงเดือนมองมาด้วยสายตาอ้อนวอน “คุณเมฆาคะ...เดือนขอแบ่งซุปนี่ให้คุณภูผาทานซะหน่อยได้มั้ยคะ”
นัยน์ตาเมฆาวาวโรจน์ ไม่พอใจอย่างมาก
“นะคะ..ฝากหนูนาไปให้..เท่านั้น”
เมฆาลดสายตาแข็งกร้าวนั้นลง เอ่ยขึ้น
“ไปแบ่งที่ห้องคุณพ่อ” พูดกับหนูนา “เดี๋ยวจะฝากพยาบาลให้เอามาให้ อ้อ โจ๊กนั่นน่ะ เธอก็ควรจะเก็บไว้กินเองนะหนูนา คนท้องก็ต้องบำรุงลูกในท้องด้วย” เมฆาจงใจพูดใส่วงเดือน “อย่าลืม”
วงเดือนนิ่งงัน รู้ดีว่าเมฆาพยายามตอกย้ำว่าภูผามีลูกกับหนูนาแล้ว
เมฆาดึงวงเดือนออกไป “ไปได้แล้ว”
หนูนามองตามสองคนนั้นไปแล้วมองไปที่ประตูห้องภูผา นึกสงสารภูผาขึ้นมาครามครัน แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง
ครู่ต่อมาภูผานั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงหันมามองหนูนาที่เปิดประตูเข้ามา
“หายไปตั้งนาน”
หนูนาชะงัก ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วเฉไฉเอาโจ๊กไปวางก่อนจะกลับมานั่งข้างๆ ภูผา
“อ้าว โจ๊กล่ะ”
หนูนาทำเป็นจ้องหน้าสู้สายตา “คุณยังกินไม่ได้”
ภูผางง “ทำไมจะกินไม่ได้”
“ก็คุณ..คุณพยาบาลเค้าห้าม”
ภูผาอารมณ์เอาแต่ใจมากรุ่นๆ “ห้าม คุณพยาบาลที่ไหนมาห้าม ใจดำเป็นบ้า ก็คนมันอยากกิน ไม่เห็นใจกันเลย”
หนูนาไม่รู้จะพูดยังไง ไปไม่เป็น
“หนูนา ไปเอาโจ๊กมา ฉันจะกิน” ภูผาสั่งเสียงเข้ม
หนูนาร้องลากเสียง “ไม่ด้าย... ก็เค้าห้าม....”
“เค้าห้ามก็ช่างเค้า”
หนูนาปวดกบาล
ภูผาลั่น “พยาบาลอะไร ใจดำ”
จังหวะนั้นเองพยาบาลเปิดประตูเข้ามาพอดี เป็นพยาบาลวัยคราวป้า หน้าดุ ดูเหมือนครูใหญ่ ป้าพยาบาลชะงัก ภูผาก็ชะงัก หนูนาทำหน้าไม่ถูก
ป้าพยาบาลถามเสียงเข้ม “ว่าใครใจดำคะ”
ภูผาเฉไฉไม่ตอบ ป้าพยาบาลเดินเอาซุปมายื่นให้หนูนา “ซุปใสของคนไข้ค่ะ” มองเหล่ ภูผาอีกทีก่อนจะเดินออกไป
“ไงล่ะ..อาละวาดดีนัก” หนูนาเหน็บ
“ก็คนมันโมโหหิว”
“หิวก็กินซะ” หนูนาตักซุปป้อนให้
ภูผากินอย่างเอร็ดอร่อย “อื้ม ...ซุปอะไร อร่อยจัง”
หนูนาชะงัก
“อย่าบอกนะว่าคุณป้าพยาบาลเมื่อกี๊เป็นคนทำ”
ภูผาพูดขำๆ ขณะที่หนูนาอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วแสร้งทำขำเนียนๆ ไปด้วย แต่ในใจนึกไปถึงวงเดือน
ส่วนในห้องพักฟื้นของอนุต วงเดือนก็กำลังป้อนซุปใสให้อนุตอยู่ โดยมีเมฆายืนยิ้มปลื้มปริ่มข้างๆ
“ทานเยอะๆ นะครับคุณพ่อ ซุปนี้เดือนทำเองเลยนะครับ”
อนุตยิ้มบางๆ มองเดือนอย่างขอบใจ ศรีดาราที่ยืนอยู่ตรงข้ามตัดสินใจถาม
“เมฆา..ภูผาเป็นยังไงบ้างลูก”
สามคนชะงักไปตามๆ กัน
ศรีดาราพึมพำ เป็นห่วงประสาแม่ “ป่านนี้..จะมีอะไรทานบำรุงบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้”
วงเดือนหน้าเศร้าลงทันตา เมฆาหันขวับมอง
“คุณคะ..ขอฉันไปเยี่ยมลูกเถอะนะคะ ลูกต้องเจ็บขนาดนั้น ก็เพราะปกป้องน้อง” ศรีดาราพูดพลางปรายตามองเมฆา “ปกป้องเดือน ปกป้องพวกเราทุกคน ฉันเป็นห่วงลูกใจจะขาดอยู่แล้ว”
เมฆาตวัดสายตามองพ่อ อนุตหน้านิ่ง
ด้านหนูนาขอดน้ำซุปช้อนสุดท้ายที่ก้นถ้วยจะป้อนให้ภูผา
ภูผาชะโงกดู ร้องโวย “อะไร หมดแล้ว ยังไม่อิ่มเลย”
“ตะกละจริงๆ ก็มีแค่นี้แหละ อ่ะ!! คำสุดท้าย”
ภูผาส่ายหน้าเสียดาย “วันหลังบอกคนทำให้เค้าทำมาเยอะๆ หน่อยนะ”
หนูนารีบเปลี่ยนเรื่อง “อ่ะๆ กินซะเร็ว จะได้กินยา”
หนูนาป้อนคำสุดท้าย ภูผาอ้ำ จังหวะนั้นยินเสียงประตูห้องเปิดเข้ามา สองคนชะงัก ศรีดารากะวงเดือนเดินเข้ามา
“ภูผา” ศรีดาราเรียก
วงเดือนเห็นภาพหวานสองคนป้อนซุปกันก็ชะงัก ภูผาเห็นวงเดือนก็นิ่งงันไป
ศรีดาราถลาเข้ามาหา “ภูผาลูกแม่ ไม่เป็นไรแล้วนะลูกนะ โถ… เจ็บมากมั้ยลูก” ลูบหัวลูบหน้าลูกชายอย่างอาทร “โชคดีนะที่เมฆาเค้าเก่ง วงเดือนก็ด้วย เค้า 2 คนช่วยชีวิตลูกไว้นะจ๊ะ”
ภูผาสะอึกสะท้อนใจ เป็นหนี้ชีวิต 2 คนนี้
ศรีดาราหันไปมองทางวงเดือน “อ้าว! เดือน เข้ามาสิลูก”
วงเดือนเดินเข้ามายืนเคียงข้างศรีดารา
หนูนาลอบมองภูผากับวงเดือนจับอาการ
ศรีดารามองหนูนาตัดสินใจถาม “แล้วแม่หนูคนนี้”
หนูนาอึ้งๆ มองภูผาประมาณว่าจะตอบไงดี?!
“หนูนาครับ” ภูผาแนะนำ
สีหน้าศรีดาราฉงน “หนูนา”
“หนูนา..เป็นภรรยาของผม” ภูผาพูดต่อ
ถ้อยความจากปากชายเดียวในดวงใจ ทำเอาวงเดือนเจ็บแปล๊บในใจ
หนูนาตะลึงตาค้าง “คุณ”
ศรีดาราอึ้ง “อะไรนะ ภรรยา”
“ครับแม่..หนูนาเป็นภรรยาของผม เรากำลังจะแต่งงานกัน”
วงเดือน...เบือนหน้าหลบไม่ให้ใครเห็นน้ำตาที่กำลังทะลักออกมา หนูนามองเห็นน้ำตานั้น
ศรีดาราท้วงกิริยางวยงง “แต่...ภูผา..ไม่เคยบอกแม่”
“ผมไม่มีโอกาสที่จะได้บอกแม่..ผมขอโทษนะครับ”
ศรีดาราพยายามฝืนยิ้ม “ไม่...ไม่เป็นไรจ้ะ อะไรที่เป็นความสุขของลูก แม่ก็ยินดี”
วงเดือนพยายามอย่างหนัก สะกดกลั้นก้อนสะอื้นกลืนกินลงไป
ศรีดาราเอื้อมมือไปจับมือหนูนา “หนูนาต้องดูแลภูผาให้ดีที่สุดนะจ๊ะหนูนา ภูผาเป็นคนดี…คนดีมาก”
หนูนาปรายตาไปมองทางวงเดือน เพราะวงเดือนก็เคยพูดคำนี้
“รับปากกับฉันสิจ๊ะหนู”
สาวดอยแก่นกะโหลกอย่างหนูนาเก้อเขิน ทำท่าทีเปิ่นๆ “จ้ะ...ฉันรับปาก”
วงเดือนไม่ไหวแล้ว ยืนก็แทบจะไม่อยู่ “เดือนขอตัวก่อนนะคะ”
วงเดือนพรวดออกไปทันที แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเมฆาเข็นรถให้อนุตนั่งเข้ามา
“เดือน จะไปไหน” เมฆาถามทั้งๆ ที่รู้เต็มอก
วงเดือนชะงัก ยกมือปาดเช็ดน้ำตา เมฆาจ้องมองสายตาเย็นเฉียบ
ภูผาหันมาเห็นอนุต “พ่อ”
เมฆาเข็นรถเข้ามาผ่านวงเดือนก็พูดสั่งอยู่ในที “อยู่ด้วยกันก่อนสิ”
วงเดือนอยากจะเป็นหายตัวไปจากตรงนั้น จำใจต้องเดินตามเมฆากลับมา
อนุตมองภูผา ถามเรียบๆ อย่างวางฟอร์ม “เป็นยังไงบ้าง”
ภูผาปลื้มใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าพ่อมาแนวไหน? “ค่อยยังชั่วแล้วครับ”
อนุตพยักหน้าหงึกๆ เอ่ยออกมาประโยคที่ไม่มีใครคาดคิด “ถ้าค่อยยังชั่วแล้ว...ก็กลับบ้าน...”
อนุตค้างคำไว้แค่นั้น ภูผาเลิกคิ้วมองหน้าพ่อรอฟัง
อนุตพูดต่อ “...กลับแสนสมุทร”
เมฆาเหลียวขวับช็อกคาที่ “พ่อ”
ภูผาอึ้งตะลึงงัน แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
ศรีดาราปล่อยโฮออกมาด้วยความดีใจ สวมกอดภูผา “กลับบ้านนะลูก กลับบ้านเรานะ...ภูผา”
ภูผาน้ำตาเอ่อมองพ่อ อนุตยังฟอร์มเช่นเคย
หนูนาอึ้งไปไม่เป็นคิดในใจ…แล้วไงวะเนี่ย
เช่นเดียวกับวงเดือนที่นิ่งงันไป ในใจอดคิดไม่ได้ว่า แล้วจะอยู่กันยังไง?
เมฆาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เสี้ยนหนามสำคัญมายืนจ่อรอที่หน้าประตูบ้าน และประตูหัวใจวงเดือนแล้ว
ชิงนาง ตอนที่ 15 (ต่อ)
เมฆากลับบ้านแสนสมุทรมาระบายอารมณ์ด้วยการต่อยผนังเปรี้ยงๆๆๆ อย่างเจ็บใจสุดขีด
เมฆาโกรธจนหอบ “พี่ผา” ต่อยอีกเปรี้ยงๆ “ไอ้พี่ผา” ต่อยเปรี้ยงๆๆๆ “ไอ้ภูผา! ทำไมต้องกลับมาเป็นมารหัวใจฉันด้วย”
เมฆาต่อยอีกเปรี้ยง เลือดโชกมือข้างนั้น
สีหน้าเมฆาแค้นอาฆาตภูผามากๆ
เมฆาเจ็บใจดื่มเหล้าแหลกราญจนเมาปลิ้นนอนกองอยู่กับพื้น จู่ๆ มีเท้าของใครคนหนึ่งก้าวเข้ามายืนใกล้ใบหน้า เมฆาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าดีใจมาก
“เดือน! วงเดือน”
เมฆาเห็นเป็นวงเดือนยืนมองยิ้มอยู่ จึงรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นกอดแน่น
“คุณจะอยู่กับผมคนเดียวใช่มั้ย? คุณลืมพี่ผาแล้ว คุณไม่รักพี่ผาอีกต่อไปแล้วใช่มั้ย”
ที่แท้เป็นโฉมไฉไลที่โดนเมฆากอดอยู่ และนางมารร้ายกำลังยิ้มอย่างสะใจ
เมฆากอดจูบซุกไซร้ซอกคอโฉมไฉไลอย่างตะกละตะกราม ปากก็พูดพร่ำ “คุณต้องเป็นของผม! ของผมคนเดียว! ผมไม่ให้คุณไปรักใคร! ไม่ให้คุณไปรักพี่ผา ผมไม่ยอม ผมไม่ยอม”
เมฆาผลักร่างโฉมไฉไลลงที่เตียงแล้วโถมตัวตามลงไปทาบทับ ระดมจูบซุกไซร้อย่างหื่นหิว
สีหน้าโฉมไฉไล สะใจมาก “แน่นอนที่สุดค่ะ..เมฆา”
เช้าวันต่อมา เมฆาเริ่มรู้สึกตัวแต่ยังมีอาการมึนหัวตึ้บๆ ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาตื่น ก่อนจะหันมามองข้างกาย แต่ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นโฉมไฉไลนั่งกระโจมอกจ้องมองยิ้มอยู่
เมฆาดีดตัวลุกขึ้นทันควัน “โฉม”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ..สามี” โฉมไฉไลยิ้มแฉ่ง
ครั้นพอเมฆารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ทุบที่นอนอย่างเจ็บใจ “โธ่เว๊ย!” ด่าตัวเอง “ไอ้บ้าเอ๊ย”
“ใจเย็นๆ ค่ะ เมฆา ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นก็ได้ แหม..ทำยังกะ ไม่เคย” โฉมไฉไลยั่ว
เมฆาเงยหน้าเหลียวขวับมอง ตาขวางยังกับหมาบ้า “เธอทำอย่างนี้ทำไม”
โฉมไฉไลร้องใส่จริต “ว๊าย เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า” กวนใส่ “เมื่อคืนนี้...เมฆาต่างหากล่ะคะที่ทำโฉม”
เมฆากระชากโฉมไฉไลมาจ้องตาใกล้ระยะประชิด “แก”
“จุ๊ๆๆ..อย่าหยาบคายใส่เมียสิคะ..ผัวขา.....” โฉมไฉไลลากเสียงยั่ว
เมฆาสวนทันที “ฉันไม่ใช่ผัวเธอ” กระชากตัวมาใกล้อีก “เธอมีแผนอะไร คิดแผนชั่วอะไรอีก”
“แผน แผนอะไร? โฉมก็แค่ติดใจ” เอานิ้วแตะปากเมฆา “คิดถึงรสสวาทของคุณก็แค่นั้นเอง”
เมฆาผลักโฉมไฉไลจนกระเด็น “ไปให้พ้นเลย! แล้วก็หุบปากให้เงียบ”
โฉมไฉไลแว๊ดใส่ “ทำไม? กลัวนังวงเดือนมันจะรู้เหรอ? มันก็รู้มาตั้งนานแล้วว่าโฉมกับคุณมีอะไรกัน มันนั่นแหละหน้าด้าน ยังทำไม่รู้ไม่ชี้จะสะเออะมาแต่งงานกับคุณอีก”
เมฆาฉุนขาดบีบแก้มโฉมไฉไลแน่น จ้องหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “หยุดพูดถึงวงเดือนเดี๋ยวนี้! แล้วก็จำไว้ด้วย! ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าเธอจะมานอนกับฉันอีกกี่ครั้ง เจ้าสาวของฉันก็จะต้องชื่อวงเดือน วงเดือนคนเดียวเท่านั้น”
เมฆาผลักโฉมไฉไลกระเด็นแล้วลุกพรวดลงจากเตียงไป
“แน่ใจนักเหรอเมฆา แน่จริง...ก็รอดูต่อไปละกัน ว่าเกมนี้…ใครจะแพ้ ใครจะชนะ”
โฉมไฉไลยิ้มร้ายนัยน์ตาวาวโรจน์ สีหน้ามั่นใจมาก
ส่วนเมฆาแต่งตัวด้วยชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว วิ่งลงบันไดมาหยุดที่ห้องโถง เหลียวซ้ายแลขวาตะโกนลั่น “เดือน! เดือน!”
เมฆาวิ่งพล่านตามหาวงเดือนที่มุมโน้น มุมนี้ ทั้งในบ้าน นอกบ้าน สุดท้ายวิ่งจนหอบแฮ่กมาเจอวงเดือนถือดอกไม้มากำหนึ่งในมือเพิ่งเก็บมาจากในสวน
เมฆาดีใจมากมาย “เดือน”
วงเดือนหันมามอง เมฆาวิ่งทะยานพุ่งมากอดรัดเต็มแรง สวมกอดเอาไว้แน่น เหมือนจะไม่ยอมให้หลุดมือไปไหน
วงเดือนงง “คุณเมฆา”
เมฆากอดแน่นอยู่อย่างนั้น พูดละล่ำละลักพูด “ผมรักคุณคนเดียวเชื่อผมนะ ผมรักคุณคนเดียว”
“อะไรกันคะเนี่ย?”
เมฆาจ้องหน้า “ตอบผมก่อน ว่าคุณเชื่อผม! คุณเชื่อผม!”
วงเดือนงงหนัก
เมฆาขึ้นเสียง “ตอบสิ”
วงเดือนรับคำอย่างตกใจ “ค่ะ..ค่ะ..เดือนเชื่อ”
เมฆายิ้ม ดีใจ “ดี..ดีมาก…” กอดแน่นกว่าเดิมอีก “เราจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุดเลยนะเดือน”
วงเดือนยังงงไม่หาย เห็นท่าทีเมฆาดีใจผิดปกติ
สองคนไม่รู้ว่าโฉมไฉไลมองเขม็งตาวาวโรจน์ ก่อนจะยิ้มสยองออกมา
“ฝันไปเถอะ..เมฆา” โฉมไฉไลสะบัดพรืดเดินออกไป
เมฆาผละตัวออก มองจ้องหน้าวงเดือน “ไป! ไปกับผม”
“ไปไหนคะ เดือนจะเอาดอกไม้ไปเยี่ยมคุณพ่อ”
เมฆาตัดบท “ไปกับผมก่อนเถอะน่ะ” ดึงแขนวงเดือนไปทันที
ไม่นานหลังจากนั้น เมฆาดึงวงเดือนเข้ามาในร้านตัดเสื้อ วงเดือนงง เมฆาสั่งช่างทันที ช่างตัดเสื้อยิ้มแฉ่ง วัดตัววงเดือนอย่างชำนาญ ก่อนจะเอาแบบชุดเจ้าสาวมาให้เลือก วงเดือนอึ้งๆ เมฆาชี้เอาแบบหนึ่ง
เวลาต่อมา เมฆาเห็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปดูดีมีราคาแขวนโชว์อยู่ในร้าน จึงหยิบมาทาบตัววงเดือน วงเดือนส่ายหน้าไม่เอา แต่เมฆาเอา ชี้ๆๆ กวาดซื้อยกร้าน ช่างยิ้มแฉ่ง
ครู่ต่อมาที่ร้านเครื่องประดับ เมฆาเลือกสร้อยสวย วงเดือนส่ายหน้าว่าไม่เอา เมฆาเลือกต่างหูระย้า วงเดือนก็ส่ายหน้า สุดท้ายเมฆาคะยั้นคะยอซื้อต่างหูมุกเล็กๆ น่ารัก วงเดือนถอนหายใจเฮือก
สองคนเดินมาหยุดที่มุมหนึ่ง วงเดือนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเหมือนจะหงุดหงิดนิดๆ
“มันอะไรกันคะ…คุณเมฆา”
เมฆายิ้มๆ “ก็ไม่เห็นจะอะไร ผมก็แค่อยากเห็นว่าที่เจ้าสาวของผม...สวย...สมกับเป็นสะใภ้แสนสมุทรเท่านั้นเอง”
“ของพวกนั้นมันไม่จำเป็นหรอกค่ะ”
“แต่อันนี้มันจำเป็นใช่มั้ย”
เมฆาหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดง เปิดออกเห็นแหวนเพชร
วงเดือนมองแหวนแล้วมองหน้าเมฆา “คุณ”
เมฆายิ้ม “อันนี้คงจะปฎิเสธไม่ได้แล้วล่ะ เพราะมันเป็นแหวนที่ผมขอคุณแม่มาเพื่อสวมให้คุณโดยเฉพาะ”
วงเดือนกุมมือตัวเองไว้โดยอัตโนมัติ
วงเดือนอิดออด “แต่เดือนยัง…” ถ้อยคำที่ว่า...ไม่อยากแต่งหายไปในลำคอ
เมฆาสวนออกมา “มัวแต่งช้า เดี๋ยวเราจะตามพี่ผากับหนูนาเค้าไม่ทันนะ”
วงเดือนสะอึก เพราะเมฆาตั้งใจตอกย้ำว่าถึงยังไง วงเดือนกับภูผา ก็ไม่มีทางเป็นไปได้แล้วในชาตินี้!!
เมฆายิ้มมุมปาก ดีใจที่สะกดวงเดือนไว้ได้สำเร็จ ค่อยๆ คว้ามือวงเดือนมาสวมแหวน วงเดือนนิ่งไร้วิญญาณ เมฆายกมือวงเดือนมาจูบอย่างละมุนละไม
“จะไม่มีอะไรมาพรากเรา 2 คนไปได้แล้ว” เมฆายิ้มอย่างโล่งใจ
สีหน้าวงเดือนยามนี้เหมือนจะยอมจำนนต่อชะตาชีวิตที่ลิขิตเองไม่ได้
ส่วนหนูนาติดพลาสเตอร์ลงบนผ้ากลอซปิดแผลให้ภูผาเป็นชิ้นสุดท้าย ภูผาร้องลั่น
“โอ๊ย! มือเหรอน่ะ”
“โห..ก็คนมันไม่เคยอ่ะ” หนูนาบ่นอุบ
ป้าพยาบาลที่ยืนเทรนอยู่ใกล้ๆ ขัดขึ้น “ทำได้แค่นี้ก็เก่งแล้วหนู คุณก็อดทนหน่อย ตัวเบ้อเร่ออย่าทำใจเสาะ”
หนูนาชอบใจขำก๊าก “สมน้ำหน้า” บอกกับป้าพยาบาล “หนูรักป้ามากเลยจ้ะ”
ภูผามองคิดในใจ...เออ เอาเข้าไป
“อย่าลืมทำแผลทุกวันนะหนู แล้วก็อย่าให้แผลโดนน้ำ จะหายช้า” ป้าพยาบาลกำชับ
“จ้ะ! ขอบใจมากนะจ๊ะ” หนูนายิ้ม
ป้าพยาบาลออกไปแล้ว ภูผาสวมเสื้อยืดจะแต่งตัวกลับ หนูนาเข้าช่วย เพราะภูผายังไม่ถนัดนัก
“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวป้าด่าอีก” ภูผาสยอง
หนูนาขำๆ “ป้าไปแล้ว”
ใส่เสื้อเสร็จ ภูผาลงจากเตียง หนูนาประคอง
“ก็บอกว่าไม่ต้อง..แค่นี้สบายมาก” หันไปหยิบเป้ที่วางอยู่ “ไป! กลับบ้าน”
หนูนามองหน้าภูผา ท่าทีหวั่นๆ
“บ้านไหน” หนูนาฉงน
ภูผามองหนูนา ยิ้มน้อยๆ สีหน้าเศร้า “บ้านไร่ของเราน่ะสิ”
หนูนากระโดดตัวลอย “เย้”
พร้อมกับพุ่งเข้ากอดภูผาเต็มๆ คราวนี้ภูผาเจ็บจริงร้อง “โอ๊ย”
หนูนาตกใจ “เฮ่ย! ขอโทษๆ..คนมันดีใจอ่ะ…” รีบพาภูผานั่งเตียงก่อน “ก็ฉันนึกว่าคุณจะกลับไปอยู่แสนสมุทร โห เครียดจะแย่” ยิ้มแป้น “เรากลับบ้านไร่ของเรากันเหอะเนาะ”
ภูผาพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่ามันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น 2 คนชะงักเหลียวมองไป เป็นชอุ่มเปิดประตูยิ้มแฉ่งเข้ามา
“คุณภูผาคะ คุณผู้ชายสั่งให้ชอุ่มมารับคุณกลับบ้านแสนสมุทรค่ะ”
หนูนากับภูผาอึ้งตามๆ กัน
อนุตนั่งเคียงศรีดาราในห้องรับแขกบ้านแสนสมุทร อนุตแอบเหลือบมองไปด้านนอกเป็นระยะ เหมือนจะรอภูผา ศรีดาราแอบเห็น ยิ้มน้อยๆ
“ภูผาคงใกล้จะถึงบ้านแล้วล่ะค่ะ”
อนุตนั่งนิ่ง ไว้ฟอร์มอย่างเก่า ชอุ่มยิ้มแฉ่งวิ่งเข้ามารายงาน
“คุณภูผากลับมาแล้วค่ะ”
ภูผาก้าวเข้ามาหยุดยืนนิ่งๆ อนุตมองเห็นศรีดาราดีใจมาก
“ภูผา”
ภูผาค่อยๆ เดินเข้าไปย่อตัวลงก้มลงกราบพ่อ อนุตพยักหน้าน้อยๆ ภูผากราบศรีดารา ศรีดาราสวมกอดภูผาแน่น ยิ้มดีใจ
“กลับมาอยู่บ้านเรานะลูกนะ อย่าหนีแม่ไปไหนอีก”
ภูผามองพ่อ แต่อนุตทำเป็นไม่มองหน้า “แล้วก็อย่าเกเรก่อเรื่องอะไรอีก”
ภูผาแอบน้อยใจนิดๆ
ศรีดารารู้จักอนุตดี ยิ้มแฉ่งกอดภูผา
“คุณพ่อเค้าหายโกรธแล้ว แม่เล่าเรื่องภูผากับหนูนาให้พ่อเค้าฟังแล้ว” ศรีดารานึกได้ “อ้าว! แล้วหนูนาอยู่ไหนล่ะลูก”
ภูผาตกใจ เหลียวหา “หนูนา”
ชอุ่มวิ่งไปชะโงกดูนอกประตู เห็นหนูนายืนแหยงๆ อยู่
“เอ๊า! แม่หนู จะไปยืนตากแดดอยู่ทำไม เข้ามาสิจ๊ะ เข้ามา”
ภูผาส่ายหน้า ลุกไปคว้าข้อมือหนูนาเข้ามา หนูนามีอิดออด
“มาเหอะน่า”
หนูนาพูดจากใจ “คุณภูผา…ฉันอยากกลับบ้าน”
ภูผาดึงหนูนาเข้ามาหาอนุตกับศรีดารา “กราบพ่อกับแม่ฉันก่อน”
หนูนากราบด้วยกิริยากระโดกกระเดก อนุตเมียงมอง ขณะที่ศรีดารามองอย่างเอื้อเอ็นดู
“เนี่ยเหรอ..เมียแก” อนุตถาม
หนูนาหันขวับ รอฟัง
“ครับ”
หนูนาซึ้งใจ
อนุตถอนใจ “ก็อยู่ด้วยกันที่นี่นะ..หนู”
หนูนาหันมองหน้าภูผา
ภูผาตัดสินใจพูดออกมา “ผมคงอยู่ที่นี่ไม่ได้”
อนุตหันขวับ หนูนายิ้มแป้น
ศรีดาราตกใจ “ภูผา”
ภูผาใจหายสงสารแม่ นิ่งไปนิด “พ่อกับแม่อย่าโกรธผมนะครับ แต่ผมต้องรับผิดชอบดูแลไร่ชาที่คุณย่ามอบไว้ให้ ชีวิตนี้ผมคงจะทิ้งมันไปไม่ได้จริงๆ”
หนูนามองอย่างรู้ทันว่าจริงๆ แล้ว ภูผาไม่อยากที่จะอยู่เห็นวงเดือนและเมฆาให้ช้ำใจ
เสียงเมฆาดังลอดเข้ามา “แต่พี่ผาก็น่าจะอยู่ที่แสนสมุทรอีกซักระยะนึงนะครับ”
ภูผาหันขวับ เห็นเมฆายืนคู่อยู่กับวงเดือน เมฆาคว้าหมับข้อมือซ้ายวงเดือนเดินเข้ามาหาทุกคน
“อย่างน้อย...” เมฆาจับมือซ้ายวงเดือนที่มีแหวนสวมอยู่ที่นิ้วนางชูขึ้นอวดโอ้ “อยู่ให้ถึงวันแต่งของผมกับเดือนได้ เรา 2 คน ก็จะดีใจมาก”
วงเดือนก้มหน้า ภูผาเจ็บใจจี๊ด หนูนาเห็นแล้วสงสาร
จู่ๆ ภูผาลุกพรึ่บอย่างแรง “ผมคงจะกลับรถไฟเที่ยวค่ำนี้” แต่แล้วภูผานิ่วหน้านิดหนึ่ง
หนูนาร้องลั่น “คุณภูผา”
แผลของภูผามีเลือดซึมออกมาเต็ม หนูนาปราดเข้าไปประคองพร้อมกับวงเดือนที่ถลาเข้าไปโดยอัตโนมัติ
“คุณภูผานอนลงก่อนนะคะ” พลางเปิดเสื้อดู ไม่สนใจเมฆา ตะโกนสั่งชอุ่ม “น้าชอุ่ม ขอกล่องปฐมพยาบาลเร็ว”
เมฆาฮึดฮัดขัดใจที่เหตุการณ์ตาลปัตร
ครู่ต่อมาหนูนาและชอุ่มประคองภูผามาลงนั่งที่เตียง ศรีดาราเดินประกบมา
“ทีนี้อย่าดื้อแม่อีกนะ..ภูผา”
“แต่แม่ครับ...”
ศรีดาราตัดบท “เอาเป็นว่าอยู่ที่นี่ไปจนกว่าจะหายดีก่อน แล้วจะยังไงต่อก็ค่อยว่ากัน” หันไปหาหนูนา “นะจ๊ะ...หนู”
หนูนาอึกอัก “เอ้อ! แฮะๆ” มองไปที่ภูผา “เอาให้หายก่อนเถอะนะคุณ”
ภูผาถอนใจ
“อยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็ยังมีเมฆา มีเดือนคอยดูแล” ศรีดาราว่า
ภูผายิ่งงัน ในใจนิ่งชอกช้ำ
ศรีดารายิ้มเยื้อนบอกกับหนูนา “คิดซะว่าเป็นบ้านของหนูนะจ๊ะ มีอะไรขาดเหลือก็บอกชอุ่มได้ ไม่ต้องเกรงใจ”
หนูนาทำตัวไม่ถูก ไม่คุ้นกับเรื่องแบบนี้ คิดในใจเอาไงดี เห็นภูผาเอาแต่นิ่งก็เลยรับปากไป “จ้ะ” ยกมือไหว้ทื่อๆ “ขอบคุณจ้ะ”
ศรีดารากับชอุ่มออกไปจนลับตัว
หนูนามองหน้าภูผาด้วยความสงสาร “หายดีเมื่อไหร่ เราค่อยกลับบ้านไร่กันนะ”
ภูผาไม่ตอบกลืนกินความชอกช้ำลงไปในอก
เมฆาระงับอารมณ์ไม่อยู่ถามวงเดือนด้วยน้ำเสียงโกรธจัด “คุณยังรักมันอยู่ใช่มั้ย”
วงเดือนเฉไฉ “คุณพูดอะไรคะ”
“คุณยังลืมมันไม่ลงใช่มั้ย”
วงเดือนชะงัก ที่เมฆาพูดจาไม่ดีเอาเสียเลย “นี่คุณ”
เมฆาคว้าไหล่หมับคาดคั้น “ตอบผมว่าไม่ใช่”
วงเดือนอ่อนใจเหลือแสน “คุณเมฆา”
คราวนี้เมฆาพูดแทบเป็นตวาด “มันมีเมียแล้ว เค้า 2 คนกำลังจะมีลูกกัน”
วงเดือนชักโกรธขึ้นเสียงใส่ “คุณเมฆา”
เมฆารู้สึกตัวหันมาอ้อน “เลิกรักพี่ผาได้มั้ยวงเดือน” ทรุดลงคุกเข่าเลย “ผมขอร้อง”
วงเดือนที่กำลังโกรธๆ อยู่ก็ถึงกับอึ้งเมื่อเจอมุกนี้
เมฆาก้มหน้าอยู่ ...รอและลุ้นด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ฉายแววร้าย ไม่ได้ไปแนวเดียวกันกับน้ำเสียงออดอ้อนเลยสักนิด
วงเดือนระงับอารมณ์ จับไหล่เมฆาให้ลุกขึ้น “ลุกขึ้นเถอะค่ะคุณเมฆา”
สีหน้าเมฆาที่ก้มอยู่ ยิ้มมุมปากที่แผนสำเร็จ จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้น ด้วยสีหน้าสำนึกผิด เห็นแล้วน่าให้อภัย
“อย่าโกรธผมนะ..เมื่อกี๊ผมพูดไปเพราะผมรักคุณมาก”
วงเดือนพยักหน้านิดๆ “แต่เดือนขอร้อง..ต่อไปนี้ อย่าพูดกับเดือนแบบเมื่อกี๊อีก
เมฆารีบรับคำ “ได้..ผมจะไม่พูดอย่างนั้นอีก..ผมสัญญา”
วงเดือนเบือนหน้าหนี
เมฆายิ้มดีใจตาใสซื่อ ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นสะใจ โล่งใจ - - เคลียร์ได้สำเร็จ
คุณแม่จอมเสี้ยมดีเด่น...อนงค์ปรี๊ดแตกหลังฟังความจากปากลูกสาวแสบแล้ว
“แกว่าไงนะนังโฉม ภูผากลับมาอยู่บ้านแสนสมุทร แถมยังพาเมียท้องป่องมาด้วย?” อนงค์กุมขมับ ทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง “โอย..ฉันอยากจะตาย” แล้วจู่ๆ ก็เด้งตัวพรวดขึ้นมายืน “ไม่ได้ ฉันยังตายไม่ได้ ฉันยังต้องอยู่ช่วยแกฮุบมรดกของแสนสมุทรให้ได้ก่อน”
โฉมไฉไลทำหน้าเวียนหัวขณะมองอาการของแม่ ที่พูดเองเออเองคนเดียว
อนงค์กรีดพัดรัวเร็วอย่างร้อนใจ บ่นเป็นหมีกินผึ้ง “ทำไงดีๆๆๆๆ ทำไงดีว้า”
โฉมไฉไลมองกิริยาเซ็งๆ “หม่าม้า หม่าม้านั่งลงน่ะดีที่สุด”
อนงค์ตวาดแว๊ด “ดียังไงยะ นาทีนี้ยังจะให้ฉันนั่งซื่อบื้ออย่างแกน่ะเหรอยัยโฉม ฉันนั่งไม่ได้หรอกย่ะ ใจเย็นเหลือเกินนะแกเนี่ย ขืนปล่อยให้ลูกไอ้ภูผามันร้องอุแว้ๆ ออกมาเมื่อไหร่ มีหวังมันคงกวาดมรดกแสนสมุทรไปเรียบ”
โฉมไฉไลกำลังคิดแผนตัวเอง
“แต่ก็ไม่แน่นะยัยโฉม ถึงยังไงตาพฤกษ์ผัวแกมันก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายคนโตของแสนสมุทร ถ้าเรียงตามลำดับแล้ว ผัวแกก็ควรจะได้มรดกเยอะสุด” อนงค์ตาโตเท่าไข่ห่าน “เพราะฉนั้น แกควรรีบท้อง แกต้องไล่ตามอีนังเด็กดอยนั่นให้ทัน เข้าใจมั้ย”
โฉมไฉไลเหล่แม่ “คิดได้แค่นี้เหรอหม่าม้า”
อนงค์จ้องหน้า “พูดงี้หมายความว่าไง”
“โฉมมีแผนที่แซบกว่านั้นแยะ” โฉมไฉไลยิ้มร้ายตรงมุมปาก
อนงค์ตาโต โฉมไฉไลกระหยิ่มยิ้มย่องในแผนแซบของหล่อน
หนูนายกกะละมังใส่ผ้าเดินมาเจอชอุ่ม
“อุ๊ย! หนูจ๊ะ ทำไมซักผ้าเองล่ะ เรื่องพวกนี้ให้ชอุ่มจัดการเองดีกว่า เดี๋ยวคุณผู้หญิงรู้เข้าล่ะเอาชอุ่มตายแน่” ชอุ่มพุ่งจะเข้าไปคว้า
หนูนาหนูนาเอี้ยวหลบ “ไม่ต้องหรอกจ้ะ มีเสื้อคุณภูผาเปรอะเลือดด้วย ชั้นซักเองดีกว่า”
“ยิ่งไม่ได้เลย ยิ่งเป็นของคุณๆ ล่ะชอุ่มโดนคุณผู้หญิงเอ็ดเอาแน่” ชอุ่มฉกหมับมาได้ “มา ชอุ่มจัดการเอง ไม่ต้องห่วง” พอจะเดินออก ชะงักกึก ถอยหลังกลับมาถาม “ขอถามอะไรหน่อยนะจ๊ะ อยากรู้จัง..ท้องกี่เดือนแล้ว”
หนูนาตะปบท้องตัวเองหมับ “ทำไมล่ะ? อยากรู้ไปทำไม”
“ก็แหม..แค่อยากรู้อ่ะ! อยากรู้ว่าอีกนานมั้ยจะคลอด อยากเห็นหน้าลูกคุณภูผาเร็วๆ อ่ะ”
ชอุ่มน่ะยิ้มแฉ่ง แต่หนูนาอึ้งกิมกี่ไป
“ตกลง..กี่เดือนแล้วจ๊ะ”
“ก็...เกือบ 3 เดือน”
“โห… ดูแทบไม่ออกเลยนะเนี่ย อย่างว่า..ท้องสาวก็เงี้ย มันจะเล็กๆ ดูไม่ค่อยออกหรอก อุ๊ย! ไอ้ที่พูดเนี่ยจำเค้ามา” สาวใช้สูงวัยทำท่าอายๆ “ชอุ่มไม่เคยท้องหรอก จนป่านนี้ยังไม่เคยผ่านมือผู้ชาย..คริๆ”
หนูนาเหวอ
“ไม่เอาล่ะ พูดแล้วก็อาย ไปซักผ้าดีกว่า”
พูดจบชอุ่มก็เดินไป หนูนาเหวออยู่ แล้วอมยิ้มขำๆ หันหลังจะเดินออก แต่ดันเจอกับโฉมไฉไลและอนงค์ที่มายืนจังก้าขวางหน้าไว้
“จะไปไหน..นังเด็กดอย” โฉมไฉไลตั้งท่าหาเรื่อง
หนูนามองโฉมไฉไลกับอนงค์ว่าจะมาไม้ไหน อนงค์กับโฉมไฉไลมองจ้องแบบ มีเรื่องแน่!!
ทว่าหนูนาไม่ได้กลัวสักนิด “จะไปไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับซ่อ” มองอนงค์ “ซิ่มด้วย” มองโฉมไฉไล
สองแม่ลูกมองหน้ากันฉุนกึก
อนงค์มองหน้าโฉมไฉไลพึมพำ “ซ่อ”
โฉมไฉไลมองหน้าแม่พึมพำ “ซิ่ม?”
พอรู้สึกตัวอนงค์กับโฉมไฉไลก็กรี๊ดลั่นพร้อมๆ กัน “อร๊าย…!”
“นังเด็กดอย! ใครซ่อแก ใครซิ่มแก หนอย เป็นแค่นังเด็กดอย แต่ลามปามสามหาวนักนะแก” โฉมไฉไลแว๊ดใส่
หนูนาสวนกลับด้วยท่าทีสบายๆ “เด็กดอยแล้วไง? มันแย่กว่าซิ่มกะซ่อตรงไหนไม่ทราบ?”
“แย่สิอีเด็กเปรต! เด็กกะโปโลอย่างแกไม่สมควรที่จะเป็นสะใภ้แสนสมุทร” อนงค์เหยียดเย้ย
“แล้วก็ไม่ควรจะมีลูกแซงหน้าไปก่อนฉันด้วย…เข้าใจมั้ย”
พูดจบโฉมไฉไลก็ผลักหนูนาเข้ามุม สองแม่ลูกเตรียมรุมสกรัมหนูนากะให้แท้ง แต่หนูนาเซียนกว่าเยอะ ฉากหลบอย่างว่องไว แล้วเปิดฉากตบตีจัดการล่อ 2 แม่ลูกซะน่วม
อนงค์กับโฉมไฉไลพ่ายไม่เป็นขบวนเลยทีเดียว
หนูนาพูดเยาะข่ม “ไหน? แค่เนี้ยเองเหรอ? กลับไปฝึกวิชาที่ง้อไบ๊ หรือไม่ก็ เส้าหลิน มาใหม่ดีกว่ามั้ยซิ่ม? ซ่อ”
อนงค์ซึ่งหัวกระเซิงชี้หน้าด่าอย่างกราดเกรี้ยว “นังเด็กบ้า! อี..อี..อีนังแรมโบ้”
หนูนาทำท่าเบ่งกล้ามโชว์ พร้อมกับแยกเขี้ยวขู่
อนงค์สะดุ้งโหยง โดดหลบหลังลูกสาว “นังบ้า”
“ฝากไว้ก่อนนะนังเด็กดอย วันนี้ฉันแค่รับน้อง คราวหน้าล่ะ..ฉันเอาจริงแน่แก” โฉมไฉไลขู่ตาวาวโรจน์
หนูนาไม่หวั่น กระทืบเท้าขู่ “เอาวันนี้เลยมั้ย”
สองแม่ลูกตกใจเผ่นแน่บ แต่มิวายตะโกนฝากไว้วุ่นวาย
“ฉันเอาแกตายแน่” โฉมไฉไลคำราม
หนูนาส่ายหน้าถอนหายใจ “เฮ้อ” ออกมา แล้วทำหน้าเหมือนเจ็บท้องนิดๆ
ลูบท้องปลอบลูก “อึดไว้ลูก อึดไว้ เป็นลูกแม่หนูนา...ต้องสู้ เข้าใจมั้ย”
สีหน้าหนูนาแน่วนิ่งมองตามสองแม่ลูกแสบ คิดในใจ...แค่นี้อีหนูนาบ่ยั่น!
ชิงนาง ตอนที่ 15 (ต่อ)
ขณะที่วงเดือนเดินเรื่อยเปื่อยจนมาถึงมุมหนึ่งในบ้านแสนสมุทร ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ภูผาเอามือข้างหนึ่งกุมแผลไว้เดินเรื่อยๆ มาจากอีกมุมหนึ่งเช่นกัน
จนในที่สุดทั้ง สองคนเดินมาบรรจบพบกันพอดิบพอดี สองคนที่หัวใจเป็นของกันและต่างตกตะลึง ชะงักกึก และทำตัวไม่ถูก
“เอ่อ…” วงเดือนอึกอัก นึกคำพูดอะไรไม่ออก
ภูผาได้แต่มองนิ่งราวกับหุ่นปั้น
วงเดือนมองมือภูผาที่กุมแผลอยู่จึงถามขึ้น “แผลคุณเป็นยังไงบ้างคะ?”
ภูผาพูดสวนออกมาเสียงเย็นเฉียบ “แผลที่ไหนล่ะ?”
วงเดือนมองจ้องหน้าทันที ภูผาพูดต่อ
“ถ้าที่ใจ…มันคงไม่มีวันหาย”
วงเดือนเจ็บจี๊ด คิดในใจ...คุณทิ้งฉันไปทำหนูนาท้องโต แล้วยังมีหน้ามาพูดอย่างนี้อีกหรือ?
วงเดือนเลยพูดย้อนเสียงแข็งใส่บ้าง “รู้ด้วยเหรอคะ รู้ด้วยเหรอว่าแผลที่ใจมันไม่มีวันหาย?”
ภูผามองนิ่งคิดในใจ เธอเองก็จะทิ้งฉันไปแต่งงานกับเมฆาหน้าตาเฉย ไหนเคยบอกว่ารักกัน?
ภูผาสวนคำน้ำเสียงแข็งใส่เช่นกัน “ใช่! ฉันรู้ดี! ขออวยพรล่วงหน้าให้เธอกับเมฆาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป”
วงเดือนชะงักกึก หัวใจสลายสิ้น น้ำตาคลอหน่วย
วงเดือนเอามั่ง “ฉันก็ขอให้คุณมีความสุขกับหนูนา...กับลูกของคุณมากๆ” ทนไม่ไหวสะอื้นออกมา “และตลอดไปเช่นกัน”
วงเดือนสุดจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ น้ำตาหยดติ๋ง
ภูผาใจหล่นวูบ
วงเดือนจ้องหน้าภูผาด้วยความอาลัย และพยายามตัดใจ ก่อนจะเดินเฉียดภูผาออกไป ภูผาขยับมือเหมือนจะคว้าข้อมือวงเดือนไว้ แต่ก็ชะงัก ปล่อยให้วงเดือนเดินจากไป แล้วยืนคอตกอยู่ตรงนั้น
ขณะวงเดือนเดินปาดน้ำตาภาพความหวานชื่นในอดีตของวงเดือนและภูผาแว่บเข้ามา
ใบหน้าภูผาเศร้าสนิท
วงเดือนร้องไห้ออกมา เมื่อนึกถึงภาพความหวานชื่นของคู่หนูนากับภูผาที่ผ่านมา อีกทั้งฉากหวานตอนภูผาป้อนข้าวเฝ้าไข้ที่บ้านไร่วงเดือน ภูผาอุ้มหนูนา วงเดือนอึ้ง ภูผาพาหนูนาไปร้านตัดเสื้อ ฯลฯ
วงเดือนร้องไห้สะอึกสะอื้นปิ่มว่าจะขาดใจ
เช้านั้นอนุต ศรีดารา วงเดือน และเมฆา นั่งพร้อมที่โต๊ะอาหารแล้ว
ศรีดาราถามด้วยสีหน้าสดชื่นขึ้น “คุณภูผาล่ะ..ชอุ่ม”
“กำลังมาค่ะ”
วงเดือนอึดอัด เมฆาลอบมองจับกิริยา
ชอุ่มหันไปเห็น “มาแล้วค่ะ”
ภูผาเดินมาโดยมีหนูนาคอยประคองหน่อยๆ อย่างเป็นห่วง วงเดือนบาดตาบาดใจนัก
“มาทานข้าวด้วยกันนะจ๊ะ...ภูผา หนูนา”
ภูผามองหน้าวงเดือนแว่บหนึ่ง วงเดือนอึดอัดอยากจะลุกหนีไปให้พ้นๆ เมฆาจับแขนคว้าข้อมือหมับทันที มองตาวงเดือนพยายามเก็บความรู้สึก
อนุตรับรู้ เอ่ยเตือนขัดขึ้น “ฉันหิวแล้ว
ภูผานั่งลง หนูนายังไม่กล้า ภูผาดึงมือให้หนูนานั่งลงข้างๆ
ศรีดาราบอก “ตักข้าวเลยชอุ่ม”
เสียงโฉมไฉไลแหลมเข้ามา “รอโฉมด้วยสิคะ...คุณแม่”
โฉมไฉไลพุ่งเข้ามา แต่พอเห็นหนูนาก็ชะงัก! เอามือแตะแผลที่ปากอัตโนมัติ
หนูนาถลึงตาใส่เป็นเชิงบอก เดี๋ยวโดนอีกหรอก? โฉมไฉไลทำหน้าสยอง
อนุตเอ่ยขึ้น “เอ้า! พร้อมแล้วก็ทานกันเลย”
โฉมไฉไลนั่งพรวดประกบเมฆาเลย เมฆาเซ็งมาก ทุกคนเริ่มทาน
“หนูโฉม...หน้าไปโดนอะไรมา” ศรีดาราสังเกตเห็น
โฉมสะดุ้งหนูนาอมยิ้ม
“โฉม..เดินชนประตูน่ะค่ะคุณแม่”
หนูนาขำกิ๊ก โฉมไฉไลตาลุกวาว
ศรีดาราเปรยๆ ขึ้น “น่าเสียดาย...ตาพฤกษ์ไม่มาทานด้วย”
“ตั้งแต่เกิดเรื่องสามีเรามันหายหัวไปไหน รู้บ้างรึเปล่า..โฉมไฉไล”
โฉมไฉไลสะดุ้ง “เอ่อ...คือ..โฉมเองก็จนปัญญาแล้วค่ะคุณพ่อขา โฉมไปตามหาที่ท่าเรือก็ไม่พบ ทุกวันนี้โฉมก็กลุ้มใจจนกินไม่ค่อยจะได้” เหล่มองเมฆา “นอนไม่ค่อยจะหลับ”
เมฆาเริ่มหนาวละ
โฉมไฉไลพูดต่อ “ยังคิดอยู่ว่าถ้าอาการหนักไปกว่านี้ คงต้องขอรบกวนให้คุณหมอเมฆาช่วยรักษา”
เมฆารีบเปลี่ยนเรื่องทันควัน ตักกับข้าวให้วงเดือน “เดือน..ทานนี่หน่อยนะ”
โฉมไฉไลลอบยิ้มสะใจ ขณะที่ภูผาเคืองภาพบาดตาบาดใจ
ภูผาเลยหวานใส่หนูนามั่ง “หนูนาลองชิงแกงทางใต้ดูบ้างมั้ย? อร่อยมากเลย”
พลางภูผาตักแกงให้หนูนา
วงเดือนอึ้ง ปรายตาเมฆามอง
หนูนาพาซื่อ ตักใส่ปาก เผ็ดจี๊ด “โอ๊ย” ยกมือพัดปากร้อง “เผ็ดๆๆ”
“ตายแล้วภูผา!! คนกำลังท้องกำลังไส้ ให้กินของเผ็ดๆ ได้ยังไง..โธ่!! รีบเอาน้ำให้หนูนาสิ” ศรีดาราเอ็ดเอา
ภาพภูผาเงอะงะรีบป้อนน้ำให้หนูนา ยิ่งบาดตาวงเดือน เมฆายิ้มพอใจ โฉมไฉไลแอบขำสะใจสมน้ำหน้า
ภูผาลูบหัวหนูนา “ขอโทษนะ..ฉันลืมไป” ลูบท้องหนูนา ประชดวงเดือน “พ่อไม่ได้ตั้งใจนะลูก”
หนูนาทำตัวไม่ถูก วงเดือนอึ้งอีก เมฆามองอย่างรู้ทันภูผา
ภูผาตักไข่เจียวให้หนูนา “อ่ะ! ไข่เจียวดีกว่า มีประโยชน์จะได้แข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูกเลย”
วงเดือนปวดร้าวหัวใจแทบสลายจะไม่ไหวอยู่แล้ว เบือนหน้ากลืนน้ำตาแทนข้าว เมฆามองอาการวงเดือนแล้วมองภูผาอย่างรู้ทันว่า 2 คนคิดอะไรกันอยู่
โฉมไฉไลมอง 2 คู่รักอย่างสังเกตอาการแล้วลอบยิ้ม
โฉมไฉไลยังมีแผลที่มุมปากอยู่ แต่ก็ยังคาบข่าวมายงานแม่ อนงค์ฟังแล้วตาโต
“งั้นก็หมายความว่า นังวงเดือนหน้าจืดกะอีตาภูผาหน้าหินมันยังแอบ ปิ๊งกันอยู่”
“ล้านเปอร์เซ็นต์”
“เอ๊า.. แต่นังหน้าจืดมันกำลังจะแต่งงานกับเมฆา ส่วนไอ้หน้าหินก็มีเมียเด็กดอยท้องป่องอยู่ทั้งคน แล้วมันจะยังไงกันยะเนี่ย” อนงค์งวยงง
“มันจะยังไง มันก็เสร็จเราน่ะสิหม่าม้า!! (ยิ้ม) รัก 4 เส้า เรา 4 คน (ตาวาว) งานนี้...รับรองจบศพไม่สวยแน่ๆ
โฉมไฉไลยิ้มอย่างสะใจ
คืนนั้น หนูนาปิดแผลให้ภูผาเสร็จ ภูผาติดกระดุมเสื้อชุดนอน
“ขอบใจ..เดี๋ยวนี้เก่งนะ มือเบาขึ้นเยอะ”
หนูนายิ้มน้อยๆ แล้วยิงกลางหัวใจ “คุณแกล้งวงเดือนเค้าทำไม”
ภูผาทำไก๋ “แกล้งอะไร”
หนูนาน้อยใจนิดๆ ขณะพูด “แกล้งรักฉัน แกล้งรักลูกฉัน”
ภูผาอึ้งไปนิด
หนูนาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “คุณรู้มั้ย…ว่าไอ้ที่คุณทำเนี่ย ไม่ใช่คุณวงเดือนคนเดียวที่จะเสียใจ”
ภูผานิ่งงันไป
“ฉันก็ด้วย” หนูนาพูดต่อ
ภูผามองหน้าหนูนาเป็นเชิงขอโทษ
“แต่หนักสุด...ก็ตัวคุณเองน่ะแหละ”
ภูผาเงียบกริบ หนูนายกถาดอุปกรณ์ล้างแผลออกไป ทิ้งให้ภูผานั่งอึ้งอยู่ตรงนั้น
วงเดือนยืนแหงนหน้ามองพระจันทร์อยู่อย่างเดียวดาย ฉากรักหวานซึ้งที่บ้านพักในไร่บนดอย ขณะที่ภูผาและวงเดือนยืนมองพระจันทร์ ภูผาพร่ำบอกว่า…สวย เป็นค่ำคืนที่ทั้งคู่ดื่มด่ำความสุขด้วยกัน ผุดขึ้นมาหลอกหลอน
วงเดือนดึงตัวเองกลับมา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันหลังจะเดินกลับห้อง แต่กลับเจอภูผายืนอยู่ในระยะประชิด วงเดือนหันกลับจะเดินหนีไปอีกทาง
แต่ถูกภูผาคว้าข้อมือไว้ “เดี๋ยว”
วงเดือนพยายามบิดข้อมือหนี “ปล่อย! บอกให้ปล่อย”
“ฉันปล่อย เธอแน่”
วงเดือนชะงัก มองจ้องหน้า
“รับรอง...ฉันจะปล่อยให้เธอได้มีความสุขสมหวังกับเมฆาแน่”
วงเดือนฉุน สะบัดแขนทันที “ปล่อย”
ทว่าภูผากลับกระชากตัววงเดือนเข้ามาหน้าชิดหน้าเลยทีเดียว
“ตอนแรกฉันก็นึกว่าเธอรักฉัน สงสารอรุณ”
วงเดือนอึ้ง งง
“แต่พอมาถึง เมฆา” ภูผาส่ายหน้า “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่า ในใจเธอคิดอะไรอยู่?”
วงเดือนชะงัก นิ่งงัน “คุณภูผา”
ภูผาพูดต่อ “ต่อไป…จะ พี่พฤกษ์อีกคนมั้ย”
วงเดือนตัวสั่นเทา สะบัดมือสุดแรงจนหลุด แล้วยกขึ้นตบหน้าภูผาดังเผียะ!!
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา เดือนหลงคิดว่าคุณรู้จักรู้ใจเดือน และเดือนก็รู้จักรู้ใจคุณที่สุด” วงเดือนส่ายหน้า “แต่ตอนนี้...เดือนรู้แล้วว่ามันไม่ใช่! เดือนคิดผิด! คิดผิดมาตลอด!” วงเดือนคับแค้นใจเหลือแสน เริ่มสะอื้นแล้ว “คุณไม่เคยรู้จักเดือน และเดือนก็ไม่รู้จักคุณอีกต่อไปแล้ว”
วงเดือนสะบัดตัวเดินออกไปทันที ทิ้งให้ภูผามองตามไปจนลับสายตา
คืนเดียวกันสว่างกับดอยเสร็จงานที่ไร่เหนือฟ้ากำลังจะกลับไร่วงเดือน
“เมื่อไหร่ลูกพี่จะกลับซะทีน้า อยากรู้จังเลยว่าลูกค้าจะซื้อชาไร่เหนือฟ้าของเราเยอะรึเปล่า” ดอยบ่นตามประสา
“หนอย...ไร่เหนือฟ้าของเรา? กล้าพูดไม่อายปากนะไอ้ดอย”
“แหม..ลุงหว่างขา คิด ซะว่ามันเป็นของเรา เราจะได้มีกำลังใจขยันเก็บใบชาไงล่ะ”
“นั่น! กล้าคิดอีกต่างหาก เชอะ! ยังกะขยันนักนี่ วันๆ เห็นเอาแต่กินล่ะเอ็งน่ะ”
จู่ๆ คนงานไร่ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“น้าหว่าง! น้าหว่าง! แย่แล้ว”
สว่างตกใจร้องถามไวๆ “เฮ่ย! มีอะไรวะ..ไอ้น้อย”
คนงานไร่หอบแฮ่ก “ไฟ...ไฟจ้า...ไฟไหม้โรงเก็บชา”
สว่างกะดอยตาค้างร้อง “ห๊า” พร้อมๆ กัน
สว่าง ดอย และคนงานไร่ ช่วยกันดับไฟที่โหมไหม้ โรงเก็บชาไร่เหนือฟ้า
ต่อมาสว่าง กะดอย ทรุดลงนั่งท่าทีหมดแรง มีมีคนงานไร่นั่งบ้าง ยืนบ้าง วิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่
“อุตส่าห์เก็บใบชากันหลังแทบหัก” ดอยปาดเหงื่อ “นี่ถ้าลูกพี่รู้มีหวังไร่ระเบิดแน่”
“ใครทำวะ?” สว่างคาใจยิ่งนัก
“จะใครล่ะลุง...ก็ลูกพี่น่ะสิระเบิดลงแน่” ดอยพล่ามต่อคนละเรื่องเดียวกัน
สว่างรำคาญ “ไม่ใช่! ข้าหมายถึง...ใครมันเป็นคนเผาโรงเก็บชา”
ดอยตาโตลืมนึกไป สว่างใคร่ครวญครุ่นคิด
คืนเดียวกัน โสภีเต้นท่าเย้ายวนเรียกแขกอยู่ที่มุมหนึ่งในบ่อน มีผู้ชายห้อมล้อมเฮฮาสนุกสนาน ส่วนพวกที่เล่นก็เล่นกันไป โสภีเต้นจบ ผู้ชายรุมติ๊บ มีชายเมาแอ่น ยืนแทบไม่อยู่คนหนึ่งปรี่มาคว้าข้อมือเลย
“ไปนอนกับพี่ เดี๋ยวมีติ๊บหนัก”
“ติ๊บก่อน! นอนทีหลัง!” โสภีเล่นด้วย
“เฮ๊ย! พูดงี้หมายฟามว่าไงอ่ะ หาว่าข้าจะเบี้ยวรึไง? นี่แกไม่รู้เรอะว่าข้าลูกใคร?”
โสภีไม่ยี่หระ “ลูกใครไม่กลัว! กลัวเบี้ยว!”
ชายขี้เมาโมโห เงื้อมือจะตบ “หึ้ย!! นังนี่”
จู่ๆ พฤกษ์โผล่พรวดมาคว้ามือขี้เมาไว้ทันท่วงที
พฤกษ์หันไปบอกโสภี “หลบไป”
ชายขี้เมาต่อยหน้าพฤกษ์เปรี้ยง นักพนันฮือฮา พฤกษ์ลุกขึ้นมาลุยแหลกต่อยไม่ยั้ง โสภีร้องห้ามสุดเสียง
“อย่า! หยุดๆ! หยุดเดี๋ยวนี้”
พฤกษ์ส่งท้ายให้หมัดหนึ่ง ขี้เมาฟุบแน่นิ่งไป
โสภีปรี๊ดตวาดใส่พฤกษ์ “จะบ้าเหรอ? อยากตายรึไง”
พฤกษ์มองโสภีงงๆ อุตส่าห์มาช่วยกลับถูกด่า
เสียงเถ้าแก่เส็งแหลมเข้ามา “ไอ้พฤกษ์”
พฤกษ์และโสภีหันมามองตาโต
เถ้าแก่เส็งและลูกน้องยืนจังก้า มองอยู่อย่างโกรธจัด
ครู่ต่อมาพฤกษ์ถูกถีบกระเด็นกระดอนอยู่นอกบ่อน ร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำโดนยำบาทามาเละแล้ว โสภีปราดไปประคอง
โสภีขอร้อง “พอแล้ว..เถ้าแก่”
เถ้าแก่เส็งตามมาชี้หน้าด่า “ลื้อหนีหนี้ให้อั๊วตามล่าซะเหนื่อยกว่าพ่อลื้อจะใช้หนี้ให้อั๊ว แล้วนี่ลื้อยังมากระทืบลูกค้าวีไอพีของอั๊วอีก ลื้ออยากตายใช่มั้ยอาพฤกษ์”
พฤกษ์โพล่งขึ้น “ก็มันลวนลามโสภี”
เถ้าแก่เส็งชะงัก “ลวนลามโสภี? แล้วมันไปหนักกบาลลื้อตรงไหน โสภีอีเป็นเด็กบ่อนอั๊ว ลื้อเกี่ยวอะไรด้วย” พอจะนึกได้ จ้องโสภีเขม็ง “อาโสภี! ลื้อไปเกี่ยวอะไรกับมัน”
โสภีโกหกตาใส “เปล่า ไม่รู้จัก”
พฤกษ์หันขวับ
เถ้าแก่เส็งไม่เชื่อ “โกหก! ไม่รู้จักแล้วทำไมมันเรียกชื่อลื้อถูก”
โสภีเงียบกริบ
เถ้าแก่เส็งย่างสามขุมเข้าหา “เดี๋ยวนี้ลื้อริโกหกอั๊วเหรอ..อาโสภี”
เถ้าแก่เส็งตบเปรี้ยง โสภีฟุบลงไปกองกับพื้น
พฤกษ์ตกใจ “โสภี”
พฤกษ์จะปรี่เข้าหาโสภี ถูกลูกน้องเสี่ยล็อคไว้
“สั่งสอนมันทั้งคู่! เอาให้มันจำแม่นๆใส่สมองว่าต่อไปอย่าบังอาจทำให้เถ้าแก่เส็งโกรธ”
ลูกน้องมอง 2 คนแสยะยิ้มสยอง สีหน้าพฤกษ์และโสภีหวาดหวั่น
ยามเช้าวันนั้น พระรูปสุดท้ายเจริญพระพุทธมนตร์ให้พรทุกคนที่ใส่บาตรเสร็จเรียบร้อย
ศรีดาราน้ำตาซึม “คิดถึงอรุณ คิดถึงคุณแม่นะคะ
อนุตกอดปลอบใจ “เค้าไปสบายแล้ว เหลือแต่พวกเรานั่นแหละ”
เมฆากอดแม่ “คุณแม่ครับ ผมรับรองว่าจากนี้ไป แสนสมุทรจะมีแต่ความสุข คุณพ่อคุณแม่จะมีแต่ความสุขตลอดไป” โอบเอววงเดือนโชว์ “จริงมั้ยเดือน”
ภูผามองนิ่ง
วงเดือนอ้อมแอ้มตอบ “ค่ะ”
ศรีดารานึกได้ “จริงสิ..แม่ให้ที่ร้านตัดเสื้อเค้าเลือกผ้าสวยๆ ไว้ให้เดือนตัดชุดแต่งงาน หลายชิ้นเลยนะจ๊ะ”
วงเดือนอึ้งไป ภูผามองนิ่งๆ
“เมฆา..พาเดือนไปดูสิลูก รีบไปดูแต่เนิ่นๆใกล้วันงานจะได้ไม่ฉุกละหุก”
เมฆาอมยิ้ม วงเดือนอึกอัก ขณะที่ภูผาอึ้ง
ศรีดารานึกได้อีกอย่าง “ภูผาก็น่าจะพาหนูนาไปดูพร้อมกัน จะได้สั่งตัดไปซะด้วยกันเลย..ดีมั้ยลูก”
“เอ่อ” หนูนาอ้าปากจะปฎิเสธ
เมฆาขัดขึ้นก่อน “ดีครับแม่” หันไปพูดกับภูผา “ไปพร้อมกันเลยนะพี่ผา เดือนจะได้ช่วยดูชุดแต่งงานให้หนูนาด้วย ดีมั้ยหนูนา” เมฆายิ้มแสนดีให้หนูนา
“เอ่อ” หนูนาอ้ำอึ้งมองภูผาเป็นเชิงถาม
ภูผามองเมฆาเป็นเชิงถามว่า...เล่นกันงี้เลยหรือ
เมฆาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยิ้มแฉ่ง เป็นเชิงบอกทุกคนว่า... ดีมั้ย ดีมั้ย
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้ง 4 คน เดินเข้าร้านมาในร้านตัดเสื้อในตัวเมือง คู่ใครคู่คนนั้น ช่างตัดเสื้อซึ่งเป็นเจ้าของร้านจอมแจ๋คนเดิม เห็นเข้าก็กรี๊ดกร๊าดลั่นร้าน
“คุณพระช่วย! วันนี้ต้องเป็นวันดีวันเฮง 2คู่ชู้ชื่นแห่งแสนสมุทรถึงได้มาที่นี่พร้อมกันเลย” ออกอาการดีใจมาก ต้อนหน้าต้อนหลัง “เชิญค่ะ..เชิญค่ะ”
เมฆาสีหน้าแช่มชื่นอยู่คนเดียววงเดือนกับภูผาต่างก็อึดอัด ส่วนหนูนาเขินไม่ถนัด
ช่างตัดเสื้อมองหน้ายิ้มย่องท่าทีกรุ้มกริ่ม “ตกลง..ชุดแต่งงานใช่มั้ยเอ่ย”
3 คนมองกันไปมา
เมฆายิ้มยืดภาคภูมิใจ “ใช่ครับ ตัดไว้พร้อมกันเลยทั้ง 2 คู่” เน้นคำกระแทกภูผากับวงเดือนโดยเฉพาะ “ผมกับคุณวงเดือน ส่วนพี่ภูผากับหนูนา”
ช่างตัดเสื้อวี๊ด “ว๊าย” เนื้อเต้นราวกับงานแต่งตัวเอง
“ตัดพร้อมกัน แต่ไม่น่าจะแต่งพร้อมกัน” ขณะพูดเมฆามองจ้องหน้าภูผา “เพราะผมคงแต่งก่อน”
ภูผาหันขวับ
“แต่งตัดหน้ากันแบบนี้ พี่คงไม่ถือสาใช่มั้ยครับ”
ภูผามองจ้องมองเข้าไปในดวงตาเมฆา
เมฆายิ้มกวน “เพราะผมไม่ได้ตั้งใจ...จริงๆ”
ภูผาชักจะเหลืออด ขยับหมัดแล้ว แต่ช่างเสื้อเสียงดังขึ้นก่อน
“ถ้างั้นอย่าช้า เรามาวัดตัวกันเลยดีกว่าค่ะ” ร้องเรียกลูกน้อง “เด็กๆ จ๋า...มาวัดตัวคุณๆ ด่วนจ้า”
ภูผากับเมฆาจ้องตากันเขม็งสู้สายตากันไปมา เมฆายิ้มยั่วอย่างเป็นต่อ
เด็กๆ กรูมาลากวงเดือนและหนูนาหลุดเฟรมไป
ช่างตัดเสื้อบอกเมฆาและภูผา “คุณๆ ผู้ชายรอตรงนี้ ซักครู่นะคะ ขอไปวัดตัวคุณๆ ผู้หญิงก่อนค่ะ”
จากนั้นก็ออกไป เหลือภูผาและเมฆา 2 คน
เมฆาพูดต่อ ท่าทีเย้ยหยัน “ไม่น่าเชื่อ...ว่าจะมีวันนี้..จริงมั้ยพี่ผา”
“แกตั้งใจจะพูดเรื่องอะไร..เมฆา” ภูผายิงคำถามกลางแสกหน้าเมฆา
“คิดดูสิพี่ ใครจะไปนึกว่า สุดท้ายแล้ว....ผมจะได้แต่งงานกับเดือน”
ภูผาเจ็บแปลบขึ้นมาทันที
เมฆาพูดประชดกลายๆ “จากคนที่ไม่มีใครสนใจ พ่อรักพี่พฤกษ์ แม่รักอรุณ ย่ารักพี่ผา แต่ในที่สุด” เมฆายืดอกอย่างภูมิใจ “ผมกลับกลายเป็นความหวังเดียวของแสนสมุทร”
ภูผามองไม่อิจฉาเพียงแค่นึกสงสารเมฆา
เมฆายังพ่นข่มภูผาต่อ “แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น” สีหน้าภาคภูมิใจสุดๆ “ผมยังกลายเป็นคนเดียวที่ได้ครอบครองหัวใจวงเดือนอีกด้วย”
ภูผาตาวาวทันที เจ็บสุดก็เรื่องนี้
ภูผาลองหยั่งเชิง “แกแน่ใจเหรอเมฆา...ว่าแกได้ครอบครองหัวใจของเดือน...”
เมฆาเหลียวขวับ
ภูผาพูดต่อ “...ไม่ใช่แค่ร่างกาย”
เมฆาโกรธจัด “พี่ผา”
ช่างตัดเสื้อพา 2 สาวออกมาพอดี “เสร็จแล้วค่า คราวนี้ถึงคิวคุณผู้ชายค่ะ”
เมฆาจ้องหน้าภูผาอย่างโกรธแค้น ก่อนจะพูดข่ม “แน่ใจสิพี่ผา! ไม่เชื่อก็คอยดู”
เมฆาเดินดิ่งไปหยุดยืนตรงหน้าวงเดือนแล้วโอบวงเดือนมาหอมแก้มฟ่อดใหญ่ทันที
ภูผาตะลึง
ช่างตัดเสื้อกรี๊ด “อร๊าย”
วงเดือนช็อก “คุณเมฆา?”
“สำหรับเจ้าสาวของผม” เมฆาปรายตามองข่มภูผา
ภูผาอึ้ง
“คุณรักผมมั้ย...วงเดือน”
วงเดือนถามเบาๆ อายคน “อะไรกันคะ..คุณเมฆา”
“ตอบมาก่อน ตอบดังๆ” น้ำเสียงอ้อนแกมบังคับ “ว่าคุณรักผม”
วงเดือนอึ้งเหลือบมองภูผาที่จ้องอยู่ ภูผาเห็นวงเดือนมองมาก็ทำเมินวงเดือนน้อยใจ
เมฆาเร่งเร้า “ว่าไง”
วงเดือนประชดภูผา “ค่ะ!เดือนรักคุณเมฆา”
ภูผาหันมองขวับมาแววตาเต็มไปด้วยความรวดร้าวและเสียใจ วงเดือนหน้านิ่ง
เมฆายิ้มกริ่ม ปรายตามองภูผาประมาณว่า ไงล่ะ ได้ยินชัดมั้ย
เจ้าของร้านเสื้อกรี๊ดกร๊าดลั่น “อร๊าย สวีทกันขนาดนี้ รับรองว่าจะตัดชุดให้สุดฝีมือ ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ”
ภูผานิ่งอึ้งด้วยความเสียใจ วงเดือนเองก็น้อยใจที่ภูผาไม่สนใจตน ขณะที่หนูนาเห็นใจภูผาแต่ก็แอบน้อยใจนิดๆ ส่วนเมฆานั้นสะใจที่สุด
ชิงนาง ตอนที่ 15 (ต่อ)
ภายในกระต๊อบซอมซ่อเวลาต่อมา โสภีเดินไปย่อตัวลงดูสภาพพฤกษ์ที่โดนซ้อมจนเละ เจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์นอนคุดคู้อยู่ มือสั่นๆ ของโสภียื่นไปแตะแผลที่ใบหน้าพฤกษ์ด้วยความสงสาร
จากนั้นไม่นานพฤกษ์เริ่มรู้สึกตัว ปรือตาด้วยอาการยังมึนๆ อยู่ ก่อนจะเพ่งมองเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร พฤกษ์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“โสภี”
โสภีรีบเอี้ยวหน้าหลบทันที พฤกษ์ผุดลุกขึ้นจับตัวโสภีให้หันมาประจันหน้า พฤกษ์ถึงกับตะลึงตาค้างเมื่อเห็นชัดๆ
“โสภี”
ใบหน้าโสภีแตกยับเยิน บดบังความสวยที่เคยมีไปจนหมดสิ้น
พฤกษ์สะท้อนใจพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ครางออกมาอย่างเสียใจสุดซึ้ง “โธ่!”
ยิ่งพอพฤกษ์ไล่สายตามองตามเนื้อตัวโสภี มีแต่รอยฟกช้ำแล้วยิ่งสงสารจับใจ ทายาทคนโตของแสนสมุทรรวบตัวโสภีเข้ามากอดแนบแน่น โสภีคอพับสลบลงบนไหล่พฤกษ์
พฤกษ์รู้สึกได้ ตกใจ ร้องเรียกลั่น “โสภีๆๆๆๆๆ”
สักครู่หนึ่งพฤกษ์จับร่างโสภีที่สลบไสลอยู่ให้เอนนอนลง พฤกษ์มองหา แต่ทั่วทั้งกระต๊อบไม่มีสิ่งของใดๆ เลย สุดท้ายก็ได้แค่เศษผ้าเท่าที่หาได้ มาพยายามเช็ดคราบเลือดที่แผลบนใบหน้าของโสภีอย่างเบามือ
พฤกษ์จัดการถอดเสื้อโสภี เช็ดแผลที่ไหล่, หลัง และเนื้อตัวบริเวณที่โดนทำร้าย จังหวะหนึ่งร่างของโสภีสะท้านเริ่มหนาวสั่น แม้จะยังสลบอยู่ พฤกษ์เอามือแตะที่หน้าผาก พบว่าโสภีมีไข้ พฤกษ์ร้อนใจลุกขึ้นพยายามค้นหายาหรืออุปกรณ์ใดๆ ในบ้าน แต่ก็ไม่มีสักอย่าง พฤกษ์ทรุดนั่งข้างๆ จับมือโสภีไว้
“ฉันจะทำยังไงดี? ฉันจะช่วยเธอยังไงดี..โสภี”
คิดไปคิดมาได้สักพัก พฤกษ์ก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
ตรงมุมหนึ่งในบ้านแสนสมุทร ชอุ่มกำลังนั่งซักไซร้วงเดือนเรื่องไปตัดชุดแต่งงานกับเมฆาอย่างเมามันส์ เนื้อเต้นราวกับจะเป็นเจ้าสาวเสียเอง
“เป็นไงมั่งอ่ะเดือน ชุดแต่งงานของเดือนเป็นยังไงอ่ะ อึ๋ย... อยากเห็นจังเลย ต้องสวยยังกะชุดเจ้าหญิงแน่ๆ เลยใช่มั้ยเดือน”
วงเดือนไม่อยากพูดถึงเลยแม้สักนิด ก้มหน้าก้มตาพับจับจีบดอกบัวในมือต่อไป
ชอุ่มซักต่อ “ถ้าตัดเสร็จเมื่อไหร่ น้าขอดูมั่งนะ ถึงแม้ชาตินี้จะไม่มีบุญได้ใส่ชุดแต่งงานเหมือนคนอื่นเค้า” ชอุ่มยิ้มกริ่ม “แต่ขอแค่แตะๆ ซักนิดก็ยังดี คริๆ”
ชอุ่มเห็นวงเดือนยังเฉยก็ชะงัก มองอย่างรู้เท่าทันความคิดหญิงสาว ชอุ่มถอนใจก่อนจะเอื้อนเอ่ยขึ้น
“คุณเมฆาเค้ารักเดือนมากนะ”
วงเดือนหันขวับ
ชอุ่มสะดุ้ง “อย่าเพิ่งโกรธสิ..ก็น้าพูดจริง”
วงเดือนไม่พูดไม่จา ถอนหายใจออกมา
“กลัวเรื่องยัยโฉมจัญไรเหรอ ไม่ต้องกลัวหรอก น้ายังอยู่ทั้งคน ถึงยังไงน้าก็ไม่ยอมให้ยัยโฉมแฉะนั้นมาทำอะไรเดือนของน้าได้หรอก”
คราวนี้วงเดือนอดขำกิ๊กในคำพูดซื่อของชอุ่มไมได้
“เอ๊า! ขำอะไร น้าพูดจริงทำจริงนะ ไม่ได้ล้อเล่น” พลางชอุ่มถกแขนเสื้อมาดเก๋าราวกับพวกจิ๊กโก๋ “เห็นเป็นขี้ข้า แต่อย่ามาแหยมนะเว๊ยเฮ๊ย”
วงเดือนยิ้มเต็มยิ้ม ซึ้งใจสาวใช้วัยทองปิยะมิตรที่แสนดีในบ้านแสนสมุทร
“น้าชอุ่ม” วงเดือนเอ่ยขึ้น
ชอุ่มยังสวมมาดก๋ากั่นอยู่ “ว่าไง”
วงเดือน วางของในมือสวมกอดชอุ่มแนบแน่น ชอุ่มอึ้ง
“ขอบคุณน้ามากนะ ที่รักและเมตตาเดือนมาตลอด”
ชอุ่มนิ่งงันไป รู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน
วงเดือนพูดต่อ “ตั้งแต่เดือนเข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็ก เดือนก็มีน้าชอุ่มคนเดียวที่คอยดูแลและเป็นที่พึ่งของเดือน”
ชอุ่มน้ำตารื้น รีบยกมือปาดเช็ดน้ำตา “อุ่ย..พอแล้วๆ..พูดอะไรเนี่ย..ไม่เอาๆ” จับตัววงเดือนออก
วงเดือนนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะเปรยๆ เหมือนพูดกับตัวเอง “จนถึงวันนี้...มีอะไรผ่านเข้ามาในชีวิตเดือนมากมายนับไม่ถ้วน ต่อไป..ชีวิตของเดือนจะเป็นยังไงก็ไม่รู้”
ชอุ่มมองอย่างเข้าใจและเห็นใจ ลูบหลังปลอบ “เดือน..คนดีน่ะตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เดือนเป็นคนดี เทวดาย่อมคุ้มครอง ชีวิตของเดือนจะต้องได้ดี มีแต่ความสุขความเจริญ เชื่อน้าสิ”
สีหน้าชอุ่มขณะพูดมั่นใจมาก วงเดือนมองแล้วได้แต่ยิ้มน้อยๆ ลึกๆ ในใจไม่เชื่อสักเท่าไหร่
ชอุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง “แต่ตอนนี้ ชีวิตน้าอาจจะรันทดได้ ถ้ายังไม่รีบเอาดอกไม้ไปเปลี่ยนที่ห้องพระของคุณผู้หญิง” รวบถาดดอกไม้มาถือ “น้าไปก่อนล่ะนะเดือน” ก่อนจะออกไม่วายหันมาเตือน “อย่าลืมนะ ชุดเจ้าสาวเสร็จเมื่อไหร่ อย่าลืมให้น้าแตะๆๆ”
ชอุ่มยิ้มให้แล้วเผ่นออกไป วงเดือนอดยิ้มตามไม่ได้ ส่ายหน้านิดๆ แล้วลุกขึ้น
จังหวะนั้นยินเสียงพฤกษ์เรียกเบาๆ “เดือน..เดือน…”
วงเดือนสะดุ้ง หันขวับมองหาต้นเสียง
“ใครน่ะ ใครคะ”
พฤกษ์ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากที่แอบซ่อนอยู่
วงเดือนเห็นสภาพมองสารรูปก็ตกใจ “คุณพฤกษ์”
พฤกษ์มองวงเดือนตาละห้อย ขณะที่สีหน้าวงเดือนยังตกใจอยู่อย่างนั้น
2 คนแอบซุ่มคุยกันตรงมุมลับตาในบ้านแสนสมุทร
“คุณพฤกษ์คะ..เข้าไปคุยกันในบ้านเถอะค่ะ”
“ไม่ได้หรอกเดือน ไอ้ตัวซวยอย่างฉัน คงไม่มีใครอยากให้เหยียบเข้าไปในบ้านแสนสมุทรอีกต่อไปแล้ว”
วงเดือนสงสารจับใจ “ไม่จริงหรอกค่ะคุณพฤกษ์ ถึงยังไงคุณพฤกษ์ก็ยังคงเป็นลูกชายของคุณพ่อคุณแม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านทั้งสองก็ยังรักและเป็นห่วงคุณพฤกษ์นะคะ...เชื่อเดือนเถอะ”
พฤกษ์ส่ายหน้านิดๆ “ชีวิตฉันมันไปไกลเกินกว่าที่จะกลับมาเป็นลูกชายของคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะ”
วงเดือนคราง “คุณพฤกษ์...”
พฤกษ์มองวงเดือน ตัดสินใจพูดธุระ “เดือน...ที่ฉันมานี่..ฉันมีเรื่องจะขอร้องเธอ”
วงเดือนเมียงมอง เหมือนจะชั่งใจ
พฤกษ์ย้ำคำ ขอร้องอีก “ช่วยชั้นได้มั้ยเดือน ฉันขอร้อง”
วงเดือนมองพฤกษ์ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ขณะที่อนงค์เดินจ้ำพรวดมาตามทางริมรั้วบ้านแสนสมุทร แต่แล้วต้องชะงักกึกเมื่อเห็นวงเดือน กับพฤกษ์เดินหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนจะแอบหนีออกจากบ้าน ดูมีพิรุธมากๆ ในมือพฤกษ์ถือห่อผ้าใหญ่ๆ ด้วย ซึ่งแท้จริงแล้ว ในนั้นคือกล่องยาและอุปกรณ์การแพทย์
อนงค์ตาโต “ว๊าย นั่นมัน”
วงเดือนกับพฤกษ์หันมา อนงค์หลบวูบเข้าซ่อนแล้วแอบมองอย่างระทึก
“ตายแล้วๆ ตาพฤกษ์ กับ นังวงเดือน”
วงเดือนกับพฤกษ์มองดูว่าปลอดคน ก็รีบออกจากบ้านไปเร็วรี่ โดยพฤกษ์จูงมือวงเดือนด้วย
อนงค์ตาโตจดสายตามองจ้อง “นังวงเดือน ที่แท้...แกก็แอบเป็นชู้กับผัวลูกสาวฉัน ฮึ่ม! ร้ายกาจที่สุด ต้องตามไปจับให้ได้คาหนังคาเขาว่ามันแอบไปกกกันที่ไหน”
อนงค์ก้าวขาจะวิ่งตามแล้วชะงักกึก ทำหน้าปูเลี่ยนๆ อนงค์นิ่งนึก “อะไรเละๆ”
อนงค์หงายเท้าขึ้นมาดูข้างหนึ่ง เห็นว่าตัวเหยียบขี้หมาเละอยู่
อนงค์กรี๊ด “อร๊าย ขี้หมา! แหวะ! ทุเรศที่สุด ทุเรศๆๆๆ”
อนงค์ก้มหน้าก้มตาเอาเท้าเช็ดๆๆๆ กับหญ้าแถวนั้น
“อึ๋ย รองเท้าฉันเพิ่งซื้อมาใหม่ๆ ซวยจริงๆ”
พอเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมองร้อง “อ้าว” เพราะพฤกษ์กับวงเดือนหายไปแล้ว
“เฮ๊ย” ปรี่ออกมาจากมุมที่แอบอยู่ “เอ๊า หายไปไหนแล้วล่ะ?” วิ่งพล่านออกไปมองหา “นังวงเดือน ตาพฤกษ์ ฮึ่ย! เจ็บใจจริงๆ”
อนงค์บ่นอุบ ทำจมูกฟุดฟิด เหลือบมองร้องเท้าทำหน้าเหยเกอย่างขยะแขยง “แหวะ!!”
โฉมไฉไลรู้เรื่องก็หันขวับ ตาโต ถามซักมารดาอีกครั้ง
“อะไรนะหม่าม้า” พูดช้าๆ ถามอย่างทวนคำถาม “พฤกษ์ กับ นังวงเดือน มัน เล่น ชู้กัน”
“ล้านเปอร์เซ็นต์ ฉันเห็นเต็มๆ 2 ลูกกะตา กับอีก 1 เท้า เหม็นมาก” ยอดคุณแม่จอมเสี้ยมว่า
โฉมไฉไลงงๆ นึดหนึ่ง ก่อนจะถามย้ำ “แน่ใจนะหม่าม้า”
“แกอยากดมรองเท้าฉันมั้ยล่ะ? จะไปเอามาให้!” อนงค์บอก
โฉมไฉไลยิ่งงง “มันเกี่ยวอะไรกันห๊าหม่าม้า”
“เกี่ยวสิ” อนงค์ตั้งท่าอ้าปากจะเม้าท์ยาว “ก็เมื่อตะกี๊ฉัน...”
โฉมไฉไลตัดบท “เอาล่ะ พอๆๆ ขี้เกียจฟัง เสียเวลา เพราะตอนนี้โฉมมีเรื่องสำคัญที่ต้องใช้เวลา และ ใช้สมองคิดมากกว่าแยะ"
โฉมไฉไลตาวาวโรจน์ ยิ้มย่องเหมือนมีแผนในใจ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับวงเดือน
เวลานั้น อนุตและศรีดารานั่งคุยอยู่กับเมฆาตรงมุมนั่งเล่น เมฆานั้นหน้าตาแจ่มใสเบิกบานมาก
“ไงจ๊ะ..เมฆา?! พาวงเดือนไปตัดชุดแต่งงานเรียบร้อยมั้ยจ๊ะ”
“เรียบร้อยครับแม่ ขอบคุณคุณพ่อกับคุณแม่มากนะครับ”
อนุตอดนึกถึงภูผาไม่ได้ แต่ก็ยังฟอร์มเหมือนเก่า “แล้วของพี่ชายเราล่ะ...มีอะไรวุ่นวายอีกรึเปล่า”
เมฆาแอบอมยิ้ม สะใจ นึกแล้วสมน้ำหน้าภูผา “อ๋อ...ไม่มีอะไรครับ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ของพี่ผาเรียบร้อยดีมาก... ทุกอย่าง”
ศรีดาราหันไปเห็น “อ้าว! นั่นไง..พูดถึงก็มาพอดี”
ภูผาเดินเข้ามาพร้อมกับหนูนา
“ภูผา..มานั่งคุยกับคุณพ่อหน่อยสิลูก”
ภูผาชะงักไปนิดหนึ่งมองหน้าหนูนา
“พาหนูนามาด้วยจ้ะ” ศรีดารายิ้มเยื้อนบอก
ภูผาจูงมือหนูนาเข้ามานั่ง หนูนาดูขัดเขิน ไม่ถนัด
“เมื่อกี๊คุณพ่อเป็นห่วง ถามเรื่องชุดแต่งงานของพี่ผากับหนูนา ผมก็เรียนไปว่าเรียบร้อยดีมาก ทุกอย่าง” เมฆาคุยข่ม
ภูผาตาขวางใส่
เมฆากวนต่อ “จริงมั้ยครับพี่”
ภูผาหน่ายไม่อยากยุ่ง
อนุตออกตัว สีหน้าเมินมอง “ฉันก็แค่ถาม”
ภูผามองพ่องงๆ
ระหว่างนั้นโฉมไฉไลเดินมาหยุดแอบฟังการสนทนา
ศรีดาราเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ขาดตกบกพร่อง อะไรมั้ย” พร้อมกับหันมาถามหนูนา “หนูนาจ๊ะ..ฉันอยากจะชวนหนูนาไปเลือกเครื่องประดับ”
ยินเรื่องนี้เข้า โฉมไฉไลตาลุกเป็นไฟ ทนไม่ไหวส่งเสียงแหลมเข้ามาเลย
“คุยอะไรกันอยู่คะ? น่าสนุกจังเลย”
ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน
“ขอโฉมคุยด้วยคนสิคะ..คุณแม่” นั่งประกบศรีดารา นัยน์ตาวาวโรจน์เตรียมใส่ไฟเต็มที่ “เอ๊ะ! ว่าที่เจ้าสาวหายไปไหนคนนึงล่ะคะ..เมฆา”
เมฆาตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ ก่อนจะนึกได้...เออ! ก็จริง วงเดือนหายไปไหน?
โฉมไฉไลรู้ทันได้ทีเติมเชื้อ “ว้า! แย่จัง มัวแต่ปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่ เมฆา” มองเหล่ “แล้วไหนยังจะคุณภูผา ต้องเตรียมงานแต่งงานกันจ้าละหวั่น แต่ตัวเองกลับแอบหายไปทำอะไร อยู่ที่ไหน ก็ไม่รู้อย่างนี้ มันใช้ไม่ได้เลย” หันมาพูดน้ำเสียงอ้อนออดใส่จริตกับศรีดารา “จริงมั้ยคะ...คุณแม่”
ศรีดาราอึ้ง มองไปที่เมฆาที่ออกอาการงงอยู่
ภูผานึกเป็นห่วงวงเดือนครามครัน หนูนาลอบมองเห็นอาการนั้นของภูผาพอดี
ขณะที่เมฆาคิดหนักว่า วงเดือนไปไหน?
พฤกษ์พาวงเดือนมาที่กระต๊อบหลังนั้น วงเดือนชะงักมองรอบบริเวณ
“คุณพฤกษ์คะ นี่มัน..ที่ไหน แล้วไหนคะ...คนเจ็บที่คุณบอก”
“เข้ามาสิเดือน” พฤกษ์รีบบอกพร่อมกับจูงมือวงเดือนดึงมา วงเดือนมองอย่างระแวงๆ ก่อนจะมองเห็นโสภีนอนซมพิษไข้อยู่
วงเดือนงงมาก “คุณพฤกษ์! เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย”
พฤกษ์บอกท่าทีร้อนใจ “ช่วยโสภีก่อนได้มั้ยเดือน แล้วฉันจะเล่าทุกอย่างให้เดือนฟัง”
เดือนอึ้ง งงหนัก
ขณะที่โฉมไฉไลเดินเอ้อระเหย อารมณ์ดีอยู่คนเดียวนั้น ก็โดนมือใครคนหนึ่งฉกเข้ามุมหายวับไปตรงมุมลับตาคน
โฉมไฉไลตกใจร้องลั่น “ว๊าย”
ที่แท้เป็นเมฆานั่นเอง
โฉมไฉไลพอเห็นเป็นเมฆาก็ไม่ตกกะใจ เพราะนึกอยู่แล้ว “อุ๊ย! ผัวขา...นึกว่าใคร”
เมฆากัดฟันกรอด ถามลอดไรฟัน “อะไรอีก”
โฉมไฉไลเล่นแง่ทำหน้าเป๋อเหลอใส่ “อะไร อะไร ยังไง มีอะไรเหรอคะผัวขา... เมียไม่รู้เรื่อง...”
เมฆาบีบคอคาดคั้นทันที “หยุดลีลาซะที! เมื่อกี๊ที่พูดเรื่องวงเดือน...มีอะไร? บอกมา”
โฉมไฉไลไอแค่กๆๆ เพราะโดนบีบคอ พูดไมได้ รีบปัดมือเมฆาสุดแรงจนหลุด “บีบคออย่างนี้ จะพูดได้ไงเล่า ฮึ่ย!” ไอต่ออีกหลายแค่กจนคอโล่ง
“อย่าสำออย บอกมา”
โฉมไฉไลใส่จริต ลีลาน่าตบ “อ๋อ...เรื่องมันก็มีอยู่ว่า...”
เมฆารอฟังใจจดจ่อ ลุ้นระทึก
โฉมไฉไล “ไม่มีอะไร”
เมฆาร้อง “ห๊า”
“โฉมก็แค่ถามไปตามที่เห็น”
เมฆาโกรธจัดผลักโฉมไฉไลไปติดกำแพง “นี่เธอจะกวนประสาทฉันไปถึงไหนโฉมไฉไล?” จ้องหน้าสายตาระแวง “ไม่ใช่! มันไม่ใช่แค่นั้นแน่ๆ คนอย่างเธอมันต้องมีอะไรมากกว่านั้น”
โฉมไฉไลแว๊ดใส่ “เอ๊… บอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิ! นี่คุณระแวงอะไรนังวงเดือนอยู่รึไง? ไหนว่ารักกันนักหนา” ได้ทีขยี้ทันควัน “คุณระแวงว่าที่เจ้าสาวคนดีของคุณอยู่ใช่มั้ยล่า” โฉมไฉไลหัวเราะชอบใจ
พอเมฆาถูกจี้ใจดำ ก็พาลโกรธ ตวาดลั่น “หุบปาก ฉันไม่มีวันระแวงวงเดือน ฉันกับวงเดือนรักกัน เรารักกัน”
โฉมไฉไลเยาะ “เชอะ! ให้มันจริงเถอะ”
เมฆาสวนคำทันควัน “จริงสิ จริงที่สุด ส่วนคุณก็เลิกอิจฉาวงเดือนแล้วก็ไปตามหาสามี พากลับบ้านมาปรับปรุงตัวให้เป็นผู้เป็นคนกับเค้าซะที หัดทำหน้าที่เมียที่ดีให้ได้ซักครั้งในชาตินี้ จะได้มั้ย..โฉมไฉไล” ผลักโฉมไฉไลแรงๆ ก่อนจะเดินหนีไป
โฉมไฉไลมองตามอาการเข่นเขี้ยว คั่งแค้น ตะโกนไล่หลัง “ตามแน่ ฉันจะไปตามผัวฉันกลับมาแน่!” ยิ้มเยาะ “ว่าแต่คุณเถอะ..เตรียมทำใจไว้ล่วงหน้าด้วยละกัน...เมฆา เพราะฉันอาจจะลากคอผัวฉันกลับมา พร้อมกับว่าที่เมียของคุณนั่นแหละ”
โฉมไฉไลระเบิดหัวเราะออกมาอย่างสะใจเป็นที่สุด
ขณะเดียวกันวงเดือนวางผ้าขนหนูชุบน้ำไว้ที่หน้าผากโสภี
“อีกไม่นาน...ไข้คงจะลด คุณพฤกษ์หมั่นเอาผ้าชุบน้ำบิดให้หมาดๆ แล้ววางอย่างนี้เรื่อยๆ นะคะ ทำได้มั้ย”
พฤกษ์พยักหน้า มองจ้องวงเดือน “ขอบใจมากนะเดือน”
วงเดือนมองพฤกษ์สลับกับมองโสภี “เอาล่ะค่ะ...ทีนี้..เล่าให้เดือนฟังได้รึยังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณ”
พฤกษ์เริ่มเล่าเรื่องให้ฟัง วงเดือนได้ฟังก็ตกใจ ในขณะที่พฤกษ์กลุ้มใจหนัก บางจังหวะวงเดือนฟังแล้วถึงกับอึ้งไป ในขณะที่พฤกษ์กุมขมับตัวเอง วงเดือนเห็นใจ เหลือบสายตาไปมองโสภี สักพักหนึ่งพฤกษ์ทุบพื้นด้วยความโมโห วงเดือนปล่อยให้พฤกษ์ระบายความรู้สึกไม่ห้าม ก่อนที่พฤกษ์จะฟุบลงกับฝ่ามือตัวเอง ร้องไห้โฮๆๆ อย่างหมดสภาพ
พฤกษ์เล่าเรื่องจบแล้ว วงเดือนนั่งอึ้งอยู่
พฤกษ์พึมพำประชดชีวิตเส็งเคร็งของตัวเอง “ชีวิตฉันมันบัดซบมากใช่มั้ยเดือน นึกไม่ถึงใช่มั้ยว่ามันจะเลวร้ายได้ถึงขนาดนี้”
วงเดือนหนักใจเอาการอยู่ แต่พยายามปลุกปลอบให้กำลังใจ
“คุณพฤกษ์คะ..ชีวิตก็เหมือนทะเลนั่นแหละค่ะ มีวันที่ท้องทะเลสงบสวยงาม แต่บางวันก็มีคลื่นพายุซัดกระหน่ำโหมทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่นาน..ความสวยงามและความสงบ มันก็จะกลับมาอีกเสมอ...คุณพฤกษ์น่าจะทราบดีนะคะ”
พฤกษ์อึ้ง หันมามองวงเดือน
“คุณพฤกษ์เคยออกเรือ ได้เห็นความงดงามและก็เคยเผชิญกับพายุร้ายมานับครั้งไม่ถ้วน แค่นี้อย่าเพิ่งท้อสิคะ”
พฤกษ์ฟังแล้ว ถอนใจเฮือกใหญ่ “เดือน...” มองจ้องหน้า “ก็เพราะอย่างนี้ ใครๆ ถึงได้รุมรักเธอกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะอรุณ...ภูผา...เมฆา...รวมทั้ง...ฉัน”
วงเดือนเงียบไป
พฤกษ์ชื่นชมวงเดือนจากใจจริง “เธอเป็นคนจิตใจดี ที่สำคัญคือ เข้มแข็ง” นึกเทียบกับตัวเองแล้วส่ายหน้า “ฉันเองซะอีก เป็นผู้ชายแท้ๆ แต่กลับอ่อนแอ สู้เธอก็ไม่ได้”
วงเดือนหน้าเศร้าลงมองอย่างสงสาร เอื้อมมือไปจับมือพฤกษ์บีบเบาๆ ให้กำลังใจ
“ลุกขึ้นสู้สิคะ...กลับไปแสนสมุทรนะคะ”
พฤกษ์อึ้ง นิ่งคิดก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ได้หรอกเดือน ฉันกลับไปไม่ได้”
“ได้สิคะ...กลับไปเล่าทุกอย่างให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง เหมือนอย่างที่เล่าให้เดือนฟัง เดือนเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องให้อภัยคุณพฤกษ์”
“เรื่องนั้น..ฉันไม่หวังหรอกเดือน”
วงเดือนทำหน้าฉงน
พฤกษ์ค่อยๆ หันไปมองโสภีที่นอนซมอยู่ “ตอนนี้...ฉันเป็นห่วงโสภี”
วงเดือนอึ้งมองโสภี แล้วพึมพำออกมาด้วยความซาบซึ้ง “คุณพฤกษ์”
เย็นย่ำวันนั้นพฤกษ์เดินมาส่งเดือนจนถึงทางใกล้บ้านแสนสมุทร
“ฉันส่งเดือนแค่นี้นะ”
“คุณพฤกษ์..แน่ใจเหรอคะว่าจะไม่เข้าบ้าน” วงเดือนถามย้ำก่อนจาก
พฤกษ์พยักหน้า ก่อนจะนึกได้ “เดือน..อาการโสภีจะเป็นยังไงบ้าง? ฉันกลัวว่าจะเป็นอะไรขึ้นมา? อีกอย่าง..ก็ไม่มีปัญญาพาไปหาหมอด้วย”
วงเดือนรู้สึกสงสาร “ไม่ต้องห่วงค่ะคุณพฤกษ์ เดือนจะไปช่วยดูอาการให้ทุกวัน”
พฤกษ์ยิ้มออกอย่างดีใจ “จริงเหรอเดือน ขอบใจมาก...ขอบใจมากเลยนะเดือน”
วงเดือนยิ้มรับ “ค่ะ”
“งั้นฉันกลับก่อนนะ เดี๋ยวใครจะมาเห็นเข้า”
“ค่ะ”
พฤกษ์รีบวิ่งออก ก่อนจะหยุดหันมาทวงถามย้ำ
“จริงนะเดือน ต้องไปหาโสภีนะเดือน สัญญานะ”
วงเดือนยิ้ม “ค่ะ...เดือนสัญญา”
พฤกษ์ดีใจ วิ่งตัวปลิวออกไป
วงเดือนส่ายหน้ายิ้มๆ มองตามพฤกษ์ที่ยามนี้เหมือนเด็กๆ ดีใจได้ของเล่น แต่พอนึกถึงเรื่องทุกข์ขมในชีวิตพฤกษ์แล้ววงเดือนก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันหลังกลับเดินตรงไปยังบ้านแสนสมุทร
เวลาเดียวกันภูผาเดินคุยกันมากับหนูนาในสนามหญ้า
หนูนามองหน้าภูผา “คุณ...”
ภูผาตอบโดยไม่มองหน้า “ว่าไง”
“คุณ...จะแต่งงานกับฉันจริงๆ เหรอ?”
ภูผาตอบเรื่อยเฉื่อย ไม่มองหน้าเหมือนเดิม “จริงสิ..ถามจัง”
“ไม่ใช่....ฉันหมายถึงคุณจะแต่งงานกับฉันที่แสนสมุทรนี่จริงๆ เหรอ”
ภูผาหยุดเดิน อึ้งไปในทันที
หนูนามองอย่างรู้ใจ เกาะแขนปะเหลาะ “เรากลับบ้านเรากันเหอะนะ”
ภูผาหันมามองหนูนาที่ตาแป๋วเหมือนเด็กน้อย
ภูผาสงสารทั้งหนูนา แล้วก็สงสารตัวเองด้วย “หนูนา...” ลูบหัวหนูนาท่าทีอ่อนโยน
ระหว่างนั้นวงเดือนเดินมาเห็นภาพบาดตาก็ชะงักกึก
ภูผาไม่ทันเห็นก็พูดต่อ “ยังไงฉันก็ต้องพาเธอกลับบ้าน เราจะอยู่ที่นี่กันอีกไม่นานหรอก...ไม่ต้องห่วงนะ”
หนูนามองตาภูผา จับมือชายหนุ่มมาแนบแก้มอย่างรักใคร่
วงเดือนทนไม่ไหวแล้ว หันหลังกลับจะวิ่งไปอีกทาง แต่ห่อผ้าที่ถือมาฟาดเข้ากับอะไรแถวนั้นเสียงดังตุ้บ ภูผาและหนูนาหันมาเห็น
“คุณวงเดือน” หนูนาร้องเรียก
วงเดือนอายมากที่ทำตัวเหมือนคนมาแอบดูเขาจู๋จี๋กัน
วงเดือนก้มหน้างุด “ขอโทษ..ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ตั้งท่าจะเดินออกไป
ภูผาเรียกไว้ เสียงเข้ม “เดี๋ยว”
วงเดือนชะงัก ภูผาคว้ามือหนูนาจะพาเดินไปหาวงเดือน...ท่าทีเอาเรื่อง
หนูนาดึงๆ ยั้งๆ ไว้ “คุณภูผา...”
ภูผาไม่สน ดึงมือหนูนาพาไปยืนประชิดวงเดือน มองของในมือวงเดือน ขณะที่วงเดือนพยายามเอาหลบพัลวัน
ภูผาถามอย่างหาเรื่อง “นั่นอะไร”
วงเดือนตอบทันที “ไม่มีอะไร”
ภูผาจ้องหน้าถามอย่างคาดคั้น “เธอหายไปไหน? ไปทำอะไรกับใครมา”
วงเดือนหันขวับจ้องสู้สายตาอย่างเหนื่อยใจว่า...อะไรอีกเนี่ย
หนูนาเห็นบรรยากาศอึมครึมและชักจะมาคุมากขึ้น จึงรีบตัดบท “คุณภูผา..ชั้นว่าเราไป...”
ภูผาไม่สน พูดเสียงเข้มคาดคั้นวงเดือนต่อ “ว่าไง ฉันถามว่าเธอไปไหน ไปทำอะไรกับใครมา ตอบมาซิ”
วงเดือนสุดจะทนไหว มากไปแล้ว จนของขึ้น “ทำไมฉันต้องตอบ ฉันจะไปไหนมาไหน ไปทำอะไร กับใคร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ?”
ภูผาใบ้กิน
“ขอถามหน่อย...คุณมีสิทธิ์อะไรมาถามฉันไม่ทราบ คุณภูผา?”
ภูผาอึ้งหนักกว่าเก่า วงเดือนจ้องสู้สายตาอย่างท้าทาย
วงเดือนตอกผาโลงขยี้ใจภูผาให้เป็นผุยผง “ถ้าตอบไม่ได้ว่าคุณมีสิทธิ์อะไร? ก็ไม่ต้องมาถาม”
ภูผานิ่งงันไป วงเดือนจ้องหน้าแวบหนึ่ง แล้วสะบัดตัวเดินหนีไป
ภูผามองตามตาละห้อยดูออกว่าเสียใจมาก หนูนามองตามวงเดือนทีแล้วหันมามองภูผา เห็นภูผาจ๋อย ก็แอบเจ็บแปลบไม่ได้เหมือนกัน หนูนาถอนหายใจเฮือกใหญ่
วงเดือนช้ำใจเหลือแสน เปิดประตูห้องแล้วเหวี่ยงปิดดังเปรี้ยง หญิงสาวยืนสะอื้นฮักๆ ทั้งเสียใจ น้อยใจ ร้องไห้โฮ
“คนใจร้าย คนใจร้าย! ทำไมต้องใจร้ายกันแบบนี้!”
วงเดือนครวญคร่ำ ค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งร้องไห้สะอึกกับพื้นอย่างหมดแรง
โปรดติดตาม "ชิงนาง" ตอนต่อไป