มาหยารัศมี ตอนที่ 15
จันทราโมโหหนักผลักร่างเพ็ญประกายเข้าไปในห้อง เพ็ญประกายซวนเซแล้วล้มลงบนเตียง หน้าตาเหยเก
“บอกฉันมาไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร?” จันทราถามเสียงกร้าว
เพ็ญประกายเงียบ จันทราตรงเข้ามาขยุ้มผมทันทีเพราะลูกสาวตอบไม่ทันใจ
“บอกฉันมา?” มองหน้าอย่างนึกรู้ “มันเป็นคนที่แกไปค้างกับมันใช่มั้ย? ใช่มั้ย? ทำไมแกใฝ่ต่ำอย่างนี้เพ็ญประกาย” ทั้งหยิกทั้งตีลำตัวเพ็ญประกายพัลวัน
“อย่าค่ะคุณแม่ อย่า!”
“เสียแรงที่ฉันอยากให้ได้ดิบได้ดี สุดท้ายแกก็ไปคว้าใครมาก็ไม่รู้ ทำไมแกไม่เอาอย่างฉัน ยัยเพ็ญ ทำไม?”
“ก็คุณชายเค้าไม่สนใจเพ็ญไง...ไม่เหมือนคุณศรัณย์ ที่เค้าเห็นค่าของเพ็ญ เค้าเข้าใจเพ็ญ เค้าแคร์ความรู้สึกของเพ็ญ”
“งั้นก็แสดงว่าแกยอมรับใช่มั้ยว่าวันนั้นแกไปค้างคืนกับมัน?” จันทราคาดคั้นเสียงกร้าว
เพ็ญประกายร้องไห้ “แต่เพ็ญไม่ได้ทำอะไรที่เสียหายนะคะ
“โอ๊ย!!!จะบ้าตาย ทำไมลูกฉันแต่ละคนมันไม่ได้ดั่งใจฉัน”
เพ็ญประกายชะงักกึก อึ้ง มองจ้องหน้าแม่ “ลูกแต่ละคน..หมายความว่ายังไงคะ?”
“แกไม่ต้องถาม หน้าที่ของแกคือทำตามคำสั่งฉัน” จันทรารีบโวยวายกลบเกลื่อน
“ไม่ค่ะ..เพ็ญจะไม่ทำตามคำสั่งคุณแม่ ถ้าคุณแม่มีความลับกับเพ็ญ” เพ็ญประกายมองอย่างสงสัย ก่อนจะพูดออกไป “พี่ชุ...คือลูกของคุณแม่อีกคนใช่มั้ย?”
“ยัยเพ็ญ” จันทราปรี๊ดตบหน้าลูกสาวฉาดใหญ่
เพ็ญประกายทรุดลงไปบนที่นอน จันทรากระชากตัวขึ้นมาอีกอย่างโมโหและโกรธจัด อารมณ์เครียดถึงขีดสุด
“แกมาจับผิดฉันอย่างนี้ แกอยากให้ฉันบ้าตายรึยังไง? แกรู้มั้ยทุกวันนี้ฉันทุกข์ทรมานมากแค่ไหน” เสียงเครือสั่นปล่อยเพ็ญ แต่หันมากอดตัวเองร้องไห้ “พวกมันจ้องจับผิดฉัน ส่งคนมาตามสืบประวัติฉัน พวกมันรวมหัวกันอยากให้ฉันย่อยยับ แกยังอยากให้ฉันย่อยยับอีกคนรึไง?”
เพ็ญประกายตกใจมาก โผเข้าไปกอดจันทรา “ไม่ค่ะ..คุณแม่....เพ็ญรักคุณแม่..เพ็ญไม่เคยต้องการเห็นคุณแม่ย่อยยับ”
จันทราร้องไห้จับมือเพ็ญ “แต่คนพวกนั้น...” ร้องไห้อย่างเจ็บปวดช้ำใจ
“มันเป็นใคร? แล้วคุณแม่มีอดีตอะไร ทำไมคุณแม่ต้องกลัวมันด้วย”
จันทราชะงัก ก่อนจะร้องไห้หนักกว่าเก่า “อดีตที่จะทำให้แม่ต้องตายทั้งเป็น อย่าไปพูดถึงมันเลยลูก แม่อยากลืม..แม่อยากลืม”
จันทราร้องไห้สะอึกสะอื้น เพ็ญประกายกอดแม่แน่นปลอบใจ
“หนูอย่าทิ้งแม่ไปนะเพ็ญ...มีหนูคนเดียวที่ช่วยแม่ได้...หนูต้องเอาชนะพวกมันทุกคน หนูต้องเป็นสะใภ้แห่งวังศิลาลายให้ได้ เพราะคนอย่างแม่แพ้ไม่เป็น!”
เพ็ญประกายมองแม่อย่างสงสารและเห็นใจ “ค่ะคุณแม่...เพ็ญจะเป็นสะใภ้แห่งวังศิลาลาย”
“ใครที่มันมาขวางทาง แม่จะไปจัดการมันเอง”
นัยน์ตาจันทรายามนี้วาวโรจน์ โกรธแค้นชิงชังทุกชีวิตที่มาขัดขวางทางตน
เวลานั้นหม่อมรัตนากำลังนั่งดูกำไลข้อมืออยู่ เห็นเป็นชื่อมาหยารัศมีชัดเจน หม่อมพึมพำ
“หวังว่ามาหยารัศมีตัวจริงจะมีอยู่ เรื่องยุ่งๆจะได้จบลงซักที”
ระหว่างนั้นละเอียดสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยม เดินนำจันทราเข้ามา จันทรามองเพชรในหีบ
อยากได้ปนอิจฉา หม่อมรัตนาเงยหน้าขึ้นมอง จันทรารีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นร้อนใจ
“คุณจันทรามาค่ะหม่อม”
หม่อมรัตนาพยักหน้าให้ละเอียดออกไป จันทรายกมือไหว้
“สวัสดีค่ะหม่อม”
“มีอะไรรึเปล่าคะ คุณจันทราถึงได้มาที่นี่ ความจริงน่าจะแค่โทร.มาก็ได้”
จันทราฉุนกึก “อะไรคะหม่อม? มาถึงนอกจากจะไม่เชื้อเชิญให้นั่งแล้ว ยังออกปากไล่อีก อย่าเสียมารยาทกับว่าที่แม่ยายของคุณชายธิติรัตน์นักซิคะ”
หม่อมรัตนาเหลืออดกับมารยาทต่ำๆ ลุกขึ้นยืน “คุณจันทราคะ ดิฉันก็แค่บอกให้ทราบว่า คนที่จะมาที่วังศิลาลายโดยมารยาทแล้ว ควรบอกเจ้าของบ้านให้รู้ก่อน แล้วนี่คุณยังถือวิสาสะเดินเข้ามาเองอีก”
“ดิฉันถือว่าดิฉันไม่ใช่คนนอก แต่เป็นคนในครอบครัวเดียวกับหม่อม”
หม่อมรัตนานิ่ง ไม่พอใจ “หรือคะ? ดิฉันไม่ยักทราบและถ้าคุณจันทราจะมาเร่งรัด การแต่งงาน ก็เหมือนที่ดิฉันเคยบอกไป หาหลักฐานการเป็นมาหยารัศมีมาให้ได้ก่อน”
จันทราเหน็บ “มันไม่สำคัญเท่าคุณชายธิติรัตน์พามาหยารัศมีไปค้างคืนทั้งคืนด้วยหรอกคะหม่อม”
หม่อมรัตนาตกใจมาก “ตาชายน่ะหรือคะพามาหยารัศมีไปพักค้างอ้างแรมด้วย”
จันทราสะใจมาก “ค่ะ.. อย่าบอกนะคะว่าหม่อมทำเป็นไม่รู้ เพื่อจะหาวิธีให้ลูกชายเลี่ยงความรับผิดชอบ”
ดุจแขเดินเข้ามา พูดน้ำเสียงเย้ย “หม่อมคงไม่ต้องหาวิธี ที่จะให้คุณชายเลี่ยงที่จะรับผิดชอบหรอกค่ะคุณจันทรา เพราะคนที่อยู่กับคุณชายทั้งคืนคือฉัน”
หม่อมรัตนาตกใจ ดุจแขเย้ยจันทราต่อ
“คุณเองก็น่าจะรู้แล้วนี่คะ...จะตามมาที่นี่ทำไมอีก?”
จันทราหันมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ยัยดุจแข”
“ใช่ค่ะฉันดุจแข” ยิ้มยั่วจันทรา “ยังจำได้หนิ แสดงว่าสติไม่ได้เลอะเลือน ไหงเป็นบ้ามาโมเมว่าลูกสาวหายไปอยู่กับคุณชายล่ะคะ อยากดูรูปมั้ยคะ ฉันจะเอาให้ดู”
ดุจแขควักมือถือออกมา เปิดคลิปทันที จันทราปัดมือดุจแขออก มือถือของดุจแขหล่นไปอยู่ที่หน้าหม่อมรัตนา หม่อมหยิบมาดูเห็นลูกชายคลอเคลียนัวเนียอยู่กับดุจแข
“ตาชาย!!” หม่อมรัตนาจะเป็นลม
“หม่อม..” ดุจแขตกใจรีบเข้าไปหาตะโกน “ละเอียดๆๆๆ” ละเอียดวิ่งเข้ามา “ตามพี่หมอเร็ว”
“ค่ะ”
ดุจแขหันมาด่าจันทรา “กลับไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นคุณตายแน่ เพราะฉันไม่มีวันให้ผู้หญิงหน้าด้านคนไหน มันแย่งสามีฉันเป็นอันขาด”
“สามี!”
“ใช่!!สามี สามีที่คุณชายยอมรับ ไม่ใช่ลูกสาวเธอที่คุณชายไม่ต้องการ”
จันทราได้แต่กรี๊ดๆ แล้ววิ่งออกไป หม่อมรัตนาหน้าซีดเผือด
จันทราเดินพรวดๆๆ ออกมาท่าทางโกรธจัด
“ลองไม่มาขอลูกสาวฉันดูซิ....ฉันจะโทร.บอกนสพ.เลย อยากรู้เหมือนกันถ้าวังศิลาลาย ชื่อเสียงต้องพังย่อยยับเพราะคุณชาย ยัยหม่อมจะว่ายังไง?”
จันทราสะบัดหน้าจะเดินไป กล่ำเดินออกมาพอดี จันทราไม่ทันเห็นแทบชนกล่ำ จันทราแว้ด
“ขวางทางทำไม หลีก!” เดินไปต่อ
กล่ำมองตามงง “มีแต่คุณนายนั่นแหละเดินมาชนผม เฮ้อ!” เดินไปอีกทาง)
ดุจแขยืนกอดอกมองจันทราอยู่ดุจแขคิดในใจ
“ฉันไม่มีทางให้คุณทำร้ายคุณชายหรอก คนอย่างคุณต้องเจอกับฉัน”
ดุจแขสะบัดหน้าหันกลับเข้าไปด้านใน
ทุกคนอยู่ในโถงใหญ่ในวังศิลาลาย หมอเกรียง ธิดา และดุจแข ช่วยกันดูแลหม่อมรัตนาอย่างเป็นห่วง อีกมุมตากล่ำกับละเอียดนั่งอยู่ โดยละเอียดนั้นโทษแต่ตัวเองเพราะรู้สึกผิดมากๆ
“ละเอียดพยายามห้ามไม่ให้คุณจันทราเข้ามาแล้วนะคะแต่เค้าไม่ฟัง”
กล่ำเสริม “ผมผิดตั้งแต่เปิดประตูให้เค้าเข้ามาแล้วครับหม่อม ผมกราบขอโทษครับ”
หม่อมรัตนาพูดเสียงแผ่วๆ “ไม่ใช่ความผิดของตากล่ำกับละเอียดหรอก คนอย่างคุณจันทรา ถึงไม่ให้เข้ามา ยังไงเค้าก็ต้องเข้ามาอยู่ดี”
“ผมไม่เข้าใจ อะไรทำให้เค้าเป็นไปได้ขนาดนี้ เฮ้อ!!” หมอเกรียงเหนื่อยใจ
“ก็เค้าอยากได้คุณชายเป็นลูกเขยน่ะค่ะพี่หมอ” ดุจแขว่า
“คุณน้าคะ เราบอกเค้าอย่างเด็ดขาดไม่ได้เหรอคะ ว่าลูกสาวเค้าไม่ใช่มาหยารัศมี” ธิดาบอก
“น้าบอกจนไม่รู้จะบอกยังไง ตามพินัยกรรมก็ระบุ มาหยารัศมีคือลูกสาวของคุณเมินกับคุณราศี แต่คุณจันทราก็พยายามอุปโลกน์ ยืนกรานว่าเพ็ญประกายคือมาหยารัศมี น้าเลยให้หาหลักฐาน”
“พอหาหลักฐานไม่ได้ ก็สร้างเรื่องว่าคุณชายพาเพ็ญประกายไปค้างคืนอีก ปัญญาอ่อนจริงๆ เอ่อ..ขอโทษค่ะ” ดุจแขว่าอีก
“ตกลง..ตาชายไม่ได้พาลูกสาวเค้าไปพักค้างอ้างแรมที่ไหนใช่มั้ยดุจแข”
“ยัยเพ็ญประกายไม่ใช่แน่ๆ ค่ะ” ดุจแขหันไปอีกทาง พูดเสียงเบาใบหน้ายิ้มๆ “แต่อีกคน..ไม่แน่”
ธิติรัตน์คิดถ้วนถี่แล้วจึงบอกกับเดือนแรม ที่ยืนทอดสายตามองแพเบื้องหน้าด้วยความไม่สบายใจอยู่
“คืนนี้เราคงต้องพักที่นี่นะแรม”
ได้ฟังเดือนแรมมีท่าทีเหนื่อยใจเหลือเกิน “แรมไม่สบายใจเลยค่ะ เหมือนคนดื้อด้าน ไม่ว่าใครจะห้ามเท่าไหร่ แรมก็มากับคุณชาย”
ธิติรัตน์จับมือเดือนแรมพูดปลอบ “ฉันรู้มันเป็นเรื่องไม่ดี แต่เราสองคนต้องช่วยกันฟันฝ่านะแรม”
“ไม่ใช่แค่เรื่องของมาหยารัศมี แต่ฉันต้องการค้นหาความจริงเกี่ยวกับคุณจันทรา เรื่องของเธอ เพราะนานวัน ฉันยิ่งมั่นใจว่าเรื่องเลวร้ายทุกอย่าง มาจากคุณจันทรา”
น้ำเสียงธิติรัตน์ที่พูดออกมาทั้งจริงจัง และมั่นใจมาก
ที่วังศิลาลายเวลานั้น สองคนเดินออกมาด้านนอกคุยกัน ท่าทางของธิดากลุ้มใจขณะบอกหมอเกรียง
“ดายังคิดไม่ออกเลยค่ะพี่หมอ จะทำยังไงให้สองแม่ลูกมหาภัยออกจากชีวิตนายชายซักที”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน บอกตรงๆเกิดมาเพิ่งเคยเจอ”
ธิดาบอกยิ้มๆ “ดุจแขที่ว่าร้าย ยังสู้พวกเค้าไม่ได้ค่ะ”
ดุจแขเดินตามหลังมาทันได้ยินพอดี “ก็ดุจแขแค่ร้าย แต่ไม่ได้เลวนี่คะพี่ดา...แขเคยอยากเอาชนะคุณชายแต่พอรู้ว่าสู้ไปก็เหนื่อยเปล่าแขก็ถอยไม่เหมือนสองคนนั่น”
“โดยเฉพาะตัวแม่ น่ากลัวที่สุด นี่พี่ยังคิดไม่ออกจริงๆเลยนะว่าจะจัดการกับเค้ายังไง?”
“อันดับแรก จัดการกับคุณชายก่อนค่ะ”
ดุจแขพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออกทันที
เวลานั้นธิติรัตน์กับเดือนแรมนั่งทานข้าวกันอยู่ เสียงมือถือดัง ธิติรัตน์กดรับ
“ว่าไงแข?”
“คุณชายอยู่ที่ไหนคะ?” ดุจแขนิ่งฟัง “ยังไงอย่าเพิ่งกลับมาแล้วกันค่ะ ตอนนี้คุณจันทราเป็นบ้า มาอาละวาดที่บ้านคุณชาย จะให้คุณชายรับผิดชอบลูกสาวเค้า”
ธิติรัตน์ตกใจนึกเป็นห่วงหม่อมแม่ “แล้วคุณแม่เป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ดากับพี่หมอ มาคอยดูแลอยู่ คุณชายนั่นแหละ อย่าเพิ่งกลับมา ไม่งั้นถูกจับแต่งงานแน่ ปัญหาทางนี้ เดี๋ยวแขช่วยจัดการเอง”
“แขจะทำยังไง?”
“คุณชายก็รู้นี่คะ ดุจแขคนนี้แซ่บเวอร์ขนาดไหน ถ้าแขจัดการสำเร็จ ตบรางวัลแขหนักๆแล้วกัน”
ธิติรัตน์มองหน้าเดือนแรมด้วยความกังวล ขณะที่ดุจแขยิ้มคิดแผนในใจไว้แล้ว
หม่อมรัตนาถามดุจแขด้วยความอยากรู้และเป็นห่วง
“ตกลงแขจะทำยังไง?”
“หนามยอกเราก็ต้องเอาหนามบ่งสิคะหม่อม”
ธิดาฉงน “หมายความว่า...”
“คุณจันทราใช้วิธียังไง แขก็จะใช้วิธีอย่างนั้นกับเค้า”
หมอเกรียงยิ้มๆ นึกตาม “จะดับเครื่องชนว่างั้นเถอะ”
“รับรองทั้งแซ่บทั้งนัวค่ะ”
ดุจแขอมยิ้ม
เจ๊กอไก่กวาดตามองหาหนุ่มสาวอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า เสียงมือถือดัง เจ๊กอไก่รับ
“เจ๊กอไก่ ผู้หญิงที่สวยที่สุดและรวยมว๊ากกกกค่ะ” ฟัง แล้วตกใจเหมือนเห็นผี เพราะไม่นึกว่าจะเป็นดุจแข ก่อนถามต่อ “ว่าไงคะคุณ?” นิ่งฟัง “ถึงจะงก เหนียว หนืด หักหกสิบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นแค่ไหน แต่งานนี้เจ๊ไปฟรีค่ะ นัดคิวมาแล้วกัน เรื่องแซ่บๆ นัวๆ นี่เจ๊ช้อบชอบ” เจ๊นักปั้นวางสายอมยิ้ม
“เจ๊ทำทุกอย่างได้เพื่อน้องแรมค่ะ ยกเว้น..ค่าหัวคิว ยังหักหกสิบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นเหมือนเดิม อิอิ อุ๊ปส์!!”
เจ๊กอไก่ตบปากตัวเองอย่างลืมตัว ก่อนจะสอดส่องมองหาหนุ่มหล่อสาวสวยในห้างต่อไป
ภายในห้องพัก แพริมน้ำ เดือนแรมนั่งไม่สบายใจอยู่ ธิติรัตน์ดูออก
“เธอกังวลเรื่องที่บ้านใช่มั้ย?”
“ค่ะ”
“ฉันจะคุยกับคุณป้าเอง ฉันมั่นใจ ถ้าคุณป้าได้ทราบเหตุผล ท่านจะไม่ว่าอะไรเราแน่”
ธิติรัตน์หยิบมือถือของแรมขึ้นมากดโทร.ออก เดือนแรมกังวลไม่หาย
มะลิเดินกระวนกระวาย ถามพิมเสียงเคร่ง
“แรมยังไม่กลับมาเหรอ?”
“ค่ะ”
“งอนฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้ เมื่อกลางวัน ฉันก็พูดแรงไป..แต่ที่ฉันพูดก็เพราะฉันรัก ฉันห่วง”
“คุณแรมเป็นคนมีเหตุผล พิมว่าคุณแรมเข้าใจค่ะ”
“แล้วป่านนี้ไปไหนทำไมแรมยังไม่กลับบ้านอีก?”
เสียงมือถือดังขัดจังหวะ มะลิรีบบอก “ฉันรับเอง พิม” พิมยื่นให้ มะลิรับเสียงอ่อน “แรม..ว่าไงลูก?”
ธิติรัตน์พูดสาย มีเดือนแรมนั่งหน้าจ๋อยอยู่ข้างๆ
“ผมเองครับคุณป้า?”
มะลิจะเป็นลม “คุณชาย”
“ผมขอโทษนะครับ ตอนนี้แรมอยู่กับผม”
“คุณชายคะ ป้าขอโทษนะคะ แต่ป้าไม่เข้าใจจริงๆ คุณชายจะทำให้แรมเดือดร้อนไปถึงไหน?”
“คุณป้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด...ที่ผมกับแรมอยู่ด้วยกัน เพราะตามหาคุณเมิน”
“ตามหานายเมิน หมายความว่ายังไง?” มะลิฉงน
“ผมกับแรมเจอคุณเมินที่เมืองกาญจน์ครับ”
พอวางสายมะลิก็นั่งหน้าเครียด พิมรีบปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คุณชายก็บอกเหตุผลแล้วนี่คะ..ว่าช่วยคุณแรมตามหาคุณเมิน..พิมว่าคุณน่าจะสบายใจ อย่างน้อยคุณชายก็ห่วงมาถึงคุณ กลัวจะเป็นห่วง”
มะลิเสียงอ่อยๆ “ฉันกลัวจะเป็นข้ออ้างมากกว่าน่ะสิ ตาต้อมก็อยู่ ทำไมแรมไม่เรียกตาต้อม”
แม้นเทพเดินเข้ามา “แรมอาจจะไม่ได้ตั้งใจไปกับคุณชายนะครับคุณแม่...แต่อาจจะเป็นคุณชายที่คอยตามติดแรมตลอด”
พิมพูดเย้า ใบหน้ายิ้มๆ “เรื่องความรัก มันห้ามยากนะคะคุณ ยิ่งเห็นอย่างนี้พิมก็ยิ่งรู้ว่าคุณชายรักคุณแรม”
“ผมว่าตอนนี้คุณแม่ไม่ต้องห่วงแรมหรอก.. คนที่น่าห่วง ผมว่าเป็นยัยเพ็ญมากกว่า”
แม้นเทพไม่สบายใจมาหาชุติมา เล่าเรื่องให้ฟัง สองคนเดินคุยกันมาตามทางบริเวณหน้าแฟลต ชุติมาเอ่ยขึ้น
“จริงค่ะ...คนที่น่าเป็นห่วงคือยัยเพ็ญ ยัยเพ็ญทำใจไม่ได้แน่ๆ ถ้าในที่สุดแล้วคุณชายเลือกที่จะแต่งงานกับแรม”
“พี่เป็นพี่ชายเพ็ญ พี่ยังไม่รู้เลย ทำไมชุถึงรู้ขนาดนั้นล่ะ?” แม้นเทพอึดอัดเต็มกลืน
“พี่ต้อมลืมไปแล้วเหรอคะว่า ชุก็เป็นพี่สาวของเพ็ญเหมือนกัน...”
แม้นเทพมองจ้องหน้าชุติมา จับกิริยาเห็นสีหน้าของชุติมาดูหมองลง
“อีกอย่างเรื่องแบบนี้ผู้หญิงกับผู้หญิงดูกันออก บางทีอาจจะไม่ได้รักมากรักมายหรอกค่ะแต่มันเสียหน้า เสียฟอร์ม อารมณ์ถ้าฉันไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากให้ใครได้เหมือนกัน...ที่สำคัญที่สุด”
“อะไร?”
“ยัยเพ็ญมีแม่คอยเสี้ยม....ชุรู้ว่าแม่อยากได้ในสิ่งที่แม่เคยขาดหายไป...ลองถ้าทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่แม่คิดแม่ต้องแย่กว่ายัยเพ็ญเป็นร้อยเท่าพันเท่าค่ะ”
ชุติมาบอกแม้นเทพด้วยท่าทางกังวลและนึกเป็นห่วงจันทรา
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้
มาหยารัศมี ตอนที่ 15 (ต่อ)
จันทราเดินพล่านเป็นหนูติดจั่น ท่าทางเครียดเคร่งและฉุนเฉียว
“พวกมันจงใจจะไม่มาขอยัยเพ็ญชัดๆ อย่าคิดว่าฉันจะยอม” กดมือถือโทร.ออก
เมินยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ขณะรับโทรศัพท์
“ว่าไงเธอ?”
“จะไปดูงานถึงไหน? เมื่อไหร่คุณจะกลับมาซักทีคะ?”
“อ้าว! ก็เธอเอง เป็นคนอยากให้ฉันมาดูงานที่ไซต์ไม่ใช่เหรอ? แล้วจะโทร.มาตามฉันทำไม?” เมินย้อนเอา
“ก็คุณไม่กลับมาซักที ไม่รู้รึไงว่าบ้านลุกเป็นไฟอยู่แล้ว”
“ถ้าลุกเป็นไฟเพราะเรื่องที่เธอจะบังคับให้คุณชายแต่งงานกับยัยเพ็ญ ฉันไม่ยุ่งด้วย”
จันทราโกรธจัด “คุณเมิน แต่ยัยเพ็ญเป็นลูกของเรานะ”
“ก็เพราะยัยเพ็ญเป็นลูกของเราน่ะสิ ฉันถึงไม่อยากให้ลูกถลำลึกไปมากกว่านี้ พอได้แล้วจันทรา กับการที่จะอุปโลกน์ยัยเพ็ญเป็นมาหยารัศมี เพราะยัยเพ็ญไม่ใช่” วางสายทันที
“ฉันเกลียดคุณ คุณเมิน เกลียดๆๆๆ” นึกระแวงขึ้นมา “ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง อย่าให้ฉันรู้นะว่าแอบไปมีใคร ฉันเอาตาย!”
เมินยืนหน้าเครียดอยู่ริมน้ำ ท่าทางไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ระหว่างนั้นนักสืบที่เมินจ้างเดินเข้ามา เมินถามขึ้น
“เรื่องที่ฉันให้ไปจัดการว่ายังไง?”
“ผมกำลังให้คนไปติดตามอยู่ครับท่าน รับรองทุกเรื่องที่ท่านอยากรู้ ได้รู้อย่างแน่นอน”
เมินพยักหน้า นัยน์ตาเหมือนคิดอะไรอยู่
ที่แท้นักสืบที่เมินจ้าง กับที่ธิติรัตน์จ้าง เป็นคนเดียวกัน แต่ทั้งเมินและคุณชายไม่รู้!!
เวลานั้นเจิมนั่งกรึ่มอยู่ที่ร้านเหล้าดองยาแถวบ้านที่บางน้ำเปรี้ยว บ่นพึมกับตัวเอง
“ฝืดเคืองชะมัด สงสัยต้องไปหางานที่กรุงเทพฯ ซะแล้ว” เจิมพูดพลางหรี่ตาร้าย
ชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกน้องนักสืบที่เมินกับธิติรัตน์จ้าง เดินเข้ามา ถามคนขายยาดอง
“รู้จักจันทรามั้ย?”
“ไม่รู้...ทำไมเหรอ?”
“ก็อยากจะถามอะไรนิดหน่อย เห็นเค้าว่าแม่จันทรานี่มีผัวรวย เลยอยากรู้ก่อนหน้านั้นจันทราทำมาหากินยังไง ถึงได้ผัวรวย”
เจิมชะงักกึก มองหน้าชายผู้นั้นอย่างสงสัย
ค่ำคืนนั้น พอออกจากร้านยาดอง เจิมเดินไปโทรศัพท์ไป แต่โทร.เท่าไหร่ก็ไม่ติด
“ทำไม จันทราไม่รับสายวะ ประเดี๋ยวเถอะ เกิดเรื่องอะไรเดี๋ยวก็หาว่าพี่ไม่เตือน”
เจิมหงุดหงิดท่าทางกังวล และเป็นห่วงน้องสาวมาก
เช้าแล้ว แต่เดือนแรมนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ส่วนด้านล่างธิติรัตน์นอนอยู่
ธิติรัตน์ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นอย่างเบาๆ กลัวว่าเดือนแรมจะตื่น ก่อนย่องออกไป เสียงขยับทำให้เดือนแรมรู้สึกตัวลืมตามองตามคุณชาย
ธิติรัตน์เดินออกตามหาเมินต่อ ไม่ลดละ
“นักสืบก็บอกว่าคุณเมินอยู่ที่นี่ จะไม่เห็นได้ยังไง?”
คุณชายกวาดตามองไปทั่วบริเวณ เหมือนเห็นเมินยืนหลบมุมอยู่ คุณชายตะโกน
“คุณเมิน..คุณเมินครับคุณเมิน”
ธิติรัตน์รีบวิ่งตาม แต่พอไปถึงจุดที่เห็นเมินเมื่อครู่นี้ ปรากฎว่าเมินก็ไม่อยู่ตรงนั้นซะแล้ว
“คุณเมินไปไหน?” ธิติรัตน์ออกแรงวิ่งตามอีก
เหมือนว่าเมินมองตามคุณชายอยู่ตลอดเวลา
เมื่อธิติรัตน์ตามหาเมินไม่เจอ จึงเดินออกมา ตัดสินใจโทรศัพท์หานักสืบ
“ไหนคุณบอกว่าคุณเมินอยู่ที่นี่ทำไมผมไม่เห็น” ธิติรัตน์นิ่งฟังและตอบโต้ไป “ยังอยู่? แต่ผมหาคุณเมินไม่เจอจริงๆ ส่งข่าวมาแล้วกัน” ธิติรัตน์กดวางสาย
“คุณพ่อคงจงใจหลบหน้าเราค่ะ”
ธิติรัตน์กำลังคิดอะไรอยู่ ถึงกับสะดุ้ง “แรม”
“แรมเห็นคุณชายออกมา เลยตามมา” กวาดตามอง “แรมว่าที่เราหาคุณพ่อไม่เจอเพราะคุณพ่อ ไม่อยากคุยกับเรา”
“แต่ฉันอยากคุยกับท่าน” ธิติรัตน์บอก
“แล้วท่านไม่อยากคุยกับเราค่ะ”
สองคนอยู่ที่แพริมน้ำด้วยกันแล้ว เดือนแรมยกกาแฟมาให้ธิติรัตน์ พลางเอ่ยขึ้น
“คุณพ่อเป็นคนฉลาด แล้วก็เป็นคนเด็ดขาด ลองถ้าคิดจะทำอะไรแล้วไม่มีใครเปลี่ยนใจท่านได้แน่ ถ้าท่านไม่อยากเจอเรา ต่อให้เราทำยังไงท่านก็ไม่ให้เจอ”
“ฉันไม่เข้าใจ ท่านจะหลบเราทำไม?”
“ท่านคงมีเหตุผลของท่าน อย่างแรกเลยคือท่านจงใจไม่กลับบ้าน แรมว่าท่านคงมีเรื่องต้องคิด”
“ขอให้เรื่องนั้นเป็นเรื่องของเธอ เพราะชะตาชีวิตของเธออยู่ในมือของคุณเมิน โดยเฉพาะเรื่องการตรวจดีเอ็นเอ!”
เช้านั้นที่แพริมน้ำอีกแห่งไม่ห่างจากที่ธิติรัตน์กับเดือนแรมพักอยู่ เมินนั่งเงียบๆ อยู่ลำพัง สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
นึกประมวลเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ตั้งแต่จันทราหาว่าแรมเป็นลูกชู้ เหตุการณ์ที่เมินเห็นชู้อยู่กับราศี รวมไปถึงตอนที่เมินเห็นผู้ชายหน้าเหมือนชู้มาที่หน้าบ้าน
สีหน้าเมินจริงจัง เคร่งเครียด และครุ่นคิดอย่างหนัก ขณะหยิบขวดยาในมือขึ้นมามอง นึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน
วันนั้นเมินเดินทางมาตรวจดูไซต์งาน หลังจากมาถึงจึงรู้ว่าจันทราโทร.หลอก เมื่อนายช่างเอ่ยขึ้น
“ก็ไม่เห็นใครมีอะไรนี่ครับท่าน ทุกอย่างปกติ”
“แล้วใครโทร.ไปหาจันทรา?”
“ไม่ทราบครับ แต่ผมไม่ได้โทร. แล้วที่นี่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
เมินนิ่ง รู้สึกเครียดขึ้นมา จนมีอาการคล้ายจะเป็นลม วิงเวียนศีษะหายใจไม่ออก เมินซวนเซจะล้มลง
“ท่านครับท่าน” ช่างตกใจรีบเข้าไปประคองร่างเมินไว้ทัน
ต่อมาไม่นาน ภายในที่พักในรีสอร์ท หมอมาตรวจดูอาการเมิน โดยมีนายช่างอยู่ด้วย พอหมอมองยาที่เมินบอกว่ากินเป็นประจำแล้วต้องตกใจ
“ยานี่ เป็นยากล่อมประสาทอย่างแรง” หมอบอก
เมินตกใจมาก “ยากล่อมประสาทอย่างแรง”
“ใช่...แต่เท่าที่หมอตรวจดูอาการของคุณ ไม่น่าถึงขึ้นต้องใช้ยาขนาดนี้ คุณทานมานานรึยัง?”
เมินบอกเสียงแผ่ว “ก็...ยี่สิบกว่าปีแล้วครับ”
“เป็นไปได้ยังไงที่หมอจะจ่ายยานี้ให้กับคุณ”
หมอถามอย่างสงสัย เมินเองก็สงสัย
เมินยืนนิ่งอยู่ที่แพริมน้ำที่เดิม ดึงตัวเองกลับมา ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่จันทรากุลีกุจอคอยเอายามาให้กิน พอกินแล้วตัวเองก็เกิดอาการเบลอควบคุมตัวเองไม่ได้
จันทราพยายามพูดกรอกหูเรื่องราศรีมีชู้ และย้ำตลอดเวลาว่าเดือนแรมไม่ใช่ลูกตน
“ฉันต้องรู้ความจริงทุกอย่างให้ได้จันทรา”
เมินบอกตัวเองอย่างมุ่งมั่นและมาดหมาย
เมื่อจันทราไม่รับสาย เจิมร้อนใจจึงขับรถจากบางน้ำเปรี้ยวมาหาที่บ้านเมิน อีกวันต่อมา ท่าทางจันทราตกใจมากเมื่อฟังที่เจิมบอก
“ว่าไงนะ มีคนไปถามหาฉัน?”
เจิมพยักหน้า “ฮื่อ! ท่าทางแปลกๆ มีลับลมคมนัย แล้วก็อยากรู้เรื่องแกมาก”
จันทราซักทันที “มันถามว่าไงมั่ง?”
“ก็...ถามว่า ก่อนที่แกจะได้ผัวรวยแกเป็นใคร แกทำมาหากินอะไร? เป็นคนยังไง? มีประวัติยังไง?”
จันทราหน้าซีด นึกสงสัยครามครัน “มันจะถามไปหาสวรรค์วิมานอะไร?”
“ไม่รู้ว่ะ แต่นรกสำหรับแกแน่ ...เพราะถ้าใครรู้ประวัติก่อนที่แกจะได้กับไอ้คุณเมินล่ะก็...โอ้โห!ตายแน่ๆ นังจันทรา คนอื่นอาจไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าคุณเมินรู้” เจิมพล่ามตามนิสัยปากมาก
จันทราแว้ดใส่ “หยุดเลยนะไอ้พี่ปากเสีย”
“บ๊ะ! นังนี่อุตส่าห์มาบอก ยังจะมาด่าฉันอีก” เจิมฉุน
“ก็ฉันรู้ว่าพี่ไม่ได้มาบอกฉันฟรีๆ นี่ พี่ต้องการเงิน” หยิบเงินยื่นส่งให้ “เอาไป..แล้วถ้าเห็นใครมาถามเรื่องฉันอีก พี่จัดการมันไปเลย แล้วก็เฝ้านังชุติมาให้ดีด้วย อย่าปล่อยให้มันมาเพ่นพ่าน เดี๋ยวแผนฉันเสียหมด”
เจิมหน้าเจื่อน รับปากไม่เต็มเสียง “เออ!”
จันทราจับอาการพี่ชายเห็นผิดสังเกต “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะพี่?” ห่วงลูกสาวขึ้นมา “ชุติมามันเป็นอะไรรึเปล่า? มันไม่สบายหรือเปล่า?”
เจิมเริ่มปากคอสั่น อ้อมแอ้มบอกไม่เต็มเสียง “ปะปล่าวๆๆ”
มารร้ายอย่างจันทราปราดเข้าไปจับเจิมคาดคั้น “ต้องมีอะไรแน่! บอกฉันมาพี่เจิม ชุติมามันเป็นอะไร?”
“ไม่รู้”
จันทราชะงัก จ้องหน้าถาม “จะไม่รู้ได้ยังไงก็พี่อยู่กับมันน่ะ”
เจิมบอกเสียงอ่อยๆ “มีคนไปช่วยมันออกมาแล้ว”
จันทราหูผึ่ง ตาโต “หา! มีคนไปช่วยชุติมา ใคร? พี่บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะว่ามันเป็นใคร?”
“ไม่รู้...พี่ไม่รู้จริงๆ”
จันทราเครียดขึ้นมาอีก “โอ๊ย! จะบ้าตาย ทำไมถึงได้เกิดแต่เรื่องบ้าๆ กับฉัน เพราะพี่ พี่คนเดียวเลยไอ้พี่เจิม” ฉกเงินที่ให้คืนด้วยความโมโห “เอาเงินฉันคืนมาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ให้โว้ย” เจิมแย่งเงินคืนแล้ววิ่งจู๊ดหนีไป
จันทราทรุดตัวอย่างหมดแรง “โอยย..ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ฉันจะทำยังไง? ฉันจะทำยังไง?”
ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก จันทราได้แต่คร่ำครวญอย่างปวดกบาล
อ่านต่อวันพรุ่งนี้
เวลาเดียวกัน สองคนเดินเคียงกันมาตามทางบริเวณหน้าแฟลต แม้นเทพตัดสินใจถามชุติมาเรื่องถูกจับไปขังอีกครั้ง
“ตกลงชุจะไม่บอกพี่จริงๆเหรอ? ตกลง...ชุมีความลับอะไรกับคุณจันทรา?”
“อย่าให้ชุบอกเลยนะพี่ต้อม ชุกลัวบาป”
“แต่ถ้าชุไม่บอก คุณจันทราอาจจะเป็นคนที่ต้องทำบาป”
ชุติมาบอกเสียงแผ่วๆ “แม่ทำบาปมานานแล้วล่ะค่ะพี่ต้อม และชุก็ห้ามแม่ไม่ได้เลย”
แม้นเทพไม่ได้คาดคั้น แต่พูดขึ้นเป็นเชิงถาม “เรื่องแรม?”
ชุติมาได้แต่นิ่งอึ้ง คิดหนักว่าจะเริ่มตรงไหนดี
ครู่ต่อมาชุติมากับแม้นเทพ นั่งคุยกันตรงม้านั่งข้างทางละแวกแฟลต
แม้นเทพนิ่งเงียบ สีหน้าเครียดจัด คิดตามที่ชุติมาเล่า
ชุติมาเล่าว่าตัวเองเอะใจตั้งแต่ตอนที่สุดใจบอกว่าอยากทำดีทดแทนความผิดในอดีต ความผิดที่สุดใจบอกว่าเป็นการพรากลูกพรากแม่ กระทั่งตอนที่ชุติมาเห็นจันทรามารับยากับกะเทยฟลุคหลง สุดท้ายเป็นตอนที่ชุติมาแอบได้ยินสุดใจคุยกับฟลุคหลง ว่ามีคนตามฆ่า และย้ำว่าเป็นคนที่ทำให้สุดใจต้องตกนรกทั้งเป็น
“เรื่องก็เป็นอย่างที่ชุให้พี่ต้อมฟังนี่ล่ะค่ะ แต่ชุไม่ทราบจริงๆ นะคะ ว่าความจริงเป็นยังไง? ชุก็แค่ประติดประต่อเรื่องราวเฉยๆ”
ชุติมาดูจะกังวลหนัก บอกแม้นเทพด้วยน้ำเสียงวิงวอน
“พี่ต้อม...พี่ต้อมอย่าบอกใครนะคะ ชุแค่คิดเองไปตามประสา เพราะถ้า ไม่ใช่เรื่องจริง ชุต้องบาปที่ทำผิดกับแม่แน่ๆ”
แม้นเทพจับมือชุติมาปลอบ “ชุไม่ต้องกังวลหรอกนะ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่สัญญาพี่จะ
ไม่ทำร้ายคุณจันทรา...พี่แค่อยากรู้ความจริงเกี่ยวกับแรม”
ชุติมากังวลไม่วาย มองจ้องหน้าแม้นเทพเว้าวอน แม้นเทพกุมมือชุติมาแน่น
ด้านธิติรัตน์ ยืนอยู่กับเดือนแรมที่บริเวณแพรีสอร์ท ระหว่างนั้นมือถือมีสัญญาณแมจเสจดังขึ้นมา ธิติรัตน์บอก
“นักสืบบอกฉัน ว่าคุณเมินอยู่ที่แพถัดไป ไปเร็วแรม”
ธิติรัตน์พาเดือนแรมไปเร็วรี่
สองคนถามพนักงานของเรือนแพรีสอร์ทริมน้ำ แต่พนักงานกลับบอกว่าเมินออกไปแล้ว
“มีคนลักษณะท่าทางอย่างที่คุณบอกมาพักที่นี่จริงค่ะ แต่เค้าเช็คเอาท์ออกไปแล้ว” พนักงานค้อมหัวแล้วเดินออกไป
ธิติรัตน์มองหน้าเดือนแรมอย่างเข้าใจ “คุณเมินตั้งใจหลบเราจริงๆ ด้วย”
”แรมเป็นห่วงคุณพ่อจังเลยค่ะ” เดือนแรมบอกหน้าละห้อย
“ไม่ต้องห่วง อย่างที่เธอบอกคุณเมินเป็นคนฉลาด ท่านอาจจะหลบมาเพื่อคิดทบทวน หรือทำอะไรบางอย่าง ที่ยังไม่อยากให้เรารู้ และฉันก็ขอให้เรื่องนั้นเกี่ยวกับคุณจันทรา”
ธิติรัตน์ส่งสายตามองปลอบเดือนแรม สุ้มเสียงของคุณชายลุ้นมาก อยากช่วยเดือนแรมเต็มที่
เวลาเดียวกันจันทราเดินด้วยท่าทางสโลเสลเพลียๆ เข้ามาในห้อง สีหน้าและแววตาเครียดจัดคิดถึงตอนที่เจิมบอกมีคนตามหา เหมือนกำลังตามสืบประวัติ จันทราจิตตกถึงกับมือไม้สั่นคิดในใจ
“ถ้ามีคนรู้อดีตของฉัน...ฉันจะทำยังไง? ไหนจะเรื่องชุติมา..เรื่องนังราศี โอ๊ย..ฉันจะทำยังไง?”
จันทราเอามือกุมศีรษะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาตุบๆ ก่อนที่มือจะควานไปหยิบยาของเมินมาดู คำพูดกะเทยฟลุคหลงบอก กินมากๆ ระวังบ้า ดังก้อง
“แค่เม็ดเดียวไม่เป็นไรหรอก”
จันทราหยิบยามากินเพียงแค่เม็ดเดียว แล้วเอนตัวลงนอน ค่อยๆ หลับไป
ดุจแขกับเจ๊กอไก่เดินเข้ามากันคนละมุม สองคนมองหน้าเหมือนจะหาเรื่อง แต่แล้วทั้งสองกลับมองหน้ากันยิ้มแย้ม ตะโกนพร้อมกัน
“เจ๊สั่งลุย!!”
สองคนเดินหน้าเข้าไปในบ้านท่าทางเอาเรื่องเต็มที่
เพ็ญประกายเห็นดุจแขแท็กทีมมากับเจ๊กอไก่ ก็หน้าซีดเผือด ในใจนึกหวั่น
“สองตัวมหาประลัย มันบุกบ้านเรา”
เพ็ญประกายเปิดประตูเข้ามาในห้อง จันทรานอนอยู่ เพ็ญประกายตรงเข้าไปปลุกทันที
“คุณแม่คะ คุณแม่”
จันทราสะลึมสะลือ งัวเงียเพราะฤทธิ์ยา “อะไรยัยเพ็ญ อะไร?”
“สองตัวมหาประลัยบุกบ้านเราค่ะ”
จันทรายังมึนๆ งงๆ อยู่ไม่หาย “อะไร?สองตัวมหาประลัย”
“ก็นังดุจแขกับยัยเจ๊กอไก่น่ะสิคะ”
“นังดุจแขกับยัยเจ๊กอไก่”
จันทราลืมตาโพลงลุกพรวดขึ้นมาทันควัน
ขบวนการปรองดองเพื่อเดือนแรม เจ๊กอไก่กับดุจแขเดินกอดอกเข้ามาในบ้าน ด้วยท่าทางเอาเรื่องพร้อมลุยเต็มที่ แป้นถอยหลังกรูด ก่อนจะอ้าปากถาม
“อะไรคะคุณ อะไร?”
“ไปตามนายเธอมา” ดุจแขบอก
เจ๊กอไก่สำทับเสียงแมน “และถ้าเธอชักช้า เธอคงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”
แป้นถามพาซื่อ “จะเกิดอะไรคะ?”
เจ๊กอไก่บอกด้วยหน้าตาเข่นเขี้ยว“เธอก็จะถูกขย้ำน่ะสิ”
ดุจแขกับเจ๊กอไก่ กางมือ วิ่งเข้าไปตั้งท่าจะขย้ำแป้น จนแป้นต้องรีบถอยหลังกรูด ไปชนเข้ากับเพ็ญประกายและจันทราที่ยังมีท่าทีมึนๆ อยู่ สามคนล้มลงไปกองระเนระนาดกับพื้น
เจ๊กอไก่หัวเราะลั่นพูดกับพันธมิตรดุจแข
“ขนาดยังไม่ได้ทำอะไร ยังเซโรงังกันเลย ถ้าเราสองคนแท็กทีมกันจะขนาดไหนคะคุณดุจแข”
“ก็ขนาดนี้ไง?” สองคนมัวแต่หัวเราะระรื่นจึงไม่ทันระวัง จันทราโผเข้าไปกระชากหัวเจ๊กอไก่เหวี่ยง เซหลุนๆ ล้มลงไปกองกับพื้น
เจ๊กอไก่ร้องลั่น “อ๊ายย”
จันทราปรี๊ด ตรงเข้าไปผลักดุจแขเต็มแรง “แกก็อีกคน อยากเจอดีนักใช่มั้ย?”
ดุจแขร้อง “ว้าย!” ล้มไปชนเจ๊กอไก่ สองคนล้มลงไปกองรวมกัน
เพ็ญประกายสะใจนักเชียร์แม่ให้จัดการต่อ “มันมาหาเรื่องเรา จัดการมันเลยค่ะคุณแม่”
พอดุจแขกับเจ๊กอไก่ลุกขึ้นได้ เจ๊กอไก่ท้าวสะเอวด่าทันควัน
“ฉันล้มเพื่อลุกโว้ย..และมาถึงตอนนี้เครื่องร้อนแล้วววว..จัดมา”
เจ๊กอไก่กับดุจแขมองหน้ากันแล้วพุ่งเข้าไป แยกทางประจัญบาน
ดุจแขตรงเข้าประกบเพ็ญประกาย ส่วนเจ๊กอไก่ลุยจันทรา จัดเต็มทั้งมือทั้งกระเป๋า ยกเอามาฟาดฟันไม่ยั้งมือ สองแม่ลูกร้องกรี๊ดๆ
“พวกแกเป็นบ้าอะไรมาหาเรื่องฉัน?” จันทราแว้ดใส่
“ก็มาจัดการที่แกหาเรื่องคุณชายกับแรมน่ะสิ” เจ๊นักปั้นบอก
“หน็อยแน่!! แล่นไปด่าคุณชายถึงวัง จนหม่อมเป็นลม คิดเหรอว่าทำอย่างนี้แล้วหม่อมจะยอมให้คุณชายแต่งงานกับลูกแก” ดุจแขของขึ้นเต็มองค์
“จ้างให้แกสองคนก็ไม่มีทางได้เป็นกับแม่ผัวมหาภัย สะใภ้สารพัดพิษ อย่างที่คิดหรอกย่ะ” เจ๊กอไก่ตอกใส่หน้าสองแม่ลูก
จันทรากับเพ็ญประกายโกรธจนเนื้อตัวสั่น
“มันด่าคุณแม่ว่าเป็นแม่ผัวมหาภัย และด่าว่าเพ็ญเป็นสะใภ้สารพัดพิษ”
“เออ.. ฉันกับยัยเพ็ญนี่ล่ะจะเป็นแม่ผัวมหาภัย สะใภ้สารพัดพิษ ให้มันรู้ไปว่าจะไม่ได้แต่ง ยังไงคุณชายต้องรับผิดชอบ” จันทรายึดคติอย่าได้แคร์เป็นที่ตั้ง
เจ๊กอไก่ปรี๊ดขึ้นมา “หยุด!!หยุดเดี๋ยวนี้ ฉีดโบท็อกซ์จนจะยิ้มไม่ได้แล้วยังจะอ้าปากเถียงอีก เดี๋ยวเจ๊ตบให้ฟันปลอมหลุด”
ดุจแขลุยก่อน “ไม่ต้องเดี๋ยว ตบเลย”
ดุจแขกับเจ๊กอไก่จับคู่ประกบตบจันทรากับเพ็ญประกาย ชนิดไม่มีใครยอมใคร ผมเผ้ากระจุย
แป้นตกใจหน้าซีดเผือด
“โอ๊ย!!แป้นนับคะแนนไม่ทันแล้วว”
แป้น รีบวิ่งหน้าตั้งออกไปเป้าหมายคือบ้านมะลิ
มะลินั่งจัดกลีบดอกบัว ที่เตรียมไปถวายพระวัดใกล้บ้านอยู่ พิมเดินเข้ามาบอก
“คุณขา..อาหารที่จะไปถวายเพล เรียบร้อยแล้วนะคะ”
“ของฉันก็เสร็จพอดี.. ปะ..งั้นไปกันเลย
สองคนลุกขึ้นจัดของ เตรียมจะไปวัด ขณะที่แป้นวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น
“คุณขา...ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย”
“มีอะไรแป้น?” มะลิถาม
แป้นพูดชนิดลิ้นพันกัน “ตบ...ตบกันใหญ่เลยค่ะ”
มะลิงง “ใคร?”
“คุณจันทรา คุณดุจแข คุณเพ็ญ เจ๊กอไก่”
พิมอึ้ง “สี่คนเลยเหรอคะ?”
มะลิโวยวาย “โอ๊ย...ฉันจะทำบุญ ยังมีมารมาผจญอีก ไปเร็ว แม่พิม”
พิมรีบรับคำ “ค่ะๆ”
สามคนรีบออกไปเร็วรี่
เหตุการณ์ภายในบ้านเวลานั้น แต่ละคนอยู่ในสภาพดูไม่ได้ ผมเผ้ากระเซิงไม่เป็นทรง ตามตัวมีทั้งรอยข่วนรอยหยิกจากเล็บถ้วนหน้า
แต่ขนาดนั้นก็ไม่มีใครยอมถอย ตบตีกันต่อ พร้อมกับตะโกนด่ากันฟังไม่ได้ศัพท์
“แกสองคนได้ตายอยู่ที่นี่ล่ะ” จันทราตวาด
เจ๊กอไก่ตอกกลับ “แกสิจะไม่ได้แก่ตาย”
ดุจแขคำราม “แกได้ไปทำหน้าใหม่แน่ยัยเพ็ญ”
“แกก็ต้องไปทำหน้าใหม่เหมือนกันนังดุจแข”
มะลิเดินแกมวิ่งเข้ามา มีแป้นและพิมตามติด มะลิตะโกนเสียงลั่นบ้าน
“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้”
ไม่มีใครหยุด มะลิตะโกนขึ้นอีก สั่งการพิม
“พิม..ไปเอาปลาร้ามาให้ฉันเดี๋ยวนี้”
ได้ผล ทั้งสี่คนหยุดกึก เจ๊กอไก่หันมามองมะลิ ยิ้มแหยๆ อย่างเกรงใจ
“ของโปรด”
“จะเอาซักไหมั้ยล่ะจ้ะเจ๊กอไก่” มะลิว่า
เจ๊กอไก่ยิ้มแหยๆ ทุกคนหน้าซีดนิ่งสนิท
จันทรา ดุจแข เพ็ญประกาย และเจ๊กอไก่ สะบักสะบอมไปตามๆ กัน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เจ๊กอไก่โอดโอยครวญคราง ท่าทางเจ็บมากๆ
พิมทายาให้ “เจ็บตรงไหนคะป้า? ตรงหน้ามั้ย?”
เจ๊กอไก่ส่ายหน้า พิมถามต่อ “หรือว่าป้าเจ็บตรงอก?”
เจ๊กอไก่ยังคงเอาแต่ส่ายหน้า แถมเบะปากทำท่าจะไห้อีก
“เจ็บตรงปากหรือเปล่าป้า? ตะกี้แขเห็นป้าถูกตบซะปากแทบแตก” ดุจแขกังวล
เจ๊กอไก่ส่ายหน้าอีก ตั้งท่าว่าร้องไห้ยิ่งกว่าเดิม ดุจแขชักหงุดหงิด
“เอ๊า! ตรงนั้นก็ไม่เจ็บ ตรงนี้ก็ไม่เจ็บ...ตกลงป้าเจ็บตรงไหนกันแน่?”
“เจ็บตรงที่เรียกป้านี่ล่ะคะ..อะไรคะ ก่อนหน้านี้เรียกเจ๊อยู่ดีๆ ถูกตบนิดเดียว เรียกป้ากันเลยเหรอคะ?”
ดุจแขกับป้าพิมโล่งอก ยิ้มขำ แต่ต้องหุบยิ้มเมื่อถูกมะลิเหน็บ
“ตลกมากมั้ย?”
ทุกคนเงียบกริบ มะลิถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ฉันไม่คิดจริงๆ เลยว่าพวกเธอ จะทำตัวกันแบบนี้”
แต่ละฝ่ายต่างชี้หน้ากัน โยนความผิดกันวุ่นวาย ฟังไม่ได้ศัพท์
“ก็มันสองคนเข้ามาหาเรื่องจันก่อน” จันทราโวยลั่น
“ก็คุณไม่มีมารยาท แล่นไปด่าแม่คุณชายถึงบ้าน”
“อยากแต่งงานจนตัวซีดตัวสั่น อ้างว่ามีอะไรกับคุณชายหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่สองตาคุณชายก็ไม่เคยมอง” เจ๊นักปั้นบอก
“เค้าไม่มองสองตาฉันหรอกย่ะ เค้ามองอย่างอื่น” เพ็ญประกายเอากะเค้าด้วย
มะลิตวาด “โอ๊ย! หยุด! ฉันสั่งให้ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้ ไม่อับไม่อายกันหรือไง มาเถียงกันเรื่องผู้ชายอยู่ได้”
เพ็ญประกายอ้าปากจะพูด “ก็...”
“หยุดนะแม่เพ็ญ...แค่เธอแอบอ้างเป็นมาหยารัศมี ป้าก็อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว ขืนเธอยังปรักปรำให้คุณชายรับผิดชอบ ทั้งๆ ที่เค้าไม่ได้ทำอะไรเธอ ป้าคงต้องเอาปี๊บคลุมหน้าเดินแล้วล่ะ” มะลิจัดเต็ม
สองแม่ลูกร้องเสียงหลง “คุณป้า” / “คุณพี่”
“คุณค่าลูกผู้หญิงอยู่ที่การวางตัว ถ้าพวกเธอยังทำตัวแบบนี้ คงไม่มีใครให้ค่าพวกเธอหรอก โดยเฉพาะคุณชาย”
เพ็ญประกายกับจันทราจ๋อยสนิท ขณะที่ดุจแขกับเจ๊กอไก่แอบยิ้มเยาะ
สองพันธมิตรเดินออกมา ตบมือกันด้วยความดีใจ
“ถึงจะถูกตบถูกด่า แต่มันก็คุ้ม ว่ามั้ยเจ๊กอไก่ อย่างน้อยสองคนนั้นก็ถูกคุณป้ามะลิด่าซะไม่มีเหลือ”
“แต่พูดกับคนหน้าด้านว่าไม่ได้หรอกค่ะ หยุดวันนี้ วันอื่นอาจจะสร้างเรื่องขึ้นมาอีกก็ได้”
“ก็ถ้าเผื่อพวกเค้ายังสร้างเรื่องไม่หยุด ฉันก็จะตามมาเอาเรื่องไม่หยุดเหมือนกัน”
“เจ๊ด้วยค่ะ ตามประสาคนว่างงานเอ๊ย ไม่ใช่...คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน โอ๊ย!ก็ไม่ใช่อีกล่ะ แค่เป็นคนรักความยุติธรรม”
“งั้นต่อไป เจ๊ต้องทาหน้าดำๆ แล้วนะคะ”
เจ๊กอไก่ไม่เก็ต “ทำไมคะ?”
“ก็เจ๊เป็นเปาบุ้นจิ้นไง”
เจ๊กอไก่หัวเราะคิกคัก “มุขบอกอายุเลยนะคะ...”
ดุจแขหัวเราะ “ไม่มีคนด่าแล้ว อย่ามาด่ากันเองสิคะ”
“งั้นคืนนี้ ไปเต้นระบำ ฉลองกันดีกว่าคร่า” เจ๊กอไก่ว่า
“โอเคคร่า”
สองคนจับมือกันแล้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน
มาหยารัศมี ตอนที่ 15 (ต่อ)
ค่ำนั้น บรรยากาศฉลองตบเริ่มขึ้นภายในผับหรูแห่งหนึ่ง เจ๊กอไก่โชว์ลีลาเท้าไฟ เต้นระบำสนุกอยู่คนเดียว ขณะที่สรรชัยซึ่งตามมาด้วยคุยกับดุจแขอยู่
“อะไรนะ? คุณกับเจ๊กอไก่มาเต้นฉลองที่ไปตบเค้ามา ทำตัวเป็นสก๊อยจริงๆ คุณนี่”
ดุจแขยิ้มแฉ่ง พูดเย้าๆ “ก็พอๆ กับคุณแหละ”
สรรชัยถอนหายใจ รู้สึกผิดขึ้นมาเหมือนกัน “ผมว่า...ต่อไปเราอย่าไปยุ่งกับเค้าดีกว่า”
“อ้าว! ทำไมล่ะ? คุณไม่อยากช่วยแรมแล้วเหรอ?”
“อยากช่วย แต่ผมว่า...เราสองคนยุ่งกับเค้ามากเกินไป ยิ่งคุณทำอย่างนี้ คุณคิดเหรอว่าแรมจะสบายผมว่าจะเดือดร้อนยิ่งกว่าเดิมสิไม่ว่า” สรรชัยควักมือถือขึ้นมา
“เดือดร้อนยังไง?”
“ทางนั้นคงถือโอกาสเล่นงานแรมเป็นการแก้มือ ผมจะเตือนแรม” สรรชัยเดินออกไป
ดุจแขคิดได้ “จริงด้วย...” มองตาม “สรรชัยห่วงแรมมากจังเลย” หน้าหมองลงไป
เดือนแรมซึ่งขณะนั้นอยู่ที่แพริมน้ำคุยโทรศัพท์ด้วยอาการตกใจมาก
“อะไรนะคะพี่สรรชัย คุณดุจแขกับเจ๊กอไก่บุกไปที่บ้าน”
ธิติรัตน์ได้ยินหันขวับมามอง พร้อมกับคว้าโทรศัพท์จากเดือนแรมกดเปิดลำโพงฟังอย่างสนใจ
เสียงสรรชัยตอบกลับมา
“ก็อย่างที่บอกน่ะจ้ะ ที่พี่โทร.มาเพราะอยากให้แรมระวังตัวไว้ก่อน เค้าถูกทำขนาดนี้ แรมกลับไป เค้าเอาคืนแรมแน่”
ธิติรัตน์บอกขอบคุณเสียงสุภาพ “ขอบคุณมากนะครับคุณสรรชัยที่โทร.มาบอก ไม่ต้องห่วง เกิดอะไรขึ้นผมจะรับผิดชอบแรมเอง”
สรรชัยตกใจคาดไม่ถึง “คุณชายอยู่กับแรม?”
“ครับ...ตั้งแต่วินาทีนี้ผมจะไม่ให้ใครมาทำร้ายแรมอีกต่อไป” กดวางสาย
สรรชัยยิ้มออกมา เป็นยิ้มแห่งความยินดี
“พี่ดีใจด้วยนะแรม ดีใจด้วยจริงๆ”
เวลาต่อมาเดือนแรมมองหน้าธิติรัตน์ สายตาเต็มไปด้วยคำถาม คุณชายบอกแรมน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันพูดจริงๆ แรม...ยิ่งหนี ยิ่งประนีประนอม ก็มีแต่ปัญหา ถึงเวลาที่ฉันจะพุ่งเข้าชนกับปัญหาแล้ว”
“แรมกลัวว่ามันยิ่งจะบานปลายเข้าไปใหญ่”
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ขนาดคนอื่นเค้ายังลุกขึ้นมาสู้เพื่อเรา เราจะอยู่เฉยๆ ได้ยังไง? เกิดเป็นไก่ยังต้องชน เกิดเป็นคน ก็ต้องสู้...สำคัญก็แต่ขอเราเข้าใจกัน ขอเธออยู่เคียงข้างฉันก็พอ”
“ค่ะ..เราจะเข้าใจกัน แรมจะอยู่เคียงข้างคุณชาย”
“ขอบใจมากแรม...แค่เรามีกันและกัน แค่นี้แหละที่ฉันต้องการ”
ธิติรัตน์ดึงร่างเดือนแรมเข้ามากอด เดือนแรมยิ้มซบหน้าลงกับอกแกร่งของคุณชาย นาทีนี้รู้สึกอบอุ่น และปลอดภัยยิ่งนัก
สามคนคุยกันต่อ เจ๊กอไก่เอ่ยขึ้นเสียงระรื่น
“ว้าว! คุณชายพูดอย่างนี้แสดงว่า พร้อมดับเครื่องชน”
“อานุภาพของความรักนี่ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ เปลี่ยนดีให้เป็นร้าย เปลี่ยนร้ายให้เป็นดีได้” ดุจแขว่า
“อยากเจอมั่งจัง ความรักนี่อยู่ไหน?” เจ๊นักปั้นตาเป็นประกาย
สรรชัยยิ้มขำ “ก็อยู่นี่ไง?
เจ๊กอไก่เนื้อเต้น ดีใจพูดเองเออเอง “อยู่ที่คุณสรรชัย?”
“โอ้โห!!ออกนอกหน้านอกตามากเจ๊ ผมหมายถึงอยู่ที่ตัวเราเองนี่แหละ ถ้าเรารักตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง เราไม่มีวันคิดร้าย ทำร้ายใคร?”
ดุจแขหมั่นไส้ เหน็บเอา “มาเที่ยวผับ แต่พูดยังกับมาเที่ยววัด”
สรรชัยบอก “จะอยู่ที่ไหน ถ้าเรามีสติ ชีวิตไม่มีพลาด”
เจ๊กอไก่ต่อให้ “มีสติก่อนสตาร์ทไงคะ อ้าว!ไม่ใช่” หัวเราะแหะๆ
ดุจแขยิ้ม “งั้นเดี๋ยวออกจากผับ เราก็ไปทำบุญที่วัดเลยแล้วกัน” ดุจแขมองไปอีกทางร้อง “เอ๊ะ!”
สรรชัยห่วง “เจอโจทย์เก่ารึไงแข?”
“โจทย์ใหม่นี่แหละ”
เจ๊กอไก่อึ้ง อยากรู้ “ใครคะ?”
“ฉันเห็นเพ็ญประกายอยู่ตรงนั้นน่ะค่ะ”
ว่าพลางดุจแขชี้มือไป ที่มุมห้อง เห็นเพ็ญประกายนั่งดื่มอยู่ ท่าทางซึมเซาเหงาหงอยดูไร้พิษสง
ท่าทางเหมือนคนกำลังกลุ้มหนัก
ดึกแล้ว ศรัณย์ยังทำงานอยู่ที่บริษัท กำลังดูงานคุมงานตัดต่อ และเช็คเทปที่ถ่ายทำเสร็จแล้ว สีหน้าท่าทางของศรัณย์ดูไม่สบายใจนัก วีระชะโงกหน้าเข้ามา
“เฮ้ย!!ยังไม่กลับอีกเหรอ?”
“ฮื่อ!!งานยังไม่เสร็จเลย ว่าจะอยู่ตัดต่อเทปนายชายกับแรมเล่นละครให้เสร็จจะได้ส่งช่อง”
“เอาใจช่วยโว้ยเพื่อน งั้นฉันกลับก่อนนะ”
“แล้วเจอกัน”
พอวีระเดินออกไป ศรัณย์ลังเลอยู่นิดหนึ่ง ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาโทร.ออก
เพ็ญประกายที่อยู่ในสภาพกึ่มๆ ท่าทางเมาๆ รับโทรศัพท์เสียงอ้อแอ้
“เพ็ญประกายค่ะ”
ศรัณย์ตกใจเมื่อได้ยินเสียง “นี่คุณเพ็ญดื่มเหรอครับ?”
“นิดหน่อยค่ะ”
“แต่น้ำเสียงของคุณเพ็ญ ไม่หน่อยแล้ว คุณเพ็ญอยู่ที่ไหนครับ?” ศรัณย์นิ่งฟัง “เดี๋ยวผมไปหานะครับ” กดวางสาย “คุณเพ็ญดื่มขนาดนี้ ...ต้องมีเรื่องอะไรอีกแน่”
ศรัณย์เป็นห่วงเพ็ญประกายมาก ผลุนผลันออกไปทั้งที่งานยังไม่เสร็จ
ด้านสรรชัย ดุจแข และเจ๊กอไก่ ต่างเพ่งมองเพ็ญประกายด้วยความประหลาดใจ เจ๊กอไก่ตั้งข้อสังเกต
“อย่าบอกนะคะว่า ถูกตบจนฟั่นเฟือน”
“ผมว่าเค้าคงมีปัญหาจริงแหละ” สรรชัยว่า
“ทำใจไม่ได้ที่คุณชายไม่ยอมแต่งด้วยมั้ง?” ดุขแขบอก
“คุณนี่ก็ช่างแขวะเค้าซะจริง” สรรชัยเหน็บเอา
“ไม่แขวะก็ได้ค่ะคุณพระเอก” ดุจแขมองจ้องหน้าสรรชัย “ว่าแต่...คุณจะมาเที่ยวกับฉันทำไมเนี่ย? ไม่เห็นคุณจะทำอะไร เต้นระบำก็ไม่เต้น ดื่มก็ไม่ดื่ม”
สรรชัยรีบบอก “มารอเก็บศพคุณกลับไปไง คุณมาเที่ยวผับทีไรกลายเป็นศพกลับบ้านทุกที
คำพูดเหมือนตำหนิแต่แฝงความห่วงใยอยู่ในนั้น ดุจแขมองสรรชัย สายตาที่มองมี
ความอบอุ่นลึกซึ้ง มั่นคง ปลอดภัย ก่อนที่ดุจแขจะพูดออกมาแผ่วเบา
“ขอบคุณมากนะสรรชัย”
เจ๊กอไก่หันมามองสรรชัยกับดุจแขที่มองหน้ากันอยู่ก็ยิ้มแล้วแซวทันที
“อ้าว! หันมากินกันเองซะแล้ว แล้วฉันจะกินใคร?”
ระหว่างนั้นเจ๊กอไก่หันไปเห็นศรัณย์เดินเข้ามาในผับ เจ๊กอไก่สะดุ้ง ขยี้ตาไม่อยากเชื่อ ดุจแขเห็นเข้า
“อะไรเจ๊?ทำท่าอย่างกับเห็นผี”
“คุณศรัณย์ค่ะ” เจ๊กอไก่บอก
“แล้วทำไมต้องตกใจ” สรรชัยถาม
“ก็ดูสิคะ...” เจ๊กอไก่พยักพะเยิด
ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน เห็นศรัณย์ประคองร่างของเพ็ญประกายที่เมาแทบไม่ได้สติออกไป
สามคนมองอย่างงวยงงสงสัย
“ทำไมไปด้วยกันได้ล่ะ
“นั่นน่ะสิคะ...ไปรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน?”
สรรชัยนึกออก “อย่าบอกนะว่า...”
“อะไรคะ?” ดุจแขซัก รอฟัง
“ผู้ชายที่พาคุณเพ็ญประกายหายไปคือคุณศรัณย์?”
ทุกคนเงียบ เขม้นมองศรัณย์ที่ประคองเพ็ญประกายออกไปไม่กะพริบตา
คืนเดียวกันนั้น ชุติมานอนกระสับกระส่ายอยู่ในห้องที่แฟลต พลิกตัวไปมาหลาบตลบ แล้วถอนหายใจเฮือกๆ
ชุติมายิ่งกังวลหนัก เมื่อนึกถึงหลายเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับจันทราทั้งสิ้น ทั้งตอนที่จันทรามารับยาจากฟลุคหลง ซึ่งชุติมาเห็นกับตา
แม้กระทั่งตอนที่ได้ยินสุดใจบอกฟลุคหลง ว่ายาที่จันทราให้หาเป็นยาอันตราย คนมาเอาเป็นคนไม่ดี และที่สุดใจบอกว่า มีคนตามฆ่า ย้ำว่าเป็นคนที่ทำให้ตัวเองตกนรกทั้งเป็น
ชุติมาคิดภาวนาในใจ “แม่...อย่าทำอะไรใครอีกเลยนะ ชุอยากให้แม่กลับใจ” ก่อนจะคว้ามือถือเจ้าปัญหาขึ้นมามอง “ชุไม่ได้อยากเอามือถือนี่เป็นเครื่องต่อรองนะแม่..ชุแค่อยากให้แม่กลับใจ”
ชุติมาตัดสินใจเด็ดขาด ลุกพรวดขึ้นมา แล้วออกไปนอกห้องทันที
ส่วนจันทรายืนมองที่กระจกในห้องนอน เงาของจันทราในกระจก ดูดุดัน เหี้ยมเกรียม และร้ายกาจ จันทราก้มลงดึงลิ้นชักที่โต๊ะเครื่องแป้ง เห็นปืนหนึ่งกระบอกวางอยู่จันทราหยิบขึ้นมา
“จะเป็นใครหน้าไหน ! คิดมาลองดีกับฉันดูซิ ฉันไม่เอาไว้แน่ ไม่เชื่อก็ลองดู”
จากนั้นจันทราเดินมาที่เตียงนอน เปิดหมอนขึ้นวางซุกปืนไว้ใต้หมอนก่อนจะล้มตัวลงนอน ข่ม
ตาให้หลับ
จันทราหลับไปในอาการกระสับกระส่าย
บรรยากาศด้านนอก ท้องฟ้ามืดมิด ลมพัดผ้าม่านที่หน้าต่าง จันทรานอนกระสับกระส่ายเหมือนตกอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นเหมือนราศีค่อยๆ คืบคลานขึ้นมาหาจันทราบนเตียงเหมือนครั้งก่อนๆ
“เลิกโยนความผิดให้คนอื่นซักที...คุณนั่นแหละฆ่าฉัน คุณเป็นคนฆ่าฉัน”
จันทราลุกพรวดขึ้นมากรี๊ดสุดเสียง
“ม่าย...............”
จันทราหอบหายใจระรัว ค่อยๆ กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง ไม่มีราศี มีแต่ความมืดมิด จนนึกกลัวขึ้นมา จันทราผ่อนลมหายใจลง
“เราฝันไป” ฉุกคิด ในใจ “นานแล้วที่เราไม่ได้ฝันถึงราศี แล้วทำไม?”
จันทราเหลียวขวับไปมอง เหมือนเห็นเงาคนเคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าประตู
จันรากลัวๆ กล้าๆ “ใคร? ฉันถามว่าใคร?” นัยน์ตาหวาดระแง “นังราศี!!แน่จริงออกมาสิ เป็นผีฉันก็ไม่กลัว ออกมาเลย ออกมา!”
จันทราคว้าปืนที่อยู่ใต้หมอนออกมา กวาดตามองรอบๆ ห้อง สายตาหวั่นกลัวแต่ยังถือดี
“ฉันไม่กลัวแกหรอก”
จันทราเปิดประตูห้องเดินออกไป
จันทราเปิดประตูห้องออกมา กดมือเปิดสวิชท์ไฟ แต่ไฟไม่ติด จันทราเสียงสั่น
“มาดับอะไรตอนนี้?”
จันทรากวาดตามองอีกครั้ง ใจสั่นระรัว เมื่อเห็นลักษณะเหมือนเงาดำคล้ายผู้หญิง
เคลื่อนไหวไปมา และทำท่าจะพุ่งเข้าหา จันทรากรีดร้องลั่น
“ว้าย!!” จันทรารีบหลบ ลืมตาขึ้นมาอีกทีเห็นเงาดำเคลื่อนตัวไปทางห้องเพ็ญประกาย
“ยัยเพ็ญ” จันทรารีบตรงไปที่ห้องลูกสาวทันที
จันทราตรงดิ่งมาที่หน้าห้องทุบประตูพลางร้องเรียกเพ็ญประกายอย่างร้อนใจ
“เพ็ญ! เปิดประตูสิลูกเพ็ญ”
ประตูเปิดออกท่ามกลางความมืดสลัว เพ็ญประกายไม่อยู่ในห้อง จันทราวิ่งเข้าไปหา
“เพ็ญ...ลูกอยู่ที่ไหนเพ็ญประกาย? อย่าบอกนะ ราศี แกจะเอาลูกฉันไป!”
จันทราใจหาย วิ่งกลับไปที่ห้องอย่างเร็วรี่
จันทรากลับห้อง คว้ามือถือขึ้นมา กดโทร. ออกพูดอย่างกังวล เพราะไม่มีคนรับสาย
“เพ็ญ..ลูกอยู่ที่ไหน เพ็ญ? ทำไมลูกไม่รับสาย”
ขณะที่จันทรากดมือถือ เป็นเวลาเดียวกับที่ รถศรัณย์แล่นมาจอดหน้าบ้าน
จันทราได้ยินเสียงจึงชะโงกหน้าลงมามองเห็นเป็นรถคันหนึ่งมาจอด
“ใครน่ะ? หรือจะเป็นยัยเพ็ญ?” รีบถลาลงไปทันควัน
เพ็ญประกายเมามาย นั่งหลับพิงเบาะศรัณย์ปลุก
“คุณเพ็ญ...ถึงบ้านแล้วครับคุณเพ็ญ”
เพ็ญประกายนิ่ง ศรัณย์เอื้อมมือมาแตะแขนเพ็ญเบาๆ บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คุณเพ็ญถึงบ้านแล้วครับ”
เพ็ญประกายงัวเงียขึ้นมา ยังมึนๆ จากอาการเมา “หือ”
“ถึงบ้านแล้วครับ...”
ท่าทางของเพ็ญเหมือนยังไม่ได้สติ ศรัณย์ลงจากรถอ้อมมาเปิดประตูประคองเพ็ญประกาย
“ไหวมั้ย? ผมช่วยประคองนะครับ”
“ไม่! เพ็ญไม่อยากกลับบ้านๆ” เพ็ญประกายวี้ด
“ไม่ได้นะครับ เดี๋ยวคุณแม่จะเป็นห่วง”
เพ็ญประกายชะงัก “ห่วงเหรอคะ?..” เรียกสติ แล้วพูดเสียงแผ่วระบายอย่างอัดอั้น “แม่ไม่เคยห่วงเพ็ญหรอกค่ะ”
“ห่วงสิครับ คุณแม่ห่วงคุณเพ็ญ เข้าบ้านนะครับ” ศรัณย์ปลอบ
“คุณศรัณย์คงรำคาญเพ็ญแล้ว ได้ค่ะ....ขอบคุณมากที่มาส่ง” เดินโผเผจะเข้าไป
“เปล่านะครับ ผมไม่ได้รำคาญคุณเพ็ญ”
เพ็ญประกายหยุด หันมามอง ศรัณย์พูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ผมแค่เป็นห่วง ไม่อยากให้คุณเพ็ญถูกคุณแม่ดุเท่านั้นเอง”
“ขอบคุณมากค่ะคุณศรัณย์ ขอบคุณจริงๆ รีบกลับเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณแม่ออกมาเห็นจะเป็นเรื่อง”
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ศรัณย์ขับรถออกไป
ระหว่างนั้นชุติมานั่งรถแท็กซี่มาถึงหน้าบ้านและทันเห็นพอดี
“ผู้ชายที่ไหนมาส่งยัยเพ็ญ”
ชุติมาฉงน ตามเพ็ญเข้าบ้านไปทันที
จันทราเดินตัวปลิวออกมาจากบ้าน เห็นเพ็ญประกายอยู่ในสภาพเมามาย เดินเป๋
ไม่ตรงทาง จันทราเขม้นมองแล้วตกใจ ไม่อยากเชื่อสายตา
“นี่มันอะไรกันเพ็ญ ทำไมลูกเมาแบบนี้”
เพ็ญประกายบอกเสียงอ้อแอ้ เมาๆ “เพ็ญกลุ้มใจค่ะคุณแม่ ได้ยินมั้ยคะว่าเพ็ญกลุ้มใจ”
จันทราคาใจ “กลุ้มใจ? แกหมายความว่ายังไง?”
เพ็ญประกายระบายต่อ “อย่างที่พูดค่ะ เพ็ญกลุ้มใจ กลุ้มใจที่เพ็ญไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เพ็ญต้องคอยทำตามคำสั่งของคุณแม่ทุกอย่าง”
จันทราปรี๊ด ตวาดแว้ด “นังลูกบ้า!! นี่แกว่าฉันบังคับแกเหรอ? แกว่าฉันบังคับแกเหรอ?”
จันทราตรงเข้ามาหมายจะขย้ำตามเคย แต่เพ็ญประกายผลักมือจันทราออกบอกชัดๆ
“ใช่ค่ะ คุณแม่ปล่อยเพ็ญค่ะ ปล่อยให้เพ็ญได้ใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง”
จันทราโกรธจัด บันดาลโทสะตบผลัวะ “นี่แนะ!! ปล่อยให้ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง อย่ามาปากดีกับฉันนะนังเพ็ญ อย่างแกมันก็ดีแต่ใฝ่ต่ำ แกไปกับไอ้ผู้ชายวันนั้นมาใช่มั้ย นังเพ็ญแกบอกฉันมา”
จันทราทั้งตบ ทั้งทุบตีเพ็ญประกายด้วยอารมณ์โกรธ ชุติมาทนดูไม่ไหววิ่งเข้าไปห้าม
“อย่าค่ะคุณแม่ อย่า!”
เพ็ญประกายได้ยิน ชะงักกึก มองชุติมาอย่างงงๆ “คุณแม่?”
ชุติมารีบเปลี่ยนเรื่อง “ก็แม่เธอไง....คุณน้า อย่าทำอะไรยัยเพ็ญเลยนะคะ”
เพ็ญประกายกรีดร้องออกมา “ทำเลย อยากทำอะไรก็ทำ เพ็ญเบื่อที่จะต้องทำตามคำสั่งคุณ แม่แล้ว อยากฆ่าเพ็ญให้ตายคุณแม่ก็ทำเลย แต่เพ็ญจะไม่ทำตามคำสั่งของคุณแม่อีกแล้ว”
จันทราโกรจนตัวสั่น “นังเพ็ญ” เงื้อมือจะตบ
ชุติมาเข้ามาขวาง “อย่าค่ะ”
ไม่ทันแล้วมือของจันทราฟาดเข้าที่หน้าชุติมาอย่างจัง ชุติมาหน้าหัน เพ็ญประกายเองก็อึ้ง
จันทราหันมาด่าเพ็ญประกายต่อ “คิดจะลองดีกับฉันก็เอาซี้ยัยเพ็ญ” กระชากแขน “มานี่!ฉันจะจับแกขังเหมือนนังแรมเลย”
เพ็ญประกายกลัวสุดขีด ขืนตัวไม่ยอมไป “ไม่!!เพ็ญไม่ยอมให้คุณแม่ขังเพ็ญเด็ดขาด เพ็ญจะไปจากที่นี่”
เพ็ญประกายสะบัดมือ แล้ววิ่งหนี จังหวะที่หมุนตัวนั้นชนเข้ากับชุติมาอย่างแรง จนชุติมาซวนเซก่อนจะล้มใส่จันทรา เพ็ญประกายถือจังหวะนั้นวิ่งออกนอกบ้านทันที
จันทราเจ็บข้อเท้าพลิกวิ่งตามไม่ไหวได้แต่ตะโกนไล่หลัง “เพ็ญ.. อย่าไปนะ ฉันไม่ให้แกไป กลับมา กลับมา” พยายามจะลุกแต่ลุกไม่ไหว
“เดี๋ยวชุไปตามน้องเองค่ะ”
ชุติมาตามเพ็ญประกายไปอย่างรวดเร็ว จันทราร้องไห้โฮทั้งเสียใจและโกรธขึ้งสุดขีด
“เพ็ญประกาย ถ้าฉันจับแกได้ ฉันจะขังแกเหมือนนังแรมเลย คอยดู!”
จันทราพยายามจะลุกแต่ลุกไม่ไหว แป้นวิ่งเข้ามาประคอง
“ค่อยๆ ค่ะคุณนาย ค่อยๆ”
แป้นประคอง จันทราได้แต่มองตามเพ็ญประกายโกรธปนห่วง
เพ็ญประกายวิ่งลับตัวหายไป ชำนิที่แอบอยู่บริเวณหน้าบ้านตอนนั้นพอดี รีบตามไปโดยที่เพ็ญประกายไม่รู้ตัว
ระหว่างนั้นธิติรัตน์ขับรถมาส่งเดือนแรม ธิติรัตน์เดินลงมา
“ฉันเข้าไปด้วยนะ จะได้เรียนคุณป้า คุณป้าจะได้ไม่ดุเธอคนเดียว”
“ขอบคุณค่ะ”
สองคนจะเดินเข้าไปในบ้าน แม้นเทพขับรถมาจอดพอดี
“พี่ต้อม”
แม้นเทพมองจ้องธิติรัตน์เขม็ง สีหน้าไม่พอใจมาก “ผมขอร้องคุณชายแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้มายุ่งกับแรมอีก”
“พี่ต้อมคะ คุณชายพาแรมไปหา....”
เดือนแรมพูดยังไม่ทันจบ ชุติมาก็วิ่งหน้าตาตื่นออกมา
“เห็นเพ็ญมั้ย เห็นเพ็ญมั้ย?”
แม้นเทพตกใจไปด้วย “อะไรเหรอชุ?”
ชุติมารีบบอก “เพ็ญ...เพ็ญหนีออกจากบ้านค่ะ”
“พี่เพ็ญหนีออกจากบ้าน”
เดือนแรมตกใจ สองหนุ่มงวยงง
ทั้งสี่คนออกตามหาเพ็ญประกายตามรายทางแต่ไม่พบ วิ่งกลับมาเจอกันที่หน้าบ้าน ทั้งเหนื่อยและห่วง
“ไม่เห็นพี่เพ็ญเลยค่ะ” เดือนแรมบอก
“พี่ก็ไม่เห็น” ชุติมาว่า
แม้นเทพหน้านิ่วคิ้วขมวด “แล้วเพ็ญไปไหนกัน?”
เพ็ญประกายที่ทุกคนตามหา เดินมาตามทางด้วยท่าทางเมาๆ โรยแรงเต็มทีแล้ว ร้องห่มร้องไห้อย่างขมขื่นใจ
“ทำไมชีวิตเราต้องเป็นอย่างนี้ทำไม?”
เสียงชำนิดังขึ้น “เพราะเธอมีแม่ที่เลวไง”
เพ็ญประกายหันกลับมามอง เห็นชำนิหน้าตาถมึงทึง เพ็ญประกายยังไม่ทันจะพูดอะไร ชำนิก็ชกเปรี้ยงเข้าที่ท้องอย่างแรง เพ็ญประกายตัวงอเป็นกุ้งร่วงลงหมดสติทันที
ชำนิอุ้มร่างเพ็ญประกายหายไปในความมืด
อ่านต่อตอนที่ 16