xs
xsm
sm
md
lg

บ่วง ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บ่วง ตอนที่ 11

รัมภาพาอนุกูล วรรณิศา และพัชนีมาที่บ้านของศศิที่เป็นศูนย์วิปัสสนา ภายในบริเวณบ้านมีนักวิปัสสนา เดินจงกรม นั่งสมาธิอยู่มุมต่างๆ
 
“มาเรียนธรรมะนี่หรือ ไม่ใช่วัดนี่” อนุกูลสงสัย
“ไม่บอก นึกว่ารีสอร์ทนะนี่” วรรณิศามองไปรอบๆ
“คุณศศิที่เราเจอที่วัดที่หัวหินจำได้ไหม ฉันโทรคุยกับเธอเมื่อวาน ที่จริงเธอเป็นนักธุรกิจ มีการงานดีๆทำ ตอนนี้เธอยกบ้านหลังหนึ่งของเธอให้เป็นที่ฝึกปฏิบัติภาวนา มีพระมาเทศน์ มีครูมาสอน” รัมภาเล่า
“ปัจจุบัน ศาสนาพุทธไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่ในวัดอย่างเดียว การฝึกจิตแบบพุทธ กลายเป็นคอร์สเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก อย่างที่ฮาวาร์ดกำลังจะเปิดศูนย์พุทธปรัชญาด้วยซ้ำ” พัชนีช่วยเสริม

ศศิเดินนำกลุ่มของรัมภา เข้ามาที่มุมหนึ่งของห้อง ที่จัดเป็นมุมสื่อการสอน รูปการ์ตูน สีสันสดใส สวยงามวางอยู่บนโต๊ะ
สื่อการสอนชุดที่ 1 เป็นกระจก ศศิพารัมภามามองเงาในกระจก ที่กระจกมีรูปหัวใจสีแดง เขียนคำว่า “ใจ”
“ให้มองดูสารรูปตัวเองใช่ไหมคะ จะได้ปลงอิจจัง ดิฉันมองแล้วเห็นแต่คนหน้าตาสวยๆ ทำไงดีคะ” วรรณศิกาถาม
ศศิขำ พัชนีแอบตีวรรณศิกา ศศิถือรูปหัวใจอีกดวงสีขาว เขียนคำว่า “จิต” เตรียมให้รัมภา
“อยากจะจัดการกับปัญหาทางจิตใจ ต้องเข้าใจการทำงานของใจก่อน ใจมีหน้าที่วิ่งไป”
ศศิยื่นหัวใจสีขาว “จิต” ให้
“จิตมีหน้าที่ตามดู เหมือนดูเงาในกระจก”
วรรณศิริพยายามทำความเข้าใจ
“จิตคอยดูใจ” วรรณศิกาชี้หัวใจสีขาว แล้วชี้หัวใจสีแดง
“ใจวิ่งไป แยกจิตออกมาดูเหมือนดูเงาในกระจก” รัมภาบอกอย่างเริ่มเข้าใจ
ศศิพยักหน้า แล้วพาทุกคนไปที่สื่อการสอนชุดที่ 2 มีกระดาษรูปกองไฟ เขียนคำว่า โลภ โกรธ หลง เหนือกองไฟสามกองมี หัวใจสีแดง วางให้ไฟเผาอยู่ทั้งสามกอง
“ใจของเรามีธรรมชาติวิ่งไป เดี๋ยวคร่ำครวญอดีต เดี๋ยวกังวลอนาคต และมักวิ่งเข้าหากองทุกข์ 3 อย่าง”
ศศิชี้ทีละกอง
“นั่นคือ...ความอยาก ไม่อยาก หรือ โลภ ความโกรธ อาฆาต หรือ โกรธ และความหลง ความไม่รู้ หรือ หลง”
ศศิเอาหัวใจสีขาวในมือของรัมภา เข้าไปทาบเคียงข้างกับหัวใจสีแดงทั้งสามดวง ทีละดวง
“ วิธีฝึก ก็จะให้จิตคอยมองไปที่ใจ ทันทีที่รู้ นั่นคือรู้สติ เป็นเวลาที่มีสติ”
“แค่รู้หรือครับ” อนุกูลสงสงสัย
“ค่ะ แค่รู้...เวลาที่คุณโกรธ คุณกำลังคิดถึงแต่ความเลวของคู่กรณี แล้วจู่ๆเกิดฉุกคิดได้ว่า กำลังโกรธ ต้องระวังตัว มือที่จะไปหยิบมีดฆ่าเขาจะชะงัก เรียกว่ามีสติขึ้นมา ถูกต้องไหมคะ”
ทุกคนพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นศศิเอารูปตุ๊กตาลิงมาปะไว้ที่หัวใจสีแดงที่อยู่บนกองไฟทั้งสามกอง ทีละกองๆ เพื่อแสดงให้เห็นจิตที่มีนิสัยเหมือนลิงวิ่งไปหาอารมณ์ทั้งสาม
“ใจของเรามีนิสัยเหมือนลิง ลิงไม่อยู่นิ่ง วิ่งไปทั้งอดีต อนาคต วิ่งไปที่กองทุกข์ตลอดเวลา”
ศศิเอารูปลิงที่ติดอยู่กับหัวใจ เอาเชือกมาล่ามคอลิง ไว้กับเสาหลักไม้เล็กๆที่ตั้งอยู่ตรงกลาง
“เราต้องฝึกลิงแสนซน เราก็ล่ามมันไว้กับกาย ฝึกไปเรื่อยๆ เมื่อลิงเชื่อง ก็จะควบคุมได้ง่าย”
ศศิพากลุ่มของรัมภา เข้าไปดูวิปัสสนา ที่อยู่รอบๆศูนย์ มีคนนั่งสมาธิบ้าง เดินจงกรมบ้าง นั่งทานของว่างด้วยกิริยาช้า จดจ่อกับการกระทำบ้าง
“ฝึกสติไว้กับกาย ไว้กับลมหายใจ คือที่เราฝึกสมาธิ พุทโธ พองหนอ ยุบหนอนี่ใช่หมด เอาสติไว้กับเท้า คือเดินจงกรม เวลากินอาหาร เข้าห้องน้ำ เราก็ทำได้ นี่คือการฝึกในชีวิตประจำวัน ลมเข้ารู้ ลมออกรู้ เดิน ขยับ จับ ปล่อย รู้”
“ที่เขากำลังทำกันอยู่นั่นหรือคะ” รัมภาถาม
ศศิพยักหน้า ทุกคนมองกลุ่มที่กำลังวิปัสสนาเหล่านั้น ก่อนพากันไปนั่งคุยที่สวนร่มรื่น
“นอกจากนี้เวลาฝึกต้องสนใจแต่ปัจจุบันขณะ ตอนนี้โกรธ เห็นโกรธแล้ววาง ตอนนี้ด่าแล้ว เห็นด่าแล้ววาง ตอนนี้ด่าจนเหนื่อย เห็นเหนื่อยแล้ววาง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นสามัญลักษณะสามประการของโลกใบนี้ ใช่ไหมหนูพัช”
พัชนีช่วยอธิบาย
“ความจริงของธรรมชาติ ทุกสรรพสิ่ง มีลักษณะสามข้อ ข้อหนึ่งคือ ไม่มีอะไรยั่งยืน ให้ทุกข์แค่ไหนก็มีวันจบ ข้อสองทุกสรรพสิ่งมีภาวะที่ทนไม่ได้ เช่น นอนให้สบายยังไง ประเดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนท่า ไม่งั้น ก็จะกลายเป็นทุกข์ไป ข้อสาม สภาวะที่เราบังคับไม่ได้ เราอยากบังคับใจให้หยุดเศร้า ร่างกายเราแท้ๆ เรายังบังคับไม่ได้”
รัมภาเศร้า
“ความรักที่เคยมี สักวันก็ไม่มี เราอยากให้หายเศร้าวันนี้เดี๋ยวนี้ แต่เราบังคับไม่ได้ เราต้องรู้จักยอมรับความจริง...ใช่ค่ะ มันเป็นความจริงที่ภายอมรับไม่ได้ จึงยังทุกข์อยู่”
“คนที่ฝึกสติบ่อยๆ ถึงคราวทุกข์หนัก จะรู้ตัวเร็ว จะไม่ปล่อยให้ความทุกข์เข้าครอบงำจนเกินควร” ศศิบอก
“ผมนึกว่า ศาสนาพุทธสอนให้เราดับทุกข์ ด้วยการทำหน้าโง่ๆ ทำใจว่างๆซะอีก” อนุกูลโพล่งขึ้นมา
“น่าน...จับหมาเร็ว หมาวิ่งออกมาแล้ว”
วรรณศิกาทำท่าจับหมาแถวๆข้างหน้าอนุกูล พัชนีหันมาทำท่าจุ๊ปากไม่ให้พูด อนุกูลทำหน้าว่าช่วยไม่ได้ ศศิหัวเราะ
“ก็มันจริงนี่ ใครจะไปทำได้” อนุกูลบ่น
ศศิอธิบายต่อ
“แม้พระอรหันต์ก็ยังมีทุกข์ แต่เมื่อทุกข์มากระทบ ใจมันไม่ได้กระเทือนศาสนาเรา ไม่ได้รังเกียจความทุกข์ เรามองว่ามันเป็นลักษณะธรรมชาติอย่างหนึ่งเหมือนความสุข”
“ที่เราอวยพรกันขอให้มีแต่ความสุข ก็เป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องฝืนธรรมชาติ” วรรณศิกาออกความเห็น
“การพยายามรักษาความรัก ให้มันมากมายเหมือนเดิม ก็เป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติ” รัมภานึกถึงเรื่องตัวเอง
ศศิพยักหน้า
“ไปยืนต่อกรกับธรรมชาติ ยังไงก็ไม่ชนะ เข้าใจมัน เข้าใจตัวเอง แล้วจะอยู่เหนือมันได้!”

หลังจากฟังทุกอย่าง อย่างเข้าใจ รัมภาเริ่มปฏิบัติธรรม ทั้งนั่งสมาธิ เดินจงกรม กินอาหารแบบดูกายไปด้วย จากนั้นได้มานั่งพนมมือต่อหน้าพระ ขอพร
“คุณพระเจ้าขา ชีวิตของหนูมาถึงทางตันแล้ว ต่อไปนี้ หนูต้องลุกขึ้นสู้ เพื่อตัวเอง เพื่อลูก เพื่อความดีที่ต้องอยู่เหนือความชั่ว หนูกราบขอพร ขอให้หนูมีสติและมีปัญญา ในการจัดการชีวิตทั้งปวงของหนูด้วยเถิด”

รัสตี้ กับไลล่าลงจากรถนักเรียนที่มาส่งหลังเลิกเรียน บุญสืบพาเดินเข้าบ้านมาหารัมภาที่รออยู่
“วันนี้การบ้านมีอะไรบ้างคะ”
เด็กทั้งสองยังมีอาการเกเรบ้าง
“เหนื่อย เอาไว้ค่อยทำนะหม่ามี้” รัสตี้บอก
“มีการฝีมือด้วย ต้องเลื่อยไม้ แด็ดดี้ไม่อยู่ ไม่มีใครช่วยเลย” ไลล่าบ่น
“เดี๋ยวผมช่วย เรื่องแมนๆน่ะ” บุญสืบแต๋วแตก “ต้องบอกบุญสืบนะฮ้า”
ได้ผล รัสตี้กับไลล่าขำ
“แม่อยากคุยกับหนูเรื่องแดดดี้” รัมภาบอกลูก
บุญสืบเข้าไปกระซิบ
“จะดีหรือครับ เดี๋ยวพวกแกก็หาเรื่องไปเรือนเล็กอีก ปล่อยให้แกลืมไปเองดีไหมครับ”
“ไม่ เราจะไม่ซุกปัญหาไว้ใต้พรมอีกแล้ว เราจะพูดกับเด็กด้วยเหตุผลและด้วยความจริง”
บุญสืบกังวล

เด็กๆเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว นั่งคุยกับรัมภา คำ หล้า บุญสืบนั่งอยู่ห่างไป
“แด๊ดดี้ลืมเราแล้วใช่ไหมคะ” ไลล่าถาม
“พ่อแม่ทุกคน ไม่มีใครลืมลูกได้หรอก ตอนหนูเกิด หนูเป็นเด็กแฝด การเลี้ยงหนูสองคนพร้อมกันเป็นเรื่องลำบากมาก แด๊ดดี้ยอมลาออกจากงานมาช่วยแม่เลี้ยงหนู แด๊ดดี้จะลืมลูกที่เลี้ยงมากับมือได้ยังไง”
“แต่ตอนนี้แด๊ดดี้ไปชอบน้าเดือน” รัสตี้บอกทันที
“ไม่จริง แด๊ดดี้ รักหม่ามี้ รักหม่ามี้คนเดียว ถ้าพูดแบบนี้อีก ไลล่าจะไม่คุยกับรัสตี้”
ไลล่าหัวเสียมาก รับเรื่องนี้ไม่ได้ โวยวายจริงจังทำท่าจะร้องไห้ด้วย รัมภาพูดอย่างใจเย็น
“ฟังนะ เราจะไม่พูดกันเรื่องน้าเดือน คนๆนั้นจะไม่มีวันเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา หนูสองคนจำเอาไว้แค่ว่า แด๊ดดี้และหม่ามี้รักหนูเสมอ”
“ต่อไปนี้ครอบครัวเราจะมีแค่หม่ามี้หรือครับ”
“แด๊ดดี้มีงานมาก เดี๋ยวแด๊ดดี้ก็มา หม่ามี้กับแด๊ดดี้จะรักกันใหม่ ใช่ไหมคะ”
เด็กๆแย่งกันถาม รัมภาอึ้งไปครู่หนึ่งจะตอบว่าอะไร โกหกต่อไป หรือจะพูดความจริง
“แม่ไม่รู้”
“ไม่ ไลล่าจะให้แด๊ดดี้กลับมา ไลล่าคิดถึงแด๊ดดี้” ไลล่าเริ่มโวยวาย
“ผมก็คิดถึง หม่ามี้ซ่อมรถบังคับไม่เป็น เล่นเกมก็ไม่เก่งเหมือนแด๊ดดี้”
ความเศร้าของลูกสั่นสะเทือนใจแม่ รัมภารวบรวมกำลังใจพยายามต่อไป
“รัสตี้เคยอยากเตะบอลมาก พยายามฝึก แต่ก็ยังเข้าทีมไม่ได้ใช่ไหม ไลล่าก็เหมือนกัน หนูเคยเรียนไวโอลินแต่ก็ต้องเลิกไปใช่ไหม”
ไลล่าพยักหน้า รัมภากลืนน้ำตา เข้าไปในอก ก่อนจะพูด
“สิ่งที่แม่กำลังจะบอกคือ ผู้ใหญ่กับเด็กก็เหมือนกัน เราอ่อนแอ และผิดพลาดได้เหมือนกับเด็กๆ บางครั้งผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เข้มแข็ง ไม่สามารถจัดการชีวิตให้เป็นไปอย่างที่คิดได้ทุกเรื่อง”
“หม่ามี้เคยบอกว่า ให้อภัยได้ ถ้าหนูสอบไวโอลินตก แต่จะไม่ให้อภัย ถ้าหนูพยายามไม่พอ”
“ใช่ แม่ต้องการสิ่งนั้นจากหนู ให้อภัยแม่ได้ ถ้า...ถ้าแม่รักษาครอบครัวไว้ไม่ได้”
ในที่สุดรัมภาก็กลั้นไม่ไหว น้ำตาร่วงลงมา ไลล่ากับรัสตี้ เข้าไปกอดแม่
“หนูให้อภัยหม่ามี้ ให้อภัยเสมอ”
“ผมรักหม่ามี้ รักแด๊ดดี้ครับ”
รัมภาบอกอย่างมุ่งมั่น
“แม่สัญญากับหนูว่า แม่จะพยายามแก้ไขทุกอย่าง จะพยายามทำให้ดีที่สุด สิ่งที่แม่จะขอจากหนูคือ ขอให้หนูทำหน้าที่ของตนให้ดี ไม่ต้องให้แม่กังวลเรื่องของหนู แม่จะได้มีเวลาจัดการทุกอย่างได้”
“ผมจะทำการบ้าน จะไม่แกล้งน้องแล้ว” รัสตี้รีบบอก
“ไลล่าจะตั้งใจเรียน หม่ามี้ไม่ต้องห่วงไลล่าแล้วนะคะ” ไลล่าให้สัญญาเช่นกัน
คำ หล้า และบุญสืบสะเทือนใจไปด้วย
“ต้องให้ได้อย่างนี้สิคะคุณผู้หญิง เอ๊าแล้วไอ้นี่เป็นอะไร”
คำหันมองบุญสืบที่ร้องไห้กระซิกๆ
“ฮือ” บุญสืบเข้าไปกอด “หนูรักป้อ หนูรักแม่ ฮือ”
“หนูเหรอ นี่แน่ะ หนูๆ เดี๋ยวถีบไปโน่น”
หล้ายันบุญสืบออกไปด้วยความหมั่นไส้

รัมภาปฎิบัติธรรมจนอาการเริ่มดีขึ้น อาการนอนไม่หลับเริ่มหายไป ขณะเดียวกัน รัสตี้ กับไลล่าจิตใจดีขึ้น สามารถกลับไปตั้งใจเรียนได้เหมือนก่อน
บ่ายวันหนึ่ง รัมภาตัดสินใจไปที่เรือนเล็ก คำ หล้า และบุญสืบพากันเดินมาส่งที่สะพาน
“อีนังเดือนแรมมันย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนหลังเล็กหลายวันแล้ว มันไม่ให้พวกเราเข้าไปยุ่ง” คำเล่า
หล้าเสริม...
“วันๆ คุณศามนก็ไม่ไปทำงาน ไม่ออกมาพบใคร เราสามคนไม่มีใครได้เห็นหน้าคุณศามนเลย”
“อีเดือนแรมมันเป็นคนใจหยาบ คนดีๆอย่างคุณผู้หญิงไปเผชิญหน้ากับมัน เหมือนลงไปเกลือกกลั้วกับของสกปรก ผมกลัวจัง” บุญสืบกังวล
“นี่เป็นเวลาที่ฉันกลัวที่สุด แต่ฉันต้องพบกับคุณมน เขาเป็นพ่อของลูก ฉันตั้งใจไว้แล้วว่า ฉันจะไม่หนีอะไรทั้งนั้น ฉันจะเผชิญหน้ากับทุกๆอย่าง !”
รัมภาบอกอย่างมุ่งมั่น ในใจอธิฐานไปด้วยว่า...
‘คุณพระคุณเจ้า คุณแม่เจ้าขา ขอให้ความเข้มแข็งจงอยู่กับลูกด้วยเถิด’
รัมภารวบรวมกำลังใจ แล้วเดินต่อไปเพียงลำพัง เมื่อเดินไปถึงเรือนเล็ก ดีดี้เดินมาเจอพอดี
“คุณเมียหลวง เอ๊ยคุณรัมภา มาทำไมคะ”
“นี่บ้านของฉัน เธอต่างหาก มาอยู่ที่นี่ทำไม”
“อุ๊ยต๊ายตาย วันนี้แรงส์ ทุกทีเห็นแต่กะปลกกะเปลี้ยเข้าออกโรงพยาบาล”
“คุณศามนอยู่ไหน”
“ก็อยู่” ดีดี้ชี้ในบ้าน “เอ้อ ที่จริง” ดีดี้ยิ้มร้ายอยากให้รัมภาอึ้ง “ฉันพาคุณไปดูดีกว่า เชิญทางนี้ค่ะ”
รัมภาเดินตามไป ดีดี้ชะงัก หันมาขู่
“อ้อ ก่อนจะไป เตรียมยาหอม ยาลม ยาดมไว้หน่อยดีไหมคะ มีใครบอกคุณหรือยังคะ ว่าคุณจะเจออะไร”
รัมภาไม่สน เก้าเท้าต่อ เป็นฝ่ายเดินนำไป
“ทำเป็นไม่กลัว เดี๋ยวเถ๊อะ หงายเงิบออกมา เรียกรถพยาบาลไม่ทันไม่รู้ด้วย”
ดีดี้บ่นพึม สีหน้าเยาะ รัมภาหันมามองดุ
“อุ๊ยขอโทษค่ะ คิดเสียงดังไปหน่อย... ฮิ ฮิ ฮิ”
รัมภาเดินต่อ พยายามเข้มแข็งต่อไป กระทั่งไปถึงหน้าห้องนอน ดีดี้ส่งเสียงดัง...
“เอาล่ะนะคะ พร้อมแล้วจะเปิดล่ะนะคะ”
รัมภากลั้นใจ พร้อมแล้วที่จะเห็นภาพที่ตัวเองกลัวที่สุดในชีวิต ดีดี้เปิดประตูออก พบว่าศามนนอนกอดเดือนแรมในชุดน้อยชิ้น รัมภาหายใจเข้า เรียกความเข้มแข็ง นึกถึงที่ศศิเตือนไว้

ที่ผ่านมานั้น...รัมภานั่งสมาธิอยู่ น้ำตาไหลออกมาเพราะใจไปคิดเรื่องที่เศร้า ศศิเข้ามานั่งข้างๆเตือนสติ
“คิดก็ให้รู้ว่าคิด เสียใจก็ให้รู้ว่าเสียใจนะคะ”
รัมภาลืมตาขึ้น หยุดการนั่งสมาธิ
“ฉันดีขึ้นมาหลายวัน นอนหลับก็ไม่ต้องพึ่งยาแล้ว แต่บางที อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขา ยังไงฉันก็ต้องเห็นภาพเขาอยู่กับคนอื่น ฉันนึกไม่ออก ถึงเวลานั้น ฉันจะทำใจได้อย่างไร”
“คุณยังไม่รู้ สุดยอดวิชาเอาชนะทุกข์ของพระพุทธเจ้า”
“มีสุดยอดวิชาด้วยหรือคะ”
“ร่างกายของคุณ คุณสั่งให้มันร้องไห้ หยุดร้องไห้ได้ไหมคะ”
“ไม่ได้ ถ้าสั่งได้คงดี ฉันไม่อยากเป็นคนอมทุกข์อยู่อย่างนี้”
“คุณสั่งให้มันตาย ให้มันไม่ตายได้ไหมคะ”
“ไม่ได้”
“เพราะร่างกายนี้ไม่ใช่ของคุณ ขนาดร่างกายที่อยู่กับคุณยังไม่ใช่ แล้วผู้ชายคนนั้นจะเป็นของๆคุณได้ยังไง สุดยอดวิชาเอาชนะทุกข์อยู่ตรงนี้ ถ้าอยากมีสุขมากกว่าทุกข์ อย่ายึดว่าตัวกูของกู ตัวตนเรา ของๆเรา ใครยึดเอาไว้ก็มีแต่ทุกข์กับทุกข์!”

รัมภานึกถึงคำสอนได้ ก็เข้มแข็งขึ้น พยายามตั้งใจจัดการให้เรียบร้อย ร้องเรียกศามน
“คุณศามน”
เดือนแรมกับศามน สะดุ้งตื่น
“คุณภา”
เดือนแรมชอบใจเล็กๆที่รัมภามาเห็นเข้า
“คุณพี่ อุ๊ยตาย เข้ามาเองนะคะ เดือนไม่ได้ไปทำอะไรให้สักหน่อย จู่ๆโผล่มาแบบนี้ ใครจะไปตั้งตัวติด”
เดือนแรมทำเป็นปิดเสื้อผ้า รัมภามองศามนคนเดียว
“แต่งตัวซะ ฉันมีเรื่องคุยด้วย”
รัมภาหันหลัง พยายามรวบรวมกำลังใจจะเดิน เดินเซไปในก้าวแรก
“อุ๊ยๆ ระวังนะคะ”
ดีดี้ร้องบอก รัมภารวบรวมกำลังใจเดินต่อ เซบ้างแต่เดี๋ยวก็กลับมามั่นคงใหม่ เดินต่อไป ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ได้แก้ไขได้ในทันที แต่ต้องทำ
ดีดี้ยิ้มเยาะ
“ฮึ เตือนแล้วไม่รู้จักฟังเอง”

เดือนแรมเดินเกาะแขนศามนเข้ามานั่งที่ห้องนั่งเล่น ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ตามด้วยดีดี้
“ฉันต้องการคุยกับคุณศามนคนเดียว” รัมภาบอกเสียงเข้ม
เดือนแรมอ้อนศามลทันที
“คุณมนคะ เดือนขออยู่ด้วยนะคะ เดือนขออนุญาตไม่ฟังคนอื่น ถ้าคุณมนไล่เดือน เดือนถึงจะไป”
ศามนเฉยไม่ไล่ รัมภาเซ็ง
“คุณจะคุยอะไร” ศามนถาม
“ที่จริงภาพทุกอย่างมันก็ชัดแล้ว แทบไม่มีเรื่องจะคุยเหมือนกัน”
รัมภามองทั้งสองอย่างตำหนิ จนศามนละอายใจอยู่บ้าง
“ลูกเป็นยังไงบ้าง”
รัมภาอ่อนลง
“แกบ่นคิดถึงคุณ”
เดือนแรมขัด
“คุณมนเขาแค่ขอมีเวลาส่วนตัว เขาไม่ทิ้งลูกหรอก ส่งเสียให้อยู่แล้วจะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา ไม่เห็นต้องมาใช้ลูกบังหน้า”
“คนไม่มีสำนึกผิดชอบชั่วดีอย่างคุณ แย่งสามีคนอื่นยังทำได้ จะไปรู้จักอะไรกับการรับผิดชอบลูก รับผิดชอบพ่อแม่ ฉันถึงบอกว่าคนระดับอย่างคุณ ฉันจะไม่พูดด้วย เพราะคุณฟังไม่รู้เรื่อง”
เดือนแรมแทบกรี๊ด
“ทำไมระดับฉันมันเป็นยังไง เดินเข้ามาคนเดียว ยังจะพูดมากอีก ไม่กลัวหรือไงหา มือเท้าคนชั้นต่ำอย่างฉันเนี่ย”
ดีดี้ขยับเข้ามาเสนอหน้าช่วยนาย ทำท่าเตรียมพร้อม
“คุณต่างหากที่กลัวฉันมาตั้งแต่ต้น เลียนแบบฉัน แย่งสามีฉัน อยากเป็นเหมือนฉัน ฮึ ใช้กำลัง ใช้มือใช้เท้า ยิ่งบอกความชั้นต่ำของคุณ ฉันจะกลัวทำไม”
“อีรัมภา”
ขณะเดียวกัน อนุกูลเข้ามาแอบฟังที่มุมหนึ่ง เดือนแรมขยับจะเข้าไป ศามนรีบดึงตัวเดือนแรมไว้
“ให้ผมพูดเองดีกว่า”
“คุณจะอยู่กับผู้หญิงพรรค์นี้จริงๆหรือ”
รัมภามองมาเยาะๆดูถูก จนศามนละอาย
“ผม เอ้อนี่... อย่ามองผมแบบนั้น คุณก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมเท่าไหร่ คุณกับอนุกูล คบชู้กันมานานเท่าไหร่แล้วล่ะ”
รัมภางง ไม่เคยรู้เรื่อง
“ฉันกับคุณนุหรือ”
“โถ ป่านนี้ยังไม่รู้เรื่องอีก มาค่ะ ดีดี้จะสงเคราะห์ให้”
ดีดี้เอามือถือของตนมากดให้ดู
“นี่มันตอนที่เขาเปียกน้ำ เขาแค่มาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน”
“แล้วทำไมคุณไม่บอกผม ผมจะเชื่อได้ยังไงว่าเขากับคุณไม่มีอะไรกัน”
รัมภาเซ็งถอนใจ จะมาเล่นมุกนี้นี่เอง
“คนเราถ้ามีความรักให้กัน หาความเชื่อใจน่ะไม่ยากหรอก แต่เวลานี้คุณมีแต่ความเห็นแก่ตัว ถ้าอยากจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างให้ตัวเองทำผิดทำชั่ว ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน”
“คุณจะเอายังไงกับผม”
“วันนี้ ฉันแค่มาดูคุณ สามีของฉัน พ่อของลูก ยอมรับจริงๆ ฉันรู้สึก...อืม จะเรียกมันว่ายังไง สมเพช! ฉันสมเพชคุณ !”
“ผมก็ยังเป็นผม คุณจะมาสมเพชผมเรื่องอะไร”
“งานการไม่ไปทำเป็นอาทิตย์ๆ ทอดทิ้งลูกเมียไม่มีความรับผิดชอบ เนื้อตัวหน้าตา ดำคล้ำไม่มีราศี คุณเปลี่ยนไปมากรู้ตัวไหม”
“ผมก็แค่หยุดพักผ่อน เรื่องลูกผมก็ต้องไปหาแกสักวัน ส่วนคุณ…”
“ส่วนฉัน…คุณจะทำยังไง”
“ส่วนคุณผมก็...”
ศามนอึ้งๆ ไม่กล้าบอกในทันที เดือนแรมเขย่าแขน
“คุณพี่ศามน เดือนยังอยู่ตรงนี้นะคะ อย่าลืมนะ เดือนก็เป็นเมียคุณพี่เหมือนกัน”
รัมภามีน้ำตารื้น เมื่อมองคนที่เคยรัก...
“ฉันคือรัมภา ความรักครั้งแรก และความรักเดียวในชีวิตของคุณ สิบปีที่เราอยู่ด้วยกันมา มองหน้าฉัน บอกฉันสิ ว่าคุณจะทำยังไงกับฉัน”


อ่านต่อหน้า 2  










บ่วง ตอนที่ 11 (ต่อ)

ศามนมองหน้ารัมภา วูบแห่งสำนึกที่ดีและความรัก เข้ามาปะปนจนใจอ่อน สีหน้าเปลี่ยน เสียงสวดมนต์เข้ามาทันที บนขื่อ...แพงนั่งคร่อมอยู่เหนือหัวศามนและเดือนแรม ใบหน้าอันน่ากลัวของแพง ก้มมามอง ท่องบทสวดลงมา

ศามนสะดุ้งเฮือก แววตาอ่อนโยน เป็นกล้าแข็งขึ้นเพราะถูกมนตรากำกับเข้มข้นขึ้น ศามนพูดออกมาเหมือนไม่ใช่ศามนพูด แววตาเหม่อไป
“ผม...ผมจะหย่ากับคุณ”
รัมภาตะลึง เอนลงทันที ช็อกไป เดือนแรมดีใจมากแทบกรี๊ดหันไปบอกดีดี้
“หย่า...อีดีดี้...กูไม่ได้หูฝาด คุณมนพูดว่าหย่าใช่ไหม”
“ใช่แล้วค่ะคุณนาย คุณศามนเป็นของคุณแล้ว ดูสิ นังเมียหลวงหงายเงิบไปเลยเห็นไหม”
ดีดี้กับเดือนแรมเยาะรัมภาที่ช็อกอยู่ ศามนพูดต่อตามแพงสั่ง...
“คุณมีอนุกูลแล้ว คุณนอกใจผม ในเมื่อเราไม่ได้รักกันแล้วก็หย่ากันเสียเถอะ”
รัมภาสะอื้น
“คำว่าหย่า เป็นคำที่ฉันกลัวที่สุด ฉันไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงมันด้วยซ้ำ แต่นี่คุณพูดมันออกมา พูดออกมาง่ายๆงั้นหรือ”
อนุกูลที่แอบฟังอยู่โผล่ออกมา ร่วมวง
“ทนไม่ไหวแล้วโว้ย นี่คิดจะยืนฟังเฉยๆนะนี่ ขอทีเถอะ”
อนุกูลเข้ามาต่อยศามนทันที เปรี้ยง! เดือนแรมต้องเข้ามาผลัก มาดึงอนุกูลออกจากศามน
“อ๊าย ไอ้บ้า เข้ามาทำอันธพาลแถวนี้ไม่ได้นะ ไป๊”
เดือนแรมหันไปดูศามน
“เป็นอะไรไหมคะคุณพี่”
“คุณภา หย่าๆกับมันไปเลย ผู้หญิงสวยๆ ดีๆอย่างคุณ หาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องไปสนใจมัน”
“แกแอบฟังอยู่ ที่แท้ก็ชวนกันมานั่งรอคำตอบ สมใจแกแล้วล่ะสิ อยากได้นักใช่ไหม เมียชาวบ้านน่ะ ไอ้โรคจิต”
ศามนบุกเข้ามาจะต่อยอนุกูล แต่รัมภาเข้ามาขวาง
“นี่หยุดนะ หยุด ...นี่แน่ะ”
รัมภาตบหน้าศามน เปรี้ยง!
“นี่คุณ ปกป้องมันหรือ”
ศามนโวย เดือนแรมตวาดลั่น
“อ๊าย นังรัมภา มากไปแล้วนะ ขี้แพ้ชวนตีนี่หว่า”
“คุณมันบ้าไปแล้ว...ได้...ถ้าอยากหย่านัก ฉันจะหย่าให้ พอใจหรือยัง” รัมภาโต้
อนุกูลโวยใส่ศามน
“ดี หย่ากันไปเลย ไหนๆก็ไม่มีน้ำใจ ไม่มีความรับผิดชอบแล้ว จะเก็บไว้ทำไม ไอ้ทะเบียนสมรสน่ะ”
“แก แกคิดจะมาเซ้งเมียฉันต่องั้นสิ”
ศามนชี้หน้ากัน มีผู้หญิงทั้งสองคั่นกลาง
“เออ ขอให้เลิกจริงเหอะ ผมเอาแน่ มานี่คุณภา มากับผม ไม่ต้องไปสนใจมัน”
อนุกูลจับมือรัมภา ลากออกไป ดีดี้หันมาบอกเดือนแรม
“ไปกันแล้ว นังเมียหลวง...มันพูดว่าตกลงด้วยพี่”
“เออ ได้ยินแล้ว ได้ยินเต็มสองหู กูชนะแล้ว กูชนะแล้ว”
เดือนแรมกับดีดี้ กระซิบกัน ศามนเซ็งโวยวาย
“โธ่โว้ย !”
แพงหัวเราะสะใจ
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง วันที่คุณหลวงจะเป็นของข้า ของข้าแต่เพียงผู้เดียว ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”

ที่เรือนใหญ่...รัมภายังอยู่ในสภาพช็อค และเศร้า ขณะที่วรรณศิกา และพัชนีตามมาช่วยปลอบด้วย
“คุณศามนเนี่ยนะ พูดอะไรออกมาแบบนี้ เลวชั่วจริงๆ” วรรณศิกาบ่น
“ฟังดูแล้ว ไม่เหมือนคุณศามนที่เรารู้จักเลย เขาโดนคุณไสยเหมือนคุณหลวงหรือเปล่านะ”
พัชนีพึมพำ วรรณศิกาหันขวับไปถาม
“คุณหลวง นี่ใคร มีคุณไสยด้วย ตกลงเขาสองคนเป็นใครหรือ คุณหลวงกับคุณไสยเนี่ย”
“เอ้อ เปล่าค่ะ”
พัชนีรีบปฏิเสธ รัมภาอยากร้องไห้เลยลุกออกไป อนุกูลลุกตาม พัชนีกับวรรณศิกา ได้แต่มองอย่างสงสาร


รัมภาเดินออกมาร้องไห้คนเดียว อนุกูลตามมาพยายามพูดให้เข้มแข็ง
“ไหนบอกว่า ปฏิบัติธรรมแล้ว เข้าหาพระหาเจ้าแล้ว เข้าแล้วก็อย่าร้องไห้สิ เสียชื่ออาจารย์หมด”
“คนปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ร้องไห้ไม่ได้ เลวไม่ได้ คุณเข้าใจผิดแล้ว”
“ผมแค่ล้อเล่นน่ะ คุณยังมีเราสามคนอยู่นะ แล้วไหนจะเด็กๆอีก”
รัมภาเช็ดน้ำตา แม้จะร้องไห้ แต่ก็ยังดูเข้มแข็งขึ้น ไม่โยเยเหมือนเก่า
“คุณเลยพลอยถูกเข้าใจผิดไปด้วย”
“คุณรู้ได้ไงว่าคุณมนเข้าใจผิด ผมชื่นชมคุณจริงๆ เป็นมานานแล้ว ใครๆก็รู้”
อนุกูลยิ้มๆ
“คราวที่แล้ว ตอนเขาว่าผม ผมไม่ได้เล่าให้คุณฟัง ผมบอกเขาว่าผมเป็นชู้กับคุณจริงๆ เขาโมโหผมใหญ่เลย”
รัมภามองอนุกูลซาบซึ้งในความดีของอนุกูล
“คุณจะลองใจคุณมน คุณคิดไปว่า ถ้าคุณศามนรู้สึกว่าถูกแย่งของรักเขาจะกลับมาหึงหวงฉัน แล้วกลับมาหาครอบครัว”
“เฮ้ย คุณรู้ได้ไง แผนลึกล้ำขนาดนี้ มนึกว่าผมคิดออกคนเดียวนะเนี่ย”
“คุณเป็นคนดี คุณห่วงฉัน ห่วงเด็กแฝด ห่วงแม้แต่คุณศามน ฉันดูคุณออก”
อนุกูลเอามือของรัมภาออกมาจับ ชื่นชม ให้กำลังใจ
“ผู้หญิง สวย ฉลาด จิตใจดีอย่างคุณ ถ้าแพ้ต่อยายเดือนแรมนั่น เราทุกคนคงหมดสิ้นศรัทธาต่อโลกใบนี้ เข้มแข็งไว้ ลุกขึ้นสู้นะครับ”
รัมภายิ้มให้ ทั้งสองมองกันด้วยสายตาขอบคุณและห่วงใย

พัชนีและวรรณศิกา ยืนมองที่หน้าต่างเห็น อนุกูลจับมือรัมภา ไม่รู้เขาคุยอะไรกัน พัชนีเศร้าไป
“สองคนนั้น จะคบกันจริงหรือนี่” วรรณศิกาพึมพำ
“คุณศามนขอหย่า คุณภาเขาตอบไปว่ายังไงนะคะ เมื่อกี๊ที่คุณนุเล่า พัชฟังไม่ถนัด”
“คุณภาตอบตกลง”
พัชนีเศร้าลงอีก
“ถ้าคุณภาเป็นอิสระ คู่นี้ก็คงมีความสุข ได้คบกันอย่างเปิดเผยใช่ไหมคะ”
“ไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ ทุกอย่างมันรวดเร็วมาก มันไม่น่าเชื่อ โอ๊ย ฉันงงไปหมด อยากจะบ้า เฮ้อ!”

ค่ำคืนนั้น...รัมภากับอนุกูล ช่วยกันอุ้มรัสตี้กับไลล่าที่หลับไปแล้ว พามาเข้านอน วางไว้ที่เตียง ห่มผ้าเสร็จ ก็ถอยห่างออกมาที่ประตูแล้วยืนคุยกัน
“เรื่องหย่า คุณเอาจริงหรือ” อนุกูลถามอีก
“ทำไมคะ”
“วันนี้ผมมองเป็นอารมณ์ชั่ววูบนะ บางทีเราพูดคำว่าหย่า คำว่าเลิกกัน เพื่อทำร้ายอีกคนหนึ่งมากกว่าจะอยากทำมันจริงๆ”
“แต่ที่แน่ๆ เมื่อเราพูด เรารักกันน้อยลง”
“ถ้าความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาของโลกจริงๆ เหมือนพระท่านว่า ก็แปลว่าในความรัก ก็มีความเกลียด มีบางวันที่รัก มีบางวันที่ไม่รัก วันนี้พวกคุณไม่รัก แต่พรุ่งนี้คุณอาจจะกลับมารักกันอีกก็ได้”
“ไหนว่า ฟังคำพระไม่รู้เรื่องไง เรียนเก่งเหมือนกันนี่”
“จะหย่า หรือจะจดทะเบียนเอาเข้าจริงแล้วไม่สำคัญเลย ตีทะเบียนกันเอาไว้ทั้งที่เกลียดกัน มีถมเถ บางคู่หย่าแล้ว กลับมาพูดคุยกันได้ดีเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน นี่ก็มีอีก คุณคิดให้ดีๆแล้วกัน”
รัมภานิ่งคิด รัสตี้ลืมตาเพราะไม่ได้หลับ เด็กน้อยรู้สึกเสียใจเมื่อได้ยินคำว่าหย่า

วันต่อมา...อนุกูลเดินมารับพัชนีที่แวะมาทำงานในวันหยุดที่คอนโดของเขา
“นี่ค่ะเอกสารที่คุณต้องการ” พัชยื่นให้
“ขอบคุณที่มาช่วยงานในวันหยุดนะ พอคุณมนไม่มาทำงาน อะไรๆก็มากองอยู่กับผม เคลียร์ไม่ทันเลยเนี่ย ถ้าทำคนเดียว มีหวังคืนนี้ไม่ได้นอน”
“คุณมนทิ้งงานไว้แบบนี้ จะไม่เป็นไรหรือคะ”
“เป็นสิ นี่อาทิตย์หนึ่งแล้ว ขืนทำแบบนี้ต่อ นายใหญ่สอยทิ้งแน่ไป รีบขึ้นไปทำให้เสร็จดีกว่า”
“ไม่รอพี่วรรณก่อนหรือคะ”
“เขาจะมาเที่ยง ไปตีกอล์ฟกับแฟน เขาบอกอยู่บ่อยๆว่า งานหลักเขาคือดูแลผัวที่รวยและหล่อไง จำได้ไหม”
พัชนียิ้มแห้งไม่ค่อยชอบที่ต้องอยู่กับอนุกูลสองต่อสอง แต่ก็จำใจเดินตามไป เจ้าหน้าที่อยู่แถวนั้นเลยทักทาย
“มีปาร์ตี้กันหรือคะคุณนุ”
“นี่แฟนผมเอง น่ารักป่ะ ทีหลังเขามา ให้ขึ้นไปเลยนะ”
เจ้าหน้าที่หัวเราะยิ้มๆ
“ค่ะ”
“เชิญครับ”
อนุกูลใส่การ์ดเปิดประตูโซนด้านใน พัชนีโกรธสุดๆ มองหน้า แล้วเดินหนี ไม่เข้าไปอนุกูลงง
“เอ๊าคุณจะไปไหนล่ะ เดี๋ยวสิ คุณ คุณ”
อนุกูลเข้าไปดึงแขนไว้
“ฉันขอลาออก ลาออกตั้งแต่วันนี้เลย ฉันไม่อยากพบหน้าคุณอีก”
พัชนีสะบัดหนีออกไป อนุกูลรีบตาม
“ลาออก เฮ้ย เอาแล้วไง...เดี๋ยวคุณพัช คุณพัช”

พัชนีเดินมาตามทางออก ผ่านสวนของคอนโด อนุกูลเดินตามมาดักหน้าคุย
“นี่คุณเป็นอะไรของคุณ เมนส์มาหรือไง เมื่อกี๊ยังคุยดีๆอยู่เลย จู่ๆเป็นอะไรขึ้นมา”
“คุณมันคนใจร้าย หลงตัวเอง บ้าเซ็ก เห็นผู้หญิงเป็นของเล่น เห็นหัวใจคนเหมือนผักเหมือนปลา จะเหยียบย่ำเมื่อไหร่ก็ได้”
วันนี้พัชนีน็อตหลุด โมโหสุดขีด โวยแหลก
“โห มาชุดใหญ่...อะไรกันเนี่ย เดี๋ยวนึกก่อน...โกรธที่ผมบอกว่าคุณเป็นแฟนหรือ ก็มันจริงนี่ เราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ”
“คุณยังมีคุณรัมภาอยู่ ฮึ่ย นี่ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย ยังไงก็ต้องลาออก คุณมันคนปากเสีย จอมกะล่อน จอมเจ้าชู้ เห็นแก่ตัว หน้าด้านหน้าทนที่สุด” พัชชี้หน้าด่า
“โอว้าว..แม่ชีตบะแตกแล้ว โมโหสุดๆแบบนี้...มีผมคนเดียวใช่ไหมที่ทำให้คุณสติแตกได้ขนาดนี้เนี่ย”
“ใช่ หมู่นี้ฉันอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวก็อารมณ์ดี เดี๋ยวก็โมโห เดี๋ยวก็ร้องไห้”
อนุกูลดีใจ
“มีร้องไห้ด้วยหรือ ที่ไหน เมื่อไหร่ ร้องเยอะไหม”
พัชนีโกรธแทบเต้น
“อีตาบ้านี่! ฉันทนเห็นหน้าคุณไม่ได้อีกแม้แต่นาทีเดียว ฉันทนไม่ได้แล้ว ลาก่อน”
พัชนีเดินหนี แต่อนุกูลลากเธอกลับมากอดไว้ อารมณ์เต็มไปด้วยความรัก บอกเสียงอ่อนโยนข้างหู
“สิ่งเดียวในโลกที่ทำให้คนเดี๋ยวดี เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวร้องไห้ สิ่งนั้นคือความรัก คนๆเดียวที่เราทนเห็นหน้าเขาไม่ได้ คนคนนั้นคือคนเคยรัก”
“นี่ปล่อยนะ”
“ผมอยากเห็นคนนิ่งๆเรียบร้อยอย่างคุณ แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา เพราะมันเป็นสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่เคยเห็น ผมได้เห็น แปลว่าผมสำคัญสำหรับคุณ ต่อไปนี้คุณจะได้อารมณ์ดี โมโหแล้วก็ร้องไห้กับผมได้ เพราะคุณเคยทำมันมาแล้ว”
“คุณจะพูดอะไรของคุณ”
“ผมกับคุณภา เราไม่ได้มีอะไรกัน เรื่องคลิปนั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“อะไรนะ”
อนุกูลยิ้มให้พัชนีที่อยู่ในอ้อมกอด

อนุกูลพาพัชนีมาที่ห้อง เล่าทุกอย่างให้ฟัง...
“คุณคิดจะยั่วให้คุณมนหึงหรือ”
อนุกูลพยักหน้า
“ผู้ชายบางคนเห็นเมียเป็นของตาย ผมอยากเตือนสติ ให้เขาหวงคุณภา แล้วกลับมาดูแลเมียกับลูก แต่มันก็ไม่สำเร็จ กลายเป็นว่า เขาใช้ข้อนี้เป็นข้ออ้างเพื่อหย่า”
“คุณภาเขาไม่ได้ชอบคุณหรือคะ”
อนุกูลส่ายหน้า
“รูปนั่นแค่เข้าใจผิด ผมไปเปลี่ยนเสื้อที่เปียกออกก็เท่านั้น”
“แล้วคุณชอบคุณรัมภาไหมคะ”
“มีบางแว่บๆ ตามประสาผู้ชาย แต่โดยส่วนใหญ่ก็คือชื่นชม”
“ตอบได้ตรงไปตรงมาดีจัง”
“ผมปากเสียเพราะผมตรงไปตรงมา คนอย่างผมรู้ใจตัวเองดี ถ้าเลวผมจะบอกว่าเลว ถ้าดีผมจะบอกว่าดี เรื่องของเราคืนนั้น...ผมไม่ได้เมา ไม่ใช่อารมณ์พาไป ที่จริงผมชอบคุณตั้งแต่วันแรกที่เจอกันที่แกล้งคุณส่วนใหญ่ ก็แบบว่า เอ่อ ...” อนุกูลเขินๆ “กลบเกลื่อนมั้ง”
“กลบเกลื่อน”
“ก็ อืม...” อนุกูลพยายามหาคำอธิบาย “ที่จริง อยากบอกตัวเองว่าคุณไม่สวยคุณไม่ดีพออะไรแบบนั้น”
“ทำไมล่ะ... อันนี้แหละ ฉันไม่เคยเข้าใจเลย คุณชอบว่าฉันต่างๆนานา คุณจะชอบฉันได้ไง”
“เพราะคนที่ดีไม่พอ ไม่ใช่คุณ แต่เป็นผมเองต่างหาก ผมดีไม่พอสำหรับคุณ”
“คุณนุ” พัชอึ้ง คาดไม่ถึง
“อยู่กับผู้หญิงง่ายๆมากไปหน่อย อยู่กับสังคมปาร์ตี้เฮฮาหลอกลวงมาทุกรูปแบบ พอมาเจอผู้หญิงดีๆ คิดดี ทำดี ใจดี มันเหมือนแบบว่าเราอยากหยุด... เราเบื่อแล้วโลกอย่างนั้น คุณทำให้ผมอยากเป็นคนที่ดีมากกว่าเดิม...ดีให้พอสำหรับคุณ”
“คุณไม่ได้ล้อเล่นอีกใช่ไหมเนี่ย”
อนุกูลเข้าไปหาอย่างอ่อนโยน จูบที่หน้าผากพัชนีด้วยความรัก เต็มไปด้วยความรัก พัชนีตื่นตะลึง
“ขอโทษที่แกล้งคุณมาหลายวัน ผมเอาเรื่องคุณภามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าคุณเฉย คุณแค่งอน ผมจะได้ตัดใจ แต่ถ้าคุณถึงขั้นหึง แล้วแบบเมื่อกี๊” อนุกูลหัวเราะ “ถึงขั้นหัวฟัดหัวเหวี่ยง บอกตรงๆ ผมมีความสุขมาก”
พัชนีผลักอนุกูล ตีออกไปด้วยความโกรธและอาย
“อีตาบ้า นี่ๆๆๆๆ”
อนุกูลยังกอดพัชนีเอาไว้ ไม่ปล่อยออกไปง่ายๆ
“รู้ไหมตอนคุณโมโหน่ะ น่ารักสุดๆ...อ่ะ ให้ตีตลอดชีวิตเลย ตกลงจะอยู่ตีผมตลอดชีวิตไหมล่ะ”
“บ้าสิ”
พัชนีอาย แต่ยิ้มๆอย่างมีความสุข

ที่มุมทำงาน...อนุกูลกับพัชนีนั่งทำงานด้วยกัน พัชนีนั่งพิมพ์งาน อนุกูลนั่งท้าวคางมองหน้า ชื่นชมความงาม พัชนีหันมาเจอ เขินเอาหนังสือบังไม่ให้มอง อนุกูลหัวเราะ หันไปทำงานต่อ
ช่วงบ่ายวรรณศิกามาช่วยทำงานด้วย เมื่อนั่งทานอาหารด้วยกัน วรรณศิการู้สึกแปลกๆกับบรรยากาศ อนุกูลแอบใช้เท้าเขี่ยๆ ลูบๆเท้าพัชนีที่พยายามกระถดหนี อนุกูลก็แกล้งเอาขาแหย่ไปอีก แต่บนโต๊ะต่อหน้าวรรณศิกา ทั้งสองกินข้าวเป็นปกติ ทำหน้าเรียบๆ แนบเนียน ไม่ให้วรรณศิการู้
วรรณศิกาเกิดเอะใจ ค่อยๆถอยตัว มองลงไปที่ใต้โต๊ะ เท้าอนุกูลล้อเล่นอยู่ก็แอบขำ เธอตบโต๊ะ เสียงดังลุกขึ้นยืน หน้าดุ
“เฮ้ย!”
พัชนีกับอนุกูลชะงักตกใจ
“คำถามเดียว ....”
ทั้งสองตั้งใจฟังว่าวรรณศิกาจะพูดอะไร
“กินตับกันหรือยัง !?”
อนุกูลไอพรวด สำลัก ไอแค่กๆ อายหน้าแดง รีบกินน้ำ พัชนีงงมองจานอาหาร
“ไหนคะตับ ไม่มีนี่คะ”
วรรณศิกาอารมณ์ดี โยกสะโพกเล็กๆ ขยับเป็นจังหวะเบาๆ ล้อเลียน ตับๆๆ ล้ออนุกูลที่เซ็งๆ อายๆ ขณะที่พัชนีนั่งเหวอต่อไป งงๆ เขาพูดอะไรกัน

ที่เรือนเล็ก...ศามนนั่งทานอาหารอยู่กับเดือนแรม ศามนกลุ้มๆเรื่องรัมภา
“คุณพี่จะหย่ากับคุณภาวันไหนคะ”
ศามนเซ็งๆ
“ไม่รู้”
“กำหนดวันไปเลย แล้วโทรไปบอกเธอดีไหมคะ”
“ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้”
ศามนหน้าบูดจริงจังกินข้าวต่อไม่ยอมพูด เดือนแรมเซ็ง เดินแยกออกไป ดีดี้ตามไปด้วย
“ฮึ ไม่อยากพูดหรือ ไม่อยากพูด อีเดือนพูดเอง”
เดือนแรมกดโทรศัพท์หารัมภาทันที รัมภากำลังทำครัวอยู่ในครัว มองชื่อคนโทรหน้าจอแล้วหายใจเข้า เรียกกำลังใจ แล้วกดรับสายมือถือ เสียงแข็งใส่
“ว่าไงคะ”
“เดือนโทรมาตามคำสั่งของคุณพี่ศามนค่ะ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องนัดวันหย่า”
รัมภากลืนน้ำลายลงคอ ฝืนตอบไป
“นัดมาได้เลยค่ะ”
“วันจันทร์นี้เก้าโมงเจอกันที่อำเภอนะคะ”
“ตกลงค่ะ”
รัมภาวางสาย เซลงนั่งหมดแรง ขณะที่ดีดี้ถามเดือนแรม
“แล้วถ้าคุณศามนไม่ไปล่ะคะคุณนาย”
“เขาต้องไป เขาพูดเองนี่ว่าจะหย่า ถึงไม่ไปวันนี้ก็ต้องไปวันหน้า” เดือนแรมบอกอย่างมั่นใจ

ศามนกลุ้มเศร้าคิดเรื่องรัมภา แพงเดินมาจับที่หัวของศามนเบาๆ เต็มไปด้วยความรัก
“ฉันจะไม่รอวันหน้า ยังไงคุณก็ต้องหย่าให้เร็วที่สุด”
ศามนคิดถึงครอบครัวที่เคยอบอุ่น แล้วปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง
“ทุกครั้งที่ท่านคิดถึงมัน ทุกครั้งที่ท่านลังเล ท่านจะเจ็บปวด”
จากมือที่ลูบหัวด้วยความรัก แพงยกมืออีกข้างมาจับที่หัวของศามน แล้วกางนิ้วเหมือนกรงเล็บจิกบีบลงไปที่หัว ศามนเจ็บจี๊ด ปวดหัวมาก
“โอ๊ย”
“ถ้าไม่อยากเจ็บแบบนี้อีก ท่านต้องหย่า ศามนกับรัมภา คุณหลวงกับนางชื่น จะมีความสุขบนความทุกข์ของอีแพงไม่ได้ ยังไงก็ต้องหย่า ต้องหย่า”
“โอ๊ย ปวดหัว ปวดหัวจริง”
ศามนก้มลงปวดหัวมาก ไม่รู้จะทำยังไงดี

อ่านต่อหน้า 3










บ่วง ตอนที่ 11 (ต่อ)

ที่เรือนใหญ่ บุญสืบใช้เลื่อยฉลุเล็กๆทำงานไม้อัดให้ไลล่า ฉลุออกมาเป็นชิ้นๆการฝีมือ แล้วยื่นให้ ไลล่าเอาไปประกอบเป็นชิ้นงาน ส่วนรัสตี้นั่งทำการบ้านใกล้ๆ

“พี่สืบทำไม่สวย ไม่ตรงเส้น” ไลล่าบ่น
“เอ๊า ก็เลื่อยมันไม่คมแล้ว”
“คราวที่แล้วแด๊ดดี้ทำสวยกว่านี้อีก ไลล่าจะให้แด๊ดดี้ทำ ไป...โทรหาแด๊ดดี้เลยนะพี่สืบ”
“โหย ก็โทรให้คุณหนูทุกวัน คุณพ่อเคยรับสายที่ไหนกันเล่า อย่าหงุดหงิดสิครับ มาๆ เอาใหม่แล้วกัน”
“ไม้หมดแล้ว เอาใหม่ไม่ได้แล้ว ฮือ”
ไลล่าทิ้งงาน เขวี้ยงทิ้ง นั่งร้องไห้
“ไลล่า อย่าดื้อนะ แด๊ดดี้เขากำลังจะหย่ากับหม่ามี้ เขาจะแต่งงานใหม่ ไม่เข้าใจหรือไง” รัสตี้เสียงดัง
“หย่ากับหม่ามี้ ไม่จริง พูดอย่างนี้อีกแล้ว กรี๊ด...ฮือ ไม่จริง”
ไลล่าร้องไห้หนักขึ้นกระทืบเท้าเร่าๆ บุญสืบต้องเข้าไปกอด
“โธ่ คุณหนู ไม่เอาค่ะ อย่าร้องนะ อย่าร้อง โอ๋ๆ”
รัมภาเดินเข้ามาถามอย่างแปลกใจ
“ไลล่า เป็นอะไรไปคะ”
ไลล่าเช็ดน้ำตาหายทันที ลุกขึ้นยืน
“ไม่มีอะไรค่ะ”
ไลล่าทำสีหน้าเป็นปกติ เพราะเกรงใจแม่และสัญญากันเอาไว้แล้ว ไลล่าเดินออกไป
“น้องเป็นอะไรน่ะรัสตี้”
รัสตี้มองแม่อย่างเสียใจสงสารแม่เลยไม่พูด หยิบการบ้านเดินออกไป
“มีอะไรหรือบุญสืบ”
“คุณรัสตี้บอกคุณไลล่าว่าคุณจะหย่า คุณไลล่าเลยร้องไห้ แต่ไม่รู้ทำไม พอคุณผู้หญิงมา ก็เลิกไปซะเฉยๆ”
รัมภาตกใจ รีบตามไป


รัมภาเดินเข้ามาในห้อง ตามหาลูกในห้อง บนเตียง ใต้เตียง ในห้องน้ำ แต่ก็ไม่พบ
“ไลล่า อยู่ไหนลูก ไลล่า”
รัมภามองไปทั่วๆ แล้วไปเปิดตู้เสื้อผ้า ไลล่านั่งร้องไห้อยู่ในตู้จริงๆด้วย
“ลูกแม่”
รัมภาอุ้มลูกออกมา เท่านั้นเอง ไลล่าร้องไห้โฮ
“ฮือ...ไลล่าขอโทษ ไลล่าสัญญาแล้วจะเป็นเด็กดี จะไม่ร้องไห้โยเย แต่มันทำไม่ได้ น้ำตามันไหลออกมาเอง ไลล่าขอโทษ ฮือ”
รัมภาน้ำตาคลอกอดลูกไว้ สงสารสุดใจ
“โธ่ลูกแม่ ที่รักของแม่ ไม่เป็นไรนะ...ร้องออกมาเถอะ”
“แด๊ดดี้จะหย่ากับหม่ามี้ ไลล่าคิดถึงแด๊ดดี้ คิดถึงแด๊ดดี้ ฮือ”
รัสตี้เดินเข้ามายืนข้างๆอีกคนส่งเสียงเครือ
“หม่ามี้...”
“รัสตี้ หนูก็เหมือนกัน เป็นผู้ชายก็ร้องไห้ได้ แม่จะไม่ว่าอะไรหนูทั้งสองหรอกนะ”
ทั้งสามกอดกันร้องไห้
“ไม่หย่ากันได้ไหมครับ ไม่หย่ากันนะ นะ”
รัมภาได้แต่สะเทือนใจ ร้องไห้อยู่ตรงนั้น ไม่สามารถตอบอะไรได้ เพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี

กลางดึก...รัมภาออกมาเดินเล่นในสวน เธอเดินครุ่นคิดไปมา ไม่ได้ร้องไห้ แต่กำลังไตร่ตรอง
“หย่าหรือไม่หย่า ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว เฮ้อ หยุดคิดดีกว่า”
รัมภานั่งขัดสมาธิลงที่พื้นหญ้าที่มีเบาะรองอยู่ ทำสมาธิ...

ในอดีต...ชื่นกลิ่นลงมาเดินออกกำลังกายในสวน หลวงภักดีบริบาล เดินตามมาประคอง มาขลุกกับชื่นกลิ่นตั้งแต่คราวที่แล้ว ยังไม่กลับเรือนหลังเล็ก ตื่นมาวันใหม่ ยังเป็นห่วงเป็นใย มาเดินเล่นที่สวนด้วยอีก
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ชื่นเดินเองได้”
“เดินด้วยกันเถอะ เดินเล่นออกกำลังกายกัน ให้ลูกของเราแข็งแรง”
ทั้งสองจับมือกันเดินเล่นด้วยกัน

รัมภานั่งสมาธิ เห็นภาพในอดีต แล้วทึ่งตัวเองมาก
“คุณชื่นกลิ่น คุณหลวง เราเห็นอดีตชาติ ด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่ผ่านการเล่าเหมือนครั้งอื่นๆ”
รัมภามุ่งมั่นนั่งต่อไป เพื่อให้เห็นมากขึ้นอีก ภาพอดีตปรากฏขึ้นอีกครั้ง

หลวงภักดีประคองชื่นกลิ่นกลับมานั่งพัก แล้วมองมองยาจีนบนโต๊ะ
“ยานี่หรือ”
ชื่นกลิ่นพยักหน้า
“เป็นยาจีน น้องไม่ชอบเลย แต่ต้องกิน”
“พี่อยากกินแทนน้องจริงๆ”
“ชื่นต้องอดทนค่ะ เพื่อลูกของเรา”
“ใช่ลูกของเรา พ่ออยากเห็นหน้าหนูแล้วนะ คิดถึงหนูทุกวัน รีบๆออกมาเร็วเข้า”
หลวงภักดีอารมณ์ดี พูดกับท้องของชื่นกลิ่น ชื่นกลิ่นยกยาจีนขึ้นดื่ม ขณะเดียวกันคุณหญิงอบเชย บัวสวรรค์ และเพ็ญแอบมองอยู่จากหน้าห้อง
“เมื่อคืน คุณหลวงก็ค้างที่เรือนใหญ่ ไม่มีวี่แววกลับเรือนเล็กเลย” บัวสวรรค์บอกอย่างดีใจ
“ความรัก เป็นพลังที่แท้จริง สัญชาติญาณของคนเป็นพ่อ ทำให้คุณหลวงคิดได้ ในที่สุด อีนังโสเภณีแพง มันก็แพ้” คุณหญิงยิ้มเยาะ
“อีแพง” เพ็ญนึกได้ “แย่แล้ว ...”
เพ็ญรีบวิ่งไปตะโกนเรียกหาคนมาช่วย
“เฮ้ย อยู่ไหนกันหมดวะ ปิดบ้าน ปิดประตูหน้าต่างเร็วเข้า”
เพ็ญออกวิ่งไปที่ประตูหน้า เพ็ญรีบวิ่งมา ติ่งได้ยินเสียงวิ่งมาหา ช่วยกันปิดประตูใหญ่และหน้าต่าง
“ปิดบ้าน ปิดประตูหน้าต่าง ปิดให้หมด”
มิ่งวิ่งมาจะมาปิดประตูหลัง ยังไม่ทันเอื้อมมือไป แพงพุ่งมา ยกเท้าถีบมิ่งกระเด็นไป
“ฉันจะไปหาผัวฉัน ผัวฉันอยู่ไหน”
แพงเข้าบ้านไปจนได้ มิ่งลงไปกองจุกที่พื้น พูดไม่ออก

แพงเดินเข้ามาในห้อง ที่หลวงภักดีกับชื่นกลิ่นเพิ่งเดินเข้ามา กำลังนั่งกอดกันคุยกันอยู่
“คุณหลวง ทิ้งแพงมาอยู่ที่นี่เอง ไม่รักไม่สงสารแพงแล้วหรือคะ”
“แพง” หลวงภักดีลุกขึ้นยืน ตกใจ
ชื่นกลิ่นจับแขนหลวงภักดีไว้ไม่ให้ไป
“คุณหลวงเป็นของฉัน ไม่ใช่ของเธอ”
“อีชื่นกลิ่นมันมีลูกให้คุณหลวงได้ แพงก็มีได้เหมือนกัน มากับแพงสิคะ กลับเรือนเล็กของเรา”
ชื่นกลิ่นพยายามห้าม
“คุณหลวง อย่าไปนะเจ้าคะ”
แพงพยายามอ้อนวอน
“คุณหลวง แพงขาดคุณไม่ได้ อย่าทิ้งแพง บอกสิคะ ว่าจะกลับไปเรือนเล็กกับแพง”
“แพง...กลับไปก่อนนะ กลับไปซะ”
“คุณหลวง”
แพงตะลึง คุณหญิงอบเชย กับเพ็ญเดินเข้ามา
“ฮะฮะฮ่า ถึงขั้นตกใจเชียวหรือ ถ้าฟังไม่เข้าใจ ข้าจะพูดขยายความให้ คุณหลวงเขาไล่เอ็ง คุณหลวงเขาไม่เอาเอ็งแล้ว ได้ยินหรือยัง”
“ไม่ ไม่จริงคุณหลวง”
แพงถลาเข้าไปจะไปดึงตัวหลวงภักดี เพ็ญพุ่งเข้าไปขวางไม่ให้แพงเข้าไปถึงตัว
“ถ้ามึงแตะต้องคุณหลวง แตะต้องคุณชื่น มึงตายคามือกูแน่”
“อีแก่ อีแก่อย่างมึงสองตัว สู้แรงกูไม่ได้หรอก”
กล้า บัวสวรรค์ ติ่ง มี และมิ่งเดินเข้ามา ท่าทางทุกคนดุ เอาเรื่องแพง
“แล้วเอ็งสู้แรงพวกข้าได้ไหมล่ะ” กล้าตวาด
“พี่กล้า นี่พี่กล้า ก็เป็นไปด้วยหรือ”
“เฮ้ย ไปช่วยกันโว้ย” มิ่งบอก
ติ่ง มิ่ง และมีเข้าไปยืนข้างๆเพ็ญ ขวางไม่ให้แพงทำอะไรหลวงภักดีกับชื่นกลิ่น
“ถุย! อีพวกประจบ พวกเอ็งก็แค่ประจบคุณหญิง”
“เราไม่ได้ประจบ อีพวกเมียน้อยใครๆเขาก็ไม่เอาด้วยหรอกระวังเถอะ จะโดนประชาทัณฑ์” ติ่งตวาด
แพงหันไปที่มุมห้อง เห็นพึ่งแอบมองอยู่
“แม่” แพงหวังความช่วยเหลือ
พึ่งถอนใจ เดินหนีไปตัดสินใจไม่ช่วย แพงหน้าเสีย เสียใจที่แม้แต่แม่ตัวเอง ยังไม่เข้าข้าง
“ถึงยังไง ความถูกต้องก็มีพวกมากกว่า ไอ้พวกที่แน่ใจแล้วว่าจะเลว ต้องมั่นใจในตัวเองให้มากๆหน่อยนะ”กล้าเยอะ
คุณหญิงอบเชยตวาดไล่
“ออกไป๊ อีกาฝาก อีเสนียด ออกไปจากเรือนหลังนี้ได้แล้ว ไป๊”
ทุกคนเดินเข้าหา แพงถอย
“คุณหลวง ช่วยแพงด้วย มันจะรุมแพง ช่วยด้วย”
หลวงภักดีเมินหน้าหนี
“โธ่ คุณหลวง”
“จับตัวแพงออกไป พาออกไปเร็ว”
มิ่งกับมีเข้าไปจับแพง ลากออกไป
“ไม่ ปล่อยข้า ปล่อย”
ชื่นกลิ่นจับแขนหลวงภักดีอย่างดีใจ โล่งใจ หลวงภักดียิ้มแห้งๆให้

แพงร้องไห้เดินกลับเข้ามาในบ้าน โกรธมากที่ไม่ได้ตัวหลวงภักดีมาด้วย
“ฮือ คุณหลวง”
แพงเดินไปหยิบตำราไสยเวทย์ออกมาจากซอกลับหลังตู้หนังสือ
“ฮึ คิดว่าข้าจะยอมแพ้ง่ายๆหรือ”
แพงแต่งตัวเป็นหมอผี เข้าไปนั่งในห้องลับที่มีสภาพมืดอับ ในห้องนั้นมีของขลังมากขึ้น ทั้งกุมาร กะโหลกผี ขันน้ำมนต์ สายสิญจน์ แล้วเริ่มสวดด้วยหน้าดุดัน แล้วปั้นหุ่นชื่นกลิ่น ที่ตั้งท้องกลม
“หุ่นขี้ผึ้ง แทนตัวนังชื่นกลิ่นที่กำลังท้อง ลูกของนังชื่นกลิ่น ฉันจะทำให้แกไม่ได้โผล่ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน”
ทันใด ท้องฟ้าวิบวับแปลบปลาบ ครืนๆ ฝนใกล้ตก แพงลืมตา หยิบหุ่นดินผู้หญิงขึ้นมา เอาเข็มปักที่ท้องของหุ่นดินจะให้เด็กมันแท้ง
“มารหัวขน ตายซะ ตายซะ อีชื่นกลิ่น มึงแย่งผัวกู ลูกของมึงต้องตาย ต้องตาย”

รัมภาที่นั่งสมาธิเห็นอดีต ตกใจมาก แต่ยังไม่ออกจากสมาธิ พลางร้อง...
“ลูก ลูกแม่”
ควันขาวลอยมา กลายร่างเป็นคุณหญิงอบเชยเข้ามานั่งข้างๆ
“ใจเย็นๆ เด็กคนนั้น ลูกในท้องของชื่นกลิ่นและคุณหลวง ที่เป็นอดีตชาติของหนูนั้น เขาไม่เป็นไร”
รัมภายังไม่ลืมตา ถามทันที...
“เขาไม่เป็นไรจริงหรือคะ ทำไมล่ะคะ”

ในอดีต...แพงทิ่มเข็มลงที่ท้องของหุ่นดิน ดวงตาดุดัน โหดร้าย เหงื่อท่วมหน้า พลางท่องบทสวดไปด้วย กระทั่ง ควันดำลอยออกมาจากหุ่นดิน
กลางดึก...หลวงภักดีและชื่นกลิ่นยังคงหลับบนเตียง ควันดำลอยเข้ามาที่ท้องของชื่นกลิ่น แสงขาวสว่างจากท้อง สว่างโร่ออกปกป้องเด็กไว้และกระจายรัศมีเป็นวงกว้างออกไป กระแทกควันดำจนกระจายไป
แสงขาวมากระแทกที่อก เหมือนมีคนถีบอก แพงนั่งไม่อยู่ เซหน้าหงายไปข้างหลัง
“นี่มันอะไรกัน”
ชื่นกลิ่นกับหลวงภักดีนอนหลับสบาย ไม่เป็นอะไร!

เช้าวันใหม่...ชื่นกลิ่น หลวงภักดีออกมาเดินเล่น มานั่งเล่นกันที่สวนอย่างรักใคร่กัน แพงมาแอบมองที่มุมหนึ่ง
“เป็นไปได้ยังไง มันต้องแท้ง มันต้องแท้งลูกของมันสิ ฮึ่ย”
แพงเจ็บใจมากที่ทำไม่ได้อย่างใจคิด

รัมภาที่นั่งสมาธิอยู่ถอดจิตออกมา ในภาวะที่อยู่ในสมาธิ แยกร่างออกมายืนคุยกับคุณหญิงอบเชย
“เขาไม่เป็นไร ทำไมคะ ในเมื่อนางแพงเล่นคุณไสยเก่งขนาดนั้น”
“เด็กคนนั้นคลอดออกมาเป็นผู้หญิง มีชื่อว่าชิดศรี ศามนเล่าเรื่องของชิดศรีให้ฟังไหม”
รัมภาครุ่นคิดถึงอดีตของตัวเอง ช่วงที่ยังไม่ได้แต่งงาน เธอเคยไปเที่ยวที่อพาร์ตเมนท์ของเขา เธอมองรูปคนแก่ 3 คน ที่วางในกรอบรูปเรียงกันมา ศามนชี้แล้วอธิบาย
“นี่คุณทวดผม ชื่ออบเชย ท่านอายุยืนมาก ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ นี่ยายชื่นกลิ่น เสียไปหลังจากคลอดคุณแม่ได้ไม่กี่ปี”
รัมภามองอย่างแปลกใจ...
“เอ๊ะ”
“ใช่...หน้าคล้ายๆคุณ ผมเห็นคุณครั้งแรก ยังนึกตั้งนานว่าคุณหน้าเหมือนใคร”
รัมภาชี้รูปคนที่สาม
“คนนี้คุณแม่คุณหรือคะ”
“ครับ ชื่อชิดศรี เพิ่งเสียไปเมื่อไม่กี่ปีนี้ คุณแม่เป็นหมอ พบคุณพ่อตอนเรียนอยู่ที่อเมริกานี่ หลังจากเรียนจบ คุณแม่ก็ทำงานเป็นหมอในค่ายผู้อพยพ ท่านรักษาคน โดยไม่คิดเงิน ไม่หวังตำแหน่งเกียรติยศ จนตลอดชีวิตของท่าน”
“ตลอดชีวิตเลยหรือคะ น่ายกย่องจริงๆ” รัมภารู้สึกชื่นชมมาก

คุณหญิงอบเชยเล่าให้รัมภาฟังต่อ...
“หลานยาย ชิดศรี เด็กคนนี้ เป็นผู้มีบุญมาเกิด ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยดื้อซน เป็นลูกที่ดี หลานที่ดี ใช้ชีวิตที่ดีงามตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย”
“เพราะท่านเป็นผู้มีบุญหรือคะ คุณไสยจึงทำอะไรไม่ได้”
“ใช่ คนดี อยู่ในศีลธรรม แค่ทำหน้าที่ของตน ใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น ไม่ต้องรวยไม่ต้องมีเกียรติยศ ไม่ต้องแขวนพระ ไม่ใช่เพียงแต่คนด้วยกันจะเคารพยกย่อง เทวดาก็ยังปกปักรักษา”
“เด็กในท้องของชื่นกลิ่น รอดปลอดภัยเพราะมีเทวดาคอยปกป้องหรือคะ”
“เราทำเวรกรรมกับใคร ตายไป คนนั้นกลายเป็นเจ้ากรรมนายเวร เมื่อเราทำความดีกับใคร ตายไป เขาก็กลายเป็นวิญญาณดี กลายเป็นเทวดาผู้อุปถัมภ์เราเหมือนกัน”
“กฎของธรรมชาติยุติธรรมเสมอ”
คุณหญิงพยักหน้า
“แม่อยากให้หนูรู้ในสิ่งนี้ หนูจะได้มั่นใจมากขึ้น คนดีผีคุ้ม หนูเองก็เหมือนกัน หนูเป็นคนดีมาตลอดชีวิตของหนู คนดีทุกคนต้องเป็นฝ่ายชนะของต่ำและคนต่ำๆทั้งหลาย หนูต้องชนะในที่สุดเข้าใจไหมลูก”
“คุณไสยของแพง ทำกับลูกของชื่นกลิ่น และทำกับคุณหลวง แล้วคุณศามนล่ะคะ”
“หนูถามถูกประเด็น หนูกำลังสงสัยใช่ไหม คุณศามนหมดรักในตัวหนู หรือเพราะเขาโดนคุณไสย”
“ค่ะ ถ้าเขาหมดรักในตัวหนู หนูจะหย่าให้เขาทันที แต่ถ้าไม่...”
รัมภายังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำยังไงต่อไป
“ไม่ใช่ทุกคนที่นั่งสมาธิและได้เห็นเหตุการณ์ในอดีตชาติ แต่หนูทำได้ บางที อาจเป็นเพราะหนูกำลังจะได้แก้ไขอดีตชาติของหนูเอง บางทีจุดจบของทุกอย่างกำลังจะมาถึง ภาวนาต่อไปสิลูก ลูกจะได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง”
รัมภาพยักหน้า รัมภามองไป ร่างของตนที่ยังนั่งสมาธิอยู่...

แพงคิดจะทำบางอย่างเพื่อให้ความรักคืนมา กลางดึกแพงออกมาที่วัดใกล้ๆ ตรงไปที่ป่าช้า
“ข้าจะเอาคุณหลวงผัวของข้าคืนมา ข้าต้องเอาคุณหลวงคืนมา”
เมื่อไปถึงป่าช้า แพงมองซ้ายขวา เห็นว่าไม่มีคนแล้ว ก็ใช้อุปกรณ์ที่เตรียมมาขุดหลุมศพ แพงนั้นไม่มีความกลัวอยู่ในใจ เพราะคิดแต่จะเอาให้ได้ ปากพึมพำเรียกคุณหลวง เพื่อให้กำลังใจตนเอง
“คุณหลวงของข้า คุณหลวงของข้า!”
แพงขุดจนได้หน้าของศพผู้หญิง ไม่ในใจกับเสียงหมาหอนดังโหยหวน ลมพัดโบกใบไม้น่ากลัว แพงเอาเทียนขึ้นมาจุดไฟ ชูหลอดแก้ว แล้วก้มลงไปที่หน้าศพ ลนไฟใต้คางแล้วเอาขวดแก้วรองเพื่อเอาน้ำมันจากศพ จนได้ น้ำมันสีเหลืองๆติดก้นแก้วมา แล้วรีบกลับไปที่เรือนเล็ก

ในห้องทำพิธี...แพงนั่งบริกรรมคาถาตลอดทั้งคืนเพื่อปลุกเสกผ้าเช็ดหน้าและน้ำมัน สักพักแพงหยดน้ำมันลงบนผ้าเช็ดหน้า
“น้ำมันผี หยดลงบนผ้าเช็ดหน้าของคุณหลวงที่เย็บเป็นรูปดอกจัน...โอม ให้ช้างลืมโขลง โอม ให้โขลงก็ลืมไพร โอมให้มันร้อนเร่า โอมให้มันรักใคร่ โอมให้มันอยู่มิได้” แพงท่องซ้ำไปมา
แพงเริ่มบทสวดภาษาเหนือ (เหมือนของเดิมเป็นชุดเดียวกัน)

หลวงภักดีบริบาล กับชื่นกลิ่นนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน ด้วยสีหน้าแช่มชื่น
“อันนี้กินได้ไหมจ๊ะ”
หลวงภักดีตักอาหารให้
“น้องตักเองได้ คุณหลวงนั่นล่ะ ทานน้อยจัง”
“ได้เห็นน้องทาน เห็นลูกกำลังกิน แค่นี้ พี่ก็อิ่มแล้ว”
ทันใดควันดำลอยเข้ามาปะทะหน้า หลวงภักดีสะดุ้งเฮือกตัวแข็ง ตาแข็งขึ้นมา
“เป็นอะไรไปคะ”
หลวงภักดีปวดหัวขึ้นมา ร้องลั่น
“โอ๊ยปวดหัว ปวดหัว”
คุณหลวงหันไปอาเจียนอาหารที่ทานออกมาใส่กระโถน ทีท่าเหมือนคนป่วย ชื่นกลิ่นตะโกนออกไป
“คุณหลวงไม่สบาย ใครอยู่ข้างนอกมาช่วยพาคุณหลวงไปที่ห้องที”
“โอ๊ยปวดๆๆ”
หลวงภักดีจับหัวตัวเอง ปวดจนแทบนั่งไม่ติด ติ่งเข้ามา ช่วยกันประคองคุณหลวง
“ช่วยกันหน่อย พาคุณหลวงไปนอนพัก” ชื่นกลิ่นบอกอย่างร้อนใจ

อ่านต่อหน้า 4










บ่วง ตอนที่ 11 (ต่อ)

หลวงภักดีถูกประคองลงนอนบนเตียง เขาหลับตาครางเบาๆอย่างทุกข์ทรมาน
 
“แม่ชื่น ... พี่ปวดหัว ปวดหัว”
“ทำไมจู่ๆถึงไม่สบายไปได้ เมื่อเช้ายังดีๆอยู่เลย ติ่งไปบอกนายมิ่ง ไปรับคุณหมอมาดูที”
“เจ้าค่ะ”
ติ่งรับคำแล้วรีบออกไป

แพงเดินมาที่สวน มองไปที่เรือนใหญ่ มองผ่านที่หน้าต่างห้อง เห็นหมอตรวจร่างกายหลวงภักดี ชื่นกลิ่นกับติ่งดูอยู่ห่างไป
“ทำไมไม่เหมือนคราวที่แล้ว ทำไมถึงไม่สบาย ทำไมไม่มาหาอีแพงที่เรือนเล็กล่ะหรือว่า มนตราจะอ่อนไป”
แพงร้อนใจมาก รีบไปหาอาจารย์ชู ขณะที่อาจารย์ชูนั่งสมาธิอยู่หน้าหิ้งบูชาของตนเองเหมือนทุกวัน
“อาจารย์ชูเจ้าขา ช่วยทำพิธีอะไรสักอย่างให้อีแพงด้วยเถอะเจ้าค่ะ อีแพงแย่แล้ว”
“อะไรอีก ไหนว่าผัวทั้งรักทั้งหลงเอ็งไงล่ะ”
“หุ่นรูปรอยของท่าน ไม่ขลังเหมือนราคาคุย พอนางชื่นกลิ่นเมียมันท้องจู่ๆ คุณหลวงก็กลับไปหามัน”
“จริงรึ”
“ใช้น้ำมันหอมจัน ก็ยังไม่ได้ผล ไม่รู้อะไรกันนักหนา แค้นใจจริงๆ”
อาจารย์ชูดวงตาเดือดดาล เอามือไปจิกหัวแพง ดึงไปข้างหลัง
“อีทรยศ มึงรู้จักน้ำมันหอมจันได้ยังไง กูไม่เคยทำให้ใคร มึงเอามาจากไหน มึงนี่เอง ที่ริอ่านขโมยตำรากู”
“โอ๊ยเจ็บ...อาจารย์เจ้าขา อีแพงไหว้ล่ะ อย่าทำอีแพงเลย อีแพงก็แค่บ่าวน่าสงสารถูกเขาทุบตีทารุณ ถูกเขาแย่งผัว พอไม่มีทางไป ไม่มีเงินมาจ่ายท่านก็เลยต้องเรียนรู้วิชาด้วยตัวเอง”
“แต่มึงขโมยของๆกู กูจะเสก วัวธนูของกู ให้เอาเรื่องมึงให้ถึงตาย”
ชูหยิบวัวธนูมาจากหิ้ง มาจ่อที่คอ แพงมองไป แสงเรืองๆออกมาแถวๆ วัวธนู แพงกลัวมาก
“ไม่ไม่.. อีแพงกราบขอโทษ ท่านมีตำรามากมาย ขาดไปเพียงเล่มสองเล่ม ก็ไม่ได้ทำให้ท่านเดือดร้อน แต่สำหรับคนวาสนาน้อยอย่างอีแพง อีแพงไม่มีที่พึ่งจริงๆ...นี่เจ้าค่ะ อีแพงเอาเงินมาให้อาจารย์อีก หยิบมาจากกระเป๋าเงินของผัวอีแพง อีแพงให้ท่านหมดเลย”
แพงรีบหยิบแบงก์ปึกหนึ่งออกมาให้ อาจารย์ชูรับเงินมาดู แต่ก็ไม่วาย จิกหัวแพงหน้าคว่ำลง จนหัวกระแทกพื้นเปรี้ยง
“โอ๊ย!”
“คนดีๆ อยากมีความรู้ เขาเสาะหาอาจารย์ เคารพอาจารย์ ยกให้เป็นพ่อเป็นแม่ คนเอาแต่ได้อย่างเอ็ง ไม่ต้องแช่ง ไม่ต้องรอ เอ็งจะพินาศ ในไม่ช้า”
“ถ้างั้นก็ปล่อยให้อีแพงพินาศไป อย่าเสกวัวธนูมาทำอะไรแพงเลยนะเจ้าคะ…แพงกลัว”
“ไปไป๊ ... อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
“ยังไปไม่ได้เจ้าค่ะ เงินที่อีแพงให้นั่นเป็นราคาค่าตำราเล่มนั้น แต่เงินอีกก้อนตรงนี้ แพงต้องการให้ท่าน สักยันต์เมตตามหานิยม ตำรับลือลั่นของท่าน ท่านต้องสักให้แพง”
แพงหยิบเงินปึกที่สองมาวางให้
“ขนาดเขาจะมีลูกด้วยกัน เอ็งยังไม่ยอมแพ้อีกรึ เป็นเมียน้อยเขา เขาก็ดูแลให้เงินเอ็ง ยังไม่พอใจอีกหรือไง อีโลภ อีทะเยอทะยาน”
“ยังไงฉันก็ต้องเอาชนะคุณชื่นให้ได้ อีแพงต้องได้คุณหลวงมาเป็นของอีแพงแต่เพียงผู้เดียว”
อาจารย์ชูหยิบเงินขึ้นมาดูยิ้มเยาะ
“ผัวเอ็งคนนี้ โดนทั้งทำหุ่นรูปรอย โดยทั้งน้ำมันหอมจัน แล้วนี่เอ็งจะให้เสกเมตตามหานิยมอีก กูนึกไม่ออก โดนเข้าไปเยอะขนาดนี้ผัวเอ็งจะเป็นยังไง”
“แล้วจะทำหรือไม่ทำล่ะ ไม่ทำเอาเงินคืนนะ”
อาจารย์ชูถอนใจมองหน้าแพง อย่างรู้สึกว่า... อีนี่มันกวนโทสะจริง

อาจารย์ชูทำพิธีเสกเข็มที่ใช้สัก แล้วเริ่มสักที่หลังของแพง สักด้วยอาคม ตัวอักษรชัดขึ้นมาครู่หนึ่งแล้วจางหายไปในเนื้อ ไม่ปรากฏเป็นรอย
แพงเจ็บ เหงื่อแตกแต่เพราะมุ่งมั่นจึงอดทน รอยสักเคลื่อนไปตามแผ่นหลังช้าๆ
“คุณหลวงต้องกลับมาหาอีแพง คุณหลวงต้องกลับมาหาอีแพง”
เสียงสวดของอาจารย์ชูและแพงดังขึ้นพร้อมกัน ขณะสัก ควันดำลอยกรุ่นอยู่บนตัวแพง คาถาของแพงที่กระทำต่อหลวงภักดีนับวันจะมากขึ้น น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่หลวงภักดีนอนหลับอยู่ ชื่นกลิ่นนั่งเฝ้า จู่ๆหลวงภักดีพรวดพราดตื่นขึ้นแล้วลุกขึ้นนั่ง
“โอ๊ย ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
“คุณหลวงเป็นอะไรไปคะ”
“ร้อน ร้อนไปหมด”
หลวงภักดีร้อนรน ลงจากเตียงเหงื่อแตก ทำเหมือนจะไปไหนสักแห่ง
“เดี๋ยวๆ คุณหลวงจะไปไหนคะ”
จู่ๆหลวงภักดี กราดเกรี้ยวสะบัดตัวชื่นกลิ่นจนเซไป แล้วรีบเดินออกไปจากห้อง เดินเซไปมา ปวดหัว แต่ร้อนรนต้องไปให้ได้ กล้าและบัวสวรรค์เดินเข้ามาพบเข้า
“คุณหลวงครับ จะไปไหนครับ”
ชื่นกลิ่นรีบออกมาบอก
“ช่วยด้วยนายกล้า ช่วยจับคุณหลวงที”
กล้าเข้าไปจับหลวงภักดี
“นี่ปล่อย ข้าจะไปหานังแพง บอกให้ปล่อยแพงอยู่ไหน ข้าจะไปหานางแพง”
“ทำไมตัวร้อนอย่างนี้...คุณหลวงไม่สบายอยู่...กลับไปที่เตียงก่อนเถอะครับ”
“ไม่ ปล่อยๆ นี่แน่ะ”
หลวงภักดีถึงกับโมโห ต่อยหน้าจนกล้าเซไปโดนข้าวของข้างๆ หล่นเคร้ง บัวสวรรค์ตกใจ เข้าไปประคอง
“ว้ายๆ พี่กล้า”
หลวงภักดีโมโหมากขึ้น กลายเป็นคนโทสะร้าย ชี้หน้าด่าทุกคน ด่ากราดไป
“ออกไป ออกไปให้หมด อย่ามายุ่งกับกู กูจะกลับไปเรือนเล็ก ใครมายุ่งกับกู พวกมึงตาย”
หลวงภักดีตาขวาง เดินเซจากไป ชื่นกลิ่น บัวสวรรค์และกล้า ได้แต่หยุดมองตามด้วยความงุนงง ไม่มีใครกล้าเข้าไปขวาง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น กลายเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง”
กล้าเดินนำสองสาวตามหลวงภักดีไป

หลวงภักดีเปิดประตูเข้าไปที่เรือนเล็ก
“คุณหลวง...คุณหลวง” กล้าเรียก
หลวงภักดีรีบปิดประตู ไม่ให้ทุกคนตามเข้ามาในบ้าน
“ออกไป ออกไปให้หมด อย่าตามมา ไป๊”
“คุณหลวง เปิดประตูก่อนครับ เปิดก่อน คุณหลวงๆ”
หลวงภักดีมองหาเรียกดังลั่นบ้าน
“แพง แพงอยู่ไหน”
“คุณหลวง โธ่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อวานยังดีๆอยู่นี่นา คุณหลวงไม่รักไม่ห่วงน้องกับลูกแล้วหรือคะ ทำไมจู่ๆเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนี้ ฮือ” ชื่นกลิ่นร้องไห้
แพงในชุดพิธีเจ้าแม่ โผล่ออกมาจากหลืบ ตาแดง นุ่งดำ มีรอยสัก โผล่ออกมาเต็มตัว มีฤทธิ์เต็มที่แล้วในเวลานี้ กล้า บัวและชื่นกลิ่นเห็นกันหมด
“เอ๊ะนั่น” บัวสวรรค์ตกใจ
ทั้งหมดแต่เพียงแว่บเดียวแล้วจางไป แพงเปลี่ยนเป็นชุดปกติ ไม่มีรอยสัก เมื่อครู่คล้ายๆเป็นภาพหลอนของคนทั้งสาม
“แพง ฉันคิดถึงเธอ” หลวงภักดีตรงเข้าไปหา
แพงเข้ามากอดหลวงภักดี แล้วมองออกมาเยาะเย้ยชื่นกลิ่น
“กลับมาแล้วหรือคะคุณหลวง มาค่ะ แพงจะพาขึ้นไปที่ห้องนอน”
แพงยิ้มเยาะกลุ่มของชื่นกลิ่นพาหลวงภักดีไป
“โธ่ คุณหลวง คุณหลวงของน้อง”
ชื่นกลิ่นได้แต่ยืนร้องไห้ บัวสวรรค์ได้แต่ปลอบใจ กล้ายืนมองงงๆ ทั้งสามไม่รู้จะทำยังไงได้

เมื่อกลับมาที่เรือนใหญ่ ทั้งสามคนนั่งเล่าเรื่องให้คุณหญิงอบเชย กับเพ็ญฟัง
“คุณหลวงกลับไปที่เรือนเล็ก ไปหานังแพงหรือ” คุณหญิงย้อนถาม
“คุณหลวงบ่นว่าไม่สบายตั้งแต่เมื่อวาน หมอมา ทานยาเสร็จแล้วก็นอน แต่จู่ๆ วันนี้ก็ลุกขึ้นบอกว่า ร้อน จะไปเรือนเล็ก” ชื่นกลิ่นเล่า
“บ่นว่าร้อน....หรือคะ” เพ็ญถาม
“ผมกับคุณบัวมาเจอเข้า เลยเข้ามาห้าม คุณหลวงท่านเอาเรื่องถึงกับต่อยผม”
“ต่อยหน้ารึ” คุณหญิงแปลกใจ
กล้าเล่าต่อ...
“ทีท่าของคุณหลวงเหมือนคนบ้า ทั้งๆที่เมื่อวานยังดูรักใคร่คุณชื่น แต่พอวันนี้กลับเปลี่ยนเป็นคนละคน ไอ้คนท่าทางแบบนี้มันเหมือน ..เหมือนกับ...”
“คนโดนคุณไสย!”
คุณหญิงพูดต่อทันที ทุกคนตกใจกันหมด เว้นแต่กล้าที่คิดว่าเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
“คุณไสยหรือคะ” บัวสวรรค์ถามงงๆ
“หมายความว่านางแพงทำของใส่คุณหลวง ไม่ใช่เพราะคุณหลวงหมดรักในตัวลูกงั้นหรือคะ” ชื่นกลิ่นอึ้งไป
เพ็ญรีบบอก
“จริงเจ้าค่ะ อีเพ็ญเชื่อเต็มหัวใจ มันต้องทำของใส่คุณหลวงมาตั้งแต่แรก คิดดูนะคะ คนอะไรชั่วข้ามคืนเปลี่ยนไปชอบคนหนึ่ง พออีกคืนกลับมาชอบอีกคน”
“ชอบแบบไม่ลืมหูลืมตาเสียด้วย ผมเห็นคุณหลวงมาตั้งแต่เด็ก ท่านเป็นเด็กดีของพ่อแม่ สุภาพ เรียบร้อยกับทุกคน จู่ๆกลายมาเป็นคนทิ้งลูกทิ้งเมีย ไม่เอาการเอางานอย่างนี้ ผมไม่เห็นเหตุเป็นอื่นเลยจริงๆ” กล้าเล่า
คุณหญิงลุกขึ้นยืน
“แบบนี้นี่เอง อีแพง มึงทำของใส่ลูกเขยกู มึงตายแน่งานนี้”
นวลที่แอบฟังอยู่ รีบวิ่งออกไป

นวลมาที่เรือนเล็ก ตรงไปจะเปิดประตู แต่ประตูล็อคอยู่
“คุณแพง คุณแพง แย่แล้ว... โธ่โว้ย”
นวลวิ่งออกไป หาทางอื่นเพื่อไปบอกข่าวแพง ตาคอยมองดูว่าพวกของอบเชยมาหรือยัง
ขณะเดียวกัน หลวงภักดีนอนป่วย แพงกอดไว้ สีหน้าดีใจมีความสุข โดยไม่ได้สนใจว่าได้หลวงภักดีมาในสภาพแบบไหน
“คุณหลวง คุณหลวงของอีแพง แพงคิดถึงคุณหลวงเหลือเกิน”
หลวงภักดีมีอาการพร่ำเพ้อ แบบคนป่วยเพ้อ
“แม่ชื่น...แม่ชื่นของพี่”
“เอ๊ะ คุณหลวง อยู่กับแพง พูดชื่อมันทำไม”
“...โอ๊ย ปวดหัว ปวดหัว”
“ก็เลิกคิดถึงมันสิ จะได้ไม่ปวด บอกให้เลิกได้ยินไหม”
“โอย ทำไมไม่ตายๆไปเสีย ปวดๆ”
แพงมองสภาพหลวงภักดีแล้วไม่เข้าใจ โกรธ
“ทำไมมันไม่เหมือนคราวที่แล้ว ทำไมนอนป่วยอยู่อย่างนี้ หรือว่า...”
แพงนึกไปถึงที่อาจารย์ชูบอก...
“ผัวเอ็งคนนี้ โดนทั้งทำหุ่นรูปรอย โดยทั้งน้ำมันหอมจัน แล้วนี่เอ็งจะให้เสกเมตตามหานิยมอีก กูนึกไม่ออก โดนเข้าไปเยอะขนาดนี้ผัวเอ็งจะเป็นยังไง”
แพงชักเอะใจ ขณะเดียวกัน นวลเดินมาเรียกที่หน้าต่าง
“คุณแพง”
“นังนวล…อะไรของเอ็งเนี่ย ประตูมีทำไมไม่เข้า”
“ก็คุณแพงล็อกไว้ พวกนังอบเชยมันรู้แล้วว่าคุณแพงทำคุณไสยใส่คุณหลวง มันกำลังบุกจะมาเอาเรื่องคุณแพง”
“ดี ให้มันบุกมาเลย ข้าจะเสกหนังควายเข้าท้องมันทุกคนเลย เอ็งไปเฝ้ามันที่หน้าประตู ใครขวาง เอ็งจัดการได้เลย”
นวลพยักหน้าแล้วรีบไป แพงรีบเปิดตู้ที่ซ่อนหุ่นคู่และหุ่นนวล และดอกไม้จัน
“ให้ใครทำลายหุ่นพวกนี้ไม่ได้”
แพงหยิบของสามสี่ชิ้นนั้นวางบนผ้าใหญ่ผืนหนึ่ง ห่อไว้แล้วห้อยสะพาย เตรียมเอาไปฝัง

หน้าเรือนเล็ก...คุณหญิงอบเชยเดินนำทุกคนมา โดยมิ่ง มีและติ่งที่เอาอุปกรณ์ เปิดประตูมาด้วย
“บุกเข้าไป บุกเข้าไปในบ้านมัน ไปเอาตัวคุณหลวงออกมา” คุณหญิงสั่ง
นวลวิ่งมาขวาง
“นี่หยุดนะ นี่มันบ้านคุณแพงนะ พวกคุณไม่มีสิทธิ์”
เพ็ญเข้าไปตบนวลเปรี้ยง นวลลงไปนั่งกับพื้น เพ็ญชี้หน้าด่า
“มึงกับกูกระดูกคนละเบอร์ อย่าสะเออะ อีติ่งจับอีนวลไว้”
ติ่งล็อกตัวนวลไว้ตามคำสั่ง นวลจำต้องหมดฤทธิ์ไป มิ่งเข้าไปเปิด
“ประตูมันล็อคขอรับ”
“พังประตู พังกระจก นี่มันบ้านข้าสร้างเอง พังมันให้หมดก็ยังได้ ยังไงวันนี้ ข้าต้องเอาตัวคุณหลวงกลับเรือนใหญ่ให้ได้”
มิ่งกับมี ยกชะแลงจะพังประตู แพงเดินออกมา มีผ้าใส่ของอาถรรพณ์คล้องแขนไว้
“หยุดนะ”
แพงเปิดประตูออก ดุใส่ทุกคน
“คุณหลวงยกบ้านนี้ให้ข้า ใครเข้ามา อย่าหาว่าไม่เตือน”
“ไอ้มิ่ง ไอ้มี เข้าไปเอาตัวคุณหลวงออกมา”
คุณหญิงสั่งอีก มิ่งและมีจะเข้าบ้าน แพงถลาออกมาขวาง
“ลองเข้ามาสิ ใครแตะต้องคุณหลวง รับรองมีเรื่องกับข้า”
“แพง เธอใช้คุณไสยกับคุณหลวงอย่างนี้ไม่ถูก คืนคุณหลวงมาให้ฉันเถอะ” ชื่นกลิ่นพยายามอ้อนวอน
“ฮึ คุณหลวงรักข้า แกต่างหากที่คุณหลวงไม่รัก”
“ใครกันแน่ที่คุณหลวงไม่รัก มึงทำคุณไสยใส่คุณหลวง คุณหลวงไม่ได้รักมึง มึงก็เลยใช้วิธีสกปรก” เพ็ญเยอะ
“คุณไสยรึ แปลว่าอะไรอีแพงไม่รู้จัก คุณไสยที่ว่าเป็นอย่างนี้หรือเปล่า”
แพงหลับตายกมือ ท่องบทสวด ....
“โอม ท่านพระพายจงเมตตา จงพัดมา จงพัดมา”
...เมฆดำลอยมา ลมพัดอยู่รอบข้างไปมา ต้นไม้พัดโบก ข้าวของปลิวว่อน ทุกคนมองไปรอบๆตกใจมาก แพงหัวเราะร่าน่ากลัว
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
“จู่ๆ ฟ้าก็มืด ลมก็แรง อีแพงมันกลายเป็นหมอผีไปแล้ว มันเป็นหมอผี”
ติ่งกลัวมาก เหมือนคนอื่นที่เริ่มประหวั่น
“ใครเหยียบเข้าไปในบ้านข้า ใครกล้ายุ่งกับคุณหลวง ข้าจะเสกหนังควายเข้าท้องพวกมัน”
มิ่ง มี และติ่ง ถอยหลังกรูไปอยู่หลังคุณหญิง
“ฮึ่ย ไม่เอาแล้ว” มิ่งกลัว
เพ็ญตวาดแว๊ด
“กูไม่เชื่อ คนอย่างมึง แค่บ่าวไพร่ จะมีวิชาเสกลมฝนงั้นรึ มานี่ อีหมอผีตัวดี มาเจอกูนี่”
เพ็ญจะเดินเข้าไปตบแพง พอเงื้อมือขึ้น ดวงตาแพงกลายเป็นสีแดง เพราะเจ้าแม่มาเข้าสิง บทสวดดังขึ้นควันดำลอยเข้าไปในปากของเพ็ญ ทันใดเพ็ญจับท้อง นิ่วหน้า ปวดท้อง
“โอ๊ะ โอ๊ย”
“เพ็ญ เป็นอะไรน่ะ” บัวสวรรค์เข้าไปประคอง
“ฮะฮะฮ่า แรงแค้นจากคนต่ำช้า แรงกดดันที่พวกเอ็งทำกับข้า มันได้กลายเป็นพลังอำนาจ กลับมาทำลายพวกเอ็งทุกคน ต่อไปนี้ ข้าไม่ใช่บ่าวโง่ๆ ข้ามีวิชาที่จะทำร้ายพวกเอ็งทุกคน ที่จะมาเอาคุณหลวงไปจากข้า”
เพ็ญทรุดตัวลงไปนั่ง ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
“โอ๊ยปวด...ปวดท้อง”
ติ่งและพวกเข้ามายืนชิดกัน
“นังแพงมันเสกหนังควายเข้าท้องน้าเพ็ญแล้ว ฮือ น่ากลัว” ติ่งร้องบอก
คุณหญิงอึ้งงุนงง
“เป็นไปได้ยังไง เป็นไปไม่ได้ บ่าวเลวชั่วอย่างอีแพงจะมีวิชาได้ยังไง คนอย่างมันเนี่ยนะ”
“ฮะฮะฮ่า ในเมื่อเห็นฤทธิ์เดชข้าแล้ว ก็จงเลิกยุ่งกับข้าเสียที กลับไป กลับไปให้หมด”
แพงพูดเสร็จก็วิ่งหายไป เพราะใจห่วงแต่ห่อผ้า อยากเอาไปฝัง เพราะหากใครพบหุ่นพวกนี้แล้วทำลายมันทิ้ง จะกลายเป็นอาถรรพณ์ของแพงหายไป หลวงภักดีจะเลิกรักแพงทันที
“อีแพงเอ็งจะไปไหนกลับมานี่นะ” คุณหญิงโวยวาย
บัวสวรรค์รีบดึงคุณหญิงไว้
“คุณอา อย่าตามไปค่ะ แพงมีวิชาจริงๆ ดูเพ็ญสิคะ เราอยู่ห่างๆมันไว้ก่อนจะดีกว่าค่ะ”
“คุณบัวพูดถูก”
กล้าหันไปสั่งมิ่งกับมี
“นี่มัวแต่กลัวอยู่นั่น รีบเอาตัวเพ็ญกลับเรือนใหญ่ ไปเร็ว”
มิ่งมี เข้าไปประคองเพ็ญกลับเรือนใหญ่
“คุณหลวง....ต้องเอาตัวคุณหลวงไปด้วย”
ชื่นกลิ่นไม่กลัว รีบขึ้นเรือนไปทันที กล้ารีบตามไป
บัวสวรรค์ดึงคุณหญิง
“คุณอามาค่ะ เราต้องถอยไปตั้งหลักก่อน ความปลอดภัยต้องมาก่อนนะคะ เรื่องนี้จะใจร้อนไม่ได้”
ทุกคนรีบพากันกลับไป เหลือแต่นวลยืนสะใจ

หลวงภักดีนอนป่วย เพ้อ...ชื่นกลิ่นเข้ามาหา
“คุณหลวง”
หลวงภักดีลืมตามอง ดีใจ
“แม่ชื่น... ลูก แม่ชื่นของพี่”
“น้องมาแล้วค่ะน้องมาแล้ว กลับเรือนใหญ่กับน้องนะคะ”
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ปวดเหลือเกิน ปวดไปหมดทั้งตัว” หลวงภักดีคร่ำครวญ
“กลับเรือนใหญ่ก่อนครับ ไปครับ”
ชื่นกลิ่นและกล้า ช่วยกันประคองหลวงภักดีกลับไปที่เรือนใหญ่ แล้วประคองให้นอนลง อาการหลวงภักดีเหมือนคนป่วยหนัก
“นอนลงก่อนนะคะ ดูสิ ตัวร้อน ไข้ขึ้นสูงเชียว” ชื่นกลิ่นเป็นห่วงมาก
คุณหญิงกับบัวสวรรค์มาดูอาการ
“ท่าทางเหมือนคนโดนคุณไสยมนต์ดำจริงๆด้วย หน้าตาสง่าราศีไม่มีเลย แม่บัว ให้คนไปตามหมอมาดูไป๊”
บัวสวรรค์รีบออกไป
“อีแพงมันมีฤทธิ์ขึ้นมาเช่นนี้ จะจัดการอะไรก็คงลำบากแล้วไหนจะคุณหลวงกับเพ็ญ ที่มาป่วยเพราะคุณไสยของมันอีก เราจะทำยังไงดีขอรับ”
คุณหญิงกลุ้มใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น
 
จบตอนที่ 11 
 
อ่านต่อตอนที่ 12 พรุ่งนี้








กำลังโหลดความคิดเห็น