รักประกาศิต ตอนที่ 11
บรรยากาศยามเช้าภายในไร่สุพัฒนาสวยสงบ สุพัฒนาซึ่งอยู่ในเสื้อคลุมชุดนอนกำลังยืนเลือกตัดดอกไม้อยู่ นิพนธ์เดินถืออุปกรณ์ทำแปลงดอกไม้มาพอสุพัฒนาหันมาเห็นเธอก็จะเดินหนีไป นิพนธ์จึงรีบเรียกไว้
“คุณเล็กครับ ผมขอโทษนะครับ เรื่องเมื่อวาน”
สุพัฒนาชะงักหยุดนิ่งแต่ไม่ยอมหันมา
“ผมไม่ควรพูดแบบนั้น ผมอยากให้คุณเล็กรู้ว่า ผมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรครับ”
“รู้ตัวก็ดี ต่อไปก็อย่าพยามเสนอหน้ามาให้ฉันเห็นอีก”
พูดจบสุพัฒนาก็หันไปจ้องหน้านิพนธ์ด้วยแววตาโกรธจัดพร้อมกับกำดอกไม้ในมือแน่น นิพนธ์เห็นเช่นนั้นก็ก้มหน้าหลบตา
“ครับ ผมสัญญา” นิพนธ์เดินหน้าเศร้าออกไป
สุพัฒนารู้สึกใจหายวูบ เธอมองตามด้วยความรู้สึกสับสนและหงุดหงิด
“ไอ้บ้า!” สุพัฒนาด่าออกมา
ทันใดนั้น บัวเกี๋ยงก็เดินมาตามเจ้านาย
“คุณเล็กขา อยู่นี่เอง สายแล้วนะคะ ไปกินข้าวเถอะค่ะ”
สุพัฒนายังยืนนิ่งพร้อมกับกำมือแน่น บัวเกี๋ยงมองอย่างสงสัย
“คุณเล็กทำอะไรอยู่เหรอคะ บัวเกี๋ยงตั้งโต๊ะให้แล้วนะคะ กับข้าวน่ากิ๊น น่ากินทั้งนั้นเลย ไปช้าเดี๋ยวเย็นจะไม่อร่อยนะคะ”
สุพัฒนาหงุดหงิด “โอ๊ย เป็นแม่ฉันหรือไง สั่งอยู่ได้ รำคาญ” แล้วสุพัฒนาก็เดินออกไปทันที
บัวเกี๋ยงงง “อะไรวะ ด่ากูแต่เช้าทำไมเนี่ย”
สุพัฒนาเปลี่ยนชุดทำงานมานั่งจัดดอกไม้ใส่แจกันที่โต๊ะทำงานของเธอ จากนั้นสุพัฒนาก็นั่งลงด้วยความหงุดหงิด เธอมองดอกไม้ในแจกันแล้วพูด
“ถ้าแกผิดสัญญา ฉันจะฟ้องพี่ภูให้ไล่แกออกเลย ไอ้นิพนธ์ ไอ้บ้า ไอ้กระจอกไม่เจียมตัว”
สุพัฒนาเดินเอาแจกันดอกไม้ไปตั้งบนโต๊ะ พอจะเดินไปก็เห็นแฟ้มบนโต๊ะจึงสงสัย สุพัฒนาหยิบแฟ้มมาเปิดดูแล้วก็ต้องตกใจ
“นี่มัน...รายงานการเข้ารหัสการใช้คอมพ์ของนังนิด...อะไรกันเนี่ย”
สุพัฒนาเริ่มกลัวเพราะคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไร
บัวเกี๋ยงที่ฟังเรื่องจากสุพัฒนามีสีหน้าตื่นตกใจ
“อะไรนะคะ พ่อเลี้ยงรู้เรื่องแล้ว”
สุพัฒนารีบเอามือปิดปากบัวเกี๋ยง
“เบาๆสิ ฉันไม่ได้บอกว่ารู้ แต่มันมีแฟ้มอยู่บนโต๊ะ”
“อ้าว...แล้วตกลงมันยังไงล่ะคะ” บัวเกี๋ยงงง
“แสดงว่าเรื่องที่พี่ภูกับไอ้นิพนธ์มันคุยกันเมื่อวานต้องเป็นเรื่องนี้ เราต้องหาทางแก้ไข”
“เราเหรอคะ...บัวเกี๋ยงไม่เกี่ยวนะคะ คุณเล็กทำคนเดียว บัวเกี๋ยงไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์สักหน่อย ไม่เอานะคะ บัวเกี๋ยงไม่ยอมถูกไล่ออก บัวเกี๋ยงอยากทำงานที่นี่”
“โอ๊ย หุบปากซะที ฉันมั่นใจน่ะว่าไม่มีใครรู้ว่าเป็นฝีมือฉัน แต่ถึงรู้ก็จับไม่ได้หรอก”
“ถ้าจับไม่ได้ แล้วคุณเล็กจะหาทางแก้ไขทำไมล่ะคะ”
“ก็ฉันกลัวพี่ภูจะไปตามมันกลับมาน่ะสิ”
“จริงด้วยค่ะ ถ้านังนิดมันกลับมาจริงเราจะทำไงดีคะ ต่อไปพ่อเลี้ยงมิเทอดทูนมันจนคุณเล็กไม่มีที่ยืนในไร่เหรอคะ”
บัวเกี๋ยงรีบใส่ไฟ สุพัฒนากัดปากด้วยความเจ็บใจ
นิพนธ์กำลังเช็คสต็อคลังองุ่นอยู่ท้ายรถกระบะที่จอดหน้าไร่องุ่น เขานับแล้วก็จด ส่วนเป็งยืนรออยู่ข้างๆ รถกระบะ
“โอเค ไปส่งได้” นิพนธ์บอก
“ครับ” เป็งขึ้นรถแล้วขับออกไป
นิพนธ์หันมาเจอภูชิชย์ยืนอยู่
“อ้าวพ่อเลี้ยง มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ช่วยอะไรฉันหน่อยสิ” ภูชิชย์เอ่ย
“ได้ครับ”
ภูชิชย์ลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามออกมา “ได้ติดต่อกับนริศราบ้างหรือเปล่า”
นิพนธ์นิ่งเพราะงงไปเล็กน้อยแล้วก็ยิ้มอย่างรู้ทัน
“อ๋อ พ่อเลี้ยงอยากให้ผมช่วยโทรหาคุณนิด”
“เฮ้ย ทำไมต้องรู้ทันด้วยวะ” ภูชิชย์เซ็ง
“แล้วทำไมไม่โทรเองล่ะครับ”
ภูชิชย์โวย “ฉันโทรหลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่รับโว้ย”
นิพนธ์ยิ้มและขำ “อ่อ ครับๆ งั้นเดี๋ยวผมจัดให้” นิพนธ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
นริศรากำลังนั่งพิมพ์งานอยู่ในออฟฟิศของศูนย์วิจัย สักพักเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น นริศราหยิบขึ้นมาดู แล้วยิ้มก่อนจะกดรับ
“คุณนิพนธ์ เป็นยังไงบ้างคะ” นริศราดีใจ
“สบายดีครับ คุณ...”
นิพนธืยังพูดไม่ทันจบ ภูชิชย์ก็แย่งโทรศัพท์ไปพูด
“นริศรา เมื่อวานที่เธอพูดน่ะหมายความว่าไง ในเมื่อเธอไม่ผิด”
สักพักก็มีเสียงตื๊ดๆๆ ดังขึ้น ภูชิชย์ชะงักแล้วดูหน้าจอ นิพนธ์มองด้วยความสงสัย
“นี่ตัดสายอีกแล้วเหรอ” ภูชิชย์บ่น
ส่วนนริศราก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแล้วถอนใจ
“แบบนี้น่าจะเข้าใจแล้วนะคะ” นริศราพึมพำ
ภูชิชย์อารมณ์เสีย “เธอคิดว่าทำแบบนี้ดีแล้วใช่ไหม ได้...”
“จะให้ผมโทรอีกไหมครับ” นิพนธ์ถาม
ภูชิชย์หงุดหงิดใส่ “ไม่ต้อง ไม่โทร ไม่ง้อ ไม่อีกแล้ว ไม่ๆๆ” พูดจบภูชิชย์ก็เดินไปทันที
นิพนธ์หน้าเหวอก่อนจะยิ้มออกมา “เป็นอย่างที่คิดแหงๆ”
ภูชิชย์เอาแต่หน้าบึ้งทำงานโดยไม่พูดกับใครทั้งวัน เขาริดผลองุ่นอยู่ในไร่ เจมส์เอาน้ำมาให้ก็ส่ายหน้าไม่เอา แล้วก็ริดผลองุ่นต่อไปแบบไม่สนใจใคร นิพนธ์เดินเข้ามาคว้าน้ำจากมือเจมส์ไปกิน แล้วก็มองภูชิชย์อย่างขำๆ
ภูชิชย์ไปตัดใบองุ่น เขาขะมักเขม้นจนคนงานต้องถอยให้ภูชิชย์ทำคนเดียว
ขณะที่เจมส์ นิพนธ์ และคนงานกำลังริดผลองุ่นอยู่ ภูชิชย์ก็ลากสายยางมาฉีดน้ำให้องุ่น แต่ก็โดนคนงานไปด้วย คนงานวิ่งหลบกันเป็นแถบ แต่ภูชิชย์ก็ไม่สนใจยังคงพ่นน้ำต่อไป
ภูชิชย์เอาหญ้าและน้ำใส่รางให้วัว แต่ลืมตัวตักใส่เยอะเกินไป เจมส์กับนิพนธ์ต้องคอยเอาหญ้ากับน้ำออกให้
ภูชิชย์ช่วยเจมส์และนิพนธ์ยกถังนมขึ้นท้ายกระบะของรถ แล้วภูชิชย์ก็เข็นขี้วัวไปเทที่ลานตากแห้ง ขากลับเขาเห็นเจมส์กำลังเข็นอีกคันไป เขาก็เข้ามาคว้าแล้วเข็นไปเอง เจมส์มองอย่างงงๆ
ภูชิชย์ไปขัดล้างคอกวัว เจมส์มองหน้านิพนธ์อย่างไม่เข้าใจ ส่วนนิพนธ์ยิ้มขำ
“ตกลงพ่อเลี้ยงเขาไม่เป็นผู้อำนวยการแล้วใช่ไหมครับ?” เจมส์ถามนิพนธ์
ภูชิชย์นั่งลงตั้งท่าจะรีดนมวัว แต่นิพนธ์มาดึงแขนเขาเอาไว้ ภูชิชย์เงยหน้ามอง ส่วนเจมส์ยืนเกาะคอกวัวดูอยู่
“มีอะไร” ภูชิชย์ถามนิพนธ์
“พักก่อนเถอะครับ” นิพนธ์บอก
“พักได้ยังไง เดี๋ยวงานก็ช้ากันพอดี อ๋อ ตอนฉันไม่อยู่นายก็หละหลวมแบบนี้ใช่ไหมเป็นผู้จัดการยังไง ไม่ได้เรื่อง”
“อ้าว พี่นิพนธ์โดนเม้งซะงั้น” เจมส์งง
“เดี๋ยวนี้คล่องภาษาไทยเหลือเกินนะเจมส์ แล้วตกลงฝึกอะไรไปถึงไหนบ้าง เขียนรายงานบ้างหรือเปล่า” ภูชิชย์หันมาหาเรื่องเจมส์บ้าง
เจมส์ยิ้ม “ทำไมวันนี้พ่อเลี้ยงมู้ดดี้จังครับ”
นิพนธ์แกล้งพูดกระทบภูชิชย์ “ก็พี่คงทำงานไม่ดีเท่าคุณนิดล่ะมั้ง”
ภูชิชย์หันมาทำตาขวางใส่นิพนธ์ นิพนธ์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“คิดถึงพี่นิดนะครับ พ่อเลี้ยงคิดถึงไหมครับ” เจมส์ถาม
ภูชิชย์ตกใจที่ได้ยินคำถาม แต่ก็ทำเป็นเฉย “ก็งั้นๆ”
นิพนธ์แอบขำ
“พ่อเลี้ยงครับ จะมาอารมณ์เสียอยู่ทำไมล่ะครับ พ่อเลี้ยงโทรถามคุณโป๊ะก็หมดเรื่อง” นิพนธ์เสนอ
“เคยไปถามมาแล้ว เขาบอกไม่รู้” ภูชิชย์บอก
“รู้แต่ไม่บอกมากกว่า เพราะเราทำกับเพื่อนเขาแรงขนาดนั้น เขาก็ต้องปกป้องเพื่อนเขาอยู่แล้ว”
“แล้วจะทำไงล่ะ” ภูชิชย์ถามกลับ
“ลองหาตัวช่วยสิครับ”
ภูชิชย์มองหน้านิพนธ์อย่างงงๆ เพราะยังตามไม่ทันความคิดของนิพนธ์
รัชนิดาปิดกระเป๋าเดินทางอยู่ในห้องรับแขกที่บ้าน โดยมีวิทวัสนั่งอยู่ข้างๆ
“ทำไมคุณวัสไม่ลองโทรไปหาคุณนิดก่อนล่ะคะ” รัชนิดาถาม
“ตอนนี้ไม่ว่าใครที่ข้องเกี่ยวกับสุพัฒนาการเกษตร คุณนิดคงไม่ยอมรับสาย ขนาดวันนี้พอพี่ภูบอกผมปุ๊บ ผมก็เอาเบอร์อื่นโทรไป พอคุณนิดได้ยินเสียงเธอก็วางเลย” วิทวัสบอก
“ก็ถ้างั้นคุณวัสแน่ใจแล้วเหรอคะ ที่จะไปตามคุณนิดกลับ”
“ทำไมเหรอ หรือคุณไม่เห็นด้วย”
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ แต่นิดากลัวว่าถ้าคุณนิดกลับมาแล้วคุณเล็กก็คงอาละวาดหาทางให้เธอออกไปอีก นิสัยคุณเล็กเราก็รู้ๆกันอยู่”
“นี่ไง ผมถึงต้องขึ้นไปเอง เพราะถ้าจัดการตามคุณนิดกลับมาได้ แล้วเขาอยู่ที่ไร่ไม่ได้จริงๆ พี่ภูก็อยากให้มาทำงานที่กรุงเทพฯ”
“แล้วไม่คิดบ้างเหรอคะว่าคุณนิดเธออาจจะได้งานที่ดีกว่าถึงไม่ยอมกลับ” รัชนิดาตั้งคำถาม
“เอาเป็นว่าถ้าผมรู้แน่นอนว่าคุณนิดเธอได้งานที่ดีกว่า ผมจะบอกให้พี่ภูเลิกยุ่งกับเธอเอง”
“คุณวัสว่ามันมีอะไรแปลกๆไหมคะ”
วิทวัสงง “แปลก...อะไรแปลก”
“ก็ความรู้สึกที่คุณภูมีต่อคุณนิดน่ะสิคะ”
วิทวัสมองหน้ากับรัชนิดาแล้วก็อมยิ้มกัน
บัวเกี๋ยงกำลังนั่งรายงานให้สุพัฒนานั่งฟังอยู่ในห้องนอนของสุพัฒนา
“จริงๆนะคะ พวกที่ฟาร์มวัวมันเอามาคุยที่โรงอาหารกันใหญ่เลย ว่าพ่อเลี้ยงโทรเรียกคุณวัสให้กลับมาตามนังนิด”
“โอ๊ย...นังนิด ฉันจะทำยังไงกับแกดีเนี่ย” สุพัฒนาไม่พอใจ
“คุณเล็กก็สั่งคุณวัสอย่ามาสิคะ” บัวเกี๋ยงเสนอ
สุพัฒนาหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์มัลลิกาแล้วโทรออก
“มอลลี่ พี่วัสกำลังมาที่ไร่ ต้องดึงไว้นะ....อะไรนะ เบื่อพี่วัสแล้ว เลยลาออกไปอยู่ฝรั่งเศส ไม่ได้นะ นี่จะบ้าเหรอ ใครสั่งให้ไป ไม่รู้ล่ะยังไงก็ต้องจัดการพี่วัสให้คุณเล็กก่อน....ฮัลโหล...มอลลี่..” สุพัฒนาตวาด “ มอลลี่...กรี๊ด”
สุพัฒนาโมโหขว้างโทรศัพท์ทิ้งทันที
“ว่าไงคะ” บัวเกี๋ยงถาม
“ว่าไงล่ะ นังเพื่อนทรยศฉันมันไม่ยอมทำให้น่ะสิ หนอย ยังมาบอกว่าฉันโชคดีที่มีพี่ชายดีๆสองคน อย่าไปบังคับเขา อีบ้า อีเพื่อนบ้า มาสั่งสอนฉันได้ไง”
“ตกลงก็คือเราทำอะไรไม่ได้อีกตามเคย” บัวเกี๋ยงสรุป
“ไม่มีทาง....ให้มันรู้ไปว่าพี่วัสจะใหญ่กว่าฉัน”
เช้าวันใหม่ วิทวัสมายืนประจัญหน้ากับสุพัฒนาในห้องรับแขก โดยมีภูชิชย์ยืนอยู่ด้วย
“นี่พี่ภูอยากได้นังนิดมันกลับมาที่นี่มากจนถึงขนาดต้องให้พี่วัสไปง้อมันเลยเหรอคะ”
“ก็ตอนนี้พี่รู้แล้วว่านริศราไม่ผิด เขาก็มีสิทธิ์จะทำงานที่นี่ไม่ใช่เหรอ” ภูชิชย์บอก
“ไม่ผิดยังไง หลักฐานก็มีอยู่พี่ภูกับนิพนธ์ก็เห็น” สุพัฒนาโวย
ภูชิชย์ชูแฟ้ม “คุณเล็กเห็นรายงานนี่แล้วใช่ไหม มันแสดงว่ามีคนป้ายความผิดให้กับคุณนิด”
“แล้วไง งั้นก็ไปหาคนผิดมาสิ แต่ถ้าหาไม่ได้ คุณเล็กก็จะถือว่ามันเป็นคนผิดตลอดชาติ!”
วิทวัสแกล้งพูดเหน็บ “พี่ภูครับ ผมว่าเราลองแจ้งตำรวจดีไหมครับ เผื่อเขาจะมีทางรีบจับตัวมันมาเปิดโปง จะได้ประจานให้รู้กันทั้งไร่ไปเลย”
สุพัฒนาเริ่มกลัว “นี่พี่วัส...เรื่องมันจบไปแล้วพี่วัสไม่เกี่ยวไม่ต้องมายุ่ง”
“พี่ไม่เกี่ยวได้ยังไง เอ๊ะๆๆ หรือคุณเล็กกลัวตำรวจ” วิทวัสจ้องหน้าน้องสาว “แบบนี้ควรส่งไปให้การเป็นคนแรกเลย ได้ข่าวว่าเป็นคนเจอหลักฐานก่อนใครไม่ใช่เหรอ แบบนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีนะ”
“กรี๊ด ไอ้พี่วัส ไอ้บ้า อย่ามากวนประสาทฉันนะ พูดอย่างนี้ก็กลับไปเลยไป!”
“ไม่ต้องไล่หรอกคุณเล็ก ถ้าคุณเล็กเลิกนิสัยแบบนี้ไม่ได้ วันหนึ่งทุกคนก็จะไปจากคุณเล็กเอง ไม่ใช่แค่เพื่อนอย่างมอลลี่นะ ต่อไปแม้แต่พี่ภูก็จะไปจากคุณเล็ก”
สุพัฒนากรี๊ดลั่นแล้วทำเป็นเซคล้ายจะเป็นลม ภูชิชย์ตกใจจะเข้าไปประคองแต่วิทวัสดึงพี่ชายไว้
“อย่าพี่ภู ไม่ต้องไปโอ๋เขา”วิทวัสบอก
“นายวัส นายพูดแรงเกินไปหรือเปล่า” ภูชิชย์ตำหนิ
“คุณเล็กเขาไม่ตายหรอกครับพี่ภู”
สุพัฒนากรี๊ดขึ้นมาอีก ภูชิชย์ยังลังเล
แต่วิทวัสดึงภูชิชย์ให้เดินออกไป “ไปเถอะครับ”
วิทวัสลากภูชิชย์ออกมา โดยที่ทั้งคู่ยังได้ยินเสียงกรี๊ดและเสียงร้องไห้ของสุพัฒนายังดังเล็ดลอดออกมา ภูชิชย์มองเข้าไปด้วยความกังวล
“วัส พี่ไม่อยากทิ้งน้องไว้อย่างนี้”
“พี่ภูหัดใจแข็งบ้างเถอะครับ พี่ต้องดัดนิสัยเขาบ้าง ร้ายอย่างนี้ ไม่ไหวหรอก ผมว่ามันไม่ได้เป็นแค่เรื่องสารเคมีในสมองผิดปกติแล้ว แต่มันเป็นเพราะพวกเราไปตามใจจนนิสัยเขาเสียต่างหาก”
ภูชิชย์มองเข้าไปข้างในด้วยความเป็นห่วง
บัวเกี๋ยงทำเป็นวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากข้างใน
“พ่อเลี้ยงขา...คุณเล็กแย่แล้วค่ะ”
“นายรักเราไม่ใช่เหรอบัวเกี๋ยง ก็ไปดูแลพยาบาลหน่อยแล้วกัน” วิทวัสบอกแล้วพูดกับภูชิชย์ “ไปครับพี่ภู เรามีเรื่องต้องทำอีกเยอะ”
ภูชิชย์ลังเลแต่ก็จำใจพยักหน้ารับ แล้วเดินออกไปกับวิทวัส
บัวเกี๋ยงจะเดินเข้าบ้าน แต่แล้วก็ชะงักเพราะคิดได้
“ปล่อยให้เป็นบ้าไปเลยก็ดีเหมือนกัน ไปหาข้าวกินดีกว่า”
บัวเกี๋ยงยิ้มอย่างสะใจแล้วเดินบิดก้นออกไปอย่างสบายใจ
รถของภูชิชย์แล่นออกมาจากไร่ นิพนธ์เป็นคนขับรถโดยมีภูชิชย์นั่งข้างๆ ส่วนวิทวัสนั่งข้างหลัง
“นายวัส นายแน่ใจเหรอว่าจะใช้วิธีนี้” ภูชิชย์ถาม
“อ้าว...ก็พวกเราโทรไปคุณนิดก็ไม่กลับ มันก็ต้องส่งราชรถไปรับแบบนี้ล่ะครับ” วิทวัสบอก
“แล้วคุณวัททราบเหรอครับว่าจะไปรับคุณนิดที่ไหน” นิพนธ์ถามขึ้น
“ไม่รู้หรอก” วิทวัสตอบ
“เฮ้ย...นายวัส แล้วให้เอารถออกมาทำไม ตกลงนายจะทำอะไรเนี่ย”
“ถึงผมไม่รู้ แต่มันก็ต้องมีคนรู้ว่าคุณนิดอยู่ไหน พี่ภูคิดว่าเป็นใครครับ” วิทวัสพูดอย่างมีแผน
“ถ้าให้เดาก็มีสองคน นายโป๊ะกับเจ้าน้อย” ภูชิชย์ตอบ
“งั้นเราก็ไปถามเจ้าน้อยดีไหมครับ เพราะคุณโป๊ะพ่อเลี้ยงเคยไปแล้วไม่ได้ผล” นิพนธ์เสนอ
“ไม่ดีหรอก ถึงเจ้าน้อยรู้ก็คงไม่บอก” ภูชิชย์บอก
“ถูกต้องครับ เราต้องไม่ถาม” วิทวัสพูด
นิพนธ์กับภูชิชย์หันไปมองหน้าวิทวัสด้วยความสงสัย
วิทวัสมองข้างหน้าแล้วก็ตกใจรีบชี้ “เฮ้ย...นิพนธ์ทางโค้ง”
นิพนธ์หักหลบได้ทัน ทั้งสามถอนใจด้วยความโล่งอก
“นายวัส อย่าทำเท่ห์เลย จะให้ทำไงก็บอกมาดีกว่า” ภูชิชย์บอก
ภูชิชย์ วิทวัส และนิพนธ์เห็นพิสุทธิ์ขับรถออกจากโรงแรม ทั้งสามนั่งอยู่ในรถซึ่งจอดแอบอยู่มุมหนึ่ง นิพนธ์ขับรถตามพิสุทธิ์ออกมาบนถนนในตัวเมืองที่มีรถหนาแน่น
ที่ถนนนอกเมืองที่มีรถบางตา รถของภูชิชย์ยังคงขับตามรถพิสุทธิ์อยู่ห่างๆ
ที่ถนนบนดอย เหลือรถเพียงสองคันที่ขับตามกันไป
พิสุทธิ์ขับรถไปเรื่อยๆโดยที่ยังไม่รู้ตัวว่าถูกสะกดรอยตาม แต่เขาก็เห็นรถคันหนึ่งตามหลังมาตลอด พอขับไปสักพักพิสุทธิ์ก็เริ่มเอะใจ
พิสุทธิ์มองผ่านกระจกมองหลังก็เห็นรถของภูชิชย์ตามอยู่ห่างๆ ส่วนภูชิชย์มองไปรอบๆ ก็เห็นว่าไม่มีรถเลย เขาจึงพูดกับวิทวัสและนิพนธ์
“พี่กลัวนายโป๊ะจะรู้ว่าเราแอบตาม”
“ผมจะขับให้ห่างอีกนะครับ” นิพนธ์บอก
ทั้งสามเห็นพิสุทธิ์จอดรถเข้าข้างทาง
“เขาจอดทำไมน่ะ” ภูชิชย์สงสัย
“ผมควรขับเลยไปก่อนไหมครับ” นิพนธ์ถาม
พิสุทธิ์ลงมาจากรถ แล้วโบกให้รถนิพนธ์จอด
“คงไม่ต้องแล้วล่ะ เขารู้แล้ว” วิทวัสบอก
นิพนธ์จอดรถต่อท้ายรถพิสุทธิ์ พิสุทธิ์เดินมาที่ประตูรถของภูชิชย์ทันที
นิพนธ์เปิดกระจกลงมา พิสุทธิ์จึงมองเห็นกลุ่มของภูชิชย์
“อ่อ พวกคุณนี่เอง ตามผมมาทำไม่ทราบ”
ภูชิชย์หน้าเจื่อนทันที
ทั้งหมดลงมาคุยกันที่ริมถนน
“แล้วพวกคุณแน่ใจได้ยังไงว่าผมกำลังจะไปหานิด” พิสุทธิ์ถาม
“พวกผมเดาถูกใช่ไหม” ภูชิชย์ถามกลับ
พิสุทธิ์ไม่อยากตอบจึงหันมองไปทางอื่น
“พวกผมมีเรื่องต้องบอกคุณนิดครับ รบกวนขอตามคุณโป๊ะไปด้วยนะครับ” นิพนธ์เจรจา
“แต่นิดเขาคงไม่อยากรู้ แล้วก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกคุณอีก” แล้วพิสุทธิ์ก็หลุดปาก “เขาอยู่ที่ศูนย์วิจัยก็สบายดีอยู่แล้ว”
“ศูนย์วิจัยไหน ใช่ศูนย์วิจัยกาแฟหรือเปล่า” ภูชิชย์รีบถาม พิสุทธิ์ไม่ตอบ “ต้องใช่แน่ๆ นริศรากำลังสนใจเรื่องกาแฟอยู่พอดี ไปกันเถอะ”
ภูชิชย์ นิพนธ์ และวิทวัสจะกลับขึ้นรถ
พิสุทธิ์รีบขัดออกมา “แล้วไม่คิดบ้างเหรอว่านิดเขาอยากเจอพวกคุณหรือเปล่า” พิสุทธิ์พูดกับภูชิชย์ “คุณน่าจะรู้ดีนะพ่อเลี้ยง ที่โทรศัพท์นิดขึ้นเบอร์คุณตั้งสามสิบมิสคอล ท่าทางเขาจะไม่อยากคุยกับคุณเอาซะเลย”
ภูชิชย์หันขวับ “คุณรู้ด้วยเหรอ”
“ก็ผมเจอนิดเกือบทุกวันนี่ครับ แล้วถ้ามีอะไร นิดเขาก็บอกผมทุกเรื่อง”
ภูชิชย์ยิ้ม “แต่นริศราเขาก็โทรกลับผมแล้ว”
พิสุทธืได้ยินก็อึ้ง นิพนธ์แอบขำ วิทวัสงงกับท่าทางของภูชิชย์และนิพนธ์
“ถ้างั้นทำไมคุณถึงไม่รู้ล่ะว่านิดเขาอยู่ที่ไหน หรือว่าเขาโทรมาบอกให้คุณเลิกติดต่อเขาซะที” พิสุทธิ์ถามต่อ
ภูชิชย์อึ้งแต่ก็พยายามข่มอารมณ์ “ผมต้องบอกให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไร แล้วผมก็อยากขอโทษที่ตัดสินอะไรผิดๆ”
“ใช่ครับ ตอนนี้คนงานทุกคนก็คิดถึงคุณนิด ถ้าเธอกลับไปพวกเราจะดีใจมาก” นิพนธ์เสริม
“ไม่หรอกครับ ผมเชื่อว่านิดไม่กลับไปอีกแล้ว” พิสุทธิ์มั่นใจ
“ให้พวกเราได้ยินจากปากคุณนิดเองได้ไหมครับ” วิทวัสขอ
พิสุทธิ์นิ่งเงียบแล้วก็ถอนใจ
เวลาผ่านไป นริศราตกใจที่เห็นพิสุทธิ์พาภูชิชย์ วิทวัส กับนิพนธ์มาหาเธอถึงศูนย์วิจัย
“โป๊ะ ทำไมทำอย่างนี้” นริศราถาม
“เราอยากให้นิดได้รับความถูกต้อง นิดไม่ได้ทำผิดอะไร ก็ควรได้รับคำขอโทษจากพวกเขา” พิสุทธิ์บอก
นริศรามองไปทางภูชิชย์ ภูชิชย์เดินเข้ามาแล้วยื่นแฟ้มรายงานการเข้าโค้ดให้นริศราดู นริศรารับมาเปิดดู
“ฉันขอโทษ ฉันรับรองว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก เธอกลับไปทำงานที่ไร่นะ” ภูชิชย์พูด
นริศราส่งแฟ้มคืนให้ “เอาเป็นว่าฉันรับคำขอโทษจากคุณก็แล้วกันนะคะ” นริศรายิ้ม “ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวไปทำงานนะคะ”
พูดจบนริศราก็เดินไป ภูชิชย์รีบเดินตามไป พิสุทธิ์จะตามไปด้วยแต่นิพนธ์เรียกไว้
“ขอโทษนะครับคุณโป๊ะ ให้พ่อเลี้ยงกับคุณนิดเคลียร์กันให้เข้าใจก่อนได้ไหมครับ”
พิสุทธิ์หงุดหงิดแล้วก็เดินออกไปทันที วิทวัสเดินมาหานิพนธ์แล้วพูดกับเขา
“ทำไมฉันรู้สึกเหมือนพาพระเอกมาง้อนางเอกยังไงก็ไม่รู้”
นิพนธ์มองไปที่ภูชิชย์กับนริศราที่เดินตามกันไปแล้วอมยิ้มพร้อมกับคิดตาม
นริศราเดินลิ่วจะกลับบ้านพัก ภูชิชย์เดินตามมา
“นริศรา ทำไมเธอต้องหนีฉันด้วย” ภูชิชย์ถาม
นริศรายังไม่หยุดเดิน “ฉันยกโทษให้คุณแล้วจะเอาอะไรอีก”
“แต่เธอทำเหมือนโกรธฉันนี่”
“ฉันไม่ได้โกรธอะไรคุณหรอกค่ะพ่อเลี้ยงสบายใจได้”
“ไม่โกรธก็กลับไปด้วยกันสิ” ภูชิชย์เข้าไปดึงแขน
นริศราหยุดแล้วหันกลับมา “ฉันไม่กลับ”
จังหวะที่นริศราหันกลับมา ภูชิชย์ก็เดินมาหยุดประชิดนริศราพอดี ทำให้นริศราชนภูชิชย์จนจะหงายหลัง แต่ภูชิชย์คว้าเอวเธอไว้ทัน นริศรารีบผลักภูชิชย์ออก
“เอ่อ...ขอโทษนะ ฉันแค่อยากจะบอกว่าเธอไม่คิดถึงพวกคนงาน แล้วก็แปลงกาแฟท้ายไร่แล้วเหรอ” ภูชิชย์ถาม
“ฉันเชื่อว่าพวกมันอยู่ได้ค่ะ” นริศราตอบ
“งั้นก็เรื่องเงิน ไหนว่าจะเก็บเงินกลับไปเรียนต่อไง เหลืออีกเทอมเดียวก็จะจบไม่ใช่เหรอ ฉันเพิ่งรู้จากโป๊ะว่าเธอได้เงินที่นี่น้อยกว่าที่ฉันให้ตั้งห้าพันต่อเดือน อย่างนี้จะต้องเก็บอีกเท่าไหร่กัน”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าต้องเก็บอีกเท่าไหร แต่อย่างน้อยการที่ฉันทำงานที่นี่มันก็น่าจะทำให้ใครหลายคนสบายใจได้ ขอให้เราเจอกันครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะคะพ่อเลี้ยง”
ภูชิชย์กับนริศรายืนจ้องหน้ากัน
พิสุทธิ์และนริศรายืนมองรถของภูชิชย์ที่แล่นลงจากดอยไป
“เราดีใจที่นิดไม่กลับไปทำงานกับภูชิชย์” พิสุทธิ์พูด
“ทำไมต้องดีใจด้วยล่ะ” นริศราถาม
“ก็ถ้านิดกลับ ก็แสดงว่าที่เราสงสัยว่านิดอาจจะชอบคุณภูชิชย์ ก็เป็นจริงน่ะสิ แต่นี่แสดงว่านิดไม่ได้ชอบเขา ถึงได้ปฎิเสธแบบนี้”
นริศราได้ยินก็ยิ้มรับเจื่อนๆ
สุพัฒนาหัวเราะสะใจพี่ชายทั้งสองและนิพนธ์ดังลั่นบ้าน
“สะใจจริงๆที่มันไม่กลับมาด้วย คุณเล็กหวังว่าคงจะไม่บ้าพากันไปตามมันอีกนะ”
วิทวัสส่ายหน้าด้วยความระอาใจ สักพักเจ้าทิพย์ดาราก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา สุพัฒนาเห็นก็ไม่พอใจทันที
“ยังเหลืออีกรายที่ยังไม่หลุดวงโคจรซะที” สุพัฒนาแขวะ
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ น้อยไม่ทราบว่าคุยธุระกันอยู่” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“ทราบแล้วก็ออกไปสิ” สุพัฒนาไล่
ภูชิชย์พูดสวนขึ้น “ไม่เป็นไรครับ เชิญเจ้านั่งที่นี่ดีกว่า”
“พี่ภู!”
ภูชิชย์ไม่สนใจน้องสาว เขาเดินไปพาเจ้าทิพย์ดารามานั่งใกล้ๆ ทันที
“พอดีน้อยทราบว่าคุณวัสมา เลยอยากจะมาทักทายน่ะค่ะ”
“ขอบคุณเจ้ามากๆนะครับที่อุตส่าห์นึกถึง” วิทวัสบอก
สุพัฒนายิ้มเยาะ “ข่าวไวซะจริงนะ แล้วรู้ข่าวที่พี่ภูไปตามง้อยัยนริศราให้กลับมาที่ไร่หรือยังล่ะ เธอกำลังจะตกกระป๋องแล้วนะเจ้าน้อย”
เจ้าทิย์ดาราได้ยินก็หันไปมองภูชิชย์ทันที ภูชิชย์พูดอะไรไม่ออก สุพัฒนาหัวเราะสะใจ นิพนธ์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบไกล่เกลี่ย
“เอ่อ พ่อเลี้ยงไม่ได้ไปคนเดียวหรอกครับเจ้า ผมกับคุณวัสก็ไป พวกเราไปเป็นตัวแทนของคนงานด้วยน่ะครับ”
สุพัฒนาตวาด “นิพนธ์ ใครให้แกพูด!”
“คุณเล็กนั่นแหล่ะหยุดเถอะ” ภูชิชย์เสียงเข้ม
“ทำไมคะพี่ภู รอให้นังนิดมันตอบรับรักก่อนแล้วค่อยปฏิเสธนังนี่เหรอคะ” สุพัฒนาพูดแล้วก็หันไปหาเจ้าทิพย์ดารา “แกนี่ก็หน้าด้านนะ วิ่งตามพี่ภูอยู่ได้ อยากได้สมบัติที่นี่จนตัวสั่นเหรอ”
เจ้าทิพย์ดาราเริ่มทนไม่ไหว “น้อยขอตัวก่อนนะคะ”
เจ้าทิพย์ดาราเดินร้องไห้ออกไป
“เจ้าครับ รอผมด้วย” ภูชิชย์เรียกแล้วก็วิ่งตามไป สุพัฒนาจะวิ่งตามไปด้วย
“พี่ภู...กลับมาเดี๋ยวนี้นะ”
วิทวัสเดินเข้ามาขวางแล้วก็กระชากตัวน้องสาวไว้
“พี่วัส ปล่อยคุณเล็กนะ” สุพัฒนาโวยวาย
“ไม่ปล่อย พี่จะไม่ปล่อยให้คุณเล็กไปสร้างความวุ่นวายอีกแล้ว” วิทวัสหันไปพูดกับนิพนธ์ “นิพนธ์มาช่วยกัน”
นิพนธ์เข้ามาช่วยจับสุพัฒนาโดยที่เจ้าตัวเอาแต่ร้องกรี๊ด
“ปล่อยนะไอ้พี่บ้า ไอ้นิพนธ์ ปล่อย....กรี๊ด”
เจ้าทิพย์ดาราเดินลิ่วออกมาที่รถโดยพยายามเก็บอาการเสียใจเอาไว้ ภูชิชย์เดินตามมาดึงมือเธอไว้
“เจ้าครับ ผมขอโทษแทนคุณเล็กด้วย”
เจ้าทิพย์ดาราส่ายหน้า “ไม่ใช่คุณเล็กหรอกค่ะ”
เจ้าทิพย์ดาราจ้องหน้าภูชิชย์โดยไม่พูดอะไรเหมือนรอให้ฝ่ายชายเป็นคนพูด
“คือเรื่องนริศรา” ภูชิชย์เอ่ยปาก “ผมเห็นว่าเขาไม่ได้ทำผิด เลยอยากแก้ไข”
“ภูก็ทำถูกแล้วนี่คะ แต่น้อยก็...น้อยรู้สึกอิจฉาคุณนิด นับวันเธอยิ่งมีความสำคัญกับภูมากขึ้นเรื่อยๆนะคะ”
ภูชิชย์อึกอัก “เจ้า..อย่าเข้าใจผิดนะครับ”
“งั้นที่ถูกคืออะไรคะ”
“ต่อไปนี้ผมกับนริศราคงไม่ได้เจอกันอีก” ภูชิชย์พูด
เจ้าทิพย์ดาราดึงมือกลับแล้วถอนหายใจสีหน้าเครียด
“แล้วภูเสียใจไหมคะ”
“ผม....ผมก็ปกติดีครับ”
“พรุ่งนี้คุณนิดจะไปร่วมงานประมูลค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
ภูชิชย์มองหน้าเจ้าทิพย์ดาราอย่างงงๆ
“เจ้าหมายความว่ายังไงครับ แล้วเจ้าบอกผมทำไม”
เจ้าทิพย์ดาราฝืนยิ้ม “ในวันงานภูต้องเจอกับคุณนิด น้อยไม่อยากให้มีอะไรมาทำให้น้อยเข้าใจผิดอีกค่ะ”
เจ้าทิพย์ดาราหอมแก้มภูชิชย์แล้วก็ขึ้นรถขับออกไป ภูชิชย์ยืนมองรถเจ้าทิพย์ดาราที่แล่นไปด้วยสีหน้ากังวล
บัวเกี๋ยงยืนแอบมองอย่างไม่พอใจอยู่ที่มุมหนึ่ง
“อีกไม่นานหรอก แกจะต้องกระเด็นไปเหมือนนังนิด”
อ่านต่อหน้าที่ 2
รักประกาศิต ตอนที่ 11 (ต่อ)
เจ้าทิพย์ดารานั่งดูรูปที่ถ่ายคู่กับภูชิชย์อย่างเศร้าๆ อยู่ในห้องนอน สักพักเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
“คุณนิดเหรอคะ” เจ้าทิพย์ดาราพูด
สุพัฒนานอนกระวนกระวายอยู่บนเตียง สักพักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น สุพัฒนารีบทำเป็นนอนทันที บัวเกี๋ยงเปิดประตูเข้ามา สุพัฒนาทำเป็นนอนร้องไห้แล้วหันหลังใส่ บัวเกี๋ยงเข้ามาลงนั่งข้างๆ สุพัฒนา
ครู่หนึ่งสุพัฒนารู้สึกว่าห้องเงียบเลยหันกลับมาก็เห็นบัวเกี๋ยงกำลังนั่งอ่านหนังสือดาราอยู่ สุพัฒนามองไปรอบห้อง
“นังบัวเกี๋ยง พี่ภูล่ะ” สุพัฒนาถาม
“พ่อเลี้ยงไม่มาค่ะ” บัวเกี๋ยงตอบ
“แกบอกหรือเปล่าว่าฉันชัก”
“โอ๊ย...บอกทั้งชักทั้งช็อคเลยค่ะ แต่พ่อเลี้ยงก็ไม่มา”
“ไอ้พี่วัสมันขวางไว้ใช่ไหม ไอ้พี่บ้า ฉันเกลียดพี่วัส”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ตอนบัวเกี๋ยงไปบอก คุณวัสไม่อยู่ที่ห้องทำงาน พ่อเลี้ยงอยู่คนเดียว พอบัวเกี๋ยงบอกจบพ่อเลี้ยงก็บอกว่ากลับไปดูคุณเล็กไป”
“นี่พี่ภูจะทิ้งฉันเหรอเนี่ย โอ๊ย...ทำไมมันเป็นแบบนี้”
สุพัฒนาโมโหทั้งทุบทั้งจิกหมอนแล้วเอาขึ้นมากระหน่ำฟาดไปที่บัวเกี๋ยง
นริศราเดินยิ้มออกจากบ้านพักมาหาเจ้าทิพย์ดาราที่ยืนอยู่กับกระเป๋าและสัมภาระสำหรับเพ้นท์เสื้อ
“นี่เจ้ามายังไงคะ” นริศราเอ่ยถาม
“ให้รถที่บ้านมาส่งค่ะ แต่พรุ่งนี้คงต้องขอไปกับคุณโป๊ะ ไม่รู้คุณโป๊ะจะยอมหรือเปล่า”
“ต้องยอมค่ะ ไม่งั้นนิดจะวีน”
แล้วสองสาวก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ขอโทษที่มารบกวนนะคะ อยู่ที่ไร่น้อยไม่มีสมาธิทำงานเลย” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ ดีสิคะเราจะด้วยกันออกไอเดียเพ้นท์ของประมูลกัน”
“คุณนิดเหมือนกำลังจะไปไหน”
“อ๋อ นิดจะไปคุยกับพี่ๆนักวิจัยเรื่องจะทำคันกั้นน้ำหญ้าแฝกที่พวกเราเพิ่งจะปลูกกันค่ะ กลัวจะโตไม่ทันฝน” นริศราตอบ
“น้อยไปด้วยนะคะ”
“เอาสิคะ งั้นเอาของไปเก็บก่อนนะคะ”
พูดจบนริศราก็เปิดบ้านให้แล้วสองสาวก็ช่วยกันยกกระเป๋าเดินเข้าบ้านไป
นริศรายืนคุยกับนักวิจัยที่ไร่กาแฟ ทั้งหมดต่างชี้ให้ไปดูว่าจะทำอะไรตรงไหน จะทำเป็นแนวยาว หรือแนวขวาง นริศราคุยไปก็จดไป
“นิดว่าถ้าเราน่าจะทำเป็นแนวยาวเพื่อเป็นการบังคับทิศทางของน้ำนะคะ เพราะถ้าทำแนวขวางนิดเกรงว่าถ้าน้ำมาเยอะแล้วไม่ได้ระบายอาจจะกัดเซาะแนวคันดินได้ ถึงตอนนั้นคงอยากที่จะควบคุมน้ำ”
ห่างออกไป เจ้าทิพย์ดารายืนมองนริศราที่กำลังคุยกับนักวิจัยอยู่ด้วยสายตาพิจารณา
เมื่อถึงเวลากลางคืน เจ้าทิพย์ดารากับนริศราก็มานั่งเพ้นท์ของที่จะประมูลด้วยกัน เจ้าทิพย์ดาราเพ้นท์รูปผู้ชายใส่หมวกคาวบอยเท่ๆบนร่มจนเสร็จ สักพักเธอก็เดินไปดูงานของนริศรา
เจ้าทิพย์ดาราเห็นเสื้อ จาน และข้าวของต่างๆ ที่นริศราเพ้นท์เป็นรูปไร่ รูปต้นไม้ รูปฟาร์ม และรูปทรงธรรมชาติต่างๆ
“น้อยคิดว่าคุณนิดจะชอบชีวิตในเมืองหลวงซะอีกนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราเอ่ยขึ้น
นริศรายิ้ม “เชื่อไหมคะ นิดไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะสนใจสิ่งเหล่านี้จนไปทำงานที่ไร่สุพัฒนานี่แหล่ะค่ะ”
“แสดงว่าคุณนิดได้แรงบันดาลใจจากที่นั่น”
นริศราอึ้งไปเล็กน้อย “ก็คงอย่างนั้นน่ะค่ะ”
“น้อยขอถามอะไรคุณนิดตรงๆได้ไหมคะ”
“อะไรเหรอคะ”
“คุณนิด...เอ่อ...คุณนิดเคยคิดจะรักใครสักคนไหมคะ”
นริศรายิ้ม “ตราบใดที่นิดยังเรียนไม่จบ นิดไม่มีเวลาคิดเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ”
เจ้าทิพย์ดาราได้ยินก็แอบยิ้มดีใจ เธอเข้ามาจับมือนริศราแล้วพูเปลี่ยนเรื่องทันที
“ดึกแล้วเราไปอาบน้ำนอนกันเถอะค่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
นริศรายิ้ม “นี่เราคุยกันจบแล้วเหรอคะ”
“สำหรับเรื่องนี้จบแล้วค่ะ แต่เรื่องอื่นเดี๋ยวเราไปคุยกันให้สนุกจนหลับไปเลยนะคะ”
“งั้นเจ้าน้อยไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ นิดจะเก็บของให้”
เจ้าทิพย์ดาราเดินออกจากห้องไป แต่พอเดินห่างไปก็หันกลับมามองนริศราที่กำลังเก็บของ เจ้าทิพย์ดารายิ้มอย่างสุขใจแล้วก็เดินไปห้องอาบน้ำ
เช้าวันใหม่ พิสุทธ์มาเคาะประตูหน้าบ้านพักนริศรา เขามองเห็นว่าข้างบ้านมีเสื้อเพ้นท์ที่ยังตากอยู่ 2 ตัว สักพักเจ้าทิพย์ดาราก็เปิดประตูออกมา พิสุทธิ์เห็นก็แปลกใจ
“อ้าว เจ้าน้อย”
“ทำไมต้องทำหน้าแปลกใจด้วยล่ะคะ น้อยก็มาออกบ่อย” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“ก็แปลกใจที่เห็นเจ้ามาบ่อยนี่แหละครับ มันน่าสงสัยจริงๆ”
ทันใดนั้นนริศราก็โผล่หน้ามาจากด้านหลังเจ้าทิพย์ดารา “สงสัยอะไรยะ”
“เป็นทอมดี้กันหรือเปล่า?” พิสุทธิ์ถามกวนๆ
เจ้าทิพย์ดารากับนริศราถึงกับหน้าเหวอ
นริศราตีแขนโป๊ะ “บ้าเหรอ ช่างกล้าคิดนะ เจ้าน้อยเขาเป็นแฟนพ่อเลี้ยงนะยะ”
“แล้วนิดล่ะ รู้จักตั้งนานไม่มีแฟนก็นึกว่า..” พิสุทธิ์แซว
“ไปเลย ไปช่วยเก็บเสื้อกับหมวกที่ตากไว้เดี๋ยวนี้เลย”
นริศราพุดแล้วก็ผลักพิสุทธิ์ให้เดินไป เจ้าทิพย์ดารามองจ้องนริศรา
“คุณโป๊ะนี่แกดูแลคุณนิดดีจริงๆเลยนะคะ คุณนิดน่าจะให้โอกาสคุณโป๊ะ น้อยแอบสงสารแก”
“ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะมีความสุขเหรอคะที่ต้องอยู่กับคนที่เรารักเขาอยู่ฝ่ายเดียวไปตลอดชีวิต” นริศราเอ่ยถาม
“น้อยคงเจ็บปวดมาก”
“นิดก็ไม่อยากให้โป๊ะต้องเจ็บปวดเพราะนิดไงคะ”
เจ้าทิพย์ดารายืนคิด จนนริศราสะกิดแล้วยิ้มให้ก่อนจะชวนเดินเข้าบ้านไป
พิสุทธิ์พยายามพับเสื้ออยู่ที่ท้ายรถแต่ก็เก้ๆกังๆ เพราะพับไม่เป็น เจ้าทิพย์ดาราหอบของออกมาจากบ้านพัก รวมทั้งกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอด้วย พอเห็นพิสุทธิ์พับไม่ได้จึงเอาของใส่ท้ายรถแล้วเดินมาช่วย
“น้อยช่วยพับให้ดีกว่าค่ะ”
เจ้าทิพย์ดารารับเสื้อมาพับทีละตัว พิสุทธิ์ยิ้มเจื่อนๆ เพราะกลัวเสียฟอร์ม
“ที่จริงเวลาอยู่เมืองนอก ผมก็ซักเสื้อรีดเสื้อเองนะครับ”
“ขี้โม้” เสียงนริศราดังขึ้น
นริศราขนของเดินมาใส่ท้ายรถแล้วมายืนมองพิสุทธิ์
“อย่าไปเชื่อค่ะเจ้าน้อย โป๊ะนี่นะคะ เขามีฉายาในหมู่นักเรียนไทยว่า...”
พิสุทธิ์รีบขัดขึ้น “นิด...ขอร้อง”
นริศรายิ้มแล้วพูดต่อ “เฮียคุ้ยค่ะ”
พิสุทธิ์เอามือกุมและหัวปิดหน้าด้วยความอาย
“อ้าว...ก็ขอร้องให้บอกเจ้าน้อยเร็วไม่ใช่เหรอ นี่เราเข้าใจผิดเหรอ” นริศราแกล้ง
“โห...ไม่ผิดหรอก แต่เราจะเก็บหน้าที่แตกไปหมดไหมเนี่ย”
สองสาวหัวเราะขำพิสุทธิ์
“แล้วทำไมถึงได้ฉายานี่ล่ะคะ” เจ้าทิพย์ดาราสงสัย
“เจ้าน้อยจะถามทำไมคร๊าบ” พิสุทธ์อาย
“คือรูมเมทเขาเล่าให้ฟังค่ะว่า เวลาใส่เสื้อผ้าเสร็จเฮียแกจะโยนใส่กระบุงไว้แต่ไม่ไปซักนะคะ พอใส่เสื้อผ้าหมดตู้ไปซักไม่ทันก็เลยคุ้ยๆๆๆๆๆ วนมาใส่ใหม่ค่ะ” นริศราแฉ
“ก็อากาศมันหนาว” พิสุทธิ์แก้ตัว
“และก็ไม่มีแม่บ้านคอยมาทำให้น่ะสิ” นริศราเสริม
เจ้าทิพย์ดาราพับผ้าจนเสร็จพอดี
“ไปกันเถอะ...รีบไปเลย ผมต้องซื้อทิงเจอร์ทาแผลระหว่างทาง” พิสุทธิ์บอก
“อ้าว...เป็นอะไรคะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“โดนนิดเขากัดจนเหวอะทั้งตัวแล้วครับ”
พิสุทธิ์หยอกแล้วปิดท้ายรถ จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูให้สองสาว
“ขอบคุณค่ะเฮียคุ้ย” เจ้าทิพย์ดาราแซว
พิสุทธิ์ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ นริศรากับเจ้าทิพย์ดาราตีมือกันแล้วหัวเราะก่อนจะก้าวขึ้นรถไป
ลัคนากำลังแต่งหน้าจนสวยเช้งอยู่ในห้องพักที่โรงแรม สักพักก็มีเสียงกริ่งดังขึ้น ลัคนาเดินไปเปิดประตูให้ลาวัลย์เข้ามา
ลัคนาเดินกลับมาแต่งหน้าที่โต๊ะต่อ ลาวัลย์เดินมานั่งที่โซฟา
“มีอะไรถึงให้วันมาแต่เช้า” ลาวัลย์ถาม
ลัคนาหยิบกระดาษจดหมายจากทางโรงแรมให้ลาวัลย์อ่าน
“นายโป๊ะส่งจดหมายเชิญไปร่วมงานประมูลบ้าบออะไรก็ไม่รู้” ลัคนาบอกน้องสาว
“ไม่บ้านะ เขาช่วยกันหาทุนจัดงานฤดูหนาว เป็นงานการกุศล” ลาวัลย์บอกพี่สาว “ว่าไปคุณโป๊ะนี่ก็ดีนะ เอื้อเฟื้อสถานที่และอาหาร ไม่คิดค่าใช้จ่ายด้วย เอ๊ะ...แต่พี่นาจะลงไปแต่เช้าเลยเหรอ”
“พี่ไม่ไปหรอก ขืนไปก็ต้องเสียเงินน่ะสิ”
“เสียเงินให้การกุศลนะ”
“พี่ไม่ชอบทำบุญ”
“แล้วไม่เอาคะแนนจากคุณโป๊ะแล้วเหรอ”
ลัคนายักไหล่ “พี่จะทำเป็นลืมว่าได้จดหมาย พรุ่งนี้พอเจอกันค่อยบอกว่าติดธุระ”
ลาวัลย์เซ็ง “งกไปไหมเนี่ยพี่นา”
“เอ๊ะ ยัยวัน ก็คนมันไม่อยากไป เสแสร้งทำบุญไปก็ไม่ได้บุญหรอก” ลัคนาหยิบกระเป๋าแล้วเร่ง “ไปเร็ว เดี๋ยวสายจะเจอหน้านายนั่นซะก่อน”
“แล้วจะให้วันพาไหน”
ลัคนาชะงัก “นั่นสิ เออ...แกมีใครรู้จักที่สวนสัตว์ไหม พี่อยากดูหลินปิงฟรี”
“แหม...ออกให้ก็ได้ค่ะคุณพี่”
ลัคนาเดินเชิดนำออกไป ลาวัณย์ทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วเดินตามไป
สุพัฒนาที่อยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านภูชิชย์โวยวายเสียงดังลั่น
“ไม่ไป! เลิกเซ้าซี้คุณเล็กซะที”
ภูชิชย์กับวิทวัสมีสีหน้าหนักใจ ทั้งสองมองสุพัฒนาที่กำลังนั่งหน้างอ
“เลิกทำตัวน่าเบื่อซะทีเถอะคุณเล็ก ผู้หลักผู้ใหญ่มาทั้งนั้น ทำอย่างนี้มันไม่มีมารยาท” วิทวัสบอก
“คุณเล็กเคยไปทุกปี ทำไมปีจะไม่ไป” ภูชิชย์ถาม
“ก็ถ้าไม่มีนังนิด นังเจ้าน้อย แล้วก็ไอ้โป๊ะ คุณเล็กถึงจะไป”
“งั้นเราก็ไปกันเถอะพี่ภู ป่วยการจะพูด” วิทวัสแตะแขนภูชิชย์เพื่อจะให้เขาออกไปด้วย
สุพัฒนาสวนทันที “คุณเล็กไม่ไป พี่ภูกับพี่วัสก็ห้ามไปด้วย”
“ไม่ได้หรอกคุณเล็ก ไร่เราให้การสนับสนุนงานนี้ทุกปีตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่ยังมีชีวิต พวกเราคงต้องไป” ภูชิชย์บอก
“จะช่วยกันมากี่สิบปีก็ช่าง แต่ปีนี้ห้ามไป!”
“งั้นเราก็คงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว”
“พี่ภูจะขัดคำสั่งคุณเล็กเหรอ พี่ภูจะไปหานังนิดนังเจ้าน้อยใช่ไหม อยากจะโง่ตามพวกมันมาผลาญเงินหรือไง”
“ใช่...พี่โง่...โง่ที่ตามใจคุณเล็กจนเสียคน ต่อไปนี้พี่จะไม่ทำอะไรโง่ๆอีก”
ภูชิชย์พูดแล้วเดินนำวิทวัสออกไป วิทวัสเดินตามพี่ชายออกไป
“พี่ภู ห้ามไปนะ พี่ภู กลับมา!” สุพัฒนากรี๊ดลั่น
สุพัฒนานั่งหงุดหงิดทั้งร้องไห้ทั้งปาข้าวของอยู่ในบ้านโดยที่ไม่มีใครอยู่ในบ้านเลยนอกจากเธอ
ภูชิชย์เดินลิ่วมาที่รถ วิทวัสเดินตามมาก่อนจะพูดกับพี่ชาย
“โห...พี่ภู...ผมไม่คิดเลยว่าพี่ภูจะกล้ากับคุณเล็กถึงขนาดนี้”
“บางทีนายอาจจะพูดถูกนะ” ภูชิชย์เริ่มเห็นด้วย
“ผมพูดอะไรครับ” วิทวัสงง
“ก็ที่เคยบอกว่าเราควรจะหยุดตามใจคุณเล็กได้แล้ว”
“ใช่ครับ ถึงเวลาที่คุณเล็กจะต้องหมุนตามโลก ไม่ใช้ให้โลกต้องหมุนตามเธอ” วิทวัสนึกได้ “เอ๊ะ...นี่พี่ภูคิดจะทำอะไรมากกว่าขัดใจคุณเล็กใช่ไหมครับ”
ภูชิชย์ยิ้ม “พี่ไม่ใช่จอมวางแผนแบบนายกับนริศรานะ”
วิทวัสขำแล้วยักไหล่ก่อนจะเดินขึ้นรถ
ภูชิชย์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถึงมีพี่ก็ไม่บอกนายหรอก”
ภูชิชย์ก้าวขึ้นรถไปนั่งกับวิทวัสแล้วเขาก็อมยิ้มอย่างอารมณ์ดีตลอดการขับรถ วิทวัสมองพี่ชายด้วยความสงสัย
สุพัฒนาเดินด้วยความโมโหมาที่แปลงดอกไม้ จนมาเจอกับนิพนธ์ นิพนธ์เห็นก็จะเดินหนี
“ทำไมต้องหนี” สุพัฒนาถาม
“ก็คุณเล็กให้ผมอยู่ห่างๆไม่ใช่เหรอครับ” นิพนธ์ตอบ
“โอ๊ย...ไอ้ซื่อบื้อ มานี่ซิ”
นิพนธ์งงแต่ก็เดินเข้าไปไม่ใกล้มากนัก
“คุณเล็กมีอะไรเหรอครับ” นิพนธ์ถาม
“ฉันเบื่อ” สุพัฒนาบอก
“เบื่ออะไรเหรอครับ หรือว่าเบื่อที่ทุกคนไม่ได้อย่างใจคุณเล็กหรือเปล่า”
“ใช่”
“งั้น คุณเล็กดูดอกไม้ในแปลงสิครับ ว่ามันสวยเพราะอะไร”
“อะไรของนาย ฉันไม่เข้าใจ”
“ที่ผมให้ดูดอกไม้ เพราะคุณเล็กมีความสุขทุกครั้งที่มาที่นี่ แล้วที่ดอกไม้มันสวยงามได้ขนาดนี้ เพราะคุณเล็กไม่เคยควบคุมดอกไม้ให้มันโตเท่านั้นเท่านี้ ให้มันมีดอกอย่างนั้นอย่างนี้ แต่คุณเล็กมีความสุขเพราะได้ดูมันโตตามธรรมชาติใช่ไหมครับ” นิพนธ์อธิบาย
“อืม..ก็ใช่”
“คนก็เหมือนกัน เขามีวิถีชีวิตของเขา ถ้าคุณเล็กควบคุมเขามากๆ คนที่ทุกข์ก็คือคุณเล็ก”
สุพัฒนานั่งลงมองดอกไม้อย่างเงียบๆ พร้อมกับครุ่นคิด นิพนธ์ยืนมองสุพัฒนาด้วยสีหน้าหนักใจ
ป้าย “งานประมูลเพื่อหาทุนจัดงาน น้ำใจในฤดูหนาว ปี 2011” ติดอยู่ที่หน้าโรงแรมของพิสุทธิ์ บริเวณพื้นที่จัดงาน มีทั้งซุ้มที่ตกแต่งสวยงาม มีทั้งโซนเวที ซุ้มค็อกเทล ซุ้มขายของ
นริศราเดินเข้างานมากับ เจ้าทิพย์ดาราและพิสุทธิ์ที่หอบของตามหลังมา ทั้งสามมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องแล้วมองเข้าไปในงาน
“งานน่ารักจังเลยค่ะเจ้าน้อย เจ้าน้อยนี่เก่งจังเลยค่ะ” นริศราชม
“อะไรกันนิด ไอเดียเราด้วยเหมือนกันนะ ไม่เห็นชมเรามั่งเลย” พิสุทธิ์ท้วง
นริศราพูดกับเจ้าทิพย์ดารา “นี่ก็คนขี้อิจฉาอีกคน”
“ไม่หรอกค่ะคุณนิด คุณโป๊ะก็ช่วยน้อยเยอะมากจริงๆ ถ้าไม่ได้คุณโป๊ะงานคงไม่ออกมาดีแบบนี้”
พิสุทธิ์ยักคิ้วกวนๆ ให้นริศราจนเจ้าทิพย์ดาราขำออกมา แล้วทั้งสามก็เดินไปที่ซุ้มของนริศรา
นริศรา พิสุทธิ์ และเจ้าทิพย์ดาราเดินยกของมาถึงซุ้มแล้วก็ช่วยกันจัดซุ้ม ระหว่างนั้น เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาเดินเข้ามา นริศรากับพิสุทธิ์เห็นก็รีบยกมือไหว้
“เห็นว่าลาออกจากไร่สุพัฒนาแล้วเหรอ” เจ้าเทพมงคลถามนริศรา
“ค่ะ ตอนนี้นิดทำอยู่ที่ศูนย์วิจัยกาแฟ” นริศราตอบ
“ดีๆ ค่อยคุยกันได้สะดวกใจ”เจ้าเทพมงคลบอก
“เจ้าพ่ออ่ะ” เจ้าทิพย์ดาราเซ็ง
ส่วนเจ้าดาระกาก็ช่วยกระตุกแขนเจ้าเทพมงคลเป็นการเตือนด้วย
“เจ้าน้อยเขามาชื่นชมฝีมือศิลปะของคุณให้ฟัง ยังไงก็ขอบใจมากนะที่มาช่วยกัน” เจ้าดาระกาบอก
“ด้วยความยินดีค่ะ” นริศราตอบรับ
“เดี๋ยวน้อยกับคุณนิดขอเอาของประมูลไปเตรียมด้านหลังเวทีก่อนนะคะ”
“นายโป๊ะ...ยกมาเร็ว” นริศราเรียก
พิสุทธิ์พูดกับเจ้าเทพมงคลและเจ้าดาระกา “วันนี้ผมเป็นพนักงานยกของครับ”
ทุกคนหัวเราะเพราะขำพิสุทธิ์ แล้วทั้งสามก็เดินไปด้วยกัน เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกามองตาม
“หนูนิดกับคุณโป๊ะก็ดูไม่เห็นจะเหมือนแฟนกันเลย เหมือนเพื่อนกันมากกว่านะคะเจ้าพี่”
เจ้าเทพมงคลยิ้ม “แบบนี้ลูกเราก็น่าจะเข้าตาบ้างนะ”
ลัคนากับลาวัลย์เดินออกมาจากลิฟท์ของโรงแรม ลัคนามองซ้ายมองขวาแล้วหยิบแว่นดำขึ้นมาใส่ก่อนจะรีบเดินจะไปหน้าประตู
“แหมพี่นา ไม่ต้องหนีขนาดนี้หรอก” ลาวัลย์ทัก
“ก็พี่ไม่อยากให้คุณโป๊ะมาเจอก่อนนี่ ขี้เกียจโกหก มันบาป” ลัคนาอ้าง
“อุ๊ยพี่นา กลัวบาปหรือกลัวถูกเรียกไปประมูลกันแน่”
“นี่ยัยวัน...”
ทันใดนั้น รถของภูชิชย์ก็แล่นมาจอดที่หน้าโรงแรม พนักงานโรงแรมรีบวิ่งมาเปิดประตู ภูชิชย์กับวิทวัสก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้าประตูมา
“พี่ภู เดี๋ยวผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” วิทวัสบอก
ภูชิชย์พยักหน้า วิทวัสแยกเดินไปมองหาป้ายห้องน้ำไปโดยไม่รู้ว่ากำลังเดินตรงไปทางที่ลัคนากับลาวัลย์กำลังยืนคุยกันอยู่ โดยลัคนายืนหันหลังให้เขา
“วันนี้ทั้งวันฉันสั่งให้แกหุบปากเลยนะ ไม่ต้องพูดอีกรำคาญ” ลัคนาดุน้องสาว
พูดจบลัคนาก็หันมาจังหวะเดียวกับที่วิทวัสเดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำไปพอดีจึงทำให้ทั้งคู่มองไม่เห็นกัน
ลัคนาจะเดินไปต่อแต่ก็ต้องรีบเบรกเพราะเห็นภูชิชย์
“ตายแล้ว นั่นอีตาพ่อเลี้ยงบ้านนอกนี่ มาทำไมเนี่ย”
“ไร่เขาสนับสนุนงานนี้ทุกปี ก็ต้องมาสิ” ลาวัลย์บอก
“แบบนี้ยัยน้องสาวโรคประสาทก็ต้องมาด้วยน่ะสิ เราไปทางอื่นเถอะ ฉันไม่อยากทักครอบครัวคนบ้า”
“จะไปทางไหนล่ะ ถ้าลงข้างล่างไปออกสระน้ำก็จะผ่านบริเวณจัดงาน” ลาวัลย์บอก
ลัคนาเหลือบดูนาฬิกา “งานยังไม่เริ่มนายโป๊ะคงยังไม่มาหรอก”
ลัคนารีบเอากระเป๋าบังหน้าแล้วเดินไปอีกทางทันที
ลัคนากับลาวัลย์เดินมาตามทางจนถึงหน้าห้องจัดงาน ลาวัลย์ทำท่าจะหยุดดูงาน
“ไปเร็วยัยวัน เดี๋ยวใครก็มาเจอหรอก” ลัคนาเร่ง
“งานน่าสนุกจังเลยพี่นา วันอยากเข้าไปข้างใน” ลาวัลย์บอก
ลัคนามองเข้าไปแล้วก็ดึงลาวัลย์ให้ไปแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่ง สองพี่น้องเห็นคนมากมายดูวุ่นวายกำลังจัดเตรียมของ และเห็นเจ้าเทพมงคล เจ้าดาระกายืนอยู่แต่ไม่เห็นนริศรา พิสุทธิ์ และเจ้าทิพย์ดารา
สองพี่น้องยังคงแอบดูโดยที่ไม่รู้ว่าพิสุทธิ์กำลังเดินมาอีกทางโดยที่ในมือของเขามีสก็อตเทปกับกรรไกรถือมาด้วย
ลัคนาพยายามเข้าไปแอบดูหลังพุ่มไม้ “ท่าทางจะมีแต่พวกชอบทำบุญจืดๆชืดๆ ฉันคุยกับเขาไม่รู้เรื่องหรอก”
ลัคนาลากลาวัลย์ให้เดินออกไปโดยที่ไม่รู้ว่าพิสุทธิ์ยืนอยู่ด้านหลัง พิสุทธิ์มองตามแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็เดินเข้างานไป นริศรากับเจ้าทิพย์ดาราลุกขึ้นมาจากด้านข้างเวทีที่อยู่บริเวณนั้นแล้วตรงมาหาพิสุทธิ์
“ได้เทปกาวกับกรรไกรไหมคะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
พิสุทธิ์ส่งให้แล้วนิ่งคิด
“มีอะไรเหรอคะโป๊ะ” นริศราถาม
พิสุทธิ์มองนริศราแล้วรีบพูดกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไรครับ แค่เจอแขกของโรงแรม เดี๋ยวเราไปเอาแจ็คเก็ตก่อนนะ”
พิสุทธิ์เดินไป นริศรามองตามอย่างงงๆ แล้วก็หันไปทำงานต่อ
นริศรากับเจ้าทิพย์ดาราหยิบของออกมาเรียงเพื่อเตรียมของก่อนประมูล ของเจ้าทิพย์ดารามีกระถางลายผีเสื้อ กำไลไม้ เสื้อ 1 ตัว ร่ม ถ้วย เสื้อ 10 ตัว และจานกาแฟ ของนริศรามีกล่องไม้ หมวกคาวบอย กระถางกุหลาบหินลายใบไม้ กระเป๋าผ้า และเสื้อ 10 ตัว เมื่อวางของเสร็จเจ้าหน้าที่ก็เดินเข้ามา
“สวัสดีค่ะ ของประมูลพร้อมนะคะ” เจ้าหน้าที่ถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“พร้อมค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราตอบ
“เราจะเริ่มประมูลแจกันของเจ้าน้อยเป็นรายการแรกนะคะ” เจ้าหน้าที่ก้มอ่านสคริปต์ “แล้วก็เสื้อ ชุดถ้วยกาแฟ กำไลไม้ แล้วค่อยเป็นรายการของคุณนริศรานะคะ”
“ค่ะ” นริศราตอบรับ
แล้วภูชิชย์ก็เดินเข้ามา
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”
“ภู มาช้าจัง น้อยรออยู่นะคะ” เจ้าทิพย์ดาราตัดพ้อ
“ครับ” ภูชิชย์มองนริศรา “สวัสดีนริศรา”
“ค่ะ พ่อเลี้ยง” นริศราตอบรับ
เจ้าทิพย์ดารามองอย่างสังเกต ภูชิชย์หันมามองก็เข้าใจจึงยิ้มเจื่อนๆ แล้วหันไปเห็นกระถางดอกไม้วางอยู่หลายใบจึงเอ่ยชม
“กระถางน่ารักจังครับ”
เจ้าทิพย์ดารามองตามแล้วยิ้มปลื้ม ภูชิชย์หยิบใบที่เป็นลายธรรมชาติขึ้นมาดูหนึ่งใบแล้วยิ้มให้เจ้าทิพย์ดารา
เจ้าทิพย์ดาราอึ้งก่อนจะบอก “ลายใบไม้นั่นฝีมือคุณนิดค่ะ”
ภูชิชย์หน้าเจื่อน “อ่อ เหรอครับ”
นริศรามองแวบหนึ่ง แล้วก็เมินไป พิสุทธิ์เดินเข้ามาพอดี เขาเห็นทั้งสามคนยืนอยู่ด้วยกันก็รู้สึกสงสารนริศรา
“นิด..เป็นไง เรียบร้อยไหม” พิสุทธ์เข้ามาถาม
นริศราตอบด้วยท่าทีจ๋อยๆ “ฮื่อ”
“หิวไหม ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” พิสุทธิ์ชวน
“แต่เราต้องคอยดูของ” นริศราบอก
“ไปเถอะน่า เดี๋ยวเราให้เจ้าหน้าที่ดูให้” พิสุทธิ์จับมือนริศราแล้วจูงให้เดินออกไปด้วยกัน ภูชิชย์มองตาม เจ้าทิพย์ดาราเห็นท่าทีของเขาก็ยิ่งเศร้า
แขกเหรื่อเริ่มทยอยเดินทางมาที่งานประมูลมากขึ้นเรื่อยๆ แขกหลายคนยืนพูดคุยกัน แขกบางคนเดินดูของตามซุ้มและไปซื้อของตามซุ้มต่างๆ
เวลาผ่านไป วิทวัสขึ้นไปยืนถือไมค์โครโฟนอยู่บนเวที
“เอาละครับสวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน และตอนนี้ก็ถึงช่วงสำคัญแล้ว เรามาช่วยกันลุ้นว่าวันนี้เราจะหาเงินสมทบทุนเพื่อไปร่วมจัดงานฤดูหนาวของหมู่เฮาชาวเหนือกับทางจัดหวัดได้เท่าไหร่นะครับ ซึ่งช่วงสำคัญนี้ก็คือการประมูลงานฝีมือจากเหล่าเซเลปคนดังนั่นเองครับ ของชิ้นแรกเป็นกระถางของเซเล็บสาวสวยเจ้าทิพย์ดารา”
เจ้าทิพย์ดารานำแจกันออกมาวางที่แท่น แล้วยืนอยู่บริเวณนั้น
“มาแล้วครับ” วิทวัสพูดต่อ “เจ้าของนำมาเองเลย กระถางใบเดียวในโลกฝีมือการเพ้นท์ของเจ้าทิพย์ดารา ราคาเริ่มต้น อยู่ที่ สามพัน เชิญประมูลได้เลยครับ”
ผู้ว่าฯ ยกหมายเลขเป็นคนแรก “สี่พัน”
แขกอีกคนยก “ห้าพัน”
พิสุทธิ์ยก “เจ็ดพัน”
“คุณพิสุทธิ์เจ้าของโรงแรมให้แล้วนะครับ เจ็ดพันบาท” วิทวัสพูด
ภูชิชย์ยก “หมื่นนึง”
เจ้าทิพย์ดาราแอบอมยิ้ม
“มีใครให้สูงกว่านี้ไหมครับ มองๆหนึ่งหมื่นครั้งที่ 1 หนึ่งหมื่นครั้งที่ 2 มีไหมครับ”
ผู้ว่ายก “หมื่นสอง”
เวลาผ่านไป เจ้าทิพย์ดาราชูเสื้อเพ้นท์ของตัวเองขึ้นโชว์
ภูชิชย์ยก “หนึ่งหมื่น”
เวลาผ่านไป เจ้าทิพย์ดารามอบแจกันให้แขกคนหนึ่งแล้วมองไปที่ภูชิชย์ที่กำลังนั่งถือเสื้อหนึ่งตัวของเธออยู่บนตัก
“ต่อไป เป็นหมวกคาวบอยเพ้นท์ของคุณนริศรา” วิทวัสพูด
นริศราเดินถือหมวกออกมา
“เก๋ไก๋ทีเดียว ใส่ทำไร่ทำสวนนี่จะโดดเด้งมาก หมวกคาวบอย เริ่มต้นที่ 499” วิทวัสพูด
ภูชิชย์กับพิสุทธิ์ผลัดกันยกหมายเลขสู้ราคากัน
เวลาผ่านไปภูชิชย์เดินขึ้นไปรับของจากนริศรา ทั้งเสื้อ กระเป๋าผ้า กล่อง หมวกแล้วเดินไปนั่งข้างข้างๆ พิสุทธิ์ที่มีสีหน้าไม่พอใจ
“ชิ้นสุดท้าย กระถางดอกไม้พร้อมดอกกุหลาบหิน 2แสนบาท เป็นของพ่อเลี้ยงภูชิชย์อีกแล้วครับ”วิทวัสประกาศ
ภูชิชย์ขึ้นไปรับกระถางจากนริศราแล้วยิ้มให้เธอ แต่นริศราทำหน้าเฉยปรบมือเฉยๆ ตามแขกไป แล้วเธอก็เดินลงจากเวที ภูชิชย์ยืนหน้าเหวอแต่ก็หันไปยิ้มให้แขกที่ยังปรบมืออยู่ เขามองข้างหลังเธอแล้วรู้สึกอยากจะเดินตามไป แต่ก็จำใจลงจากเวทีมา
พิสุทธิ์มองขึ้นไปบนเวทีอย่างไม่ชอบใจ ส่วนเจ้าทิพย์ดาราก็มองด้วยสายตาเศร้า
ภูชิชย์ยืนเอาของใส่กล่องกระดาษใบใหญ่อยู่ที่หน้าห้องจัดงาน โดยมีวิทวัสยืนดู และมีพนักงานโรงแรมช่วยยกของใส่รถเข็น
“ช่วยเอาไปใส่รถให้ผมด้วยนะ” ภูชิชย์บอก
พนักงานเข็นรถไป
“ตกลงยอดเกือบสองล้านวันนี้ เป็นพี่ภูประมูลซะครึ่งหนึ่งมั้งครับ” วิทวัสรายงาน
“พี่ก็แค่อยากให้มีทุนไปรวมกับทางจังหวัดเยอะๆ”
“ผมนึกว่าพี่อยากได้ของทุกชินที่คุณนิดทำซะอีก”
ภูชิชย์อึ้งเพราะพูดไม่ออก
“แต่ก็มีของเจ้าน้อยด้วยนะ” ภูชิชย์รีบบอก
“หนึ่งชิ้น ในราคาที่ไม่แพง” วิทวัสสวน
“เอ่อ...ของเจ้าน้อยน่ะพี่เห็นคนแย่งประมูลเยอะ แต่นริศรายังไม่มีใครรู้จัก พี่ก็กลัวจะไม่มีใครให้ราคา” ภูชิชย์แก้ตัว
“แต่ผมก็เห็นคุณโป๊ะเขาพยายามอยู่นี่ครับ”
“นี่นายวัส ไม่มีเรื่องที่มันมีสาระกว่านี้พูดแล้วเหรอ”
ภูชิชย์รีบเดินเข้างานไป วิทวัสมองตามด้วยสีหน้าเครียด
ภูชิชย์เดินมาเจอนริศราที่กำลังยืนดื่มน้ำอยู่ที่ซุ้มค็อกเทล นริศราเห็นเข้าก็ตกใจแล้วจะเดินหนี
ภูชิชย์รีบหาเรื่องคุยทันที “ฝีมือเพ้นท์ของเธออย่างกับมืออาชีพเลยนะ อย่างนี้ทำขายเป็นอาชีพเสริมได้เลยนะเนี่ย”
“ขอบคุณค่ะ” นริศราตอบนิ่งๆ
นริศราจะเดินไปแต่ภูชิชย์มายืนขวาง
“ฉันอยากคุยกับเธอ”
“เราไม่มีอะไรจะคุยกันอีกแล้วค่ะ”
“เธอไม่มีแต่ฉันมี ฉันอยากให้เธอกลับไปทำงานที่ไร่ และไปให้เร็วที่สุดด้วย”
“พ่อเลี้ยงคะ ข้อแรก คุณไม่ใช่เจ้านายของฉันแล้ว ข้อสอง กรุณารักษามารยาทกับฉันด้วย ข้อสาม พยายามจำข้อหนึ่งกับสองให้ได้ขึ้นใจนะคะ” นริศรากล่าวเสียงเข้ม
ภูชิชย์ได้ยินก็ถึงกับอึ้ง เขาจ้องหน้ากับนริศราแล้วนริศราก็เดินหนีไป
เจ้าทิพย์ดารายืนมองอยู่ที่มุมหนึ่งก็ยิ่งเสียใจที่ได้เห็น
วิทวัสที่ยืนมองอยู่อีกมุมหนึ่งเห็นนริศราเดินหนีภูชิชย์ไป เขาหันไปมองอีกทางก็เห็นเจ้าทิพย์ดารากำลังมองทั้งคู่ด้วยหน้าเศร้าหมอง
อ่านต่อหน้าที่ 3
รักประกาศิต ตอนที่ 11 (ต่อ)
เจ้าทิพย์ดาราออกมานั่งซึมอยู่ข้างระน้ำของโรงแรม เจ้าเทพมงคลและเจ้าดาระกาเดินมาเห็นก็รู้สึกสงสารลูกจึงเข้ามานั่งด้วย
“ลูกน้อย” เจ้าดาระกาลูบหัวบุตรสาว “มานั่งซึมอยู่ทำไม ถ้าอยู่แล้วเสียใจ เรากลับบ้านนะลูก”
“น้อยไม่เป็นไรหรอกค่ะ เจ้าพ่อเจ้าแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราตอบ
“พ่อขอถามตรงๆนะ ว่าลูกแน่ใจหรือเปล่า ว่าระหว่างลูกกับพ่อเลี้ยง ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”
เจ้าทิพย์ดาราได้ยินคำถามก็ถึงกับอึ้ง “เจ้าพ่อ”
“ที่พ่อถาม พ่อไม่ได้อยากจะทำร้ายลูกของพ่อนะ แต่พ่อก็ไม่อยากให้น้อยทำร้ายตัวเอง”
“น้อย...ก็ไม่แน่ใจค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราตอบ
“ถ้ามันถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงก็ทำใจยอมรับเถอะลูก” เจ้าเทพมงคลพูด
“เจ้าพ่อเจ้าแม่ น้อยไม่อยากเสียภูไปค่ะ”
เจ้าพ่อกับเจ้าแม่ตกใจที่ได้ยินคำของลูกสาว “เจ้าน้อย”
“ขอบคุณเจ้าพ่อกับเจ้าแม่ที่เป็นห่วงน้อยนะคะ แต่น้อยจะจัดการเรื่องนี้เอง”
แล้วสามพ่อแม่ลูกก็โผเข้ากอดกัน
พิสุทธิ์ยืนดูพนักงานรื้อเวทีหลังจากงานเลิก ส่วนนริศรากับเจ้าทิพย์ดาราก็ช่วยกันเก็บของที่ซุ้ม เจ้าทิพย์ดาราดูเงียบไปจนนริศราต้องชวนคุย
“แหม...ขากลับนี่สบายไปเลยนะคะ”
เจ้าทิพย์ดาราชะงัก “น้อยอยากคุยอะไรกับคุณนิดค่ะ แต่...”
นริศรางง “อะไรเหรอคะ....เจ้าน้อยคะ มีอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ เราเป็นเพื่อนกัน พูดตรงๆได้เลย”
เจ้าทิพย์ดารากลั้นใจพูด “น้อยอยากพูดเรื่องภู...กับคุณนิด”
นริศราอึ้ง “เจ้าน้อย”
“น้อยรักภูกับคุณนิดมาก โดยเฉพาะคุณนิด น้อยถูกชะตากับคุณนิดอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็อยากเป็นเพื่อนกับคุณมาก แต่น้อยก็ไม่ชอบที่เห็นภูกับคุณอยู่ใกล้กัน”
นริศราพยายามข่มใจ “นิดเข้าใจแล้วค่ะ”
“น้อยขอโทษนะคะ ที่ต้องพูดแบบนี้ คุณนิดไม่โกรธน้อยนะคะ”
“ไม่หรอกค่ะ นิดเข้าใจ นิดรับปากค่ะ ว่านิดจะไม่อยู่ใกล้พ่อเลี้ยงอีก”
เจ้าทิพย์ดารากับนริศรายิ้มให้กัน
ห่างออกไป ภูชิชย์ยืนมองนริศรากับเจ้าทิพย์ดาราที่กำลังคุยกันอยู่ โดยมีวิทวัสอยู่ใกล้ๆ เขา
“ผมว่าพี่ภูกำลังเปลี่ยนไป” วิทวัสทักขึ้น
“พี่น่ะเหรอเปลี่ยน เปลี่ยนอะไร?” ภูชิชย์งง
“ก็เปลี่ยนใจจากเจ้าน้อยเป็นคุณนิดน่ะสิ”
“นายวัส พี่...เอ่อ...” ภูชิชย์อ้ำอึ้ง
“คุณนิดเป็นคนดี เจ้าน้อยก็เป็นคนดี อีกห้าสิบปีข้างหน้าจะมีผู้หญิงที่ดีหนึ่งคนอยู่เคียงข้างพี่ ทำในสิ่งที่ดีที่สุดนะครับพี่ภู” วิทวัสบอก
ภูชิชย์นิ่งอึ้ง วิทวัสตบไหล่ให้กำลังใจพี่ชายตัวเอง
“นายให้ลีมูซีนโรงแรมไปส่งนะ พี่ขอไปจัดการธุระหน่อย” ภูชิชย์พูด
วิทวัสยิ้มรับ
เจ้าเทพมงคล เจ้าดาระกาและเจ้าทิพย์ดาราออกมายืนรอรถอยู่ที่หน้าโรงแรม ทั้งสามเห็นรถแล่นมาจอดเทียบ พนักงานเดินมาเปิดประตูให้
ทันใดนั้นภูชิชย์ก็เดินมา ทั้งสามชะงักมองเขา
“ผมขออนุญาตคุยกับเจ้าน้อยได้ไหมครับ” ภูชิชย์พูด
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาไม่อยากมองหน้าภูชิชย์เลยมองไปที่เจ้าทิพย์ดาราแทน
“เจ้าพ่อกับเจ้าแม่กลับไปก่อนนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“เจ้าน้อย” เจ้าดาระกาเป็นห่วง
เจ้าเทพมงคลพูดกับเจ้าดาระกา “เรากลับกันเถอะ”
เจ้าเทพมงคลเดินขึ้นรถ เจ้าดาระกาค้อนใส่ภูชิชย์แต่ก็ขึ้นรถตามไป เหลือเจ้าทิพย์ดาราที่ยืนมองหน้าภูชิชย์ด้วยความสงสัย
ภูชิชย์จอดรถเพื่อคุยกับเจ้าทิพย์ดาราที่ริมทาง
“ไหนภูบอกจะมีอะไรคุยกับน้อยไงคะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“ผมอยากจะขอโทษเจ้าครับ” ภูชิชย์เอ่ย
เจ้าทิพย์ดาราได้ยินก็น้ำตาไหลออกมาทันที
“ทำไมคะภู ภูไม่รักน้อยแล้วเหรอคะ”
“ผมพยายามแล้วครับ แต่สองปีที่เราจากกันไป มันทำให้หลายอย่างเปลี่ยน ผมขอโทษที่ไม่สามารถทำความรู้สึกให้เหมือนเดิมได้อีก”
“แล้วถ้าแต่งงานกันไปล่ะทุกอย่างจะดีขึ้นไหมคะ”
“เจ้ายังอยากแต่งงานกับผมอีกเหรอครับ”
เจ้าทิพย์ดาราฝืนยิ้ม “ขอบคุณนะคะที่ภูไม่จำใจแต่งงานกับน้อย เพราะมันอาจจะทำให้น้อยต้องทนทุกข์ไปตลอดชีวิต”
“ผมเสียใจนะครับเจ้า”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วค่ะภู แล้วก็เลิกขอโทษน้อยด้วย ภูไม่ได้ทำอะไรผิด เอาเป็นว่าน้อยเข้าใจ น้อยจะไม่รั้งคนที่ไม่ได้รักน้อยอีกแล้ว”
เจ้าทิพย์ดาราพูดจบก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น
“เจ้าน้อยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ น้อยไม่เป็นไร” เจ้าทิพย์ดารายิ้มทั้งน้ำตานองหน้า “ต่อไปนี้เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะคะ”
พูดจบเจ้าทิพย์ดาราก็โผเข้ากอดภูชิชย์แล้วร้องไห้โฮ ท่ามกลางความมืดมืดมีรถของภูชิชย์จอดอยู่คันเดียวในบริเวณนั้น
รถของพิสุทธิ์แล่นมาจอดที่หน้าบ้านพักของนริศรา พิสุทธิ์กับนริศราลงมาจากรถ ทั้งสองเดินมาถึงหน้าบ้านพัก
“เป็นอะไรอ่ะนิด เห็นเงียบมาตลอดทางเลย” พิสุทธ์เอ่ยถาม
“เปล่าหรอก เราเหนื่อยน่ะ” นริศราตอบ
“ไม่ใช่มั้ง หรือว่านิดเศร้าแทนเรา”
“โป๊ะน่ะเหรอเศร้า เรื่องอะไร”
“อ้าว...ก็ดูสิ เราประมูลของนิดไม่ได้สักชิ้น โดนพ่อเลี้ยงแย่งไปหมด เศร้าไหมล่ะ”
“แหม...เราทำให้ใหม่ก็ได้”
“แล้วตกลงนิดเป็นอะไร ทำไมหน้ามุ่ยอย่างนี้”
“ไม่มีอะไรจริงๆ เราขอตัวไปพักผ่อนนะ ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างวันนี้”
“ถ้ามีอะไรอยากคุยกับเราก็โทรมาได้ตลอดนะ”
นริศรายิ้มให้พิสุทธิ์แล้วเดินเข้าบ้านไป พิสุทธิ์มองตามอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินมาที่รถ เขามองเข้าไปในบ้านพักของนริศราก็เห็นไฟเปิด พิสุทธิ์ถอนใจแล้วขึ้นรถขับออกไป
นริศราวางกระเป๋า วางสัมภาระต่างๆ แล้วนั่งลงที่เตียงอย่างอ่อนแรง ทันใดนั้นเธอก็คิดถึงคำพูดของเจ้าทิพย์ดารา
“น้อยรักภูกับคุณนิดมาก โดยเฉพาะคุณนิด น้อยถูกชะตากับคุณนิดอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็อยากเป็นเพื่อนกับคุณมาก แต่น้อยก็ไม่ชอบที่เห็นภูกับคุณอยู่ใกล้กัน”
นริศรานึกถึงคำพูดเหล่านั้นเธอก็ถอนใจ
“นิดก็รักเจ้าน้อยเหมือนกัน แล้วนิดก็จะไม่ทำให้เพื่อนดีๆเจ็บแน่นอน” พูดเสร็จนริศราก็เศร้าใจ
เจ้าทิพย์ดาราหยิบอัลบั้มรูปที่เคยถ่ายกับภูชิชย์เมื่อสมัยเป็นแฟนกันขึ้นมาเปิดดู สักพักเธอก็น้ำตาซึมเพราะคิดถึงอดีต
เจ้าทิพย์ดารานึกถึงวันที่เธอกับภูชิชย์จูงมือกันเดินดูไร่องุ่นสุพัฒนาด้วยกัน ทั้งสองป้อนองุ่นให้กัน
ภูชิชย์กำลังฉีดสายยางให้น้ำองุ่น เจ้าทิพย์ดาราแอบมาสะกิดข้างหลัง ภูชิชย์หันมาทันทีทำให้น้ำฉีดใส่เจ้าทิพย์ดารา ภูชิชย์ตกใจ เจ้าทิพย์ดาราทำหน้างอก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยกัน
ภูชิชย์เช็ดผมและซับหน้าให้เจ้าทิพย์ดาราอย่างอ่อนโยน ทั้งสองมองตากันอย่างซาบซึ้ง
ภูชิชย์ขับรถพาเจ้าทิพย์ดาราไปเที่ยว เจ้าทิพย์ดาราเห็นภูชิชย์อมยิ้มมาตลอดทางก็นึกสงสัยจึงตีแขนภูชิชย์แล้วถามว่ามีอะไร ภูชิชย์ไม่ตอบแล้วทำท่าว่าแดดส่อง เขาจึงดึงที่บังแดดลงมา เจ้าทิพย์ดารางง เธอหันไปมองหน้ากระจกรถก็รู้สึกว่าแดดแรงจึงหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาใส่ ภูชิชย์เซ็งที่เจ้าทิพย์ดาราไม่เข้าใจ ภูชิชย์เลยเอื้อมตัวมาดึงที่บังแดดฝั่งเจ้าทิพย์ดาราลงมาบ้าง แล้วดอกกุหลาบที่ซ่อนอยู่ในที่บังแดดก็หล่นลงมาบนตักเจ้าทิพย์ดาราพอดี เจ้าทิพย์ดาราร้องอ๋อแล้วหัวเราะชอบใจ เธอหยิกแก้มภูชิชย์ ภูชิชย์คว้ามือเธอขึ้นมาหอม
ยิ่งนึกถึงอดีตอันหอมหวาน เจ้าทิพย์ดาราก็ยิ่งร้องไห้ เธอหันไปหยิบกรอบรูปที่มีรูปถ่ายคู่กันบนหัวเตียงมาดูแล้วถอดรูปออกมา ก่อนจะสอดรูปไว้ในอัลบั้ม แล้วประกอบกรอบรูปวางไว้ที่หัวเตียงในตำแหน่งเดิม เจ้าทิพย์ดารามองกรอบรูปที่ว่างเปล่าแล้วก็ร้องไห้หนักขึ้น
ดึกแล้วแต่ภูชิชย์ยังคงนอนไม่หลับ เขามองไปที่โต๊ะเห็นรูปเจ้าทิพย์ดาราวางอยู่ใกล้ๆกับกระถางของนริศรา
ภูชิชย์ลุกขึ้นนั่งแล้วเดินไปดูใกล้ๆ เขาหยิบรูปและกระถางขึ้นมาดู แล้วตัดสินใจวางรูปลงถือแต่กระถางไว้ในมือ
เจ้าทิพย์ดารานั่งดูกุหลาบแห้งในมือพร้อมกับร้องไห้จนตัวโยน เจ้าทิพย์ดารานอนกอดหมอนร้องไห้ตลอดทั้งราตรีอันยาวนาน
เช้าวันใหม่ ภูชิชย์กำลังจะออกจากบ้านเพื่อไปที่ไร่ แต่โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นก่อน ภูชิชย์ดูหน้าจอ แล้วกดรับสาย
“ครับเจ้า”
“ภูมาหาน้อยหน่อยนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราพูดผ่านสายมา
“ตอนนี้เหรอครับ”
“ค่ะ ตอนนี้”
“ครับๆ” ภูชิชย์กดวาง แล้วขึ้นรถ ขับออกไปทันที
ภูชิชย์ขับรถมาจอดหน้าบ้านเจ้าทิพย์ดารา เขาเห็นเจ้าทิพย์ดาราที่สวมแว่นดำกำลังเดินออกมาจากบ้าน ภูชิชย์รีบลงจากรถไปรับด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ไม่สบาย หรือว่ามีอะไรให้ผมช่วยครับ”
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “น้อยไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แต่น้อยอยากจะทำอะไรบางอย่างให้ภู”
“ทำอะไรครับ” ภูชิชย์งง
“ขึ้นรถเถอะค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราชวนแล้วก็เดินขึ้นรถทันที
ภูชิชย์ยืนงงแต่ก็เดินไปขึ้นรถ แล้วขับออกไป
นริศราเห็นเจ้าทิพย์ดารากับภูชิชย์มาที่ศูนย์วิจัยก็รู้สึกแปลกใจ ภูชิชย์มีสีหน้าเคร่งขรึมเพราะรู้สึกไม่สบายใจที่เจ้าทิพย์ดาราทำแบบนี้
นริศราถามเสียงแข็งใส่ภูชิชย์ “คุณมาทำไม”
“น้อยพาภูมาเองค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
นริศราได้ยินก็ยิ่งไม่เข้าใจ เธอจึงจูงมือเจ้าทิพย์ดารามาคุยกันสองคน
“เจ้าพาเขามาทำไมคะ ก็เจ้าเพิ่งบอกไม่อยากให้นิดอยู่ใกล้พ่อเลี้ยงเขานี่คะ”
“ความจริงน้อยก็ยังอยากให้เป็นอย่างที่พูด แต่น้อยไม่ใช่เจ้าของเขาอีกแล้วล่ะค่ะแล้วหัวใจเขาก็ไม่ได้อยู่ที่น้อยอีกต่อไป” เจ้าทิพย์ดาราบอก
นริศราอึ้ง “เจ้าพูดเรื่องอะไรคะ”
“ให้ภูพูดกับคุณนิดเองดีกว่าค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราคว้ามือนริศรามาหาภูชิชย์ “ภูคะ คุยกับคุณนิดดีๆนะคะ อย่าทำเสียเรื่องล่ะ”
ภูชิชย์และนริศรามีท่าทีอึกอัก นริศรารีบจับมือเจ้าทิพย์ดาราออก
“เจ้าคะ นิดขอโทษนะคะ นิดต้องไปทำงานแล้วล่ะค่ะ” พูดจบนริศราก็เดินหนีไปทันที
ภูชิชย์ทำท่าจะเดินตามแต่ก็ไม่ตาม เพราะห่วงความรู้สึกเจ้าทิพย์ดารา
“ภู ตามไปสิคะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
ภูชิชย์ได้ยินก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก “เจ้าน้อย ผมไม่สบายใจเลย เจ้าอย่าทำอย่างนี้เลยนะครับ ผมไม่อยากให้เจ้าเสียใจอีก”
“น้อยเต็มใจเองนะคะ ภูไม่ต้องห่วงความรู้สึกน้อยหรอกค่ะ น้อยจะมีความสุข ถ้าเพื่อนรักของน้อยทั้งสองคนมีความสุข”
“เจ้า..”
เจ้าทิพย์ดาราดันภูชิชย์ให้เดินไป “ไปเร็วเข้า ป่านนี้คุณนิดหนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ถ้าภูทำไม่สำเร็จน้อยโกรธจริงๆด้วย”
ภูชิชย์มองหน้าเจ้าทิพย์ดาราแล้วก็ยิ้มจากนั้นก็วิ่งไป เจ้าทิพย์ดารามองตามแล้วแอบเช็ดน้ำตา
พิสุทธิ์เดินหิ้วถุงอาหารมาที่หน้าบ้านพักของนริศรา
“นิด เรามาแล้ว หิวยัง” พิสุทธิ์ร้องเรียก
สักพักเจ้าทิพย์ดาราก็เดินมาจากข้างบ้าน
“มาแต่เช้าเลยนะคะ”
พิสุทธิ์ยิ้มขำ “ใครกันแน่มาแต่เช้า ท่าทางเจ้าจะมาก่อนผมด้วยซ้ำ อย่างนี้จะไม่ให้เข้าใจว่าเป็นคู่วายกันได้ไงครับเนี่ย”
เจ้าทิพย์ดาราหันมาเห็นพิสุทธิ์ก็ยิ้ม “แหม คู่วายอะไรกันคะ แซวบ่อยๆเดี๋ยวเป็นจริงขึ้นมา จะว่ายังไงคะเนี่ย”
“โธ่ เจ้าจะเป็นได้ยังไง คุณภูชิชย์ได้มาเล่นงานผมตายเลย โทษฐานชี้นำให้แฟนชาวบ้านเขาออกนอนกลู่นอกทาง”
เจ้าทิพย์ดารานิ่งไป “น้อยไม่ได้เป็นแฟนกับภูแล้วค่ะ”
“อะไรนะครับ” พิสุทธิ์ตกใจ
เจ้าทิพย์ดาราถอนใจ “คงไม่มีใครมาว่าคุณโป๊ะอีกแล้วค่ะ”
“เจ้าน้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผมงงไปหมดแล้ว”
“คุณนิดพูดถูก ถ้าเราจะอยู่กับใครไปอีกห้าสิบปี คนๆนั้นควรจะเป็นคนที่เรารักเขาและเขาก็รักเขาค่ะ”
พิสุทธิ์มองเจ้าทิพย์ดารานิ่งด้วยความสงสัย
“ผมจะไปตามนิดมาทานอาหารเช้ากับเรานะครับ”
พูดจบพิสุทธิ์ก็จะเดินไปแต่เจ้าทิพย์ดาราพูดขึ้นมาก่อน
“ภูกับคุณนิดกำลังคุยกันเรื่องที่จะกลับไปทำงานที่ไร่ค่ะ”
พิสุทธิ์อึ้งแล้วรีบวางของเพราะตั้งใจจะไปตามนริศรา
“นิดเขาไม่อยากกลับไร่หรอกครับ ผมรู้ว่านิดเขาไม่มีความสุขที่อยู่ที่นั่น”
“เรารอฟังคำตอบอยู่ที่นี่ดีกว่านะคะ”
พิสุทธิ์หน้าเสีย
ภูชิชย์วิ่งตามนริศรามาจนถึงไร่กาแฟของศูนย์วิจัย
“นิด” ภูชิชย์พยายามเรียก
นริศราหันมาเห็นก็ตกใจและวิ่งหนีไปอีก
“นิด คุยกันก่อนได้ไหม” ภูชิชย์วิ่งตาม
นริศราหันมาตอบทั้งที่ยังวิ่งอยู่ “ฉันไม่คุย”
“เธอกลับไปทำงานที่ไร่ฉันเหมือนเดิมเถอะนะ”
นริศราหันมาตอบทั้งๆ ที่วิ่งไปข้างหน้า “ฉันไม่กลับ” พอหันกลับมานริศราก็ตกท้องร่อง “ว้าย!”
ภูชิชย์ตกใจรีบวิ่งเข้าไปหา “นิด”
นริศราพยายามจะขึ้นมาจากร่อง ภูชิชย์วิ่งมาหยุดยืนหัวเราะ
“น่าถ่ายคลิปไปให้คนอื่นดู” ภูชิชย์ว่า
นริศราคว้าดินขว้างใส่ภูชิชย์ “นี่แน่ะ ถ่ายคลิปเหรอ เพราะคุณคนเดียว ฉันเลยต้องเป็นแบบนี้”
“เอ้า โทษฉันอีก” ภูชิชย์ยื่นมือให้นริศราจับ “ขึ้นมาก่อนเร็ว”
นริศราทำเหมือนดื้อแต่ก็จับมือภูชิชย์ขึ้นไป
“ขอบคุณนะ” นริศราแอบยิ้มแล้วผลักภูชิชย์หล่นไปแทน
“เฮ้ย ยัยบ้า”
นริศราหัวเราะ ขณะนั้นชาวไร่ขับรถอีแต๋นผ่านมาแล้วบีบแตรเรียก พอรถหยุดนริศราก็รีบกระโดดขึ้นรถทันที
“ไปค่ะ ไปเลยค่ะลุง”
ชาวไร่มองไปที่ภูชิชย์ นริศราเห็นสายตาชาวไร่ก็รีบบอก
“อ๋อ เขาไม่ไปหรอกค่ะ เขาอยากสำรวจดินอยู่ในท้องร่อง เรารีบไปกันเถอะค่ะลุง”
ชาวไร่ออกรถ นริศราโบกมือแล้วยิ้มทะเล้นใส่ภูชิชย์ “ไปก่อนน้า”
“รอด้วย” ภูชิชย์พยายามปีนขึ้นมา แต่ก็ลื่นลงไปอีก “โธ่เว้ย” ภูชิชย์ตะโกน “นริศรา เธอหนีฉันไม่พ้นหรอก”
นริศราโบกมือและหัวเราะอยู่บนท้ายรถที่ขับไปไกลแล้ว ภูชิชย์มองอย่างเจ็บใจ
นริศรามาช่วยชาวไร่เก็บหน่อไม้ฝรั่งที่ปลูกแซมกับไร่กาแฟ ขณะที่กำลังเก็บเพลินๆ ภูชิชย์ก็มายืนตรงหน้า นริศราเงยหน้าขึ้นมาเห็นภูชิชย์ก็ตกใจ
“มาได้ไงเนี่ย”
ภูชิชย์หันไปขอบคุณชาวไร่คนหนึ่งที่กำลังขี่จักรยานออกไป
“ของคุณนะครับพี่ที่มาส่ง”
ภูชิชย์หันมายิ้มและยักคิ้วให้นริศรา นริศราเบ้หน้าใส่แล้วเดินหนีไปบริเวณที่ชาวไร่กำลังถางวัชพืชกันอยู่ ภูชิชย์วิ่งไปคว้ามือนริศราไว้ “นี่เธอ ฉันมาตามให้เธอกลับไปที่ไร่ ไม่ได้ตามทวงหนี้ หนีจังเลย”
“ฉันก็บอกไปหลายครั้งแล้วว่าไม่กลับๆๆๆ เป็นปลาหางนกยูงหรือยังไง ถึงได้ความจำสั้นกว่าปลาทองซะอีก”
“แล้วเธอล่ะ ทั้งพูดดี ทั้งขอร้อง ก็ไม่ยอมฟัง ดื้อด้านยิ่งกว่าวัวซะอีก อย่างนี้ต้องให้กินหญ้าเยอะๆแล้วมั้ง จะได้เชื่องๆ”
“คุณภูชิชย์” นริศราหันไปเห็นวัชพืชในปุ้งกี๋ของชาวไร่ก็เข้าไปคว้าแล้วเทใส่ภูชิชย์ “คุณน่ะสิต้องกินหญ้าเยอะๆบำรุงสมอง จะได้พูดรู้เรื่องซะที” นริศราหยิบมาเทอีก
“เฮ้ย นิด หยุดนะ ทำไมร้ายอย่างนี้ ยัยบ้า”
ชาวไร่พากันหัวเราะ ภูชิชย์เริ่มอายจึงรีบพูด
“ไม่ต้องตกใจครับ เขาเป็นเมียผมครับ ผมมาตามกลับไปดูลูก”
ชาวไร่ส่งเสียงเฮลั่น นริศราหน้าตื่นเพราะเริ่มอาย
“ไม่ใช่ค่ะ นิดไม่ได้เป็นอะไรกับเขานะคะ” นริศราหันมาทำตาเขียวใส่ภูชิชย์ “ตาบ้า คุณพูดอะไรออกมา”
ภูชิชย์ยิ่งพูดเสียงดัง “ก็เธอไม่กลับบ้านลูกมันก็งอแงสิ”
“สุดจะทนแล้วนะ” นริศราเอาปุ้งกี๋ครอบหัวภูชิชย์แล้ววิ่งหนีไปทันที
ชาวไร่หัวเราะกันลั่น ภูชิชย์เอาปุ้งกี๋ออกแล้วมีสีหน้าเจ็บใจ จากนั้นก็วิ่งตามไป
นริศราเดินหนี ภูชิชย์เดินตามง้อ นริศราส่ายหน้ายืนยันว่าไม่กลับ แล้วเธอก็ไปคว้ารถเข็นที่ชาวไร่กำลังตักดินใส่มาเทใส่ขาภูชิชย์
นริศราวิ่งหนีมาตรงลานตากกาแฟแล้วหาที่หลบ ภูชิชย์วิ่งตามมาแต่เบรกไม่ทันจึงเหยียบเปลือกกาแฟลื่นล้ม นริศราที่แอบดูอยู่หัวเราะแต่พอเห็นว่าภูชิชย์เจ็บก็เริ่มสงสาร ภูชิชย์หันมาเห็นว่านริศราแอบดูอยู่ก็ลุกขึ้นโวยวายแล้วเดินรี่มาหานริศรา นริศราร้องว้ายแล้ววิ่งหนีไปอีก ภูชิชย์ส่ายหน้าเพราะเริ่มเหนื่อย
ภูชิชย์เดินมายังรถที่ของเขาที่จอดอยู่ด้วยท่าทีเซ็งๆ และเนื้อตัวมอมแมมจนเจ้าทิพย์ดาราอดขำไม่ได้
“ภูทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“ฝีมือคุณนิดของคุณล้วนๆ แถมพูดยังไงก็ไม่ยอมกลับด้วย” ภูชิชย์บอก
เจ้าทิพย์ดาราขำ “คุณนิดนี่ก็ร้ายเหมือนกันนะเนี่ย ไม่น่าเชื่อ”
“ทั้งร้าย ทั้งดื้อเลยล่ะครับ”
“แล้วยังชอบอยู่หรือเปล่าล่ะคะ”
ภูชิชย์อาย “ก็...ก็..”
เจ้าทิพย์ดาราตัดบท “ภูนี่ ไม่ได้เรื่องเลย ไปกับน้อยดีกว่า”
“ไปไหนครับ”
“ไปเอาตัวคุณนิดกลับไงคะ”
ภูชิชย์ทำท่าทางเหนื่อยอ่อนจนเจ้าทิพย์ดาราทั้งจูงทั้งลากให้ตามไป
เจ้าทิพย์ดารากับภูชิชย์เข้ามาคุยกับธาวินในศูนย์วิจัย
“น้อยอยากทราบว่า ที่นี่มีปัญหาอะไรบ้าง น้อยกับภูอยากจะมาช่วยพัฒนาที่ศูนย์วิจัยนี่ด้วยน่ะค่ะ”
ภูชิชย์เริ่มงง “เจ้าจะให้ผมทำงานที่นี่เหรอครับ”
ธาวินกับภูชิชย์มองเจ้าทิพย์ดาราด้วยความไม่เข้าใจ
นริศราเดินกลับมาที่บ้านพักของเธอ พิสุทธิ์ซึ่งนั่งรอนริศราอยู่หน้าที่บ้านเห็นเธอกลับมาก็รีบลุกขึ้นมาหา
“อ้าวโป๊ะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” นริศราทัก
“มาหลังพ่อเลี้ยงนิดนึง” พิสุทธิ์บอก
นริศราถอนใจด้วยความเซ็งที่ได้ยินชื่อภูชิชย์
“เอ่อ...นิดยังยืนยันไม่ไปทำงานกับพ่อเลี้ยงใช่ไหม” พิสุทธิ์ถาม
“ใช่” นริศราตอบ
“ค่อยยังชั่ว ได้แบบนี้แล้วเราก็มาทานอาหารเช้ากันเถอะ เราอุตส่าห์ขนมาบรรณาการนิดเป็นพิเศษ มีทั้งแซนด์วิช สลัด ซุปก็มีนะ”
“หืม...นายโป๊ะ แบบนี้หมายความว่าไงยะ ถ้าเราตกลงกลับไปทำงานก็อดน่ะสิ”
“แน่นอน เราจะตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับนิดด้วยนะ” พิสุทธิ์ขู่
“เสียใจ งานนี้เราไม่ยอมเด็ดขาด”
พิสุทธิ์ยิ้มแฉ่ง “ไม่ยอมเสียเราน่ะเหรอ”
“ไม่ยอมเสียของอร่อยๆต่างหากจ้ะ”
พูดจบนริศราก็ยื่นมือจะคว้ากล่องแซนด์วิช แต่พิสุทธิ์ดึงหนี เธอจะคว้ากล่องสลัดพิสุทธิ์ก็ดึงหนีอีก แล้วทั้งสองก็แกล้งแย่งของกินกัน
นริศราเดินเก็บตัวอย่างดินในไร่กาแฟใส่กล่องแล้วจดบันทึก โดยมีพิสุทธิ์เดินตาม
“นี่ตกลงวันนี้จะไม่ไปทำการทำงานใช่ไหมเนี่ย” นริศราถามเพื่อน
“ก็รถพ่อเลี้ยงยังอยู่นี่จะให้เราไปได้ไง” พิสุทธิ์ตอบ
“นึกๆแล้วก็แปลกนะ ทำไมพ่อเลี้ยงกับเจ้าน้อยยังไม่กลับอีก” นริศราสงสัย
“ก็จะรอรับคุณนิดกลับไปด้วยไงคะ” เสียงเจ้าทิพย์ดาราดังขึ้น
แล้วเจ้าทิพย์ดารากับภูชิชย์ก็เดินเข้ามาหาทั้งคู่
“หมายความว่ายังไงครับ” พิสุทธิ์งง “ก็นิดเขาบอกหลายครั้งแล้วนี่ครับว่าจะไม่กลับไปที่ไร่สุพัฒนาอีก ผมว่าพ่อเลี้ยงกับเจ้าน้อยน่าจะเปลี่ยนความตั้งใจได้แล้วนะครับ”
“คงเป็นนริศรามากกว่าครับที่ต้องเปลี่ยนความตั้งใจ” ภูชิชย์พูด
พิสุทธิ์กับนริศรามองหน้ากันด้วยความงง
“คุณพูดอะไรของคุณคะพ่อเลี้ยง” นริศรางง
“ฉันคุยกับทางศูนย์วิจัยแล้ว ฉันจะช่วยเรื่องเงินทุนสนับสนุนการวิจัยอย่างเต็มที่ และก็ยอมให้ใช้ไร่สุพัฒนาเข้าร่วมโครงการวิจัยด้วย โดยเฉพาะแปลงกาแฟปลอดสารพิษของเธอ” ภูชิชย์บอก
“โห...ทำบุญเป็นด้วย” นริศรากัด
ภูชิชย์กระตุกมุมปากด้วยความฉุน
“ฉันน่ะชอบทำความดีนะ รวมทั้งคราวนี้ด้วย”
“ก็ดีแล้วนี่คะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย” นริศราถาม
ภูชิชย์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ทุกอย่างที่ฉันพูดไปทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้โดยมีข้อแม้ว่า เธอ...นริศรา เธอจะต้องเป็นตัวแทนศูนย์วิจัยไปทำงานที่ไร่ของฉัน ไม่งั้นฉันก็ไม่สนับสนุน” ภูชิชย์ยักคิ้ว “จบป่ะ?”
ภูชิชย์หยิบหนังสือส่งตัวยื่นให้นริศรากับพิสุทธิ์อ่าน
“หนังสือขอยืมตัวเธอ” ภูชิชย์พูด
นริศรากับพิสุทธิ์ยืนอึ้ง
นริศราเดินดุ่มตรงมาแล้วจะเข้าไปในศูนย์วิจัย ส่วนภูชิชย์ เจ้าทิพย์ดารา และพิสุทธิ์เดินตามมา
“คุณนิดคะ ใจเย็นๆก่อนสิคะ” เจ้าทิพย์ดาราปราม
“นิดไม่เย็นแล้วค่ะ พ่อเลี้ยงไม่มีสิทธิ์มามัดมือชกนิดแบบนี้” นริศราฉุน
“ใช่ นิดเขาไม่เต็มใจ ทำไมต้องบังคับเขาด้วย คุณก็หาคนงานคนอื่นไม่ได้หรือไง” พิสุทธิ์สนับสนุน
“ไม่ได้” ภูชิชย์รีบบอก
“ทำไม” นริศราถาม
ทั้งหมดนิ่งเงียบ พิสุทธิ์กับนริศราจ้องหน้าภูชิชย์อย่างคาดคั้น
“เอ่อ...ก็...ก็ฉันบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้” ภูชิชย์ยืนยัน
“งั้นฉันก็ไม่ได้เหมือนกัน” นริศราบอก
นริศราจะเปิดประตูสำนักงานศูนย์วิจัยเข้าไปแต่ภูชิชย์พูดเสียงเข้มขึ้นมาก่อน
“ถ้าเธอดื้อมากนักฉันจะฉีกสัญญาที่ทำกับที่นี่ เธอคงไม่รู้สิว่าเงินที่จะสนับสนุนที่นี่ หายากมาก เรามาร่วมมือกันทำประโยชน์เพื่อทุกคนดีกว่า”
นริศราจ้องหน้าภูชิชย์อย่างเอาเรื่อง ภูชิชย์ยิ้มกวนใส่
เจ้าทิพย์ดาราเข้ามาช่วยนริศราเก็บของอยู่ในห้องพักของนริศรา โดยที่เธอพยายามฝืนทำสีหน้าให้เป็นปกติ
“เจ้าทำแบบนี้ทำไมคะ” นริศราเอ่ยถาม
เจ้าทิพย์ดารายิ้มเศร้า “ภูพูดถูก 2 ปีที่เราไม่ได้ติดต่อกัน มันนานเกินไป เกินกว่าที่จะคงความรู้สึกให้เหมือนเดิมค่ะ การกลับมาของน้อยมันทำให้ระหว่างภูกับน้อยเหมือนจะรักกัน แต่มันก็ไม่ใช่”
นริศราจับมือเจ้าทิพย์ดาราเพื่อปลอบใจ
“เจ้าน้อยไม่ลอง....” นริศราพยายามจะเสนอความคิด แต่เจ้าทิพย์ดาราพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“คุณนิดคะ ความรักไม่ต้องใช้ความพยายามหรอกค่ะ ทุกอย่างมันต้องเกิดเองจากใจ น้อยลงมาหลายวิธีแล้ว จนมาเจอวิธีนี้”
“วิธีนี้?” นริศราสงสัย
“ก็วิธีที่ทำให้คนที่เรารักมีความสุขไงคะ “
“แต่นิดกับพ่อเลี้ยงมันไม่ใช่อย่างที่เจ้าน้อยคิดนะคะ”
“เสร็จแล้วใช่ไหมคะ เรารีบลงไปกันเถอะ” เจ้าทิพย์ดาราจับกระเป๋าและกำลังจะยกให้นริศรา
นริศรายื่นมือมาจับมือเจ้าทิพย์ดาราไว้ “เจ้าคะ เจ้ากำลังเข้าใจผิด”
เจ้าทิพย์ดารายิ้มแล้วช่วยยกของก่อนจะเดินออกจากห้องไป นริศราส่ายหน้าแล้วรีบยกเป้เดินออกมาล็อคห้องแล้วเดินตามเจ้าทิพย์ดาราไป
ภูชิชย์ยืนรออยู่ที่รถที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถของศูนย์วิจัย ส่วนพิสุทธิ์ก็ยืนอยู่ที่รถของตัวเองที่จอดอยู่ใกล้ๆ กัน ทั้งสองยืนเงียบๆ โดยไม่มองหน้ากัน
สักพักนริศรากับเจ้าทิพย์ดาราก็ยกของแล้วเดินออกมาจากบ้าน ภูชิชย์กับพิสุทธิ์รีบวิ่งเข้าไปช่วย
“เราไปส่งนะนิด” พิสุทธิ์บอก
นริศรายื่นกระเป๋าเป้ให้พิสุทธิ์ แต่ภูชิชย์ยื่นมือมาดึงกระเป๋าเป้ไว้นริศราเห็นก็ยื้อไว้
“เธอควรไปรถฉันเพราะเรามีเรื่องงานต้องคุยกัน” ภูชิชย์บอก
นริศราจำใจส่งกระเป๋าเป้ให้ภูชิชย์ ภูชิชย์ใช้อีกมือดึงแขนนริศราให้เดินไปที่รถ พิสุทธิ์จะตามไปแต่เจ้าทิพย์ดาราดึงแขนเขาเอาไว้
“น้อยจะขอให้คุณโป๊ะไปส่งได้ไหมคะ”
พิสุทธิ์พูดไม่ออกได้แต่ยืนมองภูชิชย์ที่กำลังพานริศราขึ้นรถ ก่อนที่รถของภูชิชย์จะแล่นออกไป
นริศราต่อว่าภูชิชย์ที่กำลังขับรถกลับไร่สุพัฒนามาตลอดทาง
“คุณนี่มันขี้โกง ใจร้าย ใจดำ อำมหิต ก้าวก่ายสิทธิมนุษยชน”
“โห...มาเป็นชุด จบยัง” ภูชิชย์ถาม
“ยัง คุณมันใจทมิฬหินตชาติ ใจบาป เอาโครงการที่เป็นประโยชน์มาทำให้เสื่อมเสียเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง”
“โอ๊ย..พอเถอะแม่คุณ แค่เอาตัวเธอกลับไปทำงานนี่มันเลวมากนักหรือไง”
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงน่ะ” นริศราด่าไม่หยุด “คุณมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย คุณมัน.....”
ภูชิชย์เบรกรถทันทีจนนริศราแทบหัวทิ่ม
“จอดทำไม” นริศราถาม
ภูชิชย์โมโห “ไม่ใช่ลูกผู้ชายเหรอ”
“พ่อเลี้ยงคุณจะทำอะไร”
“ฉันจะพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายให้เธอดู” พูดจบภูชิชย์ก็ปลดล็อคเซฟตี้เบลท์ของตัวเอง เขายื่นหน้ามาจ้องนริศรา
นริศราเริ่มกลัว เธอผลักหน้าภูชิชย์ให้ออกห่างแล้วรีบปลดเข็มขัดเปิดประตูลงจากรถทันที
อ่านต่อหน้าที่ 4
รักประกาศิต ตอนที่ 11 (ต่อ)
นริศรารีบวิ่งหนีไปตามริมทางเปลี่ยว ภูชิชย์ก้าวลงมาวิ่งตามจนจับตัวได้
“นี่ปล่อยฉันนะ” นริศราโวยวาย
“ฉันไม่ปล่อย ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปไหนอีกแล้ว” ภูชิชย์จับแขนนริศราแน่น
“คุณภูชิชย์นี่คุณเป็นบ้าอะไร รู้ไหมว่าสิ่งที่คุณทำน่ะมันแย่แค่ไหน”
ภูชิชย์ได้ยินก็เริ่มอึ้ง เขาปล่อยมืออกจากนริศรา “เธอคงรังเกียจฉันมากใช่ไหม”
“ฉันไม่อยากให้เจ้าน้อยเข้าใจเราสองคนผิด”
“ผิดยังไง ก็ฉันรักเธอนี่”
“อะไรนะคะ?” นริศราตกใจที่ได้ยินเช่นนั้น
“ฉันกับเจ้าน้อยมันจบไปตั้งแต่สองปีที่แล้ว มันไม่มีทางกลับมาได้ ตอนนี้คนที่ฉันรักก็คือเธอ”
นริศราอ้าปากค้างแล้วก็รู้สึกเหวอไป
เวลาผ่านไป ภูชิชย์ยังคงขับรถไปตามทางกลับไร่ ทั้งสองนั่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง นริศรามองออกไปนอกหน้าต่าง
ภูชิชย์เอื้อมมือไปจับมือนริศราที่วางอยู่ นริศราเขินจึงจะดึงมือออกแต่ภูชิชย์ไม่ยอมปล่อย
“พ่อเลี้ยงคะ”
“อย่าดื้อ”
ทั้งสองยังจับมือกันอยู่ รถของภูชิชย์วิ่งอยู่คันเดียวบนถนนที่ทอดยาวไปข้างหน้าคล้ายไม่มีจุดสิ้นสุด
พิสุทธิ์ยังคงนั่งคุยอยู่กับเจ้าทิพย์ดาราอยู่ที่ศูนย์วิจัย สีหน้าของเขาซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“น้อยขอโทษนะคะที่ทำร้ายคุณโป๊ะ” เจ้าทิพย์ดาราเอ่ยขึ้น “น้อยเข้าใจความรู้สึกของคุณโป๊ะดี”
“แล้วเจ้าน้อยคิดเหรอครับว่านิดจะชอบพ่อเลี้ยง” พิสุทธิ์ถามกลับ
“ถ้าคุณนิดอยากหนีภูอีก เธอคงขอความช่วยเหลือจากคุณโป๊ะแล้วล่ะค่ะ แต่นี่เราก็เห็นกันว่า....เธอยอมไปกับภู”
เจ้าทิพย์ดารารู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดของตัวเอง พิสุทธิ์ฟังจบก็ถอนใจด้วยความเครียดทันที
“น้อยขอโทษนะคะที่พูดตรงๆ น้อยเองก็เจ็บไม่ต่างจากคุณโป๊ะหรอกค่ะ”
พิสุทธิ์มองเจ้าทิพย์ดาราแล้วพยักหน้ารับด้วยความเห็นใจ
“แย่จังนะครับที่ผมเคยบอกว่าเจ้าว่าแม้ผมจะรู้ว่านิดไม่ได้รักผม แต่ผมก็มีความสุข พอถึงวันนี้ที่นิดเขาจะต้องมีใครขึ้นมาจริงๆ ผมก็ทำใจไม่ได้”
“การรักคนที่ไม่ได้รักเรานี่มันเหนื่อยจังเลยนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราเอ่ย
พิสุทธิ์กับเจ้าทิพย์ดารานั่งหน้าเศร้าอยู่ในไร่กาแฟที่เงียบสงบ
คนงานทุกคนของไร่สุพัฒนากำลังเข้าแถวตักข้าวและกินข้าวกัน ส่วนเจมส์กำลังนั่งสูดปาก ปาดเหงื่อกินแคปหมูจิ้มน้ำพริกหนุ่มอย่างเอร็ดอร่อยอยู่กับพร
เจมส์เอามือมาโบกพัดๆปากเพราะรู้สึกเผ็ด “oh my god ฝีมือแม่อุ้ย แซ่บขนาด”
คนงานที่อยู่แถวนั้นได้ยินก็ส่งเสียงหัวเราะ
“รสเนี้ย คุณนิดชอบเลยล่ะ” แม่อุ้ยว่า
“เฮ้อ...ป่านนี้ คุณนิดจะเป็นไงมั่งนะ” พรโพล่งออกมาเพราะคิดถึงนริศรา
“เราไปโทรหาคุณนิดกันดีกว่า” ลุงปั๋นเสนอ
พวกคนงานทำท่าจะลุกเดินไปแต่นิพนธ์กับวิทวัสเดินเข้ามาในโรงอาหารก่อน
“จะไปไหนกัน” นิพนธ์ถาม
“จะรีบไปโทรหาพี่นิดกันครับ” เจมส์บอก
“จะโทรทำไม คุณนิดมาแล้ว” นิพนธ์บอก
พวกคนงานต่างมีสีหน้าแปลกใจ
“คุณนิพนธ์อย่าล้อเล่นนะคะ หลอกคนแก่บาปนะคะ” แม่อุ้ยพูด
“คนอย่างนิพนธ์นะเหรอจะไปหลอกใคร ถ้าไม่เชื่อก็ดูโน่นสิ” วิทวัสชี้ไปที่หน้าโรงอาหาร
ทุกคนหันไปมองก็เห็นรถของภูชิชย์กำลังแล่นเข้ามา ทุกคนพยายามเพ่งมองอย่างลุ้นๆ จนรถของภูชิชย์จอด ภูชิชย์เปิดประตูเดินลงมากับนริศรา คนงานต่างร้องเฮด้วยความดีใจ ทั้งหมดรีบวิ่งเฮโลไปที่ลานจอดรถกันอย่างรวดเร็ว
พรกับแม่อุ้ยรีบวิ่งเข้าไปกอดนริศรา ส่วนลุงปั๋นกับเจมส์กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“ว๊าว...พี่นิด Welcome back ครับ ทำไมถึงกลับมาได้ล่ะครับ” เจมส์ถาม
แม่อุ้ยร้องไห้ “นั่นสิคะ ชาตินี้นึกว่าจะไม่ได้เจอกันแล้ว”
“พรคิดถึงคุณนิดทุกวันเลยค่ะ”
“ฉันก็คิดถึงทุกคนมากจ้ะ” นริศราบอก
ทุกคนร้องเฮ แล้วก็รุมกันถามนริศราเสียงดังเซ็งแซ่ ภูชิชย์ วิทวัส กับนิพนธ์ได้แต่ยืนมองแล้วยิ้ม
นิพนธ์พูดกับภูชิชย์ “ขวัญใจคนงานตัวจริงละครับ”
“นี่ถ้าผมย้ายคุณนิดไปทำงานที่กรุงเทพฯคนงานคงไม่ยอม” วิทวัสบอก
ภูชิชย์หันขวับ “ย้ายอะไร นายจะมาย้ายน่ะบอกพี่เหรอยัง”
วิทวัสงง “อ้าว...ก็ผมเห็นว่าถ้าคุณนิดอยู่ที่นี่อาจจะมีปัญหาเยอะเลยว่าจะปรึกษาพี่ภูว่าให้เธอไปทำงานที่กรุงเทพฯดีไหม”
“ไม่ดี...นายเลิกคิดเรื่องนี้ไปได้เลย” ภูชิชย์พูดเสียงจริงจัง
“นี่พี่ภูอารมณ์เสียเหรอครับ” วิทวัสถาม
ภูชิชย์รีบเฉไฉ “อะไร...เปล่านี่” แล้วเขาก็พูดกับนิพนธ์ “นิพนธ์แล้วที่ให้เตรียมน่ะเรียบร้อยใช่ไหม”
“ครับ” นิพนธ์เดินไปยืนข้างนริศรา “เอาละทุกคน เดี๋ยวให้คุณนิดเอาของไปเก็บก่อนดีกว่า แล้วเดี๋ยวค่อยมาคุยกันนะ”
พรจับเป้ของนริศรา “ไปค่ะคุณนิด กลับห้องเรานะคะ”
พรกับนริศราจะเดินไปที่ห้องพักแต่ภูชิชย์เรียกไว้
“จะไปไหนกัน”
“ก็เอาของไปเก็บไงคะ” นริศราบอก
“ไม่ใช่ที่เดิม” ภูชิชย์พูด
นริศรากับพรมองหน้ากันแล้วก็เหวอ ภูชิชย์เดินนำไป นริศรากับพรเดินตาม วิทวัสกับนิพนธ์มองหน้ากันด้วยความงง
“พ่อเลี้ยงดูแปลกๆนะครับ” นิพนธ์งง
นริศราและภูชิชย์ยืนอยู่หน้าบ้านพักของนิพนธ์ โดยมีนิพนธ์ วิทวัส กับพรยืนอยู่ไม่ไกล นิพนธ์ยื่นกุญแจบ้านให้นริศราแต่นริศรายังไม่รับ
“แล้วคุณนิพนธ์กับเจมส์จะไปนอนไหนล่ะคะ” นริศราถามขึ้น
“พ่อเลี้ยงให้ผมกับเจมส์ไปพักห้องพักแขกที่บ้านพ่อเลี้ยงครับ” นิพนธ์ตอบ
“ฉันยกบ้านนี้ให้เธอ” ภูชิชย์พูด
“เพื่อ?” นริศรางง
“ก็เพื่อให้เธออยู่สบายๆไง เมื่อก่อนฉันยอมรับว่าจะแกล้งเธอแต่ตอนนี้เธอกลับมาเป็นผู้จัดการ ก็ควรจะอยู่ห้องที่สมกับตำแหน่ง”
“ฉันมาในฐานะคนของศูนย์วิจัยค่ะ” นริศราบอก
“นั่นแหล่ะ จะมาในฐานะไหนก็ช่างเหอะ แต่ออกไปจากไปที่นี่ไม่ได้แล้วกัน” ภูชิชย์ยิ้ม “ขอให้ฉันได้แก้ไขที่เคยทำไม่ดีไว้กับเธอบ้างเถอะ” ภูชิชย์หยิบซองเงินเดือนจากกระเป๋า “นี่เงินเดือนที่เธอไม่ยอมรับ ตอนนี้เธอไม่มีความผิดแล้วรับไปนะ”
นริศรารับซองเงินเดือนไป ภูชิชย์รีบจับมือของเธอไว้ นริศราพยายามจะดึงมือออกแต่ภูชิชย์ไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยสิคะ ฉันจะเก็บซอง”
ภูชิชย์ปล่อยมือของนริศราที่ถือซองอยู่แต่ดึงมืออีกข้างของเธอขึ้นมาจับแทน นริศราอึ้งและเขินหนัก นิพนธ์กับวิทวัสมองภูชิชย์ที่กำลังจับมือนริศราตาค้าง พรยืนตาโตปิดปาก นริศรารีบดึงมือออก
“ตกลงเธอพักที่นี่นะ” ภูชิชย์บอก
“ไม่ค่ะ ฉันจะอยู่กับพรเหมือนเดิม” นริศราตอบ
“เอ่อ...ตอนแรกพรก็อยากให้ไปอยู่นะคะ แต่ถ้าลงถึงกับจับมือถือแขนแบบนี้ พรว่าพรนอนคนเดียวก็ได้ค่ะ..คุณนิด เอ๊ย คุณผู้หญิง” พรบอก
นริศราหยิกพรทันที “นี่แน่ะ...พร...มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
“ดุพรมันทำไม รีบไปจัดของเถอะ” ภูชิชย์พูด
“พ่อเลี้ยงคะ ฉันขอนอนกับพรเถอะ ฉันไม่อยากมีปัญหากับคุณเล็ก”
ภูชิชย์กับนิพนธ์อึ้งมองหน้ากัน แล้วภูชิชย์ก็พยักหน้าบอกว่าเข้าใจ นริศราเดินไปจูงมือพรแล้วเดินกลับไปด้วยกัน
“พ่อเลี้ยงครับ อย่าหาวาผมละลาบละล้วงเลยนะครับ แต่ทำไมคุณนิดถึงยอมกลับ” นิพนธ์ถาม
“นั่นสิครับ แล้วทำไมพี่ภูกับคุณนิดถึงได้เอ่อ...ดูเหมือน....” วิทวัสสงสัย
ภูชิชย์พูดสวนขึ้น “เอาเป็นว่าทั้งหมดต้องขอบคุณนายกับเจ้าน้อย”
นิพนธ์กับวิทวัสมองหน้ากันด้วยความอึ้ง ส่วนภูชิชย์ยิ้มอย่างมีความสุข
ลุงปั๋นและเหล่าคนงานมายืนออกันอยู่หน้าบ้านพักคนงานหญิง สักพักบัวเกี๋ยงก็เดินหน้าตึงเข้ามา
“เอ้าๆๆๆ นี่มาสุมหัวอะไรกันอยู่ที่นี่ งานการไม่มีทำหรือไง แล้วฉันไปที่โรงครัวทำไมไม่มีใครคอยตักข้าวให้ฉัน อยากให้ฟังคุณเล็กไล่ออกหมดหรือไงหา” บัวเกี๋ยงโวยวาย
“พวกเรามีธุระเว้ย” ลุงปั๋นตอกกลับ
“ธุระอะไร ฉันจะกินข้าว ไปตักข้าวให้ฉัน” บัวเกี๋ยงสั่ง
พวกคนงานต่างไม่สนใจบัวเกี๋ยง
“นี่...หูแตกกันหรือไง” บัวเกี๋ยงพูดเน้นทีละคำ “ฉัน-จะ-กิน-ข้าว-โว้ย”
“อีบัวเกี๋ยง เอ็งจะกินข้าวก็ไปตักเอง พวกข้ารอสัมภาษณ์คุณนิดอยู่” ลุงปั๋นบอก
“อะไรนะ อีนิดมันกลับมาเหรอ เป็นไปไม่ได้” บัวเกี๋ยงตกใจ
“คุณนิดเว้ย...เธอกลับมาแล้ว สงสัยจะกลับมาปราบมารอย่างเอ็ง” ลุงปั๋นพูดเสียงดัง
พวกคนงานหัวเราะด้วยความสะใจ บัวเกี๋ยงไม่สนใจรีบผลักคนงานออกแล้ววิ่งขึ้นชั้นบนไปยังห้องพรทันที
นริศรา พร กับแม่อุ้ยกำลังช่วยกันเอาของออกจากกระเป๋ามาจัดวางในห้องพักของพร
“ที่จริงฉันเก็บของเองก็ได้ ลงไปทานข้าวกันเถอะ” นริศราบอก
“ไม่ได้ค่ะ ต้องขอคุยกันให้หายคิดถึงก่อน” พรอ้อน
“คุณนิดจะรีบไล่ เพราะอายเรื่องที่นังพรมันเล่าใช่ไหมคะ” แม่อุ้ยแซว
นริศราเขิน “แม่อุ้ย อย่าล้อน่า”
“ตกลงคุณนิดเป็นแฟนกับพ่อเลี้ยงแล้วจริงๆใช่ไหมคะ” พรถาม
“แหม ลงพ่อเลี้ยงจับมือจับไม้ขนาดนี้ละก้อ ต้องเป็นแล้วแน่ๆเลย” แม่อุ้ยสรุป
“โอ๊ย ไม่เอา...พอๆๆ ถ้ายังพูดเรื่องนี้อีก ฉันจะไปจากที่นี่ไม่กลับมาเลย”
แม่อุ้ยกับพรเอามือปิดปากล้อนริศรา บัวเกี๋ยงยืนแอบฟังอยู่นอกห้องรู้สึกโกรธจนหยิบถังขยะหน้าห้องโยนเข้ามากลางวงทันที
“อีพี่บัวเกี๋ยง จะหาเรื่องเหรอ” พรลุกขึ้นเอาเรื่อง
บัวเกี๋ยงจ้องหน้านริศราแล้วสะบัดหน้าเดินไปด้วยความโกรธ
“มันคงแล่นไปฟ้องคุณเล็ก” แม่อุ้ยว่า
นริศราเริ่มกังวลใจ
สุพัฒนาฟังรายงานจากบัวเกี๋ยงก็ถึงกับหอบหนักด้วยความโกรธ
“อะไรนะ นังบัวเกี๋ยง แกพูดอะไร”
“บัวเกี๋ยงบอกว่า ตอนนี้พวกคนงานมันกำลังลือกันว่า พ่อเลี้ยงกับนังนิดเป็นแฟนกันค่ะ” บัวเกี๋ยงบอก
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”
“เป็นไปแล้วค่ะคุณเล็ก ยิ่งพูดยิ่งแค้นแทนคุณเล็ก นังพรมันเป็นคนเห็นว่าพ่อเลี้ยงจับมืออีนิด ตัวนังนิดมันก็บอกว่าอย่าพูดไป เช๊อะ...มันคงกะให้คุณเล็กรู้วันที่มันตีทะเบียนเป็นเมียพ่อเลี้ยงแล้วน่ะสิคะ พวกคนงานก็บ้าตื่นเต้นเรื่องนี้กันทั้งไร่ บัวเกี๋ยงละสุดจะทนแล้วนะคะ” บัวเกี๋ยงใส่ไฟ
“ไม่!!! ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้มันได้พี่ภูไปหรอก”
“แล้วคุณเล็กจะทำอะไรคะ ขนาดมันเป็นขโมยพ่อเลี้ยงก็ไม่สน คราวนี้ละมันคงขโมยทั้งพ่อเลี้ยงแล้วก็สมบัติของคุณเล็กจริงๆล่ะ”
สุพัฒนาโมโหจัด เธอเดินวนไปวนมาด้วยอาการมือไม้สั่นจากนั้นก็กรี๊ดลั่นห้อง เธอปาดข้าวของใกล้ตัวกระจุยกระจาย บัวเกี๋ยงหาที่หลบแทบไม่ทัน ก่อนที่สุพัฒนาจะเปิดประตูเดินออกไป บัวเกี๋ยงรีบวิ่งตามทันที
วิทวัสกับนิพนธ์ฟังคำของภูชิชย์ก็พยักหน้ารับ
“ถ้าไม่ได้นายเตือนให้พี่คุยกับเจ้าน้อย พี่ก็คงต้องทำร้ายเจ้าน้อยไปเรื่อยๆ และก็คงไม่ได้บอกความรู้สึกกับนริศรา” ภูชิชย์บอก
“น่านับถือเจ้าน้อยนะครับ เธอเป็นคนเข้มแข็งมากที่ยอมรับความจริงและอยู่กับมันได้ ผู้ชายบางคนยังทำไม่ได้อย่างเธอเลย” นิพนธ์พูดแล้วก็เศร้า ภูชิชย์กับวิทวัสเห็นท่าทีของนิพนธ์แล้วก็มองหน้ากันอย่างงงๆ
“ไปแอบรักใครแล้วไม่กล้าบอกเหรอนิพนธ์” ภูชิชย์ถาม
“เอ่อ..ป..ปะ...เปล่าครับ” นิพนธ์อึกอัก “ผมก็แค่ชื่นชมเจ้าน้อยเท่านั้น ยินดีด้วยนะครับพ่อเลี้ยง ต่อไปนี้พ่อเลี้ยงคงมีความสุขซะที”
“นิพนธ์ ลืมคุณเล็กไปหรือเปล่า” วิทวัสถาม
พูดถึงตรงนี้ภูชิชย์ก็ถอนใจด้วยความเครียดทันที ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดโครมเหมือนโดนผลักอย่างแรง ทั้งสามมองไปก็เห็นสุพัฒนากำลังยืนจ้องหน้าภูชิชย์โดยมีบัวเกี๋ยงอยู่ข้างๆ
“พี่ภู พี่ภูทำแบบนี้ทำไม พี่ภูเอามันกลับมาทำไม” สุพัฒนาโวยวาย
“คุณเล็กฟังพี่ก่อน” ภูชิชย์บอก
สุพัฒนาตวาด “จะหลอกอะไรคุณเล็กอีก” สุพัฒนาเริ่มร้องไห้ “ถึงตอนนี้พี่ภูจะโกหกอะไรอีก พี่ภูรักมันเห็น มันดีกว่าคุณเล็กใช่ไหม”
“คุณเล็ก” ภูชิชย์เริ่มใจเสีย
สุพัฒนาถามสวนขึ้น “ตอบมา พี่ภูรักมันใช่ไหม”
“ใช่” ภูชิชย์ตอบ
สุพัฒนาทุบโต๊ะ “ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นโจร พี่ภูก็ยังรักมันงั้นเหรอ”
“นริศราไม่ได้เป็นโจร แต่เขาถูกปรักปรำ....คุณเล็กก็น่าจะรู้ดีนี่” ภูชิชย์บอก
“กรี๊ด....ไม่รู้ คุณเล็กเกลียดมัน คุณเล็กไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
สุพัฒนากรี๊ดแล้วก็เริ่มหอบ ภูชิชย์เข้าไปประคอง
“คุณเล็ก ถ้าคุณเล็กรักพี่ภู พี่ว่าคุณเล็กลองเปิดใจรับคนที่พี่ภูรักด้วยก็จะดีนะ” วิทวัสแนะนำ
“หุบปากไปเลยพี่วัส” สุพัฒนาเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นออดอ้อนภูชิชย์ “พี่ภูไล่มันไปเถอะนะคะ พี่ภูทำเพื่อคุณเล็กนะคะ คุณเล็กไม่อยากให้พี่ภูติดต่อกันมันอีก”
“ เสียใจ พี่ทำแบบนั้นไม่ได้” ภูชิชย์บอก
สุพัฒนาผลักภูชิชย์ออกทันที “นี่ภูกล้าขัดคำสั่งคุณเล็กงั้นเหรอ”
“คำสั่งของคุณเล็กมันไม่ถูกต้อง”
สุพัฒนาสุดจะกลั้นร้องกรี๊ดดังลั่นไม่ยอมหยุด แล้วเธอก็เริ่มทำลายข้าวของในห้อง
“คุณเล็กเกลียดพี่ภู คุณเล็กเกลียดพี่วัส”
สุพัฒนาหยิบของขว้างใส่ภูชิชย์ วิทวัส และนิพนธ์ จนทั้งสามต้องหลบกันจ้าละหวั่น สักพักสุพัฒนาก็หอบเหนื่อยจนต้องเกาะโต๊ะพยุงตัวไว้
“คุณเล็ก เป็นยังไงบ้างครับ” นิพนธ์เป็นห่วง
“ไม่ต้องมายุ่ง” สุพัฒนาจ้องหน้าภูชิชย์กับวิทวัส “พี่ภู พี่วัส ไม่รักคุณเล็กแล้ว คุณเล็กก็จะเกลียดพี่ภู พี่วัส”
พูดจบสุพัฒนาก็จ้องหน้าพี่ชายทั้งสองแล้วน้ำตาของเธอไหลออกมาเอง ภูชิชย์เขยิบจะเดินมาหาแต่สุพัฒนาเขยิบถอยห่างแล้วก็เดินปาดน้ำตาออกไปจากห้อง บัวเกี๋ยงค้อนใส่ภูชิชย์แล้วเดินตามเจ้านายไป
“คุณเล็ก” ภูชิชย์พยายามเรียกแล้วจะเดินตามแต่วิทวัสดึงพี่ชายเอาไว้
“ไปตอนนี้ก็ยิ่งทำให้เขาโกรธมากขึ้นนะครับพี่ภู”
นิพนธ์มองสุพัฒนาที่เดินออกไปด้วยความเป็นห่วง
สุพัฒนาเดินร้องไห้ออกมาจากสำนักงานด้วยความโกรธ เธอปาดน้ำตามือไม้สั่น บัวเกี๋ยงเดินจ้ำตามออกมา
“นี่ตกลงว่าคุณเล็กจะยอมให้พ่อเลี้ยงเอานังนิดมาทำเมียเหรอคะ คุณเล็กกำลังจะแพ้มันนะคะ คุณเล็กต้องไล่มันสิคะ อย่าไปยอมมัน” บัวเกี๋ยงรีบยุยง
สุพัฒนาตวาดทันที “ไป๊! แกจะไปไหนก็ไป”
“คุณเล็กไล่บัวเกี๋ยงทำไม ต้องไปไล่มัน นังนิดมันกำลังจะแย่งพ่อเลี้ยง”
สุพัฒนาปิดหู “กรี๊ด ไป ฉันไม่อยากฟังแก”
แล้วสุพัฒนาก็รีบวิ่งออกไป
นริศรากับแม่อุ้ยและพวกคนงานหญิงกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่หน้าบ้านพักคนงานหญิง
“พวกที่สำนักงานเขาบอกคุณเล็กขว้างข้าวของโครมครามชนิดพ่อเลี้ยง คุณวัส คุณนิพนธ์ยังเอาไม่อยู่เลยค่ะ” พรเล่า
“นี่ฉันก่อเรื่องอีกแล้วใช่ไหม” นริศราถาม
“คุณนิดอย่าไปโทษตัวเองเลยค่ะ” แม่อุ้ยบอก
“แต่เรื่องมันเกิดเพราะฉัน” นริศรายืนยัน
ทันใดนั้นบัวเกี๋ยงก็เดินเข้ามา
“รู้ตัวว่าสร้างความเดือดร้อนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังหน้าด้านอยู่อีกนะ” บัวเกี๋ยงแขวะ
พรลุกขึ้นยืนประจันหน้า “ก็ถ้าไม่มีหมาคาบไปฟ้อง ก็ไม่มีใครเดือดร้อนหรอก”
“นังพร มึงด่ากูน่ะ ดูความจริงมั่ง ไม่เห็นเหรอ เวลานังนี่ไม่อยู่ไร่สงบทุกครั้ง แต่พอมันก้าวเท้าเหยียบวันแรก พี่น้องเขาก็แตกกันทันที แบบนี้ไม่เรียกว่าตัวซวยก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว”
“นังบัวเกี๋ยง ไปปากหมาที่อื่น” แม่อุ้ยยกไม้กวาดขึ้นตั้งท่าเหมือนจะตี
บัวเกี๋ยงเดินเชิดหน้าออกไป นริศราหน้าจ๋อย พวกคนงานเข้ามาจับมือและพูดปลอบ
“คุณนิด อย่าไปสนคำพูดนังบัวเกี๋ยงมันเลยนะคะ” แม่อุ้ยปลอบ
“ใช่ค่ะ มันไม่รักคุณนิดแต่พวกเรารักนะคะ” พรเสริม
นริศราขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก
จบตอนที่ 11
ติดตามอ่านรักประกาศิต ตอนที่ 12 พรุ่งนี้