กระบือบาล ตอนที่ 11
จอภาพในกล้องดิจิตอลที่กำลังถ่ายอยู่ในเวลานั้น เป็นภาพของสุบินในชุดทักซิโด้ ดูดีกว่าที่เคยเห็น สุบินกำลังยิ้มร่าด้วยความดีใจสุดๆ ในมือถือถ้วยรางวัล
“รู้สึกเป็นเกรียติอย่างยิ่งสำหรับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม...ที่จริงแล้ว...ผมไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับรางวัลนี้มาตลอดชีวิต...จนกระทั่ง”
ระหว่างนั้นเสียงของอรอนงค์พูดแทรกขึ้น
“ยัยนุชเช่าชุดทักซิโด้มาให้แก”
เป็นอรอนงค์กำลังถ่ายวิดีโอให้กับสุบินที่ยืนอยู่มุมหนึ่งในห้องตัวเอง
“เฮ้ย ! แกจะพูดให้เสียฟีลทำไมเนี่ย...เอาใหม่..คัทๆๆ”
“ไม่ถ่ายให้แล้ว...อยากถ่ายก็ถ่ายเอง”
“โธ่...นะอรนะ...ฉันไม่รู้ว่าฉันจะมีโอกาสได้ใส่ชุดอย่างนี้อีกหรือเปล่า..ฉันแค่อยากสร้างจินตนาการเอาไว้...เผื่อวันไหนฉันขึ้นไปรับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม...จะได้ไม่เขินไง”
“แต่ฉันว่าชุดที่ยัยนุชเช่าให้แกเนี่ย...ไม่เหมาะจะขึ้นไปรับรางวัลหรอก”
“แล้วเหมาะกับอะไร”
“เหมาะที่เป็นบ๋อยในร้านอาหารมากกว่า”
“โห...เสียเลย...พูดอย่างนี้เดี๋ยวก็ไม่ไปเป็นเพื่อนเลย”
“เหรอ...จริงอ่ะ...ชอบของฟรีไม่ใช่เหรอ”
สุบินค้อนให้ที่ดันรู้ทัน “ไม่ได้ชอบ...แต่เสียดาย...แล้วตกลงนุชมันบอกแกหรือเปล่าว่าเป็นงานอะไร”
“เห็นบอกว่าเป็นงานเลี้ยงรับตำแหน่งที่ปรึกษาของพ่อนุชน่ะ”
“เหรอ...ฉันอยากรู้จริงๆว่าบริษัทอะไรถึงได้ให้นายทหารระดับพ่อนุชไปเป็นที่ปรึกษาด้วย”
สุบินทำหน้าครุ่นคิดสงสัย
ค่ำคืนนั้นใจเด็ดนั่งอยู่ในร้านอาหารหรู ในโรงแรมห้าดาวกลาง มุมที่เขานั่งสามารถมองเห็นแสงไฟระยิบระยับของกรุงเทพฯ ยามราตรี กับนักธุรกิจคนหนึ่ง โดยมีเกริกไกรนั่งอยู่โต๊ะถัดไปคอยชำเลืองมองอยู่ทุกการเคลื่อนไหว
เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในที่แห่งนั้นต่างพากันซุบซิบเม้าท์แตกกับสภาพและการแต่งตัวสไตล์หนุ่มภูธรของใจเด็ด
“เรื่องที่ดินผืนนั้น...ผมเองก็เคยคุยกับคุณใจจอมหลายครั้งแล้ว” นักธุรกิจเอ่ยขึ้น
ใจเด็ดมีสีหน้าแสดงออกถึงความดีใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยครับ”
นักธุรกิจทำหน้าเบ๊ไปนิดก่อนจะพูดขึ้น
“ไม่มีหรอกครับ...เพราะผมเองก็ชอบที่ผืนนั้น...จะติดอยู่อย่างเดียว”
“อะไรครับ”
“คุณใจจอมแกไม่ยอมขายที่ผืนนั้น” ใจเด็ดชะงักไป นักธุรกิจคนนั้นจึงพูดต่อ “แต่ถ้าคุณใจเด็ดสามารถพูดกับคุณใจจอมได้...ผมก็ยินดีที่จะซื้อทันที...ถ้าคุณคุยกับคุณใจจอมรู้เรื่องแล้ว...ยังไงติดต่อผมได้เลยนะครับ”
ว่าแล้วนักธุรกิจคนนั้นก็ลุกออกไป เกริกไกรรีบปรี่เข้ามาหาใจเด็ดทันที
“เป็นไงวะ...ขายได้มั้ย”
ใจเด็ดสีหน้าเครียดลงเพราะมีปัญหาใหญ่รออยู่ตรงหน้า
โรงแรมหรูแห่งเดียวกันนั้น สรนุชในชุดราตรีหรูเดินเข้ามาที่หน้าลิฟต์ก่อนจะเรียกลิฟต์แล้วยืนรอ โดยไม่เห็นเลยว่าใจเด็ดกำลังเดินออกมาจากห้องอาหาร เกริกไกรตามมาข้างหลัง ต่างคนต่างไม่เห็นกัน
“เดี๋ยวก่อนซิวะ...เขาไม่ซื้อหรือไง” เกริกไกรเซ้าซี้ถาม
“ซื้อ...แต่พ่อฉันไม่ยอมขาย...แล้วแกจะให้ฉันบอกพ่อฉันยังไง”
ระหว่างนั้นลิฟต์ที่สรนุชเรียกมาพอดี ประตูลิฟต์เปิดออก สรนุชก้าวเข้าไปในลิฟต์ก่อนจะหันหน้าออกมามองด้านนอก เป็นจังหวะเดียวกับที่ใจเด็ดหันมาเห็นพอดี
“คุณนุช”
ประตูลิฟต์ปิดลงโดยที่สรนุชไม่ทันได้เห็นใจเด็ดที่กำลังวิ่งเข้ามา
สรนุชได้ยินเสียงคุ้นหูของใจเด็ดแว่วมาก็พยายามจะชะโงกหน้าออกไปดู แต่ก็ไม่ทันเพราะประตูลิฟต์เลื่อนปิดซะก่อน
สรนุชแปลกใจนิดๆ “หูแว่วเหรอเรา”
ใจเด็ดกำลังอึ้งอยู่ที่เห็นสรนุช ใจเด็ดตรงเข้าไปกดลิฟต์ เกริกไกรเข้ามาถามด้วยความแปลกใจ
“มีอะไร”
“เมื่อกี้แกไม่เห็นคุณนุชเหรอ”
“อะไรนะ”
ใจเด็ดหันมองรอบๆ ก็เห็นแท่นป้ายบอกสถานที่จัดงานอยู่ข้างๆ ลิฟต์ ใจเด็ดรีบวิ่งเข้าไปดู
ใจเด็ดเห็นป้าย ‘งานของบริษัทคาบาตี้ แสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่ของพลเอกสุรยุทธ’
“งานเลี้ยงพวกคาบาตี้”
ใจเด็ดสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที
บรรยากาศในงานเลี้ยงตกแต่งอย่างเรียบๆ แต่ดูดีสมกับงานเลี้ยงต้อนรับ ช่างภาพสื่อมวลชนรุมทำข่าว แสงแฟลชวูบวาบไปทั้งงาน แขกส่วนใหญ่ซึ่งเป็นนักธุรกิจมาร่วมงานไม่ขาดสาย
ที่โต๊ะหนึ่งในงาน บริเวณหน้าเวทีสมพลนั่งอยู่กับสุรยุทธและคุณหญิงเลิศหล้า มีพิภพกับผู้ถือหุ้นบางส่วนนั่งอยู่ด้วย พิภพยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มก่อนจะกระแทกแก้วลงกับโต๊ะอย่างมีอารมณ์
สมพลได้ทีจึงรีบพูดข่ม “ท่าทางคุณพิภพคงจะดีใจมากที่ได้ท่านสุรยุทธรับเกรียติมาเป็นที่ปรึกษาให้กับคาบาตี้ของเรา...ดูซิ...ดื่มฉลองให้ท่านไม่วางแก้วเลย”
พิภพชะงักเหล่มองสมพล
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ไว้ใจผม...” สรยุทธเอ่ยขึ้น
“ก็ดีเหมือนกันครับท่าน...มีท่านเป็นที่ปรึกษา...เพราะผมเชื่อว่าผู้บริหารบางคนก็ทำงานไม่เป็น...เป็นแต่จะรักษาอำนาจของตัวเองเอาไว้” พิภพแขวะสมพล
สมพลชะงักเหล่มองพิภพทันที สุรยุทรกับเลิศหล้ามองหน้ากันไม่เข้าใจคำพูดของพิภพ
“พิภพ..! ผมว่าคุณคงจะดื่มมากไปแล้ว” สมพลฉุนมากๆ
“ขอตัวนะครับท่าน”
พิภพทำเสียงครางในลำคอแล้วลุกขึ้นไม่สนใจก่อนจะหันไปหยิบแก้วไวน์ที่เด็กเสิร์ฟกำลังเดินผ่านแล้วเดินออกไป
“ไม่ไหว...ผมว่าเราอย่าไปสนใจดีกว่าครับ...เอ่อ...ไม่เห็นหนูนุชเลยครับ”
“ถึงแล้วล่ะคะ...เมื่อกี้โทรมาบอกว่ากำลังขึ้นมา” คุณหญิงเลิศหล้าบอก
ระหว่างนั้นเสียงพิธีกรบนเวทีดังขึ้นพอดี
“เอาละครับ...ตอนนี้ก็ถึงเวลาสำคัญแห่งค่ำคืนนี้แล้ว...ขอเชิญคุณสมพล...กรรมการผู้จัดการบนเวทีเลยครับ”
เสียงตบมือดังไปทั่วงาน ก่อนจะเห็นสมพลลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นบนเวที
“ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...วันนี้ผมมีความดีใจมาก...ทุกท่านคงทราบดีแล้วว่าบริษัทคาบาตี้ของเราเติบโตขึ้นทุกปี...แต่...การเติบโตของเรานั่นก็เหมือนกับการเดินเรือในมหาสมุทร...แม้ว่าเราจะเดินหน้าทุกวัน...แต่เราไม่รู้เลยว่าเรากำลังจะไปในทิศทางไหน...สิ่งที่ผมจะบอกทุกคนในวันนี้ก็คือ...ผม...ได้กัปตันที่จะมาควบคุมทิศทางให้กับบริษัทคาบาตี้ของเรา...ขอทุกท่านปรบมือต้อนรับ...พลเอกสุรยุทธ...เลิศพิทักษ์...ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของเราด้วยครับ”
เสียงตบมือดังสนั่นทั่วห้องจัดงาน สุรยุทธลุกขึ้นยิ้มให้กับทุกคน
เวลาเดียวกันนั้น สุบินกับอรอนงค์ต่างรีบวิ่งกุลีกุจอเข้ามาที่หน้าลิฟต์
“เร็วซิ” สุบินเร่งยิกๆ
“สุบิน...แกจะเร่งอะไรนักหนาเนี่ย”
“เอ้า...ไม่เร่งได้ไง...เดี๋ยวก็ไม่ทันของดีๆ หรอก”
“ไหนบอกว่าไม่ชอบของฟรีไง”
“เออๆ...เร็วๆ ซิ...เดี๋ยวก็อุ้มขึ้นไปเลยนี่”
สุบินกับอรอนงค์ต่างกระวีกระวาดวิ่งเข้าไปลิฟต์ไป
ทางด้านณวัตยืนอยู่หน้าห้องจัดงาน คอยชะเง้อมองหาสรนุช
“งานเริ่มแล้วทำไมยังไม่มาอีก”
ระหว่างนั้นสรนุชในชุดราตรีเดินเข้ามา เมื่อสรนุชเจอณวัตก็ออกอาการงง
“วัต...คุณมาได้ยังไง”
“แปลกใจเหรอครับ...พอดีคุณพ่อกับคุณแม่คุณกลัวว่าคุณจะเหงาก็เลยให้ผมมาด้วย...นุชรู้มั้ยครับว่านุชสวยมาก
“เก็บคำชมของคุณไว้พูดกับคนอื่นเถอะคะ...ฉันสายแล้ว”
สรนุชเดินเบียดณวัตเข้าไปในงาน ณวัตมองตามแล้วยิ้มร้ายออกมา
เวลานั้นพลเอกสุรยุทธกำลังกล่าวอยู่บนเวที
“ผมรู้สึกเป็นเกรียติมากที่ได้รับความไว้วางใจจากทุกท่านในที่นี่...ผมขอสัญญาว่าถ้ามีสิ่งใดที่ผมจะทำให้บริษัทคาบาตี้เจริญก้าวหน้า...ผมจะไม่รีรอแม้แต่วินาทีเดียว”
สรนุชเดินเข้ามาในงานแล้วเธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นสุรยุทธยืนกล่าวบนเวที โดยมีสมพลและผู้บริหารคนอื่นอยู่ด้วย
จังหวะนั้นณวัตเดินเข้ามายืนข้างสรนุช
“คุณพ่อคุณ...รับเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ให้กับทางคาบาตี้ของเรา”
“ว่าไงนะ”
สรนุชเพิ่งรู้ตัวว่าโดนหลอกจึงจะเดินออกจากงาน ณวัตรีบดึงแขนเอาไว้
“จะไปไหน”
“ปล่อย...ฉันจะกลับบ้าน”
“แล้วคุณจะไม่รออยู่รับตำแหน่งใหม่หรือไง”
“ตำแหน่ง..? ตำแหน่งอะไร” สรนุชฉงน
ใจเด็ดกับเกริกไกรเดินเข้ามาบริเวณหน้างาน เห็นพนักงานต้อนรับอยู่ที่โต๊ะลงชื่อ
“ไอ้เด็ด...ฉันว่าไม่ใช่หรอก...คุณนุชจะมางานเลี้ยงพวกคาบาตี้ทำไม”
ใจเด็ดนิ่งคิดตามอย่างลังเล “นั่นซิ...งั้นฉันคงจำคนผิด”
ระหว่างนั้นสมพลมองลงไปเห็นณวัตกับสรนุชยืนอยู่ที่ประตูงาน ก็รีบพูดผ่านไมค์ขึ้นมาทันที
“มาแล้วครับ...เจ้าหญิงแห่งค่ำคืนนี้...ขอเสียงตบมือให้กับคุณสรนุช...”
ใจเด็ดกับเกริกไกรกำลังจะหันหลังเดินกลับ แต่พอได้ยินเสียงของสมพลที่ประกาศชื่อของสรนุช ทำให้ใจเด็ดถึงกับชะงักทันที สมพลแนะนำสรนุชต่อ
“...ลูกสาวคนเดียวของพลเอกสุรยุทธด้วยครับ”
ใจเด็ดกับเกริกไกรได้ยินอย่างนั้นก็มองหน้ากันอึ้งๆไป
เสียงตบมือดังขึ้น ทุกคนหันมองสรนุชเป็นตาเดียว
“มาลูก...ขึ้นมาแสดงความยินดีกับพ่อหน่อย” นายพลสรยุทธเรียกลูกสาวขึ้นเวที
เสียงตบมือยังดังไม่ขาดสาย ณวัตเห็นสรนุชลังเลเลยรีบสำทับ
“ไปครับ...ไปแสดงความยินดีกับท่านหน่อย”
ณวัตไม่รอคำตอบ รีบดึงสรนุชขึ้นมาบนเวที
ใจเด็ดเดินเข้ามาในงาน เกริกไกร ตามมาทางด้านหลัง
บนเวทีสมพลเริ่มร่ายยาวผลงานของสรนุชให้ทุกคนได้ฟัง
“ทุกท่านทราบกันดีอยู่แล้วว่า...รถไถคาบาตี้ของเราสามารถทำยอดขายจากทั่วประเทศได้กว่าหนึ่งแสนคัน...แต่มีอยู่ที่เดียวที่เราไม่สามารถทำยอดขายได้เลย...นั่นก็คือ...ที่หนองระบือ”
ใจเด็ดกับเกริกไกรยืนอึ้งกับสิ่งตรงหน้า ใจเด็ดยืนฟังด้วยความเจ็บปวด
“แต่หลังจากนี้...ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปนั่นก็เพราะ...ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สมองไม่เล็กคนนี้”
เสียงของผู้คนในงานต่างฮือฮา พร้อมกับเสียงตบมือเป็นจังหวะ
“ผมอยากจะตบมือดังๆ ให้กับความทุ่มเทของเธอที่ลงไปคลุกคลีอยู่ที่หนองระบือร่วมสามเดือน...จนได้แผนกลยุทธ์ที่จะทำให้ยอดขายรถไถของคาบาตี้เพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้”
ระหว่างที่สมพลพูดอวยอยู่นั้น สรนุชก้าวเดินขึ้นมาบนเวที ในขณะที่ใจเด็ดเจ็บเกินจะเอ่ย หัวใจของเขาเหมือนกำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
จังหวะนั้นอรอนงค์กับสุบินวิ่งเข้ามาในงาน สุบินกับอรอนงค์อึ้งไป
“อ้าว...ไหนแกบอกว่าเป็นงานเลี้ยงรับตำแหน่งพ่อยัยนุชไง...ไหงกลายเป็นยัยนุชละ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ระหว่างนั้นอรอนงค์เหลือบไปเห็นใจเด็ดกับเกริกไกรยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง
“หมอ”
สุบินหันมองตามอรอนงค์ แล้วทั้งสองก็อึ้งอ้าปากค้าง
สรนุชก้าวเดินขึ้นมาบนเวทีอย่างงามสง่า
“แล้วจากแรงกายแรงใจที่เธอทุ่มเทให้กับคาบาตี้...ทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ที่จะมอบตำแหน่ง...ผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทคาบาตี้ให้กับเธอ”
สรนุชยืนอยู่บนเวทีทั้งอึ้งทั้งงงกับเสียงตบมือที่ดังลั่นไปทั่วงาน แสงสีเสียงดังขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
แล้วเมื่อทุกอย่างสงบสิ่งที่สรนุชหันมาเห็นเป็นสิ่งแรกก็คือสายตาของใจเด็ดที่มองมาที่เธออย่างเจ็บปวด
สรนุชช็อกคาที่ “ใจเด็ด”
ทุกคนแปลกใจว่าสรนุชตกใจอะไร จึงหันไปมองตามสรนุช แล้วทุกคนก็ต้องงงเมื่อใจเด็ดยืนอยู่ ทุกคนสงสัยว่าใจเด็ดกับเกริกไกรเป็นใคร
ใจเด็ดค่อยๆ เดินเข้ามาหาสรนุชบนเวที วินาทีนั้นสรนุชกับใจเด็ดต่างสบตากันด้วยความรู้สึกที่ปวดร้าวเป็นที่สุด ผู้คนที่นั่งเรียงรายระหว่างทางต่างมองใจเด็ดด้วยความแปลกใจ
สุบินกับอรอนงค์ถึงกับปิดหน้าไม่อยากจะมองว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
ใจเด็ดก้าวเดินเข้ามายืนต่อหน้าสรนุช
“นาย...นายฟังฉันพูดก่อน”
“ผมคงไม่มีอะไรต้องฟังคุณอีก...เพราะที่ที่คุณยืนอยู่ตอนนี้...มันบอกทุกอย่างอยู่แล้ว”
สมพลกับณวัตหันมองหน้ากัน
“เฮ้ย ! ปล่อยให้มันเข้ามาได้ยังไง...เอามันออกไป” ณวัตตะโกนเรียกรปภ.
พนักงานรักษาความปลอดภัยต่างวิ่งกรูกันเข้ามาจับตัวเกริกไกรก่อน
“ปล่อย...ปล่อยซิวะ”
ใจเด็ดสบตาสรนุชอย่างร้าวราน
“นี่ใช่มั้ย...ธุระด่วนที่คุณบอกว่าคุณต้องรีบกลับมากรุงเทพฯ” ใจเด็ดถาม
“ไม่ใช่นะ”
ใจเด็ดบอกเสียงดัง “ธุระของคุณคือการกลับมารับตำแหน่งใหม่กับไอ้บริษัทนี่ใช่มั้ย...” สรนุชอึ้งพูดอะไรไม่ออก “ผมอยากถามคุณคำเดียว...คุณทำได้ยังไง”
สิ้นคำถามของใจเด็ด พนักงานรักษาความปลอดภัยก็วิ่งกรูกันเข้ามารวบตัวใจเด็ดออกไป
สรนุชพยายามร้องห้าม
“ปล่อย...ปล่อยเขา...อย่าทำอะไรเขานะ”
สรนุชรีบวิ่งลงจากเวที ท่ามกลางความแตกตื่นของคนในงาน
ใจเด็ดกับเกริกไกรถูกรปภ.ลากออกมาที่หน้างาน
“ปล่อยซิวะ...ฉันไม่ได้อยากอยู่ข้างในหรอกเว้ย” เกริกไกรโวยลั่น
ระหว่างนั้นสรนุชวิ่งตามเข้ามาจะห้าม แต่แล้วณวัตก็ดึงแขนสรนุชเอาไว้ ก่อนจะบอกกับรปภ.
“ปล่อยพวกมัน”
รปภ.โยนใจเด็ดกับเกริกไกรจนล้มลงไปกอง อรอนงค์กับสุบินวิ่งตามออกมาอีกมุม
ใจเด็ดลุกขึ้นมาแล้วเห็นณวัตกับสรนุชยืนอยู่ด้วยกันก็ยิ่งปวดใจ
“คุณสร้างเรื่องทุกอย่างขึ้นมา...แม้แต่เรื่องที่คุณเลิกกับแฟน”
“ไม่ใช่นะ” สรนุชพยายามจะอธิบาย
ณวัตหันไปสั่งรปภ. “จับเธอเอาไว้”
รปภ.ต่างก็เข้ามาคุมสรนุชเอาไว้ ณวัตเดินเข้ามาใจเด็ด
“เออ...รู้แล้วก็ดี...ฉันกับนุชไม่ได้เลิกกันจริงๆ...ทุกอย่างที่แกเห็นมันก็แค่ละครที่ฉันกับนุชสร้างมันขึ้นมา”
“หึ...อยากขายรถไถมากขนาดนี้เลยเหรอ...พวกแกมันน่าสมเพช” ใจเด็ดเยาะ
“ไอ้นี่...”
ทันใดนั้นณวัตก็ต่อยเข้าไปที่หน้าของใจเด็ด ใจเด็ดล้มคว่ำลง
“ไม่”
สรนุชร้องลั่นสะบัดตัวสุดแรงเกิด จนหลุดจากการควบคุม สรนุชรีบวิ่งมาดูใจเด็ด
“นายเป็นอะไรมั้ย”
ใจเด็ดสะบัดมือสรนุชออกก่อนจะลุกขึ้นอย่างทระนง สรนุชอึ้งไปกับสิ่งที่ใจเด็ดทำ
“คุณจำได้มั้ย...ที่คุณเคยบอกว่า...คุณอยากเจอผู้ชายที่เป็นเหมือนควาย” ใจเด็ดเอ่ยขึ้น
“ฉันจำได้”
“คุณเจอเขาแล้ว...ผมเองที่เป็นควายให้คุณหลอกใช้มาตลอด”
ใจเด็ดพูดเสร็จก็ค่อยๆ หันหลังเดินออกไปอย่างเจ็บปวดอย่างที่สุด
สรนุชถึงกับยืนอึ้ง เหมือนโลกทั้งใบแตกลงตรงหน้า
ใจเด็ดเดินดุ่มๆ มาตามทางเดินในโรงแรม เกริกไกรวิ่งตามเข้ามาด้วยความเป็นห่วง
“ไอ้เด็ด...แกจะไปไหน...ไอ้เด็ด”
ใจเด็ดหยุดแล้วหันมาบอก “ฉันขออยู่คนเดียวซักพัก”
ใจเด็ดพูดแล้วก็เดินออกไปเลย เกริกไกรพูดไม่ออกเพราะรู้ว่าใจเด็ดรู้สึกยังไง
ระหว่างนั้นเสียงของอรอนงค์ก็ดังขึ้น “หมอ”
เกริกไกรค่อยๆ หันมาก่อนจะเห็นอรอนงค์ยืนอยู่
“คุณอร...”
เกริกไกรที่กำลังโมโหกรุ่นๆ เช่นกันกลับหันหน้าหนีจะเดินออกไป อรอนงค์วิ่งมาดักหน้า
“หมอ...หมอฟังฉันก่อน”
“ผมไม่อยากฟังคำโกหกอะไรอีก”
“แต่ถ้าหมออยากรู้ความจริง...หมอต้องฟัง”
เกริกไกรสบตาอรอนงค์นิ่งด้วยความรู้สึกลังเล
ด้านใจเด็ดเดินมาหยุดบริเวณที่ปลอดคน ในมุมสวยมุมนั้นเขาพยายามกลั้นความเสียใจ ทั้งเจ็บทั้งอายจนน้ำตาคลอ
อรอนงค์คุยกับเกริกไกรที่มุมส่วนตัวในโรงแรม
“ใช่คะ...ฉันเองก็เป็นพนักงานของบริษัทคาบาตี้”
เกริกไกรยืนกำหมัดแน่นข่มความโกรธ
“และทุกอย่างที่หมอได้ยินที่คุณสมพลก็เป็นเรื่องจริง”
“คุณอรทำไมถึงได้ทำกับพวกเราได้ลงคอ...ทุกคนที่สถานีต่างก็รักพวกคุณทั้งนั้น...อย่าว่าแต่ที่สถานีเลย...ชาวบ้านทุกคน...ถ้าควายที่สถานีมันพูดได้...มันก็คงบอกว่ามันรักพวกคุณเหมือนกัน...แต่ทำไม...ทำไมคุณอรถึง” เกริกไกรพูดไม่ออก
“คิดว่าฉันไม่รู้เหรอคะว่าทุกคนที่หนองระบือเป็นยังไง...นั่นแหละคะ...ที่มันทำให้พวกเราเปลี่ยนไป...จากตอนแรกที่พวกเราคิดจะสืบข้อมูลเพียงอย่างเดียว...แต่...เมื่อเราอยู่ๆไป...ความรัก...ความเอื้ออาทรของทุกคน...ทำให้พวกเราไม่อยากโกหกอีกต่อไป” อรอนงค์อธิบาย
“แต่คุณอรก็ยังเลือกที่จะโกหก...ถ้าผมกับไอ้เด็ดไม่มาเห็นเอง...พวกคุณก็คงโกหกพวกเราต่อไป”
“ใครว่าคะ...นุชเพิ่งไปลาออก...แล้วก็ตัดสินใจจะไปบอกความจริงกับคุณใจเด็ดที่หนองระบือ”
“แล้วไอ้ตำแหน่งใหม่ที่ผมได้ยินละ...”
“ฉันไม่ได้โกหกนะหมอ...ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...ทำไมเรื่องมันถึงได้เป็นแบบนี้”
อรอนงค์นิ่งไปเพราะไม่รู้จะพูดยังไงเช่นกัน
“คุณอรมองหน้าผมซิครับ...” อรอนงค์ค่อยๆ มองจ้องหน้าเกริกไกร “มองผม...แล้วบอกผมว่า...คุณอรไม่ได้โกหกผมอีก”
“ฉันไม่รู้ว่าหมอจะเชื่อหรือเปล่า...แต่ฉันอยากจะบอกว่า...พวกเรา...ทั้งนุช...ฉันและสุบิน...พวกเรารักหนองระบือ...ตอนที่เราอยู่ที่นั่น...มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของพวกเราทุกคน” อรอนงค์พรั่งพรูคามรู้สึก
เกริกไกรสบตาอรอนงค์เหมือนกำลังจะมองหาความจริงจากแววตาคู่นั้นอีก
“ขอบคุณครับ...ผมเชื่อคุณ” เกริกไกรผ่อนคลายลมหายใจ “แต่ไอ้เด็ดมันต้องไม่เข้าใจแน่ๆ”
“หมอช่วยพูดไม่ได้เหรอคะ”
“เป็นคุณอรเจออย่างนี้...ต่อให้ผมอีกสิบคนมันก็ไม่ฟังหรอกครับ”
แล้วทั้งสองก็นิ่งไปอย่างหนักใจ
“แล้วถ้าให้นุชบอกกับคุณใจเด็ดเองล่ะคะ”
เกริกไกรได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งครุ่นคิด
สรนุชยืนเหม่อลอยออกไปยังความมืดมิดเบื้องหน้า มีแสงไฟจากตึกสูงระยิบระยับ สุบินยืนห่างออกไปมองดูสรนุชด้วยความเป็นห่วง ไม่นานอรอนงค์ก็เดินเข้ามา
“เป็นไง”
“นุชมันยืนอยู่อย่างนั้นจะเป็นชั่วโมงแล้ว”
อรอนงค์มองยังเพื่อนแล้วอยากจะร้องไห้ “นุช...”
สุบินกับอรอนงค์ยืนมองสรนุชด้วยความเป็นห่วง สรนุชน้ำตารินไหลออกมาด้วยความเสียใจ
ใจเด็ดยืนอยู่ริมน้ำแห่งนั้นด้วยความปวดใจที่ยังไม่จางหาย เกริกไกรเดินเข้ามายืนข้างๆ
ทั้งสองต่างนิ่งเงียบเหมือนว่าทั้งคู่ต่างเข้าใจกันและกัน
“ไอ้เด็ด...แกไม่คิดจะคุยกับคุณนุชเขาหน่อยเหรอวะ...บางทีมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้”
“ขนาดนี้แล้วแกยังจะแก้ตัวให้พวกนั้นอีกเหรอ...หมอ...ฉันเองก็พยายามมองโลกในแง่ดีมาตลอด...แต่ผลมันเป็นยังไง”
ใจเด็ดมองออกไปเบื้องหน้าเหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่าง
“ฉันคงไม่มีอะไรต้องพูดกับเขาแล้ว”
เกริกไกรถอนหายใจ “แล้วแกจะเอายังไงต่อไป”
ใจเด็ดนิ่งไปอย่างครุ่นคิด “พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปเอาโฉนด”
เกริกไกรได้ยินที่ใจเด็ดพูดก็พยายามคิดหาทางว่าจะให้ใจเด็ดเจอกับสรนุชยังไง แล้วเกริกไกรก็เหมือนคิดแผนขึ้นมาได้
เช้าวันรุ่งขึ้น สรนุชเข้าออฟฟิศใหญ่ และตรงไปยังห้องสมพล พร้อมกับยื่นซองขาวขอลาออก สมพลเห็นซองขาวถึงกับสะอึก
“อะไรกันจ้ะลูกนุช”
“ใบลาออกที่ดิฉันเคยบอกว่าจะเอามาให้ไงคะ”
“แต่...เมื่อวานเราเพิ่งได้ตำแหน่งใหม่นะ”
“ต่อให้ดิฉันได้ตำแหน่งที่ใหญ่กว่านี้...ดิฉันก็จะลาออกค่ะ”
สรนุชพูดจบก็ลุกขึ้นจะเดินออกจากห้อง สมพลรีบเข้ามาห้าม
“ใจเย็นก่อนซิลูก...มีอะไรไม่สบายใจบอกพ่อได้นะ”
“ดิฉันว่าคุณสมพลน่าจะรู้นะคะ”
สรนุชเดินไปที่ประตูห้องโดยไม่ฟังคำทักท้วงใดๆ จากสมพล สรนุชกำลังจะเปิดประตูแล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันกลับมา
“แล้วก็...อย่าเรียกดิฉันว่าลูกอีกเลยค่ะ”
สรนุชพูดจบจึงเปิดประตูออกจากห้องไป สมพลถึงกับทุบโต๊ะไม่พอใจ
“นังนี่...คิดว่าฉันจะยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ หรือไง”
สมพลหรี่ตาร้ายอย่างเอาเรื่อง
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
กระบือบาล ตอนที่ 11 (ต่อ)
บริเวณทางเดินในบริษัทคาบาตี้ อรอนงค์ยืนรอสรนุชอยู่อย่างกระวนกระวาย จนเมื่อเห็นสรนุชเดินออกมาจากห้องสมพล อรอนงค์รีบเข้าไปหาทันที
“เป็นไงมั้งนุช...คุณสมพลเขารับใบลาออกจากเธอหรือเปล่า”
สรนุชถอนหายใจแล้วพยักหน้าแทนคำตอบ
“แกว่างมั้ย..ออกไปกับฉันหน่อยซิ”
“ไปไหน”
“ไม่รู้...ตอนนี้ฉันว่างงานแล้ว...จะไปไหนก็ได้...ขับรถไปทะเล...ไปเที่ยว”
“แต่ฉันว่าแกควรไปหาคุณใจเด็ดมากกว่า”
สรนุชนิ่งไปเมื่อได้ยินชื่อใจเด็ด
“แกยังคิดว่าฉันมีหน้าไปเจอเขาได้อีกเหรอ”
“แน่นอน...นอกจากแกจะมีหน้าแล้ว...แกยังมีความจริงที่ต้องไปบอกเขาไง...แกจะปล่อยให้เขาเข้าใจแกผิดๆ อย่างนี้เหรอ”
สรนุชนิ่งไปอีกเพราะเธอเองก็อยากจะเจอใจเด็ดอีกครั้ง
“แกกำลังจะบอกให้ฉันกลับไปที่หนองระบือเหรอ”
“ไม่ต้องไปถึงนั่นหรอก”
สรนุชมองอรอนงค์ด้วยสีหน้าฉงน
เวลาเดียวกันเกริกไกรนั่งอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง กำลังมองจ้องมือถือที่วางอยู่ข้างตัวอย่างใจจดใจจ่อ ระหว่างนั้นเสียงมือถือดังขึ้น เกริกไกรรีบจับขึ้นมาดูทันที
“คุณอร”
เกริกไกรดีใจกำลังจะรับ แต่แล้วเกริกไกรก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วแกล้งยิ้มเจ้าเล่ห์
เกริกไกรรับสาย ดัดเสียง “สวัสดีครับ”
อรอนงค์แอบมาคุยอยู่ที่มุมหนึ่งทำหน้าแปลกใจ เพราะเสียงไม่คุ้นหู
“นั่นใช่เบอร์หมอเกริกไกรหรือเปล่าคะ”
เกริกไกรแอบอมยิ้มแล้วดัดเสียงต่อ “ไม่ใช่ครับ”
“อุ้ย...ขอโทษค่ะโทรผิด...ขอโทษนะคะ”
“อย่าเพิ่งวางซิครับ...คือ...ไหนๆคุณก็โทรมาแล้ว...ไม่อยากทำความรู้จักกันหน่อยเหรอครับ”
อรอนงค์ถึงกับเหวอ
“ไม่ล่ะค่ะ...แค่นี้นะคะ”
“เดี๋ยวซิครับ”
อรอนงค์นึกโมโหขึ้นมา “เอ๊ะ...จะเอายังไงเนี่ยคุณ...ฉันจะรีบทำธุระ”
“อย่าเพิ่งซิครับ...ผมหมอเกริกไกรเอง”
อรอนงค์ชักจะมีน้ำโหมากขึ้น
“ชักจะโรคจิตใหญ่แล้วนะ...นายเอาคำพูดฉันมาแอบอ้างเป็นหมอเกริกไกรใช่มั้ย”
“ไม่ใช่จริงๆครับ...ผมหมอเกริกไกร...คุณอรจำเสียงผมไม่ได้เหรอครับ”
อรอนงค์ชะงักไป จนเมื่อใคร่ครวญดีแล้ว “หมอเนี่ย...เล่นอะไรก็ไม่รู้”
“แหม...ผมก็อยากรู้น่ะซิครับ...ว่าถ้ามีผู้ชายคนอื่นมาคุยด้วย...คุณอรจะว่ายังไง”
อรอนงค์เสียงแข็งด้วยความโมโห “หมอไม่ลองเล่นต่ออีกหน่อยละคะ...จะได้รู้ว่าจะเป็นยังไง”
“ไม่กล้าละครับ...”เกริกไกรรีบเปลี่ยนมาเข้าเรื่อง “เอ่อ...แล้วเป็นไงครับ...วิธีผมใช้ได้ผลมั้ยครับ”
“ไม่รู้เหมือนกันคะ...เอ่อ...แล้วหมอแน่ใจเหรอคะว่าวิธีที่หมอบอกจะทำให้คุณใจเด็ดกับนุชกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้”
“ก็...ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่หรอกครับ”
“อ้าว...”
“ผมแค่คิดว่าปัญหาใหญ่ของสองคนนั้นก็คือไม่ยอมคุยกัน...พอไม่คุยกันก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร”
“ก็ขอให้เป็นอย่างที่หมอคิดเถอะคะ...” อรอนงค์นึกขึ้นมาได้ “แต่...”
“อะไรเหรอครับ”
“คือ...อรยังไม่อยากจะเชื่อว่าคุณใจเด็ดเป็นลูกชายของคุณใจจอมจริงๆ” อรอนงค์อยากรู้ “แล้วทำไมคุณใจเด็ดถึงไม่อยู่ที่บ้านละคะ”
เกริกไกรพูดไม่ออก อรอนงค์สงสัย อึดใจหนึ่งเกริกไกรสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที
ที่บ้านใจจอม หทัยกำลังนั่งจัดดอกไม้จิบชายามบ่าย ระหว่างนั้นเด็กรับใช้เข้ามาบอก
“คุณท่านคะ...มีคนมาขอพบค่ะ”
หทัยยังมีสมาธิกับสิ่งที่ทำ “เขาบอกหรือเปล่าใคร”
ระหว่างนั้นเสียงใจเด็ดดังขึ้น “ผมเองครับแม่”
หทัยหันมองไปแล้วก็เห็นใจเด็ดยืนอยู่ หทัยถึงกับตะลึงทิ้งทุกอย่าง
“ใจเด็ด!” หทัยโผเข้ามากอดลูกชาย “ใจเด็ด...ใจเด็ดลูกแม่...มาเมื่อไหร่...มายังไง...ลูกจะกลับมาอยู่กับแม่แล้วใช่มั้ย”
“เอ่อ...”
“ใครมาเหรอคุณ”
เสียงใจจอมดังขึ้น หทัยกับใจเด็ดหันมอง ใจจอมเดินเข้ามา ทันทีที่ใจจอมเห็นใจเด็ดก็อึ้งไป
“ไอ้เด็ด...!”
หทัยรีบเข้ามาบอก “ใจเย็นๆ นะคะคุณ...ลูกจะกลับมาอยู่กับเราแล้วค่ะ”
ใจจอมหันมองใจเด็ดอย่างไม่เชื่อหูที่ได้ยิน ใจเด็ดลำบากใจแต่ก็จำเป็นต้องพูด
“ผมจะกลับมาขอโฉนดของผมครับ”
ใจเด็ดพูดจบก็รู้สึกไม่ดีเพราะรู้ว่าทำให้หทัยกับใจจอมผิดหวัง ใจจอมกับหทัยถึงกับอึ้งไป แล้วใจจอมก็โมโหขึ้นมาเหมือนเดิม
“ฉันคิดแล้วไม่ผิดว่าน้ำหน้าอย่างแกเหรอจะมาอยู่นี่”
หทัยพยายามพูดให้สามีใจเย็นลง “คุณคะ...นานๆ ลูกจะกลับมาที...ค่อยๆ พูดกับลูกซิคะ”
“ค่อยๆ พูดเหรอ ! คุณได้ยินแล้วนี่...ที่มันกลับมานี่...มันไม่ได้คิดถึงเรา...มันกลับมาเอาโฉนดไปช่วยควายโง่ๆ พวกนั้นของมัน”
ใจเด็ดไม่อยากเถียง จึงรีบพูดตัดบท “พ่อครับ...ขอโฉนดให้ผมเถอะครับ”
“ฉันไม่ให้...ทำไมฉันจะต้องเอาสิ่งที่ฉันหามาไปช่วยควายของแกด้วย...ไป...ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้”
ใจเด็ดยืนนิ่งไม่ขยับ ใจจอมเห็นก็ยิ่งโมโห “แกคิดจะลองดีกับฉันใช่มั้ย”
ใจจอมหันไปคว้าแจกัน จะปาใส่ใจเด็ด หทัยรีบเข้ามาขวาง
“อย่าค่ะคุณ...อย่าทำลูก”
แล้วทันใดนั้นใจเด็ดก็คุกเข่าลงกับพื้น ใจจอมกับหทัยถึงกับมองด้วยความแปลกใจ
“พ่อครับ...ผมขอร้อง...ถ้าผมไม่ได้โฉนดไป...ควายพวกนั้นต้องตายอย่างแน่นอนครับ”
ใจจอมกับหทัยถึงกับนิ่งไป ใจจอมมองใจเด็ดที่ไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อนก็ค่อยๆ เดินเข้ามาหาใจเด็ด
ใจเด็ดสบตากับใจจอม จู่ๆ ใจจอมก็เอ่ยขึ้น กระแทกเสียงใส่หน้า
“ก็ให้มันตายไปซิ”
ใจเด็ดถึงกับอึ้งไป มองใจจอมด้วยแววตาผิดหวัง และคาดไม่ถึงจนน้ำตารื้นขึ้นมา
“คุณพูดอย่างนี้ได้ยังไง” หทัยเองก็ฉุน
“ไม่เป็นไรครับแม่”
ใจเด็ดค่อยๆ ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไป
“ใจเด็ด...เดี๋ยวก่อนลูก” หทัยโผตามลูกชาย
“จะตามมันไปทำไม” ใจจอมตวัดเสียงกร้าวใส่ รั้งตัวหทัยไว้
“ฉันไม่คิดเลยนะว่าคุณจะโหดร้ายได้ขนาดนี้”
หทัยสะบัดมือใจจอมออกก่อนจะรีบตามใจเด็ดออกไป ใจจอมมองตามสีหน้าเครียดและครุ่นคิดบางอย่าง
ใจเด็ดเดินออกมาจากบ้าน หทัยวิ่งตามมา “ใจเด็ด...รอแม่ก่อนลูก”
ใจเด็ดเดินต่อไม่สนใจ หทัยรีบวิ่งมาขวางใจเด็ดเอาไว้
“อย่าโกรธพ่อเขาเลยนะลูก...พ่อเขาโมโหก็เลยพูดไปอย่างนั้น”
“ผมเข้าใจครับ...พ่อคงต้องการบีบให้ผมกลับมาอยู่บ้านให้ได้...แต่ผมทิ้งควายพวกนั้นไม่ได้จริงๆครับแม่”
ระหว่างนั้นเสียงใจจอมดังขึ้น “แกก็ไม่ต้องทิ้ง”
ใจเด็ดกับหทัยหันไปก็เห็นใจจอมเดินเข้ามาก่อนจะโยนโฉนดใส่หน้าใจเด็ด
“โฉนดที่แกอยากได้”
หัวใจของใจเด็ดพองโตขึ้นมาทันที สายตากลับมาเป็นประกาย...มีความหวังอีกครั้ง
“พ่อ”
ใจเด็ดกำลังจะโผเข้าไปกอดใจจอม แต่ใจจอมกลับพูดขึ้นว่า
“แล้วแกไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีก”
“คุณ”
ใจจอมพูดแค่นั้น แล้วก็เดินกลับเข้าไปในบ้านทันที ใจเด็ดพูดสวนขึ้นมาเสียงดัง
“ผมไม่ได้เลือกควาย...แต่พ่อเป็นคนทำให้ผมเลือก”
ใจจอมชะงักไปก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่หันมองใจเด็ดอีกเลย หทัยโมโหแทนใจเด็ด
“คุณ...คุณไล่ลูกอย่างนั้นได้ยังไง...คุณใจจอม”
ใจเด็ดตัวสั่นเทิ่มด้วยความเสียใจ ก้มลงเก็บโฉนดขึ้นมาดู ความดีใจที่เคยมีกลับกลายเป็นความเบาโหวงในความรู้สึก
รถของสรนุชเลี้ยวเข้ามาที่หน้าบ้านของใจจอม สรนุชจอดรถแล้วลงมามองที่หน้าบ้านด้วยความแปลกใจ
“บ้านคุณใจจอม”
สรนุชก็เหมือนเอะใจในชื่อของใจจอม “ใจจอม...ใจเด็ด”
แล้วสรนุชก็นึกไปถึงคำพูดของใจเด็ดที่เคยบอกว่าเขาเป็นลูกชายของใจจอม ในวันที่เจอกันครั้งแรก
วันนั้นสรนุชเจอกับใจเด็ดที่ท้ายรถหลังจากออกมาจากงานเลี้ยงใจจอม
“ไม่ใช่แล้วอะไร...หรือจะบอกว่าที่เข้าไปในบ้านของคุณใจจอมเพราะแกเป็นลูกของคุณใจจอม”
“ใช่...ผมเป็นลูกของคุณใจจอม”
“ขำมาก...เอาไว้ไปขำต่อในตะรางดีกว่ามั้ย”
“อะไรนะ”
ทันใดนั้นตำรวจก็กรูกันเข้ามาก่อนจะจับใจเด็ดใส่กุญแจมือไพล่หลัง
นึกถึงตอนนี้สรนุชอึ้งๆไป “นี่นายเป็นลูกของคุณใจจอมจริงเหรอเนี่ย”
สรนุชมองไปก็เห็นรถของใจเด็ดจอดอยู่ห่างออกไปไม่ไกล สรนุชเดินเข้ามาที่รถเป็นจังหวะเดียวกับที่ใจเด็ดเดินออกมาจากบ้านพอดี
สรนุชเห็นใจเด็ดก็หัวใจพองโตขึ้นมาทันที
“ใจเด็ด”
ใจเด็ดได้ยินเสียงของสรนุชก็รู้สึกไม่เชื่อหูตัวเองก่อนจะหันไปเห็นสรนุชตัวเป็น ยืนอยู่ตรงหน้า
สรนุชเดินเข้ามาหาใจเด็ด แต่ใจเด็ดกลับเบือนหน้าหนีแล้วเดินไปที่รถ
“นายจะไปไหน”
สรนุชเข้าไปหาใจเด็ดด้วยความไม่เข้าใจ
“อะไร...นายอยากเจอฉัน...แต่พอฉันมา...นายกลับเดินหนี”
“ผมไม่ได้อยากเจอคุณ”
“ก็ยัยอร” สรนุชชะงักไป เพราะเริ่มเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที โกรธอรอนงค์สุดขีด “ยัยอรนะยัยอร”
สรนุชหันมองใจเด็ดอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเข้ามาปรับความเข้าใจ
“นายฟังฉันอธิบายหน่อยได้มั้ย”
“ผมไม่มีเวลา” ใจเด็ดเดินไปเปิดประตูรถ
ถึงใจเด็ดไม่ฟังสรนุชก็จะพูด “ฉันไม่ได้ตั้งใจหลอกนาย...”
ใจเด็ดสะดุดกับคำพูดของสรนุชทันที
“สามเดือน...สามเดือนคุณยังกล้าบอกว่าคุณไม่ตั้งใจอีกเหรอ”
“ใช่...ฉันทำเพราะความจำเป็น”
ใจเด็ดปิดประตูรถดังปัง แล้วเดินเข้ามาจ้องหน้าสรนุช “คุณรู้อะไรมั้ย...ตอนนี้ผมเชื่ออะไรคุณไม่ได้อีกแล้ว”
คำพูดของใจเด็ดทำให้น้ำตาของสรนุชค่อยเอ่อขึ้นมาด้วยความเสียใจ
ใจเด็ดยิ้มหยัน “หึ...เชื่อมั้ยว่าผมคิดอยู่แล้วเชียวว่าสักพักคุณต้องบีบน้ำตาโชว์...โห...คุณนี่ไม่น่าจะมาขายรถไถนะ...น่าจะไปเป็นนักแสดงมากกว่า”
ทันทีที่ใจเด็ดพูดจบ สรนุชก็ตบหน้าใจเด็ดดัง เผียะ !
“ฉันรักนาย...”
ใจเด็ดอึ้งโครตๆ
“นี่ต่างหากที่เรียกว่าโกหก...นี่ต่างหากที่เรียกว่าการแสดง...พอใจหรือยัง”
ใจเด็ดใจหล่นวูบ “รวมทั้งเรื่องที่ลำธารด้วยใช่มั้ย”
สรนุชนิ่งไปก่อนจะตอบเพราะต้องการเอาชนะ “ใช่...นั่นมันก็แค่การแสดงอย่างนึงของฉัน...อย่าบอกนะว่านายคิดว่าฉันชอบนาย”
“คุณมันก็แค่ผู้หญิงที่น่ารังเกียจ...ที่มีมารยาเอาไว้หลอกลวงผู้ชายเท่านั้น”
“ใช่...แล้วฉันก็ทำสำเร็จซะด้วย...ไม่อย่างนั้นฉันว่านายคงจะไม่โกรธขนาดนี้หรอก”
ใจเด็ดพยายามข่มความโกรธเอาไว้
“ถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่คุณทำ...จะทำให้ไอ้บริษัทคาบาตี้ชนะละก็...ลองดู”
“ฉันลองแน่...นายเตรียมตัวเก็บควายของนายเข้าคอกได้เลย...เพราะฉันจะทำให้หนองระบือเป็นที่ที่ใช้รถไถมากที่สุด”
สรนุชประจันหน้า ยืนยันคำพูดของเธอก่อนที่จะเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ใจเด็ดมองตามด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งความรักและความเกลียดอัดแน่นอยู่ในหัวใจเขาตอนนี้
รถของสรนุชเลี้ยวเข้ามาในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่งก่อนจะเห็นรถเบรกเอี๊ยด...จอดเข้าข้างทาง
สรนุชออัดอั้น จนร้องไห้ด้วยความเสียใจอยู่ในรถ
รถของใจเด็ดจอดอยู่ที่เดิม อึดใจต่อมาใจเด็ดนั่งเสียใจ กุมโฉนดไว้ในมือ รักสรนุชมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแค้นมากเท่านั้น
ตกตอนค่ำของวันนั้น เกริกไกรอยู่ที่ร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่ง นั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยความกระวนกระวาย
“เป็นไงมั่งวะ”
เสียงของใจเด็ดดังขึ้น “ไอ้หมอ”
เกริกไกรหันไปก็เห็นใจเด็ดปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อ
“เฮ้ย ! อะไรวะไอ้เด็ด”
“ยังจะถามอีก...แกเป็นคนบอกให้คุณนุชไปหาฉันที่บ้านใช่มั้ย”
เกริกไกรดูจากท่าทีคงจะปรับความเข้าใจกันไม่ได้เลยรีบปฏิเสธ “เอ่อ...เปล่า”
“แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่ไหน”
เกริกไกรกลืนน้ำลายเอื้อก
ส่วนสามคนอยู่ที่คอนโดสุบิน เวลานั้นอรอนงค์ตอบเสียงอ่อย
“ก็ฉันอยากให้แกกับคุณใจเด็ดเข้าใจกันนี่”
“เข้าใจกันเหรอ...แกรู้มั้ยว่านายนั่นว่าอะไรฉันบ้าง”
“ก็พวกเราทำผิด...เขาจะโกรธเขาจะว่า...ก็ไม่เห็นแปลก” สุบินว่า
สรนุชหันมองสุบินตาขึงขึ้นมาทันที
“นี่ฉันเป็นกลางนะ” สุบินบอก
“แล้วแกอยากเจอนิ้วกลางมั้ย...หึ...ฉันยังไม่มีเวลาได้พูดอะไรด้วยซ้ำ”
ใจเด็ดกำลังคุยอยู่กับเกริกไกร เป็นเวสลาเดียวกับที่สรนุชคุยอยู่กับอรอนงค์และสุบิน
“ดีแล้ว...แค่สามเดือนฉันก็เอียนคำโกหกของยัยนั่นเต็มทีแล้ว” ใจเด็ดบอกขึ้น
“ถ้าคิดได้แค่นั้น...ก็สมควรกลับไปเลี้ยงควายเหมือนเดิมเถอะ” สรนุชบอกสองเพื่อนซี้
“แล้วแกจะเอาไงต่อไปวะ” เกริกไกรถามใจเด็ด
“ก็ทำให้นายนั่นรู้ว่าคนอย่างสรนุชไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆไง
สรนุชตอบเสียงมุ่งมั่นขณะที่สุบินกับอรอนงค์มองด้วยความอยากรู้
วันรุ่งขึ้นณวัตนั่งดูหนังสือ FHM ในห้องทำงานพ่อ สีหน้าชิลล์ไม่อินังขังขอบใดๆ
“พ่อจะกลัวอะไร...เงินเราก็มีตั้งเยอะ...ทำไมไม่เอาไปฟาดไอ้พวกเซลล์เก่งๆมาอยู่กับเราแล้วก็ส่งไปที่หนองระบือไงพ่อ”
สมพลเดินเครียดไปมาอยู่ในห้องของณวัต
“ฉันจะฟาดหัวแกก่อนนี่แหละ...ปัญหาไม่ได้อยู่ที่นั่นเว้ย...ปัญหามันอยู่ที่หนูนุช...ลาออกไปอย่างนี้แล้วฉันจะไปตอบคำถามท่านสุรยุทธยังไง”
“ไม่ต้องห่วงน่าพ่อ...เรื่องนั้นเดี๋ยวผมจัดการเอง”
“จัดการ..? แกเคยจัดการอะไรที่ฉันสำเร็จมั้ย”
สมพลทำท่าเหมือนจะของขึ้นอีก ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ณวัตรีบตะโกนบอกไปก่อนที่ตัวเองจะโดนสมพลทำร้าย
“เข้ามา”
เลขาเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“ท่านคะ...มีคนมารอพบท่านค่ะ”
“ใคร..? ฉันไม่ได้นัดใครไว้...บอกเขากลับไปซะ”
“ได้ค่ะ...เดี๋ยวดิฉันจะไปบอกคุณสรนุชให้กลับไปก่อน”
เลขาเดินออกไป สมพลกับณวัตถึงกับมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
ครู่ต่อมาภายในห้องทำงานสมพล สองพ่อลูกแปลกมาก
“หนูนุชจะกลับไปที่หนองระบือเหรอ”
สรนุชอยู่ในชุดทำงานเต็มฟอร์มยืนยันอย่างมั่นใจ
“คะ...ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นคะ...หรือว่า...ใบลาออกของหนูมีผลแล้ว”
“มีผลอะไร...พ่อฉีกทิ้งไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว” สมพลรีบบอก
“ใช่ครับ...ผมเป็นคนบอกพ่อเองว่ายังไงนุชก็ต้องกลับมา...นุชคิดถึงผมใช่มั้ยครับ”
สรนุชเหล่มองณวัตอย่างเอาเรื่อง จนทำให้ณวัตหน้าเจื่อนลง
“แล้วหนูนุชจะไปหนองระบือเมื่อไหร่”
“เร็วที่สุดค่ะ”
สรนุชสีหน้าจริงจังมุ่งมั่น
ชิดชัยกับชาญณรงค์กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง กำลังต่อรองบางอย่าง
“เจ็ดสิบสามสิบน่าผู้พัน”
ชาญณรงค์เหล่มองชิดชัยอย่างอ่านเกมออก
“มันไม่น้อยไปเหรอคุณชิดชัย...ถ้าจะให้ผมเป็นตัวแทนจำหน่ายจริงๆ...คนที่ลงแรงมันเป็นผมนะ”
“งั้น...หกสิบสี่สิบ” ชิดชัยว่า
“แหม...แต่ผมก็เสี่ยงที่ต้องโดนชาวบ้านเขาเกลียดนะ...”
“แล้วผู้พันจะเอาเท่าไหร่...ห้าสิบห้าสิบเหรอ”
ระหว่างนั้นช่อผกาเดินหน้าเซ็งเข้ามา “เสร็จหรือยังพ่อ”
“เอ...นี่ฉันกำลังคุยงานอยู่จะมาเร่งทำไม...ไป...จะไปซื้อของช้อปปิ้งก็ไปไป๊”
“โห...อย่างกับของที่นี่มันน่าซื้อนักนี่พ่อ...ถ้าเป็นกรุงเทพฯก็ว่าไปอย่าง...แล้วนี่คุยเรื่องอะไรกันอยู่...ทำไมมันนานจัง”
“พอดีผมอยากให้ผู้พันแกเป็นดีลเลอร์คาบาตี้น่ะครับ...ดีมั้ยครับ...เผื่อคุณผกาจะ...”
ชิดชัยพูดยังไม่ทันจบ ช่อผกาก็แว้ดขึ้นทันที
“ดีกับผีอะไร...” ช่อผกาพูดกับชาญณรงค์ “ห้ามเป็นเด็ดขาดนะพ่อ...พ่อจะให้พี่ใจเด็ดเขาเกลียดผกาหรือไง”
“โธ่...นังผกา...ที่ฉันเห็นตอนนี้ไอ้ใจเด็ดมันก็เกลียดแกอยู่แล้ว”
ช่อผกากรี๊ดลั่น “อ๊ายยย”
ระหว่างนั้นลูกน้องของชิดชัยวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพร้อมกับกระดาแฟกซ์ในมือ
“ลูกพี่...ลูกพี่ครับ...สาขาใหญ่แฟกซ์มาครับ”
ชิดชัยยิ้มกับชาญณรงค์ “แหม...สงสัยจะเป็นคำชมน่ะครับ”
ชิดชัยรับกระดาษมาจากลูกน้อง ชิดชัยก้มลงอ่านแล้วชิดชัยก็ตกใจแทบตกเก้าอี้
“เฮ้ย”
ชาญณรงค์กับช่อผกาเองก็ตกใจเช่นกัน
“มีอะไร”
ชิดชัยพูดไม่ออกจนปล่อยกระดาษแฟกซ์หลุดมือ ชาญณรงค์หยิบขึ้นมาอ่าน ช่อผกาก้มลงอ่านด้วยอย่างอยากรู้อยากเห็น แล้วช่อผกาก็ตกใจเมื่อเห็นรูปของสรนุชอยู่ในแฟกซ์
“คำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการคนใหม่...นี่มันอะไรกัน...ยัยนี่เป็นอะไรกับคาบาตี้...อธิบายมาให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้”
ชิดชัยที่กำลังช็อกก็ถึงกับหน้าซีดเหงื่อตก
เจนจิรา ภิรมย์ และสมหญิงกำลังหอบหิ้วข้าวของมาตามตลาด
“แกว่าหัวหน้าจะเจอคุณนุชมั้ย” ภิรมย์ถามสมหญิง
เจนจิราที่เดินมาด้วยถึงกับชะงักกึกทันที
“ไม่รู้...แต่ถ้าสองคนนั่นเขาเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ...ต่อให้ไกลแค่ไหนก็ต้องเจอ” สมหญิงบอก
“อะไร...พูดงี้หมายความว่าไง...หัวหน้ากับคุณนุชชอบกันเหรอ” ภิรมย์แปลกใจ
“เอ้า...นี่แกมองไม่มองเหรอ...ว่าตั้งแต่ที่คุณไม่อยู่หัวหน้าก็ดูเศร้าๆไป...ถ้าไม่ชอบจะเป็นอะไร”
“เลิกพูดกันซะที” เจนจิราตวาดสมหญิงอย่างไม่พอใจ
ภิรมย์กับสมหญิงถึงกับตกใจที่อยู่ๆเจนจิราก็ตวาดขึ้นมา
“สิ่งที่หัวหน้ารักมีสิ่งเดียวก็คือควาย”
“แต่คนกับควายมันต่างกันนะคะคุณเจน” สมหญิงแย้ง
“ฉันบอกให้เลิกพูดไง”
ภิรมย์กับสมหญิงหน้าจ๋อยลงอย่างไม่เข้าใจว่าเจนจิราเป็นอะไร ระหว่างนั้นเสียงช่อผกาดังแทรกเข้ามา
“เร่เข้ามา...เร่เข้ามา...ฉันจะทำให้ทุกคนตาสว่าง”
เจนจิรา ภิรมย์ สมหญิงหันไปก็เห็นช่อผกายืนอยู่บนโต๊ะขายผัก ถือกระดาษพร้อมกับโทรโข่งอันเล็กส่วนตัว ป่าวประกาศอยู่
“นังสรนุชที่ทุกคนโหวตให้เป็นเทพีหนองระบือ...ที่แท้มันก็คือคนของคาบาตี้ปลอมตัวเข้ามา”
“ผกา...แกไม่ต้องมามั่ว...คุณนุชจะเป็นคนของคาบาตี้ได้ยังไง” สมหญิงเถียงทันที
“ใช่...นี่แกยังไม่เลิกจองเวรคุณนุชอีกเหรอ” ภิรมย์ผสมโรง
“จองเวรเหรอ ! หึ...ถ้างั้นก็แหกตาดูซะว่านี่อะไร”
ช่อผกายื่นกระดาษแฟกซ์ให้ทั้งสามดู เจนจิรารับกระดาษแฟกซ์มาดูแล้วอึ้งไป
ไม่นานหลังจากนั้น โชคชัยอยู่ที่ที่ทำการอบต. กำลังดูกระดาษแฟกซ์ในมือสีหน้าเครียด “แล้วคุณมาบอกผมทำไม”
เจนจิราหันมา
“ก็อยากให้นายกรู้ความจริงไงคะ...ความจริงที่คุณนุชไม่ได้นางฟ้าอย่างที่หลายๆ คนคิด”
โชคชัยขำในลำคอก่อนจะยื่นกระดาษแฟกซ์คืนให้กับเจนจิรา
“ถ้าคุณคิดว่าความจริงเรื่องคุณสรนุชเป็นคนของคาบาตี้จะทำให้ผมเกลียดเธอละก็...คุณคิดผิด...การที่คนเราจะรักใครซักคน...ไม่ว่าคนนั้นจะชั่วจะเลวแค่ไหน...เราก็ไม่อาจเลิกรักได้”
“หึ...นายกต่างหากที่คิดผิด” เจนจิราเยาะ
โชคชัยมองเจนจิราด้วยความแปลกใจ
“ที่ฉันมาบอกกับนายก...เพราะนี่เป็นโอกาสของนายกต่างหาก...นายกก็รู้ว่าพี่เด็ดเกลียดพวกคาบาตี้แค่ไหน...แล้วถ้าพี่เด็ดรู้ความจริงเรื่องคุณสรนุชเป็นคนของคาบาตี้...นายกคิดว่าพี่เด็ดจะรับเรื่องนี้ได้งั้นเหรอ”
โชคชัยครุ่นคิดในสิ่งที่เจนจิราบอก ขณะที่เจนจิรายิ้มร้ายสะใจ เหมือนฟ้ากำลังเป็นใจให้เธอ
คืนนั้นรถของใจเด็ดแล่นเข้ามาจอดในสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ ใจเด็ดกับเกริกไกรลงจากรถเพื่อจะมายกของที่ท้ายรถ ไม่นานภิรมย์และสมหญิงต่างก็วิ่งเข้ามา เจนจิราเดินตามมาทีหลัง
“หัวหน้า...หัวหน้า”
“โห...ไม่วิ่งส่ายหางมาด้วยละ...ประจบเหลือเกิน” เกริกไกรแซว
“ประจบอะไรคะ...เขาเรียกว่าคิดถึงค่ะ” สมหญิงว่า
“เอ้าๆ...เดี๋ยวพวกเราช่วยกันยกของไปไว้ข้างในก่อนแล้วกัน”
ภิรมย์กับสมหญิงต่างสะกิดกันให้พูด
“แกบอกดิ”
“แกนั่นแหละบอก”
“มีอะไร”
ภิรมย์กับสมหญิงต่างก้มหน้างุดไม่มีใครกล้าพูด
ระหว่างนั้นเจนจิราก็เอ่ยขึ้น “ฉันพูดเอง”
ทุกคนหันไปก็เห็นเจนจิราเดินเข้ามา
“คุณสรนุชเป็นคนของคาบาตี้ค่ะ”
ใจเด็ดชะงักไป เกริกไกรหันมองใจเด็ด เจนจิรายื่นกระดาษแฟกซ์ให้กับใจเด็ด
ใจเด็ดมองหน้าสรนุชในกระดาษแฟกซ์
เกริกไกรพยายามจะบอกเรื่องที่ใจเด็ดรู้ความจริงแล้ว “เอ่อ...เจน”
“อย่าเพิ่งค่ะหมอ...เจนไม่ได้ปรักปรำหรือใส่ร้ายคุณสรนุช...แต่เจนมีหลักฐานว่าคุณสรนุชหลอกลวงพวกเรามาตลอด...เธอหลอกพี่...เธอหลอกชาวบ้าน...เธอหลอกทุกคน”
เจนจิรากำลังจะพูดต่อแต่แล้วใจเด็ดกลับสวนขึ้น “พี่รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว”
ทุกคนถึงกับงงว่าใจเด็ดรู้ได้ยังไง
“ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย...”
ใจเด็ดเดินหน้าเครียดออกไป เจนจิราพยายามจะตาม
“พี่เด็ด...เดี๋ยวซิคะ”
เกริกไกรเข้ามารั้งเจนจิราเอาไว้ “อย่าเจน”
“หมายความว่าไงหมอ...พี่เด็ดรู้เรื่องคุณนุชแล้วเหรอ”
เกริกไกรพยักหน้า
“แล้วพี่เด็ดรู้ได้ยังไง” เจนจิราคาดคั้น
เกริกไกรสีหน้าเครียดลง
คืนนั้นใจเด็ดมองกระดาษแฟกซ์ในมือ รับรู้เรื่องที่สรนุชจะมาเป็นผู้จัดการคนใหม่ที่คาบาตี้ ใจเด็ดขยำกระดาษแฟกซ์ก่อนจะปาออกไป ใจเด็ดหันหลังจะเดินกลับแล้วก็ชะงักไป เมื่อเห็นเจนจิรายืนอยู่
“หมอเล่าเรื่องให้เจนฟังแล้วค่ะ”
ใจเด็ดนิ่งไปแล้วเอ่ยขึ้น “พี่ขอโทษ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็...ถ้าพี่เชื่อเรา...มันก็คงไม่เป็นอย่างนี้”
เจนจิราเดินเข้ามาหาใจเด็ด รู้สึกดีที่ใจเด็ดเริ่มเห็นความสำคัญของเธอ
“อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะคะ...” เจนจิราขยับเข้ามาจับมือใจเด็ด “พี่ยังมีเจนนะคะ
ใจเด็ดชะงักไปเพราะยังจำได้ในสิ่งที่เจนจิราทำไว้ก่อนที่เขาจะไป
ใจเด็ดพยายามดึงมือออกจากมือของเจนจิราแล้วเอามือมาตบไหล่
“ขอบใจมากนะเจน...เอ่อ...พี่ไปนอนก่อนนะ”
ใจเด็ดหันหลังจะเดินจากไป แต่แล้วทันใดนั้นเจนจิราก็โผเข้ากอดใจเด็ดจากทางด้านหลัง
“พี่จำได้มั้ยก่อนที่พี่จะไปกรุงเทพฯ...เจนพูดว่าอะไร”
“เอ่อ...ปล่อยพี่เถอะเจน...ใครมันเห็นมันจะไม่ดี”
“ไม่ค่ะ...เจนจะไม่ปล่อยให้พี่เด็ดให้ใครอีกแล้ว”
ใจเด็ดพูดไม่ออก
“เจนจะอยู่เคียงข้างพี่เด็ด...ไม่ว่าคุณสรนุชจะมารูปแบบไหนก็ตาม...เจนพร้อมจะสู้กับพี่เด็ดคะ
ใจเด็ดรู้สึกถึงการรุกเร้าของเจนจิราแต่เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกที่คอทำให้พูดอะไรไม่ออก
ด้านชิดชัยกำลังเตรียมความพร้อมในการต้อนรับสรนุช ที่บริษัทคาบาตี้ สาขาสุรินทร์ มีพนักงานคนอื่นยืนรอพร้อมป้ายผ้าอย่างเอิกเกริก
“เอ้าๆ...ยืนให้มันดีๆ...อย่าหย่อน...เราต้องทำให้คุณสรนุชเห็นว่าพวกเราคาบาตี้สุรินทร์พร้อมสู้ไปกับเธอ”
ลูกน้องเข้ามากระซิบ “ลูกพี่...ลูกพี่ไม่โกรธเหรอที่โดนแย่งตำแหน่ง”
“โกรธซิวะ...ถ้าเป็นคนอื่นก็คงต้องมีงัดกันบ้าง...แกก็รู้ว่านังนี่...อุ้ย...ว่าคุณสรนุชเป็นคู่หมั้นคุณณวัต”
ระหว่างนั้นเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“โอ้โฮ...ยิ่งใหญ่จริงๆ”
ชิดชัยกับลูกน้องหันไปก็เห็นชาญณรงค์เดินเข้ามากับช่อผกา
“อ้าว...ผู้พัน...มาทำไมครับเนี่ย”
“ทำไมถามอย่างนั้นละ...ผมก็อยากมาแสดงความยินดีกับผู้จัดการคนใหม่ของที่นี่ไง...แหม...นึกไม่ถึงจริงๆว่าคุณสรนุชจะเก่งขนาดนี้” ชาญณรงค์บอก
“เก่งอะไรพ่อ...อย่างนังนั่นต้องเรียกว่าสตอบอแหลมากกว่า” ช่อผกาเยาะแกมหยัน
“พูดอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกเว้ยผกา...คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อคนฉลาด”
“แต่ผกาอยากตบมันซักฉาดที่มาหลอกพวกเรา...พ่อคิดดูซิว่าคนที่สถานีจะเป็นยังไง”
“นี่แกยังเรียกพวกมันว่าคนอีกเหรอ...โง่อย่างนี้ต้องเรียกว่าควายแล้ว...แหม...สะใจจริงเว้ย” ชาญณรงค์กัดฟันด้วยความแค้นเคืองใจ “คอยดูเถอะไอ้พวกกระบือบาล...ฉันจะทำให้ควายสูญพันธุ์ไปจากหนองระบือให้ได้”
ชาญณรงค์หรี่ตาร้ายอย่างเอาเรื่อง
ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ ใจเด็ดกำลังประชุมอยู่ในห้องเพื่อรับมือกับการมาของสรนุช
“ทุกคนคงรู้อยู่แล้วเรื่องที่คาบาตี้เปลี่ยนผู้จัดการคนใหม่”
ทุกคนในที่ประชุมต่างนิ่งเงียบ เมื่อเห็นใจเด็ดหลีกเลี่ยงที่จะเรียกชื่อสรนุช
“ฉันคิดว่า...ต่อไป...พวกนั้นคงจะเริ่มทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ”
“แล้วอย่างนี้เราจะสู้เขาไหวเหรอครับหัวหน้า...คุณนุชแกเล่นล้วงข้อมูลพวกเราไปหมดอย่างนี้”
ใจเด็ดชะงัก สมหญิงกระทุ้งศอกใส่ท้องภิรมย์เข้าให้
“หุบปากไปเลย”
ใจเด็ดพูดขึ้นเพื่อปลุกปลอบทุกคน
“ข้อมูลของเรามีเพียงสิ่งเดียวก็คือ...พวกเรารักควาย...ชาวบ้านทุกคนรักควาย”
เจนจิราได้ยินอย่างนั้นก็รีบเสริมทันที
“เจนเห็นด้วยคะ...ถ้าคนเรารักอะไรให้แล้ว...ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้”
ใจเด็ดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าเจนจิราส่งสารบางอย่างให้เขา
“หัวหน้าไม่คิดจะทำอะไรต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ของคาบาตี้หน่อยเหรอคะ”
“พี่คิดไว้แล้ว..!”
ทุกคนหันมองใจเด็ดด้วยความอยากรู้ทันทีว่าคิดอะไร..?
อ่านต่อหน้า 3
กระบือบาล ตอนที่ 11 (ต่อ)
ในเวลาต่อมาบรรดาเหล่ากระบือบาลต่างออกแรงช่วยกันทำป้าย เริ่มตั้งแต่เอาไม้อัดเท่าที่หาได้มาโยนกองรวมกัน อีกส่วนก็เอาสีมาทา เขียนข้อความบางอย่าง ทุกคนช่วยกันลงมือทำอย่างขันแข็ง ใจเด็ดยืนมองป้ายอย่างพอใจ และดีใจที่ทุกคนพร้อมสู้สุดตัว
เวลาเดียวกันบนถนนเส้นทางมุ่งหน้าเข้าสู่หนองระบือ...รถของสรนุชแล่นมาตามทาง สรนุชเป็นคนขับ มีอรอนงค์นอหลับข้างๆ
“นอนได้นอนดีจริงๆ ยัยนี่...”
สรนุชส่ายหน้า ก่อนจะเห็นป้ายทางแยกบอกว่าทางไปหนองระบือ สรนุชเลี้ยวไปตามทาง
แต่ทันทีที่รถของสรนุชเลี้ยวเข้าสู่ถนนที่มุ่งหน้าสู่หนองระบือ สรนุชก็เบรกรถดังเอี๊ยด!
อรอนงค์ที่หลับอยู่ไม่ทันตั้งตัวก็ทำให้หัวไปกระแทกกับกระจก
“อูย...มีอะไร...ทำไมต้องเบรกซะขนาดนี้ด้วย”
“ดูนั่นซิ”
อรอนงค์หันมองไปที่ถนนแล้วอรอนงค์ก็ถึงกับอึ้งไป
สรนุชกับอรอนงค์ก้าวลงมาจากรถ ทั้งคู่มองไปสุดตา เห็นว่าตามรายทางที่มุ่งหน้าสู่หนองระบือมีป้ายประท้วงคาบาตี้อยู่เต็มสองข้างทาง
“เอ่อ...แกกลับตอนนี้ยังทันนะนุช” อรอนงค์ว่า หน้าจ๋อย
สรนุชมองป้ายเหล่านั้นด้วยแววตาที่แข็งกร้าวกว่าเดิม
“กลับทำไม...เรื่องสนุกกำลังจะเริ่ม...หึ...นายใจเด็ด...นายมาแรงเท่าไหร่...ฉันก็แรงกลับไปเท่านั้น”
สรนุชมีแววตามุ่งมั่นที่จะเอาชนะให้ได้
ส่วนที่บริษัทคาบาตี้ สาขาสุรินทร์ ชิดชัยดูนาฬิกาเหงื่อตก ชาวคณะที่เกณฑ์มาต้อนรับเองก็ยืนรอเหงือกแห้งกันเป็นแถว
“ลูกพี่...ทำไมให้ผู้พันแกกลับไปก่อนละครับ...ไม่กลัวเสียแนวร่วมเหรอพี่”
“จะบ้าเหรอไง...ขืนยัยนั่นรู้ว่าฉันไปตกลงให้ผู้พันเป็นดีลเลอร์ก็แย่ซิวะ...” ชิดชัยมองนาฬิกาอย่างหงุดหงิด “ฮึ่ยย์...คนกรุงนะคนกรุง...ตรงเวลาไม่เป็นหรือไง”
ทันทีที่ชิดชัยบ่นจบ..รถของสรนุชก็แล่นเข้ามาจอดที่หน้า
“มาแล้ว”
ชิดชัยรีบวิ่งเข้าไปเปิดประตูให้กับสรนุชทันที สรนุชก้าวลงจากรถ
ชิดชัยให้สัญญาณ ชาวคณะต้อนรับกล่าวเสียงดังฟังชัดพร้อมๆ กัน
“ยินดีต้อนรับคุณสรนุชครับ” / “ยินดีต้อนรับคุณสรนุชค่ะ”
ชิดชัยวิ่งเข้ามาหาสรนุชกับอรอนงค์อย่างประจบประแจง
“เดินทางเหนื่อยมั้ยครับคุณนุช”
สรนุชไม่ตอบก่อนจะแบมือให้ชิดชัยดู ชิดชัยเห็นก็รีบตบมือ
“เอ้า...มาเร็ว”
แล้วลูกน้องก็วิ่งเอาแก้วน้ำผลไม้เย็นเจี๊ยบสองแก้วเข้ามา
“มาแล้วครับน้ำผลไม้เย็นชื่นใจ...แล้วพอหลังจากนั้นผมได้เตรียมอาหารอย่างดีที่สุดในตำบลนี้”
“ฉันต้องการรายชื่อของพนักงานที่นี่ทั้งหมด” สรนุชบอก
ชิดชัยงง “เอ่อ...ผมยังไม่ได้เตรียมไว้ให้ครับ”
“ถ้างั้นเรียกทุกคนให้มา...ฉันจะเริ่มงานเดี๋ยวนี้”
สรนุชพูดพร้อมกับเดินเข้าบริษัทไปพร้อมกับอรอนงค์ ชิดชัยถึงกับยืนเหวอ
ในขณะที่สรนุชกำลังเดินบอกนโยบายกับพนักงานคาบาตี้ที่ยืนเข้าแถว โดยมีอรอนงค์เดินตามคอยจดเหมือนเป็นเลขา
“คิดว่าฝ่ายดิฉันคงไม่ต้องแนะนำตัวกันแล้ว...เพราะคุณชิดชัยคงบอกเรื่องดิฉันกับอรอนงค์ให้ทุกคนฟังเรียบร้อยแล้ว”
เป็นเวลาเดียวกับที่ใจเด็ดก็กำลังพูดกับทุกคนภายในห้องประชุมเช่นกัน
“เพราะฉะนั้น...ผมอยากให้ทุกคนลืมว่าผู้หญิงคนนี้...เคยมาที่สถานีเรา...เคยรู้จักเรา...หรือแม้แต่หน้าเธอเราก็ไม่เคยเห็น”
“แผนแรกที่ดิฉันวางเอาไว้ก็คือ...การแย่งมวลชน” สรนุชกล่าว
“เราต้องทำให้ชาวบ้านทุกคนเห็นว่ารถไถไม่มีอะไรดีเลย...มันมีแต่ข้อเสีย” ใจเด็ดบอกทุกคน
“ฉันอยากให้ทุกคนลงพื้นที่ให้มากที่สุด...หนึ่งคนรับผิดชอบสิบบ้าน...ขอให้ทุกคนลงไปสัมผัสกับชาวบ้านให้มากที่สุด” สรนุชว่า
“ในเมื่อฝ่ายโน้นเคยปลอมตัวเข้ามาทำความสนิทสนมกับชาวบ้าน...เราเองก็ทำได้เหมือนกัน...ขอให้ทุกคนบอกกับชาวบ้านว่าถ้าพวกคาบาตี้มาเสนออะไรก็ให้รับไว้...ถ้าทุกคนจะบอกว่าเรากำลังเล่นละครเหมือนพวกนั้น...ผมก็ไม่เถียง” ใจเด็ดแจงต่อ
“ฉันต้องการเห็นรถไถคาบาตี้ขายได้ห้าคันแรกภายในอาทิตย์นี้” สรนุชประกาศเสียงกร้าว
พนักงานของคาบาตี้ต่างยกมือโห่ร้องอย่างฮึกเหิม
ส่วนใจเด็ดเองก็ประกาศก้องออกมาเหมือนกัน
“เราต้องไล่พวกนั้นกลับไป...แม้แต่ล้ออะไหล่...พวกนั้นก็ต้องขายไม่ได้”
กระบือบาลทุกคนต่างก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างฮึกเหิมเช่นกัน เกริกไกรมองใจเด็ดด้วยความหนักใจ
สงครามระหว่างระหว่างใจเด็ด กับ สรนุช เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว
เหล่ากระบือบาลต่างแยกตัวกันไปทำงาน ใจเด็ดเดินออกมา ระหว่างนั้นเกริกไกรเรียกขึ้น
“ไอ้เด็ด...ไอ้เด็ด”
ใจเด็ดหยุดก่อนจะหันไปเห็นเกริกไกรเดินเข้ามา “มีอะไรหมอ
เกริกไกรลำบากใจที่จะพูด “ฉันไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่เราจะไปบอกชาวบ้านให้ต่อต้านพวกคาบาตี้”
“ไม่เห็นด้วย...หรือหมอจะรอเห็นด้วยตอนที่หนองระบือนี่มีแต่รถไถวิ่งเต็มไปหมด”
“ก็ในเมื่อแกไม่ชอบวิธีที่คุณนุชเขาไปหลอกชาวบ้าน...แล้วเราจะใช้วิธีเดียวกันทำไม” เกริกไกรว่า
“เราไม่ได้หลอกชาวบ้าน...เราไปบอกความจริงกับพวกเขาต่างหาก...ไม่มีอะไรแล้วนะหมอ...ฉันรีบ”
“แกจะไปไหน”
ใจเด็ดหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด “ไปในที่ที่พวกนั้นจะไปเป็นที่แรกไง”
ใจเด็ดสีหน้าเครียดหวังว่าเขาจะเดาถูก
รถของสรนุชแล่นเข้ามาจอดที่หน้าที่ทำการอบต. สรนุชเปิดประตูลงมาจากรถก่อนจะมองเข้าไปข้างในอย่างไม่มีอาการกลัวใดๆ
ระหว่างที่สรนุชกำลังจะเดินเข้าไป เสียงของใจเด็ดก็ดังขึ้น
“นึกแล้วว่าคุณต้องมาที่นี่”
สรนุชหันไปก็เห็นใจเด็ดเดินเข้ามา “รู้ได้ยังไงว่าฉันมาแล้ว”
“คนดังอย่างคุณมันเป็นข่าวง่ายอยู่แล้วนี่”
“ก็ดี...ถือว่าเราจะได้ประกาศสงครามกันอย่างเต็มตัว”
สรนุชประจันหน้ากับใจเด็ดอย่างไม่เกรงกลัว
“แน่ใจเหรอว่าคุณจะชนะ”
“ไม่มั่นใจ...ฉันก็คงไม่มา”
“แต่ผมว่าคุณมันเป็นพวกปากกล้าขาสั่นมากกว่า...ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่มาที่นี่เพื่อให้นายกเขาช่วยมั้ง”
“ใครว่าฉันจะให้นายกช่วย”
“ก็คุณมันถนัดในการใช้มารยาอยู่แล้วนี่...คราวนี้คุณเอามาเท่าไหร่ละ...เท่าที่ได้ยินมารยาร้อยแปดเล่มเกวียน...แต่ของคุณคงจะเยอะกว่านั้น..ถ้ายังไง...ให้ควายของผมไปช่วยลากมาได้นะ”
สรนุชกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
“แต่ที่จริงแล้วคุณไม่ต้องเอามาเยอะก็ได้นะ...เพราะคนที่นี่เขารู้ทันคุณหมดแล้ว...คุณคงจะใช้เสน่ห์ของคุณกับนายกได้...แต่คงไม่ใช่ผม”
“เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าคะ...ที่ผ่านมา...ฉันยังไม่ได้ใช่เสน่ห์มารยากับคุณเลย แต่คุณก็ติดกับซะแล้ว”
สรนุชยิ้มเยาะ รอยยิ้มนั่นทำให้ใจเด็ดถึงกับสติแตกทันที ใจเด็ดปรี่เข้ามาหาสรนุช
“คุณยังบอกว่าไม่ได้ใช้อีกเหรอ...แล้วไอ้ที่ผ่านมาคุณใช้อะไร...ห๊า”
“นายจะทำอะไร...ถอยไปนะ...ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องให้คนช่วย...ช่วยด้วยค่ะ...ช่วยด้วย”
ระหว่างนั้นโชคชัยวิ่งเข้ามาพอดี “คุณนุช”
โชคชัยปราดเข้ามาผลักใจเด็ดเพราะคิดว่าใจเด็ดจะทำร้ายสรนุช สรนุชได้ทีเลยเล่นละครต่อ
“ช่วยด้วยค่ะคุณโชค...เขาจะทำร้ายฉัน”
ใจเด็ดฉุนกึก “เฮอะ...ทำร้าย..? ถ้าทำร้ายมันต้องอย่างนี้ต่างหาก”
ว่าพลางใจเด็ดจะเข้าไปหาสรนุช แต่แล้วโชคชัยก็เอาตัวเข้ามาบัง ใจเด็ดชะงักรู้ได้ทันทีว่าโชคชัยคิดยังไง
“ก็ได้...ผมขอเตือนนายกเอาไว้ตรงนี้แล้วกัน...ว่าระวังผู้หญิงคนนี้ไว้ให้ดี”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินออกไป โชคชัยรีบหันมาถามสรนุชด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณนุช”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
สรนุชตอบแต่สายตายังแอบมองใจเด็ดที่เดินจากไป
สรนุชแปลกใจมากๆ ที่โชคชัยไม่โกรธเธอ ที่ปลอมตัวมาครั้งก่อน
“คุณโชคชัยไม่โกรธเหรอคะ”
โชคชัยยิ้มให้อย่างอบอุ่น
“ไม่เลยครับ...ถ้าผมมาเจอคนอย่างนายใจเด็ด..ผมเองก็คงต้องปลอมตัวเข้ามาทำงานในพื้นที่เหมือนกัน”
โชคชัยพยายามพูดให้สรนุชรู้สึกไม่ดีกับใจเด็ด
สรนุชเป่าปากโล่งอก
“ได้ยินคุณโชคชัยพูดอย่างนี้...ค่อยสบายใจหน่อยค่ะ”
โชคชัยเห็นอย่างนั้นก็สำทับลงไปอีก “สบายใจเถอะครับ...ผมพร้อมที่จะช่วยเหลือคุณนุชทุกเรื่อง”
“อย่าพูดว่าช่วยฉันเลยคะ...ต้องพูดว่าช่วยชาวบ้านถึงจะถูก...ที่ฉันอยากให้ทุกคนใช้รถไถไม่ใช่ว่าฉันจะขายรถไถ...แต่ฉันอยากเห็นชาวบ้านที่นี่สามารถแข่งกับคนอื่นได้...ไม่ใช่บอกให้ชาวบ้านใช้ควายแล้วบอกว่ารักควายต้องใช้ควาย...คงจะทันกินคนอื่นเขาหรอก...หึ!”
สรนุชยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิดเหมือนเห็นหน้าใจเด็ดมาลอยอยู่ตรงหน้า
โชคชัยแอบมองสรนุชที่พูดถึงใจเด็ดแล้วหงุดหงิดก็เห็นโอกาส โชคชัยนิ่งไปอย่างครุ่นคิด
โชคชัยเดินออกมาส่งสรนุชที่รถ สรนุชหันมากล่าวลา
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ” โชคชัยมองสบตาสรนุช ก่อนจะพูดขึ้น “รู้มั้ยครับทำไมผมถึงช่วยคุณนุช”
สรนุชเห็นโชคชัยจ้องมาก็ไม่แน่ใจว่าโชคชัยจะคิดอะไรกับเธออีกหรือเปล่า
“เอ่อ...” สรนุชพยายามไม่พูดเรื่องรัก “เพราะคุณโชคอยากเห็นชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นเหมือนกันใช่มั้ยคะ”
“นั่นก็ถูกครับ...แต่ผมอยากให้คุณนุชเห็นถึงความจริงใจของผม”
สรนุชนิ่งไปเพราะรู้ว่าโชคชัยยังไม่ตัดใจจากเธอ
“แน่นอนคะ...เอ่อ...ฉันไปก่อนนะคะ”
โชคชัยยิ้มแล้วพยักหน้าให้ สรนุชหันมาจะเดินไปที่รถก่อนลอบถอนหายใจด้วยความหนักใจ
ระหว่างนั้นสรนุชเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปถามโชคชัย
“วันมะรืนคุณโชคว่างมั้ยคะ”
“ทำไมเหรอครับ” โชคชัยนิ่วหน้าด้วยความสงสัย
เวลาเดียวกันที่สถานีฯ เจนจิรากำลังดูใบปลิวเชิญชาวบ้านให้ไปร่วมงานเปิดตัวของคาบาตี้
“ไปเอามาจากไหน”
“ที่ตลาดค่ะ...พวกคนของคาบาตี้มายืนแจกใบปลิวหัวถนนท้ายถนน...แถมตรงกลางถนนพวกนั้นยังเอาผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้มาเต้นด้วยนะคะ”
“เต้น...? ยังไง” เกริกไกรถาม
“ก็อย่างนี้ไงคะ”
ว่าแล้วสมหญิงก็จัดท่าเต้นของพวกโคโยตี้ให้ทุกคนดู ใจเด็ดกับเกริกไกรยิ่งเครียด
“เต้นอย่างนี้น่ะค่ะ...เขาเรียกว่าอะไรนะ”
“โคโยตี้” ภิรมย์บอก
“เออ...นั่นแหละ”
เจนจิราเข้ามาหาใจเด็ดที่เครียดยิ่งกว่าเดิม
“ทำยังไงดีคะหัวหน้า...เจนว่าเราไปบอกนายกให้ช่วยห้ามพวกนั้นดีมั้ยคะ”
“ไม่มีประโยชน์หรอก...ตอนนี้นายกคงจะเป็นพวกนั้นไปอีกคนแล้ว”
“เฮ้อ...ร้ายจริงๆ...ไม่คิดเลยนะคะว่าคุณนุชจะใช้ความรักหลอกใช้นายก” เจนจิราใส่ไฟสรนุช
เกริกไกรได้ยินอย่างนั้นก็พยายามแย้งเพื่อไม่ให้ใจเด็ดมองสรนุชไม่ดี
“เจน...เรายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร...รีบตัดสินคุณนุชอย่างนี้มันไม่ถูกนะ” เกริกไกรตำหนิ
“แล้วยังไงถึงจะถูกคะ...ต้องรอให้คนในหมู่บ้านนี้เปลี่ยนใปใช้รถไถกันหมดแล้วเอาควายไปเข้าโรงเชือดเหรอคะ”
“เจน” เกริกไกรปราม
เจนจิราพยายามพูดใส่ไฟสรนุช ใจเด็ดที่กำลังอยู่ในอาการหึงและโกรธก็ยิ่งหงุดหงิด
“อย่าทะเลาะกันได้มั้ย” เกริกไกรกับเจนจิรายังต่างตีหน้ายักษ์ใส่กัน “ในเมื่อเราเตือนพวกนั้นดีๆ แล้วไม่ฟัง...ก็จะได้เห็นดีกัน”
ใจเด็ดสีหน้าเครียดมากขึ้น ขณะที่เกริกไกรลอบมองใจเด็ดด้วยความกังวล
ที่บ้านพักของสรนุช อรอนงค์เครียดหลังจากที่สรนุชเล่าให้ฟัง
“แต่ฉันว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะนุช...ทำไมแกไม่ลองคุยกับคุณใจเด็ดดีๆ ละ”
สรนุชกำลังรื้อของออกจากกระเป๋า
“คุยดีเหรอ..? หึ...เธอไม่เห็นท่าทางของนายนั่น...นี่ถ้าฉันเป็นผู้ชายคงโดนต่อยไปแล้ว”
“กลัวอะไร...แกก็จูบคืนซิ”
“ฮือ...ไม่ใช่ละคร...จะได้ตบจูบ”
“แต่ฉันว่าถ้าแกบอกเหตุผลกับคุณใจเด็ด...เขาน่าจะเข้าใจนะ”
สรนุชเหลือทนกระแทกกระเป๋าก่อนจะหันมาคุยกับอรอนงค์อย่างจริงจัง
“อร...แกเลิกพูดเรื่องได้แล้ว...ฉันกับนายใจเด็ดมันเลยจุดนั่นมานานแล้ว”
“ทำไมอ่ะ...แล้วตอนนี้แกสองคนอยู่จุดไหน”
“จุดเดือดไง...จุดเดือดที่ฉันกับนายนั่นจะระเบิดใส่กันได้ตลอดเวลา” สรนุชว่า
“แต่...”
สรนุชชี้หน้า “ถ้าแกยังไม่เลิกพูด...ฉันให้แกกลับกรุงเทพฯจริงๆ ด้วย”
อรอนงค์ก้มหน้างุด จ๋อยไป ระหว่างนั้นเสียงของชาญณรงค์ดังขึ้นที่หน้าบ้าน
“ ฮัลโหล...ยู้ฮู้”
สรนุชกับอรอนงค์มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
สรนุชกับอรอนงค์ออกมาจากบ้านก็แปลกใจเมื่อเห็นชาญณรงค์ยืนอยู่
“ผู้พัน..?!”
สรนุชกับอรอนงค์เดินลงมาหาชาญณรงค์ด้วยความแปลกใจ
“ผู้พันมีอะไรเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ...พอดีวันนี้ฉันไปรอต้อนรับพวกเธอแต่ไม่ได้เจอ...ก็เลยมาเซย์ฮัลโหลที่นี่แทน...เป็นยังไง...บ้านช่องห้องหับอยู่กันสบายมั้ย”
“ก็ดีค่ะ...ลมเย็นดี” สรนุชนึกได้ “ทำไมเหรอคะ”
“เอ้า...ฉันก็กลัวว่าจะไม่ถูกใจ...จะย้ายไปอยู่หลังอื่นก็ได้นะ...บ้านฉันมีหลายหลัง”
“เอ่อ...นี่บ้านของผู้พันเหรอคะ”
“ถูกต้อง...”
สรนุชกับอรอนงค์ยิ่งงงเข้าไปอีก
“เหรอคะ...ทำไมชิดชัยไม่เห็นบอกหนูเลย” สรนุชว่า
“ฉันไม่ให้บอกเองแหละ...กลัวว่าพวกหนูจะเกรงใจ...แต่ไม่ต้องห่วงนะฉันไม่เก็บค่าเช่า”
“จะดีเหรอคะ” อรอนงค์กังวล
“ดีซิจ๊ะ...แหม...หนูอรกับพี่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนอื่นคนไกล...หนูนุชก็เหมือนกัน...ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ...ยังไงเรามันก็พวกเดียวกันอยู่แล้ว”
ชาญณรงค์พยายามเน้นเสียงเพื่อสื่อความหมายให้กับสรนุช
“ถ้ามีอะไรให้ช่วย..บอกเลยนะ...ฉันยินดีช่วยทุกอย่างเพื่อให้ควายมันหมดไปจากที่นี่”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นสมองก็เริ่มทำงานทันที
“เห็นว่าผู้พันมีบ้านหลายหลังเหรอคะ”
“อืม...ทำไม...หลังนี้ไม่ถูกใจหรือไง”
“เปล่าค่ะ...แล้วผู้พันมีไร่มีนาหรือที่ดินที่ไม่ใช้ประโยชน์หรือเปล่าคะ”
“เพียบ..! ถามทำไมจ้ะ”
สรนุชยิ้มให้ชาญณรงค์อย่างมีเลศนัย
เวลาต่อมา อรอนงค์ตกใจที่รู้เรื่องแผนการณ์จากสรนุช
“จะสาธิตรถไถเหรอ”
สรนุชเก็บข้าวของต่ออย่างสบายใจ
“ก็ใช่น่ะซิ...ถ้าจะให้ชาวบ้านรู้ว่ารถไถมันดียังไงก็ต้องให้เขาเห็นกับตา...แล้วฉันก็จะใช้ที่ของผู้พันนี่แหละ...เป็นแปลงนาสาธิต”
“แต่ฉันไม่ค่อยชอบให้ผู้พันมายุ่งกับเราเลย...ฉันรู้สึกยังไงไม่รู้”
“ก็ไม่ต้องรู้สึกอะไร...ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายเสนอมาเอง...เราไม่ได้เรียกร้องอะไรซักหน่อย”
อรอนงค์เห็นท่าทีของสรนุชก็พยายามจะเตือนสติ
“นุช...แกต้องการชนะคุณใจเด็ดมากเลยเหรอ”
“แน่นอน...ฉันจะทำให้นายนั่นเห็นว่า...ฉันไม่ได้ใช้มารยาอย่างที่นายนั่นว่า”
สรนุชดูหงุดหงิดขึ้นมาทันทีที่พูดถึงใจเด็ด ขณะที่อรอนงค์ก็มองสรนุชอย่างหนักใจ
เวลาต่อมาคืนเดียวกันนั้น อรอนงค์เดินเข้ามาบริเวณริมหนองน้ำแห่งหนึ่ง อรอนงค์มองไปรอบๆ ท่าทางกลัวนิดๆ
“เมี้ยว...เมี้ยว...เมี้ยว”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหมาดังขานรับขึ้นมาทันที “ฮ่ง...โฮ่ง..โฮ่ง”
พอสิ้นเสียงสุนัขเห่า อรอนงค์ก็รอแต่ไม่เห็นมีอะไรเคลื่อนไหวก็ทำหน้าเซ็ง ก่อนจะส่งสัญญาณอีก
“เมี้ยว...เมี้ยว”
มีเสียงรับ “โฮ่ง...โฮ่ง”
อรอนงค์รอแต่ก็ไม่เห็นอะไรอีก จึงหยิบท่อนไม้โยนเข้าไปในพุ่มหญ้า แล้วได้ยินเสียงดังโป๊ก !
“เอ้ง...เอ้ง”
พร้อมกับที่ เกริกไกรกำหัวตัวเองออกมาจากพงหญ้า
“โห...ผมเจ็บนะครับคุณอร”
“ก็หมอไม่ยอมออกมาซักทีนี่คะ...เป็นไงบ้างคะ”
“ไม่ถึงกับแตกหรอกครับ”
“ไม่ใช่ค่ะ...อรหมายถึงคุณใจเด็ดใจอ่อนลงบ้างหรือเปล่าคะ”
เกริกไกรทำท่าน้อยใจ “ไอ้เราก็นึกว่าห่วงเรา...”
“หมอ...ฉันมีเวลาไม่มาก...ถ้าไม่รีบกลับยัยนุชต้องสงสัยแน่ๆ...ไงคะ...คุณใจเด็ดอ่อนลงบ้างหรือเปล่า”
“ไม่เลยครับ...แล้วคุณนุชละครับ”
อรอนงค์เศร้าใจ “ก็ไม่เหมือนกันค่ะ”
ว่าแล้วเกริกไกรกับอรอนงค์ก็ถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กัน
“เอ่อ...แล้วคุณอรรู้มั้ยครับว่าคุณนุชมีแผนจะโปรโมตรถไถยังไงอีก”
“รู้ค่ะ” เกริกไกรหูผึ่งสนใจขึ้นมาทันที “แต่ฉันบอกไม่ได้...ไม่อย่างนั้นยัยนุชเล่นฉันตายแน่ๆ ค่ะ”
แล้วเกริกไกรกับอรอนงค์ก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกันอีก
“แล้วหมอรู้มั้ยคะว่าคุณใจเด็ดจะสู้กับทางคาบาตี้ยังไง”
“รู้ครับ” อรอนงค์อยากรู้เหมือนกัน “แต่ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน”
แล้วเกริกไกรกับอรอนงค์ก็ถอนหายใจพร้อมกันอีก
“แล้วอย่างนี้เราจะนัดเจอกันทำไมคะ”
“เรื่องนั้นผมรู้ครับ”
อรอนงค์มองเกริกไกรด้วยความสงสัย
“เพราะผมอยากเจอคุณอรไงครับ”
เกริกไกรเอื้อมมือไปจับมืออรอนงค์ อรอนงค์สะบัดมือออกอย่างขวยเขิน
“หมออ่ะ”
“จริงๆ นะครับ...คุณอรไม่รู้เหรอครับว่าที่ผมอยากให้ไอ้เด็ดกับคุณนุชดีกันเพราะอะไร”
“เพราะอะไรคะ”
“เพราะผมไม่อยากปิดซ่อนความรู้สึกของผมไงครับ”
อรอนงค์ก้มหน้างุดอย่างเขินๆ ขณะที่เกริกไกรก็อมยิ้มอย่างมีความสุข
เช้าวันใหม่ที่หนองระบือ สรนุชกับอรอนงค์ยืนรอด้วยความหงุดหงิดที่หน้าคาบาตี้
“นัดกี่โมง...ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มาอีก”
“ใจเย็นซินุช...เดี๋ยวก็มาน่า”
ระหว่างนั้นเสียงเพลงมาร์ชดังขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ สรนุชกับอรอนงค์หันไปมองก็ตกใจเมื่อเห็นชิดชัยเดินนำหน้าเป็นดรัมเมเยอร์ โดยมีวงโยธวาทิตตามมาด้านหลัง
สรนุชถึงกับอึ้งพูดไม่ออก จนกระทั่งชิดชัยนำขบวนแห่มาหยุดต่อหน้าสรนุช
“หยุด.....”
“นี่มันอะไร”
“ก็วงดนตรีที่คุณนุชอยากได้ในการเปิดตัวไงครับ...วงนี้อันดับหนึ่งของจังหวัดเลยนะครับ” ชิดชัยสอพลอ
“ฉันบอกเหรอว่าอยากได้วงดนตรี”
“แล้วนี่ไม่ใช่เหรอครับ”
“ไม่ใช่” สรนุชกุมขมับอย่างกลุ้มใจ
“ไม่ต้องห่วงครับ...ผมได้เผื่อทางเลือกเอาไว้ในกรณีที่คุณนุชไม่ชอบอยู่แล้วครับ”
“คุณชิดชัยมีวงดนตรีอีกวงเหรอคะ”
“เด็ดยิ่งกว่านั้นอีกครับ”
ชิดชัยพยักหน้าให้ลูกน้อง แล้วเสียงเพลงมาร์ชก็ดังขึ้นอีก ลูกน้องเข้าไปดึงผ้าที่คลุมอยู่หลังรถหกล้อออก แล้วสรนุชกับอรอนงค์ยิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นบรรดาโคโยตี้กำลังเต้นอยู่บนรถหกล้อ
“นี่เลยครับ...โคโยตี้ที่พลิ้วที่สุดในจังหวัด”
สรนุชโกรธจนตัวสั่น “ใครให้ทำแบบนี้”
ชิดชัยยังไม่รู้ตัว คิดว่าจะได้คำชม “นี่ครับ...มันสมองของผมเองครับ...ผมเห็นว่าบริษัทเราชื่อคาบาตี้...ผมก็เลยใช้โคโยตี้ให้มันคล้ายๆ กัน...เป็นไงครับ...ชอบมั้ยครับคุณนุช”
“เอากลับไปให้หมด” สรนุชตวาดแว้ด
“ห๊า ! อะไรนะครับ”
“ฉันบอกให้เอากลับไปให้หมด”
ชิดชัยเอ๋อ อึกอัก “เอ่อ...” แล้วหันไปตะคอกลูกน้องต่อ “ได้ยินแล้วนี่...บอกพวกนี้เอากลับไปให้หมด”
สรนุชหายใจแรงยังโมโหไม่หาย ระหว่างนั้นสรนุชหันไปเห็นรถหกล้อก็ได้ความคิดขึ้นมา
“เดี๋ยว ! ฉันอยากได้รถคันนั้นเอาไว้ก่อน”
“ยัยนุช...อย่าบอกนะว่าแกจะขึ้นไปเต้นเอง”
สรนุชเหล่มองเอาเรื่อง
อรอนงค์จ๋อย “อ้าว...ก็ฉันไม่รู้นี่ว่าแกจะเอาไปทำอะไร”
สรนุชมองรถหกล้อด้วยความคิดบางอย่าง
ไม่นานต่อมาสรนุชก็มาอยู่บนรถหกล้อแล้ว มีอรอนงค์อยู่ข้างๆ รอบรถมีป้ายโฆษณารถไถอยู่รอบคัน
ชาวบ้านชาวช่องต่างมองตามด้วยความสนใจ
“สวัสดีคะพ่อแม่พี่น้อง...วันนี้พวกเราชาวคาบาตี้...มาบอกข่าวดีให้กับทุกท่าน...ด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษสำหรับรถไถรุ่นใหม่ที่พวกเราต้องการนำเสนอ”
ชิดชัยกับลูกน้องและพนักงานคนอื่นๆ เดินนำหน้ารถหกล้อคอยแจกใบปลิวให้กับชาวบ้านที่อยู่เรียงรายสองข้างทาง
“บ้าเอ๊ย...สบายจริงจริ๊ง...ให้คนอื่นเดิน...ตัวเองนั่งรถ”
ระหว่างนั้นเห็นเท้าของใครคนนึงก้าวเข้ามาหยุด ก่อนจะเห็นเท้าของคนอื่นๆก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง ชิดชัยหันไปกำลังจะแจกใบปลิว แต่แล้วชิดชัยก็ต้องชะงักไป
ส่วนบนรถ...สรนุชยังพูดออกไมค์ต่อเนื่อง
“ถ้าหากทุกท่านสนใจรถไถของเรา...เรามีเงื่อนไขพิเศษที่จะมอบให้ก็คือ...”
จังหวะนั้นอรอนงค์เหมือนเห็นบางอย่างข้างหน้าก็สะกิดสรนุช
“นุช...นุช”
“อะไร...อย่าเพิ่งขัดซิ...ฉันกำลังได้ที่เลย”
อรอนงค์บุ้ยใบ้ให้ดู “โน่นน่ะ”
สรนุชหันมองไปตามที่อรอนงค์บอก แล้วสรนุชก็ชะงักไปเมื่อเห็นเข้ากับ ใจเด็ด เจนจิรา เกริกไกร ภิรมย์ สมหญิงที่พาควายฝูงใหญ่ยืนทะมึนขวางทางเข้าหมู่บ้านอยู่ พร้อมป้ายต่างๆ เช่น เราไม่ต้องการรถไถ อย่ามาเบียดเบียนแย่งงานควาย ฯลฯ
จังหวะนั้นสรนุชกับใจเด็ดสบตากัน อย่างไม่มีใครยอมถอย
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00 น.
กระบือบาล ตอนที่ 11 (ต่อ)
ทางฝั่งเหล่ากระบือบาลต่างมองดูพวกคาบาตี้เขม็ง ใจเด็ดมองไปที่สรนุชอย่างไม่ยอมกัน ขณะที่เกริกไกรมองไปที่อรอนงค์และสรนุชด้วยความลำบากใจ ส่วนเจนจิราหรี่ตามองสรนุชด้วยสายตาชิงชัง
ในขณะที่สรนุชมองนิ่งๆ ไปที่ใจเด็ดเหมือนจะหยั่งเชิง ชิดชัยกับลูกน้องต่างก็มองสรนุชแล้วยิ้มเยาะ
“ดูซิ...จะทำยังไง” ชิดชัยหยัน
ประเมินสถานการณ์แล้วอรอนงค์รีบเดินเข้ามาถามสรนุชทันที
“เอาไงดีนุช...ฉันว่าวันนี้เราถอยไปตั้งหลักก่อนมั้ยอ่ะ”
“ไม่” สรนุชสวนขึ้นทันควัน “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อถอยให้ใคร...เอาโทรโข่งมา”
ฝั่งกระบือบาลต่างสงสัยเมื่อเห็นสรนุชหยิบโทรโข่งขึ้นมา ระหว่างนั้นสรนุชก็พูดขึ้น
“พวกเรามาอย่างสันติ...ไม่ต้องการมีเรื่องกับใคร...กรุณาถอยออกจากถนนด้วย”
ทีมกระบือบาล...ต่างมองใจเด็ดเป็นตาเดียวกันว่าจะเอายังไง เจนจิราได้โอกาสเลยเสี้ยมทันที
“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง...หาว่าเรามาหาเรื่องหรือไง” ตะโกนโต้สรนุชก่อนจะหันมาบิ้วท์ใจเด็ด “...หัวหน้า...คุณสรนุชคงต้องการทำให้เราเป็นคนไม่ดีในสายตาของชาวบ้าน”
“คุณสรนุชร้ายถึงขนาดนี้เลยเหรอคะ”
สมหญิงหลงคำเสี้ยมของเจนจิราไปหนึ่งคน แต่ใจเด็ดกลับนิ่งครุ่นคิดว่าจะเอายังไง
ระหว่างนั้นสรนุชเร่งเร้าผ่านโทรโข่งอีก
“พวกนายต้องการอะไร...ขอให้ส่งตัวแทนมาพูดจากัน...พวกเราพร้อมปรองดองเพื่อความสุขของคนที่นี่”
จากนั้นสรนุชก็ส่งโทรโข่งคืนให้กับอรอนงค์ อรอนงค์พยายามห้ามปราม
“จะทำอะไรน่ะนุช”
“ก็ไปคุยกับนายนั่นไง...ตอนนี้เรากำลังได้เปรียบ...ชาวบ้านก็เห็นอยู่ว่าเรามาของเราดีๆ...แต่พวกนั้นมาขวางทางเราเอง...แล้วอีกอย่างฉันก็เป็นผู้หญิง...นายนั่นคงไม่กล้าทำอะไรให้เสียคะแนนหรอกน่า” สรนุชบอก
ด้านฝั่งกระบือบาล...ใจเด็ดทำท่าจะเดินออกไปเมื่อเห็นสรนุชเดินมา เกริกไกรรีบห้าม
“ไอ้เด็ด...ให้ฉันไปดีกว่า”
“เดี๋ยวแกก็ใจอ่อนอีก...ฉันไปน่ะแหละ...จะได้รู้ด้วยว่า...ทางนั้นจะมาไม้ไหนอีก”
เจนจิรามองใจเด็ดด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเอ่ยห้ามพร้อมกับขออาสาขึ้น
“ให้เจนไปดีกว่าค่ะ...” ทุกคนหันมองเจนจิราด้วยความแปลกใจ รวมถึงใจเด็ดด้วย “หัวหน้าก็รู้ว่าคุณสรนุชเล่นละครหลอกเรามาแล้วครั้งนึง...ไม่มีใครดูออกนอกจากเจน...เจนคิดว่า...ผู้หญิงย่อมมองผู้หญิงด้วยกันออกค่ะ”
ใจเด็ดนิ่งคิดตัดสินใจ
สรนุชยืนรออยู่กลางถนน ท่ามกลางความลุ้นระทึกของทุกคน แต่แล้วสรนุชก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเจนจิราเดินออกมาจากกลุ่มกระบือบาล ทางฝั่งคาบาตี้เองก็แปลกใจ ขณะที่ฝั่งกระบือบาลเองก็ลุ้นแทบหยุดหายใจเหมือนกัน
เจนจิราเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าสรนุช สรนุชมองไปที่ใจเด็ดก่อนจะหันมองมาที่เจนจิรา
“ทำไมนายใจเด็ดไม่ออกมาคุยเอง”
“พี่เด็ดเขาไม่อยากเจอกับมารยาของเธอไง” เจอคำพูดนี้เข้าสรนุชถึงกับชะงัก “ไม่ใช่เพราะพี่เด็ดกลัวเธอนะ...แต่สะอิดสะเอียนมากกว่า”
สรนุชที่ตั้งรับทุกรูปแบบอยู่แล้ว แต่พอเจอเจนจิราเปิดประเด็นมาอย่างนี้ก็อึ้งไปเหมือนกัน
“เจน...ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบฉันเท่าไหร่...แต่ฉันขออธิบายหน่อยได้มั้ย”
“มันไม่สายไปเหรอ...เธอหลอกทุกคนให้คิดว่าเธอเป็นเทพธิดานางฟ้ามาที่นี่...แล้วสุดท้าย..เธอก็ตบหัวพวกเรา”
อรอนงค์มองไปที่สรนุชด้วยความเป็นห่วง “ขอให้ตกลงกันได้ด้วยเถอะ”
ฝั่งกระบือบาล...เกริกไกรเห็นเจนจิราคุยกับสรนุชก็พยายามพูดกับใจเด็ดให้ผ่อนคลาย
“คุยกันดีอย่างนั้น...ฉันว่าต้องตกลงกันได้แน่นอน”
“อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีเกินไปหมอ”
ใจเด็ดมองไปที่สรนุชกับเจนจิราไม่กระพริบตา
สรนุชพ่นลมหายใจเพื่อตั้งสติใหม่ หลังจากเห็นท่าทีของเจนจิรา
“เอาละ...ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่คุยเรื่องที่ผ่านมากันแล้ว” สรนุชยิงตรงประเด็น “หัวหน้าเธอจะเอายังไง”
“คุณไม่น่าจะถามคำตอบที่คุณรู้อยู่แล้ว”
“แต่คำตอบของเธออาจจะช่วยพวกควายของเธอเอาไว้ก็ได้”
“หมายความว่าไง” เจนจิราประหลาดใจ
“ไปบอกหัวหน้าเธอว่า...ถ้ายินยอมให้พวกเราขายรถไถที่หนองระบือนี่...ฉันจะดูแลควายของเธอเอง” สรนุชบอกเงื่อนไข
เจนจิราได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งไป
“แล้วฉันจะเชื่อเธอได้ยังไง”
สรนุชยิ้มค่อยๆ ยื่นมือออกไปเพื่อแสดงความจริงใจ
“ฉันสัญญาด้วยเกรียติของฉันเอง”
ทุกคนเห็นสรนุชยื่นมือออกมาก็แทบไม่เชื่อสายตา เจนจิรามองมือสรนุช ก่อนจะยื่นมือออกมาจับด้วย
“เธอตกลงเหรอ”
สรนุชรีบเข้าไปจับมือเพราะคิดว่าเจนจิราตกลงตามเงื่อนไขของเธอ
แต่แล้วรอยยิ้มของเจนจิราก็เปลี่ยนไป พร้อมกับที่สรนุชรับรู้ได้ถึงแรงบีบอย่างแรงที่มือของเธอ
“คิดว่าฉันโง่เหรอ...เธอมันไม่เหลือเกรียติอะไรให้น่าเชื่อถือแล้ว”
เจนจิราออกแรงบีบที่มือของสรนุชเต็มที่ จนสรนุชต้องสะบัดมือออกด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย”
แต่ทันทีที่สรนุชสะบัดมือออก เจนจิราก็ทำทีเป็นล้มลงไปกับพื้นทันที ทั้งฝ่ายกระบือบาลและฝั่งคาบาตี้ต่างก็ตกใจ ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของชาวบ้าน
ใจเด็ดเห็นอย่างนั้นก็ตกใจ “เจน”
ใจเด็ดกับฝ่ายกระบือบาลรีบวิ่งเข้ามาที่สรนุชและเจนจิรา ขณะที่อรอนงค์และฝ่ายคาบาตี้ก็วิ่งมาที่สรนุชเช่นกัน
ใจเด็ดรีบเข้ามาดูเจนจิราด้วยความเป็นห่วง “เป็นไรหรือเปล่าเจน”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เจนจิราพูดเสียงอ่อยๆ
ใจเด็ดหันขวับมองไปที่สรนุชทันที สรนุชพยายามจะอธิบาย
“ฉันไม่ได้ทำอะไรนะ”
“ขนาดผมเห็นกับตาว่าคุณเป็นคนผลักเจนล้มลงอย่างนี้...คุณยังบอกอีกเหรอว่าคุณไม่ได้ทำ”
“ก็ฉันไม่ได้ทำ” สรนุชยืนกรานเสียงกร้าว
“พอได้แล้ว...เลิกเสแสร้งเป็นคนดีซะที”
“ว่าไงนะ”
อรอนงค์กับเกริกไกรที่ยืนอยู่ต่างก็รีบเข้ามาแทรกกลางเพราะกลัวจะเกิดเรื่องใหญ่โต
“ไปเถอะนุช”
“ไม่...ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด...ทำไมฉันต้องหนีด้วย”
“เอ่อ...แต่ชาวบ้านมองพวกเราอยู่นะ” อรอนงค์เตือนสติ
สรนุชหันมองไปก็เห็นชาวบ้านต่างมองมาที่เธอแล้วจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ สรนุชเริ่มอ่อนลงเพราะได้สติ
อรอนงค์รีบดึงสรนุชออกไป เจนจิราแอบยิ้มดีใจที่ใจเด็ดเป็นห่วงเธอ สรนุชหันมาเห็นรอยยิ้มของเจนจิราพอดี รู้ทันทีว่าเธอเสียรู้เจนจิราซะแล้ว
สรนุชเดินดุ่ยๆ มาตามถนนด้วยความอัดอั้นใจ มีอรอนงค์คอยวิ่งตาม ชิดชัยกับลูกน้องเดินตามมาติดๆ ชิดชัยได้โอกาสก็สอพลอทันที
“มันต้องอย่างนี้ซิครับคุณนุช...ทำอย่างนี้มันจะได้รู้ว่าเราไม่ได้กลัวพวกมัน”
“ใช่ครับ...ท่าที่คุณนุชบิดมือนังกระบือบาลสาวคนนั้นเนี่ย...ยังติดตาผมอยู่เลยนะครับเนี่ย”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็หันขวับมาระเบิดอารมณ์ที่อัดอั้นใส่ทันที
“ถ้าพวกนายยังไม่เลิกพูดเรื่องนี้...ฉันจะไล่ออกทุกคน”
ชิดชัยกับลูกน้องได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับผงะไป อรอนงค์รีบเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“นุช...ฉันว่าแก...”
สรนุชรีบพูดสวนขึ้น “เดี๋ยวอร...ก่อนที่แกจะพูดอะไร...ขอเวลาฉันแป๊บนึง”
ว่าแล้วสรนุชก็รีบเดินออกไปทันที อรอนงค์ ชิดชัยและลูกน้องต่างมองตามด้วยความแปลกใจ
สรนุชเดินมาถึงที่โล่งแห่งหนึ่งก่อนจะหยุด แล้วทันใดนั้นสรนุชก็กรี๊ดออกมาดังลั่นทุ่ง
“อ๊ายยย”
เสียงร้องของสรนุช ทำให้นกบริเวณแตกรังด้วยความตกใจ
สรนุชหายใจหอบโยนด้วยความเจ็บใจที่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างใจ
เหล่ากระบือบาลกลับมาที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ ใจเด็ดกำลังเอาผ้ายืดพันที่ข้อมือของเจนจิรา ขณะที่ทุกคนยืนรายล้อมด้วยความเป็นห่วง ใจเด็ดแปลกใจเมื่อได้ยินเจนจิราเล่า
“จะให้เงินอุดหนุนสถานีแลกกับการให้เขาขายรถไถเหรอ”
เจนจิราตีหน้าเศร้า
“ค่ะ”
เกริกไกรมองเจนจิราด้วยความแปลกใจจึงทักขึ้น
“แต่ฉันเห็นเธอยื่นมือออกไปขอจับมือกับคุณนุช”
เจนจิราชะงัก “เอ่อ...”
ระหว่างนั้นสมหญิงพูดขึ้นอย่างเห็นใจเจนจิรา
“แค่นี้หมอยังไม่รู้อีกเหรอคะ...มันก็แค่ลูกเล่นของคุณนุชไงคะ”
“ใช่ๆ...หนอย...เห็นหน้าสวยๆ อย่างนั้น...ไม่คิดเลยว่าจะร้ายขนาดนี้” ภิรมย์ว่า
เจนจิรานิ่งไปด้วยสีหน้าลำบากใจ “ขอบใจทุกคนที่เข้าใจเจนนะคะ”
ว่าแล้วเจนจิราก็เอื้อมมือไปจับมือสมหญิง ก่อนที่เจนจิราจะสะดุ้งด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็รีบเข้ามาดูเจนจิราด้วยความเป็นห่วง
“พี่ว่าช่วงนี้เจนอย่าขยับมือดีกว่า”
เจนจิรามองใจเด็ดด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข เกริกไกรเหล่มองเจนจิราด้วยความสงสัย
“คุณนุชไม่น่าใช่คนอย่างนั้นนะเจน”
เจนจิราชะงักไป สมหญิงรีบตอบแทนเจนจิรา
“หมอกำลังจะบอกว่าคุณเจนใส่ร้ายคุณนุชเหรอคะ”
“ฉันไม่ได้บอกว่าเธอใส่ร้าย...แต่เท่าที่เรารู้จักเธอ...เธอไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น”
“ทั้งพวกเรา...ทั้งชาวบ้านโดนหลอกมาครั้งนึงแล้ว...หมอยังจะให้พวกนั้นหลอกได้อีกเหรอคะ” สมหญิงบอก
“ใช่ครับ...ก็เห็นๆ อยู่ว่าคุณเจนโดนคุณนุชผลักล้มลง” ภิรมย์ผสมโรง
“แต่ตรงนั้นมีเธอกับคุณนุชแค่สองคน...ฉันว่ามันต้องถามทั้งสองฝ่าย”
เจนจิราเหล่มองใจเด็ดก็กลัวว่าจะเอนเอียงไปทางเกริกไกรก็หน้าเจื่อนลง
“ไม่ต้องถามหรอกค่ะ ยังไงหมอก็ต้องเชื่อพวกคาบาตี้อยู่แล้ว เพราะคุณอรเธออยู่ฝ่ายนั่นนี่” สมหญิงประชด
“เรื่องนี้คุณอรไม่เกี่ยว”
ทันใดนั้นใจเด็ดก็โพล่งขึ้นเพื่อยุติศึกน้ำลาย
“พอได้แล้ว” ทั้งหมดเงียบลง “หมอ...ฉันเชื่อในสิ่งที่ฉันเห็น”
เกริกไกรจะพูดทักท้วง “ไอ้เด็ด...”
ใจเด็ดสวนขึ้น “พวกนั้นไม่ได้ดีอย่างที่เราคิด...ฉันพูดแค่นี้...คิดว่าหมอน่าจะเข้าใจนะ”
เกริกไกรถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นท่าทีของใจเด็ด เจนจิรามองใจเด็ดด้วยความปลาบปลื้มที่ใจเด็ดเข้าข้างตน
ใจเด็ดคิดไปถึงสรนุชก็ยิ่งโกรธเธอมากขึ้น
สรนุชทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเองในห้องทำงานอย่างหัวเสีย
“ฉันบอกว่าฉันไม่ได้ทำ”
“แล้วทำไมคุณเจนถึงได้ล้มลงไปอย่างนั้นละ”
สรนุชโชว์มือให้อรอนงค์ดู
“ฉันต่างหากที่โดนทำ...แกเห็นมั้ย...ยัยนั่นบีบมือฉันจนเป็นรอยอย่างนี้...ฉันเจ็บ...ฉันก็สะบัดออก...ก็เท่านั้น”
“แกกำลังจะบอกว่าคุณเจนแกเล่นละครใส่ร้ายแกหรือไง”
“ฉันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้...อร...ท่าทางเกมคงจะยากกว่าที่คิด”
สรนุชหรี่ตาลงอย่างใช้สมอง อรอนงค์หนักใจ
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของสรนุชดังขึ้น สรนุชหยิบขึ้นมาดู แล้วก็ชะงักไป
สมพละกำลังเดินไปมาในห้องทำงาน ขณะที่คุยมือถือกับสรนุช
“ไม่มีอะไร...พ่อแค่จะโทรมาถามว่าเป็นไงบ้าง...อยู่กันได้มั้ย”
สรนุชทำหน้าเซ็ง อรอนงค์รีบจับมุมปากของสรนุชให้ฉีกยิ้ม
“หนูอยู่มาได้ถึงสามเดือน...ทำไมหนูจะอยู่ไม่ได้ล่ะคะ...หนูว่าคุณสมพลคงต้องการถามเรื่องยอดขายมากกว่าค่ะ”
“เปล่าๆ...พ่อไม่ได้จะถามเรื่องนั้น...เพราะพ่อมั่นใจในศักยภาพของหนูอยู่แล้ว...แล้วอีกอย่าง...หนูนุชก็คงไม่อยากให้คุณพ่อหนูเสียชื่อหรอก...จริงมั้ย”
สรนุชรู้ทันทีว่าสมพลกำลังกดดันเธอโดยเอาพ่อเธอมาอ้าง
สมพลแอบยิ้มร้าย แต่แล้วระหว่างนั้นพิภพก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง สมพลเห็นก็แปลกใจ
“พิภพ...แกเข้ามาทำไม”
“ก็เข้ามาเซ็นเอกสารไง...เห็นว่าแค่เรื่องเดียวฉันเดินมาเซ็นเองคงจะเร็วกว่า...คุยต่อไปเถอะ...ฉันจัดการเองได้”
สรนุชได้ยินการสนทนาระหว่างสมพลกับพิภพ
พิภพเดินมาลงนั่งที่โต๊ะของสมพลก่อนจะเปิดเอกสารขึ้นอ่าน ก่อนจะเจอเอกสารที่หา พิภพมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นปากกาที่หน้าอกของสมพล
พิภพลุกขึ้นแล้วหยิบปากกาที่หน้าอกสมพลไปเลยเหมือนไม่ให้เกียรติสมพล
ระหว่างเซ็นพิภพก็ชวนสมพลคุย “ไง...ว่าที่ลูกสะใภ้ขายได้สักคันหรือยัง”
ความรู้สึกสมพลพุ่งปรี้ดทันที
“เป็นถึงผู้บริหาร...ไม่น่าถามอะไรโง่ๆ นะพิภพ...ผมกำลังคุยกับคุณสรนุช...เธอโทร.มารายงานว่าแค่วันแรกที่เธอไป...ก็มียอดจองเข้ามาแล้วสิบสองคัน”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ “สิบสองคัน”
สมพลยิ้มแล้วเกทับพิภพ
“ถูกต้อง...ไง...คราวนี้อะไรๆ ที่หวังไว้...ก็อย่าหวังให้มันสูงแล้วกัน...ตกมาแล้วมันจะเจ็บ”
พิภพเซ็นเสร็จก็ลุกขึ้นก่อนจะเอาปากกามาเสียบไว้ที่หน้าอกของสมพลตามเดิม
“เกมมันเพิ่งเริ่ม”
พิภพตบที่หน้าอกของสมพลเบาๆ ก่อนจะเดินยิ้มเยาะออกไป
สมพลมองตามด้วยความเจ็บใจก่อนจะค่อยๆ ยกมือถือขึ้นมาพูด
“หนูนุชคงได้ยินแล้วใช่มั้ย...พ่อฝากด้วยนะ”
ที่บริษัทคาบาตี้สาขาสุรินทร์ ในห้องทำงานสรนุช อรอนงค์ตกใจเช่นเดียวกับสรนุช
“สิบสองคันในหนึ่งเดือน”
สรนุชทำหน้าเซ็ง “ก็ใช่น่ะซิ...ทำไมคนที่ซวยต้องเป็นฉันด้วยเนี่ย”
“โห...แล้วแกจะทำไง...ที่นี่น่ะสองเดือนขายได้คันนึงก็เก่งแล้ว”
สรนุชนิ่งครุ่นคิด ก่อนจะกดโทรศัพท์ต่อสายภายใน “เข้ามาพบฉันหน่อย”
สรนุชวางสาย อรอนงค์แปลกใจ “แกมีแผนแล้วเหรอ”
ยังไม่ทันที่สรนุชจะตอบ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
ชิดชัยเปิดประตูเข้ามาในห้อง “มีอะไรให้รับใช้ครับคุณนุช”
“ฉันต้องการขายให้ได้สามคันภายในอาทิตย์นี้”
“ห๊า ! เอ่อ...แล้วคุณนุชจะให้เราขายยังไงเหรอครับ”
“ยังไงก็ได้...ฉันไม่สนว่านายจะใช้วิธีอะไร...แต่ฉันต้องการเห็นยอดขายเพิ่มขึ้น”
สรนุชนิ่งไปอย่างมุ่งมั่น
ด้านชาญณรงค์กำลังนอนให้สมคิดทาครีมกันแดด ผลจากเมื่อตอนกลางวัน
“เบาๆซิวะ...แสบนะเว้ย...ไม่เข้าใจจริงว่าไอ้พวกชาวนามันทำนากันได้ยังไงกลางแดดอย่างนั้น...อูย”
“นายไม่คิดได้ยินเหรอครับว่าถ้าเราอยู่กับอะไรมากๆ มันก็เหมือนจะเหมือนอย่างนั้น...ไอ้ชาวนาพวกนั้นคงอยู่กับควายจนชินก็เลยหนังหนาเหมือนกัน”
ระหว่างนั้นช่อผกาเดินยิ้มอย่างมีความสุขเข้ามาก่อนจะแปลกใจเมื่อเห็นชาญณรงค์
“เป็นไรน่ะพ่อ”
“จะเป็นอะไร...ก็คุณสรนุชบอกว่าวันนี้จะมีการโชว์รถไถสาธิต...พ่อก็เลยไปรอตั้งแต่เช้า...จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็น...หึ...เห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง”
ชาญณรงค์ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บใจ แต่ช่อผกาได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มดีใจแทน
“นี่พ่อไม่รู้เหรอว่ายัยนั่นน่ะโดนพี่เด็ดเอาควายมาขวางถนนเอาไว้”
“อะไรนะ”
“หุๆ...นี่ฉันได้ยินมานะพ่อ...ว่ายัยนั่นเนี่ยหน้าแตกละเอียดกลับคาบาตี้ของมันไปเลย” แล้วนึกได้ที่พ่อพูด “เมื่อกี้พ่อบอกว่าพวกมันจะเอารถไถมาไถโชว์ในที่ของเราเหรอ”
“เออซิวะ”
“ไม่ได้ละ...ต้องไปบอกพี่เด็ดก่อน”
ช่อผกาจะเดินออกไป ชาญณรงค์คว้าผมจิกหมับเอาไว้
“แกจะไปบอกมันทำไม...ห๊ะ ! สมองแกน่ะมีมั้ย...แกรู้ไหม๊ถ้าชาวบ้านเกิดอยากได้รถไถขึ้นมา...มันก็ไม่มีปัญญาซื้อก็ต้องมากู้เงินฉันไปซื้อ...ฉันก็ได้ลูกหนี้เพิ่ม แล้วถ้าพวกมันสนใจมากๆ ฉันก็จะซื้อรถไถให้พวกมันเช่าไถน่าคิดค่าเช่าเป็นชั่วโมง...มีแต่เงินไหลมาเทมา”
“แต่พี่เด็ดไม่ไหลมานี่พ่อ”
“ก็ไอ้ใจเด็ดไม่ใช่น้ำนี่ครับ” สมคิดสอดขึ้น
ช่อผกาหันไปทำปากแต่ไม่ออกเสียง “เสือก” แล้วหันมาคุยกับชาญณรงค์ “พ่อ...เงินเราก็มีเยอะแล้ว...แต่ที่เรายังไม่มี...ก็คือครอบครัวที่อบอุ่นนะพ่อ...พ่อคิดดูนะ...หนูกับพี่เด็ดพอแต่งงานกัน...ก็จะมีหลานตัวเล็กๆ มาให้พ่อเลี้ยงซักโหลนึงดีมั้ยพ่อ”
“พอเลยนังนี่...แค่แกคนเดียวฉันก็กลุ้มใจไม่รู้จะยังไงแล้ว...เกิดลูกแกได้เชื้อโง่จากแกมาอีก...ฉันไม่แย่เหรอไง”
“พ่ออ่ะ...ไม่คุยด้วยแล้ว”
ช่อผกาหันหลังแล้วเดินออกจากบ้านไปเลย
“เอ้า...จะไปไหนอีก...นี่มันจะค่ำแล้วนะเว้ยนังผกา”
ด้านสรนุชกำลังคิดหมกมุ่นหนักกับวิธีที่จะขายรถไถให้ได้ ระหว่างนั้นสรนุชวางปากกาลงอย่างหงุดหงิดก่อนจะนึกไปถึงเรื่องการเผชิญหน้ากันเมื่อตอนกลางวัน
ใจเด็ดรีบเข้ามาดูเจนจิราด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่เจนจิราล้มลง
ใจเด็ดรีบเข้ามาดูเจนจิราด้วยความเป็นห่วง “เป็นไรหรือเปล่าเจน”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ใจเด็ดหันมองไปที่สรนุชทันที สรนุชพยายามจะอธิบาย
“ฉันไม่ได้ทำอะไรนะ”
“ขนาดผมเห็นกับตาว่าคุณเป็นคนผลักเจนล้มลงอย่างนี้...คุณยังบอกอีกเหรอว่าคุณไม่ได้ทำ”
“ก็ฉันไม่ได้ทำ”
“พอได้แล้ว...เลิกเสแสร้งเป็นคนดีซะที”
นึกถึงตอนนี้ สรนุชทุบโต๊ะด้วยความโมโห “ไม่ได้...ฉันจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ไม่ได้”
ว่าแล้วสรนุชก็ลุกเดินออกจากไป
คืนนั้นใจเด็ดกำลังนั่งทำสถิติของควายอยู่ภายในบ้านพัก ระหว่างนั้นใจเด็ดวางปากกาลงก่อนจะนึกไปถึงเรื่องของสรนุชกับโชคชัย
สรนุชเจอกับใจเด็ดที่หน้าที่ทำการอบต. แล้วมีโชคชัยเข้ามาแทรก ใจเด็ดปรี่เข้ามาหาสรนุช
“นายจะทำอะไร...ถอยไปนะ...ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องให้คนช่วย...ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
ระหว่างนั้นโชคชัยวิ่งเข้ามาพอดี
“คุณนุช”
โชคชัยปราดเข้ามาผลักใจเด็ดเพราะคิดว่าใจเด็ดจะทำร้ายสรนุช สรนุชได้ทีเลยเล่นละครต่อ
“ช่วยด้วยค่ะคุณโชค...เขาจะทำร้ายฉัน”
“เฮอะ...ทำร้าย..? ถ้าทำร้ายมันต้องอย่างนี้ต่างหาก”
ใจเด็ดจะเข้าไปหาสรนุช แต่แล้วโชคชัยก็เอาตัวเข้ามาบัง ใจเด็ดชะงักรู้ได้ทันทีว่าโชคชัยคิดยังไง
ใจเด็ดพยายามสลัดความคิดออก แต่แล้วขณะที่ใจเด็ดกำลังจะทำงานต่อ อาการปวดหัวของเขาก็กำเริบ
“อ้าก”
ใจเด็ดดิ้นทุรนทุรายก่อนจะที่เขาจะพยายามเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบยาแก้ปวดขึ้นมา ก่อนจะรีบกินมันทันที
คืนนั้นระหว่างที่ช่อผกาขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่หน้าสถานี เห็นคนงานคนหนึ่งเลื่อนประตูเล็กกำลังจะปิด
“เดี๋ยวๆ...”
ช่อผกาบีบแตรเสียงดังลั่น ก่อนจะมาหยุดที่หน้าประตู
“นี่...จะรีบปิดไปไหน...พี่เด็ดอยู่ไหนรู้มั้ย”
“สงสัยอยู่ที่บ้านพักแล้วครับ”
ช่อผกาผุดยิ้มร้าย ออกมาคิดแผนลึกล้ำขึ้นมาทันที
ใจเด็ดนอนอยู่ที่โซฟาในบ้านพัก สายตาของใจเด็ด เห็นภาพทุกอย่างเบลอๆ ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ใจเด็ดค่อยๆหันมองไปที่ประตู
ใจเด็ดถามเสียงแหบแห้งแผ่วเบา “ใคร”
แต่ยังไม่ทันที่ใจเด็ดจะลุกไปเปิด เขาก็เห็นประตูค่อยๆ เปิดออก ใจเด็ดพยายามเพ่งมองภาพแต่ที่เขาเห็นก็คือภาพของผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู
“พี่เด็ด...เป็นอะไรคะ”
ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาหาใจเด็ดด้วยความเป็นห่วง ใจเด็ดต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นคือสรนุช
“คุณ”
“อะไรคะ...ทำเหมือนไม่เคยเห็น...พี่เด็ดเป็นไรคะเนี่ย”
ใจเด็ดที่กำลังสะลึมสะลือ พยายามปัดไม้ปัดมือสรนุชออก
“ไม่ต้องมายุ่งกับผม...ปล่อย”
“จะไปไหนล่ะคะ”
ใจเด็ดที่พยายามหนีแต่เพราะฤทธิ์ยากำลังออกฤทธิ์เต็มที่ ทำให้ใจเด็ดเสียหลักล้มลงไปพร้อมกับสรนุชที่ประคองกันอยู่
ใจเด็ดถึงกับอึ้งไปเมื่อเห็นใบหน้าของสรนุชใกล้ไม่ถึงคืบ สรนุชค่อยๆ หลับตาลงพร้อมกับเลื่อนริมฝีปากเข้ามาใกล้ปากใจเด็ด ใจเด็ดค่อยๆ หลับตาลง
แต่ยังไม่ทันที่สรนุชกำลังจะจูบใจเด็ด เสียงของเจนจิราก็ดังขึ้น
“ทำอะไรน่ะผกา”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็พยายามมองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า แล้วใจเด็ดก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นช่อผกา ไม่ใช่สรนุช
“ผกา”
“ก็ผกาน่ะซิคะ...แล้วพี่เด็ดคิดว่าใคร”
เจนจิราปรี่เข้ามาจากประตูก่อนจะรีบกระชากร่างของช่อผกาออกจากตัวของใจเด็ด ใจเด็ดสะลึมสะลือเต็มที แล้วใจเด็ดก็สลบไปในที่สุด เกริกไกรรีบเข้ามาดูใจเด็ด
“ไอ้เด็ด...ไอ้เด็ด...” บอกกับทุกคน “หลับไปแล้ว”
“ย่องเข้าหาผู้ชายอย่างนี้...ไม่รักศักดิ์ศรีตัวเองบ้างหรือไง” เจนจิราเปิดฉากด่า
“ศักดิ์ศรีฉันก็รัก...แต่ฉันรักพี่เด็ดมากกว่า” ช่อผกาไม่สน
“หน้าด้าน...”
“หน้าด้านอะไร...ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกับพี่เด็ดรักกัน...ไม่อย่างนั้นพี่เด็ดจะยอมนอนนิ่งๆ ให้ฉัน...” ช่อผกาทำท่าจูบเย้ยเจนจิรา
“ผกา...ที่ไอ้เด็ดมันไม่ขัดขืนเธอเพราะยานอนหลับอย่างแรงนี่ต่างหาก”
ช่อผกาหน้าเจื่อนลง แต่ยังไม่ยอมแพ้
“ไม่รู้แหละ...ยังไงพี่เด็ดก็ต้องรับผิดชอบผกา”
“เธอยังจะกล้าพูดอีกเหรอ...ไปเลยนะ...ก่อนที่ฉันจะเอาควายมาลากเธอออกไป...ไป๊”
เจนจิราคว้าไม้กวาดขึ้นทำท่าจะตีช่อผกา จนทำให้ช่อผกาต้องรีบโกยอ้าวทันที
“อ๊าย...นังบ้า”
เจนจิราโยนไม้กวาดทิ้งก่อนจะรีบเข้ามาหาใจเด็ด “พี่เด็ด...พี่เด็ด”
“อย่าไปเรียกมันเลยเจน...ไอ้เด็ดไม่เป็นไรหรอก...ไป...ช่วยฉันแบกมันขึ้นไปนอนที่ห้องหน่อย”
เกริกไกรกับเจนจิราเข้ามาช่วยพยุงใจเด็ด
อ่านต่อตอนที่ 12