ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 15
ตุลยานีนั่งบิดตัวขยับไปมา เวทางค์ที่นั่งอยู่ข้างวิยะดาซึ่งก้มหน้าอ่านหนังสือธรรมะ หันมาเห็น
“เป็นอะไรอะน้องตุ่น”
“คันมือ”
วิยะดาวางหนังสือลง เมื่อเวทางค์เดินไปเกามือข้างขวา
“ไม่ใช่ข้างนี้ ข้างที่บวมนี่”
“อ้าว...แล้วพี่จะเกาได้ยังไงล่ะ มีผ้าพันอยู่อย่างนี้” เวทางค์คิดๆๆ “เอางี้...อ่านหนังสือ
มั้ย พอเพลินๆก็ลืมคันไปเอง”
“ไม่”
“ถ้างั้นก็...ฟังเพลง พี่เปิดเพลงให้ฟัง”
เวทางค์จะเดินไปหยิบไอแพด ตุลยานีรีบบอก
“ไม่”
“งั้นดูทีวีก็แล้วกัน”
เวทางค์จะเดินไปเปิดทีวี ตุลยานีส่ายหน้า
“ไม่”
เวทางค์โวยทันที
“อ้าว...แล้วจะเอายังไง ต้องให้พี่ปลูกสตรอเบอรี่ กล้วย ส้ม จำลองบรรยากาศสวนคุณย่าในห้องนี้เลยดีมั้ย น้องตุ่นจะได้หายคัน”
ตุลยานีค้อน
“พี่เว!”
วิยะดาคิดถึงความหมายสองแง่สามง่ามของคำว่า คัน แล้วขำก๊าก ก่อนจะลุกมาห้ามทัพ
“เอาล่ะค่ะ อย่าเถียงกันเลยนะคะ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรามีสติอยู่กับปัจจุบัน คุณตุ่นคันก็ลองเอาใจจดจ่ออยู่กับอาการคัน แล้วท่องคันหนอ...คันหนอในใจดูมั้ยคะ”
ตุลยานีพยายามตั้งสติสูดหายใจลึก แล้วทำตามคำแนะนำของวิยะดา
“คันหนอ...คันหนอ กำหนดลมหายใจอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สักพักเราก็จะทนกับมันได้ค่ะ แรกๆอาจจะยากนะคะ แต่ฝึกไปนานๆเราก็จะชิน ดูอย่างวิสิคะ ตอนนี้ตัดรัก โลภ โกรธ หลงไปได้เย๊อะ”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น วิยะดาหยิบโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาดู พอเห็นเบอร์ที่หน้าจอหญิงสาวก็เบิกตาโตแหกปากกรี๊ดลั่น จนตุลยานีและเวทางค์สะดุ้งตกใจ วิยะดาตั้งสติแล้วกดรับเสียงหวาน
“สวัสดีค่าคุณรุจน์ ว่างค่า วันที่เท่าไหร่วัดอะไรอยู่ที่ไหนคะ...ค่า...ได้ค่า...ขอบคุณนะคะที่นึกถึงวิ...ค่า...แล้วเจอกันค่า”
วิยะดากดปิดโทรศัพท์แล้วเลิกประดิษฐ์ท่า แหกปากกรี๊ดลั่นอีกครั้งอย่างสะใจ
“อ๊าย...คุณรุจน์โทรมาชวนวิไปปฏิบัติธรรม อ๊าย...เดี๋ยววิต้องกลับไปเซ็ทชุดนั่งสมาธิ ชุดเดินจงกรมก่อนนะพี่เว...คุณตุ่นอย่ายอมแพ้กับกิเลสและสังขารของเรานะคะ กำหนดลมหายใจและตั้งสติให้ดีเท่านั้นค่ะ...อ๊าย...อ๊ายจะได้เจอกันแล้ว วิไปก่อนนะคะ”
เวทางค์กับตุ่นมองวิยะดาซึ่งเรียกร้องให้ทุกคนตัดกิเลส แต่ตัวเองยังเต็มไปด้วยกิเลสมิใช่น้อยอย่างอึ้งๆ
ดรุณีตัดกะหล่ำปลีใส่เข่ง สักครู่...อาทิจขยับเข้ามาช่วยดรุณีตัด ดรุณีหันมาเห็น
“ไม่ต้องค่ะพี่อาทิจ แผลยังไม่หายดีอย่าเพิ่งทำงานเลยค่ะ เดี๋ยวถ่ายเทน้ำหนักไม่ดี จะยิ่งหายช้านะคะ” หญิงสาวหันไปเรียกต๊อด “ต๊อด...พาพี่อาทิจไปนั่งร่มๆไป”
ต๊อดซึ่งพันผ้าก็อชที่ฝ่ามือและแขนเดินเข้ามาหา อาทิจหันมาเห็นต๊อด อึ่ง พันซึ่งทำงานอยู่ใกล้ๆกันแล้วอดแอบขำไมได้ เพราะทุกคนพันแผลเหมือนกันหมด อาทิจแกล้งถาม
“เป็นอะไรวะ พันผ้ากันหมด แฟชั่นเหรอ”
พันโวยงอนๆ
“แฟชั่นอะไรล่ะนาย เจ็บขนาดนี้”
อาทิจแกล้งสงสัย
“เจ็บ...ไปโดนอะไรถึงได้เจ็บเหมือนกันหมด”
“ก็โดนน้ำ...”
อึ่งยังพูดไม่จบต๊อดขัดขึ้นอย่างฟอร์มจัด
“เจ็บที่ไหนนาย เรื่องชิวๆ แค่พันเล่นเก๋ๆ แก้เซ็ง”
“แล้วไป นึกว่าไปโดนน้ำร้อนสาดที่ไหนมา”
อึ่งค้อน
“หือ...ยังจะมีหน้ามาพูดอีก ตัวเองน่ะ แสดงให้เนียนก่อนเถอะ งูกัดขาซ้ายไม่ใช่เหรอ ทำไมกะเผลกขวา”
อาทิจเจื่อนไปแต่ก็ยังเก็ก
“ทำไม...กัดซ้ายแต่ระบมถึงขวาเว้ย มีปัญหาอะไรมั้ย”
อาทิจเดินหนีไปนั่งที่กระท่อม ต๊อดส่งภาษาอิสานใส่
“อย่างนี้เขาเรียกเอาสีข้างเข้าแถ ฮ่วย”
อาทิจแอบขำ แล้วเบนสายตาไปจบที่สาวน้อยซึ่งนั่งทำงานงกๆกลางแดดแทนเขา
บ่ายจัดวันนั้น...ดรุณีเก็บข้าวโพดใส่ตะกร้า อาทิจเดินขยับเข้าจะช่วยเก็บ
“ไปพักเถอะค่ะพี่อาทิจ...ไปสิคะ”
อาทิจหงอยๆ เดินกะเผลกออกมายืนข้างลุงเกร็งที่เก็บข้าวโพดอยู่อีกมุม ลุงเกร็งกระซิบ
“คุณณีมีลักษณะของคนที่จะได้ครองสมบัติ...คุณอาทิจว่ามั้ยครับ”
อาทิจยิ้ม
“ครับ”
“ทำงานเก่ง”
อาทิจยิ้ม
“ครับ”
“เป็นเบญจกัลยาณี”
อาทิจยิ้มอีก
“ครับ”
“ใครได้เป็นคู่ครองนับว่าโชคดีที่สุด”
อาทิจยิ้มกว้าง
“ครับ”
“คุณอาทิจอยากเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดมั้ยครับ”
อาทิจยิ้มอีก
“ครับ”
“ถ้างั้นก็เลิกปวดขาสักทีสิครับ”
อาทิจยิ้มรับ
“ครับ”
อาทิจรู้สึกตัวยิ้มเจื่อนๆใส่ลุงเกร็ง ในขณะที่ลุงเกร็งแอบขำ
ดรุณีนั่งเก็บสตรอเบอรี่ใส่ตะกร้าอย่างเบามือ สักครู่...อาทิจขยับเข้ามาช่วยข้างๆ หญิงสาวทำเสียงดุ
“พี่อาทิจ”
“อย่าห้ามพี่เลยนะน้องณี พี่ทนเห็นน้องณีทำงานแทนพี่ไม่ไหวแล้ว ให้พี่ช่วยนะ”
“นี่ล่ะน้า...ณีบอกไม่ต้องตามมาก็ไม่เชื่อ ทำไมไม่อยู่รอยายตุ่นที่บ้านก็ไม่รู้ป่านนี้มาถึงแล้วมั้ง”
อาทิจหลุดปาก
“พี่อยากอยู่กับน้องณีมากกว่านี่”
ดรุณีหันมามองหน้าใจหวิวไหว อยากรู้เหตุผลเหลือเกินว่าเพราะอะไร อาทิจแก้เก้อ
“เอ่อ...คือ...พี่อยากทำงาน”
ดรุณีแอบน้อยใจ แต่ก็เก็บความรู้สึก
“พี่อาทิจไม่ได้อู้นี่คะ เจ็บอย่างนี้น่าจะพักต่ออีกสักวันสองวัน ให้แน่ใจว่าหายดีซะก่อน แล้วค่อยมาทำก็ได้”
อาทิจถามเสียงละห้อย
“กลัวพี่ตายเหรอ”
อาทิจไม่ถามเปล่า ส่งตาหวานเชื่อมใส่หญิงสาวแถมท้าย ดรุณีแทบละลายคาแปลงสตรอเบอรี่ แต่ก็กัดฟัน พูดให้พ้นตัว
“ค่ะ กลัวยายตุ่นเสียใจจนไม่ยอมแต่งงานไปตลอดชีวิต”
ดรุณีเดินแยกไปเก็บสตรอเบอรี่อีกร่อง อาทิจมองตามหญิงสาวตาเป็นประกาย หัวใจชุ่มชื่น
ตุลยานีแหกปากร้องลั่น ทุรนทุรายเหมือนเจ็บปวดทุกข์ทรมานกับอะไรสักอย่าง เวทางค์ซึ่งกำลังหลับสัปหงกอยู่ตกใจ สะดุ้งเด้งขึ้นมาจากโซฟา
“ปวดมือเหรอน้องตุ่น”
ตุลยานีส่ายหน้า เวทางค์ถามอีก
“คัน”
ตุลยานีส่ายหน้าอีก เวทางค์คิดๆ
“ได้เวลากินยา”
ตุลยานีส่ายหน้า เวทางค์มองๆ
“อยากเดินเล่น”
ตุลยานียังส่ายหน้า เวทางค์ถามอีก
“อยากเข้าห้องน้ำ”
ตุ่นส่ายหน้า เวทางค์คิดนิดนึง
“หิว”
ตุลยานีพยักหน้า เวทางค์ถอนใจ
“เมื่อกี้เพิ่งกินของว่างไปนี่”
“หิวกาแฟ”
“จัดให้”
เวทางค์จะใช้โทรศัพท์ในห้องโทรสั่งครัวของโรงพยาบาล ตุลยานีโวยวายเป็นชุด
“ไม่ใช่กาแฟที่นี่ กาแฟสดที่ร้านมุมโปรด สุขุมวิทซอย 23 แยก 2 เลี้ยวขวา 100 เมตร แล้วเลี้ยวซ้าย 50 เมตร ร้านอยู่หัวมุมขวา เอาเอสเปรสโซ่ 2 ช็อด กลับมาให้ทันตอนบ่ายสี่โมง ทุกบ่ายสี่โมงตุ่นต้องได้กินกาแฟสด”
เวทางค์ระเบิดอารมณ์
“เกิดมายังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนสั่งให้พี่ทำอะไร นอกจากแม่” ชายหนุ่มหยุดไปชั่วอึดใจแล้วพูดเสียงอ่อย “สุขุมวิท 23 แยก 2 แล้วไงนะ”
ตุลยานีแอบยิ้ม ยังไงก็ต้องยอมฉันอยู่ดี
ดรุณีเดินให้อาทิจเกาะแขนเข้ามาในบ้าน ทันทีที่ก้าวพ้นแดดจ้าเข้ามาในร่ม หญิงสาวก็หน้ามืด ยืนเซเหมือนจะล้มฟาดพื้น อาทิจลืมเจ็บขาเอามือรวบเอวหญิงสาวไว้ ดรุณีตั้งหลักได้ ขยับออกมา
“พี่อาทิจไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวยายตุ่นคงมาถึงแล้ว”
“น้องณีอาบก่อนเถอะ พี่อาบแป๊บเดียว”
“ก็ได้ค่ะ”
ดรุณีเดินออกไป อาทิจมองตามยิ้มแก้มแทบปริ แก้วจูงตะวันเดินเข้ามายืนข้างๆ ตะวันมองพ่อที่ยืนยิ้มอยู่คนเดียว
“งูกัดหายแล้วเหรอพ่อทิจ”
อาทิจหันมาเห็นแก้วกับตะวัน ก็ปรับสีหน้าปรับอารมณ์แทบไม่ทัน แก้วแซวขำๆ
“ขายืนได้ตึงเปรี๊ยะแบบนี้แสดงว่าหายดีแล้วล่ะ นายตะวัน”
อาทิจยิ้มแหะๆ
“ครับ ตึงบ้างหย่อนบ้าง สลับกันไปครับ”
“เท่าที่น้าแก้วสังเกต ส่วนใหญ่จะหย่อนตอนอยู่กับคุณณีนะคะ”
ตะวันเห็นด้วย
“ช่าย...เมื่อกี้ตอนพี่ณีอยู่ด้วย ตะวันยังเห็นพ่อเดินไม่ได้เลย”
อาทิจเหมือนผู้ใหญ่ถูกเด็กจับโกหกได้
“ก็...เดินได้บ้างไม่ได้บ้าง สลับๆกันไป เป็นเด็กเป็นเล็กจะสงสัยอะไรนักหนาห๊ะ”
แก้วยิ้มเอ็นดูอาทิจ ในขณะที่อาทิจดึงตะวันเข้ามากอด
ดรุณีนุ่งผ้าถุงกระโจมอก ถือผ้าเช็ดตัวเดินเข้ามาในห้องน้ำ อาทิจเดินเข้ามาในห้องนอน...ดรุณีแขวนผ้าเช็ดตัว และผ้าถุงบนราวแขวน...อาทิจนอนเอนหลังกับที่นอน ดรุณีเปิดฝักบัวอาบน้ำสระผม...น้ำเย็นๆไหลซู่ลงหัว หญิงสาวเริ่มมึนหัว ป้ายมือไปที่ผนังห้องน้ำเพื่อจะยึดตัวเองไว้ แต่มือป่ายไปปัดเอาสบู่ยาสระผมที่วางบนชั้นร่วงลงพื้น แล้วสักครู่สติก็ดับวูบร่วงลงไป อาทิจได้ยินเสียงล้มโครม ชายหนุ่มกระเด้งจากที่นอนไปเคาะประตูห้องน้ำแล้วตะโกนเรียกเสียงดัง
“น้องณี...น้องณี...น้องณี!”
อาทิจตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป แล้วชายหนุ่มก็แทบช็อกเมื่อเห็น ดรุณีนอนตะแครงอยู่ที่พื้น ในขณะที่น้ำจากฝักบัวยังไหลซู่
“น้องณี!”
อาทิจวิ่งเข้ามาปิดฝักบัวแล้วดึงผ้าเช็ดตัวมาห่อตัวหญิงสาว
อาทิจอุ้มดรุณีซึ่งมีผ้าเช็ดตัวห่อตัวออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มค่อยๆวางหญิงสาวลงบนเตียง ดึงผ้าห่อมขึ้นมาห่มให้ถึงคอ แล้วค่อยๆดึงผ้าเช็ดตัวผืนที่เปียกซึ่งอยู่ข้างในออกมา ก่อนจะวิ่งไปเปิดตู้หยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่มาเช็ดแขนและซอกคอให้อย่างเบามือ...อาทิจเช็ดแขนไปก้มหน้าลงมากระซิบเรียกใกล้ๆหู
“น้องณี...น้องณี”
สัญญานที่ทำให้อาทิจใจชื้นคือการที่ดรุณีขยับตัว แต่ที่ชายหนุ่มไม่ทันตั้งตัวคือการที่หญิงสาวพลิกหน้าหันกลับมาทางเขา เพราะนั่นทำให้จมูกของหญิงสาวหันมาชนกับจมูกของเขาโดยไม่รู้ตัว อาทิจเหมือนต้องมนต์สะกด ณ จังงัง ปาก แก้ม คิ้ว คาง ของดรุณีช่างจิ้มลิ้ม พริ้มเพราเสียนี่กระไร สักครู่ ชายหนุ่มตั้งสติได้จึงผละออกมา แล้วตั้งหน้าตั้งตาเช็ดแขนให้ดรุณี ก่อนจะเช็ดผมที่เปียกโชกให้ สักครู่...หญิงสาวพึมพำไม่ลืมตาปากสั่น
“หนาว...คุณย่า หนาว”
อาทิจหยิบผ้านวมอีกผืนที่อยู่ปลายเตียงขึ้นมาห่มให้ดรุณีอีกชั้น หญิงสาวยกมือไขว่คว้าเหมือนเพ้อ
“ณีหนาว...หนาวเหลือเกิน พี่อาทิจ”
อาทิจคว้ามือดรุณีไว้บีบแน่น ก่อนจะเอามือตัวเองถูมือหญิงสาวไปมาเพื่อจะถ่ายเทความร้อนความอบอุ่นให้
เวทางค์ประคองถ้วยกาแฟเข้ามาในห้อง
“มาแล้วจ้ะ เอสเปรสโซ่ 2 ช็อด จากมุมโปรด สุขุมวิท 23 ไม่ขาด ไม่เกิน”
“เกิน...เกินไป 15 นาที ตุ่นบอกแล้วใช่มั้ยว่าบ่ายสี่เป๊ะ ตุ่นต้องได้ดื่มกาแฟ”
เวทางค์จ๋อย
“โธ่...น้องตุ่น นี่พี่ก็เร่งเต็มที่แล้ว อุตส่าห์ซิ่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างไปจนผมเสียทรงเกินไป 15 นาที คงไม่ทำให้รสกาแฟเปลี่ยนหรอกน่า อะ...เวทางค์ยื่นกาแฟให้ ตุลยานีรับมาจิบแล้วโวยลั่น
“ทำไมมันเย็นอย่างนี้”
“อ้าว...ก็พี่นั่งมอเตอร์ไซด์มา จะให้มันร้อนตลอดเวลาได้ยังไง”
“ตุ่นจะดื่มที่อุณหภูมิ 94 องศา ไปเวฟมาให้พอดีเลย”
เวทางค์ยกกาแฟในมือตุลยานีขึ้นจิบ
“มันก็ยังอุ่นอยู่นี่ กินๆไปเถอะนะ”
เวทางค์ยื่นถ้วยกาแฟคืนให้
“อี๋ย...พี่เว ไม่กงไม่กินมันแล้ว”
ตุลยานีผลักถ้วยกาแฟออก น้ำกาแฟกระฉอกรดใส่ตัวเอง
“ว้าย...”
เวทางค์ล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าออกมา ตุลยานีวีนสุดฤทธิ์
“เช็ดให้หมดเลยนะ”
เวทางค์ไล่เช็ดตั้งแต่ตักไล่ขึ้นมาถึงหน้าอก
“บ้าเหรอ...ไอ้พี่เวบ้า จะมาเช็ดตรงนี้ได้ยังไง”
“อ้าว...ก็น้องตุ่นบอกเช็ดให้หมด พี่ก็ต้องเช็ดให้หมดสิ”
“กดอ๊อดเรียกพยาบาลแล้วก็ไปนั่งให้ห่างตุ่นเลย โน้น...ที่โซฟาโน่น ถ้าไม่เรียกห้ามเข้ามาใกล้เด็ดขาด”
เวทางค์เดินไปกดเรียกพยาบาลเซ็งๆ
อ่านต่อหน้า 2
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 15 (ต่อ)
เย็นนั้น...ดรุณีขยับตัว แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างงงๆ แก้วลงนั่งข้างๆเตียง ดรุณีหันไปถาม
“หนูเป็นอะไรคะน้าแก้ว”
“ก็เป็นลมน่ะสิคะ เห็นคุณอาทิจบอกทำงานตากแดดทั้งวัน พอมาสระผม มาเจอน้ำเย็นๆเข้า ร่างกายมันก็ช็อกปรับตัวไม่ทันน่ะสิคะ”
ดรุณีขยับลุกขึ้นมานั่งอย่างเพลียๆ แก้วเอาหมอนหนุนหลังให้
“หนูจำได้ว่า...หนูเข้าไปอาบน้ำ แล้วหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย”
“ดีนะคะที่คุณอาทิจเข้ามาช่วยทัน ไม่งั้นได้ช็อก แข็งตายอยู่ในห้องน้ำนั่นแล้ว”
“นี่หมายความว่าพี่อาทิจอุ้มหนูออกมาทั้งตัวเปียกๆ อย่างนั้นหรือคะ”
แก้วยิ้มๆ
“ก็...ค่ะ”
ดรุณีอึ้ง
“แล้ว...” หญิงสาวก้มมองดูเสื้อผ้าที่เปลี่ยนแล้ว “แล้ว...เสื้อผ้านี่”
“ก็ฝีมือคนอุ้มมานั่นแหละค่ะ”
ดรุณีอายสุดๆ
“น้าแก้ว...ทำไมน้าแก้วไม่ขึ้นมาเปลี่ยนมาจัดการให้หนู”
“น้าแก้วอยู่ซะที่ไหนคะ พอคุณณีกับคุณอาทิจกลับเข้ามา น้าแก้วก็ออกไปทำข้าวเย็นให้คนงานที่โรงครัวนู่นค่ะ แล้วคุณอาทิจจะปล่อยให้คุณณีนอนตัวเปียกอยู่ได้ยังไง พี่เขาเปลี่ยนให้มันก็ถูกแล้วนี่คะ ทีตอนพี่เขาป่วย คุณณียังทำให้ได้เลย”
“มัน...ไม่เหมือนกัน...โอ๊ย...แล้วถ้าหนูเจอหน้าพี่อาทิจหนูจะทำหน้ายังไง”
“ยังพอมีเวลาคิดค่ะ คุณอาทิจออกไปที่โรงงาน เห็นว่ามีออร์เดอร์ด่วนค่ะ”
ยังไม่ทันขาดคำ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นทันที พร้อมเสียงอาทิจดังเข้ามา
“น้องณี...น้องณี”
ดรุณีตาเหลือก แก้วหันมาบอก
“ไม่มีเวลาแล้วค่ะ มาแล้ว”
ดรุณีรีบลงไปนอนตามเดิม เฉียดฉิวกับที่อาทิจโผล่เข้ามาในห้องพอดี
“เป็นยังไงบ้างครับน้าแก้ว”
ดรุณีรีบหลับตาแกล้งหลับทันที
“ฟื้นแล้ว” แก้วหันมามองหญิงสาว “แล้วก็...หลับไปอีกแล้วค่ะ”
“ถ้างั้น...ผมฝากน้าแก้วดูแลให้น้องณีนอนพักเยอะๆนะครับ”
อาทิจเดินออกไป แก้วหันมาหาดรุณี
“ไม่ต้องข่มตาแล้ว ขนตากระเพื่อมเป็นเกลียวคลื่นเชียว คุณอาทิจไปแล้วค่ะ”
ดรุณีค่อยๆหรี่ตาขึ้นทีละข้าง พอไม่เห็นอาทิจอยู่ในห้องจริงๆ ก็ถอนใจโล่งอก -
วิยะดาใส่เสื้อ กระโปรง กระเป๋า รองเท้า ผ้าพันคอ ที่คาดผมสีขาวครบเซ็ท กลับเข้ามาในบ้าน วิไลลักษณ์เดินม้วนโรลเข้ามาถาม
“ตาเวล่ะลูก”
“วิไปนั่งสมาธิมานะคะคุณแม่ คิดว่าอย่างพี่เวจะไปกับวิมั้ย”
“อ้าว...แล้วตาเวไปไหน”
“อยู่กรุงเทพ ค่ะ”
“ไปทำอะไรที่กรุงเทพ ก็ยายณีอยู่นี่”
“ไปโรงพยาบาลค่ะ”
วิไลลักษณ์ตกใจ
“หา!ตาเวเป็นอะไร เป็นหวัดคัดจมูกขี้มูกไหล หรือ...หรือว่า อุบัติเหตุ...โอ้...ไม่นะ”
วิยะดาพยักหน้า
“ถูกค่ะ...อุบัติเหตุ”
ประเวทย์ลุกจากโซฟา
“ตาเวไปขับรถชนใครรึไงยายวิ”
“ถูกเผงเลยค่ะคุณพ่อ พี่เวเป็นคนขับ”
วิไลลักษณ์ตกใจมาก
“ว้าย...แล้วตาเวเป็นยังไง ทำไมไม่มีใครโทรบอกแม่ แขนขาหูตาคอจมูกหัวยังอยู่ครบมั้ย”
“ครบค่ะ แต่คนที่นั่งข้างๆมือบวม นิ้วเดี้ยง”
ประเวทย์แปลกใจ
“ตาเวพาใครไปเจ็บหา...ยายวิ”
“ยายตุ่น เพื่อนสนิทยายณีค่ะ”
วิไลลักษณ์ชะงัก
“ยังไงฮะยายวิ...ตาเวไปสนิทสนมกับแม่นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหน เล่ามาเดี๋ยวนี้นะ”
“เขาก็รู้จักกันตั้งแต่ยายณียังเรียนอยู่นั่นล่ะค่ะคุณแม่ แต่วิว่าตอนนี้ความสนิทมันน่าจะพรั่งพรูกว่าเดิมเย๊อะ”
วิไลลักษณ์อึ้ง
“ก็ไหนตาเวเคยบอกว่าแม่นั่นปิ๊งนายอาทิจไม่ใช่เหรอ แล้วยังไง...คิดจะเปลี่ยนมาจับตาเวงั้นเหรอ”
“วิว่าเขาคงไม่ได้คิดจะจับพี่เวหรอกค่ะ พี่เวน่าจะเป็นฝ่ายจับเขามากกว่า”
“ไม่ได้นะแม่ไม่ยอม ตาเวต้องแต่งงานกับยายณีเท่านั้น เป็นไงเป็นกัน”
ประเวทย์กับวิยะดา หันมาสบตากัน
ดรุณีเหลียวซ้ายแลขวาย่องเข้ามาที่ทางเดินหน้าครัว แก้วเข้ามาเห็น
“คุณณี ทำอะไรคะ”
“มาหาน้ำดื่มค่ะ”
“หิวน้ำทำไมไม่เรียกน้าแก้ว”
“โธ่...น้าแก้วก็ หนูไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย แค่มึนหัวนิดเดียว กินยาก็หายแล้ว แล้ว...นี่พี่อาทิจยังไม่กลับมาอีกเหรอคะ”
แก้วยิ้มล้อๆ
“ถามเพราะคิดถึง”
ดรุณีเขินๆ
“คิดถึงอะไรล่ะ หนูอายต่างหาก ยังไม่อยากเจอไม่อยากสบตา หนูอาย”
“เจ้า สามลิงมันมาส่งข่าวว่าแมลงมาลงที่ไร่ข้าวโพด คุณอาทิจก็เลยออกไปดู ป่านนี้ยังไม่กลับเลยค่ะ”
แก้วเดินกลับเข้าไปที่ครัว ดรุณีเดินมายืนพิงกรอบประตูพูดไปเรื่อยๆ เพราะคิดว่าแก้วฟังอยู่แถวนั้น
“หนูเห็นใจพี่อาทิจจริงๆ โตกว่าหนูแค่ไม่กี่ปี แต่ต้องรับผิดชอบแผ่นดินทุกตารางนิ้วแทนคุณย่าคนเดียว ไหนจะดูแลคนงานเป็นร้อยๆอีก หนูเหนื่อยแทนจริงๆ ถ้ามีทางไหนที่หนูพอจะแบ่งเบาภาระได้ หนูก็อยากทำ หนูอยากช่วยพี่อาทิจไปตลอดชีวิต”
อาทิจเข้ามายืนข้างๆหญิงสาว
“จริงๆนะ”
ดรุณีตกใจหันมามองอาทิจ ไอ้ที่คิดจะเลี่ยงไม่สบตากันก็ไม่อาจเลี่ยงได้อีกต่อไป อาทิจย้ำถาม
“จะอยู่ช่วยพี่ไปตลอดชีวิต สัญญานะ”
ดรุณีหลบตา ยังเขินอยู่
“สัญญาค่ะ แต่พี่อาทิจก็ต้องสัญญานะว่าจะให้ณีช่วยไปตลอดชีวิตถึงแม้ว่าพี่อาทิจจะมียายตุ่นยืนเคียงข้างแล้วก็ตาม”
“สัญญาจ้ะ สัญญานี้เป็นสัญญาระหว่างเราสองคน พี่กับน้องณี ไม่เกี่ยวกับใคร ตกลงมั้ย”
อาทิจชูนิ้วก้อยขึ้นมา ดรุณีเกี่ยวก้อย
“ตกลงค่ะ”
แก้วถือแก้วน้ำออกมาให้ดรุณี เห็นทั้งคู่ยืนเกี่ยวก้อยกันน่ารักก็ยืนหลบมุมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“พรุ่งนี้ณีจะโทรถามยายตุ่นให้นะคะว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมยายตุ่นถึงไม่ขึ้นมา”
อาทิจยิ้มเจื่อนๆให้ดรุณี ชายหนุ่มเริ่มถามตัวเอง แน่ใจหรือว่าอยากให้ตุลยานีขึ้นมา แก้วค้อนควักใส่ดรุณี เอาอีกแล้วแม่คุ๊ณ ทำเป็นนางเอกแสนดีอีกแล้ว
เช้าวันใหม่...เวทางค์นอนเฝ้าตุลยานีฟุบไปกับเตียง วิไลลักษณ์เปิดประตูผางเข้ามาพร้อมกับวิยะดา เสียงประตูปิดดังปัง ทำให้เวทางค์กับตุลยานีตื่นงัวเงียขึ้นมา เวทางค์ทั้งงง ทั้งตกใจ ทั้งแปลกใจ
“คุณแม่”
“พรุ่งนี้เราต้องขึ้นไปหายายณีนะตาเว แล้วก็เตรียมตัวหาฤกษ์หมั้นฤกษ์แต่งได้เลย ที่จริง...วันนี้ก็ควรกลับบ้านได้แล้ว ไม่ใช่มาเสียเวลาทำอะไรที่นี่ก็ไม่รู้”
ตุลยานีหน้าชา ผู้หญิงอย่างเธอไม่ใช่จะยอมให้ใครกดขี่ง่ายๆ
“ไม่ใช่พี่เวคนเดียวนะคะที่เสียเวลา ตุ่นเองก็เสียเวลาเสียโอกาสค่ะ แทนที่จะได้ขึ้นไปดูแลพี่อาทิจ กลับต้องมานั่งๆนอนๆที่นี่”
“ก็รีบหายซะสิจ๊ะ หมอบอกแค่มือบวมนิดหน่อยไม่ใช่เหรอ อยู่ร.พ.นานๆมันอุดอู้นะจ๊ะ เปลืองอีกต่างหาก”
“ถ้าพี่เวขัดสนจนรับผิดชอบค่ารักษาไม่ได้ ตุ่นออกเองก็ได้ค่ะ เงินไม่กี่บาท เอาไปซื้อเครื่องสำอางยังแพงกว่านี้เยอะ”
วิไลลักษณ์เสียหน้าโดนเด็กถอนหงอก
“จ่ายค่าห้องเสร็จแล้วรีบขึ้นเชียงใหม่นะตาเว”
วิไลลักษณ์สะบัดหน้าเดินออกไปจากห้อง
ตุลยานีโมโห
“เช็คเอ้าท์เดี๋ยวนี้เลย ตุ่นไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
“น้องตุ่นจะกลับไปพักที่คอนโดเหรอ รอให้หมอตรวจก่อนมั้ย”
“ตุ่นหายดีแล้ว ตุ่นจะไปหาพี่อาทิจ”
วิยะดาพูดขัดขึ้น
“โอเคค่ะ งั้นวิจองตั๋วเครื่องบินให้นะ แต่ก่อนไปขอถามนี๊สสว่าจะขึ้นไปทำอะไรคะ ไปตามหาคำตอบที่พี่เวกับคุณตุ่นก็รู้ดีอยู่แล้วน่ะเหรอ”
เวทางค์งงๆ
“รู้ดีเรื่องอะไรยายวิ”
“อ้าว...ก็ถ้าตาไม่บอดก็ต้องเห็นนะว่า พี่อาทิจกับยายณีเขารู้สึกยังไงต่อกัน วิไม่ได้ไปที่นั่นบ่อยเท่าพี่เว วิยังสังเกตเห็นเลย นอกจากคนหูหนวกตาบอดเท่านั้นล่ะที่จะไม่เห็นอะไร”
เวทางค์กับตุลยานีอึ้งไปถนัดใจ แต่เธอไม่ยอม
“ยายณียืนยันว่าพี่อาทิจกับยายณีเป็นแค่พี่น้องกัน”
“ซึ่งคุณตุ่นก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่จริง ยายณีกับพี่อาทิจก็ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน หรือคุณตุ่นไม่รู้ เอาเถอะ...จะรู้มาก่อนหรือไม่รู้ก็ไม่สำคัญ เพราะตอนนี้คุณตุ่นก็รู้จากปากวิแล้ว เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องของคุณตุ่นกับพี่เวที่ต้องคิดให้ดี จริงๆแล้วเรื่องนี้มันจบง่าย เพียงแค่เปิดใจยอมรับความจริงให้ได้เท่านั้นเอง”
ตุลยานียืนยันดื้อดึง
“ตุ่นรู้แล้ว แต่ตุ่นแน่ใจว่าพี่อาทิจรักและเลือกที่จะอยู่กับตุ่น”
วิยะดาคิดในใจ ว่าที่พี่สะใภ้ฉัน แรงไม่แพ้คุณนายวิไลลักษณ์ เลยนะเนี่ย
อาทิจ ต๊อด อึ่ง พันช่วยกันขนลังส้มขึ้นรถ โดยมีคนงานอื่นยืนตัดส้มอยู่ไกลๆ ดรุณีถือโทรศัพท์มือถือเดินเข้ามาหาอาทิจ
“ไม่รู้ยายตุ่นเป็นอะไรนะคะพี่อาทิจ ณีโทรหาทั้งวันก็ไม่ยอมรับสาย บางครั้งโทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณเหมือนปิดเครื่องน่ะค่ะ”
“ช่างเถอะน้องณี คุณตุ่นอาจจะติดธุระสำคัญอยู่ก็ได้ ถ้าเขาอยากขึ้นมาที่นี่เขาก็คงมาเองล่ะนะ”
ทันใดนั้นเสียงตุลยานีก็ดังขึ้น
“ตุ่นอยากมาที่นี่ค่ะ”
ทุกคนชะงักหันไปมอง ตุลยานียิ้มหวาน
“พี่อาทิจรู้ใจตุ่นจริงๆนะคะ”
ต๊อด อึ่ง พัน หันมาสบตากัน...อะไรอีกล่ะเทียวนี้ อาทิจกับดรุณีทั้งแปลกใจ ดีใจ และกระอักกระอวนใจอยู่ลึกๆที่เห็นตุลยานียืนอยู่ตรงหน้า ตุลยานียิ้มให้ทั้งคู่...ช่างเป็นยิ้มที่ดูลึกลับและยากจะเดาว่าเจ้าของรอยยิ้มคิดอะไรอยู่
อาทิจวางชามสลัดทูน่าลงบนโต๊ะ ตามติดด้วยดรุณีที่ถือถาดกับข้าวอีก 3 อย่างออกมา แก้วยืนตักข้าวให้ทุกคน
“ผักชีลาวผัดไข่โรยด้วยแคบหมู ไก่ตุ๋นฟักลำไยอบแห้ง แล้วก็กะหล่ำปลีทอดน้ำปลาฝีมือณี ส่วนพี่อาทิจทำสลัดทูน่าของโปรดตุ่นจ้ะ”
“เชิญครับ อาจจะไม่อร่อยเท่าคุณตุ่นทำนะครับ”
“ถ้าเป็นฝีมือพี่อาทิจ อะไรก็อร่อยทั้งนั้นล่ะค่ะ”
“ทำไมตุ่นขึ้นมาช้าล่ะ”
ตุลยานีมองหน้าเพื่อนสาว
“แน่ใจนะว่าอยากให้ตุ่นมาเร็วๆ”
อาทิจกับดรุณีแอบสบตากัน รู้สึกบรรยากาศเริ่มทะแม่งๆ ตุลยานีหัวเราะกลบเกลื่อน
“ตุ่นพูดเล่น พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะ” หญิงสาวตักสลัดชิม “อร่อยค่ะพี่อาทิจ อร่อยกว่าที่ตุ่นทำอีก”
“ต่อไปตุ่นก็คงได้กินบ่อยๆ” ดรุณีฝืนยิ้ม “บ่อยเท่าที่ใจต้องการ”
ตุลยานีเข้าประเด็น
“เราเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งกินสลัดกันไกลๆบ้างมั้ยคะพี่อาทิจ ตุ่นอยากไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียแล้ว ตุ่นพร้อมจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถ้าพี่อาทิจยอมรับทุนที่ขอไว้แล้วไปอยู่ที่นั่นพร้อมกันกับตุ่น”
อาทิจเริ่มรู้สึกฝืดคอ ชายหนุ่มกระอักกระอ่วนใจสุดๆ ในขณะที่ดรุณีอื้ออึง เรื่องทุน ทุนอะไร นี่พี่อาทิจคิดจะไปจากสวนคุณย่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แก้วซึ่งกำลังรินน้ำให้ทุกคน แทบเต้น เดือดร้อนมากถึงมากที่สุด
“อู๊ย...ทุนนั่น คุณอาทิจขอไว้นานแล้วนี่คะ ไปตั้ง 2 ปี นานขนาดนั้น คุณอาทิจคงไม่ไปหรอกค่ะ” แก้วหันมามองหน้าอาทิจ “จริงมั้ยคะ”
ตุลยานีแย้งขึ้น
“แค่ 2 ปีเองค่ะ เราจะแต่งงานกันที่นั่นนะคะพี่อาทิจ หรือถ้าพี่อาทิจอยากจะกลับมาแต่งงานที่นี่ด้วย ตุ่นก็ไม่มีปัญหาค่ะ”
อาทิจกับดรุณีอึ้ง...วินาทีหยุดโลกมาถึงแล้ว อาทิจใช้ความคิดอย่างหนักที่สุด
“ผม...”
ตุลยานีอึ้ง ที่อาทิจแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าลังเล หญิงสาวไม่แน่ใจว่าถ้าอาทิจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาตอนนี้จริงๆ เธอจะทนได้รึเปล่า หญิงสาวฝืนยิ้ม
“ยังไม่ต้องตอบตุ่นตอนนี้ก็ได้ค่ะ ตุ่นให้เวลาพี่อาทิจคิด...คืนนึง พรุ่งนี้ค่อยตอบตุ่นก็ได้”
วิไลลักษณ์เดินเข้ามา
“อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเชียว”
ทุกคนยกมือไหว้วิไลลักษณ์
“อามาส่งข่าวน่ะจ้ะว่า พรุ่งนี้ครบกำหนดที่ตาเวจะมาฟังคำตอบจากเด็กในปกครองของอาทิจแล้ว” วิไลลักษณ์หันมาหาดรุณี “ป้าตามใจดรุณีทุกอย่างนะจ๊ะ อยากได้อะไรเป็นสินสอด บอกตาเวมาได้เลย แก้วแหวนเงินทองมีเท่าไหร่ป้ายกให้หมด อยากจะแต่งงานที่ไหน ที่นี่หรือกรุงเทพ หรือจะเป็นปารีส ลอนดอน มิลาน ป้าก็ไม่ขัด จะจัดแบบค็อกเทล บุฟเฟ่ต์ โต๊ะจีนหรือขันโตก ป้าก็โอทั้งนั้น...ป้าตามใจลูกสะใภ้ป้าจ้ะ”
วิไลลักษณ์หัวเราะกับตัวเอง อาทิจและดรุณีนั่งมึนตึบ รู้สึกถูกกดดันอย่างหนัก แสงสว่างอันสวยงามกำลังจะดับวูบลงแล้วหรือนี่
โปรดติดตามตอนต่อไปเวลา 17.00น.
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 15 (ต่อ)
ค่ำคืนนั้น ดรุณีและตุลยานีนอนหลับตาอยู่บนเตียงในห้องที่มีแต่เพียงแสงจันทร์ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง สักครู่...ดรุณีพลิกข้าง หันหลังให้เพื่อนแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างคนคิดหนัก ตุลยานีซึ่งนอนหันหลังให้ดรุณีอยู่แล้ว ค่อยๆลืมตาขึ้นมาในความมืดเช่นกัน ต่างคนต่างนอนไม่หลับ แต่แล้วตุลยานีก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“ตุ่นรักพี่อาทิจมากที่สุด ณีรู้ใช่มั้ย”
“จ้ะ...ณีรู้”
ทั้งคู่นอนเบิกตาโพลงหันหลังให้กันในเงามืด
ใกล้ฟ้าสางของวันใหม่...อาทิจเดินไปเดินมาที่ระเบียง ใช้ความคิดอย่างหนัก สักครู่ดรุณีเดินเข้ามาเพราะนอนไม่หลับเหมือนกัน หญิงสาวเห็นชายหนุ่มจะหันหลังกลับแต่ไม่ทัน อาทิจหันมาเห็นหญิงสาว และเรียกไว้ซะก่อน
“น้องณี”
ดรุณีชะงัก สูดหายใจลึกแล้วพยายามตั้งสติ ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วหันมาหาเขา
“พี่อาทิจ ตื่นเช้าจังนะคะ หรือว่า...ยังไม่ได้นอน”
อาทิจพยักหน้า
“พี่...มีเรื่องต้องคิดหลายอย่างเลยนอนไม่หลับ แล้วก็อยากเห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่ระเบียงนี่ด้วย ดูสิ...ใกล้จะโผล่พ้นขอบฟ้ามาโน่นแล้ว มาดูด้วยกันสิ น้องณี”
ดรุณีขยับมายืนเคียงข้างอาทิจ ทั้งคู่มองออกไปที่ขอบฟ้ากว้างเบื้องหน้า
“พระอาทิตย์ที่ไหนก็ไม่สวยเท่ากับที่เรายืนมองเขา จากระเบียงคุณย่าด้วยกันที่นี่”
“พี่อาทิจพูดเหมือนอยากจะจดจำภาพนี้ไว้ เพราะต่อไปพี่อาทิจจะไม่อยู่ที่นี่แล้วใช่มั้ยคะ”
“พี่อยากให้น้องณีเก็บภาพนี้ไว้ในใจเหมือนกัน เพราะอีกไม่กี่วัน น้องณีก็คง” อาทิจเจ็บปวดใจ “...ต้องไปจากที่นี่”
ดรุณีปวดรวดร้าวน้ำตาคลอ
“ค่ะ...ณีก็คงตามหลังพี่อาทิจไปไม่นาน”
อาทิจหมองหม่น
“พี่เคยบอกแล้วไงว่าพี่จะไม่ไป”
“อย่ายึดติดกับคำสัญญาที่เคยพูดว่าจะอยู่ที่นี่ตลอดไป ทั้งๆที่ใจไม่อยากจะอยู่เลยค่ะ”
“พี่ไม่ใช่คนไม่มีสัจจะ พี่จะไปก็ต่อเมื่อมีใครที่นี่ไม่อยากให้พี่อยู่”
ดรุณีนึกถึงประโยคที่ตุลยานีพูดทิ้งท้ายไว้เมื่อคืน
‘ตุ่นรักพี่อาทิจมากที่สุด ณีรู้ใช่มั้ย’
‘จ้ะ ณีรู้’
ดรุณีต้องกลั้นใจพูดประโยคที่ทำให้อาทิจยะเยือกไปตลอดชีวิตออกมา
“ณีไม่อยากให้พี่อาทิจอยู่ที่นี่ พี่อาทิจไปเถอะค่ะ ณีกับพี่เวจะช่วยกันดูแลที่นี่เอง”
ทั้งคู่ยืนจ้องกันนิ่งและเนิ่นนาน แสงแรกของดวงอาทิตย์ไม่อาจทำให้ใจที่หนาวสะท้านเลยจุดเยือกแข็งของทั้งคู่ อุ่นขึ้นเลยแม้แต่น้อย ตุลยานีแอบมองทั้งคู่อยู่มุมหนึ่ง หญิงสาวแทบกระอักเลือด ผู้หญิงฉลาดอย่างเธอรู้ดีว่าชายหญิงคู่นี้รู้สึกยังไงต่อกัน แต่เธอจะแพ้ไม่ได้ เธอเคยชนะมาตลอดในทุกเรื่อง และเรื่องนี้ก็เช่นกัน
ไพฑูรย์ ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง และ พัน เข้ามาที่สวน แล้วทั้งหมดก็ต้องชะงักเมื่อเห็น อาทิจกับดรุณีทำงานอยู่คนละฟากของถนน
“เป็นเพราะยายคุณตุ่นกลับมารึเปล่าน้าเกร็ง คุณอาทิจกับคุณณีถึงได้อยู่กันคนละฟากฟ้าอย่างนี้”
ไพฑูรย์กระซิบถาม ลุงเกร็งพยักหน้า
“คงงั้นมั้ง”
อึ่งหันไปเห็นอะไรบางอย่าง
“ไม่ใช่คุณตุ๊กตุ่นคนเดียวแล้ว ดูโน่น”
ทุกคนเห็นเวทางค์เดินมาพร้อมกับตุลยานี ที่เดินตรงไปหาอาทิจ แล้วถามทันที...
“ตุ่นมาฟังคำตอบค่ะพี่อาทิจ”
เวทางค์หันไปถามดรุณี
“พี่ก็เหมือนกัน..น้องณี”
อาทิจกับดรุณีหันมามองตุ่นกับเวทางค์ แล้วหันมาสบตากันเอง..วินาทีแห่งการพลัดพราก กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ตุลยานีเดินคล้องแขนอาทิจไปตามทาง พลางฉอเลาะ
“คุณแม่ตุ่นบินจากออสเตรเลียมาถึงไทยวันนี้ ถ้าพี่อาทิจไม่ติดงานสำคัญอะไร ตุ่นอยากให้พี่อาทิจไปเจอคุณแม่ตุ่นค่ะท่านอยากเจอพี่อาทิจมาก”
อาทิจนิ่งคิด หญิงสาวเจ็บจี๊ดกับปฏิกิริยานิ่งคิดของอาทิจ เพราะจริงๆแล้ว เขาควรจะต้องตอบรับเธอเลย
“หรือว่าพี่อาทิจห่วง อะไรที่นี่”
อาทิจถอนใจเฮือก
“คงไม่มีอะไรต้องห่วง น้องณีทำงานแทนผมได้ดีอยู่แล้ว แล้วอีกไม่นานคุณเวก็ต้องเข้ามาช่วยน้องณีบริหารงาน ผมจะอยู่หรือไปคงไม่มีผลอะไรกับใครที่นี่หรอกครับ”
“ถ้างั้นพี่อาทิจไปกรุงเทพฯกับตุ่นนะ”
อาทิจยืนนิ่งคิดถึงสิ่งที่ดรุณีพูดกับเขา...
‘ณีไม่อยากให้พี่อาทิจอยู่ที่นี่ พี่อาทิจไปเถอะค่ะ ณีกับพี่เวจะช่วยกันดูแลที่นี่เอง’
เพราะประโยคนี้เองที่ทำให้อาทิจตัดสินใจตะโกนเรียกสมุน เพราะรู้ว่าพวกนี้ต้องมาแอบดูแน่ๆ
“ต๊อด อึ่ง พัน”
ทั้งสามคน ค่อยๆโผล่ออกมาจากสุมทุมต้นส้มทีละคน ก่อนจะยิ้มแหะๆเอียงอายที่ถูกเจ้านายจับได้
“ครับ...นาย”
“ถ้าคุณณีถามหา ก็บอกคุณณีด้วยว่าฉันจะเข้ากรุงเทพฯไปกับคุณตุ่น”
ตุลยานีดีใจจนน้ำตาคลอ.. ความกลัวที่มีอยู่ในใจมลายหายไปสิ้น..ในที่สุด..อาทิจก็เลือกเธอ
ต๊อดอึ้ง
“แล้ว..แล้วจะกลับเมื่อไหร่ล่ะนาย”
“ไม่รู้ อาจจะปี..สองปี..หรือไม่ก็..ไม่กลับ...เชิญครับ”
อาทิจเดินออกไปกับตุลยานี ซึ่งตอนนี้กอดเกี่ยวเอาหน้าซบแขนชายหนุ่มแน่น ทั้งสามคนพากันน้ำตาซึมอกหัก จากเสียงกระซิกๆ กลายเป็นเสียงร้องไห้โวยวายเหมือนเด็กที่ถูกใครมาพรากซุปเปอร์ฮีโร่ของตัวเองไป
“นายอะ” อึ่งบ่น
“โกรธๆ” ต้อดเสียงดัง
พันเสริม
“เกลียดๆ”
“นายไม่รักคุณณี พวกเราไม่รักนายแล้วววว!”
ทั้งสามคนโวยวายด้วยความขัดใจ
ดรุณีกับเวทางค์เดินมาที่แปลงต้นบ๊วยด้วยกัน สักครู่...หญิงสาวก็หันมาหาเวทางค์
“พี่เวคะ”
เวทางค์ตื่นเต้น..อกใจสั่น เหมือนกำลังรอฟังคำพิพากษาจากศาลฎีกา
“ดะ..เดี๋ยวก่อนได้มั้ยน้องณี คือ..พี่..พี่ตื่นเต้น..ขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
เวทางค์จะเดินออก แต่ดรุณีเรียกไว้
“ณีพูดไม่นานหรอกค่ะพี่เว...พี่เวรักณีจริงๆหรือคะ”
“ทำไมถามพี่แบบนี้ล่ะ พี่รักน้องณีจริงๆ”
“พี่เวรู้มั้ยว่าณีชอบกินอะไร ชอบทำอะไร และฝันอยากจะทำอะไร”
เวทางค์อึ้ง ดรุณีพูดต่อไปเรียบๆ
“พี่เวไม่รู้เพราะพี่เวไม่คิดอยากจะรู้ และที่ไม่อยากจะรู้ก็เพราะพี่เวไม่ได้รักณีจริงๆ”
“แต่พี่ก็พร้อมจะเรียนรู้นะน้องณี น้องณีแค่บอกพี่มาว่าอยากกินอะไรอยากทำอะไร พี่ตามใจน้องณีทุกอย่าง เพราะพี่รักน้องณี”
“ความรักไม่ใช่แค่การตามใจอีกฝ่ายนะคะพี่เว มันต้องมีความรู้สึกทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น” ดรุณีคิดถึงอาทิจแล้วพูดออกมา ในสิ่งซึ่งอาทิจปฏิบัติต่อเธอ “มีความเข้าใจ ห่วงใย ความเป็นเพื่อน การให้อภัย การยอมรับซึ่งกันและกัน ให้เกียรติกัน เชื่อใจกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ที่สำคัญคือความเมตตาที่ต้องมีต่อกัน ที่ณีพูดมาทั้งหมด พี่เวคิดว่าพี่เวมีความรู้สึกแบบนั้นให้ณีรึเปล่า”
เวทางค์อ้ำอึ้ง
“พี่..มันก็..มีเป็นบางเรื่อง”
“ที่มีเป็นบางเรื่องเพราะพี่เวยังเอ็นดูณีอยู่บ้าง เราเหมาะจะเป็นพี่เป็นน้องกันมากกว่าค่ะพี่เว”
เวทางค์อึ้ง ที่ดรุณีกล้าปฏิเสธตัวเอง
“เพราะน้องณีมีใครในใจด้วยใช่มั้ย น้องณีถึงได้ปฏิเสธพี่”
ดรุณีเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที
“พี่รู้นะว่าไอ้หมอนั่นเป็นใคร แต่มันเป็นไปไม่ได้นะน้องณี น้องณีก็เห็นว่ามันกำลังจะไปมีความสุขกับคนอื่น”
ดรุณีเสียงเครือ
“นั่นเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของความรักค่ะ เราควรยินดีที่จะได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข..ไม่ใช่หรือคะ พี่เวมีอะไรยังคาใจอยู่อีกมั้ยถ้าไม่มี ณีขอตัวก่อนนะคะ”
ดรุณีหันหลังให้เวทางค์ หญิงสาวเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้า ก่อนจะเรียกกำลังใจให้ตัวเอง เธอตัดสินใจแล้ว และต้องเดินต่อไปข้างหน้า”
เวทางค์ยังคงยืนเอ๋อ..นึกไม่ถึงว่าจะมีผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธตัวเอง
อาทิจเปิดประตูรถให้ตุลยานีขึ้นนั่ง แล้วเดินอ้อมมาทางคนขับก่อนจะหันไปลาแก้ว น้าเกร็ง ไพฑูรย์ที่ตามมาส่งตาละห้อย
“ฝากดูแลสวนคุณย่าช่วยน้องณีกับคุณเวด้วยนะครับลุงเกร็ง พี่ฑูร”
แก้วหน้าหมอง
“จะไปจริงๆหรือคะคุณอาทิจ ไม่สงสารคุณณีหรือคะ”
อาทิจหม่นหมอง แต่พยายามตัดใจ
“น้องณีมีคุณเวช่วยอยู่แล้ว ผมอยู่ด้วยก็จะทำให้อึดอัดใจกันเปล่าๆ”
ไพฑูรย์อ้างข้างๆคูๆ
“แล้วต่อไป ใครจะพาผมไปโรงพยาบาล”
“พี่ฑูรหายดีแล้วนี่ครับ เมื่อวานยังคุยอยู่เลย ว่าเตะปี๊บดังกว่าเดิม”
ไพฑูรย์อยากขำแต่ขำไม่ออก อาทิจฝืนยิ้ม
“ผมลาทุกคนเลยนะครับ”
อาทิจยกมือไหว้ทุกคน แล้วขึ้นไปนั่งที่คนขับ ขับรถผ่านหน้าทุกคน และผ่านสวนคุณย่าไกล..และไกลออกไปทุกที
ดรุณีเดินเลียบแปลงข้าวโพดจนมาเห็นลุงเกร็ง แก้ว ไพฑูรย์ ต๊อด อึ่ง และพันนั่งจับเจ่าอยู่กับพื้นใต้แนวข้าวโพด
“พี่อาทิจกับยายตุ่นละคะ”
ต๊อด อึ้ง พันร้องไห้โฮ ในขณะที่คนอื่นๆนั่งจ๋อย
“คุณอาทิจไปแล้วค่ะ”
“ไปไหนคะ”
“ไปกรุงเทพฯกับคุณตุ่น”
ดรุณีใจหายวาบ
“ไป..นานรึยังคะ”
“เมื่อครู่นี้เองค่ะ”
ทุกคนนั่งคอตกกันเหมือนเดิม ในขณะที่ดรุณีค่อยๆเดินออกมาอย่างเลื่อนลอย
อาทิจขับรถเข้าโค้งมาตามถนน ที่เต็มไปด้วยดอกนางพญาเสือโคร่ง แล้วเบรกเอี๊ยดที่หน้า ตุลยานีพยายามถามสีหน้าปกติ ทั้งที่ใจคอไม่ดี
“ลืมอะไรหรือคะ”
อาทิจนิ่งอยู่เพียงครู่เดียวก็ตัดสินใจพูด
“ผมไปจากที่นี่ไม่ได้คุณตุ่น ผมคิดว่าเวลาปีสองปีมันคงไม่นาน ผมคงทำใจให้รู้สึกเหมือนกับ 2 วันได้ แต่..ผมเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าความจริงแล้ว ผมทนไม่ได้ที่จะจากที่นี่ไปแม้แต่วันเดียว ผมทิ้งแผ่นดินของคุณย่าไปไม่ได้”
ตุนยานีแทบลืมหายใจ..สิ่งที่กลัวมาตลอดกำลังจะเกิดขึ้นแล้วหรือนี่
“เพราะถ้าทิ้งที่นี่ไปก็เท่ากับทิ้งหัวใจของตัวเองไปด้วยใช่มั้ยคะ”
ทั้งคู่หันมองหน้ากัน...
ดรุณีเดินพึมพำอย่างน้อยใจเสียใจที่สุดไปตามทาง...
“อยากไปจากที่นี่เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ จะอยู่ร่ำลากันสักคำก็ไม่มี”
จากที่เสียใจเดินเอื่อยมาเรื่อยๆ ดรุณีเปลี่ยนเป็นจ้ำและกลายเป็นวิ่งในที่สุด เพราะบางที..อาจจะทัน
ขณะเดียวกันตุลยานียืนอยู่ที่ถนน ในขณะที่อาทิจนั่งอยู่ด้านหน้ารถ ต่างคนต่างจมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง
“ตุ่นรู้ค่ะว่าหัวใจพี่อาทิจอยู่ที่ใคร”
อาทิจหันมามอง
“คุณตุ่น”
หญิงสาวต้องเบือนหน้าหนีผู้ชายในฝันของเธออย่างเจ็บปวด
“ตุ่นพยายามคิดพยายามเข้าข้างตัวเองเสมอว่าพี่อาทิจรักตุ่น ก็ในเมื่อผู้ชายคนอื่นๆก็รักตุ่นมากกว่ายายณีทั้งนั้นนี่คะ ตุ่นไม่ผิดใช่มั้ยคะที่คิดอย่างนี้”
“ครับ”
ตุลยานียิ้มแต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด
“เพียงแต่ผู้ชายพวกนั้นไม่ใช่ พี่อาทิจ”
“คุณตุ่น...พี่กับน้องณี เราเป็นพี่น้อง...”
ตุลยานีแทรกขึ้นทันที
“พี่อาทิจรักยายณีค่ะ ตุ่นมาทบทวนดูแล้ว ตุ่นเพิ่งเข้าใจ ทุกครั้งที่พี่อาทิจพูดกับตุ่นแต่ในแววตาของพี่อาทิจมีเงาสะท้อนของยายณีเสมอรู้ตัวมั้ยคะ”
หญิงสาวขมขื่น พยายามที่จะไม่ร้องไห้แต่ก็อดไม่ได้
“พี่อาทิจคุยกับตุ่น แต่ใจกับสายตาของพี่อาทิจอยู่กับยายณีตลอดเวลา”
อาทิจสงสารเหลือเกิน
“คุณตุ่น..ผม..ขอโทษ”
ตุลยานีเช็ดน้ำตา พยายามตัดใจ
“ไม่ต้องขอโทษตุ่นหรอกค่ะ ที่ตุ่นมาที่นี่ก็เพราะอยากจะเผชิญหน้ากับความจริง และก็อยากจะเห็นพี่อาทิจอีกสักครั้งก่อนจะไปเมืองนอกเท่านั้น”
“ผม..ไม่ได้มีคุณค่าอะไรขนาดนั้น”
“ตุ่นอิจฉายายณีเหลือเกินที่ได้เจอพี่อาทิจก่อนตุ่น”
“คุณตุ่นยังมีอนาคตที่ดีรออยู่ข้างหน้านะครับ”
“ตุ่นก็คิดอย่างนั้น ตุ่นคงไม่เหมาะกับที่นี่เท่าไหร่”
เธอพยายามหาเหตุผลรองรับ แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งเวทนาตัวเองจนน้ำตาเล็ดออกมาอีก
“ถ้าตุ่นต้องทำงานกลางแดดทุกวัน ตุ่นคงต้องเป็นฝ้า แล้วตุ่นจะเอาเวลาที่ไหนไปแต่งหน้าไปปัดมาสคาร่าจริงมั้ยคะ”
“คุณตุ่นต้องได้เจอคนที่ดีกว่าผมแน่ๆ”
ตุลยานีเช็ดน้ำตาแล้วฝืนยิ้ม
“ค่ะ ตุ่นก็หวังอย่างนั้น แต่มันคงเป็นไปได้ยาก เพราะผู้ชายที่เป็นรักครั้งแรกของตุ่น เขาน่ารักและเป็นคนดีเหลือเกิน”
“คุณตุ่นก็น่ารักและเป็นคนดี”
“แต่ไม่มากพอที่พี่อาทิจจะรัก ยังไงตุ่นก็ต้องขอบคุณพี่อาทิจนะคะ อย่างน้อยเราก็มีช่วงเวลาดีๆด้วยกัน ลาก่อนค่ะ”
ตุลยานีตุ่นจะเดินขึ้นรถไปทางด้านคนขับ
“ผมไปส่งครับ”
หญิงสาวชะงักกึก น้ำตานองหน้า
อ่านต่อหน้า 4
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 15 (ต่อ)
ดรุณีวิ่งไต่เนินขึ้นมาที่จุดชมวิวเหนื่อยหอบ หญิงสาวมองไปที่ถนนตรงหน้า เห็นรถคุณย่าแล่นลัดเลาะทิวเขาออกไป ไกล..และไกล เธอไปทุกที เธอน้ำตาคลอด้วยความเสียใจน้อยใจ ตัดสินใจหันหลังให้ วิ่งไต่เนินกลับไปที่นาข้าว
ดรุณียืนหอบด้วยความเหนื่อย และทดท้อสุดชีวิต หลังจากที่คุณย่าตายแล้วเธอเพิ่งตระหนักว่าเธอไม่เคยรู้สึกสูญเสียอะไรในชีวิต เท่ากับการที่อาทิจจากไป
“คุณย่าคะ คุณย่าอยู่ที่นี่รึเปล่า คุณย่าอยู่กับหนูนะคะ หนูจะดูแลที่นี่แทนพี่อาทิจเอง”
ดรุณีพูดไป น้ำตาร่วง อาทิจเดินมายืนข้างๆ
“ขอผมอยู่ด้วยคนได้มั้ยครับคุณย่า”
ดรุณีชะงักกึก หันไปมองอาทิจอย่างตกใจ
“พี่อาทิจ”
อาทิจทำเป็นน้อยใจ
“มีใครบางคนเขาไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่แล้ว คุณย่าจะอนุญาตให้ผมอยู่ที่นี่ต่ออีกสักวันสองวันได้มั้ยครับ”
ดรุณีรู้สึกผิด
“พี่อาทิจ…ณี.. เอ่อ..แล้วยายตุ่นล่ะคะ”
“เขาไปแล้ว”
“แล้วพี่อาทิจ”
อาทิจไม่ตอบ เลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น
“ไม่ร้องไห้แล้วนะ..คนดี”
อาทิจเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ
“พี่อาทิจไม่ไปกับยายตุ่นหรือคะ”
“ไปจ้ะ..แต่..ไม่ใช่วันนี้”
ดรุณีเจื่อนจ๋อยจืดสนิท
“ในเมื่อจะต้องไปอยู่แล้ว ทำไมไม่ตามไปเดี๋ยวนี้เลยคะ”
“พี่ต้องปิดบัญชีรับจ่ายของเดือนนี้ให้เสร็จก่อน อีก 2 วันก็จะสิ้นเดือนแล้ว”
ดรุณีน้อยใจ..ที่ยังอยู่ก็เพราะต้องเคลียร์งานนี่เอง
“ขอบคุณนะคะที่ยังเป็นห่วงงานจนนาทีสุดท้าย”
อาทิจแกล้งแหย่อีกนิด
“เสร็จงานแล้ว น้องณีไปกับพี่นะ”
ดรุณีน้อยใจเสียใจสุดๆ
“ค่ะ ยิ่งพี่อาทิจรีบไปทำความเข้าใจกับยายตุ่นได้เร็วเท่าไหร่ ณีก็จะได้ยินดีกับความสุขของพี่อาทิจเร็วขึ้นเท่านั้น”
อาทิจจับมือดรุณีขึ้นมาบีบเบาๆ
“ขอบใจมากนะน้องณี”
ดรุณีฝืนยิ้มให้อาทิจ เป็นยิ้มที่เจื่อน..เฝื่อน..ฝืดและเศร้าที่สุดตั้งแต่อาทิจเคยเห็นมา
ที่แปลงข้าวโพด คนงานทุกคนยังคงนั่งจับเจ่าอย่างเซ็งจัดไม่เป็นอันทำงาน แก้วบ่นขึ้นมา...
“คุณอาทิจไปแล้วอย่างนี้ พวกเราจะทำยังไง”
ต๊อดถอนใจ
“จะทำยังไง ก็เตรียมตัวใส่เสื้อฟอร์มดีไซน์เก๋ไก๋ของสวนคุณย่า เพราะคุณเวกับคุณวิไลคงจับพวกเราเปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าผมยกเครื่องใหม่แน่”
ไพฑูรย์ถอนใจเช่นกัน
“คนงานเก๋ แต่สวนคุณย่าจะเป็นยังไงไม่รู้นะ”
ลุงเกร็งพยายามปลอบ
“คุณหนูณีอยู่ด้วยมันคงไม่แย่อย่างที่เราคิดหรอกน่า”
อึ่งหงุดหงิด
“นายนะนาย..แค่จะมีเมีย ทำไมต้องไปจากสวนคุณย่าด้วยวะ”
“ก็เมียนายไม่ได้อยู่นี่นี่หว่า” พันออกความเห็น
“แล้วทำไมไม่เลือกคนที่อยู่นี่วะ” อึ่งโวย
“เอ็งก็ตามไปถามคุณอาทิจที่กรุงเทพฯสิ”
ไพฑูรย์ว่า อาทิจเดินเข้ามากับดรุณี อึ่งหันมาเห็นอาทิจเลยตะโกนถามทันที
“ทำไมไม่เลือกคนที่อยู่ที่นี่ห๊า !”
อึ่งนิ่งคิดทำไมอาทิจกลับมาอีก..สักครู่กรี๊ดลั่น
“เฮ้ย.นาย..ตกลงนายไม่ไปกับคุณตุ่นแล้วใช่มั้ย”
อาทิจพยักหน้า คนงานเฮฮิ้ววว แก้วหน้าเริ่ดเข้าไปหา
“หมายความว่าคุณอาทิจเลือกคนที่นี่”
อาทิจพยักหน้า ทุกคนกรี๊ดแต๋วแตกสนั่นกันอีกระลอก ดรุณีรีบบอก
“พี่อาทิจเลือกอยู่กับคนที่นี่แค่วันสองวัน แล้วก็จะลงไปหาคุณตุ่นจ้ะ”
จากที่กระโดดโลดเต้นเฮเจี๊ยว...ทุกคนพากันจ๋อย ไหล่ลู่ โดยเฉพาะแก้วถึงกับเหงือกแห้งติดฟัน
ที่สนามบิน...เวทางค์ดึงทิชชู่จากห่อในกระเป๋าแล้วส่งต่อให้...ตุลยานีรับทิชชูมาน้ำตา
“ทำไมคนที่เก๋ไก๋สไลเดอร์เพอร์เฟคชั่นนิสอย่างเราสองคน ถึงต้องอกหักรักคุด ตกที่นั่งเดียวกัน”
เวทางค์แดกดัน ตุลยานี ยิ่งคิดยิ่งเสียใจ ร้องไห้กระซิกๆๆหนักขึ้น
“คงเป็นเพราะสองคนนั่นเป็นพวกชาวไร่ชาวนาด้วยกัน เลยเข้าใจหัวอกพวกเดียวกัน.. ไม่งั้นจะกล้าปฏิเสธไฮโซเมืองหลวงอย่างเราได้ไง”
เวทางค์พูดจบก็ปล่อยโฮร้องไห้ สั่งขี้มูกปื้ดๆ ตุลยานีมองเวทางค์ตาค้าง ที่อาการหนักกว่าเธออีก
ดรุณีนั่งถักเสื้อหนาวเหงาๆที่ระเบียงบ้าน แก้วเดินมาลงมานั่งแหมะข้างๆ บ่นอย่างไม่อยากเชื่อ
“อยู่ต่อเพื่อเคลียร์บัญชี..แค่นั้นเหรอคะ”
ดรุณีก้มหน้าก้มตาถัก
“ค่ะ”
อาทิจเดินเข้ามามองหาดรุณี เจอทั้งคู่กำลังคุยเรื่องตนเองก็เลยชะงักฟัง
“แต่น้าแก้วว่าคุณอาทิจต้องมีอะไรมากกว่านั้น อีกอย่าง..ถ้าเหตุผลมีแค่นี้ทำไมคุณตุ่นถึงไม่อยู่รอคุณอาทิจ ทำไมถึงได้กลับไปก่อน”
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาสองคน ณีไม่กล้าเข้าไปวุ่นวายหรอกค่ะ”
“แล้วเรื่องคุณเว คุณณีตัดสินใจยังไงล่ะคะ อย่าบอกนะคะว่าคุณณีจะแต่งงานกับคุณเว แล้วมาดูแลสวนคุณย่าแทนคุณอาทิจด้วยกันจริงๆ”
อาทิจยืนลุ้น แทบลืมหายใจ ขณะที่ดรุณีเล่า...
“หนูนับถือพี่เวอย่างได้พี่ชาย ไม่ว่าพี่อาทิจจะอยู่หรือไปจากที่นี่ ก็ไม่ทำให้หนูเปลี่ยนความรู้สึกได้หรอกค่ะ หนูปฏิเสธพี่เวไปแล้ว”
อาทิจยืนยิ้มแล้วเดินกรึ่มจัดตัวปลิวออกไปโดยไม่มองพื้น เท้าเลยเตะข้าวของที่วางกับพื้นล้มโครม ดรุณี แก้วชะงัก หันมามอง
“ใคร”
แก้วเสียงเขียว อาทิจผลอหลุด
“แมว..เอ๊ย..เหมียว เหมียว เหมียววว”
อาทิจครางเป็นแมวก่อนจะย่องออกไปอย่างเร็ว แก้วบ่น
“แมวบ้านไหนมาเพ่นพ่านแถวนี้”
ดรุณีถักเสื้อหนาวให้อาทิจไป ถอนใจไป
ที่ลานกินข้าวคนงานตอนเย็น...อาทิจเป่าแคนเซิ้งส่ายม่วนอกม่วนใจ กับเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมา โดยมีตะวันเซิ้งสะบัดอยู่ข้างๆ
แก้วตักข้าวให้คนงาน ในขณะที่ลุงเกร็ง ไพฑูรย์ ต๊อด อึ่ง พันซึ่งมีจานข้าวอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว หันไปมองอาทิจทั้งงง แปลกใจ ไม่เข้าใจ
“คึกอะไรนักหนาห๊า..นายตะวัน พ่อเราเขาจะหาแม่ใหม่ให้แล้วยังจะคึกอีก”
ต๊อดถามอย่างหมั่นไส้ ตะวันหันมายิ้ม
“ดี.. มีแม่หลายคน ตะวันชอบ”
อาทิจหัวเราะขำ
“เห็นมั้ย เด็กมันยังรู้จักยินดีกับผู้ใหญ่ แล้วพวกนายเป็นอะไร อุตส่าห์เป่าแคนให้ฟังสนุกสนาน ทำนั่งนิ่งกันอยู่ได้”
“หนุกหนานตายล่ะ” พันประชด
อึ่งเสริม
“นายหนุกคนเดียวนี่ นายกำลังจะได้เมีย แต่พวกเราซี้ เมียก็ไม่ได้ แถมนายยังจะมาตีจาก”
ต๊อดคร่ำครวญต่อ
“พูดแล้วมันช้ำใจ เห็นพวกเราเป็นดอกไม้ริมทางรึไง ดอมดมสมใจก็ขยี้ขยำแล้วเหยียบซ้ำอีกต่างหาก”
อาทิจส่ายหน้าขำๆ
“น้ำเน่า!”
ไพฑูรย์พยายามโน้นน้าว
“อยู่เป็นโสดน่ะดีแล้ว อย่าริอ่านมีเมียเล๊ยคุณอาทิจ ไขข้อจะเสื่อมเร็วซะเปล่าๆ แล้วจะหาว่าผมไม่เตือน”
ลุงเกร็งประชด
“ใครมันจะพลังช้างสารอย่างเมียเอ็งล่ะ แต่..ไม่ไปไม่ได้เหรอครับคุณอาทิจ”
อึ่งสนับสนุนทันที
“แลกกับการที่พวกเรายอมพลีกายให้นายสลับกันคนละวัน เอาป่าว”
ต๊อดรีบปฏิเสธ
“ไม่เอาๆ เดี๋ยวน้องจิ๋วแจ๋วเข้าใจข้าผิด”
ตะวันออกความเห็นบ้าง
“ไม่เอาๆ ไม่อยากมีแม่เป็นช้างน้ำ”
“โธ่..ไอ้นายตะวัน เดี๋ยวปั๊ด” อึ่งเข้าไปเกาะแขนเว้าวอนอาทิจ “นะ..นายอย่าไปเลยนะ”
อาทิจไม่สนใจคำเว้าวอนของอึ่ง เอาแคนขึ้นมาเป่าเพลงในจังหวะคึกครื้นต่ออย่างเมามัน แก้วทนดูทนฟังไม่ไหว เข้าไปลากลุงเกร็งไปคุยด้วยตามลำพัง
ทันทีที่อยู่ห่างผู้คน แก้วบอกทันที
“ไม่ไหวแล้วนะตาเกร็ง เราจะยอมให้เรื่องมันจบแบบนี้ไม่ได้!”
ลุงเกร็งงง
“เรา”
“ถูก..ฉันกับแกนั่นแหละที่ต้องช่วยกันคิดว่า ทำยังไงถึงจะให้สวนคุณย่าคงอยู่ต่อไปได้”
ลุงเกร็งยิ่งงง
“อ้าว..ใครจะเอาสวนคุณย่าไปไหน”
“ปัดโธ่...ถ้าเรายอมให้คุณอาทิจไปหาคุณตุ่น สักวันคุณณีก็ต้องใจอ่อนกับคุณเว แล้วถ้าคุณเวขึ้นมาปกครองสวนคุณย่า แกคิดว่าที่ดินจะไม่ถูกแบ่งขาย เปลี่ยนมือไปเหรอ”
“มันก็ใช่ แต่เราจะทำยังไง เดินไปบอกคุณอาทิจให้แต่งงานกับคุณณีงั้นเหรอ”
“ฉันพูดจนปากบนจะฉีกถึงหู ปากล่างจะย้อยติดตาตุ่มแล้ว แต่นายเราฟังกันที่ไหน ใจแข็งปากแข็งด้วยกันทั้งคู่”
“แล้วจะให้ทำไง เอาเชือกไปมัดแขนมัดขาใส่กันเลยดีมั้ย”
“มัดแขนมัดขาอย่างเดียวไม่พอ มันต้องมัดใจใส่กันด้วย ซึ่งแกต้องเป็นคนจัดการ”
“งานเข้าอีกแล้ว”
แก้วพยักหน้ามุ่งมั่น
“แกต้องหายาที่ทำให้คนรักกันมาให้คุณอาทิจกับคุณณีกิน”
ลุงเกร็งปฏิเสธเสียงแข็ง
“เฮ้ย..ไม่ได้..ไม่เอา...มันบาป”
ที่ร้านทองประศรี...ตุ๊กับไพฑูรย์นั่งคุยกันถึงเรื่องอาทิจกับตุลยานีกันเมามัน ในขณะที่ทองประศรีป้อนข้าวตะวัน และสิงห์ทองนั่งก๊งเหล้าเหมือนเดิม
“ฉันว่าคุณอาทิจต้องรักยายเต่าตุ่นอะไรนั่นมากๆแน่ๆ ไม่งั้นไม่กล้าทิ้งสวนคุณย่าไปอยู่กับแม่นั่นหรอก” ตุ่นออกความเห็น
ไพฑูรย์แย้ง
“ยังไม่ได้ไป”
“วันนี้ไม่ไป พรุ่งนี้ มะรืนนี้ก็ต้องไปใช่มั้ยล่ะ พูดแล้วก็เสียดาย ใคร๊..มันจะขึ้นมาแทนที่คุณอาทิจได้”
ไพฑูรย์เห็นด้วย
“เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าน้องตุ๊ก็พูดจามีเหตุผลกับเขาเหมือนกัน คนจ้องจะเป็นเจ้าของสวนคุณย่าน่ะมีเยอะ แต่คนที่จะมาจับจอบจับเสียมทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำอย่างคุณอาทิจน่ะไม่มีหรอก”
ทองประศรีถอนใจ
“พี่เขาเหนื่อยมามากแล้ว ให้เขาได้พักได้อยู่กับคนที่เขารักบ้างเถอะ”
สิงห์ทองที่เมาแอ๋ออกความเห็น
“มันน่ะตาถั่ว พลาดจากนังศรี ก็น่าจะมองนังสาน นังสมแทน”
คำมาตวาดแว้ด
“ใครเขาจะมาเอาลูกสาวที่มีพ่อขี้เมาอย่างแกล่ะ เมาได้เมาดีทุกวี่วัน แล้วจะหาความเจริญได้ยังไง!”
“เอ็งรู้จักข้าน้อยไปแล้วนังคำมา ข้านี่แหละที่จะเป็นคนนำพาความเจริญมาสู่บ้านนี้เมืองนี้ ไอ้อาทิจมันไม่อยู่ที่นี่น่ะดีแล้ว จะได้ทำอะไรได้ง่ายขึ้น”
ขณะเดียวกันบรรยงในชุดเครื่องแบบเต็มยศ กลับมาเยี่ยมบ้าน ชายหนุ่มตรงเข้ามากอดทองประศรีกับตะวัน
ตุ๊เห็นผัวเมียกอดกันต่อหน้าต่อตา อารมณ์หวิวก็แผ่ซ่าน
“ไป..พี่ฑูรกลับบ้าน”
ตุ๊กระพริบตาปิ๊งใส่ไพฑูรย์เป็นสัญญาณว่าพร้อมแล้ว ไพฑูรย์ไม่ปฏิเสธ ลุกขึ้นมาเต้นฟุตเวิร์ค ขยับแข้งขยับขาพร้อมรบ
“ขอจัด 5 เลยนะน้องตุ๊ ตั้งแต่คุณอาทิจพาไปรักษาตัวมานี่ พี่ฑูร...ฟิ๊ตฟิตพูดแล้วเปรี้ยวปาก ไป”
ว่าแล้วไพฑูรย์ก็จูงตุ๊เดินหน้าหื่นไปด้วยกันทั้งคู่ บรรยงอุ้มตะวัน หายออกไปกับทองประศรี ส่วนทองประสาน ทองประสม เดินออกไปทางหลังบ้านกับคำมา
“เฮ้ย...หายหัวไปไหนกันหม๊ด ไม่ได้ยินเหรอว่าข้านี่แหล่ะคือคนที่จะมาเปลี่ยนแปลงที่นี่ ต่อไปนี้พวกเราจะรวย..รวย..รวย”
สิงห์ทองยืนขึ้นหัวเราะร่าก่อนจะฟุบหลับคาโต๊ะ เพราะฤทธิ์อัลกอฮอลล์
วิไลลักษณ์กรี๊ดดังลั่น เมื่อรู้ว่าดรุณี ปฏิเสธที่จะแต่งงานกับเวทางค์
“กล้าดียังไงถึงได้ปฏิเสธตาเว! แม่จะไปคุยกับยายณีให้รู้เรื่อง ต้องเป็นเจ้าอาทิจแน่ๆ ที่บังคับยายณีให้ตัดสินใจแบบนี้”
วิยะดาปราม
“คุณแม่คะ ปลงเถอะค่ะ คิดซะว่าพรหมท่านไม่ได้ลิขิตให้ยายณีเป็นเนื้อคู่พี่เว เหมือนอย่างวิที่ไม่ได้เป็นเนื้อคู่พี่อาทิจ แต่เป็นเนื้อคู่คุณรุจน์”
วิไลลักษณ์แค้นใจ
“หรือว่าเจ้าอาทิจมันจะคั่วยายณีซะเอง พูดแล้วมันน่าเจ็บใจ เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะคุณย่าของเรานั่นแหละที่ตามมันมาช่วยงาน ถ้าไม่มีมันสักคน ยายณีจะเลือกใคร ผู้ชายที่เริ่ดที่สุดในย่านนี้ก็มีแค่ตาเวคนเดีย”
ประเวทย์ชะงักกึกหันไปมองวิไลลักษณ์อย่างไม่พอใจ วิยะดาเห็นสีหน้าพ่อแล้วสะกิดเตือนแม่
“คุณแม่คะ พอเถอะค่ะ”
“ไม่ ! แม่จะพูด คุณย่าน่ะรักแต่ยายณีกับเจ้าอาทิจ ไม่เคยนึกถึงตาเวกับเราเลย แม่จะไปบังคับให้พวกมันเปิดพินัยกรรมเร็วๆ อยากรู้เหมือนกันว่าคุณย่าจะลำเอียงสักแค่ไหน”
ประเวทย์ดุ..เสียงเข้มชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“คุณลืมไปรึเปล่าว่า ผู้หญิงที่คุณพูดถึงคือคุณแม่ของผม กรุณาให้เกียรติดวงวิญญาณของท่านด้วย ที่ผ่านมาผมทนฟังคุณนินทาคุณแม่ผมมานานแล้ว วันนี้ผมขอห้ามไม่ให้คุณพูดอะไรพาดพิงถึงท่านในแง่ไม่ดีอีก”
วิไลลักษณ์อึ้ง..งง..ตกใจ..เสียใจ...
“นี่..นี่คุณพี่ดุน้อง”
“แทนที่จะเป็นห่วงความรู้สึกของตาเว กลับมานั่งพะวงอยู่กับสมบัติซึ่งคุณไม่ได้สร้างมันขึ้นมา คุณทำถูกรึเปล่าคุณวิไล”
วิไลลักษณ์ตกใจ เพราะตั้งแต่อยู่กินกันมา ประเวทย์ไม่เคยตะคอกใส่ขนาดนี้
“คุณพี่ว่าน้อง คุณพี่เสียงดังกับน้อง คุณพี่อะ..อะ..อ๊ายยย”
วิไลลักษณ์ร้องไห้น้ำตาเล็ด วิ่งสติแตกออกไป วิยะดามองตามแม่
“บัวมีหลายระดับค่ะคุณพ่อ คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ วิกับคุณแม่คงจะค่อยๆ โผล่พ้นน้ำได้สักวัน”
ประเวทย์พยักหน้าให้วิยะดาเพราะเชื่อมั่นในตัวลูก แต่กับคนเป็นแม่..ประเวทย์ได้แต่ถอนใจ
จบตอนที่ 15
โปรดติดตาม ตอนที่ 16 ตอนอวสาน วันพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.