xs
xsm
sm
md
lg

อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 15

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เนื่องจากบทโทรทัศน์ละครเรื่อง   "อสูน้อยในตะเกียงแก้ว"  ตอนที่ 15  ที่ลงใน “ละครออนไลน์” อยู่นี้ คือตอนล่าสุดที่ผู้ผลิตทีมงานบริษัทดีด้าเพิ่งถ่ายทำเสร็จ สำหรับบทตอนถัดจากนี้ ยังอยู่ในระหว่างการปรับแก้ตามการถ่ายทำที่เกิดขึ้นจริงในกองถ่าย ซึ่งถ้าบทตอนใหม่มาถึง  ทีมงานละครออนไลน์  ที่ยึดถือความถูกต้องตรงตามบทโทรทัศน์ จะรีบอัพขึ้นให้อ่านทันควัน! และหากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ทำให้ท่านผู้อ่านไม่พอใจ ทีมงานละครออนไลน์ ขออภัยมา ณ ที่นี้

 อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว  ตอนที่ 15 

แนนนี่หนีเข้ามานอนขดตัวอยู่บนเตียงนอนในตะเกียงแก้ว ใบหน้าแนนนี่ดูเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด

“เป็นอะไรไปล่ะ .... แนนนี่” ตะเกียงแก้วถาม
แนนนี่พลิกตัวหันหลังให้ เหมือนไม่อยากตอบคำถาม
“ถ้าไม่พูดออกมาซะบ้าง ระวังจะอึดอัดตายนะ” ตะเกียงแก้วชวนคุยต่อ
“ดี! ตายเสียก็ดี ทุกวันนี้ก็มีแต่คนอยากให้แนนนี่ตายอยู่แล้วนี่ ทั้งอสูรทั้งแม่มดต่างช่วยกันรุมฆ่า พวกมนุษย์ก็ไปรุมรักรุมโอ๋ ยัยพี่ดาแอ๊บดีกันหมด ชีวิตเหมือนเดินอยู่บนเส้นด้าย...นี่ก็เพิ่งรอดมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าสิบ” แนนนี่บ่นออกมา
“แล้วคุณยายทาฮิร่าล่ะ แกรักแนนนี่จะตายไป” ตะเกียงแก้วว่า
แนนนี่ผุดลุกขึ้นนั่งทันที
“ก็มีแค่นั้นแหละ อ้อ คุณแม่ปัทมนอีกคน”
“เค้าถึงมีคำพังเพยว่า...คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ”
“เงียบได้มั้ย แนนนี่อยากอยู่เงียบๆ ขืนพูดมาก แนนนี่จะเอาเทปกาวปิดปาก”
“หงุดหงิดทั้งปี” ตะเกียงแก้วบ่นพึมพำ

เวลาเดียวกันที่บริเวณหน้าบ้านปัทมน ภวัตและบุษบาเดินมาด้วยกันกำลังจะไปขึ้นรถ ดารกาเดินแกมวิ่งตามมา ร้องเรียกไว้

“พี่ภวัตคะ”
ภวัต และบุษบาหันมามอง บุษบามองด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เย็นนี้พี่ภวัตมีธุระที่ไหนหรือเปล่าคะ” ดารกาถามขึ้น
“น้องดาจะทำไมหรือ” ภวัตถามกล้บ
“น้องดาอยากให้พี่ภวัตติวให้หน่อยค่ะ...มีเรื่องที่ไม่เข้าใจ 2-3 เรื่อง”
“ไหนว่าเรียนเก่งนักเก่งหนาไง” สีหน้าแววตาบุษบายิ้มๆ เหมือนพูดทีเล่นทีจริง
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” ดารกาออกตัว
“ให้พี่ไชยติวให้เอามั้ย...ดูเหมือนพี่ไชยจะว่างมากกว่าภวัต” บุษบาเยาะ
ดารกาไม่สนใจคำพูดบุษบา ผินหน้ามามองภวัตราวกับจะให้ช่วย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะติวให้แกเอง ...บ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้” ภวัตบอก
“แต่ว่าพี่ไชยเขาเต็มใจติวให้น้องดาจริงๆ นะคะ” บุษบายังไม่ยอมง่ายๆ พยายามจะอวยพี่ชายตัวเอง
“อย่าเลย รบกวนหมอไชยเปล่าๆ”
“ขอบคุณค่ะ พี่ภวัต งั้นเย็นนี้น้องดาไปรอที่บ้านพี่ภวัตนะคะ แล้วจะทำขนมไปให้ทานด้วย !” ดารกายิ้มระรื่น
“นั่นแน่ มีขนมมาล่ออีกแล้ว” ภวัตยิ้มล้อ
ดารกาหัวเราะออกมาอย่างดีใจ “อร่อยมากด้วยละค่ะ...เชิญพี่ภวัตเถอะค่ะ...” ดารกาหันไปไหว้ลาบุษอย่างอ่อนหวาน “สวัสดีค่ะ พี่บุษ”
บุษบารับไหว้แค่อก ดารกาหันหลังเดินแกมวิ่งกลับเข้าบ้านไป
ภวัตและบุษบามองตาม แล้วหันมาเดินต่อ
“ภวัตคะ...บุษว่า....”
บุษบาพูดยังไม่ทันจบ จู่ๆ ส้นรองเท้าส้นสูงก็เกิดพลิกหักทั้ง 2 ข้าง บุษบาเสียหลักถลาล้ม
“ว้าย! ภวัตคะ...ช่วยด้วยค่ะ”
สัญชาติญาณ ทำให้ภวัตหันขวับไปที่หน้าต่างห้องชั้นบนทันทีทันใด และมองเห็นม่านหน้าต่างไหวเล็กน้อยเหมือนเพิ่งมีคนจับก่อนผละตัวไป
ภวัตชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ แล้วจึงหันกลับมาทรุดตัวลงดูเท้าบุษบา

สมาชิกสองครอบครัวยังรวมตัวนั่งคุยกันอยู่ ทุกคนเห็นดารกาเดินเข้ามา
“ไปปรึกษาพี่ภวัตเขาเรื่องเรียนเรียบร้อยแล้วหรือลูก” ปัทมนถามเสียงอ่อนโยน
“ค่ะ...น้องดาขอตัวขึ้นไปดูหนังสือต่อนะคะ”
“จะขยันไปถึงไหนจ๊ะ น้องดา” รัดเกล้าแซวยิ้มๆ
“น้องดาจะต้องเรียนให้ดีที่สุด คุณแม่จะได้ไม่ผิดหวังที่เลี้ยงน้องดามา”
ทุกคนมองดารกาอย่างชื่นชม
“แม่คุณ” ปัทมนเป็นปลื้มกว่าใคร
ดารดาเดินค้อมตัวผ่านไปขึ้นบันไดอย่างเรียบร้อย
“มีลูกอย่างน้องดานี่ นอนตายตาหลับเลยนะครับ” จักรวาลเอ่ยขึ้น
“แล้วมีลูกอย่างเกล้าล่ะคะ” รัดเกล้าหน้าง้ำ หันไปทางผู้เป็นพ่อ
“ก็ไม่กล้าตายเลยน่ะซิ กลัวว่าต้องตาเบิกโพลงตลอด !” ธานีตอบแทนซะเอง
รัดเกล้าลืมตัว ทุบตีธานียกใหญ่ “นี่แน่ะ! ตาเบิกโพลง”
“โอ๊ย” ธานีร้องลั่น
แทนที่จะเอ็ดหรือดุ จักรวาลและปัทมน มองภาพคู่กัดคู่นั้น แล้วเบือนหน้ามาสบตากันอย่างพึงพอใจ

บุษบากลับมาถึงโรงพยาบาล เดินกระแทกนิดๆ ที่เท้าพันผ้าแบบคนขาแผลงเดินหน้างอเข้ามาในห้องไชย
“อ้าว! นั่นเท้าเป็นอะไรล่ะ” ไชยถาม
“เท้าแพลงค่ะ...เดินอยู่ดีๆ ส้นสูงหัก” บุษบาบอก
“เฮ้ย ! รองเท้าเราแต่ละคู่แพงๆ ทั้งนั้น ทำไมหักง่ายนักล่ะ”
“ก็นั่นน่ะซิคะ ไม่รู้ซิ อารมณ์เหมือนๆ วันที่บุษกินสปาเก็ตตี้แล้วกลายเป็นหนอนนั่นแหละค่ะ” บุษบาตั้งข้อสังเกต
“ยัยบุษเอ๊ย”
บุษบารีบยกมือผาย...ขัดขึ้นเหมือนรู้ว่าพี่ชายจะพูดอะไรต่อ
“เอาละค่ะ...บุษรู้ว่าพี่ไชยจะพูดยังไง แล้วที่มานี่บุษจะมาปรึกษาพี่ไชยเรื่องอื่น!
ไชยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“นังเด็กดารกามันแสดงความสนิทสนมกับภวัตต่อหน้าบุษ แล้วภวัตก็เอ็นดูมันมากเสียด้วย!”
ไชยหัวเราะร่วน “เด็กคนนี้มันเป็นลูกไก่ในกำมือพี่อยู่แล้ว!”
“งั้นก็รีบจัดการมันเสียทีซิคะ จะได้พ้นทางของบุษเสียที” บุษบาเร่งเร้าพี่ชาย
“ตกลง! พี่ก็ชักจะไม่ไว้ใจภวัตเหมือนกัน” ไชยว่า
“งั้นก็ลงมือเลยค่ะ”

ส่วนที่บ้านจักรวาล เวลานั้นโป่งหิ้วถุงมะม่วงดิบเข้ามาวางบนโต๊ะ แล้วหันหลังกลับจะเดินออกไป
โป่งสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นบาบาร่าในคราบแม่บ้านบานเย็นมายืนอยู่อย่างเงียบเชียบ
“คุณแม่บ้าน...มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ...โฮ้ย ใจหายใจคว่ำนึกว่าผี” โป่งว่า
“ฉันเหนือกว่าผี ! บ้านนั้นเขาไปไหนกันมา” บาบาร่าคุยโว แล้วถาม
“ได้ยินแว่วๆ ว่าคุณแนนนี่ อาจารย์ของโป่งถูกลักพาตัวไปครับ...แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด ว่าจะไปถามจารย์ดูเหมือนกัน ว่าแต่คุณแม่บ้านขึ้นไปทำความสะอาดห้องข้างบนหรือยังครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของแก”
บาบาร่าชักสีหน้าใส่โป่ง แล้วเดินออกไป ด้วยฝีเท้าเงียบเชียบ
“คนอะไร เดินไม่มีเสียงเลย”
“ฉันได้ยินนะ เจ้าโป่ง” บานเย็นบาบาร่าส่งเสียงแหวมา
“แน่ะ! หูก็ดีอีก”

บาบาร่าเดินขึ้นชั้นบนมา พลางว่าคาถาไปพร้อมๆ กัน ชี้ข้ามไปข้างหลัง จู่ๆ ก็มี ไม้กวาด ที่ตักผง และม็อบถูพื้นปรากฏขึ้นตามหลังมา
บาบาร่าเปิดประตูห้องภวัตเข้าไป พร้อมเครื่องมือ แล้วเริ่มทำความสะอาด
บาบาร่ายืนกอดอกมองโดยรอบ แล้วชะงัก เมื่อเห็นดอกกุหลาบ 2 ดอกที่ปักอยู่ในแจกัน บาบาร่าขยับมุมปากเหมือนจะเยาะๆ แล้วเดินมาใกล้
“เรื่องรักๆ ใคร่ๆ จุดอ่อนของพวกมนุษย์”
บาบาร่าหยิบการ์ดขึ้นมาอ่าน
“กุหลาบแดงแจ้งรักประจักษ์ว่า ชั่วดินฟ้ารักเธอเสนอสนอง...ทุเรศ
กุหลาบขาวคือหัวใจที่ไฝ่ปอง รักของน้องอสูรน้อยคอยเรื่อยมา... อสูรน้อย! แนนนี่! ยิ่งตอกย้ำ ว่าไม่ผิดตัวแน่”
บาบาร่าเงยหน้าขึ้น สีหน้ามุ่งมั่นและมาดหมาย

เวลาเดียวกัน ทาฮิร่านอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย จังหวะนั้นบาบาร่าก็ปรากฏตัวขึ้น เรียกออกมา
“ทาฮิร่า”
ทาฮิร่าพลิกหันกลับมา
“บาบาร่า!”
“เพลียละซี”
ทาฮิร่าลากเสียงปฏิเสธทันควัน “เปล๊า..า ... แค่นอนพัก เธอก็รู้ว่าระยะหลังๆ มานี่ ฉันค่อนข้างออดแอด ...อ่อนแอ”
“ไม่ใช่ ตามไปช่วยแนนนี่หรอกเรอะ” บาบาร่าพูดดักคอ
ทาฮิร่าลุกพรวดขึ้นมาทันที “เธอใช่มั้ย ที่พยายามทำร้ายแนนนี่”
บาบาร่าส่งการ์ดให้ทาฮิร่า
“เอ้า! อ่านซะ”
ทาฮิร่าอ่านแล้วตกใจ แต่รีบปรับสีหน้าเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“แล้วไง!”
“แล้วไง...ช่างพูดออกมาได้ แนนนี่เป็นอสูร แล้วเธอก็กำลังปกป้องมัน”
“ถ้าแนนนี่เป็นอสูรแล้วทำไมถูกอสูรตามล่า”
“เพราะมันต้องการตบตาเรา”
ทาฮิร่าหาทางชิ่ง เพราะไม่อยากต่อความยาว ร่ายคาถาแล้วหายตัวไป
“ทาฮิร่า” บาบาร่าโกรธ

ครู่ต่อมาบาบาร่าในร่างบานเย็นเดินกลับเข้ามาในบ้านภวัต สีหน้าเหมือนประหลาดใจแว่บหนึ่ง เมื่อเห็นดารกากำลังนั่งอ่านหนังสือเรียน...บนโต๊ะข้างหน้ามีถ้วยแก้วใส่สละลอยแก้ววางอยู่
บาบาร่ากระแอมนิดๆ “อะ แฮ้ม”
ดารกาเงยหน้าละสายตาจากหนังสือ แล้วหันมามอง ยิ้มสดใสให้บาบาร่า
“น้องดามารอพี่ภวัตค่ะ...พี่ภวัตบอกว่าอีกประมาณ 15 นาทีจะถึงบ้านแล้ว”
“เชิญตามสบายค่ะ”
พูดจบบาบาร่าขยับตัวจะเดินออกไป ดารกาเรียกไว้
“ป้าบานเย็นคะ”
บาบาร่าหันกลับมา
“เห็นพี่เกล้าชมว่าป้า ทำกับข้าวอร่อยมาก”
บานเย็นบาบาร่ายิ้มนิดๆ แล้วเดินกลับเข้าไป
ดารกายังคงมองตาม แล้วหันหน้ากลับมา สีหน้าแววตาลึกซึ้งจับความรู้สึกไม่ออก

บาบาร่าเดินกลับเข้ามาในครัว แล้วหยิบการ์ดออกมาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อน บาบาร่าหลับตาว่าคาถา
“อัย ...ยะ...การ์โด...เซ็นโต”
การ์ดใบนั้นปลิวออกไปทางหน้าต่าง บาบาร่ามองตาม แล้วยิ้มเยาะด้วยความพอใจและสะใจ
การ์ดใบนั้นปลิวตาแรงลมของคาถา มาวางแหมะอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแนนนี่ โดยที่ชิกเก้นนอนหมอบอยู่ไม่ทันเห็น

ครู่ต่อมาบานเย็นบาบาร่าก็ยกถาดแก้วน้ำหวานมาวางให้ดารกา
“ขอบคุณค่ะ” ดารกาพนมมือไหว้อย่างนอบน้อมและสุภาพ
บาบาร่ายกชามสละลอยแก้วขึ้นมา “ป้าจะเอาไปแช่ตู้เย็น เดี๋ยวคุณภวัตกลับมาจะได้ทานชื่นใจ”
“ดีจัง!” ดารกายิ้มขอบคุณ
บาบาร่าเดินกลับเข้าไป พร้อมกับมีเสียงแตรรถดังขึ้น บาบาร่าเดินออกมาใหม่
“ไม่ทันแล้ว...คงต้องใส่น้ำแข็งเอา” บาบาร่าว่า
“ค่ะ” ดารการับคำ
บานเย็นเดินกลับเข้าไปอีกที ในขณะที่ดารกาลุกขึ้น แล้วเดินออกไปรับภวัต

ภวัตเปิดประตูรถลงมาพอดี ขณะที่ดารการีบเดินไปรับ
“มาคอยพี่นานหรือยัง”
“ไม่นานค่ะ”
ขณะที่ทั้งคู่เดินเข้าบ้าน...ภวัตหยุดเดินเหมือนเพิ่งนึกได้
“อ้อ! ลืมไป! คุณบุษเขาฝากมาขอโทษเรืองเมื่อตอนบ่าย แล้วก็มีของเล็กๆ น้อยมาให้” ภวัตว่า
“พี่บุษใจดีจังค่ะ” ดารกายิ้มสดใส
ภวัตพาดารกาเดินกลับไปที่รถ แล้วเปิดประตูหยิบถุงเล็กๆ ดูประณีตออกมาส่งให้ ดารการับมา
“ฝากบอกพี่บุษด้วยนะคะว่า น้องดาขอบพระคุณมาก”
ทั้งสองคุยกันมาขณะเดินเข้าบ้าน

เวลานั้น มีกลุ่มควันสีชมพูลอยออกมาจากตะเกียงแล้วพอควันจาง ก็กลายเป็นแนนนี่ที่ดูสดใสขึ้น
แนนนี่บิดตัวไปมา
“ไม่เจอหน้ามนุษย์ซัก 2-3 ชั่วโมงแล้วค่อยยังชั่ว...หิวจังต้องไปหาอะไรกินหน่อย!” แนนนี่เอ่ยขึ้นมา
“อย่าลืมบอกพี่พรให้ซื้อปลาทูแม่กลองให้ชิกเก้นด้วย เอาแบบคอหักน่ะ...เวิร์คดี” ชิกเก้นซึ่งตื่นเช่นกัน ฝากสั่งแบบจัดเต็ม
“น้ำพริกล่ะ”
“ขอน้ำพริกแมงดา...อย่าเผ็ดมาก...ให้น้าผาดแกตำนะ!”
“อื่อฮึ!”
แนนนี่รับฝากครบถ้วน กำลังจะเดินไปที่ประตู จังหวะนั้นการ์ดที่หัวเตียงก็ปลิวมาตกตรงหน้า แนนนี่ก้มลงหยิบขึ้นมาดู...เบิกตากว้างอย่างโกรธจัด
“นี่มันการ์ดของแนนที่ให้พี่ภวัต ! ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้...ชิกเก้น” แนนนี่ถามเสียงดัง
“ชิกเก้นไม่รู้เรื่อง” ชิกเก้นว่า
“ชิกเก้นอยู่ในห้องตลอดเวลา ต้องเห็นซิว่า การ์ดกลับมาได้ยังไง” แนนนี่ซักไซ้
“ก็ชิกเก้นหลับมั่ง...ตื่นมั่ง” ชิกเก้นสารภาพ
“พึ่งอะไรไม่ได้เลย ! แนนนี่ไปถามพี่ภวัตเองก็ได้”
พูดจบแนนนี่เปิดประตูเดินออกไป มือกำการ์ดแน่น
“อาละวาดอีกแล้ว เวรก๊ำ...เวรกรรม”

ภวัตกำลังติววิชาให้ดารกาอยู่ที่ห้องรับแขก
“วิชาพื้นฐานพวกนี้ บางทีน้องดาก็เบื่อเหมือนกันนะคะ...น้องดาอยากเรียน อะนาโตมี เร็วๆ เพราะรู้สึก ว่าใกล้ความเป็นหมอเข้าไปอีกหน่อย” ดารกาว่า
“เดี๋ยวปี 2 ก็ได้เรียนแล้ว”
“พี่ภวัตอย่าเบื่อนะคะ ถ้าหากน้องดามีอะไรไม่เข้าใจ แล้วมาถาม”
“พี่ยินดีและเต็มใจด้วยซ้ำ”
เสียงกระแอมของแนนดังขึ้น “อะ แฮ้ม”
ภวัตและดารกาหันไปมองพร้อมกัน เห็นแนนนี่ยืนหน้าหงิกงออยู่ ภวัตนิ่วหน้าขณะที่ดารกายิ้มหวานตามเดิม
“แนนนี่...มาให้พี่ภวัตติวเหมือนกันเหรอ”
แนนนี่กอดอก เหลือกตามองเพดาน เหมือนจะระงับอารมณ์ที่พุ่งพล่านสุดขีด
“ไม่จำเป็น แนนนี่ไม่อ้อล้อเหมือนพี่ดาหร้อก นิดก็พี่ภวัตคะ...หน่อยก็ พี่ภวัตขา...สงสัยเว่อร์”
ดารกาทำหน้าเสียใจ แล้วก็ตกใจ มองแนนนี่แล้วหันมามองภวัต
“มากไปแล้วแนนนี่”
ระหว่างนั้นบาบาร่าเดินมาแอบฟัง
“น้องดาขยัน เขาถึงได้เรียนดี ไม่เหมือนเราที่นอกจากไม่เรียนแล้วยังอิจฉาคอยตามแขวะพี่เขาอีก” ภวัตใส่แนนนี่อย่างเหลืออด
“พี่ภวัต...น้องดาขอร้องเถอะค่ะ” ดารกาขอร้องไม่ให้ภวัตดุแนนนี่ตามประสาพี่สาวแสนดี
แนนนี่ทำหน้าและเสียงล้อดารกา “น้องดาขอร้อง...ง”
ดารกากระพริบตาถี่ๆ เหมือนจะร้องไห้
“แนนนี่! ขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ ! พี่ภวัตนั่นแหละ ต้องขอโทษแนนนี่” แนนนี่ขึ้นเสียงสูง พลางชูการ์ดในมือขึ้น “แนนนี่อุตส่าห์
ทำการ์ดให้พี่ภวัตด้วยมือของแนนนี่เอง แต่พี่ภวัตกลับทิ้งมัน”
ภวัต อึ้งนิดๆ รู้สึกแปลกใจ “พี่ไม่ได้ทิ้ง”
“แล้วมันมาอยู่กับแนนนี่ได้ยังไง พี่ภวัตก็ตี 2 หน้าเหมือนยัยพี่ดานั่นแหละ แนนนี่เกลียดทั้ง 2 คนเลย”
พูดจบแนนนี่ก็ฉีกการ์ดเป็นชิ้นๆ เขวี้ยงทิ้ง แล้ววิ่งออกไป
ดารกาผวาจะตาม “แนนนี่”
“ไม่ต้องตามไป เด็กดื้อเกเรไม่ฟังเหตุผลอย่างนั้น ต้องปล่อยให้โดดเดี่ยวเสียบ้าง !” ภวัตทั้งโมโหทั้งฉุน
“แต่น้องดาสงสารแนนนี่”
“พี่รู้...แต่เราต้องดัดนิสัยเขา ไม่อย่างนั้นแนนนี่ก็จะไม่รู้สึกตัว”
ภวัตไม่รู้ว่าบาบาร่าแอบดูอยู่ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป ด้วยสีหน้ายิ้มนิดๆ อย่างพอใจ

แนนนี่เดินแกมวิ่งมาที่ประตูใหญ่ กำลังจะออกไปจากบ้านภวัต บาบาร่าปรากฏร่างขึ้นทางด้านหลัง เรียกไว้
“แนนนี่”
แนนนี่หันไปมอง “อาจารย์”
บาบาร่าอยู่ในชุดดูเป็นเลดี้เมืองผู้ดี แนนนี่โผเข้าหาพลางร้องไห้ นัยน์ตาบาบาร่าเป็นประกายแว่บหนึ่ง
“ใครทำให้เจ็บช้ำน้ำใจหรือศิษย์รักของครู”
แนนนี่เอาแต่สะอื้นพูดอะไรไม่ออก “แนนนี่....แนนนี่”
“ไปคุยกันในห้องแนนนี่ดีกว่า”
บาบาร่า และแนนนี่หายตัวไป โป่งกำลังเดินมา ชะงัก ไม่เห็นหน้าบาบาร่า เห็นแต่เพียงด้านหลัง
“สงสัยว่าจะเป็นอาจารย์ ของ’จารย์อีกที...อีกหน่อยหายตัวกันได้ทั้งโลกก็ดีรถจะได้ไม่ติด แถมไม่ต้องเปลืองเงินซื้อรถ... ป่งต้องพยายามทำให้ได้”
โป่งบอกตัวเองอย่างมุ่งมั่น และจริงจัง

ทั้งสองแม่มดปรากฏตัวขึ้นในห้องแนนนี่
“คุณยายบาบาร่า” ชิกเก้นอึ้ง ขณะร้องทัก
“สบายดีหรือชิกเก้น” บาบาร่าทักกลับ
“ก็สบายดีตามอัตภาพของแมวครับ คุณยายบา”
“ดูเหมือนทาฮิร่าจะไม่ค่อยสบาย...ไม่ไปดูแลนายของแกหน่อยเรอะ!” บาบาร่าหาเหตุให้ชิกเก้นออกไปจากห้อง
แนนนี่รู้สึกตกใจ “เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอก ... แต่ชิกเก้นควรจะไปอยู่เป็นเพื่อน” บาบาร่าสำทับ
“ไปซิ! ชิกเก้น เดี๋ยวแนนนี่จะตามไป” แนนนี่บอก
“อย่าหูเบานะแนนนี่” ชิกเก้นเตือนแนนนี่
บาบาร่าหันมาจ้องขู่ด้วยสายตาพิฆาต ชิกเก้นกระโดดแผล็วหายตัวไป บาบาร่าหันกลับมายิ้มเยื้อนอย่างผู้ใหญ่ใจดี
“ทาฮิร่ากับฉันเคยมีเรื่องไม่ถูกกัน ชิกเก้นก็เลยพลอยเขม่นฉันไปด้วย เอาละไหนเล่ามาซิ”
แนนนี่น้ำตาไหลออกมาอีก ด้วยความคับแค้นใจ

ด้านชิกเก้นกระโดดแผล็วลง แลนดิ้ง ผิดจังหวะมาอยู่บนตัวทาฮิร่าซึ่งนอนหลับอยู่ ทาฮิร่าสะดุ้งโหยง
“ว้าย!”
ชิกเก้นตกใจเช่นกัน “เมี้ยว!” แล้วจึงกระโดดลงมา “ซ้อรี่..ซ้อรี ขอโทษครับ คุณยาย”
ทาฮิร่าค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น “ไอ้ชิกเก้น ไอ้แมวซุ่มซ่าม”
“ชิกเก้นกะระยะผิดไปหน่อย ...ซ้อรี่ !”
“อัม....แคทกัม...” ทาฮิร่าพึมพำ
ชิกเก้นผินหน้ามาเมาท์มอยนายหญิง “ฟังเหมือนกรรมของแคทยังไงก็ไม่รู้”
“ครีสซึม ! เพี้ยง!”
ทาฮิร่าร่ายคาถาชี้ออกไป ชิกเก้นตัวแข็งทื่อ
“เป็นไง อยากซ้อรี่ดีนัก”
ทาฮิร่าอ้าปากหาวแล้วล้มตัวลงนอนต่อ
“คุณย้าย! ถอนคำสาป...เดี๋ยวจะไปขัดขวางคุณยายบาร์ไม่ทัน”
ชิกเก้นส่งเสียงบอก ทว่าทาฮิร่าหลับผล็อยอย่างสบาย

แนนนี่เล่าเรื่องที่บาบาร่ารู้อยู่แล้วให้บาบาร่าฟังจนจบเรื่อง
“พวกมนุษย์ก็เป็นแบบนี้แหละไว้ใจไม่ได้” บาบาร่าเว้นไปนิดหนึ่ง นัยน์ตาเจ้าเล่ห์ “แล้วคุณภวัตคนนั้นเขารู้หรือเปล่าว่าหนูเป็นอะไร”
“ตอนแรกเขารู้ว่าแนนนี่เป็นแม่มดค่ะ แต่....ที่จริงแล้วแนนนี่ไม่ใช่...แนนนี่ก็พยายามจะบอกความจริงกับเขา...”
“หนูเป็นอสูรใช่มั้ย!” บาบาร่าต่อประโยคให้
แนนนี่อ้ำอึ้ง
“บอกมาเถอะ...ครูไม่มีทางเป็นอันตรายกับเธอหรอก” บาบาร่าผู้แสนดีบอกเสียงอ่อนโยน
“แนนนี่...แนนนี่คิดว่าตัวเองเป็นอสูร...แต่คุณยายทาฮิร่ายืนยันว่าไม่ใช่”
“แล้วอะไรทำให้คิดอย่างนั้น”
“หลายอย่างค่ะ...แนนนี่ก็บอกไม่ถูก”
“ไม่เป็นไร...แต่ครูขอเตือนว่า อย่าบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด เพราะหนูจะมีอันตราย...มีแค่ 2 คน เท่านั้นที่ไว้ใจได้ คือ ทาฮิร่ากับครู”
แนนนี่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมา “ถึงจะเป็นอสูรจริง แต่แนนนี่ก็ไม่เคยคิดร้ายหรือคิดทำลายใครเลยนะคะ”
“มันยังไม่ถึงเวลาน่ะซิ!” บาบาร่าโพล่งขึ้น
“หมายความว่ายังไงคะ”
“เคยได้ยินเรื่องหมาป่ากลายร่างเป็นมนุษย์ เมื่อพระจันทร์เต็มดวงหรือเปล่า”
“เคยค่ะ”
“ฉันใดก็ฉันนั้น...เมื่อถึงวันเกิดครบรอบ 22 ปีของหนู หนูจะกลายเป็นอสูรโดยอัตโนมัติ และจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง จนไม่มีอะไรเหลือ” บาบาร่าพูดเสียงจริงจัง
“จริงหรือคะ” แนนนี่รู้สึกตกใจ
“จริงแท้แน่นอน ....นี่เหลืออีกกี่ปีล่ะ”
“แนนนี่อายุ 19 เหลืออีก 3 ปี...” สีหน้าแววตาแนนนี่ดูหวาดหวั่น “หนูจะทำยังไงดีคะ”
บาบาร่าส่ายหน้า “ครูบอกไม่ได้”
“ได้โปรดบอกหนูมาเถอะค่ะ...หนูจะได้พยายามหาทางแก้ไข”
“มัน...มันทรมานเกินไป แล้วครูก็รักเธอมากกว่าจะปล่อยให้...” บาบาร่าทำท่าว่าอัดอั้นตันใจเต็มประดา
“อะไรคะ...บอกมาเถอะค่ะ!” แนนนี่คาดคั้นเพราะอยากรู้วิธี
“เธอ...เธอต้อง...ไม่...ครูไปละ”
พูดจบร่างบาบาร่าก็เลือนหายไป
“อาจารย์คะ! อาจารย์บาบาร่า อย่าเพิ่งไปค่ะ”
แนนนี่ถอนหายใจยาว “แนนนี่จะต้องรู้ให้ได้”
เสียงบาบาร่าดังลอดเข้ามา
“เธอต้องฆ่าตัวตายในวันที่อายุครบ 22”
แนนนี่ได้ยินเต็มสองหู อยู่ในอาการตกตะลึง

“โห! อุบายร้ายกาจจัง!” ไทเกอร์พอรู้เรื่องจากนายหญิงก็ออกปากชม
บาบาร่าผุดสีหน้าแววตาหมายมั่น และเจ้าเล่ห์ออกมา
“นั่นเป็นหนทางสุดท้ายที่จะกำจัดอสูรโดยละม่อม เอ๊ย! โดยบาบาร่า!”
“แล้วทำไมไม่ให้ฆ่าตัวตายไปซะวันนี้พรุ่งนี้เลยล่ะ”
“การฆ่าตัวตายจะสำเร็จก็ต่อเมื่อฆ่าในวันเกิดครบรอบ 22 ปี เท่านั้น...ถ้าก่อนหรือหลังจะฟื้นขึ้นมาอีก! แต่ถ้าคนอื่นฆ่าก็ตายปกติ! ระหว่างนี้นังอสูรแนนนี่จะต้องไว้ใจฉันแต่เพียงผู้เดียว”
“เยี่ยม!” ไทเกอร์อวยนายหญิงอีกหนึ่งดอก

แนนนี่เดินกลับไปกลับมาด้วยสีหน้าสับสนแกมกังวล เสียงบาบาร่าลอยเข้าในความคิดคำนึง
“เมื่อถึงวันเกิดครบ 22 ปีของหนู หนูจะกลายเป็นอสูรโดยอัตโนมัติและจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างจนไม่เหลืออะไร”
และ “เธอต้องฆ่าตัวตายในวันที่อายุครบ 22!”
แนนนี่เดินมาทรุดตัวลงนั่ง ระหว่างนั้นคำพูดของปัทมนก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิดอีก
“การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาป ผิดศีลข้อแรกเลย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่หรือแม้กระทั่งฆ่าตัวเอง”
ภาพปัทมนเลือนหายไป แนนนี่พูดกับตัวเองอย่างสับสน
“แต่แนนนี่เป็นอสูรร้าย ถ้าหากไม่ทำลายชีวิตตัวเอง แนนนี่จะทำลายชีวิตคนอื่นอีกมากมายหลายชีวิต นั่นยิ่งไม่เป็นบาปหนักหนาสาหัสหรือคะ...แนนนี่จะทำยังไงดี”
แนนนี่นอนฟุบหน้ากับที่นอนอย่างกลัดกลุ้ม

ทางด้านบาบาร่าว่าคาถาเปลี่ยนเสื้อผ้า กลับเป็นบานเย็นตามเดิม แล้วเดินไปเปิดประตู บาบาร่านึกได้หันกลับมาใหม่
“เกือบลืม ! แกไปคอยสืบดูด้วยว่าทาฮิร่าหรือเจ้าชิกเก้นจะไปเมืองเวทมนตร์เมื่อไหร่ แล้วให้รีบมาบอกฉัน” บาบาร่าสั่งไทเกอร์
“ทำไม...จะตามเขาไปรึไง”
“เออ ! เพราะฉันดันมุสายัยทาฮิร่า ว่าฉันไปรายงานท่านผู้นำเรื่องที่นางช่วยอสูรน้อยไว้”
“แล้วรายงานจริงหรือเปล่า”
“ก็บอกแล้วว่ามุสา เพราฉะนั้นตอนนี้จะให้ทาฮิร่ากับแมวของมันไปที่นั่นไม่ได้เด็ดขาด”
“ทราบแล้วเปลี่ยน!” เจ้าแมวลายเสือรับคำ
บาบาร่าเดินออกไป แล้วปิดประตู ไทเกอร์กระโดดแผล็ว หายออกไปทางหน้าต่าง

ในเวลาเดียวกัน ดารกาไหว้ขอบคุณภวัตสีหน้ายิ้มแย้มปลื้มปิติ
“ขอบคุณมากค่ะ พี่ภวัต น้องดาเข้าใจแจ่มแจ้งเลยค่ะ”
“มีแค่นี้หรือ” ภวัตถามอย่างเอ็นดู
“ค่ะ”
จังหวะนั้นรัดเกล้าเดินเข้ามาพอดี ดารกาหันไปเห็น
“พี่เกล้ามาแล้ว ... สวัสดีค่ะพี่เกล้า”
“สวัสดีจ้ะ...มาให้พี่ภวัตติวให้เหรอจ้ะ” รัดเกล้ารู้เรื่องทันที
“ค่ะ พี่ภวัตติวเก่ง น้องดาจะขอเลี้ยงข้าวเย็นนี้ เลี้ยงทุกคนเลย คุณลุง พี่เกล้า” ดารกายิ้มแย้มเสียงระรื่น
“หลายตังค์นะ” ภวัตพูดล้อด้วยความเอ็นดู
“น้องดาเลี้ยงที่บ้านค่ะ ไม่ใช่ที่ร้าน”
ทั้งสามคนหัวเราะกัน
“น้องดาจะกลับไปทำกับข้าวก่อนนะคะ เดี๋ยวไม่ทัน”
“เกล้าไปช่วยน้องซิ” ภวัตบอก
“อุ๊บ ! ไม่ต้องค่ะ” ดารการีบบอก
“ดีเหมือนกัน! ขี้เกียจอยู่เลย แต่พี่เกล้าขอเป็นแค่ลูกมือนะ”
“โอเค ค่ะ”
“ปะ” รัดเกล้าชวนดารกาเดินออกไป
“อย่าลืมล้างมือกันก่อนนะ” ภวัตตะโกนไล่หลัง สองสาว
รัดเกล้าโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธพลางหัวเราะคิกคัก โดยไม่หันหลังมา ภวัตมองตามอย่างเอ็นดู

ธานีเพิ่งกลับจากที่ทำงาน และกำลังยืนดื่มน้ำอยู่ที่หน้าต่าง ขณะที่ทั้งสองสาวเดินเข้ามา
“อ้าว พี่ธานีกลับมาแล้ว” ดารกายิ้มทัก
ธานีหันกลับมาหาเรื่องรัดเกล้าทันควัน
“ยัยเกล้า พาน้องออกไปเถลไถลที่ไหนมา”
ดารกาหัวเราะขำ หันมามองเกล้าซึ่งมองตาเขียวใส่ธานีอยู่
“หน็อยแน่ะ ไอ้เราอุตส่าห์มาช่วยน้องดาทำกับข้าวให้กิน กลับหาว่าเถลไถล เดี๋ยวถ้าเกล้าทำอะไร จะไม่ให้พี่ธานีกินเลย”
“ยังกับอยากกินนักนี่ เหม็นขี้มือ”
“อีตาธานี”
“จะทำไม ยัยรัดจุก”
รัดเกล้าร้องกรี๊ด ธานีรีบเอามืออุดหู
“โอ๊ย ! หนวกหู”
“ทะเลาะกันไปก่อนนะคะ น้องดาจะเข้าครัวแล้ว” ดารกาว่ายิ้มๆ
“พี่ไปด้วย เหม็นขี้หน้าอีตาธานี” รัดเกล้าเดินตามดารกาไป
“เคยดมแล้วเรอะไง”
“บ้า ! อีตาธานีบ้า” รัดเกล้าหันมาด่าอีก
ดารการีบลากตัวไป “ไปกันเถอะค่ะ”

ธานีหัวเราะไล่หลังทั้งสองสาว

อ่านต่อหน้า 2





ร่วมพูดคุย ถก เถียง แสดงความคิดเห็นเรื่องละครอย่างสร้างสรรค์  หรือจะด่าทอ ต่อว่า...ทีมงานได้ที่ แฟนเพจละครออนไลน์ facebook.com/ละครออนไลน์เอเอสทีวี ได้แล้วจร้า...

 อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว  ตอนที่ 15 (ต่อ) 

ธานีเดินขึ้นมาชั้นบน แล้วเคาะประตูห้องแนนนี่

“แนนนี่!…นี่พี่เอง”
ธานีรอครู่หนึ่งประตูเปิดออก เห็นแนนนี่อยู่ในสภาพซึมเซา ธานีหุบยิ้มทันที
“อ้าว! เป็นอะไรไปล่ะ ไม่สบายหรือเปล่า”
แนนนี่ส่ายหน้า
“แล้วทำไมทำหน้าเหี่ยวยังงั้น”
“แนนนี่กลุ้มใจ”
“เรื่อง...”
“พี่ธานีไม่เข้าใจหรอก”
“ก็ถ้าไม่เล่า พี่จะเข้าใจได้ยังไง”
“มันเป็นเรื่องที่แนนนี่จะต้องปกป้องโลก” แนนนี่พูดสีหน้ามุ่งมั่นและน้ำเสียงจริงจัง
ธานีขำเอานิ้วจิ้มหน้าผากน้องสาว
“ก่อนที่จะปกป้องโลก ไปช่วยพี่เกล้ากับพี่ดาเขาทำกับข้าวก่อน !”
แนนนี่ทำตาขวางเมื่อได้ยินชื่อานีเอ่ยชื่อ “พี่ดา”
“พอท้องอิ่มแล้วค่อยวางแผนกัน ไป!”
“ไม่” แนนนี่เสียงแข็ง
ธานีกอดคอน้องสาวดึงไป “เย็นนี้เราจะกินเลี้ยงกับข้าวฝีมือกันเอง ใครท้องเสียก็ส่งหมอภวัตเลย !”
ได้ยินชื่อภวัตแนนนี่เนื้อเต้นทันที “พี่ภวัตมาด้วยหรือคะ!”
“แน่น้อน”
คราวนี้แนนนี่เดินไปแต่โดยดี

ในครัวเวลานั้น ผักต่างๆ เนื้อสัตว์ ถูกล้างทำความสะอาดเรียบร้อยวางอย่างเป็นระเบียบ โดยมีดารกาและรัดเกล้า แบ่งหน้าที่กันทำ ระหว่างนั้นธานีเดินกอดคอแนนนี่เข้ามา
“พี่พาลูกมือมาให้อีกคนนึงแล้ว!”
สองสาวมองมาแล้วยิ้มให้
“ยินดีต้อนรับจ้ะ พี่กำลังต้องการคนช่วยหั่นผักสลัดพอดี” ดารกายิ้มอ่อนโยนตามสไตล์
“แนนนี่ทำไม่เป็น กินเป็นอย่างเดียว”
“หั่นผักไม่ยากหรอกแนนนี่” รัดเกล้าเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวน้องดาปรุงน้ำสลัดเสร็จแล้ว จะหั่นเอง”
รัดเกล้าไม่พอใจ หันมามองแนนนี่เหมือนจะตำหนิเล็กๆ
“พี่ธานีพาแนนนี่ออกไปเถอะค่ะ พี่ดาจะทำสลัดกุ้งทอดให้แนนนี่นะจ๊ะ” ดารกาว่า
“ไม่ต้องค่ะ กลัวยาพิษ”
พูดจบแนนนี่ก็เดินตัวปลิวออกไป
“แนนนี่ ! น้องดาอย่าไปถือน้องเลยนะ” ธานีว่า
“ค่ะ น้องดาชินแล้ว” สีหน้าดารกาดูเศร้าเล็กๆ
ธานีเดินตามแนนนี่ออกไป
“วันนี้แนนนี่ไม่น่ารักเลย” รัดเกล้าบ่นออกมา
ดารกาก้มหน้าก้มตาทำน้ำสลัด ทำเป็นไม่อยากได้ยิน
“น้องดา พี่ถามจริงๆ ว่า น้องดาเคยทำอะไรให้แนนนี่โกรธหรือเปล่า” รัดเกล้าถามด้วยความสงสัย
“น้องดาไม่ทราบค่ะ น้องดาก็อยู่ของน้องดาอย่างนี้ พี่เกล้าก็รู้จักน้องดามานาน” ดารกาพูดเสียงอ่อนโยน
เกล้ารัดพยักหน้าช้าๆอย่างเห็นด้วย “นั่นซีนะ...หรือว่าแนนนี่จะอิจฉาที่น้องดาเรียนเก่งกว่า”
“คงไม่ใช่หรอกค่ะ...แนนนี่น่ะหัวดีจะตาย เสียแต่ขี้เกียจเท่านั้น” ดารกาว่า
“แปลกจริงๆ พี่ก็เห็นน้องดาแสนจะรักแล้วก็เอาใจแนนนี่” รัดเกล้าบ่นต่อ เพราะยังแปลกใจไม่หาย
ดารกาก้มหน้าก้มตา ทำงานไปเหมือนไม่อยากนินทาน้องสาว

ธานีเดินตามแนนนี่มาที่ห้องรับแขก
“เหลวไหลใหญ่แล้วนะ แนนนี่”
“ก็แนนนี่บอกแล้วว่า แนนนี่ไม่อยากลงมา พี่ธานีบังคับให้ลงมา”
จังหวะนั้น ภวัตเดินเข้ามาพอดี
“หมอมาพอดี...ช่วยดูหน่อยซิว่าคนไข้เกเรอย่างนี้จะรักษายังไง”
ภวัตมองจ้องหน้าแนนนี่ แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมา แนนนี่หน้างอหนักเข้าไปอีก
“แนนนี่เกลียดพี่ธานีแล้ว” แนนนี่เดินออกไปข้างนอก
ธานีทิ้งตัวลงนั่ง อย่างเซ็งๆ “เหนื่อยว่ะ แกช่วยตามออกไปดูหน่อย”
ภวัตเดินตามแนนนี่ออกไป

ดอกไม้สวยๆ ในสวน ไม่ได้ทำให้อารมณ์แนนนี่ดีขึ้นเลย เพราะแนนนี่ยังเดินกระฟัดกระเฟียดหน้าหงิกงอเข้ามายืนอยู่ที่มุมหนึ่ง
ภวัตตามเข้ามาแนนนี่หันมาเห็นจ้องหน้าจะเอาเรื่อง
“ตามมาทำไม ! ทำไมไม่ไปช่วยคุณดารกาคนดีทำกับข้าวล่ะ”
“เป็นอะไรน่ะ แนนนี่ ....” ภวัตมองอย่างตำหนิ
“เป็นอสูร!” แนนนี่ประชดส่ง
ภวัตถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างระอา
“รำคาญก็ไปซิ ! ไม่ได้บอกให้ตามมาซักหน่อย”
“นั่งคุยกันดีๆ หน่อยได้มั้ย”
แนนนี่ยังยืนหน้างออยู่อย่างนั้น
ภวัตคว้าข้อมือ แล้วดึงให้แนนนี่เดินมานั่งที่ม้านั่งในสวน ภวัตลงนั่งข้างๆ
“ทำไมแนนนี่ถึงคอยคิดแต่ว่าตัวเองเป็นอสูร แล้วก็อาละวาดแบบอสูร!”
แนนนี่นิ่ง
“ตัวอย่างดีๆ ก็มีให้เห็น” ภวัตบอก
“อย่าบอกนะว่า ตัวอย่างคือดารกา” แนนนี่ประชดประชัน
“พี่หมายถึงคุณอาปัทมน...คุณแม่ของแนนนี่นั่นแหละ!...ท่านแสนจะสุขุม อ่อนโยน อ่อนหวาน ใครอยู่ใกล้ก็มีแต่สบายใจ”
“แนนนี่รู้...แต่แนนนี่เป็นอสูร” แนนนี่ตะแบงใส่
“เราจะไม่พูดถึงอสูรหรือแม่มด! เพราะแนนนี่อยู่ในโลกมนุษย์...พี่ถือว่าแนนนี่เป็นมนุษย์”
แนนนี่หันขวับมาตั้งใจจะพูดแย้งอีก “แนนนี่...”
แต่แล้วแนนนี่ต้องชะงัก เพราะเป็นจังหวะที่ภวัตโน้มหน้ามาจะหยิบใบไม้ออกจากไหล่แนนนี่
ใบหน้าของคนทั้ง 2 อยู่ใกล้กันมาก
ภวัตมองหน้าแนนนี่เหมือนตกอยู่ในมนตร์สะกด ใบหน้าแนนนี่เองก็มองภวัตเหมือนตกอยู่ในมนตร์สะกดเช่นกัน
ทั้งคู่อยู่ในอิริยาบถนั้นครู่หนึ่ง จนภวัตรู้สึกตัวแล้วลุกขึ้น แนนนี่ขยับนั่งมองตรง ทั้งสองต่างยังพูดอะไรไม่ออก

ผักสลัดถูกจัดอยู่ในชามแก้วอย่างเรียบร้อยและสวยงาม รวมทั้งน้ำสลัด
รัดเกล้าก้มดม “อึ้ม ..ม....หอมจัง”
“พี่เกล้าจะทานก่อนมั้ยคะ เกล้าจะทอดกุ้งให้” ดารกาว่า
“ยังจ้ะ เอาไว้กินพร้อมกันดีกว่า”
จังหวะนั้นธานีเดินยิ้มเข้ามาเอ่ยขึ้น
“พี่เดินตามกลิ่นมานะเนี่ย”
“แนนนี่ล่ะคะ”
ธานีหยิบอาหารอย่างหนึ่งเข้าปาก “ภวัตกำลังอบรมอยู่”
ดารกาชะงัก สีหน้าเศร้า ธานีและรัดเกล้าสบตากัน รัดเกล้าถลึงตาใส่ธานีว่าไม่ควรพูด ธานีทำหน้าเหวอนึกขึ้นได้

ภวัตซึ่งยังดูเก้อๆ อยู่ขณะ หันมาทางแนนนี่ “พี่”
แนนนี่ลุกขึ้น แล้วพูดออกมาพร้อมกันพอดี “แนนนี่”
ทั้ง สองทำหน้าเก้อๆ เขินๆ อยู่อย่างนั้น
“แนนนี่พูดก่อน”
“พี่ภวัตเป็นพี่ พี่ภวัตพูดก่อน” แนนนี่บอก
“พี่ลืมไปแล้ว”
“แนนนี่จำได้ว่าเราทะเลาะกัน”
ระหว่างนั้นพรเดินเข้ามา
“มาอยู่ที่นี่เอง คุณธานีให้มาตามค่ะ คุณปัทโทร.มาว่ากำลังจะถึงบ้านแล้ว เดี๋ยวได้ทานข้าวพร้อมๆ กัน”
“ไป...แนนนี่” ภวัตชวน
แนนนี่เดินไป ตามด้วยภวัตและพร

ตอนค่ำวันนั้นทุกคนรวมตัวทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้า อย่างเอร็ดอร่อยโดยมีพรคอยเสิร์ฟ
“เสียดายนะคะ ที่คุณอิงไม่อยู่” ปัทมนเอ่ยขึ้น
“อ๋อ...ไม่เสียดายเลยครับ ผัดเปรี้ยวหวานนี่อร่อยจัง รสกลมกล่อมกำลังดีเลย”
“ขอบคุณค่ะ” ดารกายิ้มหน้าบาน
“สลัดกุ้งกรอบก็สุดยอด ขอซูฮกน้องดา” รัดเกล้าออกมาปากชม
“แหม...พี่เกล้าก็ช่วยน้องดาทำ” ดารกาว่า

ขณะที่ทุกคนพากันสรรเสริญดารกาอยู่ แนนนี่กลับทำหน้าหงิก
ธานี “แกงจืดลูกรอก ก็หาทานยากเหมือนกันนะครับ แต่น้องดาเราเหมาหมด” ธานีอวยน้องสาว
“พี่ภวัตล่ะคะ ชอบทานอะไร” ดารกาถาม
“ชอบทุกอย่างเลยค่ะ ... อร่อยมาก” ภวัตยิ้มให้
จู่ๆ แนนนี่วางช้อนส้อม ทำท่าผะอืดผะอมจริงๆ
“อ้าว ! แนนนี่เป็นอะไรล่ะลูก”
“ไม่ทราบว่าแนนนี่ทานอะไรเข้าไป รู้สึกว่าจะอ้วกน่ะค่ะ”
“จะอ้วกก็ลุกไปเร้ว ! แม่ไปด้วย” ปัทมนบอก
“ไม่ต้องค่ะ แนนนี่ไปคนเดียวได้”
แนนนี่ลุกเดินแกมวิ่งไป ทุกคนมองตาม
“น้องดาไปดูแนนนี่ดีกว่า” ดารกาผู้แสนดีอาสา
“อย่าเลย! เดี๋ยวจะไปกันใหญ่” ภวัตห้ามไว้
“พี่ไปดูเอง” ธานีเดินออกไป

แนนนี่อยู่ในห้องน้ำ กำลังอาเจียนออกมา ขณะที่ด้านนอกธานีเดินมาเคาะประตูเรียกอย่างเป็นห่วง
“แนนนี่ ! เป็นยังไงบ้าง”
แนนนี่อ้วกออกมาอีก
“แนนนี่ เปิดประตูให้พี่เข้าไปดูหน่อย”
แนนนี่บ้วนปาก ขย้อนออกมาอีกที แล้วอ้วกเอาเส้นด้ายกลุ่มหนึ่งออกมา
“พี่ดา! พี่ดาต้องแกล้งฉันแน่ๆ”

แนนนี่เดินฉับๆ มาที่โต๊ะอาหาร ติดตามด้วยธานี แนนนี่ขว้างกลุ่มด้ายลงตรงหน้าดารกาทันที ดารกาทำหน้าตกใจ
“พี่ดาเอานี่ให้แนนนี่กินใช่มั้ย”
“พี่ไม่รู้เรื่อง...นี่มันด้ายนี่...แนนนี่ไปเอามาจากไหน”
“ก็จากไอ้ผัดเปรี้ยวหวานแสนอร่อยของทุกคนไง”
“พี่ดาจะใส่เข้าไปได้ยังไง”
ปัทมนตกใจ พยายามไกล่เกลี่ย
“แนนนี่ ใจเย็นๆ ก่อนลูก ถ้าพี่ดาใส่ด้ายในผัดเปรี้ยวหวาน ทำไมไม่มีใครกินเข้าไปล่ะลูก”
“ลุงกินมากที่สุดเลย ของเขาอร่อยจริงๆ” จักรวาลว่ายิ้มๆ
“แนนนี่เข้าใจผิดมั้ง” รัดเกล้าบอก
“อ้อ! นี่ทุกคนหาว่าแนนนี่ใส่ร้ายพี่ดา หาว่าแนนนี่โกหกใช่มั้ยคะ”
“เธอก็รู้อยู่แก่ใจ” ภวัตว่า
“พี่ดา” แนนี่อ้อมมาดึงดาให้ลุกขึ้น “หยุดเสแสร้งได้แล้ว”
ดารกาน้ำตาคลอ “แนนนี่เข้าใจผิด พี่ดาไม่ได้เสแสร้ง”
“พี่ดานั่นแหละเสแสร้งตัวแม่” แนนนี่จับตัวดารกาเขย่า “เสแสร้งๆๆๆๆๆ”
“โอ๊ย! พี่ดากลัวแล้ว พี่ดากลัว” ดารกาหน้าซีดตัวสั่น
ปัทมนดุแนนนี่ “หยุดเดี๋ยวนี้นะแนนนี่”
ภวัตลุกขึ้นดึงดารกามาโอบไว้
“คุณแม่อย่าดุแนนนี่ค่ะ แนนนี่ยิ่งเข้าใจน้องดาผิด” ดารการีบออกตัว
แนนนี่กรี๊ดลั่น “โอ๊ย! เกิดมาไม่เคยเห็นใครเสแสร้งเท่าพี่ดาเล้ย”
“แม่บอกให้หยุด” ปัทมนเสียงเขียว
แนนนี่เสียใจ ร้องไห้พร้อมกับฟาดงวงฟาดงาออกมา
“คุณแม่ดุแนนนี่! คุณแม่เกลียดแนนนี่”
แนนนี่วิ่งร้องไห้ขึ้นข้างบน
“แนนนี่ คุณแม่ขา แนนนี่คงไม่ได้ตั้งใจนะคะ” ดารการีบขอโทษขอโพยแทนตามเคย
ปัทมนน้ำตาคลอ “ต้องขอโทษทุกคนด้วย ธานี น้องดา ดูแลแขกแทนแม่ด้วยนะ”
ปัทมนเดินออกไป จักรวาลเรียกไว้
“คุณปัทครับ”
“คุณแม่ไปสวดมนต์น่ะครับ”
ดารกาไหว้จักรวาล รัดเกล้า และภวัต
“น้องดาต้องขอโทษคุณลุง พี่ภวัต แล้วก็พี่เกล้าด้วยนะคะ ที่เกิดเหตุไม่คาดฝันแบบนี้ น้องดาไม่ควรเลย”
“น้องดาทำดีที่สุดแล้ว อาหารอร่อย ทุกอย่างดีหมด เสียที่คนๆ เดียวเท่านั้น” ภวัตหมายถึงแนนนี่นั่นเอง
“น้องดาคงเครียดมาก พี่ภวัตพาน้องดาไปนั่งรถให้สบายใจก่อนดีไหมคะ” รัดเกล้าบอกพี่ชาย
“ขอบคุณค่ะ แต่น้องดาต้องไปปรับความเข้าใจกับแนนนี่”
“อย่าเพิ่ง” ภวัตกับธานีพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“แนนนี่กำลังโกรธ ไปปรับความเข้าใจตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์” ภวัตรู้จักแนนนี่เป็นอย่างดี
“พี่ว่าน้องดาไปอยู่กับคุณแม่ดีกว่า” ธานีเสริม
“ค่ะ” ดารการับคำอย่างว่าง่ายแล้วเดินไป
เกล้ามองตาม “น่าสงสารน้องดานะคะ”
“พ่อว่าเรากลับก่อนดีกว่ามั้ง”
“คุณพ่อกับพี่ภวัตกลับก่อนเถอะค่ะ เกล้าจะช่วยเก็บโต๊ะ”
“โฮ้ย ไม่ต้อง เดี๋ยวน้าผาดกับพี่พรเค้าจัดการเอง” ธานีบอก
“งั้นก็กลับ ขอบใจนะ ธานี” จักรวาลว่า
“ครับ! ผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ”
ธานีเดินออกไปส่งทั้ง 3 คน

“ยายจ๋า ยายอยู่ไหน แนนนี่อยากพบยาย อยากกอดยาย ยายมาหาแนนนี่หน่อยซิจ๊ะ”
แนนนี่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในห้อง

เสียงนั้นดังแว่วมา จนทาฮิร่าสะดุ้งตกใจตื่น
“แนนนี่เรียกยายหรือ”ทาฮิร่าหันไปทางชิกเก้น “...อ้าว! ไอ้ชิกเก้น”
ชิกเก้นยังยืนตัวแข็งกลอกตาไปมา
ทาฮิร่าว่าคาถา “โอม...แคทโต...ฟรีโอ”
ชิกเก้นเป็นอิสระ
“คุณย้าย ! ทำไมทำกับชิกเก้นยังงี้”
“อย่าเพิ่งพูดมาก ! ฉันจะไปหาแนนนี่”
ทาฮิร่าหายไป ชิกเก้นกระโดดตาม
พริบตานั้นทาฮิร่าปรากฏตัวขึ้นในห้องแนนนี่ ตามด้วยชิกเก้น
“แนนนี่ ... เป็นอะไรหรือลูก”
แนนนี่ลุกขึ้นโผไปกอดยาย “ยายจ๋า แนนนี่ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ยายพาแนนนี่ไปอยู่ที่อื่นเถอะนะจ๊ะ”
“ทำไมล่ะลูก ...ไหนเล่าให้ยายฟังซิว่า มันเรื่องอะไรกัน”
แนนนี่สะอึกสะอื้นเหมือนใจจะขาด

ดารกายืนนิ่งฟังที่หน้าห้องด้วยใบหน้ายิ้มนิดๆ จากนั้นก็เดินไปที่ห้องตัวเอง
พอเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู เดินมาทรุดตัวลงนั่ง นิ่งครู่หนึ่ง แล้วเบือนหน้าไปที่โต๊ะหัวเตียง เผยให้เห็นกลุ่มด้ายบริเวณนั้น ดารกาหยิบด้ายกลุ่มนั้นมาถือไว้ สีหน้าแววตาดูเยือกเย็น และน่ากลัว

ส่วนในห้องแนนนี่ ทาฮิร่าลูบผมหลานสาวอย่างเมตตา
“ถ้ายายพูดแล้วแนนนี่จะฟังยายหรือเปล่า”
“ฟังซิคะ...ถ้าแนนนี่ไม่ฟังยาย แล้วจะฟังใคร”
“ฟังก็ต้องฟังให้จบ! ห้ามโต้แย้งหรือขัดเวลายายพูด” ทาฮิร่าเอ็ด
แนนนี่ทำจมูกย่น “งั้นแนนนี่ก็พอจะรู้แล้วว่ายายไม่เข้าข้างแนนนี่”
“ไม่ใช่เรื่องเข้าข้างหรือไม่เข้าข้าง แต่ยายพูดอย่างเป็นกลางที่สุด” ทาฮิร่าว่า
ชิกเบือนหน้ามาป้องปากเมาท์นายหญิง “นางก็มีพาร์ทที่เป็นสาระเหมือนกัน”
“ว่าไง จะฟังหรือไม่ฟัง”
“ฟังค่ะ”
“ข้อแรก .. คุณแม่ปัทมนรักแนนนี่มาก และรักไม่น้อยไปกว่าน้องดา”
แนนนี่ปากยื่นไปมา

“นี่คุณแม่โกรธ ก็เพราะแนนนี่ไม่ยอมฟังท่าน ยายเองก็คิดเหมือนคุณแม่ว่าน้องดาไม่ได้แกล้งหนู” ทาฮิร่าว่า
“แล้วด้ายนั่นมาจากไหนล่ะคะ” แนนนี่คาใจไม่หาย
“ยายก็ไม่รู้ มันอาจเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะถ้าน้องดาใส่ด้ายนั่นเข้าไปในกับข้าว ทำไมไม่มีใครเห็น หรือว่าแนนนี่เห็น”
แนนนี่นิ่งอึ้ง
“ว่าไง...แนนนี่เห็นหรือเปล่า”
แนนนี่ส่ายหน้าจ๋อยๆ
“นั่นไง”
“แล้วด้ายนั่นมาจากไหนล่ะจ๊ะยาย”
ทาฮร่านิ่งคิด “อาจจะเป็นอสูร เพราะพวกนี้ทำได้สารพัด หรือไม่ก็บาบาร่า!”
แนนนี่นิ่งไป ท่าทางมีพิรุธเล็กน้อย
“ทำไมนิ่งไปล่ะ”
แนนนี่ถอนใจเฮือกใหญ่
“ถอนใจอีกแล้ว”
“แนนนี่เบื่อตัวเอง ... ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่”
“เป็นอะไรก็ได้ ขอแต่ให้เป็นคนดีละกัน” ชิกเก้นพูดแทรกขึ้น
แนนนี่ถอนใจอีก
“แนนนี่จะยอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตเพื่อให้ได้พบพ่อกับแม่ที่แท้จริงแม้แต่เพียงครั้งเดียวก็ยังดี แนนนี่อยากจะถามว่าตกลงแนนนี่เป็นใคร แล้วแนนนี่ทำผิดอะไรถึงได้ทอดทิ้งแนนนี่”
ชิกเก้นอินจัด ถึงขนาดน้ำตาหยดแหมะ
“ไม่เคยเศร้าอย่างนี้มาก่อนเลย”
ทาฮิร่าดึงแนนนี่มากอดไว้อย่างแสนสงสาร
“โถ...แนนนี่ ยายบอกแล้วไง หนูก็เป็นหลานยายทาฮิร่า แล้วก็ลูกสาวของคุณแม่ปัทมนไง”
แนนนี่ถอนใจอีก
“อย่าถอนใจอีกได้ไหม ยายขอร้อง...เป็นเด็กเป็นเล็ก”
แนนนี่นิ่งไป
“ถ้าสบายใจแล้ว ก็ควรไปกราบขอโทษคุณแม่ปัทมน”
“แนนนี่ทำผิด...จะสบายใจหรือไม่สบายใจก็ตาม แนนนี่ควรไปขอโทษคุณแม่เดี๋ยวนี้” แนนนี่ตัดสินใจได้
“แนนนี่คิดถูกแล้ว ถึงคุณแม่ปัทมนจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของหลาน แต่ท่านก็เลี้ยงหลานมา ให้ความรักและความเมตตาเหมือนเป็นลูกแท้ๆของท่าน”
แนนนี่เดินไปที่ประตู เปิดออกไป ทาฮิร่ามองตามด้วยความเวทนา

ครู่ต่อมาแนนนี่เดินมาที่หน้าห้องปัท เอื้อมมือจะเคาะประตู แนนนี่ชะงักฉุกคิด แล้วว่าคาถา
“อัม...ฟลอรา...จัสมีนา”
มีพวงมาลัยดอกมะลิปรากฏในมือของแนนนี่ จากนั้นแนนนี่ยกมือขึ้นเคาะประตู
“คุณแม่ขา...คุณแม่...ให้แนนนี่เข้าไปได้มั้ยคะ”
มีเสียงลูกบิดดัง และประตูเปิดออก แนนนี่เดินเข้าไปในห้อง

ขณะที่ปัทมนซึ่งเปิดประตูให้ทรุดตัวลงนั่งบนเตียง แนนนี่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วก้มลงกราบแทบเท้า แล้วส่งพวงมาลัยให้ปัท
“แนนนี่กราบขอโทษค่ะ ที่ทำให้คุณแม่ไม่สบายใจ”
ปัทมนวางมือบนศรีษะแนนนี่อย่างรักใคร่ แนนนี่น้ำตาคลอ
“คุณแม่พูดอะไรบ้างซิคะ จะดุจะว่าอะไรแนนนี่ก็ได้”
“แม่รักแนนนี่”
แนนนี่ร้องไห้โฮ โผเข้าไปกอดปัทมน
“คุณแม่ขา...แนนนี่ก็รักคุณแม่ รักมากที่สุดในโลกเลย”
“แม่จะไม่ขอร้องให้แนนนี่รักหรือญาติดีกับพี่ดา แต่แม่อยากให้แนนนี่ใช้เหตุผลก่อนที่โกรธพี่เขา แนนนี่พอจะทำให้แม่ได้ไหมลูก” ปัทมนพร่ำสอน
“แนนนี่ก็จะไม่โกหกคุณแม่เหมือนกัน ว่าแนนนี่จะรักใคร่กลมเกลียวกับพี่ดา เพราะแนนนี่คงทำไม่ได้ แต่แนนนี่สัญญาว่า ต่อไปแนนนี่จะพยายามอดทน อดกลั้นและใช้เหตุผลก่อนที่จะทะเลาะกับพี่ดา ถ้าห้ามใจไม่ไหวจริงๆ แนนนี่จะหนีไปให้ไกลๆ จะได้ไม่ต้องปะทะกันให้คุณแม่กลุ้มใจ” แนนนี่ให้คำมั่น
ปัทมนยิ้มอ่อนโยนพลางว่า “แค่แนนนี่พยายาม แม่ก็ดีใจแล้วลูก”
สองแม่ลูกกอดกัน สีหน้าแววตาผ่อนคลาย

ค่ำคืนนั้นดวงจันทร์ส่องแสงกระจ่างฟ้า บ้านปัทมนตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึกทุกคนในบ้านหลับสนิท ยกเว้นบางคนในตะเกียงแก้ว
แนนนี่พลิกตัวกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ในที่สุดแนนนี่ผุดลุกขึ้น เดินกลับไปกลับมา แล้วมานั่งลง แต่แล้วแนนนี่ผุดลุกผุดนั่ง แล้วถอนใจเฮือกๆ ตะเกียงแก้วเริ่มหงุดหงิด
“โอ๊ย! เป็นอะไรน่ะแนนนี่ เดี๋ยวลุกเดี๋ยวนั่งเดี๋ยวยืน เดี๋ยวเดินถอนใจเฮือกๆ จนฉันนอนไม่หลับเลย” ตะเกียงแก้วโวย
“ก็แนนนี่นอนไม่หลับ”
“ตัวเองนอนไม่หลับแล้วมาทำให้คนอื่นนอนไม่หลับไปด้วย! น่าเบื่อ!”
“งั้นแนนนี่ออกไปข้างนอกก็ได้ ไม่เห็นจะง้อ!”
แนนนี่กลายเป็นควันลอยออกไป

พอแนนนี่ลอยออกมาพ้นตะเกียงแก้ว แล้วเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียง ชิกเก้นซึ่งนอนหลับอยู่ปรือตาขึ้นมองแว่บหนึ่ง แล้วหลับต่อ
แนนนี่พลิกตัวนอนหงายหลังนิ่งๆ ครู่หนึ่ง แล้วเบือนหน้ามาทางชิกเก้น
“ชิกเก้น”
ไม่มีการตอบรับ ชิกเก้นยังหลับต่อ
“ชิกเก้น” แนนนี่เสียงดังขึ้น
ชิกเก้นหงุดหงิด
“โอ๊ย จะเรียกอะไรกันนักกันหนานะ เวรก๊ำ...เวรกรรม!”
“ก็แนนนี่นอนไม่หลับนี่”
“มันเรื่องของแนนนี่! ชิกเก้นจะนอน” ชิกเก้นไม่สนทำท่าจะนอนต่อ
“ชิกเก้น” แนนนี่โมโหที่ชิกเก้นไม่ใส่ใจ
ชิกเก้นลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด “นี่! ที่แนนนี่นอนไม่หลับก็เพราะยังมีอะไรค้างคาในใจใช่ไหม”
“มั้ง!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำเสียให้เสร็จ! จะได้ไม่ต้องมากวนคนอื่นเค้า!”
ชิกเก้นพูดจบ แล้วนอนหลับต่อ แนนนี่ครุ่นคิด

ในขณะที่ภวัตนอนหลับสนิทอยู่ในห้องนอน ระหว่างนั้นแนนนี่ปรากฏตัวขึ้น แล้วเดินมาที่ข้างเตียง
แนนนี่ยืนมองครู่หนึ่ง ทรุดตัวลงนั่ง แล้วเขย่าตัวภวัต “พี่ภวัต! พี่ภวัต!”
ภวัตงัวเงียครู่หนึ่ง แล้วลืมตาตื่นขึ้น พอเห็นอะเป็นอะไร ใครที่มาเยือน ภวัตตกใจแล้วลุกนั่งถอยหลังกรูดไปเล็กน้อย
“แนนนี่”
“ใช่แล้วค่ะ”
“นี่มันดึกแล้วนะ” ภวัตท้วง
“แนนนี่คงนอนไม่หลับไปอีกหลายคืน ถ้าไม่ได้เคลียร์กับพี่ภวัต”
“เอาไว้ไปเคลียร์ตอนเช้าโน่น พรุ่งนี้พี่ไม่ไปทำงาน” ภวัตบอก
“ไม่ได้! ต้องเคลียร์เดี๋ยวนี้”
ภวัตชักจะหงุดหงิด เริ่มทนไม่ไหว
“เมื่อตอนหัวค่ำ เราทำเรื่องวุ่นวาย แล้วนี่ยังจะตามมารังควานไม่ให้คนอื่นเขาได้หลับได้นอนกันอีกเรอะ!”
“แนนนี่ข้องใจเรื่องการ์ด! แนนนี่ให้พี่ภวัตไปแล้ว ทำไมมาอยู่ที่ห้องแนนนี่อีก”
“แล้วพี่จะรู้มั้ย” ภวัตฉุน
“ต้องรู้ เพราะมันอยู่ในห้องนี้ ในห้องของพี่ภวัต”
“แนนนี่! กลับไปเดี๋ยวนี้เลย!” ภวัตเสียงเขียว
“แนน...”
“พี่บอกให้กลับไป” ภวัตเสียงดังขึ้นอีก
แนนนี่ตาขวางใส่
“มีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนบ้าง ที่เข้ามาอยู่ในห้องผู้ชายดึกๆ ดื่นๆ”
“ก็แนนนี่นี่ไง”
ภวัตล้มตัวลงนอนหันหลังให้ แล้วดึงผ้าห่มคลุมอย่างไม่สนใจอีกต่อไป
แนนนี่มองภวัต แล้วกัดปากอย่างหงุดหงิดครู่หนึ่ง
“ถ้าพี่ภวัตไม่ยอมคุยกับแนนนี่ดีๆ แนนนี่ก็จะอยู่ในห้องนี้ไปจนเช้า” แนนนี่ยื่นคำขาด
ภวัตสะดุ้ง “ไม่ได้”
“แนนนี่ทำได้”
“แล้วคนอื่นจะคิดยังไง โดยเฉพาะคุณอาปัทมน”
คราวนี้ได้ผล แนนนี่ชะงักไป ภวัตได้โอกาสบิวท์ต่อเพราะรู้ว่าแนนนี่แคร์ปัทมนที่สุด
“แต่ถ้าแนนนี่ไม่แคร์ก็ตามใจ”
แนนนี่กลายเป็นกลุ่มควันหายไป ภวัตถอนใจเฮือก

แนนนี่ปรากฏตัวขึ้นในตะเกียง แล้วเดินมาทิ้งตัวลงนอน
“ห้ามพูด ห้ามถอนใจ ห้ามลุกเดิน ห้ามกระสับกระส่าย ห้ามทำอะไร ที่จะเป็นสาเหตุให้คนอื่นนอนไม่หลับ เข้าใจไหม!” ตะเกียงแก้วสั่งเป็นชุด
“พี่ตะเกียงนั่นแหละเงียบ! แนนนี่จะนอนแล้ว”
ตะเกียงแก้วอ้าปากค้าง เบิกตากว้างไม่อยากจะเชื่อ “นั่นแน่”

แนนนี่ขดตัวนอนหลับไป

อ่านต่อหน้า 3





ร่วมพูดคุย ถก เถียง แสดงความคิดเห็นเรื่องละครอย่างสร้างสรรค์  หรือจะด่าทอ ต่อว่า...ทีมงานได้ที่ แฟนเพจละครออนไลน์ facebook.com/ละครออนไลน์เอเอสทีวี ได้แล้วจร้า...

 อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว  ตอนที่ 15 (ต่อ) 

พอแนนนี่หายตัวไป กลับเป็นภวัตที่เป็นฝ่ายนอนไม่หลับ ในที่สุดก็ลุกเดินไปที่หน้าต่าง มองข้ามไปที่ห้องนอนแนนนี่ฝั่งบ้านปัทมน เห็นไฟในห้องมืดสนิท

ภวัตยืนมองพร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ ระหว่างตัวเองกับแนนนี่ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวทะเลาะ รวมทั้งเหตุการณ์แนนนี่จูบเขา และทั้งคู่มองจ้องตากันในสวน
ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นเลือนหายไปแล้ว แต่ภวัตยังคงยืนอยู่เช่นนั้น

ไชยกับบุษาบาไปทำงานที่โรงพยาบาลแต่เช้า เวลานั้นทั้งคู่อยู่ในห้องไชย โดยมีสาวใช้เสิร์ฟกาแฟให้ไชย และน้ำผลไม้ให้บุษบา
จังหวะนั้นบุษบาเอื้อมมือไปดึงหนังสือพิมพ์ออกจากมือไชยที่กำลังอ่านอยู่
“เฮ้ย! ยัยบุษ” ไชยดึงกลับมา
“บุษมีเรื่องสำคัญจะปรึกษา”
“ก็ว่าไปซิ ! พี่อ่านไปฟังไปก็ได้”
บุษบาดึงกลับมา “ไม่ได้! เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับบุษ” บุษบาเว้นไปนิดหนึ่ง “บุษจะแต่งงาน”
ไชยจับหัวบุษโยกอย่างเอ็นดู
“ภวัตเขาขอเราแต่งงานแล้วเรอะ! ขอแสดงความยินดี”
“เปล่าค่ะ! เขายังไม่ได้พูดอะไร”
“อ้าว” ไชยอึ้ง งง
“แต่บุษจะให้พี่ไชยพูดกับเขา! บอกตรงๆ ว่าบุษไม่ไว้ใจทั้งแม่ทั้งน้องดาแล้วก็แม่แนนนี่ นังเด็ก สองคนนั่นคอยจ้องจะเขมือบเขาตลอด”
“เราก็เหมือนกันละว้า” ไชยเย้าน้องสาวเล่น
“ไม่แปลก! เพราะเราคบกันมาตั้งแต่อยู่อเมริกาแล้ว” บุษบาโต้
“แล้วจะให้พี่ทำยังไง”
“ก็พูดกับเขาเป็นทำนองว่า เขาควรจะแต่งงานกับบุษเสียที แล้วก็อ้างเหตุผลต่างๆ ตามแต่พี่ไชยจะนึกได้”
“แล้วถ้าเขาปฏิเสธ”
“ไม่มีทาง เขาเกรงใจพี่ไชยจะตาย...ถ้าพี่ช่วยบุษ บุษก็จะช่วยพี่เรื่องน้องดา แถมน้องแนนนี่อีกคนก็ได้”
บุษบาพยายามเอาใจ ยกเอาดารกากับแนนนี่มาล่อหมอจอมหื่น ไชยยิ้มอย่างพอใจ

ตอนเย็นวันเดียวกันนั้นจักรวาลกำลังจุลีกุจอเชื้อเชิญไชยและบุษ ที่มาเป็นแขกพิเศษ หลังจากไหว้ทักทายกันเรียบร้อย
“เชิญครับ หมอไชย หนูบุษบา เชิญนั่ง โป่ง โป่งเอ๊ยยกน้ำยกท่า มาเลี้ยงเพื่อนคุณหมอหน่อย” จักรวาลตะโกนเรียกโป่ง
“ไม่เป็นไรครับ ผมกับน้องบุษทานทั้งข้าวทั้งน้ำมาเรียบร้อยแล้ว”
บาบาร่าในร่างบานเย็นเดินออกมา พร้อมถาดน้ำหวานสีม่วงอ่อนหวาน
“อ้าว! บานเย็น แล้วเจ้าโป่งล่ะ”
“ไม่ทราบค่ะ”
บานเย็นบาบาร่าวางน้ำหวานสีสวยแปลกลงตรงหน้าไชย และบุษ แล้วตวัดสายตาผ่านหน้าคนทั้ง 2 แว่บหนึ่ง
“น้ำอะไรน่ะ สีสวยเชียว” บุษบาถาม
“น้ำไอริสค่ะ”
“ไม่เคยได้ยิน” สองพี่น้องประสานเสียงกัน
“บานเย็นเขามีอาหารคาวหวาน แล้วก็น้ำแปลกๆ แต่อร่อยมาให้ทานเป็นประจำน่ะครับ”
“ดิฉันจะไปเรียนเชิญคุณหมอภวัตลงมาพบ” บาบาร่าบอก
“ขอบใจมาก” ไชยยิ้มให้
“ไม่เป็นไรมิได้ค่ะ!”
บานเย็นเดินไป โดยไชยและบุษมองตามอย่างสนใจ
“ดูแกจะรู้ไปเสียทุกเรื่องเลยนะคะ” บุษบาเม้าท์ขึ้น
“ค่ะ” เสียงบานเย็นดังข้างๆ หูบุษบา ทั้งๆที่ตัวไปแล้ว
“อุ๊ย” บุษบาสะดุ้งเฮือก หน้าตาเลิ่กลั่ก
“อะไรหรือหนูบุษ” จักรวาลสงสัย
“เอ้อ ... เปล่าค่ะ”
บุษบายิ้มแห้งๆ กับไชยและจักร สีหน้าท่าทางหวาดๆ เหลียวหน้าและหลัง

บานเย็นบาบาร่าเคาะประตูห้องภวัต สักครู่หนึ่งประตูก็เปิดออก
“มีอะไรหรือ บานเย็น”
“มีแขกมาพบคุณหมอค่ะ”
ภวัตพยักหน้ารับรู้ “เดี๋ยวฉันลงไป”
บานเย็นหันหลังกลับ ภวัตนึกบางอย่างออก เรียกไว้
“ตอนเข้ามาทำความสะอาดห้อง เห็นการ์ดที่วางไว้บนโต๊ะไหม”
“ไม่เห็นค่ะ...เห็นแต่ดอกกุหลาบ”
ภวัตพยักหน้า บานเย็นเดินไป
“งั้นจะมีใครนอกจากแนนนี่เองนั่นแหละ” ภวัตพึมพำสีหน้าครุ่นคิด

ภายในห้องรับแขก ไชย จักรวาลและบุษบา กำลังคุยกัน ขณะที่ภวัตเดินเข้ามา
“ภวัตมาแล้ว” จักรวาลขยับตัว
ภวัตไหว้ทักทายไชย ไชยรับไหว้ประหลาดใจที่เห็นสองพี่น้องแวะมาหาในวันหยุดงาน
“มาธุระแถวนี้หรือครับ”
“เปล่าค่ะ...ตรงมาที่นี่เลย” บุษบาตอบเอง
ไชยมองบุษบาแว่บหนึ่งเป็นเชิงตำหนิ บุษบานิ่งไป
จักรวาลขยับขอตัวไปทำธุระ “ภวัตมาแล้ว ผมไปละนะ จะไปเตรียมการสอน”
“เชิญครับ”
จักรวาลเดินย้อนกลับไปข้างบน
“ตั้งแต่รับเป็นอาจารย์พิเศษนี่ คุณพ่อดูกระฉับกระเฉงขึ้นเยอะ...นี่ก็ร่ำๆ จะเป็นอาจารย์ประจำ แต่ผมห้ามไว้ ... กลัวท่านจะเหนื่อยมากไป” ภวัตพูดถึงพ่ออย่างอารมณ์ดี
“ให้ท่านทำงานบ้างน่ะดีแล้ว...จะได้ไม่เหงา” ไชยว่า
ระหว่างที่ไชย และภวัตคุยกัน บุษบาพยายามสะกิด แล้วขยิบตาเตือนไชยเป็นระยะ
ไชยกระแอมเล็กๆ ก่อนเข้าเรื่อง
“ที่ผมมาวันนี้ เพราะมีธุระนิดหน่อย”
“เอ้อ...บุษขอไปเยี่ยมน้องดา น้องแนนนี่ก่อนนะคะ...คิดถึงพวกแกค่ะ” บุษบาขอตัว
“เชิญครับ”
บุษบาสบตาพี่ชายเป็นสัญญาณ แล้วเดินออกไป
ภวัตมองสองพี่น้อง ด้วยสีหน้าเหมือนจะระแวงนิดๆ

บุษบาก้าวออกจากประตูรั้วบ้าน แล้วยกมือขึ้นพนม เป็นเวลาเดียวกับที่แนนนี่ซึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่าง ท้าวคางมองมาอย่างสนใจ
“เจ้าประคู้ณ...ขอให้สำเร็จที่เท้อะ...ลูกช้างจะถวายหัวหมู 7 หัว ไข่ต้ม 7 โหล แล้วก็เครื่องบูชาทุกอย่าง”
“วู้! วู้! วู้!” แนนนี่ร้องเหมือนจะให้กำลังใจ
บุษบาซึ่งกำลังยกมือไหว้ท่วมหัว สะดุ้งเฮือก หันไปมอง เห็นแนนนี่โบกมือให้
“ไหว้สัมภเวสีหรือคะ” แนนนี่แซวแกมเย้ย
“นังเด็กบ้า” บุษบาพึมพำเบาๆ

ไชยเริ่มเข้าเรื่องแบบอ้อมๆ
“หมอกับยัยบุษน้องสาวผม ก็ควงกันมานานแล้ว ตั้งแต่อยู่อเมริกาแน่ะ”
ภวัตมีสีหน้าอึดอัดแว่บหนึ่ง
“เพื่อนๆ ญาติพี่น้องทั้ง 2 ฝ่ายก็รู้กันหมด อีกทั้งอายุอานามทั้ง 2 คนก็พอสมควร ผมเลยเห็นว่าน่าจะลงเอยกันเสียทีดีมั้ย”
ภวัตขยับตัวเปลี่ยนท่านั่ง เริ่มรับรู้ว่าจะเจออะไร
“ถ้าจะพูดถึงหลักฐานบ้านช่อง ก็พร้อมยิ่งกว่าพร้อม...”
“เอ้อ” ภวัตอ้าปากจะพูด
“ความจริง เรื่องอย่างนี้ฝ่ายชายควรจะเป็นฝ่ายพูด ไม่ใช่ฝ่ายหญิง แต่ผมเห็นว่าเราสนิทกันจนเหมือนญาติ หมออาจจะมัวสนุกอยู่กับงานจนลืมคิดไปว่า ผู้หญิงน่ะอายุมากขึ้นทุกวัน เขาก็อยากจะให้เป็นครอบครัวกันเสียที กลัวแก่ว่างั้นเถอะ! เดี๋ยวจะมีลูกยาก” ไชยพูดเองหัวเราะเอง
“ผมยังไม่พร้อมจะมีใครครับ” ภวัตพูดเสียงเรียบ
ไชยหน้าบึ้งทันใด
“เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่” ภวัตว่าต่อ
“หมายความว่า หมอจะไม่แต่งงานกับน้องสาวผม”
“คือ .... ผม ...ไม่เคยคิดกับคุณบุษบามากเกินกว่าความเป็นเพื่อนเลยครับ”
“อ้อ! งั้นหมอก็หาว่ายัยบุษคิดไปเอง”
“ผมไม่ทราบครับ...แต่เท่าที่จำได้ ผมไม่เคยแสดงท่าทีอะไรให้คุณบุษบาเข้าใจผิด” ภวัตยืนยัน
“ไม่จริงมั้ง! เพราะผมเองยังรู้สึกว่าหมอจีบน้องสาวผม” ไชยบอก
ภวัตถอนหายใจอย่างอึดอัด ขณะที่ไชยจ้องหน้าเขม็ง

เวลาเดียวกันดารกากำลังรับฟังบุษบาด้วยสีหน้านิ่งๆ มีหนังสือเรียนอยู่บนตัก
“หมอภวัตเขากำลังสารภาพกับพี่ชายของพี่บุษอย่างลูกผู้ชาย” ...
“พี่ภวัตไปทำอะไรผิดมาหรือคะ” ดารกาถามหน้าใสซื่อ
บุษบาหัวเราะคิกคัก “อุ๊ย ไม่ผิดจ้ะ หมอภวัตทำถูกที่สุดเลย เขาจะบอกกับไชยว่า เขารักพี่บุษและพร้อมจะแต่งงานกับพี่บุษแล้ว ส่วนหมอภวัตก็ไม่ยอมแพ้ สนับสนุนให้พี่ไชยหมั้นกับน้องดาก่อน พอเรียนจบก็จะได้แต่งงานกันเลย” .“น้องดาคงจะหมั้นและแต่งงานกับใครไม่ได้หรอกค่ะ” ดารกาไม่ออกอาการโวยวาย พูดน้ำเสียงเรียบเหมือนเคย
“อ้าว! ทำไมล่ะ ถือพรหมจรรย์เหรอ” บุษบาคิดไปโน่น
“เพราะน้องดาจะหมั้นกับพี่ภวัตทันทีที่เรียนจบ” ดารกาบอก
บุษบาฉุน สีหน้าเคร่งขึ้นทันใด “งั้นเธอก็คงยังไม่ได้เปิดดูของขวัญที่พี่ไชยให้ละซีพี่ว่าก่อนที่จะพูดอะไร น้องดาควรไปดูของขวัญนั่นเสียก่อน” บุษบาเย้ยอยู่ในที
ดารกามองบุษบาเขม็ง บุษบายิ้มเยาะในหน้า

ดารการีบเดินแกมวิ่งเข้ามาในห้อง...ปิดประตู ในขณะที่แนนนี่ แง้มประตูออกมาแอบมอง แล้วค่อยๆ ก้าวออกมา
แนนนี่เดินโหย่งๆ ผ่านหน้าห้องดารกาไปที่บันได แล้วลงไป

บุษบาลุกขึ้นยืน ขยับจะเดินออกไป
“จะกลับแล้วหรือคะ คุณพี่บุษบา! ยังไม่ทันมีเรื่องกันเลย”
บุษบาหันกลับมา แล้วยิ้มเย้ย
“คุณน้องแนนนี่นั่นเอง งั้นคุณพี่จะอยู่คุยให้มีเรื่องก่อนก็ได้”
แนนนี่เดินมานั่งไขว่ห้าง แล้วมองหน้าบุษบาครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะขำกลิ้ง
บุษบาค่อยๆ หุบยิ้มลง แล้วนิ่วหน้า
“หัวเราะอะไรน่ะ หรือว่าญาติเสีย”
แนนนี่ส่ายหน้าแล้วหัวเราะขณะพูด
“ขำที่เจ๊ไหว้สัมภเวสีเมื่อกี้นี้น่ะซิ เสียดายถ่ายรูปไม่ทัน”
บุษบาทำหน้าเหมือนอยากจะร้องกรี๊ดๆ

ทางด้านดารกาหยิบกล่องออกมาจากถุง มาวางไว้ แล้วหยิบซองๆ หนึ่งออกมา ค่อยๆ เปิดออก ในนั้นมีการ์ดสวยๆ ใบหนึ่ง
ดารกาหลับตาลงด้วยความหวั่นหวาด แล้วเปิดออกอ่าน
“ได้ข่าวว่าน้องดาคนเก่งสอบได้เกรด 4 พี่เลยฝากของขวัญมาให้ แล้วก็อยากจะเลี้ยงข้าวสักมื้อ หวังว่า น้องดาคงจะไม่ทำให้พี่โกรธ”
ดารกาเม้มปากแน่น นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความโกรธ

เหตุการณ์ในห้องรับแขกบุษบาลุกขึ้นยืน หน้ายังบึ้งจัด
“อ้าว! จะกลับแล้วเหรอ เจ๊” แนนนี่เรียกไว้
“นี่อย่ามาเรียกฉันว่าเจ๊นะยะ”
“แหม ก็เจ๊แก่แล้วนี่ เออ...ถ้าเด็กก็ไปอย่าง จะได้เรียกหมวย”
“นังเด็กบ้า!” บุษบาหลุกปากด่า
“จุ๊! จุ๊!...พูดจาหยาบคายเดี๋ยวได้ปากเน่าปากหนอนหรอก” แนนนี่เน้นคำว่าหนอน พร้อมกับลอยหน้า ลอยตา
“แนนนี่! วันนั้นแกเล่นคุณไสยใช่มั้ย แกเป็นคนเอาหนอนให้ฉันกินแทนสปาเก็ตตี้” บุษบาปรี๊ดแตก
“เอ๊า! พูดจาลอยๆ ไม่มีหลักฐาน ฉันจะไปเสกหนอนมาจากไหนได้ นอกจากมันจะอยู่ที่ตัวเจ๊”
แนนนี่พูดพลางชี้ไปที่ตักบุษ
บุษบาก้มลงมอง แล้วกรี๊ด เห็นหนอนอยู่เต็มตัก บุษบาลุกขึ้น สะบัดหนอนลง แล้วยังร้องกรี๊ดๆ แนนนี่ยกมืออุดหูทำหน้าล้อเลียน
ผาดและพร วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“อะไรกันคะ อะไรกั๊น” ผาดถาม
บุษบาหลับหู หลับตาชี้ที่พื้น “หนอน! หนอน!”
ผาดและพร ก้มมองตาม บริเวณนั้นว่างเปล่า
“ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ” พรบอก
“ทำไมจะไม่มี เมื่อกี้มันอยู่บนตักฉัน แล้วฉันสะบัดมันลงพื้น” บุษบาโวยวายต่อ
“ไม่มีจริงๆค่ะ...ไม่เชื่อคุณก็ลืมตาดูซิคะ” พรว่า
“ผาดเป็นพยานค่ะ” ผาดพูดสำทับ
ในช่วงชุลมุนนั้น แนนนี่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
บุษบาค่อยๆ ลืมตามอง สีหน้าขยะแขยงเปลี่ยนเป็นงงงวย บนพื้นว่างเปล่า
แนนนี่ผิวปากอย่างอารมณ์ดี ส่วนบุษบามองเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

ไชยคุยกับภวัตในห้องรับแขก บรรยากาศมาคุ
“เป็นอันว่าคุณปฏิเสธน้องสาวผม” ไชยถามคาดคั้น
“ผมชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่าเราเป็นเพื่อนกัน” ภวัตตอบเสียงเรียบ
เสียงบุษบาดังขัดจังหวะขึ้นมา
“พี่ไชยคะ! ภวัต”
ทั้งสองคนมองไปทางประตู เห็นบุษบาหน้าตาบูดบึ้ง เดินปรี่เข้ามา
“ภวัต! คุณต้องจัดการให้บุษ ไม่งั้นบุษไม่ยอม”
“มันเรื่องอะไรกัน” ภวัตประหลาดใจ
“ก็แม่น้องสาวร่วมโลกของคุณน่ะซีคะ...มันเล่นคุณไสยกับบุษอีกแล้วมันเสกหนอนเต็มตักบุษไปหมดเลย!” บุษบาฟ้อง
“แนนนี่” ภวัตพึมพำ
บุษบาได้ยิน ชะงัก มองจ้องภวัตเขม็ง “แสดงว่าคุณก็รู้”
“เปล่า! ก็น้องสาวร่วมโลกของผมมีอยู่ 2 คนคือ น้องดากับแนนนี่ น้องดาน่ะเรียบร้อย...แต่แนนนี่คือทะโมน” ภวัตว่า
“ยัยบุษ...สมัยนี้ไม่มีคุณสงคุณไสยอะไรแล้วละ” ไชยติงน้องสาว
“บุษไม่ได้โกหก”
“แล้วผมจะตามแนนนี่ให้” ภวัตบอก
บุษบาชะงักอีก “แสดงว่า คุณก็รู้ใช่มั้ยคะ”
“ผมจะถามแกว่า...ทำไมคุณถึงต้องเห็นหนอน ขณะที่คนอื่นไม่เห็น” ภวัตอธิบาย
“นั่นหมอว่าน้องผมบ้าเรอะ” ไชยพูดอย่างมีอารมณ์
ภวัตถอนหายใจ
“ไป ยัยบุษ กลับบ้านเราเดี๋ยวนี้ แล้วไม่ต้องเหยียบมาที่นี่อีก”
ไชยโกรธมาก จับแขนบุษบาลากออกไป ภวัตเอนตัวพิงพนัก อยู่ในอาการเซ็งๆ
จักรวาลเดินเข้ามาพอดี
“เอะอะกันเรื่องอะไร” จักรวาลถามอย่างร้อนใจ
“หมอไชยโกรธผมครับ สงสัยต้องย้ายโรงพยาบาลแล้ว” ภวัตบอก
“ร้ายแรงถึงขนาดนั้นเลยหรือลูก” จักรวาลมีสีหน้าไม่สบายใจ

ส่วนที่บ้านปัทมน ผาดกับพรคุยเรื่องที่บุษบาเห็นหนอน
“สงสัยคุณบุษแกดวงสมพงษ์กับหนอนนะพี่ผาด แกถึงได้ตาฝาดเห็นหนอนบ่อยๆ” พรว่า
“บ้าเรอะ! คนอะไรดวงสมพงษ์กับหนอน!” ผาดแย้ง
“คนบ้าไง้” แนนนี่โผล่เข้ามาในครัว
ทั้งสองคนหันมามองแนนนี่
“อ้าว! ก็ไม่จริงเหรอ ! ตัวเองเห็นอยู่คนเดียวในขณะที่คนอื่นไม่เห็น” แนนนี่ย้ำ
“ไม่แรงไปหรือคะ คุณแนนนี่”
พูดจบพรและผาดต่างก็ชะงัก เมื่อเห็นภวัตเดินเข้ามา ด้วยหน้าตาที่เคร่งขรึม แนนนี่ค่อยๆ หันไปมองตาม
“พี่มีเรื่องจะพูดด้วย” ภวัตเสียงซีเรียส
แนนนี่หันกลับมา ทำหน้าตาย
“แก่จะตายแล้วยังขี้ฟ้องอีก”
“แนนนี่” ภวัตเอ็ดเสียงเข้ม
พร และผาด พยักหน้าให้กัน แล้วออกไป
“ไม่เอาเปรียบมนุษย์ไปหน่อยหรือไง ที่ไม่พอใจอะไรก็ใช้เวทมนตร์” ภวัตประชดแกมหยัน
“แนนนี่ไม่เคยทำร้ายใครก่อน” แนนนี่เสียงแข็ง
“ไหน! คุณบุษเขาทำอะไรเธอ!”
แนนนี่ลุกขึ้นด้วยความฉุนเฉียว
“พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพี่ภวัตต้องเข้าข้างเขาอยู่แล้ว”
พูดจบแนนนี่จะเดินกลับขึ้นข้างบน ภวัตคว้าแขนไว้แล้วบีบแน่น แนนนี่ก้มมองแวบหนึ่ง แล้วเงยขึ้นมองภวัตชาสีหน้าเย็นชา
“ปล่อย” แนนนี่ร้อง
“ไม่!…จะเสกไฟเผามือพี่ก็เชิญซิ” ภวัตประชดส่ง
แนนนี่เม้มปาก จ้องหน้าภวัต
ดารกาเดินออกมาจากห้อง ยืนมองจากชั้นบน
สีหน้าและแววตาของดารกาเวลานี้ดูน่ากลัว ดวงตาแข็งกร้าว ขณะจ้องลงมา และจู่ๆ ก็เหมือนมีเปลวไฟจางๆ ขึ้นที่แขนแนนนี่ตรงบริเวณภวัตจับ
ภวัตสะดุ้งเฮือกจนต้องปล่อย สะบัดมือเร่าๆ “โอ๊ย!”
ภวัตและแนนนี่ต่างคนต่างมองที่มือตัวเอง มือภวัตเป็นสีแดงราวกับถูกไฟลวก
แนนนี่ตกใจมาก “แนนนี่ไม่ได้ทำนะคะ พี่ภวัต”
ดารกาดูถึงตอนนี้ก็เดินกลับเข้าไป
“เธอไม่ได้ทำแล้วใครจะทำ ในเมื่อที่นี่มีแต่เธอกับพี่ 2 คน”
แนนนี่มองไปโดยรอบ
ภวัตมองตาม “มีใครหรือเปล่าล่ะ
“แนนนี่ไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่ได้ทำ” แนนนี่เสียงแข็ง
ภาพรอยไหม้ที่มือภวัตค่อยๆ เลือนหายไปจนเป็นปกติ
ภวัตมองแนนนี่ด้วยสีหน้าผิดหวัง แล้วเดินจากไป
แนนนี่วิ่งตาม “พี่ภวัตคะ!”
แนนนี่วิ่งตามมาจนทัน แล้วจับแขนภวัตไว้
“พี่ภวัต”
ภวัตก้มลงมองที่แขนแล้วมองหน้าแนนนี่เย็นชา “ปล่อย!”
แนนนี่น้ำตาคลอ ขณะค่อยๆ ปล่อยแขนภวัต
“แนนนี่ไม่ได้เป็นคนทำจริงๆ”
“ก็ได้ พี่ทำเอง”
ภวัตเดินออกไปจากบ้าน แนนนี่มองตาม น้ำตาไหลออกมาด้วยความน้อยใจ

แนนนี่เดินแกมวิ่งเช็ดน้ำตาขึ้นมาบนบ้าน ดารกาเปิดประตูออกมาเจอทำสีหน้าตกใจ
“แนนนี่...ร้องไห้ทำไมจ๊ะ”
“ไม่ต้องมาจ๊ะมาจ๋า” แนนนี่ไม่ใส่ใจ
“ใครทำอะไร...บอกพี่ดามาเถอะ”
“แล้วไง พี่ดาจะได้สมน้ำหน้าแนนนี่ใช่มั้ยล่ะ”
“โธ่” ดารกาถอนหายใจ
“หยุด! ไม่ต้องมาทำเป็นถอนอกถอนใจตีหน้าเศร้าเลย จะบอกให้ก็ได้ว่าแนนนี่ไม่เคยซาบซึ้งซักนิด...ยัยเฟค!”

พูดจบแนนนี่เดินเข้าห้องไป ดารกามองตามด้วยสีหน้าดูไร้ความรู้สึก

อ่านต่อหน้า 4





ร่วมพูดคุย ถก เถียง แสดงความคิดเห็นเรื่องละครอย่างสร้างสรรค์  หรือจะด่าทอ ต่อว่า...ทีมงานได้ที่ แฟนเพจละครออนไลน์ facebook.com/ละครออนไลน์เอเอสทีวี ได้แล้วจร้า...

 อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว  ตอนที่ 15 (ต่อ) 

ดารกาเดินเข้ามาในบ้านภวัต แล้วเหลียวมองหา เห็นจักรวาลกำลังนั่งดูที.วี อยู่หันมามอง

“มาหายัยเกล้าเหรอน้องดา”
“มาหาพี่ภวัตน่ะค่ะ พอดีน้องดาเห็นแนนนี่ร้องไห้ ก็เลยเดาเอาว่า คงจะถูกพี่ภวัตดุ น้องดาสงสารน้อง” ดารกาตีหน้าเศร้า
“ภวัตขึ้นไปข้างบน...เดี๋ยวลุงขึ้นไปตามให้” จักรวาลขยับตัว
ดารกาทำทีเป็นห้ามไว้ด้วยความเกรงใจ “อุ๊ย ! ไม่ต้องค่ะ...เอาไว้เมื่อไหร่ก็ได้”
“ไม่เป็นไร ลุงจะขึ้นไปเตรียมการสอนพอดี”
ดารกาไหว้ขอบคุณ “ถ้าไม่รบกวนคุณลุง น้องดาก็ขอบคุณมากค่ะ”
จักรวาลยิ้มเดินเข้ามา แล้วจับศรีษะดารกาโยกเบาๆ อย่างเอ็นดู
“หนูนี่เป็นเด็กดีจริงๆ...คุณแม่ต้องภูมิใจในตัวหนูแน่”
ดารกายิ้มแย้มใสซื่อ จักรวาลเดินออกไป

ภวัตกำลังนั่งอ่านวารสารทางการแพทย์ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ภวัตลุกไปเปิด
“น้องดามาหาแน่ะ” จักรวาลยิ้มขณะบอก
“คงจะเรื่องแนนนี่” ภวัตนึกรู้
“แกนี่ชอบทะเลาะกับเด็ก!”
“ผมไม่ได้ทะเลาะ แล้วแนนนี่ก็ร้ายเกินเด็ก” ภวัตบ่น
“นั่นแหละ! เขาเรียกว่าทะเลาะ”
ภวัตเดินออกมา แล้วปิดประตู
“น้องดานี่เป็นเด็กดีจริงๆนะ...เด็กสมัยใหม่ จะหาเรียบร้อย ...อ่อนหวานมีเมตตาอย่างนี้ยาก...แถมยังเรียนเก่ง แล้วก็สวยอีก” ดูเหมือนจักรวาลจะเป็นปลื้มดารกาเอามากๆ
ภวัตยิ้ม แล้วเดินไปที่บันได
“ภวัต!” จักรวาลเรียกไว้
“ครับ” ภวัตหยุดเดินหันกลับมา
“พ่อน่ะคิดว่า แกควรจะรอน้องดา”
ภวัตไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มแล้วเดินลงไป

ภวัตเดินเข้ามาในห้องรับแขกแล้วทรุดตัวลงนั่ง
“จะมาแก้ตัวให้แนนนี่หรือ” ถามดารกาขึ้นมาอย่างเอ็นดู
ดารกายิ้มแห้งๆ “น้องดาเห็นแนนนี่เสียใจมากน่ะค่ะ เลยสงสารน้อง พี่ภวัตอย่าโกรธแกเลยนะคะ”
“เด็กดื้ออย่างแนนนี่ต้องถูกลงโทษบ้าง”
“แค่นี้แกก็เสียใจมากพอแล้วค่ะ”
“น้องดา! ...ที่แนนนี่เป็นอย่างนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะน้องดาใจอ่อน แนนนี่จะแผลงฤทธิ์ขนาดไหน ก็ไม่เคยถือสา” ภวัตว่า
ดารกาก้มหน้าลงครู่หนึ่ง แล้วเงยขึ้นมานัยน์ตามีน้ำคลอหน่วย
“พี่ภวัตอย่าตำหนิน้องดาเลยค่ะ...น้องดามีพี่ชายคนเดียว แล้วก็มีน้องสาวคนเดียว จะไม่ให้น้องดารักทั้ง 2 คนมากได้ยังไงละค่ะ” ดารกาแสนดีบอกทั้งน้ำตา
ภวัตถอนใจยาว แล้วมองหน้าดารกาเหมือนกังวลบางอย่าง
“พี่ภวัตมองน้องดาอย่างนั้นทำไมคะ” ดารกาแปลกใจ
“ไม่มีอะไร เพียงแต่ว่า...เวลาแนนนี่โมโหหรือโกรธมากๆ ...น้องดาควรจะอยู่ห่างๆ” ภวัตเตือน
ดารกาขยับจะถาม แต่ภวัตชิงพูดขึ้นก่อน
“คือ...พี่เห็นแนนนี่ค่อนข้างจะอารมณ์รุนแรง...เดี๋ยวจะไปกันใหญ่”
“น้องดาจะพยายามค่ะ”
สีหน้าภวัตค่อนข้างจะหนักใจ ด้วยความเป็นห่วงดารกา กลัวแนนนี่ใช้อิทธิฤทธิ์ที่มีทำร้าย

เวลาผ่านไป จากเย็นย่ำ มาถึงยามเช้าอันสดใสของวันถัดมา
ปีเตอร์อยู่ที่ห้องในคอนโด แต่งตัวเสร็จ เตรียมไปมหา’ลัย เดินมาหยิบกุญแจรถ แต่แล้วปีเตอร์มองด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นเป็นกุญแจรถคันใหม่ที่แพงกว่าเดิม
“เฮ้ย! มาได้ไง”
พอดีมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปีเตอร์หยิบขึ้นมากดรับ
“ป๊า!” ปีเตอร์พูดเสียงร้อนรน
“ไง!…รถคันใหม่ถูกใจมั้ย อาปีเตอร์” เสียงป๊ะป๋าดังจากปลายสาย
ปีเตอร์งง “หมายความว่าป๊าซื้อรถคันใหม่ให้ปีเตอร์”
“อ้าว! ก็ลื้อขอนี่หว่า ! ซินแสเคยดูว่าดวงป๊า ลูกยิ่งผลาญเงิน ก็ยิ่งรวยป๊าก็เลยจัดหนักให้เลย!” เสียงป๊ะป๋าคึกอย่างเคย
“ปีเตอร์ไปขอป๊าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ไม่เป็นไร ...ปีเตอร์ก็เบื่อรถคันเก่าจะแย่” ปีเตอร์งงเข้าไปใหญ่“หม่าม้าจะพูดด้วยนะ”
“อาปีเตอร์! ชุดทับทิมที่ลื้อสั่งน่ะเป็นไง ! …ถูกใจหรือเปล่า” หม่าม้าถามเสียงสดใส
“ชุดทับทิม!” ปีเตอร์งงอีก
“ก็ลื้อบอกจะให้อาแนนนี่ใส่เล่นขำๆไง!…แค่นี้นะ ป๊ากับม้าจะต้องรีบหา เงินให้ลื้อผลาญต่อ”
ปีเตอร์วางโทรศัพท์ลงงงๆ
“ชุดทับทิม!”
ปีเตอร์หันไปมองรอบห้อง... กวาสายตาเลยเรื่อยไปที่บริเวณหัวเตียง เห็นมีกล่องเครื่องประดับวางอยู่
ปีเตอร์เดินไปหยิบมาเปิดดู เห็นในกล่องเป็นเครื่องประดับชุดทับทิมตามที่หม่าม้าบอกจริงๆ
ปีเตอร์เกาหัวแกรกๆ ด้วยความงง “ขอตอนไหน...แต่ก็โอ.เค!”
ปีเตอร์หยิบกล่องทับทิม และโทรศัพท์ พร้อมกุญแจรถเดินออกจากห้องไป

ผู้คนที่อยู่คอนโดฯ กลุ่มหนึ่ง กำลังแตกตื่นฮือฮา พากันชื่นชมรถสวยคันใหม่ที่จอดอยู่ในลานจอดรถ เสียงรีโมทดังขึ้น ทุกคนหันมามอง เห็นปีเตอร์กำลังเดินอาดๆ เข้ามา
“ปีเตอร์! รถสวยจริงๆ” เพื่อนบ้านในคอนโดฯ กล่าวชม
ปีเตอร์ยิ้มกริ่ม ท่าทางมีฟอร์ม เชิดนิดๆ
“ครับ ... ขอโทษนะครับ! ผมต้องรีบไปเรียนแล้ว! เดี๋ยวต้องซื้อดอกกุหลาบไปให้แฟนอีก”
ทุกคนหลีกทางให้ ปีเตอร์ขึ้นรถขับออกไป ทุกคนมองตามตาขวางๆ และจับกลุ่มเม้าท์มอยทันควัน
“ขี้โอ่ชะมัด!” คนหนึ่งว่า
“ขี้เก๊กอีกต่างหาก!” คนสุดท้ายเสริม

ปีเตอร์ซิ่งรถเข้ามาในมหา’ลัย ไม่นานหลังจากนั้น เพื่อน พี่ นักศึกษาในบริเวณนั้นหันมามอง แล้วส่งเสียงฮือฮากับรถคันใหม่
ปีเตอร์จอดรถแล้วก้าวลงมาพร้อมกุหลาบแดงช่อโตดอกใหญ่ในอ้อมอก
“เปลี่ยนรถอีกแล้วเรอะ ปีเตอร์!” เพื่อนคนหนึ่งถาม
ปีเตอร์พยักหน้ารับ “เบื่อคันเก่า นี่อีก 2-3 เดือนก็ว่าจะเปลี่ยนใหม่”
พูดจบปีเตอร์ก็ถือดอกไม้ก้าวเดินออกไป แน่นอนทุกคนมองตาม แล้วสุมหัวนินทาทันที!

ปีเตอร์เดินตรงเข้ามาในกลุ่มแนนนี่ซึ่งกำลังคุยออกรสชาติกับเพื่อนๆ จังหวะนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งสะกิดพร้อมกับพูดแซว
“แนนนี่ พระกุมารปีเตอร์หอบกุหลาบมาให้แน่ะ!”
แนนนี่และทุกคนหันไปมอง เห็นปีเตอร์เดินมาคุกเข่าราวกับอัศวิน แล้วยื่นส่งดอกไม้ให้ ในมือยังมีถุงใส่เครื่องประดับมาด้วย
“แหม! พอดีเลย! วันนี้วันเกิดจอย!…แนนนี่ยังไม่ได้ซื้อของขวัญให้จอยเลย ขอบใจนะปีเตอร์”
แนนนี่รับดอกไม้มาแล้วส่งให้จอยหน้าตาเฉย ในขณะที่ปีเตอร์มองหน้าเหวอ
“แฮปปี้ เบิร์ธเดย์นะ จอย”
“ขอบใจจ้ะ!” เพื่อนชื่อจอยชะโงกมองปีเตอร์ซึ่งยังคุกเข่าเหวอๆ อยู่อย่างนั้น “ไม่ว่ากันนะปีเตอร์”
“ว่าได้ไง! ใช่มั้ยปี!” แนนนี่แกล้งถาม
ปีเตอร์ยิ้มแห้งๆ ลุกขึ้น ในมือยังหิ้วถุง
แนนนี่รีบดึงถุงมา “นี่ถุงอะไร”
“เอาไว้เปิดตอนเย็นได้มั้ย! แนนนี่”
“โอเค!”
ปีเตอร์เศร้าแบบดราม่าสุดขีด ทั้งจ๋อยทั้งเซ็ง พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

เย็นวันนั้นปัทมนฝ่าการจราจรอันคับคั่งบนถนน จนในที่สุดก็กลับมาถึงบ้าน และกำลังเดินเข้ามาในบ้าน โดยมีพรถือของตามมา ผาดถือถาดแก้วน้ำส้มกับน้ำเปล่ามาให้
“ขอบใจจ้ะ...วันนี้ร้อนจัง...แนนนี่กับน้องดากลับหรือยัง” ปัทมนถามถึงลูกสาวทันที
พรมีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันที “คุณดากลับมาแล้วค่ะ แต่คุณแนนนี่ยังไม่กลับ”
“อ้าว! ฉันเห็นรถแนนนี่จอดอยู่”
“เธอโทร. มาบอกให้คนรถไปขับกลับมาก่อนค่ะ...ส่วนเธอกลับกับคุณปีเตอร์”
ได้ยินชื่อปีเตอร์ และรู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ ปัทมนถึงสำลักน้ำ พรวด
ผาดตกใจ รีบหยิบทิชชูส่งให้ “นี่ค่ะ”
ปัทมนรับมาท่าทีหงุดหงิดและดูเป็นกังวลเอามาก
“ทำไม ...เฮ้อ! ฉันสั่งห้ามแล้วเชียวนะ”
ปัทมนเดินขึ้นไปข้างบนอย่างรีบร้อน และหงุดหงิดอยู่
“คุณปัทเป็นอะไรน่ะ” ผาดแปลกใจ
“เธอก็ห่วงคุณแนนนี่น่ะซิพี่ผาด...ฉันเองยังใจไม่ดีเลย” พรสยองไม่หายเมื่อถึงวันนั้น
“แกจะว่าคุณปีเตอร์ตากลับน่ะเรอะ” ผาดว่า
พรลุกขึ้น แล้วยกน้ำเดินออกไป ผาดตะโกนไล่มาตามหลัง
“เอาผ้ามาเช็ดด้วยนะ!”

ปัทมนเดินเข้ามาในห้องแนนนี่ แล้วล็อคประตูแน่นหนา ปัทมนเดินมาหยุดตรงกลางห้อง
“คุณยายคะ...คุณยาย ...อยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ”
ทว่าทุกอย่างเงียบสนิท
“คุณยาย!”
จังหวะนั้น มีเสียงดังโครมข้างนอก ทางระเบียงนอกห้อง
ปัทมนสะดุ้ง รีบเปิดประตูออกไปที่ระเบียง แต่แล้วปัทมนต้องยกมืออุดปากด้วยความตกใจ
เมื่อห็นว่าคุณยายแม่มด...ทาฮิร่ากำลังเหนี่ยวลูกกรงระเบียงโยนตัวเองขึ้นมา
“ระวังค่ะ คุณยายขา”
ปัทมนรีบไปช่วยดึงขึ้นมา
“เฮ้อ ! ค่อยยังชั่ว ! ...กะระยะผิดไปหน่อยเดียว!”
ปัทมนช่วยประคองพาทาฮิร่าเข้าไปนั่งโซฟาในห้อง
ทาฮิร่าทรุดตัวลงนั่ง “หนูเรียกยายทำไม”
“แนนนี่ค่ะ! แนนนี่ไปกับปีเตอร์อีกแล้ว!” ปัทมนมีน้ำเสียงกังวลอย่างมาก
“หา! แนนนี่ไปกับเปอร์ตี้ ตายล่ะ ทำไมถึงไม่รู้จักหลาบจำบ้าง ! แล้วนี่ไปไหนก็ไม่รู้” ทาฮิร่าแทบช็อก
“จะทำยังไงดีล่ะค่ะ ...หนูละกลุ้มใจเหลือเกิน”
“เดี๋ยว! ขอยายคิดก่อน”
ทาฮิร่าพยายามคิดอย่างหนัก

เวลาเดียวกัน ปีเตอร์ขับรถมาจอดบนถนนสายหนึ่งที่สงบ...ค่อนข้างเงียบ บรรยากาศดูเย็นสบาย
แนนนี่เบือนหน้ามาทางปีเตอร์
“ไหน! ปีเตอร์มีอะไรจะพูดกับแนนนี่”
ปีเตอร์เอื้อมไปหยิบถุงข้างหลังมายื่นส่งให้ “เอ้า...ของขวัญเล็กๆ น้อยจากปีเตอร์”
แนนนี่ยังไม่ยอมรับ พูดเชิดๆ “เนื่องในโอกาส”
“เนื่องในโอกาสที่หมู่นี้เราไม่ค่อยได้พบกัน” ปีเตอร์เสียงเศร้า
“หือ”
“ไม่รู้ซิ! ไม่กี่วันมานี่ ปีเตอร์รู้สึกแปลกๆ เหมือนจะหลับๆ ตื่นๆ”
แนนนี่ยิ้มด้วยความดีใจแล้วตบไหล่ปีเตอร์ดังป๊าบ “...เย้”
“โอ๊ย” ปีเตอร์ร้องลั่น
“ขอต้อนรับกลับโลก ! ปีเตอร์เป็นปกติแล้ว”
ปีเตอร์เหวอ งง “อ้าว! แล้วปีเตอร์เป็นอะไร”
“เป็นเด็กอสูร!” แนนนี่หยิบกล่องออกจากถุง “เป็นอันว่า แนนนี่จะรับของขวัญของปีเตอร์เพื่อฉลองที่แนนนี่ได้เพื่อนกลับมา”
“แค่เพื่อนเหรอ!” ปีเตอร์เสียงอ่อย จ๋อยไป
“หรือจะเป็นศัตรู” แนนนี่ว่า
“โอ.เค! เพื่อนก็เพื่อน ! เปิดดูซิ”
แนนนี่แกะกระดาษห่อออก ปรากฏว่าเป็นกล่องหรู ที่พอแนนนี่เห็นก็รู้ว่าข้างในเป็นเครื่องประดับ
“ปีเตอร์” แนนนี่มองหน้าปีเตอร์
“เปิดดูดี้” ปีเตอร์คะยั้นคะยอ
“แนนนี่ไม่รับของขวัญราคาแพง”
“แพงที่ไหน! ล้านกว่าๆ นิดหน่อยเอง” ปีเตอร์พูดชิลล์ๆ
แนนนี่ส่งคืนให้ “เอาคืนไป”
“แต่แนนนี่สัญญาแล้วว่าจะรับ”
แนนนี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วมองปีเตอร์ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่เอาทั้งหมด เอาอย่างเดียวก็ได้...นะ...นะ...Please” ปีเตอร์อ้อนเสียงเศร้าๆ
“เออ ! เออ!”
“เยส ! ปีเตอร์เลือกให้นะ”

ภวัตรู้เรื่องแนนนี่ไปกับปีเตอร์จากทาฮิร่าก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที
“ทำมั้ย ...ทำไมไม่รู้จักเข็ดหลาบ”
“เอ๊ะ! อย่ามาว่าหลานฉันนะ” ทาฮิร่าไม่พอใจ
“ไม่ใช่แค่ว่าหรอกครับ มันน่าจะลงโทษอย่างหนักด้วย” ภวัตโมโหอีกต่างหาก
“หน้อยแน่ะ! นายภวิต” ทาฮิร่าเม้ง
“ภวัต” ภวัตฉุน
“ภวิต” ทาฮิร่าจงใจเรียก
“คุณยายจะมาเถียงเจ้าของชื่อได้ยังไง”
“ก็ได้ยังงี้แหละ!” พาลไม่แพ้หลานสาว
“ถ้าอย่างนั้น ก็เชิญออกจากห้องผมไปได้เลย”
“ไม่! จนกว่าเธอจะช่วยไปตามหาหลานฉัน” ทาฮิร่าต่อรอง
“ขอประทานโทษ! คุณยายเป็นแม่มดนะครับ ส่วนผมเป็นมนุษย์! แม่มดที่ไหนมาขอความช่วยเหลือจากมนุษย์”
“ไม่ว่าอะไรมันก็ต้องมีครั้งแรกทั้งนั้น”
ภวัตทรุดตัวลงนั่งอย่างระอา “แล้วผมจะไปตามที่ไหน แล้วก็ไปได้ยังไง”
“พรมวิเศษไง”
“ไหนล่ะครับ” ภวัตถาม
“เฮ้อ ! พ่อลาโง่! พ่อลาดื้อ!”
ระหว่างนั้นมีเสียงแตรรถดังขึ้นหน้าบ้านแนนนี่ 2 คนสะดุ้ง แล้วลุกเดินไปพร้อมกันที่หน้าต่าง แล้วชะโงกมอง เห็นรถปีเตอร์จอด รอให้ประตูใหญ่หน้าบ้านเปิดให้อยู่
“เฮ้อ” ทาฮิร่าถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ไหนล่ะครับ ที่คุณยายว่าหลานสาวตกอยู่ในอันตราย! นั่งหน้าระรื่นชื่นใจอยู่ข้างอสูรเสียด้วย” ภวัตแขวะแนนนี่เข้าให้
“เธอเห็นเรอะว่า แนนนี่หน้าระรื่น”
“ไม่เห็นแต่เดาได้”
“โธ่เอ๊ย ! นายภวิต”
ภวัตทอดสายตามองไปที่ประตูบ้านที่เปิดอยู่ เห็นปีเตอร์ขับรถพาแนนนี่เข้าไป
“น่าห่วงตายละ”
ภวัตหันมาอีกที แต่ทาฮิร่าหายไปแล้ว...ไปตอนไหนก็ไม่รู้

ปัทมนถอนใจอย่างโล่งอก เดินโผเข้ามาสวมกอดแนนนี่แน่น โดยมีปีเตอร์มองอย่างแปลกใจ
“แนนนี่! ทีหน้าทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะลูก แม่เป็นห่วงจนเกือบจะบ้าตาย”
“แนนนี่ไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ”
ปัทมนเหลือบมองปีเตอร์แว่บหนึ่ง “ไม่เข็ดหรือลูก”
ปีเตอร์พูดแทรกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “แนนนี่อยู่กับปีเตอร์รับรองว่าปลอดภัยไร้กังวลครับ!”
“แน่ใจหรือจ๊ะ...ปีเตอร์” ปัทมนเสียงซีเรียส
จังหวะนั้นดารกา และธานีเดินลงมา ดารกาทำสงบเสงี่ยมไม่กล้าพูด
“ไปเถลไถลที่ไหนมาฮึ รู้หรือเปล่าว่าทุกคนเค้าเป็นห่วงแทบแย่ มือถือก็ไม่เปิด!” ธานีสวดยับ
“อุ๊ยตายจริง! แนนนี่ลืมไปค่ะ ปิดตอนเข้าห้องเรียนแล้วลืมเปิด” แนนนี่นึกได้
อีกฟากของห้องผาดและพร ผลุบๆโผล่ๆ อยู่มุมหนึ่ง
ปีเตอร์เริ่มผิดสังเกต มองทุกคนอย่างแปลกใจ
“นี่มันอะไรกันครับ...ทำไมทุกคนถึงมองปีเตอร์ราวกับเป็นคนร้าย”
“กลับไปได้แล้ว” ธานีพูดเป็นเชิงไล่
“เฮ้ย! พี่ธานี” แนนนี่อึ้ง
“พี่ธานีไล่ปีเตอร์” ปีเตอร์เองก็งง
ปัทมนเห็นท่าไม่ดีรีบพูดไกล่เกลี่ย “พี่เขาเห็นว่าค่ำแล้ว...ปีเตอร์ควรจะกลับบ้านกลับช่อง...”
“ปีเตอร์อยู่คอนโดฯ ที่แพงที่สุดในประเทศไทยครับ” ปีเตอร์คุยโว
“เออ! นั่นแหละ! ถ้าไม่รีบกลับ เดี๋ยวคอนโดฯหายไม่รู้ด้วย” ธานีเล่นมุกอย่างหมั่นไส้
“คอนโดฯหาย” ปีเตอร์ไม่เก็ตมุกธานี
“เออ! รีบไปซิ”
ปีเตอร์รีบเดินออกไป แนนนี่หัวเราะคิกคัก ตะโกนไล่หลัง
“ขอบใจนะปีเตอร์”
“ไป! แนนนี่! เราต้องคุยกันยาว”
ปัทมนเดินจูงแนนนี่ขึ้นไป ธานีหันมาทางดารกาซึ่งมองตามแนนนี่อย่างเอ็นดู
“เอ้า...ยืนยิ้มอยู่นั่นแหละ...ทำไมไม่คุยกับน้องล่ะ”
“น้องดาไม่กล้าค่ะ...ช่วงนี้แนนนี่ไม่ค่อยชอบน้องดาเลย” ดารกาพูดเสียงเศร้า
“เฮ่ย...ไม่ชอบได้ยังไง...เรามีกันอยู่แค่ 3 คนพี่น้อง”
ธานีพูดพลางโอบไหล่ดารกาด้วยความเอ็นดู

ครู่ต่อมา ปัทมนจูงมือแนนนี่ขึ้นชั้นบน เปิดประตูเข้าไปในห้อง แล้วรีบปิดทันที ขณะที่แนนนี่ถอนใจเฮือกออกมาด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นทาฮีร่านั่งมองจ้องอยู่ แนนนี่รู้ตัวรีบประจบทันที
“ยายจ๋า...แนนนี่กำลังคิดถึงอยู่เลย”
“ไม่ต้องพูดมาก ! ทำไมไม่จำที่ยายบอกให้ระวังตัว” ทาฮิร่าดุทันที
“แนนนี่จะทำให้แม่หัวใจวายไปถึงไหน! เพิ่งรอดพ้นจากอสูรมาหยกๆ ถึง 2 ครั้ง...ยังจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอีก” ปัทมนเสริมอีกคน
“รู้ทั้งรู้ปีเตอร์น่ะเป็นสมุนอสูร!” ทาฮิร่าย้ำ
“ไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ...แนนนี่ก็รู้ว่าเวลาไหนอสูรจะสิงหรือไม่สิงปีเตอร์” แนนนี่พูดอย่างคึกคะนอง
“อย่าทะนงตน” ทาฮิร่าเอ็ดอีก
คราวนี้แนนนี่หน้าจ๋อย
“อบรมมากๆ เลยค่ะ คุณยาย! แนนนี่ดื้อนัก! ต้องอบรมมากๆ” ปัทมนสัพยอก แต่ยิ้มๆ
“เวรก๊ำ ... เวรกรรม!” ชิกเก้นขอแจม
“เงียบ! ไอ้ชิกเก้น! เวลานี้เป็นเวลาที่ฉันจริงจัง” เลยโดนทาฮิร่าสวด
ชิกเก้นบุ่นงุบงิบในลำคอ เสียงเบามาก “เวรก๊ำ ...เวรกรรม”

ทางด้านดารกาเดินเข้ามาในห้อง จังหวะนั้นมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ดารกาเดินมาหยิบขึ้นดู แล้วทำหน้านิ่งๆ
“สวัสดีค่ะ”
เป็นไชยนั่นเอง ซึ่งกำลังเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ทำงานด้วยสีหน้าแจ่มใส
“พี่โทร.มา พรุ่งนี้เช้าจะไปรอรับที่มหาวิทยาลัย”
“แต่น้องดาต้องเรียน...” ดารกาปฏิเสธกลายๆ
“เอ๊ย! แล้วพี่จะติวให้เอง” ไชยพูดอย่างหงุดหงิด
“แต่น้องดา ...”
“น้องดาอยากให้พี่บอกคุณแม่น้องดาเรื่องเงิน” ไชยยกเรื่องเงินมาขู่อีก
“ตกลงค่ะ”
“เข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ก็ดี”
“ตอนนี้พี่ไชยอยู่ที่ไหนคะ”
“พี่ก็ยังอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะซี ถามทำไม....จะมาหาหรือ”
“แล้วพบกัน ค่ะ”
ดาวางโทรศัพท์ลง สีหน้านิ่งสนิท
ไชยออกมาจากห้องทำงาน แล้วเดินตรงไปที่ลิฟท์ น่าประหลาดนักเพราะบริเวณที่ไชยเดินผ่าน ดูวังเวง ไม่มีผู้คนเลย
“หายไปไหนกันหมด” ไชยพึมพำมองซ้ายมองขวา
“วังเวงพิลึก”
ไชยเดินมาที่ลิฟท์ แล้วกดเรียก ลิฟท์ลงมาแล้วหยุด ประตูเปิดออก ไชยเดินเข้าไป แต่ต้องสะดุ้งเมื่อหันกลับมา สดับยืนจังก้าอยู่หน้าลิฟท์ ไชยงงเอามากๆ เพราะไม่รู้ว่าสดับมาจากไหน มาเมื่อไหร่
“เฮ้ย! นายมาจากไหน”
“อย่ายุ่งกับดารกา” สดับพูดเสียงเย็น
ประตูลิฟท์ปิดเสียก่อน ไวเท่าความคิดไชยรีบกดให้เปิด แล้วเดินออกไป
“เดี๋ยว”
ไชยชะงัก บริเวณนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครเลย ไชยเดินมองหา แต่ก็ไม่มีแม้แต่เงาสดับ
ไชยเดินกลับเข้าไปในลิฟท์อย่างงๆ และสงสัย

ลิฟท์เคลื่อนตัวลงมาเรื่อยๆ ในขณะที่ไชยมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด สักพักหนึ่ง เมื่อถึงชั้นล่างประตูเปิดออก ไชยก้าวออกมาด้วยท่าทีหวาดหวั่นเล็กน้อย

ไชยกลับมาถึงบ้าน เดินเข้ามา เห็นบุษบานั่งดูทีวีอยู่ บุษบาหันมามอง ก็ร้องทัก
“วันนี้กลับดึกนะคะ”
“ยัยบุษ....” ไชยทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง
“อะไรคะ”
แต่จู่ๆ ไชยกลับเปลี่ยนใจ “ เปล่า ไม่มีอะไร”
ไชยเดินเลี่ยงเข้าไปในบ้าน บุษบาลุกตาม สาวใช้ลุกขึ้นปิดที.วี

บุษบาเดินตามมาไชยมาถึงบริเวณบันได ถามขึ้นมาทันทีอย่างร้อนใจ
“พี่ไชย มีอะไรหรือคะ”
ไชยนิ่งไป สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด ขณะที่หันกลับมาช้าๆ
“ไม่รู้ว่าพี่ตาฝาดหรือเปล่า”
บุษบาตาโต “พี่ไชยเจอผีหรือคะ”
ไชยสะดุ้งโหยง ถามทันทีด้วยความประหลาดใจ “รู้ได้ไง”
“พี่ไชยทำหน้าแบบนั้นเลย” บุษบาตื่นเต้น “แสดงว่าพี่เจอผีจริงๆ”
“ก็ไม่เชิง ผู้ชายคนนั้นมาบอกพี่ว่า ห้ามยุ่งกับดารกา”
“โธ่เอ๊ย! นึกว่าอะไร...นังดารกาต้องจ้างมาแน่ ผีที่ไหนจะมารู้จักดารกา” บุษบาเยาะแกมหยัน
ไชยพยักหน้าช้าๆ “นั่นซีนะ ... แต่มันทำเนียนมากเลย”

ยามเช้า สภาพการจราจรเช้าวันนั้น ค่อนข้างติดขัด
ดารกาอยู่ที่มหา’ลัย กำลังเดินมาเรื่อยๆ ตาคอยมองหารถไชย
“น้องดา” เสียงไชยเรียกมาจากทางใดทางหนึ่ง
ดารกาหันมามอง ไชยเปิดกระจกรถเรียก
ดารกาเดินมาที่รถซึ่งไชยเปิดประตูรอรับ พอขึ้นมาภายในรถดารกานั่งนิ่งๆ ไม่พูดไม่จา
“น้องดาเก่งมาก...ตอนแรกพี่ยอมรับเลยว่าหวาดๆ เหมือนกัน”
ดารกาหันมามองแปลกใจ
ไชยยิ้มอย่างเป็นต่อขณะพูด “จะบอกว่าไม่รู้เรื่องละซี”
“พี่ไชยพูดเรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องที่เธอจ้างผู้ชายหน้าบากตัวเบ้อเริ่มให้มาขู่พี่” ไชยถามไม่อ้อมค้อม
“น้องดาไม่รู้เรื่อง”
“ทำหน้าไร้เดียงสาได้น่าเชื่อจริงๆ”
น้ำเสียงไชยหยันอยู่ในที ก่อนจะขับรถพาดารกาออกไป

ไม่นานหลังจากนั้นไชยก็เดินนำดารกาเข้ามาภายในบ้าน สีหน้าและท่าทีของดารกาดูอึดอัด
“นั่งก่อนซิ”
ดารกาลงนั่ง “ขอบคุณค่ะ”
“ทานอะไรหรือยัง” ไชยถาม
“เรียบร้อยแล้วค่ะ...พี่ไชยมีธุระอะไรกับน้องดาหรือคะ”
“เธอขอยืมเงินพี่ไปทำอะไร”
ไชยถามเข้าเรื่องดารกาก้มหน้าอึกอัก
“ว่าไง”
“น้องดามีความจำเป็นต้องใช้ค่ะ”
“น้องดาเอาไปให้ผู้ชายคนที่พี่เห็นเมื่อคืนใช่ไหม”
ไชยหมายถึงสดับที่เจอหน้าลิฟท์ ถามอย่างคาดคั้น ทว่าดารกายังคงเอาแต่นิ่งอยู่
“พาพี่ไปพบเขาหน่อยซิ”
ดารกาเหลือบตาขึ้นมองไชย
“ทำไม! พี่อยากรู้จักพ่อตาแม่ยายในอนาคตไม่ได้หรือ”
ดารกายังคงมองไชยนิ่งๆ


ถูกไชยรุกหนักในที่สุดดารกาก็ตัดสินใจพาไชยมาที่ชุมชนบ้านสดับ ขณะนั้นเธอเดินนำไชยเข้ามาเรื่อยๆ ไชยมองบรรยากาศในบริเวณนั้นอย่างสนใจ ดารกาพาไชยมาถึงบริเวณที่ค่อนข้างเงียบ
“แถวนี้ไม่ค่อยมีคนนะ”
ไชยกวาดตามองไปโดยรอบ แล้วหันมาทางดารกา ไชยสะดุ้งเพราะดารกาหายไปจากที่นั้นแล้ว
“น้องดา! น้องดา!”
บริเวณนั้นเงียบสงัด ปราศจากผู้คน
“หายไปไหนเร็วจัง! น้องดา !”
ไชยตะโกนเรียน จังหวะนั้นมีเสียงเหมือนประตูถูกเปิดออก ไชยหันขวับไปดู เห็นกระท่อมหลังหนึ่ง ประตูเหมือนเพิ่งมีคนเดินเข้าไป
“น้องดา!”

สีหน้าของไชยฉายแววมาดหมายขณะเดินไปที่กระท่อมหลังนั้น

 อ่านต่อตอนที่ 16 วันนี้ (14 ก.พ.55) 




กำลังโหลดความคิดเห็น