บ่วง ตอนที่ 12
เพ็ญนอนปวดท้องอยู่บนเตียงนอน เพราะโดนคุณไสยจากแพง พึ่งถือถ้วยยามาให้
“พี่เพ็ญปวดมากไหม นี่จ้ะ ยาหม้อ ฉันต้มมาให้”
เพ็ญปัดชามทิ้งเปรี้ยง พึ่งตกใจ หน้าเสียกลัวๆ
“เอาออกไป ลูกแกมันร้ายนัก มันเสกหนังควายเข้าท้องข้า ฮือ...คอยดู ถ้าข้าตายไป ข้าจะเป็นผีมาหลอกมัน โอ๊ย...ปวดๆ ฮือ ออกไป๊ ข้าเกลียดลูกเอ็ง ข้าไม่อยากเห็นหน้าเอ็ง”
เพ็ญหยิบของเขวี้ยงใส่ ไล่ออกไปชี้หน้าด่าโวยวายใหญ่โตทั้งที่ปวดท้องอยู่ นวลเดินเข้ามาดึงพึ่งออกไป
“นี่ออกมานี่...น้านี่ยังไง เขาเขวี้ยงของใส่ยังไม่รู้จักหลบ”
นวลดึงพึ่งออกมาคุยกันนอกห้อง หลบการอาละวาดของเพ็ญ
“ข้าสงสารพี่เพ็ญ อีแพงนะอีแพง แย่งผัวเขายังไม่พอ นี่ยังเล่นคุณไสยใส่คนอื่น ไม่รู้จักกลัวบาปกลัวกรรม”
“โฮ้ย...บาปกรรมหน้าตาเป็นยังไง น้าพึ่งเคยเห็นหรือ”
“อีนวลนี่ เอ็งก็พลอยเป็นไปอีกคน”
“น้าเพ็ญน่ะร้ายจะตาย วันๆประจบคุณหญิง ทำร้ายคุณแพงมากี่หนแล้ว โดนซะบ้าง สมน้ำหน้า”
“แล้วไอ้คุณไสยอะไรเนี่ย นังแพงมันไปเรียนมาจากไหน เอ็งรู้ไหม”
“จะเรียนมาจากไหนก็ช่างเถอะ มันใช้งานได้ก็พอแล้ว ต่อไปนี้ ทั้งน้า ทั้งฉันก็สบายแล้ว โดนกันไปขนาดนี้ ไม่มีใครกล้ายุ่งกับคุณแพงอีกแล้วล่ะ ไว้วันไหน ฉันจะขอยาเสน่ห์มาใช้กับพี่กล้าบ้าง” นวลนึกขึ้นมาได้ “ว่าแล้ว ไปหาพี่กล้าดีกว่า”
นวลเดินไปทันที พึ่งยืนกลุ้ม
กล้าเดินอยู่ในสวนของเรือนใหญ่ จู่ๆ นวลก็วิ่งมาลากกล้าให้ไปกับตน
“อยู่นี่เอง...พี่กล้า พี่กล้า ช่วยด้วยๆ มีหนูอยู่ที่ห้องนอนฉัน พี่ไปช่วยไล่หนูให้หน่อยสิ...มาเร็ว มาเร็วเข้า”
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ อะไรกัน อะไรกัน”
“มาเถอะน่า มาเร็ว”
นวลลากกล้ามาที่เรือนคนใช้เข้าไปในห้องนอนของตน
“มานี่...มานี่ เข้ามาเลย...เข้ามา”
กล้าไม่ได้เฉลียวใจ มองหาใหญ่
“ปกติแถวนี้ไม่มีหนูนี่ จู่ๆมีได้ยังไง”
นวลแอบล็อกห้อง คลิ๊ก...กล้าแปลกใจ
“ล็อกห้องทำไมล่ะนวล เปิดประตูไว้สิ จะได้ไม่น่าเกลียด”
นวลเข้าไปกอด
“คนรักกัน มีอะไรน่าเกลียดหรือจ๊ะ”
“นี่จะทำอะไรเนี่ย...ปล่อย...”
“พี่กล้าอ่ะ ไม่เห็นใจนวลบ้าง นวลน่ะมีใจให้พี่มานานแล้ว อยากรู้จัง ที่ทำใจแข็งอยู่เนี่ย ถึงเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง เนื้อแนบเนื้อจะใจแข็งได้สักแค่ไหน...”
นวลเริ่มยั่วยวนกล้าด้วยสายตา และเอาร่างกายเข้าไปเบียดชิด กล้ายังเฉยนิ่ง เริ่มรู้แกวแล้ว
“ตกลงเรื่องหนูน่ะ ไม่มีใช่ไหม”
“ถ้าพี่หมายถึงหนูตัวโตๆ สวยๆ เนื้ออุ่นๆ ก็มีอยู่นี่ทั้งตัวแล้วไง” นวลชี้ที่ตนเอง “เนี่ยอยู่ตรงนี้ รอให้พี่จับ รออยู่แล้วนี่ไงจ๊ะ”
กล้าใจเย็นอยู่ ไม่หนี
“อ๋อ...เข้าใจแล้ว”
“เข้าใจแล้ว งั้นจะจับหรือไม่จับล่ะจ๊ะ กล้าไหม...กล้าไหม กล้าสมชื่อหรือเปล่า”
“เรื่องจับหนูน่ะ...พี่กล้าอยู่แล้ว”
นวลยิ้มกว้างดีใจ ชักมีหวัง
“จริงหรือจ๊ะ”
“แต่วิธีจับของพี่น่ะ ไม่เหมือนคนอื่นนะ”
“ขี้คุยซะด้วย จะว่าตัวเองพลิกแพลง พิสดารว่างั้น แหมอยากรู้แล้วสิว่าจะพิสดารขนาดไหน”
นวลเข้าไปลูบคลำยั่วต่อ กล้ายิ้มร้าย เอากาน้ำดื่มที่วางอยู่บนโต๊ะในห้อง ราดลงบนหัวนวลเปรี้ยง
“นี่ไงจ๊ะ แบบนี้พิสดารถูกใจไหม”
นวลหน้าเละ เปียกปอน เต้นเร่าๆ
“อ๊าย พี่กล้า อ๊ายๆๆ”
“นี่...อย่าร้อง เรียกมาจับเอง ถึงเวลาถูกจับ มาทำร้อง ทำดีดดิ้นแบบนี้ไม่ถูกนะ...ฮึๆ ไปล่ะ”
กล้าเดินหัวเราะออกไป นวลสาละวนเช็ดหน้าเช็ดตาเลยจับกล้าไม่ทัน
“พี่กล้า จะไปไหน กลับมานี่นะ โธ่โว้ย เลอะหมด”
นวลได้แต่ยืนหน้าเปียกปอนเละอยู่ตรงนั้น
ค่ำนั้น...บัวสวรรค์นั่งสีซออยู่ในศาลากลางสวนด้วยเพลงเศร้าๆ หน้าของเธอเศร้าหมองเพราะเรื่องของหลวงภักดีกับชื่นกลิ่น กล้าเดินเข้ามาหา มองด้วยความชื่นชมและความรัก เขามาถึงก็มานั่งกับพื้นห่างๆ เจียมตัว
“ในบ้านที่มีแต่เรื่องราว จู่ๆมีเสียงดนตรีขึ้นมา ฟังแล้วค่อยใจชื้น”
“บรรยากาศแบบนี้ ก็ได้แต่สีเพลงเศร้า เมื่อไหร่หนอ คนชั่วจะได้รับกรรม คุณหลวงกับพี่ชื่นเป็นคนดีมาตลอดชีวิต ไม่สมควรจะต้องมาเป็นแบบนี้”
“ความชั่วและคนชั่ว แผ่ขยายตัวเองด้วยการทำให้คนดีท้อแท้ หากคนดีท้อแท้และเมินเฉยเมื่อไหร่ความชั่วและคนชั่ว จะขยายอาณาจักรของมันทันที อย่างที่คุณบัวเคยบอก เราต้องไม่สูญเสียศรัทธาง่ายๆ”
นวลแอบมองอยู่มุมหนึ่ง พึมพำเบาๆ
“ที่แท้ก็แอบมาพลอดรักกันตรงนี้...ดีล่ะ”
คุณหญิงอบเชยเดินไปมาอยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างกลุ้มใจ นวลเดินเข้ามาหา
“เอ้าอีนังตัวดี มีอะไร อีคุณแพง นายของเอ็งสั่งให้มาใช่ไหม ข้าบอกไว้เลยนะ ข้าไม่คืนคุณหลวงให้มันเด็ดขาด แล้วข้าก็ไม่กลัวคุณไสยของมันด้วย”
“เปล่าเจ้าค่ะ อีนวลมีเรื่องจะมาบอกเฉยๆ”
“เรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องรกหู เอ็งโดนไล่ออกแน่ กินข้าวกินเงินเดือนข้า...หนอย ไปทำงานรับใช้อีนังโสเภณีนั่น มันน่าไล่ออกนัก”
นวลลอยหน้า ไม่ค่อยกลัวคุณหญิงนัก เพราะตอนนี้นายของตนกำลังมีอำนาจ
“บ่าวอย่างอีนวล จะเลวจะชั่ว ก็ถือว่าสมฐานะที่เกิดมาต่ำช้า แต่บรรดาลูกท่านหลานเธอที่เกิดมาสูงแต่ทำตัวต่ำเนี่ย คุณหญิงจะว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“เอ็งจะพูดเรื่องอะไร”
“คุณหญิงไปดูเองที่ในสวนเถอะค่ะ แอบมาพลอดรักกันค่ำมืดดึกดื่น ระวังเถ๊อะ ท้องไม่มีพ่อขึ้นมาเมื่อไหร่ คุณหญิงจะลำบาก”
คุณหญิงชะงักแปลกใจ
“ในสวน นี่เอ็งพูดถึงใคร”
“เป็นถึงหลานคุณหญิง แอบนัดพบกับผู้ชาย ฐานะเท่าเทียม ก็ว่าน่ารังเกียจแล้วนี่อะไร้ ลงไปคบหา ให้ท่าบ่าวผู้ชายในบ้านตัวเอง อีนวลอยากจะรู้ งานนี้คุณหญิงต้องเอาปี๊บคลุมหัวเดินสักกี่ชั้น”
คุณหญิงโกรธ เดินออกไปทันที นวลยืนยิ้มสะใจ
กล้ากับบัวสวรรค์ยังคุยกันอยู่ในศาลา
“วันนี้ผมมีเรื่องมาบอก...”
บัวสวรรค์เห็นกล้ามีท่าทีอารมณ์ดีใจก็วางซอ เดินลงมานั่งข้างๆที่พื้น เพราะรู้สึกว่านั่งห่างกันมากเกินไป กล้าขยับไปยืนอีกทางทันที ไม่ยอมนั่งด้วย
“เอ๊า จะขยับไปไหนล่ะ”
“เอ้อ...ดึกแล้ว เดี๋ยวคนมาเห็น”
“กลางสวนโล่งโจ้ง น่าเกลียดที่ไหนกัน”
บัวสวรรค์นึกสนุกลุกไปยืนข้างๆอีก เพื่อแกล้งเขา กล้ามองหน้า แล้วเดินหนีไปยืนอีกทาง บัวสวรรค์ยิ่งตลก
“เอ๊ะจะไปไหนอีกเนี่ย”
บัวสวรรค์ไม่ยอมแพ้เดินไปยืนจนชิดอีก คราวนี้ชิดกว่าเก่า กล้าเลยหันมาตัดพ้อ แต่ยังยืนชิดกันอยู่
“คุณบัว อย่าแกล้งผมสิครับ”
“เอ๊า...หน้าแดงด้วยนะนั่น ตลกจริงพี่กล้านี่”
บัวสวรรค์หัวเราะ กล้ามองคนที่อยู่ชิดใกล้ ด้วยสายตารักใคร่หลงใหล ดวงตาและน้ำเสียงอ่อนโยนลง
“คุณคงไม่รู้...ยิ่งคุณเข้ามาใกล้ ผมยิ่งทรมาน”
บัวสวรรค์เขินอาย
“ทรมานเนี่ยนะ...แบบไหนคะ”
กล้าพูดตรงไปตรงมา สายตายังจับนิ่งอยู่ที่บัวสวรรค์ที่ยืนอยู่ชิดกัน
“ยามที่ต้องอยู่ชิดใกล้ ดวงตาจะหยุดมองไม่ได้ หัวใจจะเต้นไม่เป็นจังหวะลมหายใจอึดอัดเหมือนจะตาย นี่ไงครับที่เรียกว่าทรมาน...”
ทั้งสองสบตากันนิ่งและนาน ก่อนที่บัวสวรรค์จะเอ่ยขึ้นอย่างเอียงอาย
“พี่กล้า...”
คุณหญิงเดินเข้ามาพร้อมส่งเสียงแหวเข้ามา
“ค่ำมืดดึกดื่นทำอะไรกันอยู่”
“คุณหญิง”
กล้ารีบถอยห่างออกไป
“บัวแค่ลงมาซ้อมสีซอน่ะค่ะ ไม่อยากเล่นบนเรือน เดี๋ยวคุณหลวงกับพี่ชื่นจะหนวกหู”
“แล้วทำไมต้องยืนชิดกันอย่างนั้น แม่บัว ครั้งนี้แม่บัวทำให้อาเสียใจมาก ทำตัวแบบนี้ไม่คิดถึงพ่อที่ตายไปบ้างเลยรึ กลับขึ้นไปบนเรือนเดี๋ยวนี้”
บัวสวรรค์และกล้าตกใจมาก
“คุณหญิงครับ...”
กล้าอยากอธิบาย แต่คุณหญิงดุจนบัวสวรรค์สะดุ้ง
“จะไปหรือไม่ไป”
บัวสวรรค์ต้องจำใจขึ้นเรือนไป ด้วยความงุนงง คุณหญิงหันมาโวยกล้าต่อ
“ไม่ต้องพูด แค่มองหน้า ฉันก็รู้แล้วว่าคนอย่างเธอคิดอะไร คิดใฝ่สูงจนเกินศักดิ์งานนี้ ฉันเอาเรื่องเธอแน่”
คุณหญิงเดินจากไป กล้ายืนหน้าซีด เป็นเรื่องแล้วคราวนี้
คุณหญิงอบเชยพาบัวสวรรค์เข้ามาในห้องพระลากเธอมานั่งลงที่หน้าหิ้งพระ คุณหญิงดุเอาจริง จับหลานสาวเหวี่ยงลงไป
“มานี่ นั่งลง จุดธูปแล้วยกมือไหว้ขอโทษพ่อของเธอเดี๋ยวนี้”
บัวสวรรค์มองไปที่โกศกระดูกของพ่อ ที่วางอยู่ข้างๆรูปพ่อ แถวบริเวณหิ้งพระ
“คุณอา...นี่มันอะไรกันคะ”
นวลแอบมองอยู่ ยิ้มสะใจในผลงานของตัวเอง
“ผู้หญิงน่ะ จะได้อยู่บนหิ้ง หรือจะอยู่ในโคลนตม ไม่ใช่เพราะผู้ชาย แต่เพราะการวางตัวของตนเอง อยากจะเป็นเมีย เป็นแม่ให้คนเขาเคารพบูชา แต่วางตัวให้เขาได้ไปง่ายๆ แบบนั้นจะมาร้องแรกแหกกระเชิงว่าผู้ชายเขาทอดทิ้งไม่ยอมยกย่องไม่ได้หรอกนะ”
บัวสวรรค์ตกใจ ละอายมากที่สุดในชีวิต น้ำตาเกือบร่วง โดนด่าขนาดนี้
“คุณอา ทำไมต้องว่าบัวเสียๆหายๆอย่างนั้นด้วยล่ะคะ”
คุณหญิงชี้หน้าด่าต่อไม่มียั้ง
“ฉันจะว่าเธอ ต่อหน้าพ่อของเธอ ให้พ่อแม่ ลุงป้า น้าอาด่าเธอ ดีกว่าให้คนอื่นมาด่า อยากร้องไห้ อยากเสียใจ อยากน้อยใจ ก็เอาเลย เพราะถ้าไม่ใช่ฉัน จะไม่มีใครด่าเธอด้วยความรักแบบนี้อีกแล้ว”
ความดุของผู้เป็นอาทำให้บัวสวรรค์ร้องไห้ออก อย่างน้อยใจที่ถูกด่าเสียหาย
“พี่กล้ากับบัวไม่ได้ทำอะไรเกินเลย เราไม่ได้นัดแนะมาพบกันตอนค่ำมืด เพื่อทำอะไรน่าเกลียดนะคะ”
“ผู้หญิงจะสวยหรือไม่สวย จะเป็นผู้หญิงดีหรือผู้หญิงหยำฉ่า จะได้ลงท้ายด้วยการเป็นแม่ เป็นเมีย หรือจะลงท้ายด้วยการเป็นของขบเคี้ยวเล่นคั่นเวลา อยู่ที่ตัวผู้หญิงเองทั้งนั้น หากรู้จักยับยั้งใจตนเอง ไม่หลงไปกับลมปากคำรักของผู้ชายเห็นแก่ตัว หากอดทนได้ ผู้หญิงพวกนี้ ย่อมได้รับความเคารพนับถือไปจนตลอดชีวิต เธอเข้าใจเรื่องนี้ดีแค่ไหน”
“คุณอาขา เรื่องในคืนนี้ เราสองคนบริสุทธิ์ใจนะคะ บัวกับพี่กล้าไม่เคยทำอะไรน่าเกลียดแม้แต่ครั้งเดียว”
“ไปอยู่ในที่อโคจร ในที่รโหฐาน แม้เธอมั่นใจว่าเธอดี แม้เธอมั่นใจว่าผู้ชายคนนั้นดี แต่เธอมั่นใจในสัญชาติญาณหนุ่มสาวของตัวเธอเองแค่ไหน อาจะบอกให้ เธอไว้ใจสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ จึงต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม อาพูดแบบนี้ เธอเข้าใจหรือยังว่าเธอผิดตรงไหน”
บัวสวรรค์นิ่งลงเริ่มคิดตาม
“คุณอาหมายถึง บัวไม่สมควรแม้แต่เปิดโอกาส”
“ใช่...สิ่งที่อาบอก สิ่งที่อาสอน อาจจะดูคร่ำครึ ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อผู้หญิงเก่งกล้ามากขึ้น สิ่งเหล่านี้อาจดูว่าล้าสมัย แต่ความเป็นแม่ เป็นเมียที่น่าเคารพ คุณสมบัติเหล่านี้เชื่อเถอะว่ามันจะเหมือนเดิม”
บัวสวรรค์เข้าใจทุกอย่างแล้วยกมือไหว้
“บัวเข้าใจแล้ว...บัวขอโทษคุณอา บัวจะขอโทษคุณพ่อเดี๋ยวนี้”
บัวสวรรค์หันไป เริ่มจุดเทียน เตรียมจะจุดธูป กล้าเดินเข้ามานั่งคุกเข่าตรงหน้าคุณหญิง
“คนที่ควรขอโทษ ไม่ใช่คุณบัว แต่เป็นผมต่างหาก เพราะผมเป็นคนเดินเข้าไปหา คุณบัวเอง”
นวลที่แอบมองอยู่ตกใจ พึมพำเบาๆ
“พี่กล้า…”
“ขึ้นมาทำไม ใครอนุญาต อย่าคิดนะว่าการที่เข้ามาช่วยเหลือฉัน ช่วยเหลือแม่ชื่นแล้วจะทำให้เธอยกระดับจากบ่าวขึ้นมาตีเสมอกับพวกเราได้”
“ผมเป็นลูกบ่าวในเรือนคุณหลวง ชาติตระกูลของผมคงตีเสมอไม่ได้ แต่ผมเคยให้สัญญากับคุณบัวไปแล้ว ว่าผมจะตีเสมอกับคุณบัวด้วยสิ่งอื่น”
กล้ายื่นจดหมายให้ คุณหญิงเปิดออกอ่าน
“เธอสอบติดโรงเรียนนายร้อยงั้นรึ”
บัวสวรรค์ยิ้มดีใจมาก
“พี่กล้า พี่สอบติดแล้วหรือคะ”
กล้าพยักหน้า
“จดหมายเพิ่งมาวันนี้ ที่จะไปบอกก็เรื่องนี้แหล่ะ แต่ที่คุณหญิงพูดก็ถูก ผมประมาทเอง ไม่ได้คิดว่าตรงนั้นไม่มีคนและก็ดึกมากแล้ว ผมกราบขอโทษคุณหญิงครับ”
กล้ายกมือไหว้ คุณหญิงเริ่มสังเกตกล้าอย่างจริงจัง แต่แววตายังดุอยู่
“เธอสัญญาอะไรกับแม่บัว”
“ผมเลือกเกิดมาให้ดีคู่ควรกับเธอไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่า คนเรายังมีโอกาสเป็นคนดีขึ้นมาได้ด้วยการศึกษา ผมจึงสัญญากับเธอว่าผมจะสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยและจะเรียนจนจบ หากผมทำไม่สำเร็จเธอจะไม่ได้เห็นหน้าผมอีก”
“เธอจะสอบเป็นนายร้อยเพื่อแม่บัวงั้นรึ”
กล้าคลานไปจุดธูปไหว้โกศพ่อของบัวสวรรค์
“กระผมนายกล้า ไม่มีชาติตระกูล ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง หลักประกันของผมมีเพียงอย่างเดียวคือจดหมายฉบับนี้ และคำสาบานว่า กระผมจะเป็นคนดี จะสร้างความมั่นคง จะดูแลคุณบัวให้มีทุกอย่าง ให้สมกับชาติกำเนิดที่เธอเกิดมา”
กล้าปักธูป คุณหญิงย้อนถาม
“มีแค่หลักประกันและคำสาบานเนี่ยนะ มันก็แค่วิมานในอากาศ พี่เอื้อฝากลูกสาวคนเดียวไว้กับฉัน ฉันจะเอาหลานฉันไปฝากไว้กับฝันลมๆแล้งๆของเธอไม่ได้หรอก”
กล้าเผชิญหน้ากับคุณหญิงไม่กลัวไม่หลบสายตา หัวใจของกล้ามีแต่ความมั่นคงที่คนอื่นสัมผัสได้
“ผมไม่ได้รีบ หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ผมจะรอให้เวลาพิสูจน์หัวใจรักอันบริสุทธิ์ของผม”
“แล้วถ้าฉันรีบ ฉันไม่รอ ฉันยกแม่บัวให้กับคนที่ดีกว่าเธอในวันนี้วันพรุ่งนี้ล่ะ”
กล้ากับบัวสวรรค์อึ้งตกใจมองหน้ากัน นวลแอบฟัง สะใจ พึมพำกับตนเอง
“ดี...ยกไปเลย จะได้เหลือพี่กล้าไว้ให้อีนวล ยกไปเล้ย”
“คุณอาจะยกบัวให้ใครคะ บัวไม่เอานะคะ บัวไม่ยอมแต่งงานไปกับใครทั้งนั้น”
บัวสวรรค์เดือดร้อน กล้าเศร้ามาก เสียงแหบแห้งก้มหน้ายอมรับ
“ทุกอย่างสุดแต่คุณหญิงจะเห็นสมควร แต่ตราบใดที่คุณบัวไม่ได้ออกเรือนไปกับใคร ผมก็ยังมีสิทธิ์ที่จะหวังไม่ใช่หรือครับ”
“ฮึ ไม่ยอมแพ้สินะ ได้...ถ้าอย่างนั้น จงฟังคำสั่งฉัน เธอต้องตั้งใจเรียน ต้องสอบให้ได้ที่หนึ่งทุกเทอม หากตกหล่นไปแม้แต่เทอมเดียว ฉันจะย้ายเธอออกไปจากบ้านนี้ หากเธอทำได้และเรียนจบ ฉันจะอนุญาตให้เธอคบกับแม่บัว หากภายในห้าปีเธอประกอบสัมมาอาชีพ ยังเป็นคนดีและเธอทั้งสองยังรักกัน ฉันจะอนุญาตให้เธอแต่งงานกัน”
กล้ากับบัวสวรรค์อึ้งไป
“คุณหญิง!”
“คุณอา!”
นวลตะลึงทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้
“หา...หาอะไรนะ นี่ฉันฟังผิดหรือเปล่า อนุญาต เหมือนๆจะมีคำว่าอนุญาต…คุณหญิงอนุญาตเนี่ยนะ”
คุณหญิงมองหนุ่มสาวทั้งสอง
“ยัง...อย่าเพิ่งดีใจ ตลอดเวลานี้ ก่อนหน้าที่จะเรียนจบ ห้ามตีเสมอแม่บัว ห้ามตีเสมอฉันและคนในบ้านนี้ ห้ามอยู่กับคุณบัวสองต่อสอง ห้ามถูกเนื้อต้องตัว สรุปก็คือ เธอยังเป็นแค่ไอ้กล้า บ่าวใต้ถุนเรือนของคุณหญิงอบเชยเหมือนเดิม ทำได้ไหม”
กล้ารีบรับคำและก้มลงกราบเท้าขอบคุณ
“ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะครับ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ผมเคยทำและทำมาตลอด...แค่นี้ แค่ให้โอกาส คนต่ำช้าอย่างไอ้กล้าก็ไม่รู้จะ...” กล้าตื้นตันแทบหาคำพูดไม่ได้ “จะกราบขอบพระคุณคุณท่านอย่างไรแล้ว ผมกราบขอบพระคุณจริงๆครับ”
กล้ากราบลงไปที่พื้นตรงหน้า คุณหญิงพยักหน้ารับ บัวสวรรค์กับกล้ายิ้มมองกันดีใจ กล้าตาแดงน้ำตาคลอ เหมือนกันกับบัวสวรรค์ที่ดีใจจนน้ำตาจะไหลลงมาอีก แต่ไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
หลวงภักดีนอนหลับป่วยอยู่บนเตียงในห้องนอนเรือนใหญ่ คุณหญิงอบเชย ชื่นกลิ่น นั่งคุยกันทั้งสองคนดูผ่อนคลาย กำลังคุยกันในเรื่องน่ายินดีที่น้องสาวกำลังจะมีคู่
“ทั้งนายกล้าทั้งน้องบัว น้ำตาคลอคล้ายจะร้องไห้หรือคะ โธ่...เสียดาย อยากเห็นจัง”
ชื่นกลิ่นยิ้มๆ ดีใจ ปลื้มไปด้วย คุณหญิงอบเชยนึกไปถึงกล้าก็ขำๆเอ็นดูกล้า กับบัวสวรรค์กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
“ฮึ...พูดออกมาได้ ใช้คำสาบาน ใช้ซองจดหมายใบหนึ่งเป็นเครื่องรับประกัน เพื่อขอลูกสาวชาวบ้านเนี่ยนะ เกิดมาเพิ่งเคยเห็น นายคนนี้กล้าสมชื่อเขานะ”
“ชื่นมัวแต่วุ่นๆ ไม่เคยสังเกตไม่เคยระแคะระคายเลย นายกล้าเขาอยู่อย่างเจียมตัวจริงๆนะคะ เขาไม่เคยออกนอกลู่นอกทางกับแม่บัวหรอกค่ะ”
“แม่รู้ แม่ก็ดุเขาไปอย่างนั้นเอง ต้องกำหราบเอาไว้จะได้ไม่เหลิงทั้งสองคน”
“นายกล้าสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยทหารบก ถ้าสอบได้ที่หนึ่งทุกเทอมตามที่ถูกบังคับ บั้นปลายนายกล้า อาจได้เป็นนายพล น้องบัวก็คงจะได้เป็นคุณหญิง คุณแม่นี่ฉลาดจริงๆ อืม...นี่แสดงว่า คุณแม่ชอบนายกล้ามาตั้งแต่ต้น”
“คุณเนื่องแม่ของคุณหลวงหรือแม้แต่ตัวคุณหลวงเอง ให้เกียรตินายกล้า เพราะสติปัญญาและความดีในตัวเขา เขาไม่รู้หรอก ความดีของคนเป็นเกียรติยศที่เชื่อถือได้มากกว่านามสกุล”
“หากนายกล้ารักษาความดีของเขาได้ คุณแม่จะยกแม่บัวให้เขาจริงๆ ใช่ไหมคะ”
“หากยกแม่บัวให้คนมีชาติตระกูลดี จิตใจเลว วันนี้อาจมีทรัพย์ มีเกียรติแต่เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายคนพวกนี้ก็ลงสู่ที่ต่ำ แต่คนดี คนมุมานะ มีความรักเป็นเครื่องนำทาง คนพวกนี้แม่เห็นมานักต่อนัก ประสบความสำเร็จทุกคน”
ชื่นกลิ่นพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเดินไปบอกหลวงภักดีที่หลับอยู่
“คุณหลวงเจ้าขา นายกล้า คนสนิทของคุณหลวงกำลังจะได้ดี คุณหลวงต้องหายเร็วๆ เพื่อมาร่วมดีใจกับนายกล้าและบัวสวรรค์นะคะ คุณหลวงต้องหายนะคะ”
“ไข้ไม่ลดลงเลยรึ”
ชื่นกลิ่นส่ายหน้า
“หมอมาดูแล้วให้ยาเอาไว้ แต่กินไปก็ไม่เห็นดีขึ้น ไข้มีแต่ทรงๆอยู่อย่างนี้ พรุ่งนี้ว่าจะเชิญหมอมาดูอีกครั้ง”
คุณหญิงมองอย่างกลุ้มใจ
อ่านต่อหน้า 2
บ่วง ตอนที่ 12 (ต่อ)
แพงยืนเศร้ามองเตียงที่ว่างเปล่า
“คุณหลวง แพงคิดถึงคุณหลวง ไอ้อีพวกนั้นที่เรือนใหญ่ โดนไปขนาดนั้นยังไม่เข็ด ยังกล้ามาเอาตัวคุณหลวงของอีแพงไป ฮึ่ม...อยากลองดีกับอีแพงนักใช่ไหม”
แพงคิดออกแล้วว่าจะทำยังไงต่อไป จึงไปนั่งภาวนาเพื่อให้ตัวเองมีฤทธิ์มากยิ่งขึ้น
ชื่นกลิ่นให้หลวงภักดีกินยาเม็ดที่หมอให้มา แล้วให้กินน้ำตาม รักษาในแผนปัจจุบันตามหมอสั่ง ขณะที่แพง นั่งหลับตาภาวนาสวดมนต์ แล้วพึมพำออกมา
“คุณหลวง ออกมาจากเรือนใหญ่นั่นซะ กลับมาหาเมีย กลับมาเดี๋ยวนี้”
ทันใดหลวงภักดีร้อนเร่า กระสับกระส่าย
“ร้อนๆ”
ทางด้านเพ็ญปวดท้องมากขึ้น เพราะมนตราคุณไสยแผ่กระจายออกมา
“โอ๊ย...ปวดๆ”
เพ็ญกินยาแล้วไม่หาย
ชื่นกลิ่นเดินออกมาจากห้อง นั่งลงข้างๆคุณหญิง กับบัวสวรรค์
“ยาที่หมอให้ กินไปจนจะหมดชุดแล้ว อาการไข้ของคุณหลวงยังไม่หายดีเลย ทำไงดีคะคุณแม่”
“ติ่งมารายงานว่า แม่เพ็ญก็แค่ทุเลา ไม่หายสนิท ยังปวดท้องอยู่” บัวสวรรค์บอก
คุณหญิงเครียดลุกขึ้นทันที
“อีแพง นังคนบาป ข้าต้องจัดการกับเอ็งให้ได้”
คุณหญิงจะเดินออกไป บัวสวรรค์รีบถาม
“คุณอา จะไปไหนคะ”
“ก็ไปตามหมอไง”
“แต่หมอคนเดิมรักษาคุณหลวงไม่หายนี่คะ หรือว่าจะเปลี่ยนหมอใหม่” บัวสวรรค์ถามอย่างสงสัย
“ใช่...เปลี่ยนหมอใหม่ หมอแบบใหม่เลยล่ะแม่บัว”
คุณหญิงอบเชยเดินออกไป ชื่นกลิ่นกับบัวสวรรค์งง มองหน้ากันไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
ค่ำนั้น...แพงนั่งสมาธิบริกรรมมาหลายวันจนจิตแก่กล้า รอยสักขึ้นเต็มหลัง เมื่อลืมตาขึ้น ดวงตากลายเป็นสีแดง
“ข้าไม่ใช่นางแพงคนเดิมแล้ว ตอนนี้ ข้ามีของดี ของที่ทำให้ข้าอยู่เหนือคนทั้งโลก ดีล่ะ...ในเมื่อพวกเอ็งอยากลองดีกับข้านัก”
แพงลุกขึ้นเดินออกไป...พระจันทร์มีเมฆลอยบัง ลมโบกโบย หมาหอน บรรยากาศน่ากลัว แพงเดินจากเรือนเล็กผ่านสวนเข้ามาที่เรือนใหญ่หน้าตาท่าทางแบบหมอผีทรงพลัง ลมกรูเกรียว ณ เวลาเธอดูน่ากลัวเหลือเกิน เสียงบทสวดอันน่ากลัวดังลั่นไปทั่วบริเวณ
หลวงภักดีนอนๆอยู่ ลืมตาตื่นพรึ่บ เพราะมนตราของแพงคืบคลานเข้ามาใกล้ เขารู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งหัว
“โอ๊ย...ปวดหัว...ปวดหัว!”
แพงเดินมาหยุดนอกบ้าน ประตูทั้งบ้านปิดหมด ป้องกันอาถรรพณ์จากแพง เธอเพ่งมองเข้าไปในบ้าน ท่องมนตราน่ากลัว ขณะเดียวกันนั้น บัวสวรรค์ เดินนำชื่นกลิ่นและกล้ามาดูแพงผ่านหน้าต่าง
“ดูสิคะพี่ชื่น พี่กล้ามาดูนี่ เหมือนนางแพงมันจะสวดอะไรอีกแล้ว”
“ระวังหน่อยครับ อยู่ห่างๆออกมาจะดีกว่า”
กล้าพยายามกันบัวสวรรค์และชื่นกลิ่นให้ห่างประตู นอกจากนี้เขายังเดินไปปิดหน้าต่างอีกด้วย
“พี่จะไปดูคุณหลวง ป่านนี้เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
ชื่นกลิ่นรีบออกไป
นวลเดินมานั่งงอตัวในห้องครัว สั่นๆหนาวๆ อยู่ที่มุมห้อง แล้วจู่ๆก็เป็นขึ้นมา เพราะแพงกำลังปล่อยอาคมของตนอยู่รอบบ้าน จึงส่งผลต่อคนที่ถูกมนตราอยู่เดิม ขณะที่มีเดินหนีเข้ามาในห้องครัว กลัวลนลาน
“ช่วยด้วยๆ อีแพงมันน่ากลัวจริงๆ มันมายืนเรียกลมอยู่หน้าเรือนใหญ่ มันจะเสกหนังควายเข้าท้องใครก็ไม่รู้”
“ฮึ่ย...มันจะเสกเข้าท้องเราหรือเปล่า รีบๆเข้ามา ปิดประตูซะ”
ติ่งรีบปิดประตู
เสียงสวดดึงงึมงำ ลมพัดโบก มีเข้ามาที่ห้องครัวเห็นนวลนั่งตัวงออยู่
“เอ้าอีนวลเป็นอะไรของเอ็งเนี่ย ไม่สบายหรือ”
ทุกคนมองนวลที่นั่งตัวสั่นๆอยู่มุมหนึ่ง พึ่งเดินไปที่หน้าต่าง มองหาแพง
“แพงลูกแม่ พอเถอะลูก พอเถอะ”
ติ่งเดินมาปิดหน้าต่าง
“โธ่น้า...ปิดหน้าต่างซะ เดี๋ยวก็โดนมันปล่อยของใส่หรอก”
พึ่งนั่งลงเศร้าๆ กลุ้มๆ
หลวงภักดีกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ชื่นกลิ่นเดินเข้ามาดู
“โอย...ปวดหัว...ปวดหัว...หัวจะระเบิดอยู่แล้ว โอย”
“คุณหลวงเป็นอะไรไปคะ...คุณหลวง”
แพงที่ยืนหน้าเรือนใหญ่ แสดงฤทธิ์เดช ลมยังพัดกรูเกรียว
“เอาคุณหลวงของข้าคืนมา ถ้าไม่ปล่อยออกมา ข้าจะพังบ้านนี้ให้หมดนี่แน่ะ...นี่...นี่”
แพงเดินไปหยิบกระถางต้นไม้มาทุ่มทิ้ง ถีบทิ้งข้าวของแถวนั้นอาละวาดใหญ่...บัวสวรรค์กับกล้ายืนอยู่ในบ้าน มองออกมาดูแพงที่หน้าบ้าน
“ตายแล้ว มันทำลายข้าวของใหญ่แล้วค่ะ ดูสิคะ”
กล้าโมโห
“โธ่โว้ย”
แพงหยิบพลั่ว เดินมาที่รถที่จอดอยู่
“รถนี่แพงนักใช่ไหม นี่แน่ะ นี่ นี่”
แพงซัดพลั่วลงไปที่กระจกรถเปรี้ยงๆ บัวสวรรค์กับกล้าแทบเต้น
“ทนไม่ไหวแล้วโว้ย”
กล้าจะออกไป บัวสวรรค์รีบดึงแขนไว้
“ไม่ค่ะ อย่าไปค่ะพี่กล้า นังแพงมันอยากทำอะไรให้มันทำไป นั่นมันข้าวของไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่ถ้าพี่กล้าหรือคนในบ้านเป็นอันตราย คุณอาคงไม่ชอบใจแน่”
“ฮึ่ย...แล้วจะให้ยืนดูมันอาละวาดอยู่อย่างนี้หรือครับคุณบัว มันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กัน”
“นั่นๆค่ะ รถคุณอามาแล้ว”
บัวสวรรค์ชี้ไป...มิ่งขับรถเข้ามาที่จอด กล้ามองอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะคุณหญิงมากับใคร”
ประตูรถเปิดออก อาจารย์เปรื่อง ชายกลางคนท่าทางมีอำนาจ มีบารมี มีอาคมดุดันรูปลักษณ์ภายนอกแต่งตัวคล้ายพราหมณ์ ทีท่ามีเมตตาแต่ทรงอำนาจอิทธิฤทธิ์ ก้าวลงมาจากรถ ลมพัดปลิว ชุดพราหมณ์โบกสะบัด สายตามั่นคงมีอำนาจมองมาที่แพงที่อาละวาดอยู่ อีกด้านหนึ่ง คุณหญิงอบเชยเดินลงมา...บัวสวรรค์ เพิ่งนึกออก
“หมอใหม่ที่คุณอาว่า...หมอผี”
คุณหญิงชี้ไปที่แพง
“นั่นเจ้าค่ะ อีบ่าวชั่วที่เล่นคุณไสยใส่ลูกเขยดิฉันมันกำลังอาละวาดอยู่ตรงนั้น”
อาจารย์เปรื่อง มองเห็นร่างทรงของเจ้านางหอมจันทน์ วับๆอยู่ในตัวแพงที่ยืนมองมา ทั้งสองสบตากัน
“ข้าเห็นแล้ว จิตมนุษย์ที่ตกต่ำลงใกล้จะถึงสุดขอบอวจี ใจของมันถูกครอบงำด้วยความโลภ มืดมนด้วยโทสะที่เผาผลาญตัวอยู่ทุกคืนวัน...ช่างน่าสงสาร”
อาจารย์เปรื่องเดินเข้าไป พร้อมคุณหญิง บัวสวรรค์กับกล้าเดินออกมาหา
“คุณอาเจ้าขา นังแพงมันอาละวาดทำลายข้าวของไม่ยอมหยุดเลย ทำยังไงดีคะ”
“นี่ อาจารย์เปรื่อง ท่านสืบสายมาจากตระกูลพราหมณ์หลวง ท่านจะมาช่วยเรา” คุณหญิงแนะนำ
“อาจารย์เปรื่อง ที่เขาลือกันหรือครับ” กล้าตื่นเต้น
บัวสวรรค์งงๆ
“ลือว่าอะไรคะ”
“ท่านมีอภิญญาบารมี ช่วยรักษาคนโดนคุณไสยมานักต่อนัก ผมเคยได้ยินแต่ชื่อ เพิ่งเคยเห็นตัวจริงวันนี้เอง”
แพงเดินเข้ามาห่างๆ ตะโกนมาหา
“เอาใครมา แต่งตัวแปลกๆ คุณหญิงจะย้ายศาลพระภูมิหรือเจ้าคะ ฮะฮะฮ่า”
แพงหัวเราะเยาะ อาจารย์เปรื่องมองหน้าแพงแล้วตอบเรียบนิ่ง
“อย่าประมาทกับชีวิตนักเลยมนุษย์น้อย หากเจ้าไม่เชื่อในบาปกรรมชาติภพหน้า ก็จงดูตัวเองตอนนี้เถิด เหมือนยืนอยู่บนไฟนรกแห่งความโกรธเกลียด ชีวิตที่เที่ยวดิ้นรนหาความรักจากคนที่ไม่ได้รักเจ้า ชีวิตแบบนี้นรกชัดๆ”
แพงโกรธมาก
“พูดมากนัก คิดจะมาปราบข้า ฮึ...หมอผีอย่างเอ็ง จะมีฤทธิ์แค่ไหน ไหนลองดูซิ”
แพงดวงตาสีแดง รอยสักขึ้นเต็มหลัง ลมพัดโบกรุนแรง บรรยากาศน่ากลัว กล้าตกใจบอกทุกคน
“ถอยออกไป ถอยออกไปก่อนครับ”
ลมพัดกรูเกรียว จนกล้าต้องกันบัวสวรรค์และคุณหญิงออกไปห่างๆ อาจารย์เปรื่องหัวเราะในลำคอ
“ฮึ...เรียกลมเรียกฝน แค่กลหลอกเด็ก”
“ดี...งั้นข้าจะเสกหนังควายเข้าท้องเอ็ง”
แพงเริ่มร่ายมนตรา สายตาจับจ้องเอาเรื่อง อาจารย์เปรื่องหลับตาภาวนาป้องกันตัวเองหน้ายังนิ่งไม่เจ็บปวด จนแพงสงสัย
“ทำไมมันไม่ได้ผล”
“แม่นักมายากล ยังมีกลอะไรอีกไหม แสดงออกมาสิ”
แพงเริ่มท่องบทสวดอีกครั้ง โดยเปลี่ยนบทสวดไป สายตาของเธอเอาเรื่อง อาจารย์เปรื่องมองมาที่แพงไม่สะทกสะท้าน
“เป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงไม่ได้ผล”
“ใช้วิชามารทำร้ายคนอื่น รู้ไหม คนอื่นเจ็บแบบไหน ถ้าไม่เจ็บด้วยตัวเองคงจิตนาการไม่ออกใช่ไหม”
อาจารย์เปรื่องหลับตา สวดภาษาบาลีมีอำนาจดังขึ้นทั่วบริเวณ คุณหญิงมองอย่างดีใจ
“อาจารย์เปรื่องร่ายมนต์ใส่มันแล้ว”
ในที่สุดแพงก็ปวดท้อง งอตัวลง
“โอ๊ะโอ๊ย”
เสียงบทสวดของอาจารย์เปรื่องยังดังต่อเนื่อง แพงปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องนั่งลง
“จดจำความเจ็บปวดนี้เอาไว้ แล้วอย่าไปทำกับใครอีก”
เพ็ญ พึ่ง ติ่ง มิ่ง มี เดินออกมาดูกันหมด ติ่งพยุงเพ็ญที่ยังปวดท้อง เดินออกมา เพ็ญดีใจ
“มีคนปราบนางแพงได้แล้ว สะใจกูจริงๆ สมน้ำหน้า สมน้ำหน้ามัน มันปวดท้องเหมือนที่กูปวด”
พึ่งมองแพงอย่างสงสาร
“ลูกแม่...โธ่ลูก”
“ไอ้หมอผีบ้า กูจะฆ่ามึง”
แพงรวบรวมแรงขึ้นใหม่ พุ่งเข้ามาจะบีบคอ อาจารย์เปรื่องยกฝ่ามือขึ้นแตะหน้าผากแพง คาไว้อย่างนั้น มือของเขาสว่างวาบเหนือหน้าผากของเธอ จากนั้นอาจารย์เปรื่องก็ใช้มืออีกข้างหยิบหนังสัตว์สักยันต์ลงอักขระชิ้นเล็กๆขึ้นมาจากย่าม แล้วกดลงไปที่หน้าผากของแพง ด้วยมือทั้งสอง เสียงบทสวดของอาจารย์เปรื่องดังขึ้น
ทันใดนั้น แสงขาวส่องออกจากแผ่นหนังเป็นวงขนาดใหญ่รอบตัวแพงและอาณาบริเวณโดยรอบ มีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือเธออย่างเห็นได้ชัด ไอร้อนออกมาจากหัวของเธอกระจายออกเป็นควันดำ แพงร้องกรี๊ด ถูกกดจนทรุดนั่งลง เสียงของเธอน่ากลัวมาก เพราะมีเสียงของผู้หญิงอีกคนซ้อนมา ยันต์แผ่นหนัง ได้ละลายหายกลืนเข้าไปในเนื้อหน้าผากของแพง แต่ร่างทรงในตัวแพงยังคงอยู่ แต่ถูกกำหราบไว้ในเวลานี้ ไม่ให้แสดงฤทธิ์เดชเต็มที่ แต่ยังงมีฤทธิ์อยู่ เพียงแต่มีฤทธิ์ไม่เท่ากับเมื่อก่อน
“ยันต์ของข้าบทนี้จะพันธนาการเจ้า เวทย์มนต์คุณไสยต่ำช้าใดๆ จะถูกควบคุมไว้ด้วยยันต์ผืนนี้ นับแต่นี้ต่อไป เจ้าจะไม่มีโอกาสได้ทำร้ายใครอีก”
แพงร้องโหยหวนดังลั่น เพ็ญมองท้องตนเองแล้วยิ้มดีใจตะโกนลั่น
“หายแล้ว อีเพ็ญหายปวดท้องแล้ว มนตราของมันเสื่อมแล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว”
คุณหญิงอบเชยและทุกคนในที่นั้น มองหน้ากันดีใจ บัวสวรรค์ดีใจมากเข้าไปจับมือคุณหญิงเขย่า
“มนต์มันเสื่อมแล้ว เสื่อมแล้วค่ะคุณอา”
ชื่นกลิ่นมองเหตุการณ์ อยู่ที่หน้าต่าง หลวงภักดีไอออกมาสองสามครั้ง
“คุณหลวง คุณหลวงเป็นอะไรไปคะ”
หลวงภักดีกระอักออกมา ชื่นกลิ่นรีบเอากระโถนเข้าไปรับ หลวงภักดีคายลิ่มเลือดสีดำลงในกระโถน ชื่นกลิ่นยิ้ม
“ของอาถรรพณ์ที่อยู่ในตัวคุณหลวง...อาจารย์คนนั้นแก้คุณไสยได้จริงๆ คายออกมาอีกค่ะคุณหลวงคายออกมาอีก”
ชื่นกลิ่นลูบหลัง หลวงภักดีอาเจียนคายของอาถรรพณ์ในตัวออกมาอีกลงในกระโถน
คุณหญิงอบเชยดีใจมาก เดินเข้าไปประจันหน้ากับแพงที่หน้าเรือนใหญ่
“อีแพง ในที่สุดก็มีวันนี้ วันที่กูรอคอย วันแห่งความพินาศของมึง”
“ไม่จริง ไม่มีอะไรมาควบคุมข้าได้ ข้าจะเสกหนังควายเข้าท้องพวกแกทุกคน อีอบเชยมึงโดนก่อน”
แพงเพ่งมองไปที่คุณหญิง เสียงสวดมนต์ของแพงดังขึ้นทุกคนตกใจ แต่คุณหญิงยังนิ่งมองแพง เพราะเชื่อในตัวอาจารย์เปรื่อง บัวสวรรค์เป็นห่วง
“คุณอา!”
เวลาผ่านไป คุณหญิงยังนิ่ง ไม่สะทกสะท้าน จนแพงงงงวยหน้าซีดตระหนก พึมพำออกมา
“ไม่เป็นไร...มันไม่เป็นอะไร...ทำไมล่ะ ทำไม”
คุณหญิงจิกหัวแพงขึ้นมาพูดใส่หน้า
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า กูไม่ได้เป็นอะไร อีแพง มึงคิดจะเป็นเมียคุณหลวง มึงคิดจะเป็นหมอผีมีฤทธิ์เดช แต่ในที่สุด มึงก็เป็นได้แค่อีบ่าวต่ำช้า เป็นขยะรกโลกชิ้นหนึ่งเหมือนกำพืดของมึงนั่นแหล่ะ”
คุณหญิงสะบัดแพงลงไปที่พื้น เพ็ญประกาศลั่น
“พวกเอ็งเห็นแล้วใช่ไหม มันสิ้นฤทธิ์แล้ว ทำอะไรใครไม่ได้แล้ว ไอ้มิ่ง ไปเอาโซ่มา ไปเอาโซ่มาล่ามมันไว้”
“ไอ้หมอผีบ้า กูจะฆ่ามึง ถ้ากูฆ่าไม่ได้ กูก็จะตามอาจารย์กูมาข้ามึง”
แพงพุ่งไปจะไปทำร้ายอาจารย์เปรื่องอีก แต่เขาเพียงแค่ยกมือ แสงวาบที่มือก็ทำให้แพงเจ็บปวดที่ท้อง จนต้องลงไปนั่งอีก ไม่สามารถแตะต้องตัวเขาได้
“โอ๊ะ โอ๊ย”
“อาจารย์เธอชื่ออาจารย์ชูใช่ไหม”
แพงแปลกใจ
“เอ็งรู้ด้วยหรือ ดี...อาจารย์ชูเก่งกว่าเอ็งร้อยเท่า อาจารย์ชูจะมาแก้แค้นให้ข้า”
“ฉันรู้จักผู้เล่นคุณไสยสายดำทุกคน เพราะหน้าที่ของฉันคือปราบปรามคนพวกนี้”
“หน้าที่ แปลว่าอะไรคะ” บัวสวรรค์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“อาคมต่างๆ เหมือนอาวุธ บางคนใช้มันประหัตประหารผู้อื่น คนพวกนี้คือผู้เล่น คุณไสยสายดำ แต่อาวุธเดียวกัน หากอยู่ในมือตำรวจทหาร มันก็เอาไว้เพื่อกำหราบคนชั่ว คนที่ทำเช่นนี้คือผู้เล่นคุณไสยในสายขาว ก็คือ อาจารย์เปรื่องคนนี้” คุณหญิงอธิบาย
ทุกคนพยักหน้าเข้าใจ อาจารย์เปรื่องมองหน้าแพง
“พวกหากินบนความทุกข์ของคนอื่น บางครั้งไม่ต้องเดือดร้อนถึงฉันอย่างอาจารย์ชูคนนั้น ตอนนี้มันตายไปแล้วเพราะกรรมที่ตามสนองมัน”
แพงตกใจ
“อาจารย์ชูตายแล้วหรือ”
“เมื่อคืน มีงูเห่าตัวหนึ่ง มากัดมันตาย” กล้าบอก
แพงตะลึงแต่พยายามไม่เชื่อ
“ไม่จริง...ก็แค่งูเห่า คนอย่างอาจารย์ชูมีคาถาอาคมสะกดสัตว์ร้าย จะมาตายเพราะงูได้ยังไง เอ็งโกหก”
อาจารย์เปรื่องจึงเล่าให้ฟัง
ค่ำคืนที่ผ่านมา...อาจารย์ชูเดินเข้ามาเปิดหีบเพื่อเอาของ ต้องผงะหงายเพราะงูเห่าตัวหนึ่งชูคอขึ้นมาจากในหีบ เขาแสยะยิ้ม ไม่กลัว ยกมือพนมท่องมนต์ จะเสกให้งูหายไป แต่เมื่อเสกเสร็จงูไม่หาย
“เอ๊ะ...งูนี้”
งูจ้องมองมา ดวงตาเป็นประกายสีแดง
“งูสมิงพราย!”
อาจารย์ชูตาเหลือกทันที และแล้วงูเห่าใหญ่ตัวนั้นก็กระโดดเข้ากัดคอ อาจารย์ชูดิ้นพราด แล้วตาเหลือกลาน สิ้นใจตายลงอย่างน่าอนาถ
เปรื่องเล่าเรื่องต่อให้แพงและทุกคนฟัง
“อาจารย์ชู ก่อเวรกรรมกับผู้คน จนมีศัตรูมากมายรวมทั้งอาจารย์เส็ง อาจารย์เส็งเล่นคาถาอาคมเหมือนอาจารย์ชู อาจารย์เส็งถูกอาจารย์ชูฆ่าตาย คนเล่นของพวกนี้ตายไปมักกลายเป็นวิญญาณต่ำช้าเร่ร่อน ไปสิงในเดรัจฉาน ซึ่งก็คืองูสมิงพรายตัวนั้น เมื่อสบโอกาส งูตัวนั้นก็กลับมาฆ่าอาจารย์ชู ตามกรรมเวรที่เคยก่อไว้แก่กัน”
ทุกคนพยักหน้าสะใจ กล้าพูดขึ้น
“ธรรมชาติมีกฎที่ยุติธรรมเสมอ กฎแห่งกรรม”
แพงประหวั่นใจ คิดไปถึงอดีตตอนที่ตนช่วยอาจารย์ชูฆ่าคนตายเข้ามาวับๆ อาจารย์เปรื่องรู้เรื่องทั้งหมดในวงการคนเล่นของ เลยเดาใจแพงออก
“ถูกต้องแล้ว ทำไมต้องเป็นงู เพราะอาจารย์ชูได้สั่งให้เอ็งทำไว้กับคนอื่นอย่างนั้น มันทำไว้กับคนอื่นเช่นไร มันก็ต้องได้รับสิ่งเดียวกันนั้นตอบแทน”
“ไม่จริง อาจารย์ชูเก่งขนาดนั้นจะตายได้ยังไง ไม่จริง”
“เอ็งริอ่านเรียนคุณไสยมนต์ดำ ร่วมมือกับอาจารย์ชูทำร้ายผู้อื่นจนถึงตาย ตราบาปนี้จะติดตามวิญญาณของเอ็งไปจนถึงชาติภพหน้า เพราะฉะนั้นจงละทิฐิ หยุดการกระทำเลวทั้งหลายของเอ็งซะเถิด”
“ไม่...ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้ทำใครทั้งนั้น ข้าก็แค่จะเอาผัวของข้าคืนมา คุณหลวงเจ้าขา คุณหลวงอยู่ไหน อีแพงจะไปหาคุณหลวง”
แพงสติแตกออกวิ่งไป จะเข้าไปในตึก คุณหญิงอบเชยรีบสั่งการ
“จับมันไว้ อย่าให้มันเข้าไปที่เรือนใหญ่ จับมันเอาไว้ จับมันไปขังที่เรือนเล็ก”
มิ่งกับมีพุ่งเข้าไปจับแพง แล้วลากออกไป
“คุณหลวง คุณหลวง เมียถูกพวกมันรังแกอีกแล้ว ท่านต้องมาช่วยเมียนะเจ้าคะ ท่านต้องมาช่วยเมียนะ”
มิ่งกับมีลากแพงไปจนได้ คุณหญิงอบเชยมองตามสะใจ
อ่านต่อหน้า 3
บ่วง ตอนที่ 12 (ต่อ)
ดึกคืนนั้น...มิ่งกับมีลากแพงมาในเรือน เอาเชือกผูกให้นั่งไพล่หลัง
“ปล่อย...ปล่อยกู คุณหลวง คนพวกนี้รังแกเมียอีกแล้ว คุณหลวงช่วยแพงด้วย”
เพ็ญเดินเข้ามาถึง จับแพงโขกข้างฝาด้วยความแค้น
“โอ๊ย”
“นี่สำหรับที่มึงทำกู ผูกมันไว้กับเสา อย่าให้ไปอาละวาดที่อื่น”
มิ่งกับมี เอาปลายเชือกอีกด้านไปผูกไว้กับเสากลางบ้าน
อาจารย์เปรื่องทำพิธีอยู่ในห้องนอนหลวงภักดี ถือน้ำแก้วใบหนึ่งแล้วเอาพระเครื่ององค์หนึ่งขึ้นมาสวดบูชา จากนั้นก็ใช้พระองค์นั้นมาวนรอบแก้วน้ำ ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นจรดหัวท่องคาถาเพื่อเสกให้เป็นน้ำมนต์ มีแสงสว่างวาบที่องค์พระด้วยอิทธิฤทธิ์
“เอาให้คุณหลวงท่านดื่ม”
ชื่นกลิ่นรับแก้วนั้นมาให้หลวงภักดีที่นอนป่วยอยู่บนเตียงได้ดื่ม คุณหญิงอบเชยหันมาถามอาจารย์เปรื่องอย่างกังวล
“คุณหลวงจะหายเหมือนนางเพ็ญไหมเจ้าคะ”
อาจารย์เปรื่องคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองสภาพแล้วประเมินได้ว่า หลวงภักดีโดนคุณไสยมาหลายตำรับอย่างหนัก อาจารย์เปรื่องส่ายหน้า ทุกคนตกใจ ชื่นกลิ่นแทบช็อค
“ไม่หรือเจ้าคะ...ทำไมคะ”
“ท่านเกิดวัน เดือน ปีอะไร”
ชื่นกลิ่นรีบบอก
“เกิดวันจันทร์ เดือนตุลาคม ปีระกา ปีนี้ท่านมีอายุ 30 ปีค่ะ”
อาจารย์เปรื่องหลับตาเล็กน้อย เพื่อคำนวณเวลาตกฟากของหลวงภักดี ในใจนั้นรู้แล้วว่าหลวงภักดีเป็นคนมีอายุขัยสั้นตามชะตาเกิด อาจารย์เปรื่องลืมตาถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ”
“ทำไมครับ ถอนใจทำไมครับ” กล้าถามอย่างร้อนใจ
“หลวงภักดีบทมาลย์ท่านนี้ เป็นคนจิตใจดีงามที่มีชะตาอาภัพ”
ทุกคนตกใจมาก บัวสวรรค์หน้าตื่น
“แปลว่าคุณหลวงจะไม่หายหรือคะ”
“ไม่มีความรู้ความสามารถใดเอาชนะกรรมลิขิต คุณหลวงไม่เหมือนแม่เพ็ญ ท่านเป็นคู่เวรคู่กรรมกับนางแพงมาหลายภพชาติ ที่สำคัญโดนมนตราอาถรรพณ์หลายขนาน มากกว่าแม่เพ็ญ ผมจึงรับประกันไม่ได้ว่าท่านจะหาย”
ทุกคนหน้าเสีย โดยเฉพาะชื่นกลิ่นที่น้ำตาคลอเบ้า
“โธ่...คุณหลวง”
“จะแก้อาถรรพณ์เสน่ห์คุณไสยแบบของคุณหลวง ต้องรู้วิธีทำ ต้องหาหุ่นรูปรอยตัวนั้น ต้องหาของขลังต้นเหตุให้พบจึงจะทำลายมนตราได้จนหมดสิ้น หากหาไม่ได้ก็เหมือนรักษาโรคไม่รู้ต้นเหตุ ให้ทุเลาพอได้แต่หายขาดทำไม่ได้”
คุณหญิงแววตาหมายมั่น
“หาของอาถรรพณ์ที่เป็นต้นเหตุงั้นรึ...อืม...”
วันใหม่...แพงถูกล่ามโซ่นั่งหน้าเศร้า เหนื่อยอ่อนไม่ได้นอนมาทั้งคืน คุณหญิงอบเชยเดินนำเพ็ญ มิ่งและมีเข้ามา เพ็ญจิกหัวแพงขึ้นมาถาม
“บอกมานะ เอ็งเอาหุ่นรูปรอยไว้ที่ไหน”
แพงครางขึ้นมา แววตายังดื้อรั้น
“ฮือ...คุณหลวง...มาช่วยอีแพงที...ฮือ”
คุณหญิงหันไปสั่งบ่าว
“หาให้ทั่ว หาของอาถรรพณ์ หุ่นรูปรอย หาให้เจอ”
เพ็ญ มิ่งและมี แยกย้ายกันหาของ ในตู้ ลิ้นชักต่างๆในห้องโถงนั้น...เพ็ญเดินมาเจอห้องที่ประตูปิดมีกลอนล็อคอยู่ คุณหญิง มิ่งและมีตามมา เพ็ญจับประตูอย่างสงสัย
“ห้องนี้ ล็อกกุญแจทำไมวะ”
“พังเข้าไป จัดการเลย”
มิ่งและมี เอาอุปกรณ์มางัดแงะแล้วจัดการพังประตูเข้าไปในห้องซึ่งเป็นห้องที่แพงใช้ประกอบพิธีกรรม...ทั้งหมดเดินเข้ามาดูหิ้งของขลังที่มีอุปกรณ์คุณไสยที่แพงสะสมไว้ทุกคนตกใจมากที่เห็นว่าแพงเอาจริงเอาจังมีของสะสมไว้มากมาย เพ็ญถึงกับเอามือทาบอกอุทานออกมา
“คุณพระช่วย”
“ห้องทำพิธีกรรมของมัน”
“จะเอายังไงครับ” มิ่งถาม
คุณหญิงเหยียดยิ้ม
“อาจารย์เปรื่องปราบคุณไสยในตัวมันหมดแล้ว จะไปกลัวทำไม ฮึ...ของต่ำพวกนี้กลัว อย่างหนึ่งที่สุด”
เพ็ญแปลกใจ
“กลัวอะไรคะ”
“กลัวผู้หญิง...ผ้านุ่งผู้หญิง”
คุณหญิงหน้าดุไม่เคยกลัวใคร เดินก้าวขึ้นไปยืนบนโต๊ะหมู่ ยืนคร่อมอุปกรณ์คุณไสย ควันดำกระจายออกไปจากโต๊ะหมู่
“เอาของพวกนี้ออกไปเผาทิ้งให้หมด”
มิ่งกับมี ขนของทั้งหลายมาใส่ลังไว้ เตรียมจะเอาออกไปเผา คุณหญิงหันไปบอกเพ็ญ
“ค้นดู หาหุ่นรูปรอยให้เจอ”
เพ็ญเข้าไปค้นหาหุ่นรูปรอย บนหิ้งและบนที่ต่างๆในห้อง
มิ่งกับมี ขนของอาถรรพ์มาวางกลางแจ้งเตรียมเผา เพ็ญเดินมาบอกคุณหญิง
“รื้อค้นทุกอย่างในบ้าน หาไม่เจอจริงๆค่ะ”
คุณหญิงแค้นมาก
“นังแพง หนอย”
คุณหญิงเดินไปหยิบน้ำมันผีขวดเล็กๆขวดหนึ่งขึ้นมาพร้อมพวกดินปั้นในโถแก้ว มาถือไว้กะจะเอาไว้แก้แค้นแพง
“ที่เหลือเผาทิ้งให้หมด”
คุณหญิงหน้าตาดุดันเอาเรื่อง เดินนำบ่าวเข้ามาหาแพงที่ถูกผูกเชือกไว้กับเสา
“อีช็อกกาหรี่! เอ็งเอาหุ่นรูปรอยไปซ่อนไว้ที่ไหน”
แพงแสยะหัวเราะ สะใจสุดๆ
“ฮะฮะฮ่า หาไม่เจอล่ะสิ ไอ้อาจารย์นั่น มันบอกหรือเปล่าว่า ถ้าหาไม่เจอ ก็ทำลายอาถรรพณ์ไม่ได้ คุณหลวงจะยังรักกู เป็นของกูต่อไป”
“มึงหมดสิ้นฤทธิ์ขนาดนี้แล้ว ยังไม่เข็ดหลาบ อยากตายหรือไงหา”
“ถ้าตาย กูจะเป็นผีมาหลอกพวกมึง ลูกหลานมึง ฆ่ากูสิ ฆ่าให้ตาย เอาสิ เอาเล้ย”
“ใช่สิ...ความตายมันไม่น่ากลัว เพราะตายแล้วเดี๋ยวมันก็จบ แต่ไอ้ทุกข์ทรมานจนเหมือนใกล้จะตายนี่น่ะ ความรู้สึกแบบนี้ ข้าอยากรู้เอ็งจะทนไหวไหม”
แพงชักกลัว
“อี...อบเชย...”
คุณหญิงหันไปสั่งเพ็ญ
“เฆี่ยนมัน...เฆี่ยนมัน จนกว่ามันจะบอกว่า มันซ่อนหุ่นพวกนั้นเอาไว้ที่ไหน เฆี่ยนมัน”
เพ็ญยิ้มสะใจ เอาหวายมาจัดการเฆี่ยน แพงร้องโหยหวน
“โอ๊ย...โอ๊ย”
“กินน้ำใต้ศอกน่ะ ตอนนั้นเอ็งคงนึกว่าน่าสนุก เอ็งกินน้ำใต้ศอกผู้หญิงที่มีแม่อย่าง คุณหญิงอบเชย เอ็งคิดผิดแล้ว”
เพ็ญเฆี่ยนอย่างทารุณ แพงร้องอย่างเจ็บปวด
เสียงเฆี่ยนควับๆ และเสียงร้องดังออกมาอย่างเจ็บปวดของแพง ดังต่อเนื่องยาวนานจนถึงค่ำมืด
“โฮ้ย...กูเหนื่อยแล้วนะโว้ย ว่าไง...จะบอกได้หรือยัง”
เพ็ญปาดเหงื่อ พึ่งแอบมองอยู่ห่างไปด้วยความเป็นห่วงลูก แพงแสยะยิ้มอีก มีลายพร้อยด้วยเลือดเต็มแผ่นหลัง
“อีอบเชย อีคุณหญิงอบเชย ลูกสาวมึงร้องไห้เพราะบ่าวอย่างกูมากี่หนวะ”
คุณหญิงอบเชยโกรธมากพุ่งไปจับจิกหัวแพงขึ้นมา
“อีแพง!”
“มึงและลูกสาวมึงแย่งทุกอย่างจากกูไป ผัวมึงเบื่อมึง จนต้องมานอนกับแม่กู แม่กูคลอดกู มึงก็เลยริษยากดขี่ให้กูเป็นแค่บ่าวแม้แต่คุณหลวงนั่นกูก็เจอก่อน กูเป็นลูกท่านเจ้าคุณ กูมีสิทธิ์แต่งงานกับคุณหลวงเหมือนกัน”
ทันใดนั้นเสียงชื่นกลิ่นดังขึ้น
“แพงเป็นลูกคุณพ่อจริงหรือคะคุณแม่”
คุณหญิงตกใจ
“แม่ชื่น!”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวเพ็ญเอามาให้”
เพ็ญรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงบอกอบเชยแล้วเดินออกไปเอาหลักฐานที่เรือนใหญ่มาให้ แพงเหยียดปากยิ้มเยาะ
“มาก็ดีแล้ว กูทนรับใช้รองมือรองตีนมึง ทั้งที่กูเกลียดมึงเข้าไส้สิบๆปีที่กูติดตามมึง มึงรู้ไหมกูเกลียดมึงแค่ไหน ทุกสิ่งที่มึงทำมึงกิน มึงอยู่ มันต้องเป็นของกูครึ่งหนึ่ง แต่เพราะแม่มึงเห็นแก่ตัว แม่มึงแย่งทุกอย่างไป แล้วมึงยังมาแย่งผัวกูไปอีก”
ชื่นกลิ่นตะลึง
“จริงหรือคะคุณแม่ เรื่องจริงคืออะไรคะ”
คุณหญิงมองแค้นๆ
“มึงอยากฟังความจริงนักใช่ไหมอีแพง มึงคาใจสงสัยเรื่องนี้นักใช่ไหม กูนึกอยู่แล้วว่า กูต้องใช้มัน อีพึ่งไม่ต้องหลบออกมานี่”
คุณหญิงเห็นพึ่งนานแล้ว พึ่งยอมออกมารีบบอกลูกสาว
“บอกแล้วไงอีแพง เอ็งมันลูกพ่อเส ข้าเป็นแม่เอ็งนะ ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง”
“ฉันไม่เชื่อ...แม่กลัวเขาจนขี้ขึ้นสมอง แม่ไม่กล้าคิดใช่ไหมล่ะ ว่าแม่เป็นเมียเจ้าคุณ แม่ไม่ยอมเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเอง แต่ฉันจะเรียก”
คุณหญิงชี้หน้าแพง
“ตั้งแต่หอกข้างแคร่อย่างมึงโผล่มาในบ้านกู นึกอยู่แล้วว่าต้องมีวันนี้ วันที่คนทะเยอทะยานอย่างมึง ปั้นเรื่องโกหกขึ้นมาหลอกลวงคนอื่นหลายปีนี้ กูไม่ได้อยู่เฉย กูดิ้นรนไปหาหมอในโรงพยาบาล ในสถานีอนามัยทุกแห่ง เพื่อหาหลักฐานมาตบหน้ามึง แล้วกูก็เจอจนได้”
เพ็ญเดินเข้ามา พร้อมเอกสารหนึ่งปึก คุณหญิงเอามาชูให้แพงดู
“หมอคนนี้เขียนบันทึกแจ้งท่านเจ้าคุณว่า ท่านเจ้าคุณเป็นหมันหลังจากตกม้าก่อนหน้าที่จะนอนกับอีพึ่ง”
แพงชะงักอึ้ง
“อะไรนะ”
“ท่านเจ้าคุณคงระแคะระคายเรื่องอีพึ่งท้อง คงนึกสงสัยว่าเอ็งเป็นลูกท่านหรือไม่ ก็เลยแอบไปหาหมอตรวจร่างกายและปรึกษาหมอคนนี้ หมอคนนี้ส่งหลักฐานและจดหมายเขียนมายืนยันว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นรุนแรงมากจนทำให้ท่านเจ้าคุณมีลูกไม่ได้อีก”
แพงไม่เชื่อตะโกนลั่น
“ไม่จริง...ไม่จริง”
“ท่านเจ้าคุณแอบหลักฐานนี้เอาไว้ไม่บอกฉันเพราะกลัวว่าฉันจะโกรธ แต่พอฉันตั้งใจหาจริงๆ ฉันก็เจอ”
เพ็ญจ่อเอกสารกับหัวของแพง แทบจะทิ่มลงไปจมหน้ากระดาษ
“นี่ๆ ดูให้ชัดๆ นี่ๆ เห็นหรือยัง...โถ อยากเป็นลูกสาวท่านเจ้าคุณ กี่ปีแล้วล่ะ ที่อยู่กับฝันกลางวันของตัวเอง จะบอกให้ชัดๆอีกทีนะอีแพง มึงนะเป็นบ่าว บ่าวตั้งแต่โคตร ต่ำตั้งแต่ร่างกายไปจนถึงจิตใจของมึงเลยทีเดียว ฮะฮะฮ่า สะใจโว้ย”
แพงช็อคสิ่งที่ยึดไว้เป็นแกนชีวิต หลุดลอย
“ไม่...ฉันเป็นลูกเจ้าคุณ ฉันเป็นลูกเจ้าคุณ”
คุณหญิงยิ้มเหยียดอย่างผู้ชนะ
“ฮึ...ถึงกับตาลอยรับไม่ได้เลยหรือมึง นี่ไงล่ะความทรมานที่กูบอก ความจริงบางอย่าง มันทำให้มึงเจ็บปวดยิ่งกว่าตายเสียอีก”
แพงช็อคจนกรี๊ดลั่นอาละวาด เต้นเร่าๆ
“กรี๊ด ไม่ ไม่”
ชื่นกลิ่นมองอย่างสงสาร
“แพงยอมรับความจริงเสียเถอะนะ ความเจ็บปวดทั้งหลายของแพง ฉันเข้าใจดี ถือว่าเราเลิกแล้วต่อกันนะ บอกฉันมาเถอะว่า ของอาถรรพณ์หุ่นพวกนั้นอยู่ไหน”
ชื่นกลิ่นเดินเข้าไปใกล้ แพงพุ่งมาบีบคอ
“ไม่...อีชื่น มึงตาย...อีชื่น”
เพ็ญตกใจ
“ว้ายๆ คุณชื่นคุณชื่น ปล่อยนะแพง ปล่อยคุณชื่นนะ”
เพ็ญ มิ่งและมี พุ่งเข้าไปดึงชื่นกลิ่น แพงตาขวาง
“คุณหลวงเป็นของกู เป็นของกู”
เพ็ญ มิ่งและมีใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก็จับชื่นกลิ่นออกมาได้ ชื่นกลิ่นไอแค่กๆ คุณหญิงโกรธเกรี้ยว
“ฤทธิ์เยอะนัก ในเมื่อให้โอกาสแล้วเอ็งยังไม่เอา เห็นอะไรนี่ไหม ข้าวของอาถรรพณ์ที่ข้าเอามาจากห้องเอ็ง ที่เอ็งเอาไว้ทำร้ายคนอื่น ข้าไม่ได้เผาทิ้งหรอกนะเพราะข้าจะเอามาคืนให้เอ็ง”
เพ็ญ มีและมิ่งจับแพงไว้ คุณหญิงกรอกน้ำมันผีใส่ปากแพง ตามด้วยก้อนดินปั้นสีดำ ยัดๆใส่ปาก
“นี่ แน่ะ...นี่ กินเข้าไป ยัดเข้าไป ของต่ำที่เอ็งสร้างขึ้นมาอยากจะรู้นักเวลามันเข้าตัวไอ้คนที่ทำน่ะมันเป็นยังไงนี่แน่ะนี่นี่นี่”
ควันดำทั้งหลายลอยอยู่ในปากของเข้าไปในตัว แพงไอแค่กๆ ดิ้นพราดๆ พึ่งตกใจเป็นห่วงลูกมาก
“แพง...แพงลูกแม่”
คุณหญิงและเพ็ญหัวเราะสะใจ ปล่อยให้แพงลงไปนอนกรี๊ดลั่น ดิ้นร้อนๆๆ มือจับที่คอ ที่มีแสงวาบๆ ด้วยมนตรา แพงดิ้นทรมาน ร้องออกมาไม่เป็นคำ เริ่มมีอาการเป็นบ้า มิ่งหน้าตื่น
“น่ากลัวจริงๆ น่ากลัวอะไรอย่างนี้วะ”
พึ่งร้องไห้จะเข้าไปก็ไม่กล้า ชื่นกลิ่นนั่งมองด้วยความเวทนา
หลายวันผ่านไป...ชื่นกลิ่นป้อนข้าวให้หลวงภักดี ที่ยังมีสภาพเป็นคนป่วยอยู่บนเตียง แต่ดีขึ้นกว่าเดิม
แพงยังถูกผูกเชือกคาขังอยู่ที่เรือนเล็ก เธอนั่งเศร้าเหนื่อยอ่อน เพ็ญถือไม้เดินเข้ามา
“คุณหญิงสั่งมา เมื่อไหร่ที่ว่างให้มารีดความจริงจากมึง
“รีดความจริงอะไร”
“วันนี้ทางการเขาส่งจดหมายมาไล่คุณหลวงออกจากงาน ชีวิตของคุณหลวงพังเพราะมึงคนเดียว” เพ็ญเอาไม้หวดทันที “นี่แน่ะ...นี่นี่”
“โอ๊ย”
“จะบอกหรือไม่บอก ฝังหุ่นรูปรอยไว้ที่ไหน บอกมานะ”
แพงเจ็บปวดส่ายหน้าไม่ยอมบอก
“กูไม่บอก...กูไม่บอก”
หลวงภักดีหน้าซีดเซียวกินยาเม็ด ที่ชื่นกลิ่นจัดมาแล้วกินน้ำตาม
“ไม่มีงานทำ พี่ก็เหมือนคนไร้ค่า”
“ท่านเจ้าคุณบอกไว้แล้วไม่ใช่หรือคะ เมื่อไหร่ที่คุณหลวงหายป่วย ท่านจะคืนงานให้ รีบรักษาตัวให้หายนะเจ้าคะ”
ชื่นกลิ่นบอกอย่างให้กำลังใจ
แพงถูกมัดนั่งเศร้าอิดโรย พึ่งเอาข้าวมาป้อนให้
“กินข้าวหน่อยนะลูก”
แพงสติแตก ปัดจานอาหารทิ้งแล้ว ร้องกรี๊ดออกมา
“กรี๊ดๆๆ”
พึ่งตกใจ
“แพงเป็นอะไรไปลูก”
“ข้าจะไปหาคุณหลวง จะไปหาคุณหลวง”
แพงอาละวาดลุกขึ้น ดึง ลากตัวเองให้พ้นจากเชือก พึ่งเข้าห้าม
“อย่านะลูก พอเถอะนะ พอที”
“คุณหลวงของเมีย...คุณหลวง”
แพงตะโกนลั่นดิ้นรนจนเชือกขาด แพงยิ้มออกมา พึ่งเห็นรีบจับลูกไว้
“ไม่นะลูกไม่”
แพงผลักพึ่งออกไป แล้ววิ่งออกไป
“หลีกไป”
พึ่งเจ็บเล็กตัวเลยตามไม่ทัน
“ไม่นะแพงอย่าออกไป กลับมา...กลับมา”
เพ็ญกำลังล้างรถอยู่ โดยมีนวลที่หลังจากโดนของและแก้ได้แล้ว แต่เนื่องจากยังไม่เจอหุ่น นวลจึงกลายเป็นคนบ้าๆบอๆ นั่งเล่นน้ำสบู่ในถังเหมือนเด็กๆ เป่าฟู่ๆ เพ็ญหันไปดุ
“อีนี่ ช่วยกันทำงานสิ ตั้งแต่โดนถอนคุณไสย สติสตังไม่เข้าที่เสียทีนะเอ็ง”
นวลยิ้มๆ หัวเราะคิกๆ มาช่วยเพ็ญถูๆรถ เพ็ญมองส่ายหน้าสงสาร...ขณะเดียวกันนั้น แพงวิ่งหนีออกมาผ่านสวน เห็นตะกร้าทำสวนมีอุปกรณ์วางอยู่ แพงคว้ามีดเล็กๆได้เล่มหนึ่ง ยิ้มร้ายแล้ววิ่งต่อไป นวลหันไปเห็นรีบชี้ตะโกนบอกด้วยความกลัว พอบอกเสร็จเธอก็รีบเอาตะกร้าครอบหัวตัวเอง เพราะกลัวแพงมาก
“นั่น...นั่น มาแล้ว...มาแล้ว”
แพงวิ่งมาเจอเพ็ญ
“อีแพง นี่เอ็งหนีออกมาเหรอ หยุดนะ”
แพงเอามีดแทง เพ็ญหลบ เลยโดนแถวๆเอว เลือดไหลออกมา เพ็ญตกใจมาก พึ่งที่วิ่งตามมาร้องกรี๊ด นวลมองเห็นเลือดก็กรี๊ดๆ แบบคนบ้าเช่นกัน
“กรี๊ดๆๆๆๆ”
“อีแพง นี่เอ็ง...”
เพ็ญเอามือจับเอวที่เลือดไหลอยู่
“ฮะฮะฮ่า คุณหลวง ข้าจะไปหาคุณหลวง ใครขวางข้า ตาย”
แพงวิ่งถือมีดออกไปจะไปเรือนใหญ่ เพ็ญนั่งลงจับแผลหน้าซีด พึ่งเข้าไปช่วยกดแผลห้ามเลือด
“พี่เพ็ญ เป็นไงบ้าง”
ชื่นกลิ่นเดินมาดูต้นไม้หน้าบ้าน ก้มๆเงยๆจัดการต้นไม้ แพงถือมีดวิ่งมาเห็น ยิ้มพอใจ รำพึงในใจ
‘อีชื่นกลิ่น เอ็งอยู่นี่ก็ดีแล้ว วันนี้วันตายของเอ็ง’
แพงค่อยๆเดินไปหา เงื้อมีดขึ้นจะแทงขณะที่ชื่นกลิ่นยืนหันหลังให้ เธอหันกลับมาพอดีร้องเสียงดัง
“อ๊าย”
บัวสวรรค์ที่อยู่ใกล้คว้ากระถางต้นไม้ทุ่มใส่หัวของแพงได้จังหวะพอดี แพงตกใจล้มเซลงเจ็บหัว กล้าวิ่งมาเจอพอดี
“นังแพง”
“มีมีด ช่วยด้วย นายกล้า นางแพงมีมีด” ชื่นกลิ่นตะโกนบอก
แพงอยู่กับพื้นมึนไป พยายามรวบรวมตัวเองหยิบมีดขึ้นมาใหม่
“ข้าจะฆ่าพวกเอ็ง”
กล้าเข้าไปจับมีดไว้แล้วเขวี้ยงออกไปไกลๆ ก่อนจะจับแพงไว้
“นี่หยุด หยุดนะ นี่ใจคอคิดจะฆ่าแกงกันเลยหรือไงหา”
กล้าด่าเสียงดังแล้ว จับแพงออกไป ชื่นกลิ่นกับบัวสวรรค์ตกใจมาก เข้ามาจับมือกัน
“น่ากลัวจังเลยค่ะพี่ชื่น”
แพงถูกจับตัวมาที่เรือนเล็ก คุณหญิงอบเชยหันมาสั่งบ่าวเสียงเข้ม
“ล่ามโซ่...ล่ามโซ่มัน”
มิ่งและมีเอาโซ่มาล่ามแพงไว้กับเสา เปลี่ยนจากเชือกเป็นโซ่ เพื่อให้แข็งแรงขึ้น พึ่งร้องไห้
“ฮือๆๆ...ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ อีแพงมันไม่ใช่หมูไม่ใช่หมานะคะ”
“เพราะมันไม่ใช่หมูไม่ใช่หมา มันถึงออกไปอาละวาดจะฆ่าคนตายอยู่ข้างนอกประตูหน้าต่างพวกนี้ เอาออก แล้วเปลี่ยนเป็นลูกกรงเหล็กให้หมด”
“เปลี่ยนเป็นลูกกรง เปลี่ยนทำไมคะ” พึ่งถามอย่างสงสัย
“ข้าจะขังเดี่ยวมัน ในเมื่อมันไม่ยอมบอกว่า หุ่นรูปรอยอยู่ตรงไหน ข้าก็จะทรมานมัน จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง”
พึ่งตกใจหน้าตื่น
“ขังเดี่ยว...หมายความว่า”
“ข้าให้เอ็งเฝ้ามันแต่เอ็งก็ยังปล่อยมันออกไปอาละวาดข้างนอก เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ แม้แต่เอ็งก็ไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้มัน ประตู หน้าต่างทุกบานจะถูกปิดตาย มันจะมีชีวิตเลวยิ่งกว่าหมากว่าแมว มันจะต้องทุกข์ทรมานด้วยความโดดเดี่ยวเป็นบ้าขึ้นไปอีก”
“ไม่...แพงบอกเขาไป บอกเขาไปว่าหุ่นพวกนั้นอยู่ไหน บอกเขาไปสิลูก”
แพงมองตาขวางสายตาดุดัน
“ถุย...กูไม่กลัวมึง อยากทำอะไรกูก็ช่าง มึงอย่าหวังว่ากูจะยอมแพ้มึงถึงตายกลายเป็นผี กูก็ไม่ยอมแพ้”
“โธ่แพง บอกเขาไป บอกเขาไปเถอะลูก”
แพงกับคุณหญิงอบเชยมองอาฆาตกัน ไม่มีใครยอมแพ้ใคร
อ่านต่อหน้า 4
บ่วง ตอนที่ 12 (ต่อ)
วันต่อมา...คุณหญิงอบเชยมาหาอาจารย์เปรื่องที่บ้าน เพื่อปรึกษาเรื่องหุ่นลอยที่แพงไม่ยอมบอก
“ทำยังไงก็ไม่ยอมบอกงั้นหรือ”
“คุณหญิงให้เอาเครื่องเรือนทุกชิ้นออกจากเรือนเล็ก ค้นทุกซอกทุกมุม ก็ยังไม่เจอครับ” กล้าบอก
“ให้คนไปเฆี่ยน เอาโซ่ไปล่าม ปล่อยมันถูกขังคนเดียว ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน มันยังไม่ยอมบอกเลยเจ้าค่ะ” คุณหญิงบอกอย่างหนักใจ
อาจารย์เปรื่องสงสารแพงเหมือนกัน
“โธ่...ก่อกรรมก่อเวรกันถึงขนาดนี้เชียวรึ”
“โธ่...แล้วที่มันทำกับเราล่ะคะ ดูคุณหลวงสิ งานการถูกเขาไล่ออก นอนป่วยไม่มีเรี่ยวแรงอยู่อย่างนี้ คนดีๆแท้ๆ นี่น่ะ คนที่เคยช่วยชีวิตมันนะคะ ดูซิ...ดูสิ่งที่มันทำกับเขา” คุณหญิงน้ำเสียงเจ็บแค้นใจ
“ยายเพ็ญก็เพิ่งหายจากการถูกแทง โชคดีที่โดนแค่เฉี่ยวๆแพงมันบ้าฆ่าคนได้ จริงๆนะคะ” บัวสวรรค์พูดด้วยน้ำเสียงหวาดๆ
อาจารย์เปรื่องถอนหายใจ
“เฮ้อ...บ่วงกรรม...ถักทอแน่นเหนียวซับซ้อนเหลือเกิน”
“ในเมื่อเราไม่มีทางเจอหุ่นรูปรอยนั่น อาจารย์มีวิธีอื่นช่วยคุณหลวงไหมครับ” กล้าถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเจ้านายมาก
อาจารย์เปรื่องนิ่งคิด บัวสวรรค์มองอย่างสงสัย
“ทำไมไม่ตอบล่ะคะ นิ่งไปอย่างนี้หมายความว่ายังไงคะ”
อาจารย์เปรื่องถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า
“เฮ้อ...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
คุณหญิงอบเชย บัวสวรรค์และกล้าตกใจมาก เพราะห่วงหลวงภักดีมาก
วันใหม่...ทั้งสองนอนอิงแอบกัน หน้าตาหลวงภักดียังซีดเชียวอยู่ ชื่นกลิ่นหน้าเศร้า พอจะรู้แล้วว่าเขาอายุไม่ยืน
“ถึงคุณหลวงจะป่วย จะไม่มีงานทำ ต้องนอนอยู่อย่างนี้ แต่คุณหลวงก็ยังมีน้อง มีลูกของเรา”
“ใช่ ลูก...พี่จะต้องอดทน จะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อลูกของเรา”
ทั้งสองอิงแอบกัน ทุกนาทีเป็นสิ่งมีค่า
เรือนหลังเล็กที่ติดลูกกรงใหม่ ดูสภาพคล้ายห้องขังมากกว่าบ้านคน ในบ้านไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรแล้ว มีแต่ความมืดมน มอซอ แพงนั่งบ้าบอ ยิ้มเมื่อนึกถึงอดีต เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้
“คุณหลวง คุณหลวงเป็นผัวของอีแพง ฮะฮะฮ่า”
เพ็ญเดินมาที่ประตู วางจานข้าวและน้ำให้ ด้วยการสอดไปให้ตามลูกกรง
“เอ้า...เอาไป...เชอะ”
พอเพ็ญไป พึ่งก็ มองซ้ายมองขวาก่อนเข้ามาหาลูกสาว
“แพง กินข้าวซะสิลูก แพง...แพง”
แพงยิ้มมองมาที่พึ่ง
“คุณหลวง...คุณหลวงมาหาแพงแล้วหรือ”
“แพง...นี่ไม่ใช่คุณหลวง นี่แม่ไง”
แพงลากโซ่แกรกๆมาหา มาจับแม่ผ่านลูกกรง ร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร
“คุณหลวง คุณหลวงรักแพง...คุณหลวงไม่เคยทอดทิ้งแพง คุณหลวงมาหาแพง”
แพงเป็นบ้าเต็มรูปแบบแล้ว พึ่งน้ำตาไหลสงสารลูกจับใจ
“โธ่ ลูกแม่”
ค่ำนั้น...แพงนั่งท่ามกลางความมืด สลัวรางๆ ใช้แหวนตีลูกกรงดังกริ๊กๆๆ บนท้องฟ้าพระจันทร์ดูน่ากลัว แพงยิ้มร้าย
“ความโกรธคืออาหารของความแค้นความเกลียดคือเชื้อเพลิงของคุณไสย! เมื่อข้ามีความโกรธความเกลียดอยู่เต็มหัวใจ ข้าก็จะสร้างคุณไสยขึ้นมาได้อีก”
แพงเริ่มท่องมนต์ดำ...ต้นลั่นทมดอกหลุดร่วงลงมา สองสามดอก ทุกครั้งที่มีการสวด มีการดึงอำนาจจากหุ่นรูปรอยที่ฝังอยู่ที่โคนต้น ดอกลั่นทมจะสั่นไหวดอกร่วงลงสู่พื้น
ชื่นกลิ่นกับหลวงภักดีนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงจู่ๆ หลวงภักดีก็กระสับกระส่ายเพราะมนต์ตราที่แพงท่องมา ชื่นกลิ่นตื่นมาดู
“คุณหลวง คุณหลวงเป็นอะไรไปคะ”
วันต่อมา...แพงถือโซ่เดินไปมาเต้นรำแบบคนบ้า เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
“คุณหลวง คุณหลวงจะกลับมาหาแพง คุณหลวงเป็นของแพง”
พึ่งโผล่มาดูเหมือนเคย เห็นสำรับอาหารของแพงทิ้งไว้
“วันนี้กินข้าวหมดแล้วหรือลูก นี่แม่เอามาให้อีก มีขนมที่ลูกชอบด้วยนะ ถ้าหิวก็มาเอาอีกนะ”
แพงเข้ามาตบตีแม่ตัวเองผ่านลูกกรงร้องโวยวาย
“ไป๊...ออกไป อีอบเชย...มึงออกไป๊ มึงเอาอะไรมาให้กูกิน กูไม่กิน ไป๊”
“โธ่ลูก! ไม่เอาลูก นี่แม่เอง นี่แม่” พึ่งร้องไห้โฮอย่างสงสารลูก
หลวงภักดีนอนป่วยอยู่บนเตียง โดยมีชื่นกลิ่นที่ท้องโตนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ
“ต้องอยู่กับคนป่วยทั้งวัน เบื่อไหม”
“เบื่อที่ไหนล่ะคะ ได้คุยกันทั้งวัน ทุกวัน อ่านหนังสือ ฟังวิทยุ มีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะ ผัวเมียบางคนยังไม่มีเวลาให้กันมากขนาดนี้เลย เอ๊ะ”
“ทำไมหรือ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ลูกดิ้น...ความรู้สึกแบบนี้นี่เอง”
“จริงหรือ ลูกดิ้นจริงหรือ ตรงไหน ยังไงล่ะจ๊ะ”
ชื่นกลิ่นหัวเราะจับมือกับคุณหลวงดีใจ ทั้งสองดูมีความสุขในขึ้นมาบ้าง
ค่ำคืนหนึ่ง...แพงไม่ยอมหลับยอมนอนนั่งสมาธิสวดคาถาให้ตนแก่กล้า สักครู่ก็ลืมตาขึ้น
“มนตราทั้งปวงจะยังอยู่ อยู่กับกู อยู่กับบ้านหลังนี้ ร้อยรัดคุณหลวงเอาไว้นานชั่วนิรันดร์ ฮะฮะฮ่า”
หลวงภักดีที่นอนหลับอยู่ร้อนกระสับกระส่ายตื่นขึ้น ชื่นกลิ่นรีบลุกตามดูแล
“ไข้ขึ้นอีกแล้วหรือคะ มาค่ะ น้องเช็ดตัวให้ อดทนไว้ เพื่อลูกของเรานะคะ อดทนไว้”
วันใหม่...คุณหญิงอบเชยนั่งเย็บผ้า บัวสวรรค์สีซอเพลงเศร้าๆ หน้าเศร้าหมอง กล้านั่งกับพื้นห่างไป อ่านหนังสือทำการบ้าน จู่ๆคุณหญิงอบเชยก็ร้องไห้ไปเย็บผ้าไป สงสารลูกจับใจ กล้าหันไปมองอย่างเป็นห่วง
“คุณท่าน”
“ตั้งใจอ่านหนังสือไปเถอะ ฉันไม่เป็นอะไร”
“ความรัก ความดีจะชนะ ต้องชนะ”
บัวสวรรค์สีซอไป พึมพำไป
หลายวันต่อมา ข้าทาสวิ่งวุ่นวายต้มน้ำร้อน หาผ้า หาพัด ไปมา ชื่นกลิ่นผูกโยงเชือกที่มือทั้งสอง เตรียมคลอดลูก เหงื่อแตก กำลังเป่ง มีหมอตำแยดูแล คุณหญิงอบเชยกอดลูกไว้และคอยเช็ดหน้าให้
“ลูกแม่อดทนไว้นะลูก”
หลวงภักดีน้ำตาคลอ นั่งรอบนเตียงใจจดจ่อ กล้าเดินไปเดินมา รอเป็นเพื่อน เมื่อเห็นคุณหญิงอบเชยอุ้มลูกมาให้ หลวงภักดีดีใจมากที่สุดในชีวิต คุณหญิงอุ้มหลานมาส่งให้ น้ำตาหลวงภักดีไหลลงมาเมื่อได้อุ้มทารกน้อย
“ลูก...ลูกพ่อ ลูกปลอดภัยทุกอย่างใช่ไหม”
“ปลอดภัยทุกอย่าง ไม่ต้องห่วงนะ”
บัวสวรรค์ยิ้มแย้มเข้ามาบอก
“พี่ชื่นพักผ่อนอยู่ หมอมาดูแล้วปลอดภัยเหมือนกันค่ะ”
หลวงภักดีพยักหน้ามองหน้าลูกน้อย คุณหญิงยื่นมือไปอังหน้าผาก
“คุณหลวง ทำไมตัวร้อนอย่างนี้ล่ะ”
“ผมจะรีบไปตามหมอครับ”
กล้ารีบออกไป หลวงภักดีไม่สนใจ มัวแต่ชื่นชมลูกที่อยู่ในอ้อมกอด
“ลูกปลอดภัย...ลูกปลอดภัย”
หมอมาตรวจรักษาหลวงภักดีที่นอนหลับอยู่เพราะอาการป่วยหนักมาก คุณหญิงอบเชยถามอย่างห่วงใย
“เป็นยังไงบ้างคะ”
หมอส่ายหน้าเศร้าๆ คุณหญิงอบเชย บัวสวรรค์และกล้า ช็อค
หลวงภักดีที่กำลังจะสิ้นใจอยู่ในอยู่ในอ้อมกอดของชื่นกลิ่น คุณหญิงอบเชย กล้าและบัวสวรรค์ที่อุ้มทารกอยู่ห่างไปนั่งร้องไห้อยู่
“แม่ชื่น...แม่ชื่น” หลวงภักดีเรียกเสียงแผ่วเบา
ชื่นกลิ่นกอดแน่นขึ้น
“น้องอยู่นี่ค่ะ น้องอยู่นี่”
“บอกลูกด้วย บอกว่าพ่อขอโทษ ขอโทษที่ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนเขา”
ทุกคน ร้องไห้โฮออกมา
แพงนั่งสมาธิ ปากก็ตั้งจิตภาวนา
“แม้เกิดชาติใด บ่วงรักของอีแพงจะติดตามคุณหลวง แม้เกิดภพใด บ่วงเล่ห์มนตราจะติดตามจองเวรอีชื่นกลิ่น และคนพวกนั้น ขอมันจงพบกับความวิบัติ ฉิบหาย เพราะอีแพงคนนี้”
ชื่นกลิ่นกอดสามีไว้แนบแน่น
“แม่ชื่น...ชาตินี้ไม่อาจร่วมเรียงเคียงหมอน พี่ขออธิษฐานขอให้ได้เป็นเมียผัวได้พบน้องทุกชาติไป”
“ไม่...ไม่เอานะคะ อย่าพูดแบบนี้”
ชื่นกลิ่นร้องไห้กอดสามีไว้
แพงนั่งสมาธิ น้ำตาไหลลงมา อย่างรู้ว่าหลวงภักดีจะตาย
“ไม่ว่าคุณหลวงจะหนีอีแพงไปไหน จะเกิดในสวรรค์หรือแม้แต่ในนรก อีแพงจะติดตามไป...นรกที่มีชายคนนี้ ต่อให้ตกนรกไปชั่วกัปชั่วกัลป์ อีแพงก็ยอม”
หลวงภักดีมองชื่นกลิ่นแล้วหลับตาลงสิ้นใจในอ้อมกอดของเมียรัก ชื่นกลิ่นร้องไห้โฮ พูดเสียงดังออกมา หัวใจแหลกไม่เป็นชิ้นดี
“ไม่...ไม่ อย่าทิ้งน้องไป น้องอยู่ไม่ได้ อย่าทิ้งน้องไป อย่าทำแบบนี้ ฮือ”
ทุกคนเศร้าเสียใจกับการจากไปของหลวงภักดี ชื่นกลิ่นน้ำตาไหลพราก
รัมภาสะดุ้งตื่นจากสมาธิ ยังช็อคที่เห็นคุณหลวงตายในอ้อมกอด เกือบจะสะอื้น เกือบจะหายใจไม่ทัน เกือบจะร้องไห้ จนคุณหญิงอบเชยที่อยู่ข้างๆ ต้องคอยบอก
“ลูกแม่ หายใจลึกๆ หายใจลึกๆ”
“หนูไม่เป็นอะไรแล้ว หนูแค่ หนูแค่...คุณแม่ขา คุณหลวงตาย ตอนนั้นหรือคะ”
คุณหญิงอบเชยพยักหน้า
“หลังจากนั้น แม่กับหนูก็ช่วยกันเลี้ยงเด็กคนนั้น...ชิดศรี แล้วก็เหมือนคำที่ชื่นกลิ่นเขาพูดเสมอ ชื่นกลิ่นตายหลังจากคุณหลวงตายแค่ห้าปี”
รัมภาโวยวาย
“ไม่...ทำไมมันเศร้าอย่างนี้ ไหนบอกว่าเราจะชนะ ไหนบอกว่าของต่ำๆคนต่ำจะไม่ชนะไง นี่มันอะไรกัน เป็นแบบนี้ได้ยังไง”
“ใจเย็นๆนะลูก ใจเย็นๆ”
“ไม่ หนูรับไม่ได้ ชีวิตทุกวันนี้หนูก็แย่เต็มทีแล้ว ยังย้อนอดีตกลับไปพบเรื่องที่เลวร้ายกว่าเดิมอีก หนูทนไม่ได้”
หลังจากย้อนอดีตมาพักหนึ่ง เห็นเรื่องทั้งหมดแล้ว รัมภาแทบจะสติแตกรับไม่ได้ คุณหญิงอบเชยได้แต่มองอย่างปลอบใจ
รัสตี้ไลล่านั่งทำการบ้านอยู่ รัมภาเดินเข้ามา หลังจากจิตเสียจิตตกเพราะเห็นอดีต ไลล่าหันมอง
“หม่ามี้...”
รัมภาเข้ามากอดลูกทั้งสอง ภาพอดีตมันแจ่มชัด มันน่ากลัวอย่างเหลือเกิน ยังสั่นกลัวไม่หาย
“กอดแม่ที ช่วยกอดแม่หน่อย แม่กลัวลูก แม่กลัว”
รัมภากอดลูกเอาไว้ เด็กทั้งสองงงๆ
อนุกูลนั่งทำงานอยู่ วรรณศิกาเดินเซ็งๆเอาเอกสารมาให้
“จดหมายที่เรารอ”
อนุกูลไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่าอะไร ยกมือถือขึ้นมากดโทรหารัมภา
“คุณภา จดหมายพักงานของคุณศามนมาถึงแล้ว”
“ปกติ เขาจะให้เวลาเท่าไหร่คะ”
“ถ้าไม่กลับมาทำงานหรือไม่มีหลักฐานมาชี้แจง แค่สองอาทิตย์ ก็ไล่ออก”
รัมภากลุ้มใจมาก
วันต่อมา...รัมภาและบุญสืบเดินมาส่งเด็กแฝดหน้าโรงเรียน ไลล่าหันมาถาม
“เดี๋ยวคุณแม่ไปไหนต่อคะ”
รัมภายิ้มเศร้าๆ รัสตี้มองสงสัย
“นั่นสิ เอาบุญสืบมาด้วยจะไปไหนต่อครับ”
รัมภากับบุญสืบเศร้าไป เพราะเป็นวันนัดหย่า
รัมภากับบุญสืบเดินมาเจอ ศามน เดือนแรมและดีดี้ ที่ประตูทางเข้าสำนักงานเขตเพื่อเข้าไปด้านใน เดือนแรมยิ้มเยาะ
“วันนี้ฉันจองโต๊ะจีนเอาไว้ด้วยแหละ”
เดือนแรมควงศามนที่ตาลอยนิ่งแข็ง เพราะอยู่ในมนตราเข้มข้น บุญสืบชะงัก
“โต๊ะจีน”
“เอาไว้เลี้ยงฉลองการหย่าให้คุณไงคะ ถ้าว่างก็เชิญนะคะ”
รัมภาหน้าชา บุญสืบหันไปหยิบกระถางต้นไม้เตรียมทุ่มใส่หัวเดือนแรม ดีดี้มาขวางไว้
“นี่จะทำอะไร เดี๋ยวตำรวจมาจับหรอก ของหลวงนะโว้ย”
บุญสืบจำต้องวางลงด้วยความแค้น รัมภามองหน้าศามนสังเกต ครุ่นคิด
ศามนกับรัมภานั่งต่อหน้าเจ้าหน้าที่
“คุณทั้งสองตัดสินใจดีแล้วหรือครับ” เจ้าหน้าที่ถาม
บุญสืบมองท่าทางของศามน แล้วบ่นอุบ
“ทำไมท่าทางแปลกๆวะ อย่างกับผีเข้า...เฮ้อ”
รัมภายังอยู่ในอาการคิดไม่ตก แม้ในนาทีสุดท้าย
“คนที่มานั่งตรงนี้ ส่วนใหญ่เพราะสาเหตุอะไรคะ” รัมภาถามขึ้น
“ก็หลายสาเหตุครับ มีทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาเรื่องทัศนคติ”
“แล้วคุณแนะนำวิธีแก้ไขอย่างไรบ้างคะ”
“โอ...หน้าที่ของเราเลยนะครับ สำหรับคนที่ยินดีรับฟังเนี่ย เรามักจะให้กลับไปตั้งสติคิดดีๆ ศูนย์ปรึกษาเรื่องชีวิตคู่ เราก็มีนะครับ รัฐมีบริการหมด”
“ที่จริงก็แค่ง่ายๆ เราควรจะกอดกันให้เหมือนวันที่เรากอดกันครั้งแรก เราควรจะยอมกัน ให้เหมือนวันแรกที่รู้ตัวว่ารักเขา เพราะวันนั้น เรายอมได้ทุกอย่าง เพียงเพื่อจะมีเขาอยู่ข้างๆ”
ศามนหันมามองรัมภา กระทบใจอยู่บ้าง บุญสืบมองอย่างสงสาร
“โธ่คุณผู้หญิง”
ทันใดนั้นวิญญาณแพงพุ่งเข้ามาบอก
“เจ็บเหมือนที่กูเคยเจ็บ พลัดพรากให้เหมือนกับที่กูเคยเป็น ถึงคราวของมึงแล้ว อีชื่นกลิ่น...เซ็นชื่อลงไปซะ”
รัมภาตัดสินใจได้ในที่สุด
“ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่หย่า”
เดือนแรมตกใจ
“อะ...อะไรนะ”
รัมภาตัดสินใจแน่แล้ว ลุกขึ้นทันที
“ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้เสียเวลา”
รัมภาเดินออกไป ท่ามกลางความงุนงงของทุกคน ที่ยังช็อคไม่หาย
“ไม่หย่า ไชโย ไชโย...เดินไปเลยครับ เดินไป ขึ้นรถไป กลับไปเลยครับไม่ต้องลังเล กลับเลยครับกลับ”
บุญสืบเสียงดังหัวเราะสะใจเดินตามไป เดือนแรมแทบพูดไม่ออก กว่าจะตั้งสติได้
“นังรัมภา กลับมานี่นะ โธ่โว้ย เอานี่ นั่งบื้ออยู่นั่น มานี่สิ”
เดือนแรมหันมาด่าศามน อารมณ์เสีย ลากศามนตาม...รัมภาเดินมา หน้ามุ่งมั่นเข้มแข็งกว่าคนเดิม เหมือนคิดอะไรได้หลายอย่าง บุญสืบที่ตามมายิ้มพอใจมากที่เจ้านายเข้มแข็ง
“ไปเลย ไป...เดินไปข้างหน้า อย่าหันหลังกลับ ดีแล้วครับคุณผู้หญิง ให้ไอ้พวกลักกินขโมยกินมันอกแตกตาย ดีแล้วครับขึ้นรถไปเลย ไปเลยครับ”
เดือนแรมเดินมาเรียกไว้
“นี่หยุดนะ บอกให้หยุดนังรัมภา...คนอะไรไม่ยอมรับความจริง เขาไม่รักตัวแล้ว ยังจะบ้ากอดทะเบียนสมรสเอาไว้ทำไมอีก กลับไปเซ็นชื่อซะ กลับไปนะ”
รัมภาเดินไปหาศามน
“คุณศามน”
ศามนนิ่ง รัมภาต้องเรียกอีกครั้ง
“คุณมน!”
ศามนสะดุ้ง
“ครับ”
รัมภาโกรธศามนในเรื่องๆหนึ่งเป็นอย่างมาก ถึงกับต้องพูดออกมา
“รู้ไหม ตอนที่ฉันเห็นคุณตาย มันทรมานแค่ไหน คุณจะโกรธจะเกลียดฉันยังไงก็ตาม ทีหลัง อย่ามาหมดลมหายใจในอ้อมกอดของฉันอีก”
ดีดี้หันมาถามเดือนแรมงงๆ
“เขาพูดเรื่องอะไรน่ะคุณนาย”
“ถามกู...แล้วกูจะไปถามใคร” เดือนแรมอารมณ์เสีย
“ฉันอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีคุณ คุณอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีฉัน”
รัมภามองชายตรงหน้าด้วยความรัก เดินไปกอดเขาเสียงเข้มแข็ง มั่นใจในตัวเองเต็มที่แล้วแล้วว่า เธอไม่มีทางจากกันกับผู้ชายคนนี้แน่ รัมภามองศามนด้วยความรักเต็มที่ ยิ้มให้ มั่นใจว่าจะต้องชนะในวันหนึ่ง
“นับจากวันนี้ จะเหมือนคำสัญญาทุกชาติภพของคุณ…เราจะไม่มีวันจากกันไม่มีวัน”
ศามนอึ้งตัวชา คนอื่นงงไปหมด รัมภาหอมแก้มหนึ่งครั้ง ก่อนจะถอยออกมา ศามนงุนงง ความรักของรัมภาพุ่งเข้ามากระทบใจทั้งสองสบตากัน
“อีบ้า นี่แกเป็นบ้าอะไร พูดบ้าอะไรของแก กลับไปจดทะเบียนหย่าเดี๋ยวนี้นะ”
เดือนแรมโกรธสุดๆ เดินมาเงื้อมือใส่รัมภาจะตบ บุญสืบรีบผลักออก
“ถ้ามือแตะต้องนายกูอีก กูเอามึงตายแน่ อีตลาดสด! ตลาดไร้ระดับอย่างมึง…ไปไกลๆเลยนะ”
ลมแรงพัดมา จนรัมภาชะงักมองลม แพงปรากฏตัวขึ้น โกรธจนตัวสั่น ด่ารัมภาที่ยังยืนมองหน้าศามน
“อีรัมภา นี่มึงกล้าหรือ มึงกล้าหรือ”
รัมภาหันไปบอกศามนอีกครั้ง
“ถ้าชาตินี้เราสองคนตายอีก ฉันเชื่อ คำสัญญาของคุณจะนำพาเรามาเจอกันอีก ไม่เป็นไร ตายเป็นตาย แต่เราจะไม่มีวันเลิกรักกันใช่ไหม”
รัมภาพูดเสร็จเดินกลับไป บุญสืบเดินตาม จู่ๆศามนน้ำตาไหลออกมา จากหนึ่งหยดแล้วกลายเป็นสะอื้นฮัก ด้วยความรู้สึกถึงความรักที่อยู่ภายในรุนแรง จนยากจะอธิบาย ไม่สามารถออกมาเป็นคำพูดได้ เดือนแรมตะลึง
“คุณมน คุณร้องไห้เพราะมันหรือ”
“คุณภา รัมภา”
“ไม่...มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ไม่ ไม่ ไม่...โธ่โว้ย นี่มันอะไรกันวะ”
ศามนร้องไห้มองรัมภา อาลัยรัก รัมภายิ้มให้ ขึ้นรถไปกับบุญสืบ
จบตอนที่ 12
อ่านต่อ ตอนที่ 13 พรุ่งนี้