บ่วง ตอนที่ 2
ผีอีแพงจูงศามนที่กำลังต้องมนต์มาที่หน้าเรือนเล็ก ซึ่งเป็นบ้านสองชั้นเก่าๆ มีต้นไม้ขึ้นรกครึ้ม จุดเด่นของบ้านหลังนี้ คือเต็มไปด้วยลูกกรง
ในอดีตบ้านหลังเล็กนี้ สร้างขึ้นหลังจากศามนแต่งงานกับชื่นกลิ่นแล้ว ต่อมาได้กับแพงเป็นเมียคนที่สอง แพงอ้างว่าตนเองท้อง เรียกร้องให้คุณหญิงอบเชยสร้างเรือนเล็กหลังนี้ให้ เมื่อแพงเริ่มเล่นคุณไสย คุณหญิงอบเชยจึงลงโทษให้แพงถูกล่ามโซ่ไว้กลางบ้านและยังติดลูกกรงไว้เต็มบ้าน ต่อมาแพงเป็นบ้าและตายคาบ้านหลังนี้
ระหว่างที่ถูกล่ามเธอร่ายมนต์ไว้เต็มบ้าน เมื่อตายไป คุณหญิงให้หมอผีทรงศีลคนหนึ่งเอาผ้ายันต์มาติดเพื่อสะกดวิญญาณไว้ที่ประตูบ้านจนถึงปัจจุบัน
แพงหันมามองหน้าศามนด้วยความรัก
“คุณหลวงจำเรือนหลังนี้ได้ไหม เรือนรักเรือนเสน่หาของคุณหลวงกับอีแพง เมื่อในอดีต เราสองเคยมีความสุขกันที่นี่ จำได้ไหมเจ้าคะ”
ศามนที่กำลังต้องมนต์ เหม่อมองบ้านตาลอย
“ชีวิตอีแพงอาภัพนัก ความยากจน ไม่เคยปรานีผู้ใด ตั้งแต่เล็กแต่น้อยก็อดมื้อกินมื้อ”
แพงหน้าเศร้าสลดลง นึกถึงอดีตของตนในวัยเด็ก
แพงเป็นเด็กชนบทฐานะยากจนเพราะพ่อเพิ่งตาย แม่ก็เจ็บออดๆ แอดๆ นอนซมอยู่แต่บนเรือน
แพงต้องคอยหาเลี้ยง โดยใช้ไม้และก้อนหิน ขุดหาเผือก มัน จนมือแตก เธอเจ็บมากแบมือออกดูเห็นเลือดซิบแต่ก็ทนเจ็บขุดต่อไป
“เจอแล้วแม่”
แพงหยิบเอาหัวมันที่ขุดได้มากินด้วยความหิว พึ่งแม่ของแพงที่นอนป่วยไม่มีเรี่ยวแรงอยู่บนเรือน ร้องไห้สงสารลูก
“กินประทังชีวิตไปก่อนนะลูก แม่ดีขึ้นจะพาเจ้าไปอยู่ในเมือง”
หลายวันต่อมา พึ่งพอจะเดินไหวหน้ายังซีดและไอโขลก มีห่อผ้าข้างๆตัว พาลูกอพยพออกมาจากหมู่บ้านตรงเข้าเมือง พึ่งพาแพงเข้ามาขอความช่วยเหลือจากหลวงตาในวัด
“ผัวเอ็งเป็นโรคห่าตายงั้นรึ” หลวงตาถามขึ้น
“ผู้คนในหมู่บ้านล้มตายกันมาก อิฉันนอนซมหลายวัน นึกว่าติดไข้กับเข้าด้วย พอดีได้ยาหม้อ ที่คนเขาเอามาแจก พอลุกขึ้นได้ ก็รีบพาลูกเข้าเมือง เราสองแม่ลูกเดินทางมา ไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว”
ห่างออกไป แพงใช้ไม้ไล่หมาที่กำลังกินข้าวในชามอ่างออกไป แล้วเข้าไปกินข้าวหมาในชามนั้นอย่างหิวโหย สภาพของเด็กแพงเวลานี้เหมือนเด็กขอทาน หลวงตามองเห็นเข้าก็ตะโกนบอกด้วยความสงสาร
“นังหนู ใจเย็นๆ เดี๋ยวหลวงตาให้คนไปเอาข้าวมาให้กิน”
แพงไม่สนใจ ฉกกินข้าวตรงหน้าต่อไป
“โธ่...อีแพงลูกแม่”
พึ่งเห็นลูกกินข้าวหมายิ่งร้องไห้หนักเข้าไปอีก หลวงตามองอย่างสงสาร
“วัดเป็นที่พึ่งของคนยากเสมอ เอ็งอยู่ที่นี่ก่อน แข็งแรงแล้วค่อยเดินทาง
ต่อไปนะ”
พึ่งดีใจร้องไห้ ยกมือไหว้ประหลกๆ
แพงเล่าเรื่องให้ศามนฟัง น้ำตาไหลเมื่อคิดถึงชีวิตตนในอดีต
“ชีวิตอีแพง กินหัวเผือกหัวมัน กินข้าวหมา ล้วนทำมาแล้ว ความยากจนมันสอนอีแพงให้รู้สิ่งหนึ่ง...ด้านได้อายอด หากไม่สู้ ก็มีแต่ตาย”
ในอดีต...พึ่งพักอยู่วัดจนแข็งแรงก็พาลูกสาวมาหาคุณหญิงอบเชย ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มีเพ็ญเป็นนางรับใช้คนสนิท นั่งกับพื้นใกล้ๆ คุณหญิงเพ่งมอง
“อีพึ่ง...นี่เอ็งจริงรึ ไฉนจึงผอมโซ ดูไม่ได้เช่นนี้”
“ไอ้เส มันตายเพราะโรคห่าระบาด สิ้นบุญผัว อีพึ่งทนอยู่หัวเมืองไม่ไหวต้องขอกลับมาพึ่งใบบุญคุณหญิง อย่าขับไล่ไสส่งอีพึ่งกับลูกเลยนะเจ้าคะ”
คุณหญิงอบเชยมีทีท่าโกรธ เย็นชาเพราะเมื่อก่อนนี้พึ่งสวยจนท่านเจ้าคุณมาติดพัน แต่ในที่สุดคุณหญิงก็หาเรื่องไล่พึ่งและผัวออกไปจากบ้าน แต่พึ่งและผัวที่ตายมีนิสัยเจียมตัว ขี้กลัว ไม่ทะเยอทยาน จึงไม่สนใจเรื่องเจ้าคุณนัก ได้แต่ยอมๆเขาไป แล้วไม่กล้าพูดเรื่องพวกนี้ให้ใครฟัง
“ข้าไล่เอ็งไปแล้ว จะกลับมาทำไม ติดโรคมาหรือเปล่านี่”
“มิได้เจ้าค่ะ อีพึ่งกับลูกกินยาหม้อจนหายดีแล้ว ขอให้อีพึ่งกับลูกได้กลับมาทำงานรับใช้คุณหญิงเถอะนะคะ เราสองคนหมดหนทางแล้วจริงๆ ถ้าท่านไม่ช่วย เห็นทีต้องตายสถานเดียว”
“เอ็งเคยลักของข้า ข้าไล่เอ็งออกไปแล้ว คงรับกลับมาไม่ได้อีก”
แพงที่แก่แดด สวนขึ้นทันควัน ไม่กลัวคุณหญิงอบเชยเลยสักนิด เธอสบตาคุณหญิงไม่หลบไม่หนี
“แม่ถูกใส่ร้าย คุณหญิงไล่แม่ออกไปจากเรือน เพราะกลัวท่านเจ้าคุณมาติดพันแม่ต่างหาก”
คุณหญิงอบเชยตกใจมาก เพ็ญหันไปดุแพง
“นังเด็กสามหาว พูดอย่างนี้กับคุณหญิงท่านได้ยังไงเดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจะโดนกะลาตบปาก”
พึ่งตกใจ ดุลูกสาว
“อีแพง...พูดอะไรออกมารู้หรือไม่”
“แม่ไม่ต้องปิดบัง แพงแอบได้ยินน้าเทียบคุยกับแม่ รู้เรื่องหมดแล้วจริงๆแล้ว แพงไม่ใช่ลูกพ่อเส แต่เป็นลูกของท่านเจ้าคุณ ผัวของคุณหญิงต่างหาก”
คุณหญิงอบเชยตะลึง เพ็ญพอรู้เรื่องอยู่ เลยรีบด่าแทน
“นังเด็กนี่ ผีเจาะปากมาพูดแท้ๆ อีเพ็ญทนไม่ไหวแล้ว ขออนุญาตเจ้าค่ะ คุณหญิง”
เพ็ญตบหน้าแพงเปรี้ยง พึ่งร้องวี้ด รีบเข้าไปขวาง
“อย่าเจ้าค่ะ...อย่า”
แพงไม่กลัวด่าต่อ
“ท่านเจ้าคุณเข้าหาแม่ ทั้งที่แม่มีผัวอยู่ทั้งคน พอแม่ท้อง คุณหญิงกลัวแม่จะเรียกร้อง คุณหญิงไม่อยากยอมรับอีแพงคนนี้เป็นลูก ก็เลยใส่ร้ายไล่แม่ออกไป”
คุณหญิงอบเชยโกรธจัด
“อีเด็กชั่ว เอ็งจะหยุดหรือไม่หยุด”
แพงไม่กลัว
“ไม่หยุด ถ้าคุณหญิงไล่แม่กับอีแพง อีแพงจะไปโพทนาให้ทั่วว่าอีแพงเป็นลูกใคร แต่ถ้าคุณหญิงยอมรับแม่กับอีแพงมาเป็นบ่าวในบ้าน เราจึงจะหยุดพูด”
เพ็ญโมโห
“อีเด็กผี อายุเพียงน้อยนิด กล้าเรียกร้องคุณหญิงรึ”
แพงมองหยัน
“น้าเป็นแค่บ่าว อีแพงพูดกับคุณหญิงต่างหาก”
“อีเด็กบ้า !”
เพ็ญทำท่าจะเข้าไปตบอีก คุณหญิงอบเชยตะโกนลั่นหลังจากหน้าเครียดคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“หยุด !”
แพงกับพึ่งมองหน้าคุณหญิงอบเชยอย่างลุ้นๆ คุณหญิงอบเชยคิดเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา
“อยากมาก็มา ข้าจะให้เอ็งสองแม่ลูกไปอยู่โรงครัว ห้ามโผล่หน้ามาให้ข้าเห็นเด็ดขาด”
เพ็ญขัดใจเป็นอย่างยิ่ง
“โธ่ คุณหญิง...”
พึ่งกับแพงดีใจ
คุณหญิงอบเชยกับเพ็ญเดินคุยกันมา
“คุณหญิงไม่น่ารับมันไว้ นังเด็กแพง สามหาวผิดพ่อผิดแม่ ดีไม่ดีจะเท่ากับเลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้ไว้ในบ้าน” เพ็ญบอกอย่างกังวล
“เอ็งคอยดูมันสองแม่ลูก อย่าให้มันพูดเรื่องมันเป็นลูกอีกคนของท่านเจ้าคุณเด็ดขาด”
“ไม่มีใครเชื่อมันดอก ท่านทำเช่นนี้เท่ากับให้ท้ายมัน”
“ข้ามิได้กลัวคนอื่น แต่ข้าไม่อยากให้ลูกชื่นรับรู้เรื่องพวกนี้ ข้าไม่ต้องการแบ่งปันสมบัติของท่านเจ้าคุณกับใครทั้งนั้น ชื่นกลิ่นต้องเป็นลูกเพียงคนเดียวของท่านเจ้าคุณ”
เพ็ญพยักหน้าเข้าใจ
พึ่งพาแพงมานั่งลงที่เรือนไม้ ซึ่งเป็นเรือนคนใช้หลังบ้านใหญ่
“เอ็งนี่ ไปกินดีหมี หัวใจเสือมาจากไหน ไปพูดกับคุณหญิงเช่นนั้นไม่ถูกกระทืบตายก็บุญโขแล้ว”
“ที่ได้เข้ามาอยู่นี่น่ะ ไม่ใช่เพราะฉันเปิดปากพูดรึ แม่เอาแต่กลัวเขา ไม่ยอมสู้ ชวนกันกับพ่อเสหนีไปอยู่หัวเมือง จนพ่อต้องตายไปคนแล้วเห็นหรือไม่ ทำไมแม่ไม่บอกฉันว่าฉันเป็นลูกใครมาตั้งแต่แรก”
“ก็ข้าไม่แน่ใจว่าเอ็งเป็นลูกใครน่ะสิ ท่านเจ้าคุณท่านเมา คืนนั้นก็เลย เฮ้อ...อย่าพูดเลยวะ ข้าอายปาก”
"ไม่แน่ใจรึ ไม่จริงดอก ฉันเชื่อว่าฉันเป็นลูกท่านเจ้าคุณ...เอ๊ะนั่น”
สายตาแพงที่มองไปในสวนเห็น ชื่นกลิ่นในวัยเด็ก รูปร่างหน้าตาน่ารัก ใส่ชุดสวยนั่งเล่นอยู่คนเดียว แพงสนใจเด็กคนนี้มาก พึ่งมองตามไป
“นั่นคุณชื่นกลิ่น ลูกท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงอบเชย”
“คุณหญิงคงกลัวว่า อีแพงจะมาแย่งสมบัติคุณชื่นกลิ่นสินะถึงขับไล่อีแพงออกไป”
“เอ็งหยุดพูดเรื่องเอ็งเป็นลูกท่านเจ้าคุณเสียทีได้ไหม เอ็งไม่อายเขารึ ในเมื่อคุณหญิงไม่ยอมรับ ใครเขาจะเชื่อเอ็ง เขาจะหาว่าเอ็งน่ะใฝ่สูง”
“แล้วไอ้ เขา ที่มันว่าๆน่ะ มันมาให้ข้าวให้น้ำเรากินงั้นหรือแม่ ฉันไม่สน ก็ฉันเป็นลูกคนหนึ่ง เท่ากับคุณชื่นกลิ่นจริงๆนี่นา”
พึ่งส่ายหน้าในความแก่แดด ทะเยอทยานของลูกสาว
ชื่นกลิ่นมองต้นมะม่วงอยู่ แพงเดินมาหา ยิ้มหวาน พินอบพิเทา
“อยากกินหรือเจ้าคะ อีแพงจะขึ้นไปเก็บให้”
แพงปีนขึ้นไปคล่องแคล่วเก็บมะม่วงมาให้ แล้วมานั่งกับพื้นใกล้ๆ ชื่นกลิ่นยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ขอบใจจ้ะ เจ้าชื่ออะไร ฉันไม่เคยเห็นหน้า”
“เพิ่งมาอยู่ใหม่ ชื่ออีแพงเจ้าค่ะคุณชื่นกลิ่น”
“ไปเล่นหม้อข้าวหม้อแกงกันเถิด”
“ได้...อีแพงยินดีเล่นกับคุณชื่น ยินดีตามรับใช้คุณชื่น แต่คุณชื่นต้องไปเรียนคุณหญิงก่อน”
ชื่นกลิ่นงงๆ
“ไปเรียนคุณแม่ เรื่องอะไรจ๊ะ”
ชื่นกลิ่นพาแพงมาพบแม่ที่เรือนใหญ่ คุณหญิงอบเชยถามลูกสาวอย่างแปลกใจ
“ลูกชื่นอยากได้อีแพงเป็นคนสนิทติดตัวงั้นรึ”
“แพงมันฉลาด ปีนต้นไม้ หาไข่มดแดง เล่นตั้งเตก็เก่งนัก ลูกชอบมันเจ้าค่ะ”
เพ็ญรีบส่ายหน้ากับคุณหญิงอบเชยไม่เห็นด้วย ชื่นกลิ่นเขย่าตัวแม่ อ้อนวอน
“นะคะคุณแม่ ให้แพงมาติดตามใกล้ชิดลูกนะคะ”
คุณหญิงอบเชยจำต้องพยักหน้า แพงยิ้มพอใจ เพ็ญนิ่วหน้าไม่พอใจ
แพงแอบเข้ามาในห้องชื่นกลิ่น มองซ้ายมองขวา รื้อทองหยองเครื่องประดับในลิ้นชักมาใส่ ดูกระจก แล้ววางท่าเชิด เดินชี้โบ๊ชี้เบ๊ข้างๆตัว เล่นเป็นคุณหนู พูดคนเดียวบ้าบออยู่ในห้อง
“มาเร็ว พวกนังเล็กๆ มาบีบนวดคุณหนูแพงเร็วเข้า เอ๊ะยังอีก ข้าเป็นลูกสาวท่านเจ้าคุณนะ อยากโดนหวายหรือไงหา”
แพงนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วทำท่าบีบนวด
“นี่ๆบีบตรงนี้ ดีมาก...ดี”
ชื่นกลิ่นเดินมาเจอเข้าก็ส่งเสียงดุ
“แพง ทำอะไรน่ะ”
แพงถลาลงไปนั่งกับพื้น บีบน้ำตาทันที
“คุณหนู อีแพงไม่ได้ขโมยนะเจ้าคะ แค่ขอยืมมาใส่เล่นเจ้าค่ะ นี่ค่ะอีแพงคืนแล้วคืนหมดเลย อย่าฟ้องคุณหญิงนะคะ แพงไม่อยากหลังลาย”
ชื่นกลิ่นเห็นแพงร้องไห้บีบน้ำตา รีบถอดเครื่องประดับออก เลยไม่โกรธ ยื่นบ้องไม้ไผ่ที่มีตัวด้วงอยู่ข้างในให้
“ช่างเถิด นี่ๆ หญิงได้ตัวด้วงมา มาดูสิ น่ารักไหม”
แพงยิ้มดีใจ มองชื่นกลิ่นแววตาร้ายกาจครุ่นคิดในใจ
‘ฮึ...อีนังชื่นกลิ่น ข้าประจบเอ็งเพื่ออยู่รอดเท่านั้น ข้าก็ลูกสาวคน
หนึ่งของท่านเจ้าคุณเหมือนกัน ดีเท่าไหร่แล้ว ที่ข้าไม่แย่งสมบัติกับเอ็ง’
หลายปีต่อมา...แพงที่โตเป็นสาวแล้ว เดินกลับมาจากตลาดกับนวล สาวใช้ในเรือนคุณหญิงอบเชย หาบของที่ซื้อมาจำนวนมากจะเข้าบ้าน นวลบ่นอุบ
“อีแพง เดินช้าๆหน่อยสิวะ ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย จะรีบไปไหนของเอ็งหา”
“โฮ้ยทำไมคนมันเยอะอย่างนี้วะ”
แพงกับนวลเดินมาติดอยู่ที่คอสะพานไม้ข้ามคลอง คนแน่นไปหมด ต้องรอคิวเดิน บนสะพานมีแก๊งค์ลูกท่านหลานเธอพร้อมบ่าวเดินเฉิดฉายอยู่หลายคน
“งานเทศน์มหาชาติที่วัด คนมาออกร้านให้พรึ่ดไป อิจฉาคุณท่านหลานเธอ ได้ไปเที่ยว” นวลพยักเพยิดให้ดู “บ่าวไพร่อย่างเราได้แต่ชะเง้อคอมอง”
“ฮึ...ไม่ถึงทีข้าเป็นลูกท่านหลานเธอบ้างก็แล้วไป”
แพงมองอย่างหมั่นไส้ เดินกระแทกเท้า นวลรีบปราม
“สะพานเก่าคร่าเต็มที เดินเบาๆสิวะ อีแพง”
เด็กหัวจุกหัวแกละกลุ่มหนึ่งวิ่งเล่น ชนผู้คนไม่สนใจ และชนแพงจนไปติดกับขอบราวสะพาน
“เฮ้ยๆ ไอ้เด็กบ้า จะรีบไปไหนของพวกเอ็ง...อ๊าย”
เปรี้ยะ...เสียงไม้ลั่น ราวสะพานพังครืน สาวๆ ที่เบียดกันอยู่ มีแพงและพวกคุณหนู ร่วงกรูลงน้ำทั้งหมดนวลโชคดีจับไว้ทันไม่ร่วงลงไป
“วี้ด ราวสะพานหัก ช่วยด้วยๆ คนตกน้ำ”
หลวงภักดีบทมาลย์ได้ยิน วิ่งมาดูเหตุการณ์ พร้อมชาวบ้านชายหลายคน
“เฮ้ยไปช่วยคนตกน้ำหน่อยโว้ย นั่นๆ”
แพงว่ายน้ำไม่เป็น จะจมน้ำ ดำผุดดำว่าย ท่าทางแย่
“ช่วยด้วย ข้าว่ายน้ำไม่เป็น”
นวลตกใจตะโกนลั่น
“อีแพง อีแพง ช่วยด้วยเจ้าข้า คนตกน้ำ”
ชายสามสี่คนลงไปช่วยคนตกน้ำ ชายกลางคนบนฝั่งคอยตะโกน ไม่มีใครสนใจช่วยแพง
“พวกคุณหนูอยู่ตรงนั้น ไปช่วยก่อนสิวะ พวกไพร่ทาส ช่างมันก่อน”
แพงหมดแรงแล้ว จมหายไปใต้น้ำ ทันใดนั้น มือของหลวงภักดีบทมาลย์ ลงไปดึงแพงขึ้นมาก่อนที่จะจมลงไปก้นบึ้ง...คุณหลวงลากแพงเข้าฝั่ง แล้วจับคว่ำหน้าตบหลัง จนแพงได้สติ พ่นน้ำออกมาจากปาก
“เป็นยังไงบ้าง”
แพงไออย่างหนักมองหน้าคุณหลวง ซาบซึ้งแต่ยังพูดไม่ออก คุณหลวงเห็นแพงรู้สึกตัวแล้วรีบเดินไปดูคนอื่น คอยสั่งการ
“เอาขึ้นมาหมดแล้วหรือยัง เป็นเช่นใดกันบ้าง...” คุณหลวงตรวจดูทุกคน “คนที่เหลือ ถอยลงมาจากสะพาน แล้วเอาเชือกผูกกั้นไว้ อย่าให้ใครขึ้นไปอีก”
ชายกลางคนรีบบอกให้ชายทั้งหลายช่วยกันทำตามคุณหลวงสั่ง นวลวิ่งมาดูแพง
“อีแพง เป็นเช่นใดบ้าง”
“ท่านผู้นั้นช่วยข้า”
“เห็นพวกนั้นเรียกหลวงภักดีบทมาลย์น่ะ ยังหนุ่มแน่น รูปก็งามมิใช่น้อย”
แพงมองตามคุณหลวง ชื่นชม สำนึกพระคุณ
หลังจากเหตุการณ์สงบ หลวงภักดีบทมาลย์เดินกลับบ้าน แพงแอบเดินตามมา คุณหลวงเอะใจหยุดเดิน แพงก็หยุดเดินแล้วเข้าไปหลบ คุณหลวงหันไปมองข้างหลังจึงไม่เห็นใคร ก็หันกลับมาเดินต่อ แพงมองคุณหลวงไม่แน่ใจว่าจะเข้าไปคุยอย่างไรดี เพราะตนเองต่ำต้อย ได้แต่เดินตามไปเรื่อยๆ คุณหลวงเดินต่อ แพงก็เดินตามต่อ
“เอ้าหายไปไหนแล้ว”
คุณหลวงโผล่ออกมาจากหลืบ จับมือแพง ไพล่ไปข้างหลัง
“เหตุใดเดินตามข้า”
“ข้าน้อยชื่อแพง บ่าวที่ท่านช่วยไว้ตอนราวสะพานหัก”
คุณหลวงมองหน้าจำได้แล้วยอมปล่อย
“ข้าเป็นทหาร ศัตรูมากมาย มาทำลับๆล่อๆ เช่นนี้ ระวังจะโดนเข้าให้”
แพงนั่งลงกับพื้น ก้มลงกราบเท้าคุณหลวง
“อีแพงแค่จะขอกราบท่านที่ช่วยชีวิต”
คุณหลวงอึ้งไปเล็กน้อย กับสายตาบูชาของแพง
“ชีวิตคน ค่าไม่เท่ากัน ใครๆก็ลงไปช่วยลูกท่านหลานเธอ ส่วนบ่าวอย่างอีแพงไม่มีใครช่วย เพราะหากมันตายไป ก็คงไม่มีใครสนใจ”
“คิดมากไป ชีวิตคน ไม่มีใครปล่อยให้ตายต่อหน้าดอก”
“ท่านรูปงาม จิตใจยิ่งงามกว่า ข้าน้อยอีแพง ขอจดจำท่านไปตลอดชีวิต”
“เจ้าไม่ใช่บ่าวในเรือนข้า ไปรับใช้นายของเจ้าเถิด”
คุณหลวงไม่สนใจ เดินจากไป แพงมองตามอย่างชื่นชมไม่วางตา
“หลวงภักดีบทมาลย์ ท่านจะเป็นเจ้าชีวิตของอีแพงตราบจนวันตาย”
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
บ่วง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ไม่ต่างจากเมื่ออดีตชาติ ผีอีแพงยามนี้มองศามน ด้วยความรักและบูชาสุดจิตสุดใจเหมือนเคย
“คุณหลวงเจ้าขา จนถึงวันนี้ อีแพงยังจงรักภักดีต่อท่านไม่เสื่อมคลาย อีแพงเป็นของท่านและท่านเป็นของอีแพงแต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่ของอีชื่นกลิ่น ได้ยินไหมเจ้าคะ ท่านเป็นของอีแพงไม่ใช่ของอีชื่นกลิ่น”
ศามนนิ่วหน้า ชื่อนี้ดูคลับคล้ายคลับคลานัก
“ชื่นกลิ่น”
ศามนพึมพำ พร้อมๆ กับที่ภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งในอดีตผุดขึ้นมาในความคิดของศามน
หลวงภักดีบทมาลย์เสร็จงาน กลับเข้าบ้าน เด็กกลุ่มใหญ่น้องๆของคุณหลวงเล่นไล่จับกันอยู่
“พี่ศังกรขา...มาเล่นกับน้องหน่อยค่ะ”
“ให้เล่นอะไรคะ”
คุณหลวงคุกเข่าลง เด็กเข้ามาล้อมเอาผ้าปิดตาคุณหลวงเล่นปิดตาควานหากัน
“แหม...ไม่มีใครยอมผูกผ้า ใช้พี่ใช้เชื้ออย่างนี้เลยนะ เอ้า...หนีให้ดีๆแล้วกัน”
คุณหลวงยิ้ม ยอมเล่นด้วยยื่นมือออกไปควานหา เด็กร้องวี้ดหนีไปเรื่อยๆ ปากก็ร้องเพลง
“ปิดตาไม่มิด สารพิษเข้าตา พ่อแม่ทำนา ได้ข้าวเม็ดเดียว”
เด็กๆ แตกฮือออกไป คุณหลวงคลำไปตามตึก
“เดี๋ยวจะจับให้ร้องวี้ดเลยคอยดู”
ชื่นกลิ่นถือโถแกงเดินมา ตามด้วยนวล ที่ถือกระเป๋าตามมารับใช้ ทั้งสองโผล่มาพบกันที่หลืบ คุณหลวงเข้าใจว่าเป็นเด็ก เพราะได้ยินเสียงเท้าคนเดินจึงกอดแน่น
“นี่ไง...จับได้แล้ว”
“โอ๊ะ”
ชื่นกลิ่นตกใจมาก ปล่อยโถแกงในมือจนตกแตก แล้วดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอด คุณหลวงยิ่งกอดไว้
“จะหนีไปไหน กอดแน่นอย่างนี้จะหนีไปไหนได้”
นวลหันมาเห็นเข้าตกใจมาก เพราะผู้ชายไม่กอดผู้หญิงในเวลานั้นให้เห็นง่ายนัก
“ว้าย...คุณชื่น”
ชื่นกลิ่นโวยวาย
“ปล่อย...ปล่อยนะ”
คุณหลวงเอะใจ รีบเอามือออก ตามด้วยดึงผ้าออกแล้วตะลึงในความงามของชื่นกลิ่น
“ขอโทษๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ นี่เธอเป็นใครกัน”
ชื่นกลิ่นได้แต่ก้มหน้าอับอาย ไม่กล้าสบตาคุณหลวง
ชื่นกลิ่นมานั่งก้มหน้าต่อหน้าคุณหญิงเนื่อง แม่หลวงภักดีบทมาลย์ ขณะที่เจ้าตัวมองหน้าหญิงสาวไม่วางตา
“ไฮ้...พ่อศังกร ทำรุ่มร่ามเช่นนี้ ใครรู้เข้าจะเสียมาถึงน้องได้ ฮึ่ย พ่อนะพ่อ นี่มิต้องไปขอโทษคุณหญิงอบเชยถึงเรือนรึนี่”
คุณหญิงเนื่องทำเป็นโมโหลูกชาย แต่ไม่จริงจังนักเพราะเอ็นดูชื่นกลิ่นอยู่มาก ชื่นกลิ่นตกใจกลัวว่าเรื่องจะไปกันใหญ่
“แล้วก็แล้วไปเถิดเจ้าค่ะ”
“พ่อศังกร เอ้อ...คุณหลวง ไปเป็นทหารที่หัวเมืองหลายปี นี่เพิ่งได้ย้ายเข้ามาในพระนคร แม่ชื่นกลิ่นน่ะ ฝีมือทำอาหารเลื่องลือ วันก่อนเจอกันที่วัด แม่หลุดปากไปว่าอยากกินเขียวหวาน แม่ชื่นก็อุตส่าห์ทำมาให้ ดูซิ อดกินเลย”
ชื่นกลิ่นเห็นคุณหลวงมองตลอดก็เขิน ทำอะไรไม่ค่อยถูก ยิ่งดูน่ารักสำหรับคุณหลวง
“เอ้อ วันนี้...เอ้อ ดิฉันกราบลานะคะคุณป้า”
ชื่นกลิ่นยกมือไหว้ ลุกกลับทันที
“เอ้า เดี๋ยวสิลูก เดี๋ยวสิ พ่อศังกร ดูดู๊ น้องอายจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว”
คุณหลวงขำรีบลุกตาม
“เดี๋ยวมานะครับ คุณแม่”
“เอ๊า จะรีบไปไหนล่ะนั่น”
คุณหญิงเนื่องมองตาม ยิ้มพอใจที่คุณหลวงท่าทางชอบชื่นกลิ่น
ชื่นกลิ่นเดินจะกลับบ้าน นวลเดินตาม คุณหลวงรีบมาดักหน้า
“เดี๋ยวจ้ะเดี๋ยว ที่เร่งรีบกลับนี่ คงไม่ใช่เพราะโกรธพี่ดอกนะ”
“เรียนคุณหลวงไปแล้ว ดิฉันมิได้ติดใจ ดิฉันกราบลาค่ะ”
ชื่นกลิ่นยกมือไหว้ คุณหลวงชี้ที่พื้นข้างๆ
“เอ๊ะนั่น มีงูอยู่ตรงนั้น”
“ว้ายๆ”
ชื่นกลิ่นกระโดดเหยงเข้ามาใกล้คุณหลวง
“เอ๊า...แค่กิ่งไม้ พี่ตาฝาด”
คุณหลวงยิ้มแกล้ง ชื่นกลิ่นชะงัก
“เอ๊ะ คุณหลวง!”
“บอกไม่ติดใจ แต่ไม่ยอมให้อภัยพี่ คิดแต่จะกลับ พี่ก็เลยเย้าเล่น อืม...” คุณหลวงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “กลิ่นน้ำหอมชื่นใจนัก หากเฉลียวใจสักนิดว่ากลิ่นเช่นนี้ไม่ใช่เด็ก พี่คงไม่ทำรุ่มร่ามเช่นนั้นเมื่อบ่าย”
คุณหลวงทำท่ากรุ้มกริ่ม ชื่นกลิ่นกระโดดถอยไปทันทีงอนๆ
“เป็นถึงคุณหลวง เล่นกับเด็ก หลอกงูผู้อื่น เกิดมาเพิ่งเคยพบเห็น”
“พี่มียศศักดิ์เพราะปกป้องบ้านเมือง อยู่ในป่าเขามาช้านาน เข้ากรุงครานี้ ขอหยอกล้อคนงาม เพื่อสมานไมตรี อย่าโกรธกันเลยนะ”
ชื่นกลิ่นเขินอาย
“พรุ่งนี้ทำแกงเขียวหวานอีกครั้งได้ไหม พี่จะไปรับแกงที่บ้านแต่เช้า เอามาให้แม่ของพี่ ท่าทางท่านอยากรับประทานมาก หาไม่ พี่คงโดนเอ็ดไปอีกหลายวัน”
ชื่นกลิ่นอายหนักเดินจากไป คุณหลวงยังส่งเสียงดังตามไป
“อย่าลืมนะ พี่จะไปกราบคุณหญิงแม่ของน้องที่บ้าน พรุ่งนี้เช้า”
เย็นนั้น พึ่งกับพวกบ่าวชาย นั่งกินข้าวอยู่วงหนึ่ง แพงกับนวลมาคุยกัน กินข้าวกันอีกมุมหนึ่ง
“เอ็งว่าไงนะ คุณชื่นไปพบกับหลวงภักดีที่บ้านรึ”
“ที่แท้หลวงภักดีก็คือลูกชายของคุณหญิงเนื่อง ท่านไปรับราชการที่หัวเมืองตั้งแต่รุ่นๆ เพิ่งจะได้ย้ายเข้าพระนคร” นวลเล่า
“แล้วท่านมีทีท่ากับคุณชื่นหรือเปล่า”
“โฮ้ยน้อยไปสิ นั่งมองไม่วางตา ตอนจะกลับ ยังลงเรือนมาหยอกเย้าคุณชื่นกลิ่นถึงที่ท่า”
แพงโกรธมาก กระแทกจานข้าวเปรี้ยง
“ไม่จริง...ไม่จริง !”
นวลมองแพงชักหมั่นไส้ในความทะเยอทะยาน ทั้งสองเป็นประเภท เพื่อนที่อิจฉากันอยู่ด้วย
“เฮอะ ดูทำหน้า...นี่เอ็งคงฝันไว้สิท่าว่าหลวงรูปงามคนนี้ จะมาเป็นผัวเอ็ง บ๊ะ โชคชะตาช่างเล่นตลก สุดท้ายคุณหลวงที่เอ็งปรารถนาก็ได้มาอยู่ใกล้ๆเอ็ง แต่กลายเป็นผัวเจ้านายเอ็งแทน ฮะฮะฮ่า”
คำพูดของนวลแทงใจดำ แพงตบนวลเปรี้ยง
“อีนวล อีชั่ว”
“อีบ้า นี่เอ็งตบข้าทำไมเนี่ย”
“เอ็งเอาเรื่องโกหกมาหลอกข้า ข้าไม่ใช่บ่าวเหมือนเอ็ง ข้าก็เป็นลูกสาวท่านเจ้าคุณโว้ย อย่ามาดูถูกข้า”
นวลมองเหยียด
“โถ...อีขี้ตู่ แม่เอ็งยังไม่เคยบอกสักคำว่าเอ็งเป็นลูกท่าน นึกว่ามีมือคนเดียวรึนี่แน่ะ...นี่...นี่”
นวลตบแพงกลับทั้งสองตบกันลงไปคลุกที่แคร่ ข้าวของกระจาย พึ่งกับบ่าวทั้งหลายต้องมาช่วยกันจับแยก
“เฮ้ยหยุดๆๆ ข้าวของพังหมดแล้วบอกให้หยุดๆ”
วันต่อมา...หลวงภักดีบทมาลย์ ขับรถมาจอดหน้าบ้าน มองขึ้นไปบนบ้านด้วยสายตาถวิลหาชื่นกลิ่น แล้วเดินเข้าบ้านไป ไม่ไกลกันนัก แพงแอบมองอยู่ด้วยความเสียใจ ตระหนักว่าเรื่องที่นวลเล่าเป็นความจริง
“เช้าวันรุ่งขึ้น อีแพงผู้อาภัพ ได้แต่ยืนมองคุณหลวงขึ้นไปบนเรือนของคุณหญิงอบเชย อีนวลมิได้โกหก คุณหลวงหลงเสน่ห์อีชื่นกลิ่นจริงๆ อีชื่นกลิ่น อีพี่สาวทรยศ มันเกิดมาเพื่อแย่งทุกอย่างไปจากอีแพง”
แพงเล่าเรื่องในอดีต แล้วหันมองหน้าศามน
“ฮึ...คุณหลวงเจ้าขา ในที่สุดท่านก็หลงอีชื่นกลิ่นได้ไม่นาน เราสองคน สุดท้ายก็ลงเอยกันที่เรือนหลังนี้ มานี่เจ้าค่ะ เห็นยันต์อันนี้ไหมเจ้าคะดึงมันออกเสีย อีแพงจะได้เป็นอิสระ กลับมาครองคู่กับท่านอีกครั้งหนึ่ง”
แพงพาศามนมาดูที่ยันต์อันหนึ่งที่ปิดไว้เหนือประตูเรือนหลังเล็ก
ในอดีต...หมอผียืนเสกยันต์ที่ปิดไว้แล้วที่เหนือประตู คุณหญิงอบเชยและเพ็ญยืนดูอยู่ข้างๆ ในบ้านมืดครึ้ม สกปรก หยากไย่ขึ้นเต็ม หน้าต่างมีแต่ลูกกรง แสงลอดเข้ามาสลัวรางๆ ร่างของแพงขณะยังมีชีวิตช่วงสุดท้ายอยู่ในสภาพมอมแมม ผมเผ้ารุงรัง เพราะกลายเป็นบ้าแล้ว ถูกล่ามโซ่ไว้ที่เสากลางบ้าน หันขวับมามองตาขวาง
เหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น...เกิดขึ้นหลังจากที่แพงเล่นคุณไสย ทำให้คุณหลวงตายและชื่นกลิ่นป่วยหนัก ในขณะที่แพงเองก็เริ่มเป็นบ้า พอติดลูกกรงบ้านเสร็จ คุณหญิงได้เชิญหมอผีทรงศีลมา ปิดยันต์ไม่ให้ฤทธิ์คาถาของแพง รุนแรงเกินไป
“ยันต์อันนี้จะช่วยป้องกันอิทธิฤทธิ์มนต์ดำ คุณไสยชั่วช้ามิให้สำแดงเดช อย่าให้ใครเอามันออกเด็ดขาด” หมอผีสั่ง
คุณหญิงหันไปสั่งเพ็ญ
“ไปบอกทุกคน ข้าจะปิดทางเข้าเรือนหลังนี้ มีแต่เอ็งที่มีหน้าที่เอาข้าวน้ำมาให้อีแพง นอกนั้น ห้ามไม่ให้ย่ำกรายมาแถวนี้เด็ดขาด”
เพ็ญตกใจ
“นี่...คุณหญิง จะปิดตายอีแพงหรือเจ้าคะ”
คุณหญิงอบเชยยิ้มร้ายแค้นแพงที่เล่นมนต์ดำจนคุณหลวงต้องตายไป ส่วนชื่นกลิ่นเจ็บออดๆแอดๆ จึงตั้งใจจะให้แพงตายกับโซ่ที่ล่ามไว้
หมอผีพรมน้ำมนต์ลงไปที่ตัวบ้าน แพงสะดุ้งเฮือก ร้องกรี๊ดๆๆ เหมือนผีโดนน้ำมนต์ ดิ้นพราดๆ อยู่ที่พื้น ข้างโซ่ที่ล่ามนั่นเอง
ปัจจุบัน...แพงพยายามอ้อนวอนศามน
“เอามันออกเถิดนะคะ อีแพงเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นมัน ช่วยเมีย...ปลดปล่อยเมียออกจากที่คุมขังเถิดนะเจ้าคะ”
ศามนคิดหนัก ลังเล
อนุกูล วรรณศิกา และพัชนีอยู่ด้วยกันในรถ พัชนียังวุ่นวายกับโทรศัพท์พยายามโทรหาศามน
“โทรยังไงก็ไม่ติด เฮ้อ...ถ้าผีร้ายออกมาจริงๆ เราจะทำยังไงกันคะนี่”
อนุกูลกับวรรณศิกามองหน้ากันทุกครั้งที่ได้ยินคำว่าผี
“เอ้อ...น้องคะ คุณลุงที่น้องว่านี่เป็นใครคะ” วรรณศิกาถามอย่างสงสัย
“ท่านเป็นลุงแท้ๆ เลี้ยงพัชมาตั้งแต่เล็กๆค่ะ ท่านมีนิมิตแม่นยำมาก เอ้อ...หมายถึงเวลาที่นั่งสมาธิ จิตของท่านจะมีกำลังในการรู้เห็นสิ่งต่างๆ มีครั้งหนึ่งท่านโทรมาเตือนว่าไฟจะไหม้ที่มหาลัย พัชรีบไปเรียกเพื่อนมาช่วย เลยไหม้ไปได้แค่นิดเดียว”
วรรณศิกาตื่นเต้น
“โห...อย่างนั้นเลยหรือคะ”
“นี่อีกนานไม่คะ ถึงจะถึงบ้านคุณศามน”
“ถึงแล้ว ลงมาได้”
อนุกูลเลี้ยวขวับเข้าที่จอดรถหน้าโรงพยาบาลทันที พัชนีแปลกใจ
“เอ๊ะ...นี่มันโรงพยาบาลนี่คะ พัชจะให้คุณพาไปบ้านคุณศามนต่างหากมาทำไมกันคะที่โรงพยาบาล”
อนุกูลลงจากรถ กวักมือตะโกนเรียกบุรุษพยาบาลให้เอารถเข็นมา
“คุณพยาบาลครับช่วยหน่อย มีคนไข้โรคจิตอยู่ตรงนี้ ช่วยกันนำส่งแผนกจิตเวชหน่อยครับ”
“คนไข้โรคจิต” พัชนีนึกได้ก็ร้องลั่น “อ๊าย...ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ”
“มานี่เลย ยายตัวดีลงมา”
อนุกูลเปิดประตูรถ รี่เข้ามาจับตัวพัชนีส่งให้บุรุษพยาบาลเอาตัวลงนั่งบนรถเข็น พัชนีร้องโวยวาย
“อ๊ายไม่นะ ไม่...พัชไม่ใช่คนบ้า คุณศามนกำลังมีเรื่องจริงๆ ปล่อยพัชนะปล่อย...ปล่อย!”
พัชนีดิ้นพราด โวยวาย แต่ก็ถูกชายทั้งสามคนล็อกตัวขึ้นรถเข็น เข็นไป วรรณศิกาได้แต่อ้าปากหวอ งง ตามไปติดๆ
รัมภานั่งเล่นกับลูกแฝดทั้งสองอยู่ในสวน มองท้องฟ้าเห็นเมฆดำลอยมา
“แด๊ดดี้ไปไหนนะ บนบ้านก็ไม่มี เข้าบ้านเถอะลูก ฝนกำลังจะตกแล้ว”
ทั้งสามคนช่วยกันเก็บกระดาษ สี ของเล่น ขณะเดียวกันนั้นลมเริ่มพัดกรูเข้ามา
ขณะเดียวกัน แพงยังคงอ้อนวอนศามนอยู่
“ช่วยเมียออกไป ช่วยเมียด้วย ดึงมันออกไปซะ ดึงมันออกไป!”
ศามน เอื้อมมือไปดึงยันต์ออกจนฉีกขาด
ฟ้าผ่าเปรี้ยง !
ลมพัดแรง ต้นไม้โบกเอน ประตูเรือนหลังเล็กเปิดผ่างออก แพงหันหน้าหัวเราะกับท้องฟ้า ดังก้องบริเวณ
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
รัมภากับลูก ถือข้าวของวิ่งเข้าบ้านผ่านทางเฉลียง ท่ามกลางลมพัดกรรโชก
“ฝนจะตกแล้ว แด๊ดดี้ล่ะ” ไลล่าบอก
รัมภาครุ่นคิดมองออกไป ฟ้าผ่าเปรี้ยง
“เข้าบ้านก่อนเถอะลูก”
สามแม่ลูกตัดสินใจเข้าบ้านไป คุณหญิงอบเชยยืนมองสามแม่ลูกแล้วร้องไห้
“แย่แล้วลูกเอ๊ย คราวนี้คงเดือดร้อนกันไปหมดทุกหย่อมหญ้า แม่ช่วยลูกไม่ได้ ยายทวดช่วยหลานไม่ได้ ”
คุณหญิงหันไปมองเรือนหลังเล็ก เสียงหัวเราะของแพงดังก้องมาถึงบ้านใหญ่
ทางด้านช่วง นั่งสมาธิอยู่ในห้องพระ ลืมตาขึ้นรับรู้แล้ว ได้แต่ถอนใจ
“เฮ้อ...เมื่อมีเหตุ ผลจึงเกิด สัตว์โลกทั้งหลายล้วนหมุนไปตามแรงแห่งกรรม ไม่มีใครหนีพ้น”
ศามนนอนหลับอยู่หน้าเรือนหลังเล็กตามลำพัง ฝนลงเม็ดมาโดนหน้า ศามนตื่นขึ้นงงๆเข้าใจว่าตนเองฝันไป เห็นฝนตกลงมาเลยวิ่งเข้าไปในเรือนหลังเล็กเพราะประตูเปิดอยู่ เขาเข้าไปมองในเรือนหลังเล็กที่บัดนี้ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ไม่มีโซ่แล้ว เหลือแต่ลูกกรง ศามนเห็นว่าเป็นบ้านสองชั้นหลังเล็กน่าอยู่ก็พอใจมาก
วรรณศิกานั่งรออยู่ อนุกูลเดินออกมาจากห้องตรวจ พัชนีหน้าบูดใกล้ร้องไห้ อนุกูลหน้าเครียด
“ผลเป็นไงบ้าง” วรรณศิกาถามทันที
“หมอบอกว่าปกติ ไม่ได้เป็นบ้า”
พัชนีไม่พอใจ
“ฮึ...ก็พัชไม่ได้บ้าจริงๆนี่คะ พัชหวังดีกับคุณศามนต่างหาก”
อนุกูลขรึมหน้าดุเอาเรื่อง จนพัชนีนึกว่าอนุกูลดุจริง
“บริษัทของเราเป็นบริษัทข้ามชาติ พนักงานงมงาย สร้างเรื่องหลอกลวงคนแบบนี้เอาไว้ไม่ได้ ถึงยังไงก็ต้องไล่ออก”
“ไล่ออก!”
วรรณศิกากับพัชนีตกใจมาก
“ก็หมอเขาบอกว่า น้องพัชไม่ได้บ้านี่คะ แล้วจะไล่ออกอีกทำไม”
“เมื่อเช้าทำงานพลาด มาตอนนี้สร้างเรื่องผีสางมาโกหกเราทำแต่เรื่องไร้สาระแบบนี้ ไล่ออกสถานเดียว”
พัชนีน้ำตาร่วงทันที นั่งร้องไห้กระซิกๆ
“ฮือ คุณนุ ฮือ พัชพูดความจริงนะคะ พัชไม่ได้สร้างเรื่อง...ฮือ พี่วรรณช่วยพัชด้วย พัชไม่อยากออก”
อนุกูลค้อน เครียด เดินจากไป วรรณศิกาว้าวุ่นรีบตามไปเรียกไว้
“นี่คุณนุ จะไล่เขาออกจริงๆหรือ”
อนุกูลเลิกเก๊ก มาทำท่าร่าเริงชะโงกดูผ่านหลืบ แล้วหัวเราะสะใจที่เห็นพัชนีนั่งร้องไห้
“นี่ๆ มาดูนี่ ฮิฮิ ร้องไห้ใหญ่เลยดูสิ คุณวรรณ”
“เอ๊า...ไม่โกรธแล้วหรือ”
อนุกูลแอบมองอย่างสนใจจริงจัง มองไม่วางตา
“โฮ้ย ร้องไห้ที หน้าตาอย่างกับเต้าหู้ยี้ ตลกจริงยายนี่”
“เฮ้ย...คุณ นี่แกล้งเขาหรือ เขาร้องไห้จริงๆนะนั่น”
“เขาทำผมเสียแฟนพร้อมกันสองคน ทำผมเจ็บไปทั้งตัว ถึงเวลาเอาคืนบ้างสิ ฮิฮิ ดูสิคุณวรรณ ร้องไห้ใหญ่เลย”
“ตกลงไม่ไล่ออก”
อนุกูลส่ายหน้า
“แค่แกล้งเขาเฉยๆ”
อนุกูลพยักหน้าหงึกๆ อนุกูลยังแอบมองพัชนีต่อไป อารมณ์ดี วรรณศิกายิ้มๆ
“อืม...เข้าใจแระ”
“เข้าใจอะไร” อนุกูลถามงงๆ
“เด็กผู้ชายแกล้งเปิดกระโปรงเด็กผู้หญิง ไม่ใช่เพราะเกเร”
“แล้วเพราะอะไรล่ะ”
“เพราะเด็กผู้ชายแอบชอบเด็กผู้หญิงคนนั้นน่ะสิ”
อนุกูลสะดุ้งแค้นมากโวยลั่น
“เฮ้ย...ผมเนี่ยนะชอบยายแม่ชีนี่ บ้านผมมีพระประธานแล้วนะคุณคุณวรรณก็รู้สเป็คผม สวย หุ่นดี เซ็กซี่ เปรี้ยวนิดๆ ใจถึงเยอะๆ อย่างยายนี่ควงไปไหนอายเขาตาย”
“ฮึ่ย...มีเจ้านายไอคิวสูง อีคิวต่ำ น่าเบื่อจริง”
วรรณศิกาบ่นกระปอดกระแปดเดินหนี มีแต่เรื่องเด็กๆไร้สาระ
ฝนหายแล้ว รัมภาเดินมองหาบุญสืบมาตามทาง จู่ๆศามนก็โผล่มา รัมภาสะดุ้งเฮือก
“ตกใจหมด...หายไปไหนมาคะ กำลังจะให้บุญสืบออกไปตามพอดี”
“ไปหลบฝนที่เรือนหลังเล็กน่ะ”
“มือถือโทรไปก็ไม่ติด”
“เดินหามาตลอดทาง ไม่รู้หล่นหายไปตอนไหน ช่างเถอะ เอาไว้ซื้อใหม่”
ศามนเป็นปกติ เดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะไม่สนใจความฝันนั้นของตน
“เรือนหลังเล็ก ไปทำไมกัน”
รัมภาได้แต่สงสัย
ในงานสวดศพยามค่ำคืน...น้อย แอน เจี๊ยบ นั่งอยู่ท่ามกลางแขกเหรื่อ บุญสืบ หล้า และคำช่วยกันเสริฟเครื่องดื่มให้แขก น้อยหยิบแก้วน้ำใบสวยขึ้นมามอง
“นี่ต้องเป็นของโบราณประจำตระกูลแน่”
น้อยรีบดื่มน้ำให้หมด แล้วเคาะๆให้น้ำหมด มองซ้ายขวา ก่อนจะยัดใส่กระเป๋าถือของตนเองแอนตกใจกับการกระทำของน้อย
“เฮ้ย...ทำอะไรเจ๊น้อย”
“ก็แบบงานแต่งงานไง ของชำร่วยน่ะ จุ๊ๆ”
น้อยจุ๊ปากว่าอย่าเอ็ดไป แต่ไม่เอาแก้วออกมาคืน เจี๊ยบครุ่นคิดมาตลอด
“คุณหญิงตายตอนอายุ 95 แทงเก้าห้าหรือห้าเก้าดีเจ๊ ฉันคิดมาทั้งคืนแล้วเนี่ย”
“แทงตัวไหนก็ได้ ขอให้จ่ายก็พอ แกน่ะติดฉันเยอะแล้วนะโว้ย”
เจี๊ยบค้อน
“พูดมาก เดี๋ยวเรียกตำรวจจับซะเลย”
สามสาวสะกิดกันดูไปที่ทางเข้า เห็นเดือนแรม เจ้าของตลาด ในชุดสีดำสวย เครื่องเพชรครบชุด ตามมาด้วยดีดี้ที่คอยถือกระเป๋าให้ แอนนินทาทันที
“มาแล้ว...มาแล้ว คืนนี้คุณนายเดือนแรมมาโว้ย ชุดใหม่เอี่ยม เอ๊ะ แบบเดียวกับนางเอกละครเมื่อคืนเลย สงสัยตั้งใจมาโชว์เต็มที่”
น้อยเบ้หน้าหมั่นไส้
“แต่งเพชรพรึ่บพรั่บ น่าหมั่นไส้เวอร์”
แล้วเจี๊ยบก็ตาลุกชี้ให้เพื่อนมอง
“เฮ้ยๆ ดูนั่น”
สามสาวเพ่งมอง เงี่ยหูฟังเดือนแรมที่เดินไปจะไปนั่งที่เก้าอี้ประธานแบบไม่อายใครและเหมือนใจตรงกับรัมภาที่จะเข้าไปนั่งเช่นกัน พร้อมกัน พอเงยหน้าขึ้นมาเลยชะงักทั้งคู่ไม่กล้านั่ง รัมภายิ้มบางๆ
“เอ้อ...เชิญเถอะค่ะ”
“ไม่ค่ะไม่เป็นไรพอดีตรงข้างหลังมันร้อน เชิญคุณพี่เถอะค่ะคุณพี่รัมภาใช่ไหมคะ”
“ค่ะ”
“เดือนแรมค่ะ...เดือนแรมเป็นเจ้าของที่ดินกับตลาดข้างๆที่ดินของคุณพี่นี่ล่ะค่ะ” เดือนแรมอวดรวยเชิด “อืม...เบ็ดเสร็จก็เกือบสามสิบไร่...งั้นนั่งด้วยกันนะคะ มาค่ะมา เดือนแรมไม่ถือ”
เดือนแรมคว้ามือรัมภามานั่งด้วยกัน ท่าทางสนิทกันเร็วมาก ซึ่งรัมภาไม่ชอบ เพราะเป็นคนถือตัว ทั้งสองนั่งชิด รัมภามองมือตนที่ถูกจับแล้วคาไว้ตรงตักของเดือนแรม อึดอัดนิดหน่อย สามสาวส่งเสียงสูงขึ้นมาทันทีพร้อมกัน
“อ๊าย...เดือนแรมไม่ถือ”
“ตัวน่ะอายุอ่อนกว่าเขา คนพูดน่ะต้องเป็นคุณรัมภาต่างหาก” แอนบอกอย่างหมั่นไส้
เจี๊ยบเบ้หน้า
“ถือว่าตัวเองรวย เป็นเจ้าแม่เงินกู้ แค่นี้ก็ใหญ่แล้วหรือ”
สามสาวพูดพร้อมกัน
“น่าหมั่นไส้...เวอร์”
รัมภามองเดือนแรม อย่างอึ้งๆ งงๆ ที่มาเจอเศรษฐีบ้านนอกเปรี้ยวจี๊ดเข้าซะแล้ว
อ่านต่อหน้า 3
บ่วง ตอนที่ 2 (ต่อ)
อนุกูลขับรถมาจอดที่หน้าเรือนใหญ่ เพื่อจะมาร่วมพิธีสวดศพคุณหญิงอบเชย พัชนีมีท่าทาง กลัวๆงอนๆอนุกูล ด้วยเรื่องเดิมที่ถูกอนุกูลพาไปหาหมอโรคจิต วรรณศิกากระซิบให้กำลังใจ
“ไม่ต้องไปกลัว บอกแล้ว เขาขู่เราน่ะ”
อนุกูลหันมาดุระหว่างเดินไป
“ผมน่ะแค่ขู่ แต่ถ้าคุณพูดเรื่องผีกับ คุณศามน คุณโดนไล่ออกแน่ แล้วก็ขอเลยนะ ห้ามพูดเรื่องงมงายพวกนี้ในแผนกของเราอีก”
พัชนีจ๋อยๆยังกลัวอนุกูล จำต้องเชื่อแล้วเดินตามเข้าไปในงาน นั่งลงร่วมกับพวกชาวบ้านที่กำลังนั่งคุยกันรอเวลาสวด
คำ หล้า และบุญสืบ คอยดูแลเสิร์ฟน้ำแขก ศามนพยักหน้าทักทายกลุ่มอนุกูล ก่อนเดินไปนั่งที่เจ้าภาพข้างๆรัมภา เดือนแรมหันมาเห็นเข้า ตกตะลึงไปกับความหล่อเหลาของศามน ทันใดเสียงแพงดังขึ้นทักทายเดือนแรม ซึ่งในชาติก่อนคือนวล ที่กลับมาเกิดใหม่เป็นหลานของเพ็ญ สาวใช้คนสนิทของคุณหญิงอบเชยในชาตินี้
“เป็นไงล่ะอีนวล คุณหลวงของข้ารูปงามเช่นเดิมใช่ไหมล่ะ”
เดือนแรมหันขวับไปหากลุ่มของนก เจี๊ยบ แอนที่นั่งอยู่ข้างหลัง
“เอ๊ะ พวกพี่พูดอะไรหรือเปล่า”
สามสาวส่ายหน้า ศามนมองหน้าเดือนแรมสงสัยว่าเป็นใคร รัมภาเพิ่งนึกออก จึงแนะนำ
“อ้อ นี่คุณเดือนแรม เจ้าของที่ดินกับตลาด ข้างๆบ้านเรา”
เดือนแรมยิ้มหวานให้ศามน
“เดือนดีใจจริงๆค่ะ ที่ได้คุณพี่ทั้งสองมาเป็นเพื่อนบ้าน”
ศามนพยักหน้ายิ้มให้ ไม่ได้สนใจมากนัก แต่เดือนแรมมองศามน มองแล้วมองอีกอย่างสนใจมาก
แขกเหรื่อทั้งหมดยังจับกลุ่มคุยกัน พระยังมาไม่ถึง ขณะที่บรรยากาศดูแปลกขึ้นทุกที
“อากาศวันนี้ทำไมมันอ้าวๆพิกล” เจี๊ยบบ่น
บนเพดาน ไฟดับๆติดๆ
“เอ้าเฮ้ย เป็นอะไรขึ้นมาล่ะ”
และแล้ว บ้านทั้งหลัง ไฟดับพรึ่บ แขกทั้งหมดตกใจส่งเสียงอื้ออึง อนุกูลร้องบอก
“ไม่เป็นไรครับ ตรงนี้มีเทียน”
ศามนหันไปเรียก
“เอ้ามาช่วยกันหน่อยเร็ว”
กลุ่มผู้ชาย เดินไปหยิบเทียนที่หิ้งพระออกมา ส่งให้กัน เพื่อจะติดรอบๆให้แสงสว่างแทน
ทุกคนเริ่มจุดเทียนส่งกันไปเรื่อยๆ เสียงหมาหอนดังเข้ามา คนเริ่มวิจารณ์กันที่มุมต่างๆ ขณะรอให้ไฟฟ้ามา
“หมาหอนทำไมวะ ไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่หว่า” แอนบ่น
บุญสืบกลัว สั่นๆ
“ เฮ้ย เล่นกันตั้งแต่หัวค่ำเลยหรือ!”
หน้าเรือนใหญ่...แพงเดินมาหยุดมองในบ้านอย่างอาฆาต
“คุณหญิงอบเชยเจ้าคะ ในที่สุดท่านก็ขังอีแพงไม่ได้ อีแพงมาแล้วมาเพื่อทวงแค้นทุกชีวิต ในบ้านหลังนี้!”
ลมพัดแรงวูบหนึ่ง ประตูเปิดผ่างออก แพงเดินเข้าไปไปหาผู้คนมากมาย ที่มารวมตัวกันเพื่องานสวดศพ ทุกคนหันไปมองด้วยความตกใจ แต่ไม่เห็นสิ่งใด นอกจากแสงที่ลอดประตูเข้ามา ข้างนอกลมโบกปลิว ดูน่ากลัว
รัสตี้ ชี้ไปแล้วตะโกนพูดด้วยความกลัว
“ผี...ผี มา”
ทุกคนประหวั่นหันมามองรัสตี้เป็นตาเดียว
“ไม่เอาค่ะคุณหนู ไม่พูดแบบนี้นะคะ”
คำรีบเข้าไปปิดปาก แล้วหันไปพยักหน้าให้บุญสืบมาช่วย บุญสืบเลยเข้ามาทั้งที่เสียงสั่นๆ บอกคนที่มองมา
“เอ้อ ครับๆ คุณหนูชอบเพ้อๆ แบบคิดไปเองน่ะครับ” บุญสืบพูดไป ตาก็คอยมองระแวง
“อ๊าย ดูนั่นสิ ดูนั่น”
แอนเสียงดังกว่า ลุกขึ้นชี้ไปที่เพดานเหนือประตู เมื่อเห็นเงาดำขนาดใหญ่ราวกับเปรตอสุรกาย พาดเข้ามาเหนือกลุ่มคน ท่ามกลางแสงจากเปลวเทียนที่วิบวับอยู่รอบห้อง คนแถวนั้นทั้งหมดมองเห็นเงานั้น แต่ไม่เห็นตัวแพง หลายคนกรี๊ด ถดถอยออกมา เดือนแรมวิ่งไปเกาะศามน ออดอ้อน
“นั่น...นั่น...เงาอะไรคะคุณพี่ เหมือนเงาคน ผู้หญิงใช่ไหมคะ”
แพงยืนอยู่ มองมาที่ทุกคนสะใจ ขณะที่กลุ่มคนพากันยืนเบียดกัน วรรณศิกาเข้าไปเบียดด้วย แอบกระซิบถามพัชนีที่ดึงแขนให้มายืนข้างๆกัน
“หนูพัช ลุงเธอว่าอะไรนะ บ้านนี้มีผีร้ายใช่ไหม”
ขณะเดียวกัน แอน น้อย และเจี๊ยบเบียดกันแน่น
“นิมนต์หลวงพ่อโกยกันเหอะ” แอนบอก
“เฮ้ย อยู่ก่อน เดี๋ยวอดดูของดี” น้อยบอกอย่างกล้าๆกลัวๆ
ศามนที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เดินไปปิดประตู ด้วยท่าทางนิ่งแกมดุ
“ก็แค่เงาไม้ หรือไม่ก็เงาคนที่เดินไปมาอยู่ข้างนอก อย่าตกใจไปเลย บุญสืบรีบไปดูซิ บ้านเราฟิวส์ขาดหรือเปล่า รีบเปลี่ยนซะ”
บุญสืบกลัวมากแต่ก็พยักหน้า พลางลากหล้าไปด้วยกัน ผู้คนยอมสงบลงบ้าง นั่งลง รัมภาหันไปสั่ง
“ยายคำ ช่วยกันเปิดหน้าต่างเถอะ เดี๋ยวเป็นลมกันหมด”
คำ วรรณศิกา พัชนี และชาวบ้านอีกหลายคนช่วยกันเปิดหน้าต่าง ทันทีที่เปิดหน้าต่างออก แมวดำตัวหนึ่งเหมือนถูกโยนเข้าหน้าต่างมา วรรณศิการ้องวี้ด เซหลบลงไปกับพื้น แมวกระโดดขึ้นไป บนโลง ยืนอยู่ครู่หนึ่ง คนผวากันอีกเฮือก กรี๊ดกันสนั่น แมวตกใจไปด้วยเลยวิ่งหายไปจากบนโลง
“แมวดำกระโดดข้ามศพ ศพจะฟื้นคืนชีพ...ไปได้ยังเจ๊” แอนร้องอย่างขวัญเสีย
น้อยส่ายหน้า
“เฮ้ย อย่าเพิ่ง เดี๋ยวอดดูของดี”
อนุกูลวิ่งไปดู แล้วจับแมวขึ้นมา พยายามทำท่าสบายให้ทุกคนหายกลัว
“ก็แค่แมวที่มันหลงเข้ามา ไม่มีอะไรหรอกครับ เมี้ยวๆ”
อนุกูลแกล้งเล่น แล้วปล่อยแมวไป พัชนีรีบพยุงวรรณศิกา ให้ลุกขึ้นจากพื้น วรรณศิกาเริ่มกลัวเหมือนกัน
“ใช่...ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ตามสูตรหนังผีเป๊ะๆเท่านั้นเอง”
แพงยิ้มพอใจในฝีมือหลอกผีด้วยแมวของตนเอง แล้วมองไปรอบๆ เล่นงานด้วยแผนต่อไป
เดือนแรมที่ยังออดอ้อนศามน หันมาถามรัมภา
“ทำไม จู่ๆมันหนาวขึ้นมาคะคุณพี่”
“ลมข้างนอกล่ะมั้งคะ”
แพงหัวเราะร่า แล้วพุ่งร่างอย่างรวดเร็วเข้าไปบีบคอไลล่าที่นั่งอยู่ ไลล่าตกใจจับคอตัวเอง เกร็งเพราะหายใจไม่ออก เขยิบเท้าถอยหนี แต่แพงตามบีบไปเรื่อย รัสตี้เห็นอย่างนั้นก็ร้องบอกแม่
“ไลล่า...ไลล่าเป็นอะไรน่ะ หม่ามี้ ไลล่า โดนผีบีบคอ”
แพงตวาดอย่างเคียดแค้น
“ตายเสียเถอะ นังมารหัวขน เห็นแกสองคนแล้วมันตำตาตำใจอีแพงนัก ตายเสียเถอะ ตายซะ”
ไลล่าที่นั่ง ลงไปนอนกับพื้น มือจับคอตัวเอง ภาพที่คนอื่นเห็นคือไลล่ากำลังบีบคอตัวเอง ศามนรัมภาพุ่งเข้าไปหาลูก
“ไลล่า ทำอะไร ปล่อยมือเดี๋ยวนี้”
รัมภาพยายามเรียกเช่นกัน
“ไลล่า ปล่อยมือสิลูก ปล่อยมือซะ”
ผู้คนช็อคกลัว พัชนีตัดสินใจดึงสร้อยที่มีพระเลี่ยมทององค์เล็กๆห้อยอยู่ออกมาพนม อธิษฐาน
“ขออาราธนา พระพุทธคุณช่วยหนูไลล่าด้วยค่ะ”
พัชนีรีบวิ่งไปคล้องพระที่หัวของไลล่า แพงกรี๊ดร้องอย่างเจ็บปวด แล้วกระเด็นออกจากตัวไลล่าลงไปนั่งกับพื้น ไลล่ายอมปล่อยมือจากคอตัวเอง ไอแค่กๆออกมา แล้วโผเข้ากอดรัมภา
“หม่ามี้”
“ลูกแม่ ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”
ศามนถอนใจ กลุ่มคนทั้งหลายมีแต่ตระหนกตกใจมากขึ้น
“ใส่พระแล้วหายเลย....นี่มัน....เจ๊น้อย ฉันทนไม่ไหวแล้ว ไปเหอะ” เจี๊ยบพยายามบอกให้เพื่อนกลับ
“เฮ้ย อีกเดี๋ยว เดี๋ยวอดดูของดี”
น้อยพยายามดึงทุกคนไว้เหมือนเดิม ไม่ยอมให้เพื่อนหนี ทั้งสามสั่นสู้ ยืนดูต่อไป แพงมองเหตุการณ์อย่างไม่ยอมแพ้
“คิดหรือว่าฉันจะหยุดง่ายๆ”
แพงพุ่งเข้าใส่ บีบคอรัสตี้ อาการของรัสตี้เหมือนไลล่าคือบีบคอตนเอง จนลงไปนั่ง ศามนพุ่งไปจับมือรัสตี้ พยายามดึงให้ออกจากคอ แต่ดึงไม่ออก
“รัสตี้ เรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ไม่ได้หรอกนะ หยุดได้ยินไหม”
รัมภาร้องอย่างตกใจวิ่งเข้าไปดู
“ไม่นะ ปล่อยลูก ปล่อย อย่าเล่นตามน้องแบบนี้นะ ปล่อยๆ”
วรรณศิกาดูแลไลล่าแทนรัมภา พัชนีเข้าไปถามท่ามกลางแขกเหรื่อ
“พระ... ใครใส่พระมาบ้างคะ พระที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว มีใครใส่บ้างคะ”
ฝูงชนนิ่ง ไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะไม่มีพระ รัสตี้เริ่มดิ้นพราด วรรณศิการ้องลั่น
“โฮ้ย หลานหน้าเขียวแล้ว ทำอะไรสักอย่างสิ”
รัมภาเริ่มร้องไห้ มองไปแล้ว เห็นว่าไม่มีใครมีพระแน่
“ในเมื่อไม่มีพระ แม่ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากความรักของแม่ รัสตี้ลูกแม่ นี่แม่นะลูก ได้ยินเสียงแม่ไหม กลับมาหาแม่นะลูก”
รัมภานึกอะไรออกมองไปที่รูปหน้าโลงศพ จู่ๆรัมภาก็พูดขึ้น แทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพูดทำไม รัมภาทำไปตามสัญชาติญาณลึกๆ
“คุณแม่ขา ช่วยลูกอีกแรงนะคะ คุณแม่ขาคุณแม่จะไม่ทิ้งลูกใช่ไหมเจ้าคะ”
ศามนได้ยินเสียงพูดของรัมภา และไม่เข้าใจความหมายนั้น ทันใดที่โลงศพ มีแสงจ้าส่องออกมาจากในโลง แล้วจู่ๆฝาโลงก็ระเบิดเปิดออกเปรี้ยง ทุกคนร้องกรี๊ด และวิ่งหนีกรูกันออกไปจากในบ้าน น้อยกลืนน้ำลายเฮือก
“เอาล่ะ ของดีอันนี้สุดๆละ ไปเหอะ”
สามสาวร้องกรี๊ด วิ่งกรูตามแขกเหรื่อคนอื่นออกไป และโดยที่ไม่มีใครเห็นคุณหญิงอบเชยออกมายืนข้างโลง ประจันหน้ากับ แพงที่ยังบีบคอรัสตี้อยู่
“อีแพง ปล่อยหลานข้าเดี๋ยวนี้”
“ผีแก่ๆ ไม่มีเวทย์มนต์ใดๆ อย่างเอ็ง ออกมาก็ดีแล้ว ข้าจะทำลายให้เอ็งพินาศในวันนี้”
“เพื่อลูกหลานของข้า แม้พินาศข้าก็ยอม”
“งั้นข้าจะจัดให้สนองพระเดชพระคุณคุณหญิงอบเชย ณ บัดนี้”
แพงวางมือจากรัสตี้ แต่รัสตี้ยังไม่หยุดบีบคอตัวเอง ฉับพลันแพงกลายร่าง จากชุดทาสหญิงธรรมดา กลายเป็นใส่ชุดขาว มีประคำคล้องคอ และเคี้ยวหมาก ดวงตาดุดัน รูปลักษณ์คล้ายผู้ชายแก่ แพงดูมีอำนาจมากมายเหลือเกิน นอกจากเป็นผีบ้าแล้ว ยังมีอาคม เป็นร่างทรงผีป่าฤษีด้วยตนเอง ยากยิ่งที่ใครจะต้านทานได้ เพราะในช่วงที่มีชีวิตอยู่ เวลาที่แพงเรียนอาคมแล้วเข้าไปภาวนาเพื่อเสกคาถาในห้องหมอผีของตน แพงจะใส่ชุดนี้ และกลายเป็นร่างทรงของหลวงปู่ฤาษี ตามแบบสายวิชาที่อาจารย์ชูสอนให้
แพงบริกรรมคาถาชั่วครู่ ก็พ่นน้ำหมากของตนออกไป กลายเป็นไฟเผาร่างของคุณหญิงจนร้องวี้ดเพราะร่างเหมือนยืนอยู่บนกองไฟ
“ไม่ อย่าทำลูกข้า อย่าทำหลานข้า ไม่”
แพงหัวเราะร่า แล้วกลายร่างกลับมาเป็นชุดทาสดังเดิม
ขณะเดียวกัน พัชนีที่ยังครุ่นคิดหาวิถีทาง เธอมองผ่านหน้าต่าง เห็นรถตู้พาพระมาส่ง เพื่อมาสวดในงาน กำลังลงจากรถพอดี จึงรีบวิ่งไปบอก
“หลวงพ่อเจ้าขา รบกวนเร่งฝีเท้า เข้าไปในบ้านโดยเร็วได้ไหมเจ้าคะ”
พระทั้ง 4 รูปงุนงง
ในเรือนใหญ่...แพงพุ่งกลับมาบีบคอรัสตี้อีกแล้ว รัสตี้ดิ้นพราด มือบีบคอตนเอง ท่ามกลางความห่วงใยของพ่อแม่
“รัสตี้ ลูกแม่ ได้ยินแม่ไหมลูก” รัมภาพยายามร้องเรียกลูก
แพงพูดเสียงกร้าว...
“ตาย แกต้องตาย ตายเดี๋ยวนี้ไอ้มารหัวขน”
ทางด้านคุณหญิงอบเชย ยังคงมีไฟเผา ร้องอย่างเจ็บปวด ไม่สามารถช่วยอะไรรัสตี้ได้
พัชนีเดินนำ พระสงฆ์ทั้ง 4 รูปเข้ามา พระสงฆ์เข้ามาแล้วหยุดมองเหตุการณ์ตรงหน้า ท่านไม่เห็นสิ่งใด แต่รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ อนุกูลวิ่งมาหาพัชนี พลางถาม
“ยายแม่ชีวิ่งไปไหนมา หา”
พัชนีไม่สนใจอนุกูล ยกมือไหว้และพูดกับพระ
“หนูไม่รู้จะหาวิธีไหนแล้ว พอเห็นรถท่านเข้ามา หนูก็เลยวิ่งมาหาขอยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง”
พระสงฆ์พยักหน้านิ่งสงบลง พระทั้งหมดเดินเรียงหน้าเป็นแถวหน้ากระดาน แล้วยกตาลปัตรขึ้น ทั้งหมดเริ่มสวดบทอันเชิญพระรัตนตรัย แสงสว่างจากตาลปัตร ส่องสว่างเป็นสีเหลืองทองทั้งห้อง พระพุทธรูปที่ตั้งเป็นประธานพลอยส่องสว่างไปด้วย
แพงหันมาเห็นเข้ากรีดร้องเสียงดังแล้วหายไป เช่นเดียวกับคุณหญิงอบเชย ที่ไม่สามารถทานอำนาจพระรัตนตรัยได้ อันตรธานหายไปด้วย และแล้ว ไฟก็ติดสว่างพรึ่บขึ้น รัสตี้ปล่อยมือลง ไอออกมา เริ่มหายใจเป็นปกติ รัมภาดีใจ
“รัสตี้ลูกแม่”
“หม่ามี้...” รัสตี้เรียกแม่เบา เพราะยังไม่มีแรง
รัมภาดึงรัสตี้เข้ากอด ทุกคนโล่งใจ
รัสตี้กับไลล่า ดีขึ้นมากแล้ว นอนเล่นอยู่กับแม่บนเตียง ยังมีท่าทางซึมๆอยู่ อนุกูล พัชนีและวรรณศิกา ยืนคุยกันเสียงเบาวิจารณ์
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไง ฉันนึกว่า ฉันดูหนังสยองขวัญอยู่เสียอีก” วรรณศิกาบอก
อนุกูลส่ายหน้า
“ไร้สาระน่า แค่เด็กเป็นลมชัก เขาเป็นแฝดกัน ก็เลยเป็นพร้อมกัน”
“ไหนลม ไหนชัก เอามือบีบคอตัวเองเห็นๆ”
“คุณวรรณ” อนุกูลปราม เกือบดุ
รัมภาเดินเข้ามาร่วมวง
“ปฎิกิริยาเด็กเพื่อเรียกร้องความสนใจน่ะค่ะ รัสตี้เคยเป็น เขาชอบเล่าเรื่องในจินตนาการ เเมื่อก่อนไลล่าไม่เป็น ฉันก็ไม่เข้าใจ ทำไมวันนี้ถึงเป็นขึ้นมาได้”
“เห็นไหมล่ะ”
อนุกูลพยักเพยิดกับวรรณศิกา พัชนีโพล่งขึ้นมา
“แล้วโลงที่แตกล่ะคะ”
“บรรจุไม่ดี แรงอัดอากาศภายใน อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง เกิดได้ทั้งนั้น”
อนุกูลบอกทันที พัชนีพึมพำ
“เถียงข้างๆคูๆ”
อนุกูลหันมาส่งสายตาดุพัชนี วรรณศิกามองเด็กๆ
“แน่ใจนะคะ ไม่ต้องพาไปหาหมอ”
รัมภาเดินเข้าไปหาลูก
“ลูกแม่ เป็นไงบ้าง ต้องไปหาหมอไหมคะ”
ทั้งสองส่ายหน้า วรรณศิกาถามถึงสิ่งที่ยังสงสัย
“ตอนประตูเปิด หนูบอกว่าเห็นผี หนูเห็นจริงๆไหมคะรัสตี้”
รัสตี้ไม่เต็มใจตอบเพราะรู้ว่ามีคนไม่เชื่อ
“ถ้าผมบอกว่าเห็นจริงๆ ป้าเชื่อผมไหมล่ะ”
ไลล่าหันไปถามรัมภา
“เราเป็นอะไรคะแม่ ทำไมเราสองคนต้องบีบคอตัวเองด้วย”
ผู้ใหญ่ได้แต่มองหน้ากัน ไม่มีใครให้คำตอบได้
เจ้าหน้าที่จากร้านโลงศพ ปิดฝาโลงแล้วตอกใหม่ ศามนยืนดูแลอยู่ โดยที่เดือนแรมอยู่ด้วย
“คุณตอกฝาโลงไม่ดีหรือเปล่า ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้” ศามนถามเครียดๆ
“โลงส่วนใหญ่ทำมาเพื่อเผาหรือฝังภายในเวลาไม่นาน แต่กรณีนี้ ตั้งเป็นเดือนแล้ว ก็อาจจะแตกได้” เจ้าหน้าที่อธิบาย
“งั้นงวดนี้ก็ต้องระวังหน่อย”
“ครับๆ เปลี่ยนวัสดุให้แล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ครับ”
“แขกเหรื่อตกใจกันหมดเลย โอ๊ะ”
เดือนแรมเซลงคล้ายหน้าจะมืด ศามนรีบเข้าไปรับ ประคองมานั่งลง
“เป็นอะไรไปครับ”
“คงตื่นเต้นน่ะค่ะ เพิ่งจะมาแสดงอาการตอนนี้”
“งั้นนั่งลงก่อน”
“ไม่ต้องห่วงนะคะ เดือนจะไปอธิบายให้คนแถวนี้ฟังเองว่า มันเกิดความผิดพลาดเรื่องวัสดุทำฝาโลง เดี๋ยวคนจะกลัวกันหมด”
“ขอบคุณครับ”
ศามนหันไปสนใจการตอกฝาโลง แต่เดือนแรมแอบมองศามนด้วยความชื่นชมอีก
กลางดึก...ศามนกับรัมภาเตรียมตัวจะเข้านอน รัมภาเปิดลิ้นชักหาของ ศามนเดินไปนั่งที่เตียงมองอย่างสงสัย
“ทำอะไรน่ะคุณ”
“หาพระค่ะ เมื่อก่อน แม่เคยให้พระองค์เล็กๆไว้ นี่ไง”
รัมภาหยิบกล่องใส่พระห้อยคอองค์เล็กขึ้นมา
“จะเอาไปใส่คล้องคอให้รัสตี้ ส่วนไลล่าน่ะ คุณพัชยกพระของเขาให้”
“ที่พัชนีใส่ให้ไลล่าตอนเกิดเรื่องน่ะหรือ เลขาคนนี้ท่าทางประหลาดทำแบบนั้น คนยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่”
“พอใส่ปั๊บ ไลล่าก็หาย ตอนเขาเชิญพระเข้ามาก็เหมือนกัน รัสตี้ก็หาย แปลกเหมือนกันนะคะ”
ศามนรู้สึกว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ยังไงก็ไม่เชื่อเรื่องผี
“เราต้องหาจิตแพทย์เด็กในเมืองไทย ไว้ปรึกษาบ้าง บางทีพวกแกอาจจะเครียดอยู่ลึกๆ ที่ต้องปรับตัวกับสังคมใหม่”
รัมภาพยักหน้าเห็นด้วย
“จริงสิ ตอนนั้นคุณพูดแปลกๆ”
“พูดอะไรคะ”
“คุณหันไปหาคุณทวด เรียกท่านว่าแม่ ทำไมถึงเรียกท่านว่าแม่ล่ะ”
รัมภาไม่เข้าใจการกระทำของตนเหมือนกัน เลยไม่รู้จะตอบยังไง
“ภาก็ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมทำแบบนั้น คงตกใจน่ะค่ะ”
ศามนมองรัมภางงๆ รัมภาคิดต่อเรื่องการกระทำของตนเอง แต่คิดไม่ออก
เช้าวันใหม่...พัชนีนั่งคุยกับช่วง ระหว่างที่ทานข้าวต้มด้วยกัน
“เรื่องทั้งหมดนั่น เกิดขึ้นเพราะผีร้ายที่ลุงช่วงว่าใช่ไหมคะ”
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเขากับเราอยู่คนละภพ โดยปกติสัมภเวสีไม่มีกำลังอำนาจทำร้ายคน นอกจากเขาเคยจองเวรจองกรรมกันมาแต่ชาติก่อน” ช่วงอธิบาย
“เด็กถูกบีบคอปางตาย ต้องเป็นวิญญาณอาฆาตแน่ๆ”
“หนูมีสติมั่นคงดีมาก ช่วยเขาแก้ปัญหาได้ดี”
“พัชมั่วๆไปน่ะค่ะ ถ้าเจ้านายเขาเห็นด้วยก็คงดี แต่ถ้าเขาเห็นว่าพัชงมงาย ก็เตรียมหางานใหม่ได้ เฮ้อ”
พัชนีถอนใจอย่างกังวล
ที่บริษัท...ศามนมาทำงานวันแรก เรียกประชุมเฉพาะกลุ่ม เอาแผนงานใหม่ของตนมาปรึกษาภายในแผนก ทุกคนอ่านเอกสารของเขาอย่างตั้งใจ
“เปลี่ยนผู้จัดการแผนกคนใหม่ ได้แผนงานมาใหม่ ที่จริงก็ดีเหมือนกัน” อนุกูลออกความเห็น
“จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ศามนถามเรียบๆ
“มีแน่ ไม่มีใครชอบความเปลี่ยนแปลงหรอกครับ คุณเพิ่งมาใหม่ ไม่อยากให้คนต่อต้าน ก็ต้องใจเย็นหน่อย ต้องใช้เวลา” อนุกูลแนะ
“ผมเข้าใจ ฝากด้วยแล้วกัน วันนี้ขอบคุณทุกคนมาก”
ทุกคนขยับตัวเตรียมออกจากห้อง ศามนหันไปหาพัชนี
“คุณพัชนี รัมภาเขาฝากขอบคุณที่คุณช่วยวันนั้น”
พัชนียิ้มกว้างนึกว่าศามนเห็นด้วย
“แต่ผมไม่ค่อยชอบวิธีแก้ปัญหา ที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของเหตุผล”
พัชนีหุบยิ้มหน้าเสีย
“ผมอยากให้คุณช่วยหาจิตแพทย์ให้เด็กแฝด เอารายชื่อกับประวัติมาให้ผมเลือก ยังไงวิธีแบบนี้ ก็อยู่บนฐานความจริงมากกว่า”
“เข้าใจแล้วค่ะ จะจัดการให้ค่ะ”
พัชนีออกไปจากห้องพร้อมกับวรรณศิกา เธอมีท่าทีเซ็งๆ วรรณศิกายิ้มปลอบ แล้วค้นของบางอย่างในเอกสารที่ตนถือมา
“เอ๊ะ...ปากกาพี่ ลืมไว้ไหนเนี่ย”
ขณะเดียวกันในห้อง อนุกูลละล้าละลัง ไม่ยอมออกไป กังวลใจแล้วเดินกลับมาคุยกับศามน
“คุณคงไม่ซีเรียสกับเรื่องคุณพัช ถึงกับให้ลาออกใช่ไหมครับ”
“อ๋อ...ไม่หรอกครับ”
“ที่จริงเขาก็ตั้งใจทำงานดี อีกอย่างความเชื่อพวกนี้ มันอยู่ในพื้นฐานของคนไทยทุกคนอยู่แล้ว”
วรรณศิกายืนอยู่ที่ประตูที่ปิดไม่มิด กำลังจะกลับมาเอาปากกาเลยได้ยินที่อนุกูลพูด วรรณศิกายิ้มขำที่อนุกูลห่วงพัชนีเกินเหตุ
“ครับ...เพื่อนบ้านผมตอนนี้ก็มองบ้านเราแปลกๆ ต่อสู้กับความงมงายคงต้องใช้เวลา” ศามนถอนหายใจ “เฮ้อ...ไร้สาระจริง”
อนุกูลพยักหน้าเห็นด้วยเพราะเป็นอีกคนที่ไม่ค่อยเชื่อ
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00 น.
บ่วง ตอนที่ 2 (ต่อ)
อนุกูลเดินตรวจงานในโรงงาน พัชนีหอบแฟ้มเอกสารและสมุดปากกาเดินตามแทบไม่ทัน อนุกูลเดินไปข้างหน้า ตามองดูพนักงานที่ทำงานอยู่ตามมุมต่างๆ พัชนีเดินตามมา อยู่ดีๆ เอกสารปลิวจากมือเพราะลมพัด ต้องวิ่งตามเก็บ จนอนุกูลต้องหยุดรอ
“เดือนนี้ ออเดอร์เข้ามามาก จะมามัวช้าไม่ได้ ขืนทำงานเช้าชามเย็นชามบริษัทก็โดนปรับพอดี นี่เดินให้เร็วหน่อยได้ไหม...เอ้าๆปลิวหมด เฮ้อ...”
“ค่ะค่ะ เร็วแล้วค่ะ”
พัชนีวิ่งตามเก็บ อนุกูลส่ายหน้า
“นี่คุณ ผมมีงานอีกเยอะนะ มัวแต่เดินจงกรมอยู่หรือไง ทำงานกับผมต้องรวดเร็ว จะมารอให้ผมถาม ให้ผมเข้าสมาธิ ส่งกระแสจิตบอก ทำแบบนี้ไม่ได้เข้าใจไหม”
พัชนีเก็บกระดาษไป ค้อนไป บ่นไป
“ทำไมต้องมาแขวะกันด้วยนะ ปากเหลือร้ายจริงๆ ฮึ่ย”
อนุกูลกับพัชนีเดินมาถึงลานรวมพลตามที่นัดเวลาไว้ พนักงานหลายคนนั่งๆยืนๆรออยู่ อนุกูลโวยทันที
“เอ้า ได้เวลาแล้ว ทำไมยังไม่ตั้งแถวอีก เร็วๆเข้า เร็วๆ อย่าช้า”
พนักงานรีบเข้าแถวหน้ากระดานเพื่อรับคำสั่ง พัชนีแปลกใจ
“โอ้โหตั้งแถวเป็นเด็กนักเรียนเลยหรือคะ”
อนุกูลหันหน้ามามอง พัชนีก้มหน้าจ๋อย รู้แล้วว่าต้องปิดปาก
“ถ้าผมลงมาที่นี่ ผมเรียกพวกคุณมารับคำสั่ง มันแปลว่าอะไรตอบซิ”
อนุกูลพูดเสียงดุ จนคนงานสะดุ้ง พนักงานทั้งหลายมีท่าทางกลัวอนุกูลอยู่เพราะเขาเป็นเจ้านายประเภทขี้โวย ด่าเก่ง คนงานพากันก้มหน้าตอบจ๋อยๆ
“ทำงานไม่ได้ตามเป้าครับ”
“ทำงานเช้าชามเย็นชาม ตกเย็นก็ตั้งวงกินเหล้า สิ้นเดือนก็มาบ่นว่าลูกไม่มีค่าเล่าเรียน จะใช้ชีวิตแบบนี้จนแก่ตายใช่ไหม หา”
อนุกูลดุจนคนงานเงียบกริบ แต่แล้วเสียงของพัชนีก็สอดแทรกเข้ามา ท่ามกลางความเงียบ มองอนุกูลอย่างทึ่ง
“โห...พูดดีจัง”
อนุกูลหันไปมองดุว่าไม่ใช่เวลา พัชนีรีบปิดปาก
“ตามรายงานที่ส่งมา นี่ที่อยู่ในมือผมนี่”
อนุกูลชี้ไปที่พัชนี
“ผลผลิตจากแผนกของพวกคุณ ตกลงไปจากเดือนก่อน รู้ตัวไหม”
พัชนีรีบเปิดข้อมูลก้มหน้าก้มตาอ่าน
“เอ...ผลผลิตก็เท่าเดือนก่อนนี่คะ”
พัชนีตาเหลือกเพิ่งนึกได้ว่า พูดออกไปแล้ว
“โอ๊ะ...ขอโทษค่ะ...ขอโทษ”
คนงานขำพรวดออกมา แอบยิ้มกัน อนุกูลเซ็ง จะทำยังไงกับยายโก๊ะดีเนี่ย
อนุกูลเดินมาตบโต๊ะ โวยวายที่โต๊ะวรรณศิกา โมโหพัชนีมาก
“จัดการอบรมลูกน้องคุณใหม่เลยนะคุณวรรณศิกา”
“มีเรื่องอะไรกันคะเนี่ย”
“คนบ้าอะไร พูดทุกอย่างที่ตัวเองคิด สมองส่วนกลั่นกรองน่ะมีไหม”
พัชนีจ๋อยสนิท
“ก็คุณบอกว่า ให้บอกข้อมูลโดยไม่ต้องถาม”
“ผมกำลังดุคนงาน ดันเอาข้อมูลค้านมาบอกผมต่อหน้าเขา แบบนี้มันเสียไหมคุณวรรณ”
วรรณศิกาตกใจไปด้วย
“จริงหรือหนูพัช”
พัชนีหน้าสลด
“พัชขอโทษค่ะ พอดีตัวเลขมันลอยอยู่ตรงหน้า เลยพูดออกไป”
วรรณศิกามองหน้าพัชนีดุจริงจัง
“นิสัยแบบนี้ เป็นเลขาไม่ได้นะคะหนูพัช เลขาที่ดีต้องพูดน้อย ถามน้อย ปล่อยให้นายพูดคนเดียว มีเรื่องอะไรที่สงสัยก็ต้องเก็บไว้...จริงสิคะ คุณนุ ไหนคุณบอกว่า คุณพัชทำงานดีไง”
วรรณศิกาทำหน้าใสซื่อ จนอนุกูลงง
“หา...ผมเหรอ”
“ก็ที่พูดกับคุณศามนไง พอดีลืมปากกา ดิฉันเดินเข้าไป ได้ยินเต็มสองหู...” วรรณศิกาหันมาดุพัชนีต่อ เข้มมาก “นี่ก็เหมือนกันนะได้ยินอะไรมา ก็ต้องอุบเงียบ ไม่งั้น ภาษาอังกฤษ จะใช้คำนี้หรือ secretary ที่มาจากคำว่า secret...เข้าใจไหม”
อนุกูลหน้าเสียมากกับข้อมูลที่วรรณศิกามาแฉ พัชนียังงงๆ ไม่อยากเชื่อ
“คุณนุพูดว่าพัชทำงานดีหรือคะ”
วรรณศิกาป้องปาก นินทามันมาก
“ใช่สิ ยังบอกอีกนะว่า เรื่องที่งานศพน่ะ คุณพัชไม่ได้ตั้งใจ อย่าให้ถึงกับไล่ออกเลยนะ เนี่ยพูดงี้กับคุณศามน พี่ได้ยินเต็มสองหูเลย”
“จริงหรือคะ ก็คุณนุ เคยจะไล่พัชออก”
“โอ๊ย...ไล่อ่ง ไล่ออกที่ไหน ท่าทางเป็นห่วงเป็นใย แอบปลื้ม หนูอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ใช่สิ...พี่มันแก่แล้ว แก่ก็แก่ ดำก็ดำ คะแนนพิศวาสส่วนตัวมันจะไปมีได้ยังไง” วรรณศิกามองหน้าอนุกูล “เอ๊ะ คุณนุ ไหงหน้าแดง จะเป็นลมหรือเปล่าคะนี่นั่งก่อนค่ะ มาค่ะ นั่งก่อน”
วรรณศิกาแกล้งอนุกูลได้เนียนมาก จนอนุกูลยื่นมือมาอยากบีบคอเธอให้ตาย
“คุณวรรณ ฮึ่ย โธ่โว้ย เป็นผู้ชายหน่อยไม่ได้ ชกหน้าแหกไปแล้ว ฮึ่ย”
อนุกูลชี้หน้า วรรณศิกาลอยหน้าลอยตา
“ชกหน้าแหกอะไรคะ ความผิดอะราย...อ๋อ จี้ใจดำใช่ไหมล่ะ”
“บ้าสิ ยายเด็กเนี่ย ช้า เฉิ่ม โก๊ะ รวมนิสัยงี่เง่าไว้หมดเลย ผมจะไปช่วยทำไม คุณน่ะฟังมาผิดแล้ว นี่เลิกพูดเลยนะไอ้เรื่องผมชอบเขานี่น่ะไม่งั้นผมเอาเรื่องจริงๆด้วย”
“ใคร...ใครพูดคะว่าคุณนุชอบหนูพัช ใครพูดคะ ฉันพูดแค่ปลื้มนะ”
อนุกูลหน้าเสียยิ่งกว่าเก่า แอบมองพัชนีเขินๆ
“คุณวรรณ หนอย...ฝากไว้ก่อนเถอะ”
อนุกูลเขินพัชนี โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง จนต้องสะบัดเดินหนี วรรณศิกาหัวเราะขำมาก ในขณะที่ตัวพัชนีเองไม่ค่อยเข้าใจและไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นจริง ได้แต่ยืนหน้ายุ่งอยู่
วันใหม่...เดือนแรมเดินเฉิดฉายนำดีดี้และคนงานที่ถือเข่งผลไม้หลากชนิด มาวางหน้าเรือนใหญ่ บุญสืบออกมาต้อนรับ
“โอ้โห ขนอะไรมาเยอะแยะครับคุณนาย”
“เครื่องเสียง” ดีดี้บอกกวนๆ
บุญสืบชะงัก
“เฮ้ย ผลไม้ไม่ใช่หรือ”
“เอ๊า รู้แล้ว ยังจะถามอีกทำไมล่ะ”
“เอาไปเก็บ แล้วปอกจานหนึ่ง มาให้คุณๆท่านกับฉันด้วย”
เดือนแรมสั่งเสร็จก็เดินเชิดเข้าไปข้างใน ดีดี้รีบตาม...เดือนแรมเดินมาตามทาง ดีดี้คอยมองไปรอบๆ กลัวๆ
“เขาลือว่าบ้านนี้ผีดุ ฮือ ผีจะออกกลางวันไหม พี่เดือน”
“พูดมากจริง เงียบไปเลยแก อ้อ...ต่อไปนี้เรียกฉันว่าคุณผู้หญิงนะห้ามเรียกพี่”
“เอ๊าทำไมล่ะ ก็เรียกมาตั้งนมนาน”
“ก็ฉันเป็นนายแกนี่ ไม่ใช่ญาติ แกดูคนบ้านนี้ เขาเรียกคุณผู้ชายคุณผู้หญิงกันทั้งนั้น”
เดือนแรมเดินเฉิดฉายต่อไป ดีดี้พึมพำ
“ฮึ...อยากเป็นผู้ดีตีนแดงขึ้นมาบ้างว่างั้นเถอะ”
ทันใดนั้นมีเสียงเยือกเย็นของแพงดังเข้ามา
“นวล...อีนวลเพื่อนข้า”
เดือนแรมชะงักหันขวับไปหาดีดี้
“เมื่อกี๊ แกพูดอะไร”
“เปล่านี่คะ คุณผู้หญิง” ดีดี้น้ำเสียงประชด
เดือนแรมไม่สนใจ สะบัดเดินต่อไป ดีดี้รีบตาม
เดือนแรมเดินเข้ามาพบว่าครอบครัวศามนทานกลางวันกันอยู่ เธอรีบตรงดิ่งเข้าไปหา
“โอ้โห ทานข้าวกันอยู่หรือคะ”
รัมภายิ้มทักทาย
“คุณเดือนแรม สวัสดีค่ะ”
ศามนหันไปชวน
“ทานข้าวมาหรือยังครับ ทานด้วยกันสิครับ”
รัสตี้เห็นพ่อมีแขก จะลงจากโต๊ะอาหาร รัมภากดไว้
“จะลุกไปไหน นั่งลงแล้วทานให้หมด”
“ผมเบื่อข้าว เราจะกินทุกมื้อเลยหรือครับ”
“เราอยู่เมืองไทย เขากินกันทุกมื้อ เราก็ต้องกินเหมือนเขา ฝึกเอาไว้ทั้งสองคน เข้าใจไหม”
“คุณพี่รัมภานี่ก็ดุเอาเรื่องนะคะ” เดือนแรมกดมือถือโทร “ขอพิซซ่า สามถาดใหญ่ด่วนเลยจ้ะ เอ้านี่ ทองดีเธอบอกที่อยู่เขาที”
“หนูชื่อดีดี้แล้ว คุณผู้หญิงเปลี่ยน หนูก็เปลี่ยนมั่ง กรุณาเรียกให้ถูกด้วย”
เดือนแรม ถลึงตาใส่ ดีดี้ยิ้มยั่วไม่กลัว รับมือถือไปจัดการให้ เดือนแรมหันไปยิ้มให้เด็กๆ
“น้าเดือนสั่งพิซซ่าให้ทุกคนแล้วจ้ะ”
เด็กทั้งสองคนร้องเย้แล้วผลักจานอาหารทิ้งวิ่งออกไป รัมภาหน้าเสียเพราะเดือนแรมไม่ถามเธอสักคำ ทำให้เด็กเสียวินัยที่ตนกำลังจะฝึกอยู่ แต่ศามนไม่คิดอะไรมาก
“สั่งมาตั้งเยอะ ขอบคุณมากนะครับ”
“เดือนเอาผลไม้สองสามเข่งมาให้คุณพี่ด้วยนะคะ ดีใจจังเลยค่ะที่มีเพื่อนบ้านใหม่ บอกไม่ถูกน่ะค่ะ ถูกชะตากับคุณพี่รัมภา แล้วก็คุณพี่ศามนม้าก มาก”
เดือนแรมเน้นคำว่ามาก และตามองศามนด้วยสายตายั่วยวน
หลังจากทานอาหาร...รัมภากับศามนพาเดือนแรมเดินเล่น ดูบ้านชั้นบน ตามคำขอของเดือนแรม
“ตึกเก่าแต่โครงสร้างยังดีอยู่เลยนะคะ ยิ่งพอมีคนมาอยู่มาดูแล ยิ่งสวย เอ๊ะนี่ห้องนอนใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ แต่ว่า...”
เดือนแรมตาลุกโชน
“ว้าว ตกแต่งสวยจังเลย”
รัมภาพูดยังไม่ทันจบเดือนแรมเดินไปเปิดประตูเข้าไปแล้ว ศามนเดินตามหน้าเฉยแต่รัมภาชักอึดอัด ไม่ชอบคนมาก้าวก่าย
เดือนแรมเข้าไปในห้อง ไม่มีคำว่าเกรงใจ พุ่งเข้าไปดูเครื่องสำอาง เปิดขวดนั้นนี้ สนใจมาก
“คุณพี่รัมภา ทำอะไรก็ดูดีไปหมด อู้หู ของเมืองนอกทั้งนั้นหอมๆทั้งนั้นเลยค่ะ”
“ต้องเข้าชุดกันด้วยนะครับ กลิ่นเดียวกัน รัมภาเขาถึงหอมไปหมดทั้งตัว”
ศามนหันมากอดรัมภาดึงมาใกล้ชิดด้วยความรัก เดือนแรมวูบหนึ่งมีแววไม่พอใจแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้ม
“ฮู้ย...หวานจังค่ะ ท่าทางพี่ศามนจะรักพี่รัมภามากเลย น่าอิจฉา ขอดูตู้เสื้อผ้าหน่อยนะคะ”
“เอ้อ คือว่า...”
รัมภาอึกอักลำบากใจ เดือนแรมไม่สนใจเปิดออกแล้วหยิบชุดมาดูทันที
“ยี่ห้อแปลกๆทั้งนั้น ที่เมืองไทยจะมีขายไหมคะ”
เดือนแรมหยิบตัวนั้นตัวนี้ดูอย่างไม่เกรงใจ รัมภาพยายามกลั้นอารมณ์โกรธไว้ภายใน
เมื่อออกมาจากห้องนอน เดือนแรมขอไปชมสวนอีก รัมภา กับศามนจึงเดินไปเป็นเพื่อน
“เอ๊ะตรงนั้นเหมือนมีบ้านอีกหลัง” เดือนแรมถามอย่างสนใจ
“ครับ ผมว่าจะให้คนไปเก็บกวาดสักหน่อย ทรุดโทรมไปมาก แต่คงพอตกแต่งได้”
ทันใดนั้นเสียงเย็นๆของแพงเข้ามาที่หูเดือนแรม
“บอกเขา บอกเขาตามที่ฉันสั่ง...”
เดือนแรมถูกครอบงำทีละนิด คราวนี้เธอไม่สงสัยในเสียงแล้ว ทำตามไปโดยไม่รู้ตัว
“บ้านหลังนั้น ถ้าทำทางเข้าด้านหลัง ก็จะเชื่อมกับถนนใหญ่เดินทางสะดวกกว่า ทำไมไม่ย้ายไปอยู่กันที่นั่นล่ะคะ”
“ครับ ผมก็คิดเหมือนกัน”
รัมภาตกใจ แปลกใจ เสียงเข้มทันที
“คุณคิดอย่างนั้นหรือคะ ทำไมฉันไม่รู้”
“บนเรือนใหญ่นี่ มันใหญ่เกินไป ตกแต่งยังไงก็ยังดูหลวม ผมกำลังจะถามคุณพอดี ย้ายไปอยู่เรือนเล็กกันไหม อีกหน่อยลูกๆโต ค่อยย้ายกลับมา”
“ภาไม่เห็นด้วย”
เดือนแรมส่งเสียงดุขึ้นมา ตามจิตใต้สำนึกที่ถูกแพงสั่ง
“ทำไมถึงไม่เห็นด้วย”
ทั้งสองอึ้งหันมามองหน้าเดือนแรมที่ส่งเสียงดังราวกับโมโหจัด เดือนแรมเหมือนจะรู้ตัวสะดุ้ง แก้ไขคำพูดทันที จิตใต้สำนึกตัวเองยังพอจะต่อสู้ด้วยอยู่
“เอ้อ ขอโทษค่ะ”
ศามนหันไปคุยกับรัมภา
“คุณไม่เคยชอบบ้านใหญ่นี่นา เรื่องโลงศพคุณทวดน่ะจำได้ไหมท่านสั่งห้ามเผา ย้ายไปเรือนหลังเล็ก จะได้ไม่ต้องอยู่กับโลงศพไง”
“แต่ตอนนี้ฉันชอบแล้วนี่คะ”
อีกครั้งที่เดือนแรมเสียการควบคุมตัวเองพูดออกมาเสียงดุดัน
“ไร้เหตุผลสิ้นดี !”
ศามนกับรัมภาตกใจหันมามองอีก เดือนแรมหน้าเสีย จ๋อยๆ
“เอ้อ...เดือนออกไปนั่งเล่นข้างนอกนะคะ”
เดือนแรมเดินออกไปทันที...เธอเดินแยกออกมาไม่วายหันไปมองครุ่นคิด งงกับตัวเอง
“ไปยุ่งเรื่องของเขาทำไมวะเรา”
เดือนแรมเดินตรงออกไปที่สวน
ศามนกับรัมภายังหันมาคุยกันต่อ ต่างมีอารมณ์ความขัดแย้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ภา...คุณไม่คิดหรือว่าการที่เด็กแฝดมีอาการแปลกๆ เมื่อคืนก่อน เป็นเพราะเขาต้องอยู่ร่วมบ้านกับโลงศพ มันไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับเด็กนักหรอกนะ”
“นี่คุณเอาจริงหรือคะ”
“ผมจะหาคนมาถางหญ้ารกๆ ซ่อมสะพาน ทาสีบ้าน อย่างน้อยก็เพื่อความปลอดภัย ส่วนจะย้ายหรือไม่ย้าย ค่อยมาดูกัน”
ศามนท่าทางจริงจังมาก พูดเสร็จก็เดินออกไปทันที ทิ้งให้รัมภายืนงง
เดือนแรมเดินมาถึงสะพานอย่างงงๆ
“เรามาตรงนี้ทำไม จะออกไปหน้าบ้านนี่หว่า”
เดือนแรมหันกลับ จะเดินออกไปทางหน้าบ้าน เธอเดินไปเรื่อยๆสุดท้ายก็เดินวนกลับมาเจอสะพานนี้อีก เดือนแรมงงมาก มองไปรอบๆตัว
“กลับมาที่เดิม เฮ้ย...อะไรกันเนี่ย”
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนเห็นเงาของคนพุ่งผ่านหลังไปแว๊บๆ เธอหันขวับไปมอง
“นังทองดีหรือ”
แพงพุ่งไปอีกมุมอย่าง รวดเร็วไปตามมุมต่างๆ เดือนแรมหันตามแต่มองไม่ทัน
“อีทองดี ฉันไม่มีอารมณ์ล้อเล่นนะโว้ย”
เงาของแพงที่ปรากฏตามมุมนั้นมุมนี้ เริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆรอบตัว จนเดือนแรมหน้าซีด
“อย่าบอกนะว่า…”
พูดไม่ทันขาดคำ แพงพุ่งเข้าใส่ หน้าประชิดหน้าเดือนแรมทันที
“อีนวล!”
เดือนแรมช็อคตัวแข็ง รำพึงออกมา
“ผะ ผะ ผี...”
ร่างแพงพุ่งเข้าใส่หายไปในร่างเดือนแรมทางด้านหน้า เดือนแรมชะงักมองท้องตัวเองชั่วนาทีผ่านไปร่างของแพงโผล่ออกมาจากร่างของเดือนแรมทางด้านหลังแล้วมายืนข้างหลัง เดือนแรมอึ้งช็อค หันไปประจันหน้ากับแพงอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้คิดจะเข้าไปสิงในตัวเอ็ง ข้าแค่ต้องการแสดงให้เอ็งรู้ว่า ต่อไปนี้ ร่างกายและชีวิตของเอ็งจะเป็นของข้า เอ็งจะต้องช่วยข้าทำลายพวกมัน”
เดือนแรมร้องกรี๊ดยาว แล้วเป็นลมล้มลง สลบไปกับพื้น
รัมภาเดินออกมามองเห็นลูกนั่งกินพิซซ่าไปเล่นของเล่นไป โดยมีดีดี้ดูแลอยู่ รัมภาเห็นดังนั้นเลยเดินต่อไป...รัมภาเดินเลยมาที่หน้าโลงศพเห็นหิ้งบูชา กระถางธูปมีความไม่เรียบร้อย ก็เลยหยิบจับ จัดแจงด้วยความรู้สึกผูกพันกับโลงศพเสร็จแล้ว เธอนั่งมองรูปคุณหญิงอบเชย คล้ายไม่สบายใจอยากปรึกษา ทันใดนั้นร่างของคุณหญิงอบเชยปรากฏขึ้นที่ข้างโลง มองรัมภาด้วยความเศร้า สงสาร ทุกข์กังวลใจ
“บ้านหลังนั้น เต็มไปด้วยเวทมนต์ของมัน อย่าเชื่อคุณหลวง อย่าย้ายเข้าไปอยู่นะลูก”
รัมภาไม่ได้ยิน ได้แต่รู้สึกตามไปเท่านั้นเอง
ศามนเดินเล่นมาถึงบริเวณที่เดือนแรมนอนหมดสติอยู่ รีบวิ่งเข้าไปหา
“คุณเดือนแรม คุณเดือน คุณเดือน”
ศามนโอบกอดเดือนแรมเข้ามา พยายามจับนวดเพื่อให้ฟื้น นาทีนั้นเกิดนิมิตขึ้นในสมอง ซึ่งเป็นนิมิตที่แพงสร้างขึ้นมา เขาเห็นภาพห้องนอนของเขาในเรือนหลังเล็กที่ตกแต่งอย่างสวยงามแต่ยังมีลูกกรงอยู่ เขากับเดือนแรม อยู่ในชุดขาวบางเซ็กซี่ อยู่บนเตียงที่มีมุ้งสีขาวสวยงามราวกับภาพในปฏิทิน มือของเขาลูบไล้ไปตามเรือนร่างเว้าโค้งของเดือนแรม
ศามนส่ายหัวพยายามให้ภาพในนิมิตออกไป แล้วรีบเปิดกระเป๋าถือเดือนแรมเพื่อหายาดมมาให้เดือนแรมที่เอนอยู่บนตักของตนดม แต่แล้วภาพในนิมิตรก็แว่บเข้ามาอีก เป็นภาพที่เขากำลังกอดก่ายนัวเนียอย่าง อ่อนละมุน เชื่องช้า หลงใหลในกาม คลุกเคล้าไปมากับร่างเดือนแรม
“คุณมนขา เดือนรักคุณค่ะ เดือนอยากเป็นของคุณ”
ศามนส่ายหน้าอีก ให้ภาพลามกพวกนี้ออกไปจากหัว แพงเดินมาที่ข้างหลัง
“นี่คือภาพอนาคตของท่าน ท่านปฏิเสธมันไม่ได้ดอก สิ่งนี้ยังไงก็ต้องเกิดขึ้น”
ภาพนิมิตก็แว่บเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง คราวนี้เป็นภาพของแพงที่เข้าไปลูบไล้ที่แผ่นหลังเขา เธออยู่ในชุดคล้ายทาสสีขาวดูงดงาม ขับกับผิวสีและดันอกเอวของเธอให้เต่งตึงยั่วยวน ศามนหันมายิ้มแล้วหันมาลูบไล้ กอดรัดกับแพงอีกคน กลายเป็นบทรักคนสามคนนัวเนียอยู่บนเตียงเดียวกัน
“คุณหลวงเจ้าขา จะมีชายใด โชคดีเหมือนคุณหลวง ได้อยู่เคียงข้างสาวงามถึงสองคน คุณหลวงเจ้าขา ลืมนังชื่นเสียเถิดนะเจ้าคะ คนจืดชืดอย่างมัน ไม่มีทางพาคุณหลวงขึ้นสวรรค์ได้เหมือนเราสองคนดอกเจ้าค่ะ”
ศามนกุมขมับ ไม่เข้าใจว่าตนคิดอะไรเลยเถิดแบบนี้ได้ยังไง แต่แล้วเขาก็มีอาการวิงเวียนเพราะฤทธิ์บันดาลของผีสาว แพงยิ้มสะใจ
“หวานใดเล่า จะหวานเท่ารสเสน่หา คุณหลวงเจ้าขา อีกไม่นานท่านจะต้องละทิ้งนังชื่นกลิ่น ท่านจะต้องกลับมาหลงใหลอีแพงคนงามเหมือนเช่นในกาลก่อน ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
ในที่สุดศามนก็เป็นลมสลบไปอีกคน
อ่านต่อ ตอนที่ 3 พรุ่งนี้ 9.30 น.